กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
ก้าวท่ี 6(Project-BasedLearning:PBL)
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
(Scientific Process Skills)
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เป็นทักษะความคิดสร้างสรรคท์ ่ีนกั วิทยาศาสตรแ์ ละผูท้ ีจ่ ะนำวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์มาแก้ปัญหา สำหรับใช้ในการศึกษาสืบเสาะหาความรู้อย่างมีระบบขั้นตอน สถาบันส่งเสริมการสอน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2550) กล่าวถึง การจัดแบ่งประเภท ความหมาย และความสามารถที่แสดงว่าได้เกดิ ทักษะ
กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ดังที่สมาคมความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ของประเทศ สหรัฐอเมริกา (American
Association for the Advancement of Science: AAAS) ที่ได้กล่าวไว้ว่า ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นทักษะ
ทางสติปัญญาที่นักวิทยาศาสตร์และผู้ที่นำวิธีการทางวิทยาศาสตร์มาใช้แก้ปัญหา ซึ่งประกอบด้วยทักษะกระบวนการ
ขั้นพื้นฐาน และทักษะกระบวนการขั้นผสมผสาน หรือทักษะขั้นบูรณาการ ซึ่งมีอยู่ 14 ทักษะ โดยทักษะที่ 1-8 เป็นทักษะ
ขน้ั พ้ืนฐาน และทักษะท่ี 9-14 เปน็ ทกั ษะกระบวนการข้ันผสมผสานหรอื ทกั ษะขน้ั บรู ณาการ มรี ายละเอยี ด ดงั น้ี
6.1 ทักษะการสังเกต (Observing)
เป็นความสามารถในการใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลาย ๆ อย่าง เข้าไปสำรวจวัตถุ หรือ
ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ในธรรมชาติหรือจากการทดลอง โดยไม่ลงความคิดเห็นของผู้สังเกตลงไปด้วยประสาทสัมผัส
ท้งั 5 อยา่ ง ได้แก่ การดู การฟงั เ การดมกลิ่น การรับรส และการสมั ผัส
6.2 ทกั ษะการวดั (Measuring)
เป็นความสามารถในการเลือกใช้เครื่องมือในการวัดปริมาณต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม รวมถึงความสามารถ
ในการหาปริมาณของสิ่งต่าง ๆ จากเครือ่ งมอื ทเ่ี ลือกใช้ออกมาเป็นตัวเลขได้ถูกตอ้ งและรวดเร็ว พรอ้ มระบหุ น่วยของการวัด
ได้อยา่ งถกู ตอ้ ง
6.3 ทักษะการลงความเห็นจากขอ้ มูล (Inferring)
เป็นความสามารถในการคาดเดาอย่างมีหลักการเกี่ยวกับเหตุการณ์ หรือปรากฏการณ์โดยใช้ข้อมูล (Data)
หรอื สารสนเทศ (Information) ทีเ่ คยเกบ็ รวบรวมไวใ้ นอดีต
6.4 ทักษะการจำแนกประเภท (Classifying)
เป็นความสามารถในการแยกแยะ จดั พวกหรือจัดกล่มุ สง่ิ ต่าง ๆ ทีส่ นใจ เชน่ วตั ถุ ดาว เทหวตั ถุ และสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ
หรอื ปรากฏการณ์ที่ต้องการศึกษา ออกเปน็ หมวดหมู่ นอกจากนย้ี ังหมายถึงความสามารถในการเลอื ก และระบุเกณฑ์หรือ
ลักษณะร่วมลักษณะใดลักษณะหนงึ่ ของส่ิงต่าง ๆ ทต่ี อ้ งการจำแนก
39
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
6.5 ทักษะการหาความสัมพนั ธข์ องสเปซกับเวลา (Using Space and Time relationship)
สเปซ คือ พื้นที่ที่วัตถุครอบครอง ในที่นี้อาจเป็นตำแหน่ง รูปร่าง หรือรูปทรงของวัตถุ สิ่งเหล่านี้อาจมี
ความสมั พนั ธ์กนั ดังน้ี
1. การหาความสัมพนั ธ์ระหว่างสเปซกับสเปซ
เป็นความสามารถในการหาความเกี่ยวข้อง สมั พันธ์กนั ระหวา่ งพ้ืนทีท่ ่ีวัตถตุ ่าง ๆ ครอบครอง
2. การหาความสมั พนั ธ์ระหว่างสเปซกับเวลา
เปน็ ความสามารถในการหาความเก่ียวข้อง สมั พนั ธก์ นั ระหว่างพ้ืนทที่ ี่วตั ถคุ รอบครองเม่ือเวลาผ่านไป
6.6 ทกั ษะการใชจ้ ำนวน (Using numbers)
เป็นความสามารถในการใช้ความรู้สึกเชิงจำนวน และการคำนวณ เพื่อบรรยายหรือระบุรายละเอียด
เชงิ ปรมิ าณของส่งิ ที่สงั เกตหรอื ทดลอง
6.7 ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายขอ้ มูล (Organizing and Communicating data)
เป็นความสามารถในการนำผลการสังเกต การวัด การทดลองจากแหล่งต่าง ๆ มาจัดกระทำให้อยู่
ในรูปแบบที่มีความหมาย หรือมีความสัมพันธ์กันมากขึ้น จนง่ายต่อการทำความเข้าใจ หรือเห็นแบบรูปของข้อมูล
นอกจากนี้ยงั รวมถงึ ความสามารถในการนำข้อมูลมาจัดทำในรูปแบบต่าง ๆ เชน่ ตาราง แผนภูมิ แผนภาพ วงจร กราฟ
สมการ หรือการเขยี นบรรยาย เพอ่ื สือ่ สารให้ผูอ้ ืน่ เข้าใจความหมายของขอ้ มูลมากข้ึน
6.8 ทักษะการพยากรณ์ (Predicting)
เป็นความสามารถในบอกผลลัพธ์ของปรากฏการณ์ สถานการณ์ การสังเกต การทดลองที่ได้จากการ
สังเกตแบบรูปของหลักฐาน (Pattern of Evidence) การพยากรณ์ที่แม่นยำ จึงเป็นผลมาจากการสังเกตที่รอบคอบ
การวดั ทีถ่ กู ตอ้ ง การบันทึก และการจัดกระทำกับขอ้ มลู อย่างเหมาะสม
6.9 ทกั ษะการตั้งสมมติฐาน (Hypothesizing)
เป็นความสามารถในการคิดหาคำตอบล่วงหน้าก่อนจะทำการทดลอง โดยอาศัยการสังเกต ความรู้
ประสบการณ์เดิมเป็นพื้นฐานคำตอบที่คิดล่วงหน้าที่ยังไม่รู้มาก่อน หรือยังไม่เป็นหลักการ กฎ หรือทฤษฎีมาก่อน
การตั้งสมมติฐาน หรือคำตอบที่คิดไว้ล่วงหน้า มักกล่าวไว้เป็นข้อความที่บอกความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรต้นกับตัวแปรตาม
ซึ่งอาจเปน็ ไปตามท่ีคาดการณไ์ ว้หรือไม่ก็ได้
6.10 ทักษะการกำหนดนิยามเชงิ ปฏบิ ัตกิ าร (Defining operationally)
เป็นความสามารถในการกำหนดความหมายและขอบเขตของสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่ในสมมติฐานของการทดลอง
หรือทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั การทดลอง ให้เข้าใจตรงกันและสามารถสงั เกตหรอื วัดได้
6.11 ทกั ษะการตคี วามหมายขอ้ มลู และลงขอ้ สรปุ (Interpreting and Making conclusion)
ความสามารถในการแปลความหมาย หรือการบรรยายลักษณะและสมบัติของข้อมูลที่มีอยู่ ตลอดจน
ความสามารถในการสรปุ ความสัมพนั ธ์ของขอ้ มูลท้งั หมด
40
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
6.12 ทกั ษะการกำหนดและควบคมุ ตวั แปร (Controlling variables)
เป็นความสามารถในการกำหนดตัวแปรต่าง ๆ ทั้งตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และตัวแปรที่ต้องการควบคุมใหค้ งที่
ให้สอดคล้องกับสมมติฐานของการทดลอง รวมถึงความสามารถในการระบุและควบคุมตัวแปรอื่น ๆ นอกเหนือจาก
ตวั แปรต้น แตอ่ าจสง่ ผลต่อผลการทดลองหากไม่ควบคุมให้เหมือนกนั หรือเท่ากัน ตัวแปรทเ่ี ก่ยี วข้องกับการทดลอง ได้แก่
ตัวแปรต้น ตวั แปรตาม และตวั แปรท่ีต้องควบคุมให้คงท่ี ซึง่ ลว้ นเปน็ ปัจจยั ที่เกยี่ วข้องกบั การทดลอง ดงั น้ี
1. ตัวแปรตน้ (Independent Variable)
คอื สงิ่ ทเี่ ปน็ ต้นเหตุทำให้เกิดการเปลีย่ นแปลงจึงต้อง จัดสถานการณ์ให้มีสง่ิ นแ้ี ตกตา่ งกัน
2. ตัวแปรตาม (Dependent Variable)
คอื ส่งิ ทเ่ี ป็นผลจากการจัดสถานการณบ์ างอย่างใหแ้ ตกต่างกัน และเราต้องสงั เกต วัด หรอื ตดิ ตามดู
3. ตัวแปรทต่ี ้องควบคมุ ให้คงท่ี (Controlled Variable)
คือ สิ่งต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อการจัดสถานการณ์ จึงต้องจัดสิ่งเหล่านี้ให้เหมือนกันหรือเท่ากัน เพื่อให้
มน่ั ใจว่าผลจากการจัดสถานการณเ์ กิดจากตัวแปรตน้ เท่าน้นั
6.13 ทักษะการทดลอง (Experimenting)
การทดลองประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การออกแบบการทดลอง การปฏิบัติการทดลอง และการบันทึกผล
การทดลอง ทักษะการทดลองจงึ เป็นความสามารถในการออกแบบและวางแผนการทดลองไดอ้ ย่างรอบคอบ และสอดคล้อง
กับคำถามการทดลองและสมมติฐาน รวมถึงความสามารถในการดำเนินงานทดลองได้ตามแผน และความสามารถในการ
บนั ทกึ ผลการทดลองได้ละเอียด ครบถว้ น และเที่ยงตรง
6.14 ทกั ษะการสร้างแบบจำลอง (Formulating models)
ความสามารถสร้างและใช้สิง่ ที่ทำข้ึนมาเพ่ือเลยี นแบบหรอื อธิบายปรากฏการณ์ท่ีศึกษาหรือสนใจ เช่น กราฟ
สมการ แผนภูมิ รูปภาพ และภาพเคลื่อนไหว รวมถึงความสามารถในการนำเสนอข้อมูล แนวคิด ความคิด รวบยอด
เพ่อื ให้ผู้อน่ื เข้าใจในรูปของแบบจำลองแบบต่าง ๆ
41
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
กจิ กรรมที่ 6 ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
กลมุ่ ท.ี่ ...................................
วัตถปุ ระสงค์
1. สามารถอธบิ ายความร้เู กยี่ วกบั ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้
2. สามารถนำเสนอและแลกเปลย่ี นความรู้เกี่ยวกับทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรไ์ ด้
คำชี้แจงในการทำกจิ กรรม
1. สมาชิกในกลมุ่ แตล่ ะคนเขียนอธิบายความรเู้ ก่ียวกบั ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2. นำเสนอและแลกเปล่ยี นความรู้เก่ยี วกบั ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ภายในกลุ่ม
ในการจดั การเรียนรโู้ ดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน (PBL) เร่ือง เครื่องดูดเพลยี้ กระโดดสีน้ำตาลแบบพกพา
รักษาส่งิ แวดล้อม ใช้ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ใดบ้าง เพราะเหตใุ ด
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………..........
42
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
ก้าวที่ 7(Project-BasedLearning:PBL)
ความรู้เกี่ยวกบั โครงงานวิทยาศาสตร์
(Science Project)
โครงงานวทิ ยาศาสตรเ์ ป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีสอดคล้องกับแนวทางการจัดการศึกษาตามมาตรา 22
และมาตรา 23 ทำให้นักเรียนเข้าถึงตัวความรู้ และเกิดทักษะจากที่เรียนรู้ เพราะเป็นการสอนที่มุ่งให้นักเรียนได้เรียนรู้
ด้วยตนเอง สามารถคิด วิเคราะห์อย่างมีเหตุผล มีกระบวนการทำงาน และทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยมีครูเป็นที่ปรึกษา
ให้คำแนะนำ และกระตุ้นให้นกั เรยี นได้เรยี นอยา่ งเตม็ ศกั ยภาพ
7.1 ความหมายของโครงงานวทิ ยาศาสตร์
ความหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์นั้น ได้มีสถาบันที่เกี่ยวกับการศึกษาและนักการศึกษาหลายท่าน
ไดใ้ หค้ วามหมายไว้ดังนี้
สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (2550) ได้ให้ความหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์
หมายถึง กิจกรรมการเรียนร้ทู ี่มีการสืบเสาะหาความรู้ การลงมอื ปฏิบัติจริง และสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยผู้ทำโครงงาน
มีอิสระในการนำความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์เดิม และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการแก้ปัญหา การทำ
โครงงานวทิ ยาศาสตร์ จึงจดั เปน็ การทำวจิ ัยในระดับนกั เรยี น
Thomas, J. W. & Mergendoller, J. R. (2000) กลา่ วว่า การจัดการเรยี นรแู้ บบโครงงาน เปน็ ส่วนหน่ึง
ของการเรียนรูเ้ ชงิ ค้นคว้า เน้นให้นักเรียนสนใจในปัญหา หรือคำถามทีจ่ ะผลักดันให้เขา้ ถึงแกน่ ของแนวคิดหรือหลักการ
ทำให้นักเรียนรู้จักการค้นคว้าและสร้างสรรค์นวตั กรรมด้วยตนเอง
พิมพันธ์ เตชะคุปต์ และคณะ (2553) กล่าวว่า โครงงานวิทยาศาสตร์ หมายถึง การศึกษา เพื่อค้นพบ
ความรใู้ หม่ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ และวธิ กี ารใหม่ด้วยตัวของนักเรียนเอง โดยใช้วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ มีครูและผู้เช่ียวชาญ
เป็นผู้ให้คำปรึกษา ความรู้ใหม่ สิ่งประดิษฐ์ใหม่ และวิธีการใหม่นั้น ทั้งนักเรียนและครูไม่เคยรู้ หรือไม่เคยมีประสบการณ์
มากอ่ น (Unknown by All)
ลัดดา ภู่เกียรติ (2552) ได้สรุปความหมายว่า โครงงานเป็นวิธีการเรียนรู้ที่เกิดจากความสนใจใคร่รู้
ของนักเรียน ที่อยากจะค้นคว้าเกี่ยวกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือหลาย ๆ สิ่งที่สงสัย อยากรู้คำตอบให้ลึกซึ้งชัดเจน หรือ
ต้องการเรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ ให้มากกว่าเดิม โดยใช้ทักษะกระบวนการ และปัญญาหลาย ๆ ด้าน มีวิธีศึกษาอย่างเป็น
ระบบและมีขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง มีการวางแผนในการศึกษาอย่างละเอียดและลงมือปฏิบัติตามที่วางแผนไว้ จนได้
ขอ้ สรปุ ผลการศึกษา หรอื คำตอบเกย่ี วกับเร่ืองนั้น ๆ
สรุปการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (PBL) หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้นักเรียน
ได้ทำการศึกษาค้นคว้า และฝึกปฏิบัติด้วยตนเองตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจ โดยอาศัยกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์ไปใช้ในการศึกษาหาคำตอบ โดยมีครูคอยกระตุ้นแนะนำ และให้คำปรึกษาแก่นักเรียนอย่างใกล้ชิด
โดยในการจัดการเรียนรู้ครั้งนี้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (PBL) 6 ขั้นตอน ได้แก่ Define, Plan, Do,
Review, Present, และ Service and Expand
43
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
7.2 จดุ มุ่งหมายของโครงงานวิทยาศาสตร์
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2550) และวิมลศรี สุวรรณรัตน์ (2552) กล่าวถึง
จดุ ม่งุ หมายของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ ไวด้ ังน้ี
1. เพ่อื ให้นักเรยี นใช้ความรูค้ วามสามารถนำวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์และประสบการณ์ เลือกทำโครงงาน
วิทยาศาสตรเ์ พื่อแกป้ ัญหาตามที่ตนเองสนใจ
2. เพื่อให้นกั เรยี นไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ หาขอ้ มูลจากแหล่งความร้ตู ่าง ๆ ดว้ ยตนเอง
3. เพื่อให้นกั เรียนได้แสดงออกซึง่ ความคดิ รเิ ริม่ สรา้ งสรรค์
4. เพื่อให้นักเรียนมีเจตคติทางวิทยาศาสตร์และเห็นคุณค่าของการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ในการ
แก้ปญั หา
5. เพื่อให้นกั เรียนมองเห็นแนวทางในการประยุกต์ใชว้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีแต่ละท้องถ่ิน
7.3 ประเภทของโครงงานวิทยาศาสตร์
โครงงานมหี ลายประเภท โดยท่วั ไปจะแบง่ ตามลักษณะการจัดกจิ กรรม ดังนี้
1. โครงงานประเภทสำรวจ
โครงงานประเภทนี้ เป็นกิจกรรมการศึกษาและรวบรวมข้อมูลจากสิ่งต่าง ๆ ที่สนใจอยากรู้ตามธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม ความสัมพันธ์กับชีวิตและสังคม มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาหาความรู้ โดยวิธีการ สำรวจ การสังเกต
การวัด การนับ หรือการชัง่ แลว้ นำข้อมลู เหล่าน้ันมาจัดกระทำจำแนกเปน็ หมวดหมู่ แล้วนำเสนอในรูปแบบใหม่ ๆ ไม่มกี ารจัด
หรือกำหนดตัวแปรอิสระ เช่น โครงงานสำรวจต้นไม้ในโรงเรียน โครงงานสำรวจผู้รู้ในชุมชน โครงงานสำรวจความตอ้ งการ
ของนักเรียนในการใช้น้ำ โครงงานศึกษาสภาวะอากาศ ณ สถานีตรวจอากาศโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี โครงงาน
ศึกษาการเจริญเติบโตของหนอนปลอกน้ำ โครงงานศึกษาความชื้นสัมพัทธ์อากาศ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย สระบุรี
เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าโครงงานประเภทนี้ จะได้ประโยชน์ค่อนข้างน้อย แต่ก็มีความจำเป็นในการศึกษา
เพื่อเป็นพื้นฐานการเรียนรู้ได้เป็นอยา่ งดี การศึกษาโครงงานประเภทนี้หากมีการเก็บรวบรวมข้อมลู ยาวนาน ก็สามารถ
นำไปใชป้ ระโยชนใ์ นเชงิ พยากรณไ์ ดเ้ ชน่ กัน
2. โครงงานประเภททดลอง
โครงงานประเภทน้ี เปน็ การศึกษาหาคำตอบปญั หาใดปัญหาหนึ่ง หรือสงิ่ ที่สนใจอยากรู้ โดยการออกแบบ
การทดลองเพอื่ ศึกษาผลของตัวแปรต้นหรอื ตัวแปรอิสระที่มีผลต่อตัวแปรตาม มกี ารควบคมุ ตวั แปรอ่ืน ๆ ท่ีไม่ต้องการ
ศึกษา ที่ส่งผลให้การศึกษาคลาดเคลื่อน ขั้นตอนการทำโครงงานประเภทนี้ จะต้องมีการกำหนดปัญหา ตั้งสมมติฐาน
ออกแบบการทดลอง และดำเนินงานทดลองเพื่อหาคำตอบของปัญหาที่ต้องการทราบเพื่อตรวจสอบสมมติฐานที่ตั้งไว้
แปรผล และสรปุ ผล
การศึกษาทางวิทยาศาสตรไ์ ด้แบง่ ตัวแปร ออกเปน็ 3 ประเภท คอื
ตวั แปรต้นหรือตวั แปรอิสระ หมายถึง สิ่งทีเ่ ราต้องการจะศึกษา
ตวั แปรตาม หมายถงึ สิ่งทีเ่ ราต้องการจะวัดหรือ ผลการทดลอง
ตัวแปรควบคุม หมายถึง สง่ิ ทไี่ มต่ อ้ งการจะศึกษา แต่สิง่ น้ันจะไปมีผลทำใหต้ ัวแปรตามคลาดเคล่ือน
44
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
ข้อควรคำนงึ ในการทำโครงงานประเภทการทดลองมี ดังนี้
1. มคี วามร้แู ละทักษะในการใชอ้ ุปกรณ์พ้ืนฐานและทักษะในวิธีการทดลองเพียงพอในเร่อื งท่ีจะศึกษา
2. มแี หลง่ ความรเู้ พียงพอทจี่ ะคน้ ควา้ หรือขอคำปรึกษา
3. วัสดุอุปกรณ์ในการทดลองที่จำเป็นสามารถจัดหาหรือจัดทำขึ้นมาได้
4. มเี วลาเพยี งพอในการจัดทำโครงงาน
5. มีความปลอดภัยระหวา่ งการปฏบิ ตั งิ าน
6. มีงบประมาณ
โครงงานประเภทการทดลอง เช่น โครงงานศึกษาการงอกของเมล็ดพืช โครงงานการทำกล้วยตาก
โครงงานเปรียบเทียบการเจริญเติบโตของต้นทานตะวัน เปน็ ตน้
3. โครงงานประเภทสง่ิ ประดษิ ฐ์
โครงงานประเภทนี้ อาจเป็นการพัฒนาหรือประดิษฐ์เครือ่ งมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์ต่าง ๆ ให้ใช้งานได้
ตามวัตถุประสงค์ อาจเป็นการประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยมีมาก่อนหรือการปรับปรุงอุปกรณ์ที่มีอยู่แล้วให้ดีกว่าเดมิ
รวมทั้งอาจเปน็ การเสนอหรือสร้างแบบจำลอง ความคิดเพ่ือแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่ง เช่นโครงงานการสร้างแบบจำลอง
บ้านทใี่ ช้พลงั งานแสงอาทติ ย์ โครงงานสร้างแบบจำลองเตาเผาขยะไร้ควัน โครงงานสร้างเครื่องมอื ดูดควนั จากห้องครัว
เป็นตน้
โครงงานสิ่งประดษิ ฐ์จะมกี ารกำหนดตัวแปรท่จี ะศกึ ษา ดงั น้ี
ตัวแปรต้น ส่วนใหญ่จะศึกษาในด้าน รูปทรง หรือ โครงสร้างที่เหมาะสมกับสิ่งประดิษฐ์ ชนิดของ
วัสดุท่เี หมาะสมในการทำสง่ิ ประดิษฐ์
ตัวแปรตาม ส่วนใหญ่จะวัดคุณภาพของสิ่งประดิษฐ์ ซึ่งกำหนดเกณฑ์ การวัดตามลักษณะของ
การใชง้ าน
ตวั อยา่ ง โครงงานเครือ่ งฟกั ไข่ การทำโครงงานควรแบง่ ขนั้ ตอน ดังนี้
ขน้ั ท่ี 1 : หารปู ทรงท่เี หมาะสม
ตัวแปรต้น : รปู ทรงของเครื่องฟักไข่แบบต่าง ๆ
ตัวแปรตาม : ความสะดวกของการใชง้ าน การประหยัดไฟ รอ้ ยละของไข่ทฟี่ ัก
ตวั แปรควบคุม : ขนาดของขดลวดเท่ากัน ความรอ้ นเท่ากัน ขนาดไข่ใกล้เคยี งกัน พนั ธุแ์ ม่ไก่
อายเุ ท่า ๆ กนั การเล้ียงเหมอื นกัน วสั ดุทำเครอื่ งฟกั ไข่เหมอื นกัน
ข้ันท่ี 2 : การหาวสั ดุท่เี หมาะสมสำหรับเป็นฉนวนป้องกันการสูญเสียความรอ้ นของเคร่อื งฟัก
ตวั แปรต้น : วสั ดชุ นิดตา่ ง ๆ ที่ใชเ้ ป็นฉนวน
ตัวแปรตาม : การเก็บรักษาอุณหภูมิ ประหยัดไฟ รอ้ ยละของไขท่ ฟี่ ัก
ตัวแปรควบคุม : ขนาดของขดลวดเท่ากัน ความรอ้ นเท่ากัน ขนาดไข่ใกล้เคียงกัน พันธแุ์ ม่ไก่
อายุเท่า ๆ กัน การเล้ยี งเหมอื นกัน วัสดุทำเครอื่ งฟกั ไข่เหมอื นกัน
ขัน้ ที่ 3 : การหาความต้านทานของลวดท่ีเหมาะสม
ตัวแปรตน้ : ขนาดของขดลวดท่มี คี วามต้านทานตา่ ง ๆ กัน
ตวั แปรตาม : อุณหภูมิของเคร่ืองฟกั การประหยัดไฟ
ตัวแปรควบคุม : รูปทรง ฉนวน
45
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน
โครงงานสิ่งประดิษฐ์อาจเป็นของจริงหรือแบบจำลองก็ได้ แต่ทั้งสองอย่างต้องแสดงให้เห็นการทำงาน
เสมอื นจริงได้ และสง่ิ ทีค่ วรคำนงึ ถงึ ในการออกแบบและการทำโครงงานสงิ่ ประดษิ ฐ์ มีดังน้ี
1. การนำไปใช้ประโยชน์
2. การประหยัด
3. ความทนทาน
4. การใชว้ ัสดุ
5. ความสวยงาม
4. โครงงานประเภททฤษฎี
โครงงานประเภทนี้ เป็นโครงงานทเ่ี สนอแนวความคดิ ใหม่ ๆ ในการอธบิ ายเรอ่ื งใดเร่อื งหนง่ึ อย่างมีเหตุผล
โดยนำหลักการทางวทิ ยาศาสตรห์ รอื ทฤษฎสี นับสนุน เสนอแนวคดิ ทฤษฎีใหม่ ๆ ซง่ึ อาจจะอย่ใู นรปู แบบของสมการ สูตร
หรือคำอธิบายก็ได้ หรือเป็นการขยายทฤษฎีในรูปแบบที่ยังไม่มีผู้ใดคิดมาก่อน เช่น การอธิบายเรื่องราวการดำรงชีวติ
ในอวกาศของมนุษย์ การกำเนิดของแผ่นดินไหวในประเทศไทย ทฤษฎีของจำนวนและตัวเลข การศึกษาระยะห่างของ
ดาราจักรด้วยเซฟีด การศึกษาขนาดของโลกดว้ ยการโคจรของดวงจันทร์บริวาร เปน็ ต้น
การทำโครงงานประเภทนี้ ผู้ทำต้องมีพื้นฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นอย่างดี จะต้องศึกษาค้นคว้า
เร่อื งราวท่เี กี่ยวขอ้ งอย่างมากจึงจะสามารถสร้างคำอธบิ ายหรอื ทฤษฎไี ด้
7.4 ประโยชนข์ องโครงงานวิทยาศาสตร์
วมิ ลศรี สวุ รรณรตั น์ (2552) ไดก้ ลา่ วถงึ ประโยชนข์ องโครงงานไว้ ดังนี้
1. นกั เรยี นไดร้ จู้ กั ตอบปัญหาจากเร่ืองทีส่ นใจโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตรม์ าศกึ ษาค้นหาคําตอบ
2. ไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ หาความรใู้ นเรือ่ งทต่ี นสนใจไดอ้ ย่างลกึ ซ้งึ กว่าการสอนของครู
3. ทำให้นกั เรยี นได้แสดงความคิดเห็นของตนเอง
4. ทำให้นกั เรยี นได้สนใจเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้น้ันมากขึ้น และสามารถบูรณาการการเรียนรู้ได้มากขึ้น
5. นกั เรยี นไดใ้ ชเ้ วลาใหเ้ ป็นประโยชน์
ราตรี ทองสามสี (2548) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของการทำโครงงาน ดังนี้
1. กจิ กรรมโครงงานเหมาะสมแก่การศกึ ษาในยคุ ข้อมลู ขา่ วสาร
2. เปน็ กจิ กรรมทต่ี อบสนองความตอ้ งการของนักเรยี นได้เต็มที่
3. เกดิ ความรูจ้ รงิ ซง่ึ เกิดจากการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองโดยการทดลองปฏบิ ัตคิ น้ หา
4. เกดิ การเช่อื มโยงความร้ตู ่าง ๆ เขา้ ด้วยกนั
5. ฝกึ ให้นักเรยี นเปน็ คนคิดเป็น ทำเปน็ แก้ปญั หาเป็น
6. นักเรยี นได้พฒั นาความคดิ สร้างสรรค์และเกิดความภาคภูมใิ จทที่ ำงานสำเร็จ
7. นักเรยี นเกดิ ความสนุกสนานจากการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองตามความสนใจ
8. ช่วยสนบั สนุนให้นักเรยี นเปน็ นกั คน้ ควา้ (นกั วทิ ยาศาสตร)์
46
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
จากการศกึ ษาประโยชน์ของการทำโครงงาน สามารถสรุปได้ ดังน้ี
1. เปน็ การศกึ ษา คน้ พบองคค์ วามรู้ต่างๆทสี่ ามารถนํามาประยุกต์ใช้ได้
2. เป็นการตอบปัญหาขอ้ สงสยั โดยอธิบาย ดว้ ยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
3. สามารถนําทกั ษะกระบวนการทไ่ี ดจ้ ากการเรยี นรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวนั
4. สามารถทำงานร่วมกบั ผู้อ่ืนได้
7.5 ข้ันตอนของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์
สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (2560) ได้สรปุ ขั้นตอนของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์
ไว้ 7 ขนั้ ดังน้ี
1. สำรวจและตัดสนิ ใจเลือกเร่อื งท่จี ะทำโครงงาน
2. ศกึ ษาขอ้ มูลทเ่ี กย่ี วข้องกับเรอ่ื งทจี่ ะทำจากเอกสารและแหล่งขอ้ มูลต่าง ๆ
3. วางแผนการทดลอง การใช้วัสดุอุปกรณแ์ ละระยะเวลาในการดำเนนิ งาน
4. เขียนเค้าโครงของโครงงานวิทยาศาสตร์
5. ลงมือศึกษาทดลอง วเิ คราะห์ขอ้ มูล และสรปุ ผล
6. เขยี นรายงานโครงงานวิทยาศาสตร์
7. เสนอผลงานของโครงงานวิทยาศาสตร์
7.6 การได้มาของโครงงานวทิ ยาศาสตร์
หัวขอ้ เร่อื งของโครงงานวิทยาศาสตรม์ กั จะได้มาจากปญั หา คำถาม หรือความอยากร้อู ยากเหน็ เกยี่ วกับเร่ือง
ต่าง ๆ ของผู้ที่จะทำโครงงานวิทยาศาสตร์นั่นเอง และกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งสามารถรวบรวมแหล่งที่มาของหัวข้อโครงงานได้
ดงั นี้
1. ปญั หาใกล้ตวั
2. ความสงสยั อยากรู้อยากเหน็
3. ปญั หาในทอ้ งถิน่
4. การสงั เกตสิง่ ต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว
5. คำบอกเลา่ หรอื จากการฟังบรรยาย
6. การไปศกึ ษาดงู าน
7. การทดลองเลน่ หรอื ทดลองวิทยาศาสตร์
8. ความสนใจส่วนตัว
9. ความรูใ้ นแบบเรยี น
10. การต้ังคำถามของครู
11. รวมบทคดั ยอ่ หรอื โครงงานวทิ ยาศาสตรอ์ น่ื ท่ีเคยมผี ูท้ ำไว้
12. ตัง้ คำถามของตนเอง
47
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน
7.7 การวเิ คราะหส์ ถานการณป์ ญั หา
การแก้ปัญหาเป็นกิจกรรมพื้นฐาน ในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ปัญหาบางปัญหาเราสามารถหาทาง
แก้ปัญหาได้ทันที แต่บางปัญหาอาจต้องใช้เวลานานในการค้นหาคำตอบ ซึ่งคำตอบที่ได้ต้องพิสูจน์ได้ว่า เป็นคำตอบ
ที่ถูกต้อง น่าเชื่อถือและสามารถนำไปอ้างอิงต่อได้ การแก้ปัญหาของแต่ละบุคคลมีขั้นตอน และใช้เวลาที่แตกต่างกัน
เน่ืองจากความรแู้ ละประสบการณจ์ ะสง่ ผลตอ่ ความสามารถในการแกป้ ัญหา
ข้ันตอนการแก้ปัญหา 4 ขน้ั ตอน มดี งั นี้
ขั้นตอนที่ 1 การวเิ คราะห์และกำหนดรายละเอยี ดของปญั หา
1.1 ส่ิงที่ตอ้ งการคอื อะไร
1.2 ขอ้ มลู ทีก่ ำหนดให้มีอะไรบ้าง
พิจารณาข้อมูลและเง่ือนไขที่กำหนดให้เพียงพอท่ีจะหาคำตอบของปัญหาหรือไม่ ถ้าไม่เพียงพอควรหา
ขอ้ มูลเพม่ิ เตมิ
ข้ันตอนท่ี 2 การวางแผนในการแก้ปัญหา
เมือ่ ทำความเข้าใจแลว้ ควรวางแผนในการแกป้ ัญหาด้วยการเลอื กใชเ้ ครอื่ งมอื และวิธกี ารเพื่อให้ได้
ซึ่งคำตอบ ประสบการณ์จะนำมาใช้ในขั้นตอนนี้ "เคยแก้ปัญหาในลักษณะนี้หรือไม่" ในกรณีที่มีประสบการณ์มาก่อน ควรใช้
ประสบการณ์มาเปน็ แนวทางในการแก้ปญั หาโดยปรับปรุงใหเ้ หมาะสมกบั ปัญหาใหม่
ขั้นตอนท่ี 3 การดำเนนิ งานแกไ้ ขปัญหา
เม่อื วางแผนในขนั้ ตอนท่ี 2 แลว้ จึงดำเนนิ งานเพอ่ื แก้ปญั หา
ข้ันตอนที่ 4 การตรวจสอบและปรับปรงุ
เมื่อดำเนินงานตามขั้นตอนที่ 3 แล้ว จึงนำผลมาตรวจสอบว่าแก้ปัญหาได้หรือไม่ ถ้าแก้ได้ถือว่า
สำเร็จ แต่ถา้ แก้ไมไ่ ด้ จะต้องมวี ธิ ปี รบั ปรงุ ให้ดีขึ้น
ตวั อยา่ งท่ี 1 วุ้นเสน้ สงั เกตเห็น นกพิราบมาถ่ายมลู ท่ีหนา้ ระเบียงหอ้ งเรยี นเป็นประจำ ซงึ่ มลู ของนกพิราบ
เปน็ ปัญหาใหก้ บั โรงเรยี น คือ สรา้ งความสกปรก และก่อให้เกิดเช้อื โรค
1. ปัญหา คือ นกพริ าบมาถ่ายมูลทำให้สกปรก และเกิดเชื้อโรค
2. ที่มาของปัญหา คือ ปัญหาสง่ิ แวดลอ้ มในท้องถ่ิน
3. เรอ่ื งทจ่ี ะทำ คือ เครื่องไล่นกพริ าบ
ตัวอย่างที่ 2 เด็ก ๆ ได้วิ่งเล่นบริเวณโรงอาหาร สังเกตเห็นท่อน้ำทิ้งมีคราบของน้ำมันจากการล้างจาน
และประกอบอาหารเปน็ จำนวนมาก ทำให้สง่ กลิ่นเหม็น
1. ปัญหา คือ กลิ่นเหม็นท่อนำ้ ทิ้ง
2. ท่ีมาของปญั หา คอื เร่อื งใกลต้ วั
3. เรอ่ื งท่ีจะทำ คือ อุปกรณ์ดักคราบนำ้ มัน
7.8 การศกึ ษาเอกสารทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
1. จุดมุ่งหมายในการศกึ ษาเอกสารทเ่ี กย่ี วขอ้ ง เพอ่ื หาข้อมูลใชใ้ นการกำหนดวางแผนกรอบโครงงานของ
ตนเอง โดยมงุ่ ศกึ ษาสว่ นท่เี กย่ี วข้องและสมั พนั ธ์โครงงานของตนเอง ดงั ขนั้ ตอนต่อไปน้ี
1.1 ค้นหาเอกสารที่เก่ยี วข้องกบั ปัญหาทตี่ อ้ งการศึกษา
48
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
1.2 สร้างความชัดเจนและกระจ่างในปัญหาของโครงงาน
1.3 เปน็ แนวทางในการตอบคำถามการจัดทำโครงงาน
1.4 หลีกเลีย่ งการทำโครงงานซำ้ โดยไมจ่ ำเปน็
1.5 เป็นแนวทางในการวางแผนและออกแบบการทำโครงงาน
2. แหล่งการค้นคว้าเอกสารที่เกี่ยวข้อง นับว่ามีความสำคัญอย่างมากในการค้นคว้าศึกษาเพิ่มเติม ในส่วน
ท่ีเกีย่ วข้องกับโครงงานของตนเอง ซ่ึงสามารถสรุปไดด้ ังนี้
2.1 ประเภทตำราหรอื บทความทางวิชาการ
1) หนงั สอื หรือตำรา
2) วารสาร
3) สารานกุ รม
4) เอกสารรายงานการประชมุ สัมมนาต่าง ๆ
2.2 ประเภทงานวจิ ยั ลกั ษณะงานวจิ ัยทเ่ี หมาะสมต่อการคน้ ควา้ มีดังนี้
1) รายงานวจิ ยั ท่บี คุ คลหรือสถาบันหรือหนว่ ยงานใดหน่วยงานหนึง่ จดั ทำขนึ้
2) งานวจิ ยั เป็นผลงานของนักศึกษาเรียกวา่ "วทิ ยานพิ นธ"์ หรือ"ปรญิ ญานิพนธ"์
3) หนงั สือรวบรวมผลงานวิจยั
3. หลักการเขียนรายงานของโครงงาน คือ การกำหนดขอบเขตการศึกษาที่เกี่ยวเน่ืองกับนวัตกรรม ที่สร้าง
หรือพัฒนาเป็นการศึกษาความสำคัญและที่มาของปัญหาของโครงงานแบบกว้าง ๆ ช่วยให้ผู้จัดทำโครงงานสามารถ
เขียนส่วนต่าง ๆ ของโครงงานได้ โดยกำหนดหัวข้อใหญ่ หัวข้อรอง และหัวข้อย่อยของเนื้อหาสาระที่จะศึกษาก่อน
แนวทางการกำหนดหัวข้อควรยึดตามปัญหาของโครงงานหลัก (ชื่อเรื่อง) และปัญหาของโครงงานรอง (วัตถุประสงค์
ของการทำโครงงาน) เปน็ หลักในการนำเสนอเนือ้ หาและเปน็ ทิศทางในการอภิปรายของโครงงานต่าง ๆ ทรี่ วบรวมไว้
7.9 การออกแบบชน้ิ งาน
การออกแบบชิ้นงาน เป็นการสร้างรูปลักษณ์ของชิ้นงาน โดยอาศัยความคิดสร้างสรรค์ ความรู้ความเข้าใจ
ในหลกั การออกแบบและนำมาใช้ ทำให้การออกแบบชิ้นงานน้ันมคี ณุ ค่าและน่าสนใจ
1. การออกแบบ หมายถงึ การทำต้นแบบ หรือการทำโครงสร้างของชิ้นงานท่ีต้องการจัดทำ เพอ่ื ให้ได้ผลงาน
สำเรจ็ ตามทม่ี งุ่ หวงั โดยการเลือกวัสดุ เลือกสีทน่ี ำมาใช้ใหเ้ หมาะสมสวยงาม
2. ท่ีมาของการออกแบบช้นิ งาน
2.1 การศกึ ษาแบบของงานทีต่ นเองสนใจจากแหล่งข้อมลู ต่าง ๆ
2.2 การดัดแปลงแบบที่มีอยู่เดิม หรือแบบตัวอย่างโดยทำการศึกษาแบบ จนเกิดความเข้าใจ
จึงปฏิบัติการสร้างแบบ โดยการนำเอาแนวความคิดหรอื ความคิดสร้างสรรค์ของตนเองไปผสมผสานทำให้ได้แบบท่ีเปน็
เอกลกั ษณ์เฉพาะไม่เหมือนใคร
2.3 การออกแบบด้วยตนเองคือการออกแบบที่เกิดจากแนวคิดของตนเอง และทดลองปฏิบัติสร้าง
แบบจนไดแ้ บบทส่ี วยงาม เหมาะสมตามความตอ้ งการ
49
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน
ตัวอยา่ งการออกแบบ
ภาพ 10 อุปกรณด์ ักคราบน้ำมันจากเส้นใยของพืช
ท่มี า : https://striphousenewjersey.com/ถังดักไขมัน/
7.10 โครงรา่ งของโครงงานวทิ ยาศาสตร์
การเขียนโครงร่างของโครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นการวางแผน กำหนดวิธีทดลองหรือดำเนินงานไว้
ล่วงหน้า เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติ สามารถดำเนินงานตามขั้นตอนได้โดยไม่สับสน ทำให้การทำโครงงานวิทยาศาสตร์
สำเรจ็ ดว้ ยดี
วิธกี ารเขียนโครงรา่ งของโครงงานวทิ ยาศาสตร์
1. ชื่อโครงงาน ควรเป็นข้อความที่กะทัดรัด ชัดเจน สื่อความหมายตรง และมีความเฉพาะเจาะจงว่าจะ
ศึกษาอะไร
2. ชอ่ื ผู้ทำโครงงาน อาจเปน็ รายบุคคลหรือเปน็ กลมุ่ กไ็ ด้
3. ช่ือทป่ี รึกษาโครงงาน ครู อาจารย์ หรือผทู้ รงคุณวุฒิในท้องถ่นิ ทำหนา้ ทีเ่ ป็นที่ปรึกษา ควบคุมการทำ
โครงงานของนกั เรยี น
4. ที่มาและความสำคัญของโครงงาน อธิบายว่าเหตุใดจึงเลือกทำโครงงานนี้ โครงงานเรื่องนี้
มคี วามสำคัญอย่างไร มหี ลักการหรือทฤษฎอี ะไรท่ีเกย่ี วขอ้ ง เรื่องที่ทำเป็นเร่ืองใหมห่ รือมีผู้อื่นได้เคยศึกษาค้นคว้าเรื่อง
ทำนองนี้ไว้บ้างแล้ว ถ้ามีแลว้ ได้ผลเปน็ อยา่ งไร เร่ืองที่ทำนไ้ี ด้ขยายเพิ่มเติมปรบั ปรุงจากเรอื่ งทผ่ี ้อู ่ืนทำไว้อย่างไร หรือเป็น
การทำซำ้ เพ่ือตรวจสอบผล
5. วัตถุประสงค์ของการศึกษา เป็นการระบุความต้องการในการศึกษาหรือต้องการรู้อะไร ซึ่งอาจเขียนเป็นขอ้ ๆ
โดยเขยี นให้สอดคล้องกับสิ่งท่ีต้องการศกึ ษาหรือทดลอง ต้องเขยี นใหช้ ัดเจน ไมย่ ืดยาว และจำนวนขอ้ ไม่มากเกินไป
6. ขอบเขตของโครงงานที่จะทำการศึกษา ให้เขียนบรรยายว่า โครงงานที่เลือกศึกษานั้นยากหรือง่าย และ
ต้องใช้เวลาในการศึกษามากนอ้ ยเพียงใด จำเป็นท่ีจะตอ้ งใช้อปุ กรณห์ รือเครอ่ื งมอื ทม่ี ีราคาแพง ในการเกบ็ รวบรวมข้อมูลหรือไม่
ต้องใช้วัสดุที่มีราคาแพงหรือหายากเพียงใด หรือบอกข้อจำกัดในการเก็บข้อมูลด้วย เช่น จะศึกษาเฉพาะด้านใดบ้าง
ทำไมจงึ ศึกษาเพียงเท่านน้ั ประชากรหรือตัวอย่างในการทดลอง หรอื ผู้ทเ่ี ราขอข้อมูล เป็นใคร มาจากท่ีไหน อยู่ระดับใด
หรอื จำนวนเท่าใด เปน็ ตน้
50
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
7. สมมติฐานของการศึกษา เป็นคำตอบหรือคำอธิบายที่คาดไว้ล่วงหน้า ซึ่งอาจจะถูกหรือไม่ก็ได้
การเขียนสมมติฐานควรมีเหตุผล คือ มีทฤษฎีหรือหลักการทางวิทยาศาสตร์รองรับและเป็นข้อความที่มองเห็นแนว
ในการดำเนินงานทดลองหรอื สามารถทดสอบได้
8. วิธีดำเนนิ งาน
8.1 วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องใช้ ระบุว่า วัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องใช้มีอะไรบ้าง วัสดุอุปกรณ์เหล่านั้น
มาจากไหน วัสดุอุปกรณ์ใดบา้ งทต่ี อ้ งจดั ซ้ือ อะไรบ้างที่ต้องจัดทำเอง อะไรบ้างทีข่ อยมื ได้
8.2 วิธีการศึกษาค้นคว้า อธิบายว่าจะออกแบบการทดลองอะไร อย่างไร จะสร้างหรอื ประดิษฐ์อะไร
อยา่ งไร จะเกบ็ ข้อมลู อะไรบ้าง
8.3 แผนปฏิบัติงาน (ช่วงเวลาในการทำงาน) ต้องกำหนดตามหัวข้อ คือ การศึกษาค้นคว้าข้อมูล
เพ่มิ เติม (เอกสารทีเ่ กีย่ วข้อง) การเขียนโครงร่างโครงงาน ลงมือทำการทดลอง อภิปรายและสรุปผลข้อมูล เขยี นรายงาน
9. ผลที่คาดว่าจะได้รับ เขียนประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ทั้งที่จะได้กับตนเอง เพื่อน หรือผู้อื่นให้ชัดเจนว่า
เม่อื ทำโครงงานวทิ ยาศาสตร์เร่ืองดงั กล่าวแลว้ จะได้รับประโยชนอ์ ะไร
10. เอกสารอ้างอิงหรือบรรณานุกรม เป็นรายการที่ใช้ในงานค้นคว้าประกอบในการเขียนรายงาน หรือ
งานวิจยั เพอื่ แสดงใหเ้ หน็ วา่ รายงานหรอื งานวิจัยฉบบั น้ีเป็นรายงานทมี่ ีเหตุ มผี ล มีสาระ น่าเชอ่ื ถือได้
7.11 การสรุปและอภิปรายผลการดำเนินงานของโครงงาน
การสรุปผลการดำเนินงาน เป็นการฝึกให้นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษามาสรุปผลโดยใช้กระบวนการจำแนก
วเิ คราะห์ สังเคราะห์ สรุปขอ้ คดิ เห็น โดยม่งุ เน้นให้นำข้อมลู ที่ได้คน้ พบมาสรปุ ผลข้อเท็จจริงจากการท่ีได้คน้ คว้า เพ่ือตอบ
วตั ถปุ ระสงค์ทต่ี อ้ งการศึกษาอยากรู้
การสรุปผลการดำเนินงาน จะต้องนำข้อมูลที่ได้จากการการดำเนินงาน มาจัดกระทำแล้วแต่ลักษณะของ
ข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การจำแนก การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การหาค่าความถี่ การเชื่อมโยงความสัมพันธ์
การหาค่าร้อยละ ฯลฯ เพอื่ ทำการสรุปผลการดำเนินงาน
ในการสรุปผลที่ได้ สามารถนำเสนอการสรุปผลได้หลากหลายตามความเหมาะสม เช่น การนำเสนอรายงาน
การเขียนรายงานโครงงาน การจัดทำแฟ้มสะสมผลงาน การจัดนิทรรศการ ฯลฯ ซ่ึงการสรุปผลการศึกษาค้นคว้า
มีแนวคดิ ทีส่ ำคัญในการสรปุ ผล ดังน้ี
1. หลักในการสรุปผลการดำเนินงาน จะต้องสรุปผลโดยคำนงึ ถึงหลักในการสรุป ดงั น้ี
1.1 ต้องตอบวัตถุประสงค์ (คำถามที่อยากรู้ สงสัย เป็นปัญหา) ที่ต้องการศึกษาค้นคว้าในการจัดทำ
โครงงานให้ได้ครบทกุ ขอ้ ท้งั ในดา้ นกระบวนการและผลท่ไี ดค้ ้นพบจากการศึกษาคน้ คว้า
1.2 ถา้ มขี ้อคน้ พบทม่ี ากกวา่ วตั ถุประสงคท์ ่ตี ้องการศกึ ษา กค็ วรนำเสนอขอ้ ค้นพบไวด้ ว้ ย
2. วธิ ีการสรุปผลการดำเนินงาน มวี ิธกี ารสรปุ ดังนี้
2.1 การสรุปผลเป็นความเรยี ง
2.2 การสรปุ ผลเรียงลำดบั เปน็ ขอ้ ๆ
2.3 สรปุ เป็นแผนผงั ความคดิ ประกอบคำอธิบาย
51
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
ตวั อยา่ ง สรปุ ผลการดำเนนิ งาน
โครงงานเร่ือง อปุ กรณ์ดักจับคราบนำ้ มนั จากเสน้ ใยของพืช
วตั ถปุ ระสงค์ของโครงงาน
1. เพอ่ื ประดษิ ฐอ์ ปุ กรณด์ ักคราบน้ำมนั จากเส้นใยของพืช
2. เพอื่ เปรียบเทยี บประสิทธภิ าพของเส้นใยพืชแต่ละชนิดทมี่ ผี ลตอ่ การดักจับคราบน้ำมนั
สรุปผลการดำเนนิ งาน
อุปกรณ์ดักจับคราบน้ำมันที่ทำจากเส้นใยมะพร้าวแห้งมีประสิทธิภาพในการดักจับคราบน้ำมัน
ได้ดีที่สุด คิดเป็นร้อยละ 80 รองลงมาเป็นเส้นใยกาบกล้วย คิดเป็นร้อยละ 50 และเส้นใยฟางข้าว คิดเป็นร้อยละ 20
ตามลำดบั
อภปิ รายผลการดำเนินงาน
1. อภิปรายผลการดำเนินงานเขียนเรียงตามวัตถุประสงค์ของโครงงาน โดยเสนอผลการดำเนินงาน
ในภาพรวม เพื่อตอบวัตถุประสงค์ของโครงงาน และถ้าวัตถุประสงค์ของโครงงานดังกล่าวมีสมมติฐาน ให้ระบุว่า
ผลการดำเนินงานเป็นไปตามสมมติฐานหรือไม่
2. อภิปรายผลการดำเนินงานว่าที่เป็นผลดังนั้น เพราะเหตุใด สอดคล้องและไม่สอดคล้องกับงานวิจัย
ของใคร เพราะเหตุใด อาจจะเสนอข้อมูลประกอบเพอื่ การยนื ยันตามหลักการ แนวคิดทฤษฎีของนักวิชาการ เพ่ือให้เกิด
ความนา่ เชอ่ื ถอื โดยเขยี นเป็นความเรียง
3. คำกล่าวหรืองานวจิ ยั ทน่ี ำมาอา้ งองิ เพ่ือประกอบการอภิปรายผลตอ้ งมีสาระอยู่ในเอกสารทเ่ี กี่ยวข้อง
ตวั อยา่ ง การอภปิ รายผลการดำเนนิ งาน
โครงงานเรือ่ ง อปุ กรณด์ กั จบั คราบนำ้ มันจากเสน้ ใยของพชื
วตั ถปุ ระสงค์ของโครงงาน
1. เพือ่ ประดษิ ฐอ์ ุปกรณ์ดกั คราบน้ำมันจากเส้นใยของพืช
2. เพอ่ื เปรียบเทียบประสทิ ธภิ าพของเสน้ ใยพชื แต่ละชนิดทมี่ ีผลตอ่ การดักจบั คราบน้ำมัน
อภปิ รายผลการดำเนินงาน
จากการศึกษาประสิทธิภาพของอุปกรณ์ดักจับคราบน้ำมันจากเส้นใยของพืช พบว่า อุปกรณ์ดักจับคราบ
น้ำมันที่ทำจากเส้นใยมะพร้าวแห้ง สามารถดักจับคราบน้ำมันได้ดีกว่าเส้นใยกาบกล้วยและเส้นใยฟางข้าวตามลำดับ
เนื่องจากเส้นใยมะพร้าวแห้งมีความเหนียว มีรูพรุน และมีขุยมาก สอดคล้องกับการศึกษาลักษณะเส้นใยจากมะพร้าวแห้ง
ของ ศิริพร พงศ์สันติสุข (2541) ที่ได้ทำการศึกษาการขจัดคราบน้ำมันในน้ำโดยใช้วัสดุธรรมชาติเป็นตัวดูดซับ พบว่า
เส้นใยมะพร้าวแห้งสามารถขจัดคราบน้ำมันได้ วิวัฒน์ ตัณฑะพานิชกุล (2547) ได้ศึกษาการผลิตเซลลูโลสที่มีลักษณะ
คล้ายฟองนำ้ จากวสั ดุเหลอื ใช้เพ่อื เปน็ ตวั ดูดซบั และหรือเรง่ ปฏิกิรยิ าในอุตสาหกรรมปิโตรเลยี ม และงานวจิ ยั ของ ไมตรี จริ ไมตรี
(2551) ไดท้ ำการศึกษา พัฒนาถังดกั ไขมันด้วยการดดู ซับด้วยกาบมะพร้าว ดังนัน้ เส้นใยจากกาบมะพร้าวจึงเหมาะสมท่ีจะ
นำมาทำอุปกรณ์ใชด้ ักจับคราบน้ำมนั ก่อนปล่อยน้ำทิง้ ลงในทอ่ ระบายนำ้ เปน็ การรักษาส่ิงแวดล้อมอีกทางหน่งึ
52
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
7.12 ประโยชนท์ ไ่ี ดร้ บั และขอ้ เสนอแนะของโครงงาน
ประโยชนท์ ่ีไดร้ ับ
เปน็ ความสำคญั ของการทำโครงงาน ทำให้ทราบผลการทำโครงงานเรื่องอะไร และผลการทำโครงงานนั้น
มีประโยชน์ตอ่ ใคร อย่างไร มีหลกั การเขียนดงั นี้
1. ควรให้สอดคล้องกับวตั ถุประสงค์และขอบเขตของการทำโครงงานทีไ่ ดศ้ กึ ษา
2. เขยี นดว้ ยขอ้ ความสั้น กะทัดรดั ชัดเจน
3. ถา้ มีประโยชนท์ ่ีไดร้ ับมากกวา่ 1 ขอ้ ควรระบเุ ปน็ ข้อ ไมค่ วรเขียนเป็นความเรยี ง
ขอ้ เสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะจากทำโครงงาน เป็นข้อเสนอแนะจากผลการทำโครงงานที่ผู้จัดทำต้องเขียนข้อเสนอแนะ
ตามผลการดำเนินงาน ประการสำคญั คือ ผ้จู ัดทำควรให้ขอ้ เสนอแนะในสิ่งทเ่ี ปน็ ไปได้ การเขยี นขอ้ เสนอแนะไม่ควรเขียนกว้าง
จนเกนิ ไป โดยผ้จู ดั ทำควรให้ขอ้ เสนอแนะทใี่ ห้คำตอบชัดเจนว่าผู้ท่เี ก่ียวขอ้ ง ควรทำอะไร ดว้ ยวิธีการหรอื แนวทางอย่างไร
2. ข้อเสนอแนะสำหรบั การทำโครงงานในคร้งั ตอ่ ไป โครงงานส่วนใหญ่มกั จะมขี อ้ จำกัดหรือขอ้ บกพร่องอยู่บ้าง
เนื่องจากผู้จัดทำไม่สามารถศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้ครอบคลุมหรือมีความสมบูรณ์ได้ทุกด้าน ทั้งนี้เพื่อให้โครงงาน
มีความสมบูรณ์หรือมีการพัฒนาต่อไป ผู้จัดทำอาจมีข้อเสนอแนะในการทำโครงงานในครั้งต่อไป เพื่อให้ผู้อื่ นที่สนใจ
ในหัวข้อใกล้เคียงสามารถ นำประเดน็ ทเี่ สนอแนะไวไ้ ปศึกษาเพ่ิมเตมิ ในอนาคต
โครงงานเร่ือง อปุ กรณ์ดกั จับคราบนำ้ มนั จากเสน้ ใยของพืช
วตั ถปุ ระสงคข์ องโครงงาน
1. เพอ่ื ประดิษฐอ์ ุปกรณ์ดักคราบนำ้ มันจากเสน้ ใยของพชื
2. เพอ่ื เปรียบเทยี บประสิทธิภาพของเส้นใยพืชแตล่ ะชนดิ ทีม่ ผี ลต่อการดกั จับคราบน้ำมัน
ประโยชน์ท่ไี ด้รบั
1. ได้กำจดั คราบนำ้ มนั กอ่ นระบายลงทอ่ นำ้ ท้งิ
2. ทอ่ ระบายนำ้ ทิง้ ไมม่ กี ล่ินเหม็นจากคราบนำ้ มัน
ขอ้ เสนอแนะ
1. นำวัสดุชนิดอื่น เช่น เศษขี้เลื้อย เส้นใยจากผักตบชวา เส้นใยจากฝ้าย เส้นใยจากนุ่นมาทดสอบ
ประสิทธิภาพในการดกั จับคราบนำ้ มัน
2. เปรยี บเทียบประสทิ ธภิ าพในการดักจบั คราบนำ้ มนั โดยเส้นใยของพืชกบั วิธชี ีวเคมีบำบัด
7.13 การนำเสนอและจัดแสดงผลงานโครงงานวิทยาศาสตร์
เมื่อทำโครงงานเสร็จแล้ว ต้องเตรียมเสนอผลงานและจดั แสดงผลงานท่ีได้ศึกษาคน้ คว้าเสร็จสิ้นแล้ว ให้ผู้อืน่ ได้รับรู้
เพื่อเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ครู นักเรียน ผู้ปกครอง หรือบุคคลอื่น ๆ ได้ทราบ ในงานสำคัญต่าง ๆ ซึ่งอาจทำได้
หลายรูปแบบ เช่น การบรรยายประกอบแผ่นใสหรือสไลด์ การสาธิตประกอบการแสดง การรายงานปากเปล่า หรือการบรรยาย
ประกอบแผงโครงงานการจัดนิทรรศการหรือป้ายนิเทศ การนำเสนอด้วยคอมพิวเตอร์ แต่ที่นิยมกันในปัจจุบันคือ
การนำเสนอด้วยแผงโครงงาน และการนำเสนอด้วยนทิ รรศการ
ในการนำเสนอโครงงานวิทยาศาสตร์ นักเรียนควรคำนึงถึงความเหมาะสมของเนื้อหา การจัดรูปแบบที่น่าสนใจ ใช้สี
ทส่ี ดใส เน้นจดุ สำคญั ใชต้ ารางและรปู ภาพประกอบ โดยจัดวางอยา่ งเหมาะสม ขอ้ ความถกู ต้อง สว่ นการอธิบายและการตอบคำถาม
หรือการรายงานปากเปล่า ควรคำนึงถึงความเหมาะสมของภาษา ควรให้ชัดเจนเข้าใจง่าย รายงานอย่างตรงไปตรงมา หลีกเลี่ยง
การอ่านรายงาน และควรรายงานให้เสรจ็ ภายในเวลาทีก่ ำหนด เพือ่ ใหผ้ ้อู ่ืนได้รับรู้ และเขา้ ใจโครงงานวิทยาศาสตรท์ นี่ ักเรียนจดั ทำข้ึน
53
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน
การแสดงผลงานนั้นอาจทำได้หลายรูปแบบ เช่น การแสดงในรูปนิทรรศการ ซึ่งมีทั้งการจัดแสดง และ
การอธิบายด้วยคำพูด หรือในรูปแบบของการจัดแสดงโดยไม่มีการอธิบายประกอบ หรือในรูปแบบของการรายงาน
ปากเปลา่ ไมว่ ่าการแสดงผลงานจะอยใู่ นรปู แบบใด ควรจัดทำให้ครอบคลุมประเดน็ สำคัญดังต่อไปนี้
1. ชอ่ื โครงงาน
2. ชื่อผู้ทำโครงงาน
3. ชื่ออาจารยท์ ่ีปรกึ ษาโครงงาน
4. ชือ่ โรงเรียน
5. ทม่ี าและความสำคัญ
6. สมมตฐิ าน
7. วตั ถุประสงค์
8. ตัวแปร
9. สารเคมี วัสดุอุปกรณ์
10. วธิ ีดำเนนิ งาน
11. ผลการศกึ ษา
12. สรปุ ผลการศกึ ษา
13. อภปิ รายผลการศกึ ษา
14. ประโยชน์
15. ขอ้ เสนอแนะ
16. การต่อยอดโครงงาน
ขอ้ คำนึงถึงในการจดั นิทรรศการโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ควรคำนงึ ถงึ สิ่งตา่ ง ๆ ต่อไปนี้
1. ความปลอดภยั ของการจดั แสดง
2. ความเหมาะสมกบั พ้นื ทีท่ ีจ่ ดั แสดง
3. คำอธิบายที่เขียนแสดง ควรเน้นเฉพาะประเด็นสำคญั และสิง่ ที่น่าสนใจเทา่ นั้น โดยใช้ข้อความกะทัดรดั
ชัดเจน และเข้าใจง่าย
4. ดึงดูดความสนใจของผู้เข้าชม โดยใช้รูปแบบการแสดงที่น่าสนใจ ใช้สีที่สดใส เน้นจุดสำคัญหรือใช้วัสดุต่าง ๆ
ในการจัดแสดง
5. ใชต้ ารางและรูปภาพประกอบ โดยจัดวางอยา่ งเหมาะสม
6. สง่ิ ท่ีแสดงทกุ อย่าง และการเขียนขอ้ ความถูกต้อง ไมม่ ีการสะกดผิดหรืออธิบายหลักการท่ีผิด
7. ในกรณีท่ีเป็นสิง่ ประดิษฐ์ สง่ิ นนั้ ควรอยใู่ นสภาพทท่ี ำงานไดอ้ ย่างสมบรู ณ์
ข้อคำนงึ ถงึ ในการอธบิ ายหรอื รายงานปากเปลา่ ควรคำนึงถงึ สง่ิ ต่าง ๆ ต่อไปน้ี
1. ตอ้ งทำความเขา้ ใจกบั เรือ่ งทีจ่ ะอธิบายเป็นอยา่ งดี
2. คำนึงถึงความเหมาะสมของภาษาท่ใี ชก้ ับระดับผู้ฟัง ควรให้ชดั เจนและเข้าใจงา่ ย
3. ควรรายงานอย่างตรงไปตรงมา ไมอ่ อ้ มค้อม
4. พยายามหลีกเลี่ยงการอ่านรายงาน แตอ่ าจจดหัวข้อสำคัญ ๆ ไว้ เพ่ือชว่ ยให้การรายงานเป็นไปตามขนั้ ตอน
5. อย่าทอ่ งจำรายงาน เพราะทำให้ดไู ม่เปน็ ธรรมชาติ
54
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
6. ขณะทร่ี ายงาน ควรมองตรงไปยงั ผู้ฟงั
7. เตรยี มตัวตอบคำถามที่เก่ยี วกับเรื่องนน้ั ๆ
8. ตอบคำถามอยา่ งตรงไปตรงมา ไมจ่ ำเปน็ ตอ้ งกล่าวถึงสง่ิ ท่ไี ม่ไดถ้ าม
9. หากติดขัดในการอธิบายควรยอมรบั โดยดี อย่ากลบเกล่อื นหรือหาทางเลี่ยงเปน็ อย่างอื่น
10. ควรรายงานใหเ้ สร็จภายในระยะเวลาท่ีกำหนด
11. ควรใชส้ ือ่ ประเภทโสตทศั นปู กรณ์ประกอบการรายงานด้วย เช่น คลิปวดี ิทศั นห์ รอื โปรแกรมนำเสนอ เป็นตน้
7.14 การนำเสนอและประเมนิ ผลงานการจัดการเรียนรโู้ ดยใช้โครงงานเป็นฐาน (PBL)
การนำเสนอผลงาน เมื่อทำโครงงานเสร็จแล้วต้องเตรียมนำเสนอผลงาน และจัดแสดงผลงานที่ได้
ศึกษาค้นควา้ เสร็จสิน้ แล้วใหผ้ อู้ ืน่ ได้รับรู้ เพือ่ เปน็ การเผยแพรแ่ ละประชาสมั พันธ์ให้แก่ครู นกั เรียน ผปู้ กครอง หรอื บคุ คล
อ่นื ๆ ไดท้ ราบในโอกาสต่าง ๆ ซึง่ อาจทำได้ 3 รปู แบบ ไดแ้ ก่
1. การบรรยายประกอบสื่อดจิ ิทลั
2. การบรรยายประกอบแผงโครงงาน
3. การจัดนทิ รรศการ
การนำเสนอที่นิยมกันในปัจจุบัน คือ การนำเสนอแบบบรรยายประกอบแผงแสดงโครงงาน และการนำเสนอด้วย
การจดั นิทรรศการ นักเรียนควรคำนึงถึงความสำคัญดงั ต่อไปนี้
1. การวางแผนการนำเสนอทดี่ ี
2. จดั โครงงานให้เปน็ ระเบยี บเรยี บรอ้ ย
3. การจัดรปู แบบใหน้ า่ สนใจ
4. มสี ีสนั สดใสสวยงาม
5. สามารถอา่ นไดช้ ดั เจนจากระยะไกล
6. สะกดคำใช้ไวยากรณถ์ กู ตอ้ ง
7. จดั วางตวั อกั ษรและรปู ภาพได้เหมาะสม
8. ขนาดของแผงโครงงานถูกต้องตามเกณฑ์กำหนด
การนำเสนอผลงานด้วยเทคนิค 5W1H (What, When, Where, Why, Who & How) หมายถึง ทำอะไร
เมอ่ื ไร ท่ีไหน ทำไม กับใคร อยา่ งไร ดังน้ี
1. นำเสนอถึงแรงบันดาลใจ ที่มาของโครงงานที่กำลังศึกษาโดยจะทำอะไรต่อ (What) ซึ่งหมายถึง หัวข้อ
ท่มี าและความสำคญั และวตั ถุประสงค์
2. นำเสนอให้ทราบถงึ การศึกษาเกดิ ขึน้ เมอ่ื ไร (When) ได้แก่ หวั ขอ้ ปญั หา สมมติฐาน และตัวแปรตา่ ง ๆ
3. นำเสนอให้ทราบถงึ ขอบเขตของการศึกษา (Where) สถานท่ีศึกษา และใช้ประชากรหรือกลุ่มตัวอยา่ งทไี่ หน
4. นำเสนอให้ทราบถึงขั้นตอนการดำเนินงานทดลอง สำรวจ หรอื ประดิษฐ์ได้อยา่ งไร (How)
5. นำเสนอผลการศึกษาของโครงงานวา่ ทำไมตอ้ งมีผลอย่างนั้น (Why)
6. นำเสนอใหท้ ราบถงึ ว่าใครได้รบั ประโยชนจ์ ากโครงงานนบี้ า้ ง (Who)
การประเมินสภาพความสำเรจ็ ของนกั เรยี นกบั การจดั การเรียนรู้โดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน (PBL)
วชั รนิ ทร์ โพธเ์ิ งิน, พรจติ ประทุมสวุ รรณ และสนั ติ หุตะมา (2557) ไดน้ ำเสนอดังนี้
55
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน
1. การประเมินการวางแผนการทำโครงงานของนักเรยี น หัวข้อท่คี วรประเมิน คอื
1.1 ชื่อเรอ่ื งสัมพันธก์ ับเนอ้ื หา
1.2 ช่อื เรอ่ื งสร้างสรรค์ชวนให้ติดตาม
1.3 คำถามเปน็ คำถามเพ่อื การค้นพบ
1.4 สมมติฐานแสดงถงึ พ้นื ฐานความร้เู ดมิ
1.5 การกำหนดวธิ กี ารศกึ ษาเหมาะสม สามารถหาคำตอบได้
1.6 แหลง่ ข้อมลู มีความเหมาะสมกับวธิ ีศึกษา
2. การประเมินผลสำเรจ็ ของโครงงาน หัวข้อทค่ี วรประเมิน คือ
2.1 ความคิดริเร่ิมสรา้ งสรรค์
2.2 ความถูกต้องเหมาะสมของวธิ กี ารศกึ ษาคน้ คว้า
2.3 ความถกู ตอ้ งของเน้อื หาสาระ
2.4 ความถูกตอ้ งในการสรุปผลขอ้ มลู โดยสรปุ จากข้อมลู ท่ไี ด้จากศกึ ษา
2.5 วิธนี ำเสนอผลการศึกษาสอดคล้องกับเนอ้ื หาสาระ
2.6 การเขียนรายงานหรอื จดั แสดงผลงานเหมาะสม
2.7 ความรว่ มมอื ของกลมุ่ /ความตง้ั ใจในการทำงาน
องค์ประกอบบนแผงสำหรบั แสดงการจัดการเรียนรู้โดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน (PBL)
แผงสำหรบั แสดงโครงงานวทิ ยาศาสตร์ แบ่งออกเปน็ 3 สว่ น ดงั น้ี
ส่วนท่ี 1 แผงทางดา้ นซ้าย ประกอบด้วย
1. ชือ่ โครงงานวิทยาศาสตร์ เป็นสง่ิ ทด่ี ึงดูดความสนใจผู้ชมมากทีส่ ุด ตอ้ งมีความหมายหรือ
เกี่ยวข้องกับเรื่องที่จัดทำและไม่ยาวเกินไป ขนาดของตัวอักษรควรมีขนาดใหญ่พอสมควร เพื่อให้ผู้ชมมองเห็น
ได้ชัดเจน เขียนถูกต้อง และใช้ตัวอักษรที่อ่านง่าย มีสีสันสวยงาม สำหรับตำแหน่งที่ติดชื่อโครงงาน ควรติดอยู่ส่วนบน
ของบอรด์ อาจเปน็ มมุ บนซ้าย มมุ บนขวา หรอื ตรงกลาง แล้วแตค่ วามเหมาะสมและความสวยงาม
2. ชื่อคณะผู้จัดทำ ควรมีขนาดเล็กกว่าชื่อโครงงานวิทยาศาสตร์ อาจมีรูปภาพติดด้วยก็ได้
แต่ต้องไมใ่ หญจ่ นเกนิ ไป จนทำใหจ้ ดุ สนใจไปอยู่ท่ีผู้ทำโครงงาน
3. ชื่อครูที่ปรึกษา จะทำให้ทราบว่าผลงานของนักเรียนอยู่ภายใต้การดูแลของครูท่านใด อาจมี
รูปภาพติดด้วยก็ได้ แต่ต้องไม่ใหญ่จนเกินไปจนทำให้จุดสนใจไปอยู่ที่ผู้ทำโครงงาน ควรวางอยู่ระหว่างชื่อโครงงานและ
ชอ่ื ผู้จดั ทำโครงงาน
4. ชื่อโรงเรียน จะทำให้ทราบว่าผลงานเป็นของนักเรียนโรงเรียนใด อาจบอกสังกัดของโรงเรียน
หรือจังหวัดทตี่ ้งั ของโรงเรียนด้วยกไ็ ด้
5. บทคัดย่อ จะทำให้ทราบถึงบทสรุปของการทำงานของโครงงานตั้งแต่ต้นจนกระท่ังสิน้ สุด
การทำงานไว้อยา่ งชดั เจน
สว่ นที่ 2 แผงตรงกลาง ประกอบด้วย
1. ชอ่ื โรงเรยี น ควรทำใหเ้ ดน่ ดึงดูดความสนใจผ้ชู มมากท่ีสดุ
2. ชื่อโครงงานวทิ ยาศาสตร์ ควรทำให้เด่นดึงดูดความสนใจผชู้ มมากท่สี ดุ เช่นกนั
56
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
3. ที่มาและความสำคัญของปัญหา ที่มาและความสำคัญของปัญหาเป็นส่วนที่ทำให้ผู้ชมทราบว่า
ทม่ี าแหง่ ปัญหาของการศกึ ษาคน้ ควา้ คอื อะไร ซึง่ จดุ นี้จะต้องเขียนให้รดั กุม ไดใ้ จความ ถา้ ในเน้อื หาตัวจริงยาวเกินไปควร
สรปุ ใหส้ ั้น กะทดั รัด และได้ใจความ
4. วัตถุประสงค์ วัตถุประสงค์เป็นส่วนที่บอกให้ทราบว่าผู้จัดทำมีวัตถุประสงค์ใด ในการจัดทำ
โครงงานเรอื่ งน้นั ๆ ควรมีประมาณ 2-3 ข้อ ไม่ควรมีมากเกินไป
5. สมมติฐาน เป็นส่วนที่มีความสำคัญอีกข้อหนึ่งที่จะต้องมีปรากฏบนบอร์ดโครงงาน ยกเว้น
โครงงานประเภทสำรวจจะไมม่ สี มมติฐาน
6. ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรที่ศึกษา เป็นส่วนที่มีความสำคัญอีกข้อหนึ่งที่จะต้องมีปรากฏบนบอร์ด
โครงงาน ยกเว้นโครงงานประเภทสำรวจจึงจะไม่มีตวั แปรที่ศึกษา ตัวแปรที่ศึกษา ประกอบด้วย ตัวแปรต้น ตัวแปรตาม และ
ตวั แปรควบคุม ซึ่งจะต้องนำมาแสดงไวท้ ้ังหมด
7. วธิ ีดำเนนิ งาน วธิ ีดำเนนิ งาน ประกอบด้วย
7.1 วัสดุอุปกรณ์ ควรชี้แจงให้ละเอียดว่าวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำโครงงานมีอะไรบ้าง อาจมี
รปู ภาพประกอบ หรืออาจจดั แสดงวัสดุอปุ กรณ์ของจริงไวบ้ นโต๊ะท่จี ัดแสดงโครงงานก็ได้
7.2 วิธีดำเนินงานทดลอง เปน็ การบอกรายละเอียดของการดำเนินงานทดลอง หรอื วิธกี ารทดลอง
อยา่ งละเอียด อาจมีรปู ภาพประกอบเป็นขั้น ๆ เพ่ือใหผ้ ้ชู มเข้าใจไดง้ ่าย และรวดเร็วกว่าการท่ีจะอ่านจากคำบรรยาย ซึ่งตาม
สภาพความเป็นจริงแล้ว ผ้ชู มก็จะดูภาพมากกว่าที่จะอ่านจากขอ้ ความ
8. ผลการศกึ ษา ผลการศึกษา นยิ มนำเสนอดว้ ยตาราง แผนภูมิ หรือรปู ภาพประกอบคำบรรยาย ไมค่ วรมี
คำบรรยายเพยี งอยา่ งเดียว
ส่วนท่ี 3 แผงทางด้านขวา ประกอบดว้ ย
1. สรุปผลการศึกษา เป็นการสรุปผลที่ได้จากการศึกษาค้นคว้า ซึ่งควรสรุปให้ได้ใจความ หรืออาจ
สรุปเป็นขอ้ ๆ ตามวตั ถปุ ระสงคข์ องการวิจัย
2. อภิปรายผลการศึกษา เป็นการหาเหตุผลหรือข้อสนับสนุนผลของการทำโครงงานวิทยาศาสตร์
ของนักเรยี นเพื่อใหน้ า่ เชือ่ ถอื มากยิง่ ข้นึ
3. ประโยชน์ท่ไี ดร้ บั เป็นการบอกถึงผลท่ีไดร้ ับจากการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ว่าได้รับผลประโยชนอ์ ย่างไร
4. ขอ้ เสนอแนะ เป็นการเสนอแนะผลที่ได้จากการทำโครงงานวิทยาศาสตร์ว่าควรจะนำไปใช้ประโยชน์
อยา่ งไร ที่ไหน กับใคร และมีข้อจำกดั อย่างไรในการทำโครงงาน
5. การต่อยอดโครงงาน เป็นการเสนอแนะแนวทางในการนำโครงงานไปพัฒนาโครงงานสู่อาชีพ หรือสู่
การเป็นผ้ปู ระกอบการ ซึ่งในหัวขอ้ น้ีจะพบเฉพาะในแผงโครงงานการจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเป็นฐาน (PBL)
120
60 ซม. ชอื่ สถานศกึ ษา
- ชอ่ื โครงงาน - ท่ีมาและ ชอื่ โครงงาน - สรปุ ผลการศึกษา
วทิ ยาศาสตร์ ความสำคัญ - อภิปรายผล
- ช่ือคณะผู้จดั ทำ - วตั ถุประสงค์ - วสั ดอุ ปุ กรณ์ การศกึ ษา
- สมมติฐาน - วธิ ดี ำเนินการ - ประโยชนท์ ไี่ ด้รบั
100 - ผลการศึกษา - ขอ้ เสนอแนะ
- ชอ่ื ผู้สอนที่ปรึกษา
ภาพ 11 ตัวอย่างแผงสำหรบั แสดงการจดั การเรียนรูโ้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน (PBL)
57
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
7.15 แบบบนั ทกึ การประเมิน
58
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
ตาราง 3 เกณฑก์ ารประเมนิ ความสามารถในการจัดการเรียนรโู้ ดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน (PBL) ระดบั คณุ ภาพ
รายการประเมนิ
1
1. ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ 2
- โครงงานคลา้ ยคลงึ กับสง่ิ ทเ่ี คยทำมาแล้ว 3
- โครงงานบางส่วนท่ีมีความแปลกใหมจ่ ากโครงงานที่มีผทู้ ำมาแล้ว 4
- โครงงานแสดงใหเ้ ห็นถงึ ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์
- โครงงานแสดงใหเ้ หน็ ถึงความคดิ รเิ ร่มิ สร้างสรรค์ และสามารถนำไปประยกุ ต์ใชไ้ ด้ 1
2
2. การกำหนดปญั หาและการต้ังสมมติฐาน 3
- สมมตฐิ านสอดคล้องกบั ปัญหาน้อยมาก 4
- สมมตฐิ านสอดคล้องกับปญั หา แตไ่ ม่แสดงความสัมพันธร์ ะหวา่ งเหตุและผล
- สมมตฐิ านสอดคลอ้ งกบั ปญั หาและแสดงความสมั พนั ธร์ ะหว่างเหตแุ ละผลแตย่ ังไม่ชัดเจน 1
- สมมติฐานสอดคล้องกับปญั หาและแสดงความสัมพนั ธร์ ะหว่างเหตุและผลอยา่ งชัดเจน 2
3
3. ข้อมลู หรือข้อเทจ็ จรงิ ประกอบการทำโครงงาน 4
- มีการศึกษาหาข้อมูลหรอื ข้อเทจ็ จรงิ ท่ีเก่ยี วขอ้ งกับปัญหานอ้ ย
- มกี ารศึกษาค้นหาขอ้ มลู หรอื ขอ้ เทจ็ จริงทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ปญั หาเพยี งบางสว่ น 1
- มีการศึกษาค้นหาข้อมลู หรือขอ้ เท็จจรงิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ปัญหา แตย่ งั ไม่ครอบคลมุ 2
- มีการศึกษาค้นหาขอ้ มูลหรอื ขอ้ เท็จจรงิ ท่เี กีย่ วขอ้ งกับปญั หาอย่างชดั เจนและครอบคลมุ 3
4
4. การออกแบบการทดลอง
- การออกแบบการทดลองสอดคล้องกับสมมตฐิ าน มีการควบคุมตวั แปรนอ้ ย 1
- การออกแบบการทดลองสอดคล้องกบั สมมตฐิ านและควรคมุ ตัวแปรบางส่วน 2
- การออกแบบการทดลองสอดคล้องกับสมมตฐิ านและควบคมุ ตัวแปรไดค้ รบสมบูรณ์ 3
- การออกแบบการทดลองสอดคลอ้ งกบั สมมติฐาน ควบคมุ ตัวแปรถกู ต้องสมบูรณ์ 4
และมีแนวทางการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
1
5. วัสดุ อปุ กรณ์ และเครอ่ื งมือที่ใชใ้ นการทดลอง 2
- เลอื กใชว้ ัสดุ อปุ กรณ์ และเครื่องมอื มีความเหมาะสมน้อย 3
- เลือกใชว้ ัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมอื ได้ถูกต้องบางส่วน 4
- เลอื กใชว้ ัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือไดถ้ ูกต้องเป็นสว่ นใหญ่
- เลือกใชว้ สั ดุ อุปกรณ์ และเครอื่ งมือได้ถูกต้องเหมาะสม และมกี ารเกบ็ ไวอ้ ย่างเป็นระบบ
6. การดำเนนิ งานทดลอง
- มกี ารดำเนินงานทดลองเหมาะสมน้อย
- มกี ารดำเนินงานทดลองได้ถกู ตอ้ งบางสว่ น
- มีการดำเนนิ งานทดลองไดถ้ กู ตอ้ งเป็นส่วนใหญ่
- มีการดำเนินงานทดลองได้ถกู ตอ้ งและเหมาะสม
59
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน
ตาราง 3 เกณฑ์การประเมนิ ความสามารถในการจดั การเรยี นรูโ้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน (PBL) (ตอ่ )
รายการประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ
7. การบันทึกข้อมลู
- บันทกึ ขอ้ มลู บางส่วนไม่ตรงจุดประสงค์ท่ตี อ้ งการศึกษา 1
- บันทกึ ข้อมลู ตรงจดุ ประสงค์ท่ตี ้องการศกึ ษา 2
- บนั ทกึ ขอ้ มูลตรงจดุ ประสงคท์ ตี่ อ้ งการศึกษาและถกู ต้อง 3
- บนั ทกึ ข้อมูลตรงจุดประสงค์ที่ต้องการศกึ ษาถกู ต้อง และครบสมบรู ณ์ 4
8. การจัดกระทำข้อมลู 1
- การจัดกระทำขอ้ มูลมีความถกู ตอ้ งน้อย 2
- มกี ารจดั กระทำขอ้ มูลถกู ต้อง แตย่ ังไม่ชดั เจนพอ 3
- มกี ารจดั กระทำข้อมลู ถกู ต้องชดั เจน แตย่ งั ไม่ครบสมบูรณ์ 4
- มีการจัดกระทำขอ้ มลู ถกู ตอ้ งชดั เจน ละเอียด และครบสมบูรณ์
1
9. การแปลความหมายขอ้ มลู และการสรปุ ผลของข้อมูล 2
- แปลความหมายถูกต้องบางสว่ น และไมส่ รุปผล 3
- แปลความหมายถูกตอ้ งเปน็ สว่ นใหญ่ แตส่ รปุ ผลไม่สอดคล้องกบั ขอ้ มูล 4
- แปลความหมายถกู ตอ้ งแตส่ รปุ ผลไม่สอดคลอ้ งกบั ขอ้ มลู บางส่วน
- แปลความหมายถูกตอ้ งและสรปุ ผลสอดคลอ้ งกบั ขอ้ มูล 1
10. การเขยี นรายงาน 2
- มีการเขียนรายงานไม่ถกู ต้องตามแบบฟอร์มไม่ชัดเจนไม่เป็นข้ันตอน
มคี วามถกู ตอ้ งเป็นส่วนนอ้ ย 3
- มกี ารเขียนรายงานถูกตอ้ งตามแบบฟอร์มชดั เจน เปน็ ขั้นตอน
แต่ยังไมค่ รอบคลุมเป็นส่วนใหญ่ 4
- มกี ารเขยี นรายงานถูกต้องตามแบบฟอรม์ ชัดเจน เปน็ ขั้นตอน
แตย่ งั ไมค่ รอบคลุมเปน็ บางส่วน 1
- มีการเขียนรายงานถูกตอ้ งตามแบบฟอร์มชัดเจน เป็นขั้นตอน
ครอบคลุมทั้งหมด และสมบรู ณ์ทีส่ ดุ 2
11. ออกแบบวางแผนการจัดแสดงผลงานบนแผงแสดงโครงงาน 3
- ออกแบบวางแผนการจัดแสดงผลงานบนแผงแสดงโครงงานไม่สวยงาม
ไมถ่ ูกตอ้ ง หรอื สวยงามถกู ต้องเปน็ ส่วนน้อย 4
- ออกแบบวางแผนการจัดแสดงผลงาน บนแผงแสดงโครงงานไดส้ วยงาม
ถกู ต้องเป็นบางส่วน
- ออกแบบวางแผนการจดั แสดงผลงาน บนแผงแสดงโครงงานไดส้ วยงาม
ถูกต้องเปน็ สว่ นมาก
- ออกแบบวางแผนการจดั แสดงผลงาน บนแผงแสดงโครงงานไดส้ วยงามถกู ตอ้ งเหมาะสม
60
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
ตาราง 3 เกณฑก์ ารประเมินความสามารถในการจัดการเรยี นรู้โดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน (PBL) (ต่อ)
รายการประเมนิ ระดบั คณุ ภาพ
12. ความเหมาะสมในการใช้อปุ กรณ์หรือผลงานจดั วางประกอบการจดั แสดง
1
- มีการใชอ้ ปุ กรณ์หรือผลงานจัดวางประกอบการจดั แสดงนอ้ ย 2
- มกี ารใชอ้ ปุ กรณ์หรอื ผลงานจดั วางประกอบการจดั แสดงนอ้ ย 3
- มกี ารใช้อปุ กรณ์หรอื ผลงานจัดวางประกอบการจัดแสดงบ้างเปน็ บางสว่ น 4
- มกี ารใช้อุปกรณ์หรือผลงานจัดวางประกอบการจัดแสดงได้อย่างเหมาะสม
13. การนำเสนอและการตอบคำถาม 1
- อธิบายและตอบคำถามไม่ชัดเจน มคี วามนา่ สนใจนอ้ ย 2
- อธิบายและตอบคำถามไดช้ ัดเจนนา่ สนใจ 3
- อธิบายและตอบคำถามโดยแสดงให้เห็นถงึ ความรคู้ วามเข้าใจในเร่อื งทีท่ ำ 4
- อธบิ ายและตอบคำถามโดยแสดงหลักฐานขอ้ มลู ที่ได้จากการทดลองได้อยา่ งถกู ต้อง
1
เหมาะสม พร้อมกับเสนอแนวคดิ เก่ียวกบั ประโยชน์ของโครงงาน 2
14. ความสามารถในการสาธติ ผลการทดลอง 3
4
- สามารถสาธิตการทดลองไม่ถกู ตอ้ ง ไมช่ ัดเจน เปน็ ขน้ั ตอนบางส่วน
- สามารถสาธิตการทดลองไดถ้ กู ตอ้ ง ชดั เจน เปน็ บางสว่ น 1
- สามารถสาธติ การทดลองไดถ้ ูกต้อง ชดั เจน เปน็ ส่วนใหญ่ 2
- สามารถสาธิตการทดลองไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง เปน็ ขน้ั ตอนชัดเจนทสี่ ดุ 3
15. ความมั่นคงแข็งแรงของบอร์ดหรอื แผงแสดงโครงงาน 4
- บอรด์ หรอื แผงแสดงโครงงานมีความมน่ั คง แขง็ แรงน้อย
- บอรด์ หรอื แผงแสดงโครงงานมีความมน่ั คง แขง็ แรงน้อย 1
- บอร์ดหรอื แผงแสดงโครงงานมีความมนั่ คง แขง็ แรงปานกลาง
- บอร์ดหรอื แผงแสดงโครงงานมีความมนั่ คง แข็งแรงทส่ี ดุ 2
16. โครงงานแสดงถึงความทมุ่ เท ความมานะอดทน และสามารถต่อยอดได้ 3
- โครงงานแสดงถงึ ความไม่ตงั้ ใจทำ ไม่ท่มุ เท มคี วามมานะอดทนนอ้ ย 4
ไมส่ ามารถตอ่ ยอดได้
- โครงงานแสดงถึงความทุ่มเท ความมานะอดทนนอ้ ย
และไม่สามารถตอ่ ยอดได้
- โครงงานแสดงถึงความทุ่มเท ความมานะอดทนปานกลาง
และสามารถตอ่ ยอดได้
- โครงงานแสดงถงึ ความทมุ่ เท ความมานะอดทน และสามารถต่อยอดได้
เกณฑ์คะแนนรวม
16 คะแนน อย่ใู นระดับคณุ ภาพ 1
17-32 คะแนน อย่ใู นระดบั คณุ ภาพ 2
33-48 คะแนน อยู่ในระดับคุณภาพ 3
49 คะแนนขึน้ ไป อยู่ในระดบั คณุ ภาพ 4
61
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน
เกณฑก์ ารตัดสนิ
ระดบั บคุ คล นกั เรยี นผา่ นเกณฑ์ระดบั คณุ ภาพ 2 ขน้ึ ไป
ระดบั กลมุ่ นกั เรียนร้อยละ 75 มผี ลงานระดับคณุ ภาพ 2 ขัน้ ไป
7.16 การเขียน/พิมพ์บรรณานกุ รมหรอื เอกสารอ้างองิ
ก่อนถึงบรรณานุกรมควรมีหน้าบอกตอน ให้พิมพ์คำว่า “บรรณานุกรม” อยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษ และ
นับหน้าที่รวมกับหน้าอื่นด้วย โดยไม่ต้องใส่หมายเลขหน้ากำกับ สำหรับหน้าแรกของบรรณานุกรมให้พิมพ์คำว่า
“บรรณานกุ รม” ไว้กลางหน้ากระดาษตอนบน การจัดพมิ พ์บรรณานุกรม เปน็ ไปตามรปู แบบการพิมพ์บรรณานุกรมอ้างอิง
ตามระบบ American Psychological Association (APA) (2010) มดี ังนี้
1. บรรณานุกรม ให้จัดเรียงลำดับอักษรของข้อมูลส่วนแรก โดยภาษาไทยเรียงลำดับตัวอักษรตามแบบ
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ภาษาอังกฤษ เรียงตาม A B C … ดังที่ปรากฏในพจนานุกรมภาษาอังกฤษทั่วไป
ทง้ั นี้การเรยี งลำดบั น้ันไมต่ อ้ งใส่เลขลำดับรายการนำหน้า
2. ถา้ ข้อมลู สว่ นแรกเหมือนกัน กรณีท่เี ป็นผแู้ ต่ง ก็คอื เปน็ ผ้แู ต่งคนเดียวกัน ใหเ้ รียงลำดบั ตาม เลขปีพมิ พ์
ปพี มิ พ์เลขที่มีค่าน้อยมาก่อน กรณไี มป่ รากฏปีพิมพ์ ให้ใชค้ ำว่า ม.ป.ป. โดยใหเ้ รยี งสงิ่ พิมพ์ ที่ไม่ปรากฏปีพิมพ์อยู่หลัง
รายการสิ่งพิมพ์ท่ีปรากฏเลขปีพมิ พ์
3. บรรณานุกรมให้เริ่มพิมพ์ที่แนวกั้นหน้า (เว้นจากขอบกระดาษทางซ้ายมือมา 1.25 นิ้ว หรือ 3 ซม.)
ถ้าข้อความบรรทัดเดียวไม่พอ ให้พิมพ์ต่อในบรรทัดถัดไปที่ย่อหน้าแรก (เว้นจากแนวกั้นหน้าเข้าไป 7 ตัวอักษร
(หรือ 7 เคาะ) แล้วเริ่มพิมพ์ตัวที่ 8 (สำหรับการพิมพ์ด้วยโปรแกรมจากคอมพิวเตอร์ ให้ตั้งแท็บแรกที่ 0.57 นิ้ว)
โดยรปู แบบเบอื้ งต้นของการพิมพ์บรรณานุกรมจากหนังสือ มีดังน้ี
ช่ือผ้แู ตง่ ./(ปีพมิ พ์)./ช่อื หนงั สอื ./ครงั้ ทพ่ี ิมพ์./สถานที่พิมพ์:/สำนักพิมพ์.
เสน้ ขีดเอยี ง (/) แต่ละเส้น หมายถงึ การเว้นวรรคระยะ 1 ตัวอักษร (หรอื 1 เคาะ)
4. การลงชื่อผู้แต่ง ถ้าผู้แต่งเป็นชาวไทย ไม่ว่าจะเป็นหนังสือที่เป็นภาษาไทยหรือภาษาต่างประเทศ
ก็ตามให้ลงชือ่ ชอื่ สกลุ เรยี งไปตามปกติ แต่ถ้าผ้แู ตง่ เป็นชาวต่างประเทศ ใหล้ งชื่อสกุลก่อนแล้วตามด้วย ชื่อต้น และชื่อ
กลางไปไว้ข้างหลัง โดยมีเครื่องหมายจุลภาค (,) คั่น ชื่อต้นและชื่อกลางนั้นให้ลงตามที่ปรากฏหน้าปกในของหนังสือ
หรือแหลง่ ขอ้ มลู สำคญั และขนึ้ ตน้ อกั ษรตัวแรกดว้ ยตวั พมิ พ์ใหญ่
5. หนังสือทม่ี ผี ้แู ตง่ 2-3 คน ใหล้ งช่ือผู้แตง่ ท้ัง 2-3 คนนัน้ ตามลำดบั ท่ีปรากฏหน้าปกในของหนังสือ โดย
แต่ละชื่อใหค้ ่ันด้วยเคร่ืองหมายจุลภาค (,) และระหวา่ งชอ่ื รองสุดท้ายกับชื่อสุดท้าย ใหเ้ ช่ือมด้วยคำว่า “และ” หรือ “&”
สำหรับหนังสอื ภาษาต่างประเทศ และผู้แต่งชาวตา่ งประเทศให้ลงช่ือสกุลก่อนทุกคน
6. หนังสือท่ีมีผูแ้ ต่งมากกว่า 3 คน ให้ลงช่ือคนแรกทีป่ รากฏหน้าปกใน ตามด้วย “และคนอื่น ๆ.” หรือใช้
“et al.”
62
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
7. ชื่อผู้แต่งไม่ต้องลงคำนำหน้าชื่อ เช่น นาย นางสาว นาง ดร. ศ. รศ. ผศ. อ. พล.ต. ร.ต.อ. พ.อ.
นายแพทย์ หรอื Mr. Ms. Dr. Prof. ยกเว้น คำแสดงเชื้อพระวงศห์ รือฐานันดรศักด์ิ เชน่ คุณหญิง ทา่ นผู้หญิง ม.ร.ว.
หลวง พระยา ใหล้ งหลังเครือ่ งหมายจลุ ภาคทา้ ยชื่อ
ตวั อยา่ งการพิมพ์ชื่อผแู้ ตง่ ชาวต่างประเทศ
ผแู้ ต่งมีเพียงช่อื ต้น และชือ่ สกุล
Werner Kalow ลงว่า Kalow, Werner
ผแู้ ตง่ มชี ่ือต้น ชอ่ื กลางท่เี ป็นอักษรย่อ และช่ือสกุล
Anthony J. Hickey ลงวา่ Hickey, Anthony J.
ผู้แตง่ มีชือ่ ตน้ และช่ือกลางทีเ่ ปน็ อักษรย่อ และชอ่ื สกุล ระยะอกั ษรยอ่ เวน้ 1 ระยะ
C. T. Rhodes ลงว่า Rhodes, C. T.
8. ผู้แตง่ ท่ใี ชน้ ามแฝง ใหล้ งช่ือนามแฝงตามท่ีปรากฏหน้าปกใน เช่น
ว. วนิ ฉิ จัยกุล. (2535). คล่ืนกระทบฝัง่ . กรงุ เทพฯ: ดอกหญ้า.
ส. ศิวรกั ษ์. (2530). ทิศทางใหม่สำหรับมหาวทิ ยาลัย. กรงุ เทพฯ: ศกึ ษติ สยาม.
9. ปีพิมพ์ ให้พิมพ์ไว้ในวงเล็บ และปิดท้ายส่วนนี้ด้วยเครื่องหมายมหัพภาค (.) หากในตัวเล่มไม่ปรากฏ
ปที ี่พมิ พแ์ ละไม่สามารถตรวจสอบได้จริง ๆ ภาษาไทยให้ใส่ว่า ม.ป.ป. มาจากคำว่า ไมป่ รากฏปีท่พี ิมพ์ ภาษาอังกฤษให้ใช้ว่า
n.d. ซ่งึ มาจากคำว่า no date
10. ชื่อหนังสือหรอื ช่อื เรอ่ื ง ถา้ เปน็ หนงั สอื ใหด้ จู ากหนา้ ปกใน โดยพมิ พ์ดว้ ยอกั ษรท่ีเป็น ตัวเอน ตัวธรรมดา
ขดี เส้นใต้ หรือตวั ดำหนา
11. ชื่อเรื่องภาษาอังกฤษต้องใช้ตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ที่อักษรตัวแรกของทุกคำ ยกเว้นคำบุพบท (in, at, on
etc.) คำสัณธาน (and, but, for etc.) และคำนำหนา้ ทีอ่ ยใู่ นประโยค (a, an, the) ถ้าในช่ือเรอื่ ง มีเครอ่ื งหมายทวิภาค
(:) คำขึน้ ต้นหลังเครือ่ งหมายทวิภาคทุกกรณีให้ใช้ตัวพมิ พใ์ หญ่
12. หนังสอื ภาษาไทยทห่ี น้าปกในมรี ะบชุ อ่ื เรือ่ งเป็นภาษาอังกฤษควบคูไ่ วด้ ้วย ให้พมิ พ์เฉพาะชือ่ ภาษาไทย
13. ครง้ั ท่ีพมิ พ์ ใหร้ ะบุสำหรับหนงั สือทีพ่ มิ พต์ ้ังแตค่ รั้งท่ีสองขึ้นไป ภาษาไทยใชว้ ่า พมิ พ์ครงั้ ท่ี 2. พมิ พค์ รั้งท่ี 3. ฯลฯ
ภาษาอังกฤษใชว้ ่า 2nd ed., 3rd ed., 4th ed. etc.
ธวชั ชัย สันตสิ ขุ . (2555). ปา่ ของประเทศไทย. พิมพค์ รง้ั ท่ี 3. กรุงเทพฯ: กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตว์ป่า และพนั ธุพ์ ชื .
American Psychological Association. (2010). Plublication manual of the American
Psychological Association. 6th ed. Washington, DC: American Psychological Association.
14. สถานทพ่ี ิมพ์ ให้ระบุชือ่ สถานท่ปี รากฏในหนงั สือ ถา้ มีหลายชื่อสถานท่ีให้ระบชุ อ่ื สถานท่ีแรกท่ปี รากฏ
15. สำนักพมิ พ์ ใหร้ ะบุช่อื ของสำนักพิมพ์ท่ีปรากฏหน้าปกใน โดยระบเุ ฉพาะช่ือของสำนักพิมพ์ คำประกอบ
อืน่ ที่ไมจ่ ำเปน็ ไมต่ อ้ งระบุ ยกเวน้ สำนกั พมิ พข์ องมหาวิทยาลัย ใหใ้ ส่คำวา่ สำนักพิมพ์ ลงไปด้วย เช่น
สำนกั พมิ พ์ไทยวฒั นาพานิช ลงวา่ ไทยวฒั นาพานชิ
บริษัท ซีเอด็ ยูเคชน่ั จำกัด ลงวา่ ซเี อด็ ยูเคชั่น
สำนกั พิมพม์ หาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ลงว่า สำนกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
63
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
McGraw-Hill Company ลงว่า McGraw-Hill
Books\Cole Publishing Company ลงว่า Books\Cole
16. ถ้าเป็นหนังสือที่มิใช่ผลิตโดยสำนักพิมพ์ แต่เป็นหน่วยงานราชการหรือองค์กรเอกชนเป็นผู้ผลติ ให้
ลงชื่อหนว่ ยงานหรือองค์กรนัน้ ในฐานะผ้จู ัดพิมพ์ เชน่
ธวชั ชยั สันตสิ ขุ . (2555). ปา่ ของประเทศไทย. พิมพค์ ร้ังที่ 3. กรุงเทพฯ: กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์พุ ืช.
17. ถ้าในตัวเล่มหนังสือไม่ปรากฏสำนักพิมพ์หรือสถาบันที่ผู้เขียนสังกัด ให้ลงชื่อโรงพิมพ์ที่พิมพ์
หนังสือนัน้ โดยระบคุ ำท่ีเป็นชอ่ื ของโรงพมิ พ์ เชน่
พิมพ์ท่ีโรงพิมพ์คุรสุ ภา ลงว่า โรงพมิ พ์ครุ ุสภา
พิมพท์ ีเ่ ทอดไทการพมิ พ์ ลงว่า เทอดไทการพมิ พ์
พมิ พ์ทหี่ า้ งหนุ้ ส่วนจำกัด จงเจรญิ การพิมพ์ ลงวา่ จงเจริญการพมิ พ์
18. ถ้าไม่ปรากฏสำนักพิมพ์ ผู้จัดพิมพ์ หรือโรงพิมพ์ ให้ลงว่า ม.ป.พ. ซึ่งมาจากคำว่า ไม่ปรากฏ
สำนักพมิ พ์ ภาษาอังกฤษใหล้ งวา่ n.p.
รูปแบบการพมิ พบ์ รรณานกุ รมจากหนงั สอื มีดังนี้
1. หนงั สือทม่ี ีผู้แต่ง 1 คน เชน่
ฉววี รรณ หตุ ะเจรญิ . (2533). แมลงปา่ ไม้ของไทย. กรงุ เทพฯ: แสงเทยี นการพมิ พ์.
2. หนังสือทมี่ ีผู้แตง่ 2 คน ใหใ้ ชค้ ำว่า และ ค่นั ระหวา่ งช่อื ผู้แตง่ ทง้ั สองคน เชน่
นิจศริ ิ เรืองรังสี และ พะยอม ตนั ตวิ ัฒน.์ (2534). พชื สมนุ ไพร. กรงุ เทพฯ: โอเดียนสโตร.์
3. หนังสือที่มีผูแ้ ต่ง 3 คน ให้ใช้เครื่องหมายจุลภาค (,) คั่นระหว่างชื่อคนแรกกับช่ือคนที่สอง แล้วใช้คำว่า
“และ” คัน่ ระหว่างชือ่ ผแู้ ตง่ คนท่ีสองกับคนท่ีสาม เช่น
สทิ ธา พนิ ิจภูวดล, นิตยา กาญจนวรรณ, และ สาลี ศรเี พ็ญ. (2514). การเขยี นและการพดู . กรุงเทพฯ: สำนักพมิ พ์
มหาวิทยาลยั รามคำแหง.
4. หนังสือที่มีผู้แต่งมากกว่า 3 คน ให้ใช้เครื่องหมายจุลภาค (,) คั่นระหว่างชื่อคนแรกกับและ ชื่อคนอื่น ๆ
และใชค้ ำวา่ “และ” ค่นั ระหวา่ งช่ือคนสดุ ท้าย เช่น
สุรชยั ชลดำรงสกลุ , ฉวีวรรณ หตุ ะเจริญ, นจั ศริ ิ เรอื งรังสี และ พะยอม ตันติวฒั น.์ (2542). ผเี สือ้ คมู่ อื สำรวจ
และสอ่ื ความหมายธรรมชาติ. กรงุ เทพฯ: สรีทพริน้ ติง้ .
รูปแบบการพมิ พ์บรรณานุกรมของหนงั สอื ทจ่ี ดั ทำข้นึ ในนามของหน่วยงานต่าง ๆ
ให้ลงชอ่ื หนว่ ยงานนั้น ๆ ในตำแหนง่ ผู้แต่งโดยลงนามหน่วยงานใหญ่แล้วตามด้วยหน่วยงานย่อย เชน่
ชอ่ื หน่วยงานใหญ.่ /ชือ่ หน่วยงานยอ่ ย./(ปีพมิ พ)์ ./ช่อื หนังสือ./ครง้ั ที่พิมพ์./สถานท่ีพิมพ์:/สำนักพมิ พ์.
กระทรวงสาธารณสุข. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กองวิจัยและพัฒนาสมุนไพร. (2533). คู่มือสมุนไพรเพื่อการาธารณสขุ
มลู ฐาน. พมิ พค์ ร้งั ที่ 3. กรงุ เทพฯ: กองวจิ ัยและพัฒนาสมุนไพร.
64
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
รูปแบบการพมิ พ์บรรณานุกรมจากวารสาร ดงั รูปแบบตอ่ ไปน้ี
ชอ่ื ผู้เขยี นบทความ./(ปีพมิ พ)์ ./ชื่อเร่อื งหรือบทความ./ช่ือวารสาร,/ปที ี(่ ฉบับท)่ี ,/เลขหน้าที่อ้างองิ .
สำรวย เสรจ็ กิจจงั หวัด. (2531). การเพ่มิ ผลผลิตไรแดงในบอ่ ซเี มนต.์ วารสารกสิกร, 6(11), 27-31.
รูปแบบบรรณานุกรมจากแหล่งข้อมูลออนไลน์ ใชร้ ูปแบบดังนี้
1. ข้อมูลจากหนงั สอื
ช่อื ผแู้ ต่ง./(ปีทพี่ มิ พ์หรอื ปีท่สี บื คน้ )./ชอื่ เร่ือง./สถานทีพ่ ิมพ์:/สำนักพิมพ.์ /สืบคน้ เมื่อ/วัน/เดือน/ปี
(หรอื Retrieved/เดือน/วัน,/ป)ี ,/จาก (from)/ชือ่ เว็บไซต์
Davies, J. Eric, Wisdom, Stella & Creasser, Claire. (2000). Out of Sight but Not Out of Mind:
Visually Impaired People’s Perspectives of Library and Information Services.
Loughborough: LISU. Retrieved September 20, 2003, from http://www.lboro.ac.uk/
departments/dils/lisu/public.html
2. ขอ้ มลู ท่ีเป็นบทความจากวารสาร
ชอ่ื ผเู้ ขียนบทความ./(ปีทพ่ี ิมพ์,/เดอื นของวารสาร)./ชอื่ บทความ./ชอ่ื วารสาร,/ปีท(่ี ฉบับท)่ี ,/เลขหน้าท่ีอ้างองิ .
สืบค้นเม่ือ/วนั /เดือน/ปี (หรอื Retrieved/เดือน/วัน,/ป)ี ,/จาก (from)/ช่ือเวบ็ ไซต์
พษิ ณุ กล้าการนา. (2545, พฤษภาคม-มถิ นุ ายน). เตรียมรบั มือกบั ภาวะโลกร้อน. หมออนามัย. 11(6). สบื คน้ เมอ่ื
13 ตุลาคม 2546, จาก http://moph.go.th/ops/doctor/backreport.htmBearman, David.(2000, December).
Intellectual Property Conservancies. D-Lib Magazine. 6(12).Retrieved June 30, 2002, from
http://www.dlib.org/dlib/december/bearman/12bearman.html
3. ขอ้ มูลจากเว็บไซต์
ช่ือผู้แตง่ ./(ปีท่ีสบื ค้น)./ช่ือเรื่อง./สบื ค้นเมื่อ/วัน/เดอื น/ปี (หรือ Retrieved/เดือน/วนั ,/ปี),/จาก (from)/ช่ือเว็บไซต์
นรรชั ต์ ฝันเชยี ร. (2562). การประยุกต์ใช้ Active Learning ในการเรยี นการสอน. สืบค้นเมอ่ื 4 กนั ยายน 2562,
จาก https://www.trueplookpanya.com/education/content/ 70793/-teaartedu-teaart- LPSN.
(2020). Acetobacter aceti. Retrieved from https://www. microbiologyresearch.org/content/journal/
ijsem/10.1099/ijsem.0.002786
65
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
7.17 การเขียนบทคัดย่อโครงงาน
บทคัดย่อ คือ ข้อมูลท่ีสรุปเนื้อหาโครงงาน ใช้ข้อความสั้นกะทัดรัด ชัดเจน ทำให้ผู้อ่านทราบถึงเนื้อหา
ของโครงงานอย่างรวดเร็ว โดยให้พมิ พ์บทคดั ย่อในกระดาษ A4 ไมเ่ กิน 1 หน้า เมอ่ื ผ้อู า่ นได้อ่านบทคัดย่อจบแล้ว จะทำ
ให้เห็นภาพรวมของโครงงานดังกลา่ ว บทคดั ย่อควรมี 3 ส่วน โดยแต่ละส่วนควรมีองคป์ ระกอบ ดงั นี้
1. วัตถุประสงค์ของการทำโครงงาน
2. วธิ กี ารดำเนินงาน
3. ผลการดำเนินงาน
การเขยี นบทคัดย่อมีหลกั สำคญั 3 ประการ ดังนี้
1. มคี วามสั้น กะทัดรดั และกระชับ (Concision) เลือกเฉพาะขอ้ มูลรายละเอียดท่ีเป็นประเด็นใจความสำคัญ
ของโครงงาน โดยใช้สำนวนที่มีความกระชับ กะทัดรัด หลีกเลี่ยงการใช้คำหรือประโยคที่มีความยาว หรือมีความซ้ำซ้อน
ความยาวของบทคัดย่อไม่มีกำหนดไว้ตายตัว ขึ้นอยู่กับประเภทของข้อมูลและเนื้อหาสาระของเอกสารนั้น ๆ ว่า
มีความสำคญั มากน้อยเพียงใด โดยทวั่ ไปบทคัดย่อจะมีเพียง 1 หน้า แต่สำหรับเอกสารงานวจิ ัย มีได้มากกว่า 1 หนา้
2. มีความถกู ต้อง (Precision) สามารถถ่ายทอดประเด็นสำคัญของขอ้ มลู ได้อย่างถูกตอ้ ง ตามความหมาย
เดมิ ของเอกสารตน้ ฉบับ ไม่ควรมีการตคี วาม หรือแสดงความคิดเห็นใด ๆ อันทำให้ผอู้ า่ นเขา้ ใจคลาดเคลื่อนจากเดมิ หรอื ผิดไป
3. มคี วามชดั เจน (Clarity) การเรียบเรียงถ้อยคำเพ่ือเสนอในบทคดั ยอ่ จะตอ้ งสื่อความหมายที่เข้าใจชัดเจน
โดยใช้รปู ประโยคทส่ี มบรู ณ์ ไม่เขียนกระทอ่ นกระแท่นเปน็ คำ ๆ
ส่วนสุดท้ายของบทคัดย่อมี คำสำคัญ ให้พิมพ์ชิดขอบซ้ายของกระดาษด้วยตัวหนา ตามด้วย
เครื่องหมายทวิภาค (:) ในการเขียนคำสำคัญควรใส่คำที่สื่อถึงวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายของการทดลอง และเป็น
คำนาม โดยมขี ้อความที่ส้นั ๆ ไม่ควรเกนิ 5 ขอ้ ความ โดยแต่ละขอ้ ความหา่ งกนั 2 เคาะ
ตัวอยา่ งการเขียนบทคดั ยอ่
โครงงาน PBL เรื่อง เครื่องหั่นผลไม้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการหั่นของเครื่อง
หั่นสารพัดประโยชน์ที่ประดิษฐ์ขึ้น 3 ขนาด คือขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดเล็ก เมื่อนำไปหั่นผลไม้ พบว่า เครื่อง
หั่นผลไม้ขนาดเล็กใช้เวลาในการหั่นฝรั่ง จำนวน 3 ผล ใช้เวลาเฉลี่ย 10 วินาที ขนาดกลางใช้เวลา 20 วินาที และขนาด
ใหญ่ใช้เวลา 30 วินาที โดยเครื่องหั่นผลไม้ขนาดเล็กมีประสิทธิภาพเป็น 1 และ 2 เท่าของขนาดกลางและขนาดใหญ่
ตามลำดบั
คำสำคัญ : เครอื่ งหั่น ประสทิ ธภิ าพของเครอ่ื งหน่ั
66
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
กจิ กรรมท่ี 7.1 ความรเู้ กย่ี วกบั โครงงานวทิ ยาศาสตร์
กลมุ่ ท.่ี ...................................
วตั ถุประสงค์
1. สามารถอธบิ ายความรูเ้ กย่ี วกบั ความรูเ้ กย่ี วกับโครงงานวิทยาศาสตร์ได้
2. สามารถนำเสนอและแลกเปลย่ี นความรเู้ ก่ยี วกับความรู้เกีย่ วกับโครงงานวทิ ยาศาสตร์ได้
คำชี้แจงในการทำกิจกรรม
1. สมาชกิ ในกลุ่มแตล่ ะคนเขียนอธบิ ายความรู้เกย่ี วกับความรู้เกี่ยวกับโครงงานวิทยาศาสตร์
2. นำเสนอและแลกเปลีย่ นความรู้เก่ยี วกบั ความรเู้ กีย่ วกบั โครงงานวิทยาศาสตร์ภายในกลมุ่
การไดม้ าซง่ึ โครงงาน ประโยชนข์ องการทำโครงงาน
เรอ่ื งท่ี ชอ่ื เรอ่ื ง วทิ ยาศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์
1 ขยะหายไมเ่ ปือ้ นมือ 1.
2.
2 ฝนุ่ จ๋ิว PM2.5 1.
2.
3 เครือ่ งดักแมลงจากแผ่น CD 1.
2.
4 เคร่อื งกลัน่ น้ำมันหอมจากขวดน้ำอดั ลม 1.
2.
5 ตำแหนง่ ว่างทีล่ านจอดรถ 1.
2.
67
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน
กจิ กรรมท่ี 7.2 วเิ คราะหป์ ญั หาจากสถานการณ์
กลมุ่ ท.่ี ................................
วตั ถปุ ระสงค์
1. สามารถวเิ คราะห์ปัญหาจากสถานการณท์ ีก่ ำหนดให้ได้
2. สามารถระบุปญั หา ทีม่ าของปัญหา ระบหุ วั เร่อื งท่ีจะแก้ปญั หาจากสถานการณท์ ีก่ ำหนดใหไ้ ด้
คำชีแ้ จงในการทำกิจกรรม
1. ศกึ ษาจากสถานการณท์ ่คี รูกำหนดให้
2. แต่ละกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาจากสถานการณ์ที่กำหนด โดยร่วมกันอภิปรายและเขียน
ผลการวิเคราะหใ์ นรูปแบบแผนผงั ความคดิ ตารางหรอื อื่น ๆ
ผลการวิเคราะห์สถานการณ์
ปัญหา ที่ ปัญหา ท่มี าของปัญหา
1
2
3
สรุปปญั หา
............................................................................................................................................
............................................................................................................................................
............................................................................................................................................
............................................................................................................................................
............................................................................................................................................
............................................................................................................................................
.................................................................................... ........................................................
68
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
สถานการณ์
สถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (Particulate Matter: PM) มีหลายชนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PM2.5
ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย ในระหว่างเดือนมกราคมถึงเมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่มีความชื้นในอากาศต่ำ
อากาศแห้งทำให้มีปริมาณฝุ่นจิว๋ ฟุ้งกระจาย และอยู่ในเกณฑ์เกินค่ามาตรฐานที่กำหนด (50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร)
มีผลกระทบต่อสุขภาพ เมื่อคุณภาพอากาศเลวลง อัตราการเข้าห้องฉุกเฉินและเข้ารับการรักษาโรคระบบทางเดินหายใจ
จะสูงขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อนบ้านของสุขใจหลายคนที่สุขภาพไม่ดีอยู่แล้ว จะเกิดอาการกำเริบของโรค โดยเฉพาะ
โรคหอบหืดหรอื บางคนเกิดอาการไม่สบายตวั หายใจไม่สะดวก เกดิ อาการเจ็บคอหรอื หน้าอก และเปน็ เหตใุ ห้หวั ใจวายได้
เปน็ ตน้
(1) (2)
(3) (4)
ภาพ 12 สถานการณ์ฝุน่ ละออง PM2.5
ทมี่ า : (1) https://th.hrnote.asia/wp/wp-content/uploads/2019/01/airpolution-1110x740.jpg
(2) https://static.naewna.com/uploads/news/source/389386.jpg
(3) https://siamrath.co.th/n/127782
(4) https://ascannotdo.files.wordpress.com/2012/03/bangkokbiznews120309_001.jpg
69
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน
กจิ กรรมท่ี 7.3 การตงั้ ชอ่ื เรอ่ื งจากสถานการณ์
กลมุ่ ท.ี่ ................................
วตั ถุประสงค์
1. สามารถตง้ั ชอ่ื เร่ืองจากสถานการณ์ท่กี ำหนดให้ได้
2. ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมต้งั ชอ่ื เร่ืองจากสถานการณท์ กี่ ำหนดให้ได้
คำชแ้ี จงในการทำกิจกรรม
1. สมาชกิ ในกลุ่มรว่ มกันต้งั ชื่อเรอ่ื งจากสถานทก่ี ำหนดให้มาท้งั หมด 3 ชอื่ พร้อมให้เหตุผลประกอบ และ
เลอื กชื่อเรอ่ื งท่ีดที ส่ี ดุ มา 1 ชอ่ื
2. แตล่ ะกลุม่ นำเสนอการตั้งชือ่ เรอ่ื ง
1. โครงงาน เรอ่ื ง……………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
เหตผุ ลทีต่ ัง้ ชอื่ นี้…………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..
2. โครงงาน เรื่อง………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………….
เหตผุ ลท่ตี ั้งชอ่ื น้ี……………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..
………………………..………………………………………………………………………………
3. โครงงาน เรื่อง………………………………………………………………………………………
…………………….…………………………………………………………………………………
…………………. ……………………………………………………………………………………
เหตผุ ลที่ตั้งชือ่ นี้……………………………………………………………………............
…………………..……………………………………………………………………………………
…………………..……………………………………………………………………………………
ชือ่ โครงงานที่ดีท่ีสดุ เร่อื ง
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
………………………………………………………………………………………………………..
70
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
กจิ กรรมที่ 7.4 การตง้ั วตั ถปุ ระสงค์จากสถานการณ์
กลมุ่ ท.่ี ................................
วตั ถุประสงค์
1. สามารถตั้งวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (PBL) จากสถานการณ์ที่
กำหนดใหไ้ ด้
2. ปฏบิ ตั กิ จิ กรรมตงั้ วัตถุประสงคจ์ ากสถานการณท์ ี่กำหนดให้ได้
คำชีแ้ จงในการทำกจิ กรรม
1. สมาชิกในกลุ่มตั้งวัตถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (PBL) จากสถานการณ์ท่ี
กำหนดให้
2. แต่ละกล่มุ นำเสนอการตงั้ วัตถปุ ระสงค์
การจดั การเรียนรโู้ ดยใช้โครงงานเป็นฐาน (PBL) เร่ือง
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
.............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
วัตถปุ ระสงคข์ องการจัดการเรยี นรู้โดยใช้โครงงานเป็นฐาน (PBL)
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
71
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน
กจิ กรรมที่ 7.5 การตง้ั สมมตฐิ านและการกำหนดตวั แปรทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
กลมุ่ ท.ี่ ................................
วตั ถุประสงค์
1. ตั้งสมมติฐานจากสถานการณป์ ัญหาทก่ี ำหนดให้
2. สามารถกำหนดตัวแปรทเ่ี ก่ยี วขอ้ งจากปญั หาทก่ี ำหนดใหไ้ ด้
คำชแี้ จงในการทำกิจกรรม
1. สมาชกิ ในกลุ่มตง้ั สมมติฐานและกำหนดตวั แปรท่ีเก่ยี วขอ้ งจากสถานการณ์ทก่ี ำหนดให้ได้
2. แต่ละกลุ่มค้นคว้าความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาเพื่อนำข้อมูลมาตั้งสมมติฐานและกำหนดตัวแปร
ที่เกยี่ วข้อง
3. แต่ละกล่มุ นำเสนอผลการตง้ั สมมตฐิ านและกำหนดตัวแปรทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
1. ปญั หาจากสถานการณ์
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
2. สมมติฐาน
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
3. ตัวแปรท่เี กี่ยวขอ้ ง
3.1 ตัวแปรต้น คือ............................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
3.2. ตวั แปรตาม คือ..........................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
3.3 ตัวแปรควบคุม คอื ......................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
72
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
กจิ กรรมท่ี 7.6 การศกึ ษาเอกสารทเี่ กย่ี วขอ้ ง
กลมุ่ ท.่ี ................................
วัตถปุ ระสงค์
สามารถระบุเนื้อหา และสบื คน้ เอกสารทีเ่ ก่ียวข้องกบั สถานการณ์หรอื ปญั หาท่ีกำหนดได้
คำช้ีแจงในการทำกจิ กรรม
1. สมาชิกในกลุ่มระบุเนื้อหา และเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาและการจัดการเรียนรู้โดยใช้
โครงงานเปน็ ฐาน (PBL)
2. แต่ละกลุ่มนำเสนอเนื้อหา และเอกสารที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาและการจัดการเรียนรู้โดยใช้
โครงงานเปน็ ฐาน (PBL)
3. ร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับความเกี่ยวข้องของเนื้อหาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องประเด็นปัญหา
ทจี่ ะแกไ้ ข และนำผลการอภิปรายไปปรบั ปรงุ แก้ไขหรอื สืบค้นเพิ่มเติม
1. ความรู้ เน้อื หาที่จำเปน็ ต้องสบื ค้นเพม่ิ เติม
1.1 ความรู้ดา้ นวทิ ยาศาสตร์
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
1.2 ความรดู้ า้ นคณิตศาสตร์
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
73
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
1.3 ความรดู้ า้ นเทคโนโลยี
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
1.4 ศาสตรพ์ ระราชา
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
2. แหล่งทใ่ี ช้สบื ค้น
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
74
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
กจิ กรรมที่ 7.7 การออกแบบชนิ้ งาน
กลมุ่ ท.ี่ ................................
วตั ถุประสงค์
1. บอกวัสดอุ ปุ กรณท์ ่ีใช้ในการดำเนนิ งานจัดทำโครงงาน PBL ได้
2. สามารถออกแบบการทดลองหรอื ออกแบบช้นิ งานได้
3. บอกวธิ กี ารจดั ทำชน้ิ งานของโครงงาน PBL ได้
คำช้ีแจงในการทำกจิ กรรม
1. สมาชิกในกล่มุ ระบุวัสดุ อปุ กรณ์ท่ีจำเปน็ ตอ้ งใช้ในการดำเนนิ งานจดั ทำโครงงาน PBL
2. แต่ละกล่มุ รว่ มกนั ออกแบบชนิ้ งาน
3. นำเสนอการออกแบบชน้ิ งาน และร่วมกันแลกเปลยี่ นเรยี นรู้
4. ปรับปรุงการออกแบบชิ้นงาน
1. วัสดุอุปกรณ์ทใี่ ช้
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
75
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
2. การออกแบบชน้ิ งาน
2.1 ภาพร่างช้ินงานตน้ แบบ
76
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
2.2 ภาพรา่ งชิ้นงานที่ปรบั ปรงุ แก้ไข
77
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน
3. ขน้ั ตอนการจดั ทำช้นิ งาน
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..
78
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
กจิ กรรมท่ี 7.8 การจดั ทำชนิ้ งาน
กลมุ่ ท.ี่ ................................
วัตถุประสงค์
สามารถจดั ทำช้นิ งานตามที่ออกแบบได้
คำชี้แจงในการทำกจิ กรรม
1. สมาชิกในกลุ่มร่วมกันจดั ทำช้ินงาน
2. รว่ มกันทดสอบประสิทธภิ าพของช้ินงาน
3. รว่ มกนั ปรับปรุงแก้ไขชิ้นงาน
79
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
กจิ กรรมที่ 7.9 ผลการทดสอบประสทิ ธภิ าพของชน้ิ งาน
กลมุ่ ท.ี่ ................................
วตั ถุประสงค์
บันทึกผลการทดสอบประสิทธภิ าพของชิน้ งานและข้อมูลการปรบั ปรงุ พัฒนาชนิ้ งานให้มีประสิทธิภาพ
ตามวตั ถุประสงคข์ องการจัดทำโครงงานได้
คำชีแ้ จงในการทำกจิ กรรม
1. สมาชิกในกลุ่มดำเนินงานทดสอบประสิทธิภาพของชิ้นงานและข้อมูลการปรับปรุงพัฒนาชิ้นงาน
ให้มีประสิทธภิ าพตามวตั ถุประสงคข์ องการจดั ทำโครงงานได้
2. ออกแบบรูปแบบการนำเสนอผลการทดสอบหาประสทิ ธภิ าพของชิ้นงานได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ
ขั้นตอนการพัฒนา และปรับปรงุ ช้ินงาน
(การเขียนบรรยาย และการวาดเป็นภาพใหเ้ หน็ การพัฒนาของช้ินงานตามลำดบั )
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
80
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
ผลการทดสอบประสทิ ธภิ าพของช้ินงานทปี่ ระสบผลสำเร็จ
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
81
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน
กจิ กรรมที่ 7.10 สรปุ ผลการดำเนนิ งาน
กลมุ่ ท.่ี ................................
วัตถุประสงค์
สามารถสรุปผลการดำเนนิ งานตามวตั ถปุ ระสงค์ของการจดั ทำโครงงานได้
คำชี้แจงในการทำกิจกรรม
สมาชกิ ในกลมุ่ รว่ มกนั สรปุ ผลการดำเนนิ งานตามวัตถปุ ระสงค์ของการจดั ทำโครงงาน
สรุปผลการดำเนนิ งาน
………………………………………………………………………………...…………
………………………………………………………………………………...…………
………………………………………………………………………………...…………
…………………………………………………………………………...………………
……………………………………………………………………...……………………
………………………………………………………………...…………………………
…………………………………………………………...………………………………
……………………………………………………...……………………………………
………………………………………………...…………………………………………
…………………………………………...………………………………………………
……………………………………...……………………………………………………
………………………………...…………………………………………………………
…………………………...………………………………………………………………
……………………...……………………………………………………………………
………………...…………………………………………………………………………
…………...……………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………...……
………………………………………………………………………………...…………
…………………………………………………………………………...………………
………………………………………………………………………………...………….
82
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
กจิ กรรมที่ 7.11 อภปิ รายผลการดำเนนิ งาน
กลมุ่ ท.ี่ ................................
วัตถปุ ระสงค์
สามารถอภิปรายผลการดำเนนิ งานได้
คำชี้แจงในการทำกิจกรรม
สมาชกิ ในกลุ่มดำเนนิ งานอภิปรายผลการดำเนนิ งาน
อภิปรายผลการดำเนินงาน
……………………………………………………………………………………...……
……………………………………………………………………………………...……
………………………………………………………………………………...…………
…………………………………………………………………………...………………
……………………………………………………………………...……………………
………………………………………………………………...…………………………
…………………………………………………………...………………………………
……………………………………………………...……………………………………
………………………………………………...…………………………………………
…………………………………………...………………………………………………
……………………………………...……………………………………………………
………………………………...…………………………………………………………
…………………………...………………………………………………………………
……………………...……………………………………………………………………
………………...…………………………………………………………………………
…………...………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………...……
……………………………………………………………………………………...……
………………………………………………………………………………...…………
…………………………………………………………………………...……………….
83
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
กจิ กรรมท่ี 7.12 ประโยชนท์ ไี่ ดร้ บั และขอ้ เสนอแนะ
กลมุ่ ท.ี่ ................................
วตั ถปุ ระสงค์
1. บอกประโยชน์ทไี่ ดร้ ับจากการทำโครงงาน ในการแกป้ ัญหาจากสถานการณ์ท่ีกำหนดใหไ้ ด้
2. สามารถเขียนขอ้ เสนอแนะจากการทำโครงงาน ในการแกป้ ญั หาจากสถานการณ์ท่ีกำหนดใหไ้ ด้
คำช้แี จงในการทำกจิ กรรม
สมาชกิ ในกลุ่มเขียนประโยชน์ที่ไดร้ ับและข้อเสนอแนะจากการทำโครงงาน ในการแกป้ ัญหาจากสถานการณ์
ท่กี ำหนดให้
1. ประโยชนท์ ี่ไดร้ ับ
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
2. ขอ้ เสนอแนะ
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
84
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
กจิ กรรมที่ 7.13 การเขยี น/พมิ พบ์ รรณานกุ รมหรอื เอกสารอา้ งองิ
กลมุ่ ท.่ี ...................................
วตั ถุประสงค์
สามารถเขียนเอกสารอ้างองิ ตามรปู แบบทก่ี ำหนดไดถ้ กู ตอ้ ง
คำช้ีแจงในการทำกจิ กรรม
สมาชกิ ในกล่มุ เขยี นเอกสารอา้ งอิงเอกสารที่เกย่ี วข้องทรี่ วบรวมสำหรับการดำเนนิ งานจดั ทำโครงงาน
เอกสารอ้างองิ
……………………………………………………………………………………............
……………………………………………………………………………………...……
………………………………………………………………………………...…………
…………………………………………………………………………...………………
……………………………………………………………………...……………………
………………………………………………………………...…………………………
…………………………………………………………...………………………………
……………………………………………………...……………………………………
………………………………………………...…………………………………………
…………………………………………...………………………………………………
……………………………………...……………………………………………………
………………………………...…………………………………………………………
…………………………...………………………………………………………………
……………………...……………………………………………………………………
………………...…………………………………………………………………………
…………...……………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………...……
………………………………………………………………………………...…………
…………………………………………………………………………...………………
……………………………………………………………………........................................
85
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน
กจิ กรรมที่ 7.14 การเขยี นบทคดั ยอ่
กลมุ่ ท.่ี ...................................
วตั ถุประสงค์
สามารถเขยี นบทคดั ยอ่ โครงงานได้ถกู ตอ้ ง
คำช้ีแจงในการทำกจิ กรรม
1. ใหส้ มาชกิ ในกลุ่มเขยี นบทคดั ยอ่ โครงงานและนำเสนอผลการทำกิจกรรม
2. เวลาในการทำกิจกรรม 30 นาที
ช่ือโครงงาน……………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
ช่อื ผ้จู ดั ทำ………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
ชื่อครูทีป่ รกึ ษา…………………………………………………………………………………………..
โรงเรยี น..............................................อำเภอ....................จังหวดั ……………….ปีการศึกษา…....………..
บทคดั ยอ่
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................
คำสำคญั : ……………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………..
86
กา้ วแรก การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน
(Project-Based Learning: PBL)
กจิ กรรมที่ 7.15 การนำเสนอผลงานและประเมนิ ผล
กลมุ่ ท.ี่ ...................................
วตั ถปุ ระสงค์
1. สามารถนำเสนอผลงานการจดั การเรยี นรู้โดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน (PBL)
2. มีส่วนร่วมในการประเมนิ ผลการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้โครงงานเปน็ ฐาน (PBL)
คำชแี้ จงในการทำกจิ กรรม
1. สมาชิกในกลุ่มนำเสนอผลงานโครงงาน PBL ใหใ้ นรูปแบบทน่ี ่าสนใจ
2. มีส่วนร่วมในการประเมินผลงานโครงงาน PBL ของกลุ่มอื่น ๆ ตามรูปแบบที่กำหนด และให้คำแนะนำ
ที่สรา้ งสรรค์
87
สำนกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน
ตัวอยา่ งแบบประเมนิ การจดั การเรยี นรโู้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน (PBL)
โครงงานเรอ่ื ง................................................................................................................
คำชแ้ี จง ใสเ่ ครอ่ื งหมาย ✓ ลงในชอ่ งท่ีตรงกับความคิดเหน็ ของการจัดทำโครงงาน
ผลการประเมนิ (ระดบั คณุ ภาพ)
ขอ้ ที่ รายการประเมนิ ดีมาก ดี ปานกลาง นอ้ ย
(4) (3) (2) (1)
1 การเลอื กเรื่องในการทำโครงงาน
2 การกำหนดวตั ถุประสงค์ของการทำโครงงาน
3 การตัง้ คำถามในการทำโครงงาน
4 การวางแผนในการทำโครงงาน
5 การเตรียมงาน
6 การลงมือปฏิบัติตามแผนท่วี างไว้
7 การสรุปผล
8 การนำเสนอผลงานได้เหมาะสม
9 มีความคดิ รเิ รม่ิ สรา้ งสรรค์
10 มีเหตุผล ยอมรับฟังความคดิ เห็นของผู้อน่ื
11 มีความเอื้อเฟ้อื เผ่ือแผแ่ ก่เพ่อื นร่วมงาน
12 มีความเป็นผนู้ ำ ผู้ตามที่ดี
13 ผลงานเสร็จตามเวลาท่ีกำหนด
14 มีความสุขในการทำงาน
15 อ่นื ๆ
ลงชอ่ื ...................................................ผู้ประเมิน
(....................................................)
................./................../...............
.
88