พระราชกรณียกิจ
ของ
พระมหากษัตริย์ไทย
สมัยก่อนรัตนโกสินทร์ และ สมัยรัตนโกสินทร์
พ่อขุนรามคำแหงมหาราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอม
เกล้าเจ้าอยู่หัว
นำ เ ส น อ โ ด ย
น.ส.ปภัสสวรรณ เพิ่ มศิริปรีชา ม.4/10 เลขที่ 26
พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทย
พ่ อ ขุ น ร า ม คำ แ ห ง ม ห า ร า ช ( พ . ศ . 1 8 2 2 - 1 8 4 1 )
พระราชประวัติ
พ่อขุนรามคำแหงมหาราชเป็นกษัตริย์ลำดับที่ 3 ของอาณาจักรสุโขทัยในสมัย
ของพระองค์อาณาจักรสุโขทัยมีความมั่นคงและเจริญรุ่งเรืองสูงสุด
พระราชกรณียกิจที่สำคัญคือ ทรงประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1826
และโปรดให้จารึกลงในแท่นหินเรียกว่า ศิลาจารึกหลักที่ 1 ศิลาจารึกพ่อขุน
รามคำแหงตัวอักษรไทยดังกล่าวนี้ได้มีวิวัฒนาการกลายเป็นอักษรไทย
ที่ใช้ในปัจจุบันนี้พระราชกรณียกิจด้านอื่น ๆ ที่สำคัญเช่น
ด้านการบริหารบ้านเมือง
พ่ อขุนรามคำแหงมหาราชทรงปกครองบ้านเมืองแบบปิตาธิปไตย
หรือ พ่อปกครองลูกพระองค์ถือว่า พ่อเมือเปรียบเสมือนพ่อ
ส่วนพลเมืองเป็นลูกลูกมีหน้าที่เคารพเชื่อฟังพ่ อจึงจะมีชีวิตร่วม
กันโดยสันติสุขด้านการปกครองภายในทรงใช้วิธีกระจายอำนาจให้
เจ้านายปกครองหัวเมือง เพื่อปกป้องราชธานีคือ กรุงสุโขทัยที่
สำคัญคือเมืองศรีสัชนาลัยซึ่งเป็นเมืองของอุปราชเมืองพระยา
มหานครอาจเป็นกลุ่มเมืองพันธมิตร เชื้อสายไทยช่วยเหลือเกื้อกูล
ซึ่งกันและกันยามเกิดภัยพิบัติเมืองประเทศราช ได้แก่ เมืองขึ้นซึ่ง
อยู่นอกราชอาณาจักรผู้ปกครองมีอำนาจสิทธิ์ขาดในรัฐของตน
และส่งเครื่องราชบรรณาการให้ราชธานี
ด้านการทำศึกสงคราม
ในศิลาจารึกได้บันทึกเกี่ยวกับการทำศึกสงครามว่า
พ่ อขุนรามคำแหงมหาราชมีความสามารถด้านการยุทธตั้งแต่
พระชนม์เพียง 19 พรรษา โดยช่วยพระราชบิดาต่อสู้กับขุนสาม
ชนระยะต่อมาเป็นการรบเรบเพื่ อขยายอาณาจักรในสมัยของพระ
ราชบิดาและพระเชษฐาส่วนในรัชกาลของพระองค์ทรงขยาย
อาณาเขตด้วยวิธีการผูกไมตรีกับรัฐที่ห่างไกลเพื่ อผลประโยชน์
ทั้งการเมืองและการค้า
พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทย
พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ จุ ล จ อ ม เ ก ล้ า เ จ้ า อ ยู่ หั ว ( พ . ศ . 2 4 1 1 - 2 4 5 3 )
พระราชประวัติ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระราชโอรสของ
พระบาทสมเด็จพระองค์เสด็จขึ้นพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อทรงพระเยาว์
ทรงได้รับการศึกษาทั้งด้านการปกครองโบราณ ราชประเพณีภาษาอังกฤษ
และวิทยาการทางด้านต่าง ๆ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นกษัตริย์ครอง
ราชย์เมื่อยังทรงพระเยาว์เจ้านายและขุนนางผู้ใหญ่เห็นชอบให้เจ้าพระยาศรี
สุริยวงศ์เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในช่วงเวลาดังกล่าวพระองค์ได้เสด็จ
พระราชดำเนินต่างประเทศเพื่ อทอดพระเนตรความเจริญของต่างชาติและ
เสริมสร้างสัมพั นธไมตรีเมื่อพระองค์ได้ครองราชสมบัติด้วยพระองค์เองเมื่อ
พ.ศ. 2416 ได้ทรงดำเนินการปฏิรูปประเทศทันทีทั้งทาง ด้านเศรษฐกิจ
สังคมและการเมืองการปกครอง
พระราชกรณียกิจรัชกาลที่ 5
แนวคิดหลักการปฏิรูปด้านการปกครอง คือระบบรวมศูนย์อำนาจ
พร้อมทั้งจัดระเบียบ ด้านการเงินการคลังของประเทศให้เป็นแบบ
สากลปรับปรุงบ้าน เมืองทั้งราชธานีและ หัวเมืองให้เจริญก้าวหน้า
ปรับปรุงคุณภาพประชากรทั้งด้านการศึกษาสาธารณสุขและสิทธิ
เสรีภาพส่วนบุคคล จะได้กำลังคนที่มีประสิทธิภาพเพียงพอใน
การช่วยพั ฒนาประเทศ
พระราชกรณียกิจด้านการไปรษณีย์โทรเลข
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง
การไปรษณีย์ขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ.2426 มี
ที่ทำการเรียกว่า ไปรษณียาคาร ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา และเปิด
ดำเนินการอย่างเป็นทางการครั้งแรกในวันที่ 5 สิงหาคม
พ.ศ.2426 หลังจากนั้นจึงโปรดเกล้าฯ ให้กรมโทรเลขรวมเข้ากับ
กรมไปรษณีย์ชื่อว่า กรมไปรษณีย์โทรเลข
พระราชกรณียกิจด้านการพยาบาลและสาธารณสุข
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริที่จะสร้าง
โรงพยาบาลเพื่ อรักษาประชาชนด้วยวิธีการแพทย์แผนใหม่
เนื่องจากการรักษาแบบเดิมนั้นล้าสมัย ไม่สามารถช่วยคนได้อย่าง
ทันท่วงทีทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมายเมื่อเกิดโรคระบาด พระองค์จึง
ทรงจัดสร้างโรงพยาบาลขึ้นบริเวณริมคลองบางกอกน้อย อัน
เป็นที่ตั้งของพระราชวังบวรสถานพิมุข หรือวังหลัง
พระราชกรณียกิจด้านการขนส่งและสื่อสาร
ในปี พ.ศ. 2431 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง
โปรดเกล้าฯ ให้คณะเสนาบดีและกรมโยธาธิการสำรวจเส้นทาง
เพื่อวางรากฐานการสร้างทางรถไฟจากกรุงเทพฯ - เชียงใหม่
มีการวางแผนให้ทางรถไฟสายนี้ตัดเข้าเมืองใหญ่ๆ ในบริเวณ
ภาคกลางของประเทศแล้วแยกเป็นชุมสายตัดเข้าสู่จังหวัดใหญ่
ทางแถบภาค ตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากเป็นหัวลำโพงเมืองที่
เป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้า
พระราชกรณียกิจด้านการเปลี่ยนแปลงระบบเงินตรา
นปี พ.ศ. ๒๔๑๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้ทำธนบัตรขึ้นเรียกว่า อัฐ เป็นกระ
ดาษมีมูลค่าเท่ากับเหรียญทองแดง ๑ อัฐ แต่ใช้ได้เพียง ๑ ปีก็เลิกไป เพราะประชาชนไม่นิยมใช้ ต่อมาทรงตั้ง
กรมธนบัตรขึ้นมา เพื่อจัดทำเป็นตั๋วสัญญาขึ้นใช้แทนเงินกรมธนบัตรได้เริ่มใช้ตั๋วสัญญาเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน
พ.ศ.๒๔๔๕ เป็นครั้งแรก เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในปี พ.ศ. ๒๔๔๑ ได้มีการผลิตธนบัตรรุ่นแรกออกมา ๕ ชนิด คือ ๑,๐๐๐ บาท ๑๐๐ บาท ๒๐ บาท ๑๐ บาท ๕
บาท ภายหลังมีธนบัตรใบละ ๑ บาทออกมาด้วย รวมถึงพระองค์โปรดเกล้าฯ ให้กำหนดหน่วยเงินตรา โดยให้
หน่วยทศนิยมเรียกว่า สตางค์ กำหนดให้ ๑๐๐ สตางค์ เท่ากับ ๑ บาท พร้อมกับผลิตเหรียญสตางค์ขึ้นมาใช้
เป็นครั้งแรกเรียกว่าเบี้ยสตางค์ มีอยู่ด้วยกัน ๔ ชนิด คือ ราคา ๒๐ สตางค์ ๑๐ สตางค์ ๔ สตางค์ ๒ สตางค์
ครึ่ง ใช้ปนกับเหรียญเสี้ยว และอัฐ
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๕๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงออกประกาศยกเลิกใช้เงินพดด้วงและทรง
ออกพระราชบัญญัติมาตราทองคำ ร.ศ.๑๒๗ ประกาศใช้เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๕๑ ว่าด้วยเรื่องให้ใช้
แร่ทองคำเป็นมาตรฐานเงินตราแทนแร่เงิน เพื่อให้เสถียรภาพเงินตราของไทยสอดคล้องกับหลักสากล และในปี
ต่อมาทรงออกประกาศเลิกใช้เหรียญเฟื้อง และเบี้ยทองแดง
การเลิกทาส
การเลิกทาส เป็นพระราชกรณียกิจอันสำคัญยิ่ง ด้วยพระองค์ทรง
เห็นว่ามีทาสในแผ่นดินเป็นจำนวนมากและลูกทาสในเรือนเบี้ยจะสืบ
ต่อการเป็นทาสไปจนรุ่นลูกรุ่นหลานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ถ้าไม่มีเงินมา
ไถ่ตัวเองแล้วต้องเป็นทาสไปตลอดชีวิต พระองค์จึงทรงมีพระราช
หฤทัยแน่วแน่ว่าจะต้องเลิกทาสให้สำเร็จแม้จะเป็นเรื่องยากลำบาก
การศึกษา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเห็นความสำคัญของการ
ศึกษา จึงโปรดให้สร้างโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง คือ
"โรงเรียนนายทหารมหาดเล็ก" ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนพระตำหนัก
สวนกุหลาบ" ต่อมาโปรดให้ตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้นเป็นแห่ง
แรก คือ "โรงเรียนวัดมหรรณพาราม" และในที่สุดได้โปรดให้จัดตั้ง
กระทรวงธรรมการขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2435 (ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ)
เพื่ อดูแลเรื่องการศึกษาและการศาสนา