พส.12
ใบความรู้ (Information Sheets)
รหสั วชิ า 20101-2005 วชิ างานไฟฟา้ รถยนต์
ชอื่ หน่วย ทฤษฎไี ฟฟา้ รถยนต์เบอ้ื งต้น
เรอ่ื ง ทฤษฎีไฟฟ้ารถยนตเ์ บื้องตน้ จำนวนช่ัวโมงสอน 14 ช่ัวโมง
รายการเรียนรู้
จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
- จดุ ประสงค์ทัว่ ไป 1. การกำเนดิ และแหล่งกำเนิดไฟฟา้
1. บอกการกำเนิดและแหลง่ กำเนดิ ไฟฟา้ ได้ 2. ชนิดและหนว่ ยวัดทางไฟฟา้
2. บอกชนดิ และหน่วยวัดทางไฟฟ้าได้ 3. กฎของโอห์ม และการคำนวณหาคา่ ต่างๆ ทางไฟฟ้า
3. อธิบายกฎของโอหม์ ได้ 4. ชนิดของวงจรไฟฟ้า
4. บอกชนิดของวงจรไฟฟา้ ได้ 5. สัญลกั ษณ์และหน้าท่ีของอปุ กรณไ์ ฟฟา้
5. อธบิ ายสัญลักษณ์และหน้าท่ขี องอปุ กรณ์ไฟฟ้าได้ 6. ขั้วต่อและประเภทการใช้งาน
6. บอกชนดิ ของข้วั ตอ่ และประเภทการใชง้ านได้ 7. การใชเ้ ครือ่ งมือวดั ค่าตา่ งๆ ทางไฟฟ้า
7. บอกโครงสรา้ งและหน้าท่ีของแบตเตอรี่ 8. โครงสร้างและหนา้ ท่ีของแบตเตอร่ี
- จุดประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม 9. การบำรุงรักษาและตรวจสอบแบตเตอรี่
1.คำนวณหาคา่ ต่างๆ ทางไฟฟ้าได้ 10.การประจุไฟเขา้ แบตเตอร่ี
2.เลอื กใชต้ ามประเภทการใช้งานได้ แบบประเมินผลการเรยี นรูท้ า้ ยหนว่ ยท่ี 1
3.ปฏบิ ัติการใช้เครือ่ งมือวัดค่าตา่ งๆ ทางไฟฟา้ ได้
4.ปฏิบัตกิ ารบำรงุ รักษาและตรวจสอบแบตเตอร่ีได้
5.ปฏบิ ัติการประจุไฟเข้าแบตเตอรี่ได้
เนื้อหาสาระ
การศึกษาวชิ าไฟฟ้ารถยนตใ์ ห้เกิดความรู้ความเข้าใจอยา่ งแท้จริง จำเปน็ ต้องศึกษาทฤษฎีไฟฟา้ เบ้ืองต้น
เพื่อให้เกิดความเขา้ ใจพ้ืนฐานด้านวิธกี ารกำเนดิ การนำไฟฟ้ามาใชง้ าน ชนิดของกระแสไฟฟา้ การอ่านค่าและการ
คำนวณหาคา่ ตา่ งๆ ทางไฟฟ้า สัญลักษณ์ หน้าท่ีอุปกรณ์ ขั้วตอ่ และการใชเ้ ครื่องมือวัดค่าต่างๆ และระบบไฟฟา้ ใน
รถยนตท์ ้งั หมด สามารถทำงานไดโ้ ดยอาศัยกำลงั ไฟฟา้ จากแหลง่ จ่าย คอื แบตเตอรี่ ไฟฟ้าทีผ่ ลติ ได้นีเ้ กิดจากปฏกิ ิริยา
เคมี เป็นไฟฟ้ากระแสตรง ขนาดแรงดนั ไฟฟา้ 12 โวลต์
1. การกำเนิดและแหลง่ กำเนิดไฟฟา้
อเิ ลก็ ตรอนทวี่ ิง่ อยูว่ งโคจรรอบนอกของอะตอมไดร้ บั แรงดูดจากนิวเคลยี สเพยี งเล็กนอ้ ย อิเล็กตรอนเหลา่ น้จี ะ
พยายามหนจี ากวงโคจรอยูต่ ลอดเวลา จงึ มีช่อื เรยี กวา่ “อเิ ล็กตรอนอสิ ระ” การเคลื่อนทขี่ องอิเล็กตรอนอิสระจาก
อะตอมหนึ่งไปยงั อะตอมหนึ่งเรยี กวา่ “การไหลของกระแสไฟฟา้ ” ซึง่ เป็นการกำเนดิ ของไฟฟา้ ดังรูปที่ 1.1
รูปท่ี 1.1 หลักการกำเนิดไฟฟ้า
สำหรับแหล่งกำเนินไฟฟา้ ทีใ่ ช้ในชีวิตประจำวนั ได้แก่
1. เกดิ จากไฟฟา้ ในอากาศทส่ี ามารถสงั เกตได้ คือ การเกดิ ฟ้าแลบ ฟา้ ร้อง ฟา้ ผ่า ฯ
2. เกดิ จากพลงั งานความร้อน เช่น ความร้อนจากแสงอาทติ ย์ เปลย่ี นเปน็ พลงั งานไฟฟ้าโดยการใช้โซลารเ์ ซลล์
3. เกิดจากสตั วบ์ างชนิดทมี่ ปี ระจไุ ฟฟา้ ในตัวเอง เช่น ปลาไหลไฟฟ้า ฯ
4. เกิดจากปฏิกิริยาเคมี เชน่ แบตเตอร่ี ถ่านไฟฉาย ฯ
5. เกิดจากการนเหนีย่ วนำโดยการหมนุ ขดลวดตัดกับสนามแมเ่ หลก็ เช่น ไดนาโม เจนเนอเรเตอร์ อลั เทอรเ์ น
เตอรฯ์
6. เกดิ จากการเสียดสี เชน่ การนำผา้ ไหมถูกบั แทง่ แก้ว จะเกิดไฟฟ้าสถติ ประจบุ วกท่ีแท่งแกว้ และประจลุ บที่
ผา้ ไหม เปน็ ตน้
ไฟฟา้ ท่ีได้จากแหล่งกำเนิดเหล่านี้ ทน่ี ยิ มนำมาใชง้ านทางช่างยนต์ ไดแ้ ก่ ไฟฟ้าทเี่ กิดจากปฏิกริ ยิ าทางเคมีและ
ไฟฟา้ ทเ่ี กิดจากการเหน่ยี วนำ
2. ชนดิ และหนว่ ยวัดทางไฟฟ้า
ชนิดของไฟฟา้ มีอยู่ 2 ชนดิ คือ
1. ไฟฟ้าสถติ
2. ไฟฟา้ กระแส ประกอบด้วย
2.1 ไฟฟ้ากระแสตรง (Dierct Current)
2.2 ไฟฟา้ กระแสสลับ (Alternating Current)
1.ไฟฟ้าสถิตย์ (Static Electricty) คือ ไฟฟา้ ท่ีถกู แยกประจบุ วกและประจลุ บออกจากกนั และเก็บประจุไว้
ในตำแหนง่ ท่ีไมส่ ามารถเคล่ือนทเ่ี ขา้ หากันได้ เวน้ แตจ่ ะนำสารทงั้ สองไปสัมผสั กันหรือต่อถงึ กันดว้ ยตัวนำ จึงจะสามารถ
เคลื่อนทีเ่ ข้าหากนั ได้
รูปท่ี 1.2 หลกั การของไฟฟา้ สถิต
ตวั อย่างตามรปู ที่ 1.2 นำแท่งแกว้ ถกู บั ผา้ ไหม แทง่ แกว้ จะเกดิ ไฟฟ้าสถิตประจุบวก ผา้ ไหมจะเกิดไฟฟา้ สถิต
ประจลุ บ ไฟฟา้ ประจุเหมือนกันเม่ือเข้าใกล้กันจะเกดิ การผลักกัน และไฟฟา้ ประจตุ า่ งกันเม่อื เข้าใกล้กนั จะเกดิ การดูด
กัน ดังรปู ท่ี 1.3
รปู ที่ 1.3 ปฏิกริ ยิ าของประจุบวกและประจลุ บ
2.ไฟฟ้ากระแส (Current Electricity) คือ ไฟฟา้ ที่เกิดจากการเคล่ือนที่ของอิเล็กตรอนอิสระภายในตวั นำ
ดังรปู 1.4
รปู ท่ี 1.4 การเคลื่อนที่ของอิเลก็ ตรอน
2.1 ไฟฟ้ากระแสตรง(Direct Current) คอื ไฟฟ้าทีม่ ีการเคล่อื นท่ีของอิเล็กตรอนอสิ ระไปทางเดียวตลอดอย่าง
สมำ่ เสมอ ดงั รปู ท่ี 1.5
รปู ที่ 1.5 รูปแบบไฟฟา้ กระแสตรง
2.2 ไฟฟ้ากระแสสลับ(Alternating Current) คอื ไฟฟา้ ท่ีมีทิศทางการเคลื่อนท่ีของอิเล็กตรอนอิสระเปลี่ยน
กลับไปมาเปน็ ระยะๆ ดงั รูปที่ 1.6
รปู ท่ี 1.6 รูปแบบไฟฟ้ากระแสสลับ
3.แรงดนั ไฟฟา้ (Electrical Voltage) คอื แรงที่ดันใหอ้ เิ ล็กตรอนอสิ ระเคล่ือนท่ไี ปตามตัวนำจากจดุ ท่ีมี
แรงดนั ไฟฟา้ มากไปยงั จดุ ที่มีแรงดันไฟฟา้ น้อย ซึง่ แรงทีส่ รา้ งใหเ้ กดิ แรงดันไฟฟ้า จะทำให้เกิดการเคลอ่ื นที่ของ
อเิ ลก็ ตรอนอสิ ระตลอดเวลา เรยี กวา่ “แรงเคล่ือนไฟฟ้า” ดังรูปท่ี 1.7
รูปท่ี 1.7 การเกิดแรงดันไฟฟ้า
ตารางที่ 1.1 แสดงหน่วยท่ใี ช้วัดแรงดันไฟฟ้า หน่วยพ้ืนฐาน คือ โวลต(์ Volt)
หน่วยพ้นื ฐาน หน่วยสำหรบั ขนำดท่ีน้อยมำก หน่วยสำหรบั ขนำดที่มำก
สญั ลกั ษณ์ V V mV kV MV
การออกเสยี ง โวลต์ ไมโครโวลต์ มลิ ลโิ วลต์ กโิ ลโวลต์ เมกะโวลต์
ตวั คณู 1 1x10-6 1x10-3 1x103 1x106
แรงดันไฟฟ้า 1 โวลต์ คอื แรงดันท่ีสามารถทำให้กระแส 1 แอมแปร์ ไหลผา่ นตวั นำไฟฟ้า ซึ่งมคี า่ ความ
ตา้ นทาน 1 โอห์ม
4.กระแสไฟฟ้า(Electrical Current) คือ ปริมาณของอิเลก็ ตรอนท่ีไหลไปตามตัวนำจากประจลุ บไปยังประจุ
บวกแตก่ ารกำหนดค่ากระแสจะกำหนดตรงข้ามกบั การเคลื่อนที่ของอิเลก็ ตรอนอิสระ คือ กระแสจะไหลจากขัว้ บวกไป
ยังข้ัวลบ สว่ นอเิ ล็กตรอนจะเคล่อื นท่ีจากประจลุ บไปยังประจบุ วกดังรปู ท่ี 1.8
รูปที่ 1.8 การเกิดกระแสไฟฟ้า
ตารางที่ 1.2 หนว่ ยทใ่ี ช้วัดกระแสไฟฟ้า หน่วยพืน้ ฐานคือ แอมแปร์ (Ampere)
หน่วยพ้นื ฐาน หน่วยสาหรบั ขนาดทน่ี ้อยมาก หน่วยสาหรบั ขนาดทม่ี าก
สญั ลกั ษณ์ A A mA kA MA
การออกเสยี ง แอมแปร์
ตวั คณู ไมโคร มลิ ลิ กโิ ล เมกะ
1 แอมแปร์ แอมแปร์ แอมแปร์ แอมแปร์
1x10-6 1/1 ลา้ น 1x10-3 (1/1000) 1x103 1x1000 1x10 1x1 ลา้ น
กระแสไฟฟา้ 1 แอมแปร์ คือ การเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนอิสระไปตามตวั นำ 6.25x1016 ตัวตอ่ วนิ าที
(อเิ ล็กตรอน 6.25x1016 ตัว เทา่ กบั 1 คูลอมป)์
5.ความต้านทานไฟฟ้า(Electrical Resistance) คือ แรงต้านภายในของสารทีม่ ตี ่อการไหลของ
กระแสไฟฟ้าที่ไหลผา่ นสารนั้นๆ
รปู ที่ 1.9 การเกดิ ความต้านทานไฟฟ้า
ค่าความตา้ นทานไฟฟา้ จะมากหรอื น้อยขนึ้ อยกู่ บั สภาวะต่อไปนี้
1) ชนิดของสาร - สารที่เป็นตัวนำไฟฟา้ จะมคี ่าความต้านทานน้อย
- สารทเี่ ป็นฉนวนจะมีคา่ ความต้านทานมาก
รปู ที่ 1.10 สว่ นประกอบของตวั นำและฉนวน
2) ขนาดของสาร - สารชนดิ เดียวกนั ขนาดใหญ่ คา่ ความตา้ นทานจะน้อย
- สารขนาดเลก็ คา่ ความต้านทานจะมาก
รปู ที่ 1.11 เปรียบเทยี บค่าความต้านทานตามพน้ื ท่ีหนา้ ตัด
3) ความยาว3ข)อคงวสาามรยาวขอ-งสสาารรช-นดิ สเาดรยี วนกิดันเดถยี้าวคกวนัามา้ยคาววามมายกาคว่ามคาวกาคม่าตควา้ านมทตาา้ นนจทะามนากะมาก
- - ถา้ ขนาดสนั้ ความา้ตข้านนาทดาสนนั้ จคะวนา้อมยตา้(พนทน้ื าทนห่ี นะนา้ ต้อยัดเ(ทพา่ น้ื กทันห่ี )น้าตดั เทา่ กนั )
รูปที่ 1.12 เปรยี บเทียบค่าความต้านทานตามความยาว
4) อุณหภูมิ ปกตสิ ารเม่ือไดร้ ับความรอ้ นอุณหภมู จิ ะสงู ขึน้ คา่ ความตา้ นทานจะเพม่ิ ขึน้ ตาม ถ้าอุณหภมู ลิ ดลง
คา่ ความต้านทานจะลดลง ยกเวน้ คารบ์ อน © ถา้ อณุ หภมู สิ ูงข้ึน คา่ ความต้านทานจะลดลง
รูปท่ี 1.13 เปรียบเทยี บค่าความตา้ นทานตามอุณหภมู ิ
5) สภาวะของผวิ สมั ผัส ผวิ สมั ผัสไม่สนทิ สกปรก มีรอยไหม้ คา่ ความตา้ นทานจะมาก ทำใหก้ ระแสไฟฟ้าไหล
ผ่านได้นอ้ ยลง
รูปที่ 1.14 แสดงคา่ ความต้านทานที่ผวิ สัมผัส
ตารางท่ี 1.3 หนว่ ยทีใ่ ชว้ ัดความต้านทานไฟฟา้ หน่วยพ้ืนฐาน คอื โอห์ม (Ohm)
หน่วยพ้นื ฐำน หน่วยสำหรบั ขนำดที่น้อยมำก หน่วยสำหรบั ขนำดที่มำก
สญั ลกั ษณ์ m k M
การออกเสยี ง โอหม์ ไมโคร โอหม์ มลิ ลิ โอหม์ กโิ ล โอหม์ เมกะ โอหม์
ตวั คณู 1 1x10-6 1x10-3 1x103 1x10
ความตา้ นทาน 1 โอห์ม คอื ค่าความต้านทานไฟฟา้ ซึ่งต้านทานการไหลของกระแสไฟฟ้า 1 แอมแปร์ ซ่ึงมี
แรงดันไฟฟา้ 1 โวลต์
3. กฎของโอห์ม และการคำนวณหาค่าต่างๆ ทางไฟฟ้า
เมื่อจ่ายแรงดนั ใหว้ งจรไฟฟ้า จะมกี ระแสไหลภายในวงจร จะเกิดความสัมพันธร์ ะหวา่ งแรงดนั กระแสและ
ความต้านทานภายในวงจร คือ ความเข้มของกระแสซ่ึงไหลภายในวงจร เปน็ ปฏิภาคโดยตรงกับแรงดันซงึ่ จา่ ยใหแ้ ก่
วงจร และเปน็ ปฏิภาคกลับกับคา่ ความตา้ นทานของวตั ถุที่กระแสไหลผา่ น ความสมั พันธ์ดังกลา่ วเรยี กวา่ “กฎของ
โอห์ม” ซ่ึงสามารถแสดงใหเ้ ห็นเปน็ สมการได้ดงั นี้
สมการที่ได้คือ 1. I = E
R
2. E = IR
3. R = E
I
โดยกำหนดให้ I = กระแสไฟฟ้าท่ีไหลในวงจร มีหนว่ ยเปน็ แอมแปร์ (A)
E = แรงดันไฟฟ้าซ่งึ จา่ ยให้วงจร มีหน่วยเปน็ โวลต์ (V)
R = ความตา้ นทานในวงจร มหี น่วยเป็นโอห์ม ( Ω )
จากกฎของโอห์ม เราสามารถนำไปใชค้ ำนวณหาคา่ กระแส แรงดนั และค่าความต้านทานในวงจรต่างๆ และ
จากค่าเหลา่ น้สี ามารถนำไปใช้หาคา่ กำลงั ไฟฟา้ ได้จากสตู ร P = EI เมอ่ื P = กำลังไฟฟ้า มีหนว่ ยเป็นวตั ต(์ w)
4. ชนิดของวงจรไฟฟ้า
วงจรไฟฟ้าในรถยนต์ประกอบดว้ ยตัวตา้ นทานมากกวา่ 1 ตัว การตอ่ ความต้านทานหลายๆตวั ในวงจร
สามารถต่อได้ 3 แบบ คือ
1. การต่อแบบอนุกรมหรืออันดบั (Series Connection) ซึง่ มีคุณสมบตั ิ คือ
- กระแสไหลผ่านความตา้ นทานแต่ละตัวจะเท่ากนั
- ผลรวมของแรงดันไฟฟ้าแต่ละตัวจะเทา่ กบั แรงดันจากแหล่งจา่ ย
- ความตา้ นทานในวงจรจะเท่ากบั ผลรวมของความต้านทานท้งั หมด (R0) = R1 + R2
ความตา้ นทานรวม (R0) = 10 + 10 = 20 (โอห์ม)
รูปที่ 1.15 แสดงการต่อวงจรแบบอนุกรม
2. การตอ่ แบบขนาน (Parallel Connection) ซ่งึ มคี ณุ สมบตั ิ คอื
- แรงดนั ไฟฟ้าที่ความตา้ นทานแต่ละตวั จะเทา่ กับแหลง่ จ่ายพลงั งาน
- ผลรวมของกระแสที่จา่ ยใหค้ วามต้านทานแตล่ ะตวั จะเท่ากบั กระแสที่จ่ายออกจากแหล่งพลงั งาน
- ความตา้ นทานรวมของวงจรจะน้อยกวา่ คา่ ความต่านทานแตล่ ะตวั 111
R0 = R1 + R2
1 112 ความต้านทานรวม (R0) = 102 = 5 (โอหม์ )
R0 = 10 + 10 = 10
รูปท่ี 1.16 แสดงการต่อวงจรแบบขนาน
3. การต่อแบบอนกุ รม – ขนาน (Series – parallel connection)
- การต่อแบบนมี้ ีคุณสมบัตผิ สมกนั ระหว่างแบบอนุกรมและขนาน
- การหาค่าความต้านทานรวม แยกหาทลี ะข้นั โดยเร่ิมจากแบบขนานกอ่ น
รูปที่ 1.17 แสดงการต่อวงจรแบบผสม
จากรปู กำหนดให้ R1 = 10, R2 = 10, R3 = 10
ความต้านทานรวมแบบขนาน 1 11
ความตา้ นทานรวมทงั้ หมด R23 = R2 + R3
1 112
R23 = 10 + 10 = 10
R23 = 5
R0 = R1 + R23
5. สญั ลักษณ์และหนา้ ทข่ี องอุปกรณไ์ ฟฟ้า
สัญลกั ษณ์ หนา้ ที่
แบตเตอร่ี (Battery) ทำหน้าทีส่ ะสมพลงั งานเคมีและเปล่ียนกลบั ไปเปน็ พลงั งานไฟฟา้ ให้
ไฟฟา้ กระแสตรงแกว่ งจรไฟฟ้าตา่ งๆ ในรถยนต์
ตัวเกบ็ ประจุ (Condenser) เป็นหน่วยเกบ็ กระแสไฟฟา้ ช่ัวคราว ตวั เกบ็ ประจุซง่ึ มีขวั้ ต่อลง
ดิน มกั ถูกเรียกวา่ คอนเดนเซอร์
ท่ีจดุ บหุ รี่ (Lighter) เปน็ อุปกรณ์ความต้านทานทางไฟฟ้า ซึ่งทำใหเ้ กิดความร้อน
ไดโอด (Diode) สารกึ่งตวั นำซ่ึงยอมใหก้ ระแสไหลผา่ นไดเ้ พยี งทิศทางเดียว
ซเี นอร์ไดโอด (Zener Diode) ไดโอด ซึ่งยอมให้กระแสไหลผ่านได้ทิศทางหน่ึง แต่จะกั้น
กระแสย้อนกลับไดใ้ นค่าจำกดั แรงดนั ท่กี ำหนด ถา้ มีคา่ ความตา่ งศักย์สงู กวา่ มันจะยอมให้
แรงดนั ส่วนเกนิ ไหลผ่านไปได้ คอื หน้าทเี่ หมอื นกบั ตัวควบคุมแบบง่าย
หลอดไฟใหญ่ (Head Light) การไหลของกระแส ทำให้ไสห้ ลอดไฟใหญเ่ กิดความร้อน
และสง่ แสงสว่างออกมา หลอดไฟใหญ่มที ั้งแบบไส้เดยี ว (1) แบบไสค้ ู่ (2) แบบไส้เดยี วจะมี
แบบไฟตำ่ และไฟสูง แบบไส้คู่ จะมีไส้ไฟตำ่ และไส้ไฟสงู อยู่ในหลอดเดยี วกัน
หน้าทองขาว (Breaker Points) ทำหน้าทีป่ ิด – เปิด เพ่ือตอ่ วงจรไฟฟา้
แตร (Horn) อุปกรณ์ไฟฟ้า ซึง่ ส่งสญั ญาณออกมาเป็นเสยี ง
ขวั้ สายไฟ (Terminal) ทำหน้าทตี่ อ่ สายไฟแบบสามารถถอดได้โดยไม่เกิดความเสียหาย
คอยลจ์ ุดระเบิด (Ignition Coil) ทำหนา้ ท่ีเปลยี่ นไฟฟา้ กระแสตรงแรงดันต่ำ ใหเ้ ป็นไฟฟ้า
แรงดันสูง เพ่ือจุดระเบิดทเ่ี ข้ียวหัวเทียน
แสดงทิศทางการไหลเขา้ ของกระแส
แสดงทศิ ทางการไหลออกของกระแส
สญั ลักษณ์ หน้าที่
จานจา่ ยแบบหนว่ ยรวมวงจร (Integrated Ignition Assembly) อปุ กรณจ์ ่ายกระแส
แรงดนั ไฟสูงจากคอยล์จุดระเบิดไปยงั หวั เทยี นแต่ละสบู
ฟิวส์ (Fuse) ทำจากโลหะเส้นบางยาว ซงึ่ จะขาดออกจากกนั เม่ือมกี ระแสไหลผ่านมาก
เกินไป เพ่ือหยดุ การไหลของกระแสและป้องกันความเสยี หายแกว่ งจร
ฟวิ สแ์ บบสาย เป็นแบบเสน้ ลวดใช้ในวงจรท่ีมีกระแสมากๆเพอ่ื ป้องกนั การเสียหายของ
วงจร
จุดต่อลงดิน (Ground)
จดุ ที่สายไฟตอ่ ลงกบั ตวั ถังหรือโครงรถ เพอ่ื เปน็ ส่วนใหก้ ระแสของวงจรไหลกลบั กระแสจะ
ไมส่ ามารถไหลได้ ถา้ ไมม่ จี ดุ ต่อลงดินในรถยนต์
แอมมิเตอร์ (Ammeter) อุปกรณว์ ดั กระแสไฟฟ้าต่อเข้ากบั วงจรแบบอนุกรม
หลอดไฟแสงสวา่ ง (Lamp) กระแสไหลผ่านไสห้ ลอด ทำให้เกิดความร้อนและเปล่งแสง
ออกมา
เกจวัดแบบอนาล็อค sการไหลของกระแสจะไปกระตุน้ ขดลวดสนามแม่เหลก็ ซ่งึ เปน็ เหตุให้
เข็มเคล่ือนที่ไปเพื่อแสดงขนาดหรือจำนวนสิ่งท่ีต้องการวัด
มอเตอร์ (Motor) เปน็ อุปกรณซ์ ึ่ง เปล่ียนพลังงานไฟฟา้ เป็นพลงั งานกล โดยเฉพาะการ
เคลื่อนทแี่ บบหมุนวน
เครือ่ งกำเนดิ ไฟฟา้ (Generator) อปุ กรณ์ผลิตกระแสไฟฟา้ จากพลงั งานกล
เบรกเกอร์ (Breaker) อปุ กรณต์ ัด – ตอ่ วงจรไฟฟ้าเมือ่ ใช้ไฟเกินกำหนด
โวลต์มิเตอร์ (Voltmeter) อุปกรณว์ ดั แรงเคล่ือนไฟฟ้าต่อเขา้ กับวงจรแบบขนาน
รีเลย์ (Relay) ทำหนา้ ทีเ่ ป็นสวิตชท์ างไฟฟ้า ซึง่ มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบปกตเิ ปิด (1) เมื่อ
รีเลยท์ ำงานจะทำหน้าทต่ี ่อวงจรไฟฟา้ แบบปกติปดิ (2) เมื่อรเี ลย์ทำงานจะตัดวงจรไฟฟ้า
หัวเทียน (Spark Plug) อปุ กรณส์ รา้ งประกายไฟจุดระเบิดในเครอื่ งยนตแ์ กส๊ โซลีน
รีเลยส์ องทาง รีเลย์ทำหน้าทใี่ หก้ ระแสไหลผา่ นหนา้ สมั ผัสชุดใดชุดหนึ่ง
สญั ลักษณ์ หนา้ ที่
ตวั ต้านทาน (Resistor) อปุ กรณ์ทางไฟฟ้า ซึ่งมีค่าความต้านทานคงที่ ใช้ตดิ ต้ังในวงจรเพือ่
ลดแรงดันไฟฟ้าใหอ้ ยใู่ นคา่ ที่กำหนด
สวิตช์ (Switch) ทำหน้าทเี่ ปิดและปดิ วงจร เพ่ือระงับหรอื ยอมให้กระแสไหล
สวิตชส์ องทาง เปน็ สวิตช์ซง่ึ ยอมให้กระแสไหลผ่านหนา้ สมั ผสั ชดุ ใดชุดหน่งึ ตลอดเวลา
สวติ ชจ์ ดุ ระเบดิ (Ignition Switch) เปน็ สวิตช์ซึ่งใชก้ ญุ แจเป็นตวั ทำงาน มีอยหู่ ลาย
ตำแหน่งสำหรับวงจรต่างๆ โดยเฉพาะการทำงานของวงจรไฟฟา้ แรงดันตำ่ ในระบบจุด
ระเบดิ
สวติ ชห์ ยุดใบปัดนำ้ ฝน (Cam Switch) ทำหนา้ ทใ่ี หใ้ บปัดนำ้ ฝนกลบั ไป อยู่ในตำแหน่ง
หยดุ โดยอัตโนมตั ิ เมื่อปดิ สวิตชป์ ัดน้ำฝน
ชุดขวั้ ต่อตัวผู้ (2 Wire Male) สำหรบั ต่อสายไฟแบบถอดได้
ชดุ ขั้วต่อตัวเมยี (2 Wire Female) สำหรับตอ่ สายไฟแบบถอดได้
ความตา้ นทานแบบปรบั ค่าได้ (Variable Resistor) ตัวตา้ นทาน ซง่ึ สามารถควบคุม
อตั ราการเปลยี่ นแปลงค่าได้ อาจเรยี กวา่ โปเทนซโิ อมเิ ตอร์ หรือ รโี อสตัท ไดเ้ ชน่ เดียวกัน
โซลินอยด์ (Solenoid Switch) เป็นขดลวดสนามแม่เหลก็ ไฟฟ้า เพ่ือสรา้ งสนามแมเ่ หลก็
ในขณะกระแสไฟฟ้าไหลผ่าน เพือ่ ทำให้พลงั เยอรเ์ คล่ือนท่ี
ขดลวด (Winding) เป็นตวั นำใหก้ ระแสไฟฟา้ ไหลผ่าน สำหรบั สร้างสนามแมเ่ หลก็
ตวั ตา้ นทานเลือกค่าได้ (Rheostat) อุปกรณ์สำหรบั ปรบั ค่ากระแสไฟฟ้าและ
แรงเคลอ่ื นไฟฟ้าในวงจร
ตัวนำหรอื สายไฟ (Wire) อุปกรณ์นำกระแสไฟฟ้าให้ไหลผา่ นไปใช้งาน
สัญลักษณ์ หนา้ ที่
ทรานซิสเตอร์ (Transistor) เปน็ อปุ กรณใ์ นรูปแบบของโซลิดสเตท ใช้เปน็ รีเลย์
อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เพื่อสกัดหรอื ยอมให้กระแสไหลผ่านตามแรงดันที่จ่ายให้กบั เบส
สายไฟ การเขยี นสายไฟในแผนผงั วงจรมักจะเขยี นเปน็ เสน้ ตรง การเขียนเส้นพาดกนั โดย
ไมม่ จี ุดดำอยใู่ นตำแหนง่ ที่เสน้ คร่อมกนั (1) แสดงวา่ สายค่นู ้ันไม่เชอ่ื มต่อกนั ถ้าเขยี นเสน้
พาดกนั มีจดุ ดำ ท่ีตำแหน่งเส้นคร่อมกนั (2) แสดงวา่ สายคู่น้นั เชือ่ มต่อกนั
6. ขวั้ ต่อและประเภทการใชง้ าน
ภาพอปุ กรณ์ ชือ่ ลักษณะการใชง้ าน
ต่อข้วั บวกและข้ัวลบของแบตเตอร่ี
ขว้ั แบตเตอรี่
หวั ตอ่ กลม ตอ่ กับจดุ ท่มี ีสกรูยดึ และไม่ต้องการถอดบอ่ ย
หวั เสยี บแบบตัวยู ต่อกับจดุ ทม่ี สี กรูยึดแต่ต้องการถอดเข้าออกบ่อยครั้ง
ขัว้ ต่อกลม ต่อสายเข้าด้วยกัน
ขัว้ ต่อแบน ต่อสายเขา้ ดว้ ยกนั
ขว้ั ต่อสายไฟแรงสงู ตอ่ ปลายสายคอยลแ์ ละสายจานจ่าย
ข้ัวตอ่ สายหวั เทียน ต่อสายไฟแรงสูงทดี่ ้านหวั เทียน
ปลัก๊ เสียบ ตอ่ สายทีละหลายๆสายหรอื เป็นชดุ
ขนาดสายไฟและการเลือกใช้
การเลือกใชข้ นาดสายไฟจะต้องคำนึงถึง
- ขนาดและชนิดของอปุ กรณ์ไฟฟ้าทใ่ี ช้
- การกินกระแสของอปุ กรณ์
- การเปรยี บเทยี บจากของทีใ่ ช้อย่เู ดิม
ขนาดของสายไฟท่ีใชก้ บั ระบบแสงสวา่ งและอุปกรณ์ต่างๆในรถยนต์ คอื ขนาด 0.5-2.5 ตร.มม. ซง่ึ
จะทนกระแสได้สงู สดุ 9 ถงึ 27 แอมแปร์ สำหรบั สายแบตเตอรีจ่ ะใช้ขนาดตงั้ แต่ 8 ตร.มม. ข้ึนไป
ตารางที่ 1.4 แสดงตวั อย่างการเลอื กใช้ขนาดสายไฟกับวงจรต่างๆ
พ้นื ท่หี นา้ ตัด(mm2) กระแสสงู สดุ (แอมแปร์) ใชใ้ นวงจร
0.5 9 ไฟหรี่ แผงหนา้ ปดั ไฟเกง๋
0.75 11 ไฟท้าย ไฟสอ่ งปา้ ย ไฟเลยี้ ว ไฟฉกุ เฉนิ
0.85 12 ไฟเบรก มอเตอรป์ ัดน้ำฝน
1.00, 1.25 15 ไฟจดุ ระเบดิ
2.00 20 ไฟแตร
3.00 27 ไฟหนา้ หัวเผา รีเลยไ์ ฟหน้า รีเลยส์ ตารต์ ไฟสตาร์ต
5.00 37 ไฟชารจ์
8.00 48 สายเมนแบตเตอรี่
15.00 67 สายเมนแบตเตอร่ี
สแี ละแถบสี
การใชส้ ีของฉนวนสายไฟที่แตกตา่ งกนั เพื่อแยกประเภทของชนดิ และอุปกรณใ์ นรถยนตท์ ีใ่ ช้ให้เปน็ ประเภท
หรอื หมวดหมู่ จะง่ายตอ่ การตรวจซ่อม
ตัวอย่าง การบอกสัญลักษณ์ของสายไฟ จะกำหนดเปน็ ตวั เลขและตวั อักษรเรยี งกนั ดงั นี้
ขนาด 0.5 G-R ( 0.5 G/R ) 0.5 หมายถึงขนาด 0.5 ตร.มม.
แถบสี G-R G หมายถงึ สเี ขยี ว (Green) เป็นสีพืน้
R หมายถงึ สแี ดง(Red)สที ่คี าดเปน็ สแี ดง
ตารางท่ี 1.5 แสดงตวั อย่างการแบ่งหมวดหมู่อุปกรณ์ตามสี
โค้ดของสาย ความหมาย วงจร
B ดำ สตาร์ท หรือดนิ
W ขาว ชารจ์
R แดง แสงสวา่ ง
G เขียว สญั ญาณไฟเลยี้ ว
Y เหลอื ง อุปกรณ์
L นำ้ เงนิ ปดั น้ำฝน
Br นำ้ ตาล อน่ื ๆ
Lg เขยี วออ่ น
การตอ่ สายไฟฟา้ รถยนต์ คือ การนำสายมาบรรจบเขา้ ด้วยกันในลักษณะถาวรหรือช่ัวคราว สามารถทำได้โดย
วิธกี ารดังน้ี
รปู แบบการตอ่ วิธีการตอ่
1. ตอ่ ด้วยวธิ กี ารบัดกรี เปน็ การตอ่ แบบถาวร ไมม่ ีการถอดเข้าออกบ่อยครัง้ เม่ือต่อเสรจ็
แลว้ ตอ้ งมีฉนวนหุ้ม หรือเทปพันทับ
2. ตอ่ ด้วยวธิ ีใช้ขัว้ ตอ่ สาย เป็นการตอ่ แบบถาวรโดยการใชข้ ว้ั ตอ่ สายและคมี ใหต้ ิดกนั
3. ตอ่ ดว้ ยวธิ ีการใชข้ ้วั เสยี บ เปน็ การตอ่ แบบไม่ถาวรระหวา่ งสาย 2 เส้น หรอื มากกวา่
แต่ต้องใชข้ วั้ เสยี บสายต่อเข้ากบั ปลายสายทงั้ สองข้างเสียก่อน
4. ตอ่ ด้วยวิธกี ารใช้ปลั๊กเสยี บ เป็นการตอ่ แบบชว่ั คราวระหวา่ งกลมุ่ สายหลายๆ เสน้ ทอี่ ยู่
ในวงจรประเภทเดยี วกัน และสายไฟฟา้ ทม่ี ีขนาดใกล้เคยี งกัน
7. การใช้เครอ่ื งมอื วัดค่าต่างๆ ทางไฟฟ้า
ในการตรวจเช็คระบบทางไฟฟา้ ของรถยนตน์ นั้ จำเป็นท่จี ะตอ้ งมีการวัดคา่ ทางไฟฟา้ ตา่ งๆ ซึ่งการวัดคา่ ต่างๆ
ทางไฟฟ้ารถยนตน์ น้ั ที่ตอ้ งวัดกนั เป็นประจำก็คือ
1 การวดั กระแสไฟฟา้ โดยใชแ้ อมมเิ ตอร์
เปน็ การวัดปริมาณของกระแสทีไ่ หลผา่ นวงจร การวัด
นนั้ จะต้องตอ่ ในลักษณะอนกุ รมกับวงจร มหี น่วยในการ
วดั เป็นแอมแปร์ (A)
2 การวดั แรงดันไฟฟา้ หรือแรงเคลอ่ื นไฟฟา้ โดยใชโ้ วลต์
มิเตอร์
เป็นการวดั แรงดันทจี่ า่ ยให้แก่อุปกรณ์ต่างๆภายใน
วงจร การต่อโวลต์มิเตอรจ์ ะต่อขนานกับวงจร มหี น่วยใน
การวัดเปน็ โวลต(์ V)
3 การวัดคา่ ความต้านทาน โดยใช้โอหม์ มิเตอร์
เป็นการวดั เพื่อหาความต้านทานของอุปกรณห์ รือ
ความต่อเน่ืองของวงจร การวัดจะต้องไม่ใหม้ ี
กระแสไฟฟ้าไหลอยู่ภายในวงจร หนว่ ยในการวดั เปน็
โอห์ม(Ω)
มลั ตมิ เิ ตอร์
เป็นอปุ กรณ์ท่มี หี นา้ ที่ วดั แรงดนั ไฟฟ้ากระแสตรง(DC) กระแสสลับ(AC) ความต้านทาน กระแสไฟฟ้า
ตรวจสอบการขาดของวงจร และอุปกรณ์ไฟฟ้าตา่ งๆ
รูปที่ 1.18 แสดงส่วนประกอบของมัลตมิ เิ ตอร์
1) ปมุ่ ตัง้ เข็มตำแหนง่ 0 7) หน้าแปลนเลอื กค่าพกิ ดั
2) ปุ่มปรบั เลอื กค่าพกิ ดั 8) เขม็ ช้ีบอกคา่ และหน้าปดั
3) ขว้ั บวกสายวดั 9-10) สกรขู ันฝาครอบหนังและฝาครอบ
4) ขั้วลบสายวัด (Common) 11-12) ขวั้ เสยี บตรวจสอบ hFE (ความถี่คล่ืน)
5) ปมุ่ ตรวจสอบคอนเดนเซอร์ 13) สายคีบขว้ั B (Base) ทรานซิสเตอร์
6) ปุ่มเซตค่าความตา้ นทานเป็น 0 14) สายคบี ข้ัว C (Collector) ทรานซิสเตอร์
วิธกี ารใชม้ ลั ติมิเตอร์
1 เสยี บสายวดั สิแดงเขา้ ท่ีขั้วบวก สีดำเขา้ ขัว้ ลบ
2 ปรบั ยา่ นทต่ี ้องการวดั เชน่ Ω, DCV, ACV หรืออนื่ ๆ ให้เหมาะสมกับงานท่ีตอ้ งการจะวัด
3 จี้ปลายสายเขา้ ตำแหน่งงานท่ีต้องการวดั โดยเขม็ ปลายดา้ นบวกจี้เขา้ ขว้ั บวก และปลายสายดา้ น
ลบจี้เขา้ ข้ัวลบหรอื กราวด์
4 อา่ นคา่ ทว่ี ัดได้ หรือดูผลการตรวจสอบว่าอุปกรณน์ ั้นใช้งานได้หรอื ไม่
รปู ที่ 1.19 แสดงตำแหนง่ อา่ นคา่ บนหนา้ ปัดของมลั ติมเิ ตอร์
ขอ้ ควรระวงั
1. ถ้าเป็นการวดั แรงดนั ไฟฟา้ กระแสตรง หา้ มจ้ขี ว้ั วัดผิด จะทำให้เขม็ มเิ ตอร์ตีกลบั และชำรดุ ได้
2. การวัดคา่ ความตา้ นทานต้องปลดข้ัวให้อปุ กรณ์น้ันเป็นอิสระ และไม่มีไฟไหลในอุปกรณ์
8. โครงสรา้ งและหน้าที่ของแบตเตอร่ี
หนา้ ทข่ี อแบตเตอรี่ คือ เก็บประจุไฟฟ้ากระแสตรงไวใ้ นรูปของปฏกิ ิรยิ าเคมี และจ่ายให้แก่ระบบต่างๆภายใน
รถยนต์ เช่น ระบบสตาร์ต ระบบจดุ ระเบดิ เปน็ ต้น
รูปที่ 1.20 แสดงส่วนประกอบของแบตเตอร่ี
เปลอื กแบตเตอรี่ (Battery Case)
เป็นวสั ดปุ ระเภทยางแข็ง หรอื พลาสติกแขง็ ทำหน้าที่รองรับและห่อหุ้มอุปกรณ์ทั้งหมดแบง่ เปน็ ช่องๆ
ละ 2 โวลท์ มรี เู ติมนำ้ กล่ันแยกออกจากกันทภ่ี ายนอก จะตัวอักษรบอกขนาดความจุของแบตเตอร่ี เปน็ จำนวน
แอมแปร์ – ช่วั โมง โดยมขี นาดความจตุ ัง้ แต่ 30 – 150 แผ่นธาตุ จะถกู ยกให้สงู ขน้ึ จากก้นของเปลือกแบตเตอรี่ ด้วย
สนั ครีบเพื่อปอ้ งกนั การลดั วงจรจากสารทำปฏิกริ ิยา ที่อาจหลดุ ลว่ งออกจากแผ่นธาตุ
รปู ที่ 1.21 แสดงรูปเปลอื กแบตเตอร่ี
แผ่นธาตุ (Plates)
แผน่ ธาตุ มอี ยู่ 2 ชนิด คอื แผ่นธาตบุ วกและแผ่นธาตลุ บ ทำเป็นโครงรา่ งของตะแกรง แผน่ บวกทำ
จากตะกัว่ เปอร์ออกไซด์ และแผน่ ธาตลุ บทำจากตะกั่วธรรมดา วางซ้อนสลบั กันระหวา่ งแผน่ บวกและแผน่ ลบโดยแผ่น
ลบจะมีมากกว่าแผน่ บวกหน่งึ แผ่นเสมอ
รปู ที่ 1.22 แสดงแผน่ ธาตุ
แผน่ กั้น (Separators)
จะทำจากยางหรอื ไม้ขึน้ รูปเป็นลอน มแี ผ่นใยแกว้ เคลือบทั้งสองด้าน โดยขนาดจะเท่ากบั แผ่นธาตทุ ำ
หนา้ ทปี่ อ้ งกันไมใ่ ห้แผน่ บวกและแผน่ ลบแตะกัน แผน่ ก้ันจะเจาะรูพรุนไวเ้ พื่อใหน้ ้ำกรดถา่ ยเทไปมาได้ตามปกติ
รูปที่ 1.23 แสดงแผ่นกนั้ แผ่นธาตุ
เซลล์ (Cells)
เซลล์ คือ ช่องทีบ่ รรจุแผน่ บวกและแผ่นลบแผน่ กั้นและน้ำกรด แบตเตอรี่ 6 โวลท์ จะมี 3 เซลล์
แบตเตอร่ี 12 โวลท์ จะมี 6 เซลล์ แบตเตอรี่ท่ีมปี ระจุไฟเต็มแต่ละเซลลจ์ ะมีแรงดันไฟฟ้า 2.1 โวลท์ ถา้ แบตเตอร่ีลกู
หน่งึ มี 3 เซลล์ จะมีแรงดันไฟฟ้ารวม 6.3 โวลท์ ถ้ามี 6 เซลล์ ก็จะมีแรงดนั ไฟฟ้ารวม 12.6 โวลท์ เปน็ ต้น
รูปที่ 1.24 แสดงโครงสร้างของแบตเตอรี่
สะพานไฟหรือแผน่ คาด
เป็นตะกัว่ หลอ่ เป็นแท่งต่อระหวา่ งช่องแต่ละช่อง เพื่อให้ได้แรงเคล่ือนตามทีต่ ้องการ เชน่ ถ้าต่อ
รวมกัน 3 ช่อง จะได้ 6โวลท์ ตอ่ รวมกัน 6 ช่อง จะได้ 12 โวลท์
รปู ที่ 1.25 แสดงสะพานไฟหรือแผน่ กด
ข้วั แบตเตอร่ี (Battery Pole)
เปน็ ตะกวั่ แท่งกลมโผล่พ้นเปลือกของแบตเตอร่ีขึ้นมาภายนอก โดยทัว่ ไปจะมีขนาดไม่เท่ากนั ข้วั บวก
จะมีขนาดใหญ่กวา่ ข้วั ลบเสมอหรือขว้ั บวกทาสแี ดง ขวั้ ลบทาสดี ำ ท้ังสองข้ัวน้จี ะเปน็ จดุ รวมของชดุ แผน่ ธาตบุ วกและชุด
แผ่นธาตลุ บ เมือ่ จะนำไฟไปใชก้ ็ต่อออกจากข้ัวทง้ั สองขนาดของแรงเคลื่อนรวมทั้งหมดของแบตเตอร่ี กว็ ดั ไดจ้ ากขว้ั ทง้ั
สองนี้
รปู ที่ 1.26 แสดงข้ัวแบตเตอร่ี
ฝาจกุ (Vent Plug)
ฝาจกุ แบบมีรูระบายถูกใชเ้ พ่ือปดิ ช่องเติมน้ำยาทางไฟฟ้า และออกแบมาเพือ่ แยกแก๊สไฮโดรเจนออก
จากไอกรดกำมะถันขณะประจไุ ฟแบตเตอร่ี ซึง่ มขี นึ้ ภายในแบตเตอร่ี โดยยอมใหแ้ กส๊ ไฮโดรเจนผา่ นรรู ะบายออกไป
และไอกรดกำมะถันกลนั่ ตวั ในช่องระบายและตกกลบั เข้าไปในแบตเตอรอ่ี ีกครัง้
รูปท่ี 1.27 แสดงฝาปดิ ชอ่ งเติมนำ้ กล่ัน
น้ำกรดหรอื นำ้ ยาอเิ ล็กโตรไลต์ (Electrolyte)
น้ำยาของแบตเตอรี่ คือ สารละลายของนำ้ กรดกำมะถันกบั นำ้ กลนั่ ซ่งึ จะทำให้เจอื จาง โดยมี
อตั ราส่วนของน้ำกล่ัน 60.2 ต่อน้ำกรด 39.8 เปอรเ์ ซ็นต์ นำ้ ยาอเิ ล็กโตรไลต์นีจ้ ะเป็นตวั แปรท่ที ำใหเ้ กิดปฏิกิริยาเคมี
ระหว่างแผ่นธาตุและน้ำกลนั่ เมอื่ แบตเตอรี่มไี ฟเตม็ จะมีความถว่ งจำเพาะของน้ำยาประมาณ 1.260 ถึง 1.280 ที่
อณุ หภูมิ 20 องศาเซลเซียส
รูปท่ี 1.28 แสดงสว่ นผสมน้ำกรดและน้ำกลนั่
ปฏิกริ ยิ าทางเคมีในขณะประจุและจา่ ยไฟ
เมื่อมีประจไุ ฟเต็ม
สภาพของแผน่ ธาตบุ วกเป็นตะกั่วเปอร์ออกไซด์ น้ำยา และแผ่นธาตลุ บเป็นตะกวั่ บรสิ ทุ ธิ์ ขณะนี้
ความถ่วงจำเพาะของน้ำยาอยู่ระหวา่ ง 1.260 – 1.280
รูปที่ 1.29 แสดงปฏิกิริยาเม่ือไฟเต็ม
เมอื่ จ่ายไฟใช้งาน
อิเลก็ ตรอนจากขว้ั ลบ จะเคล่ือนที่ไปยงั ขวั้ บวก ทำให้ พยายามแยกตวั ออกจาก เพ่ือรวมตวั กบั
และ จะดงึ เพื่อเปลีย่ นสภาพเปน็ ดงั นน้ั เมื่อเกดิ ปฏกิ ริ ิยาไปเร่อื ยๆ จะทำให้ความถว่ งจำเพาะของน้ำยาลดลงเร่ือยๆ
ถ้าเหลอื ประมาณ 1.160 หรือต่ำกว่านี้ กจ็ ะไม่มกี ารจ่ายไฟอกี ต่อไป
เมื่อไฟหมด
สภาพตะก่ัวที่แผ่นบวกและแผน่ ลบจะมีสภาพเปน็ ตะกั่วซัลเฟส นำ้ ยาภายในแบตเตอรจี่ ะกลายเป็น
น้ำ จึงตอ้ งประจุไฟกระแสตรงเข้าไปเพ่ือเปลีย่ นสภาพ
รูปที่ 1.30 แสดงปฏิกริ ิยาเมื่อมีการจ่ายไฟ
เมื่อประจไุ ฟ
คอื การทำใหป้ ฏกิ ิรยิ าเคมีระหวา่ งแผน่ ธาตุ และนำ้ ยาเกิดการคืนตวั ให้แผน่ ธาตุบวกมสี ภาพเป็นตะกั่ว
เปอร์ออกไซด์ แผ่นธาตุลบเป็นตะกั่วบรสิ ทุ ธิ์ตามเดมิ โดยการทำใหอ้ ิเล็กตรอนเคลือ่ นท่ีจากขั้วบวกไปยังขัว้ ลบซัลเฟส
ก็จะถูกดึงมารวมตวั กับไฮโดรเจน เปน็ กรดกำมะถันเจือจางตามเดิม
รูปท่ี 1.31 แสดงปฏิกิรยิ าเม่ือมีการประจุไฟ
9. การบำรุงรกั ษาและตรวจสอบแบตเตอรี่
เพ่ือใหแ้ บตเตอรใี่ ช้งานได้นานและมปี ระสิทธิภาพ จงึ จำเป็นต้องทำการบำรุงรักษา และตรวจสอบดว้ ยวธิ ีต่างๆ
ดังต่อไปนี้
- ลา้ งเปลอื กนอกและสงิ่ สกปรกดว้ ยนำ้ อุ่นผสม Baking Soda
- ทำความสะอาดข้วั แบตเตอร่ีและขว้ั สาย ถ้ามีรอยแตกร้าวใหเ้ ปลีย่ นแบตเตอร่ใี หม่
รูปท่ี 1.32 แสดงการตรวจสภาพแบตเตอร่ี
ถ้าระดับนำ้ ยาต่ำกวา่ ระดับ ต้องเตมิ ดว้ ยน้ำกลั่นบรสิ ทุ ธใ์ิ ห้ท่วมแผ่นธาตตุ ามระดับมาตรฐานของนำ้ ยาใน
แบตเตอรี่ ต้องทว่ มแผ่นธาตุถึงขีดสูงสุดท่เี ปลือกแบตเตอร่ี หรือประมาณ 10-15 มม.
รปู ที่ 1.33 แสดงระดับนำ้ กลั่นในแบตเตอรี่
การตรวจวดั ความถ่วงจำเพาะของน้ำยา
ไฮโดรมิเตอร์ เป็นเคร่ืองมือท่ีใชว้ ดั ความถ่าวจำเพาะโดยการลอยตัวของลูกลอยภายในหลอดแกว้ ซึ่ง
ปกติจะมสี เกลหรือสเี พือ่ บอกค่าของความถว่ งจำเพาะ คา่ ของความถา่ งจำเพาะจะแสดงถึงสภาพการประจไุ ฟ สแี ดง
แสดงวา่ แบตเตอรีไ่ ฟอ่อน สขี าวแสดงวา่ แบตเตอร่ีมไี ฟพอใช้ สเี ขยี วหรอื สีนำ้ เงินแสดงวา่ แบตเตอร่ีมไี ฟเต็ม
รปู ท่ี 1.34 ไฮโดรมเิ ตอร์
ความสมั พนั ธร์ ะหว่างค่าความถ่วงจำเพาะของนำ้ ยาทางไฟฟา้ และประจุแบตเตอรี่ ซง่ึ มีค่าความ
ถว่ งจำเพาะเดิม 1.26 และ 1.28 เป็นดงั แสดงในกราฟ กราฟนี้สามารถใชห้ าประจุของแบตเตอรีใ่ นเวลาใดๆได้ทันที
รปู ท่ี 1.35 แสดงความสัมพนั ธ์ระหว่างค่าความถ่วงจำเพาะของน้ำยาทางไฟฟ้าและประจุแบตเตอร่ี
วิธกี ารวดั ความถ่วงเพาะ
สามารถวัดดว้ ยไฮโดรมเิ ตอร์ โดยการใช้ท่อยางจุ่มลงในช่องเติมนำ้ ยาของแบตเตอร่ี แลว้ บีบ
ลูกยางดดู น้ำยาเขา้ มาในหลอดแก้ว ในปริมาณท่ีเพียงพอที่จะทำให้ลกู ลอยภายในหลอดแก้วลอยได้อยา่ งอิสระอ่านค่า
สเกลของลูกลอย แล้วเทยี บจากตารางกราฟด้านบนเพ่ือดคู ่าความจไุ ฟของแบตเตอรี่ในขณะน้นั
รูปท่ี 1.36 แสดงการวดั ค่าความถว่ งจำเพาะ
การทดสอบโดยการวัดแรงเคลือ่ น
ใชโ้ วลตม์ ิเตอร์วัดแรงเคล่อื นรวมทั้งหมดของแบตเตอร่ี จะทราบว่าแบตเตอร่ีขณะน้ันมแี รง
เคล่ือนอยู่เท่าไหร่ โดยการใชโ้ วลมเิ ตอรว์ ัดแรงเคลื่อนกระแสตรง และอ่านค่าท่วี ดั ได้
รูปที่ 1.37 แสดงการวดั คา่ แรงเคลอ่ื นไฟฟ้า
ทดสอบความสามารถในการจ่ายไฟ
ทดสอบโวลต์-แอมป์
การทดสอบดา้ ยเครื่องทดสอบเพอ่ื หาความสามารถในการจ่ายไฟของแบตเตอรี่ โดยปรบั ปมุ่ เลอื กย่าน
มาท่กี ระแส(A) ปรับภาระ(Load)เปน็ 3เท่า ของความจุแบตเตอร่ี ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที คลาย Load และปรบั ปุ่ม
เลอื กมาท่ีค่าโวลต์ (V) อ่านคา่ แรงเคลอ่ื นต้องไมต่ ่ำกว่า 9.6 โวลต์ (สำหรับแบตเตอรี่ 12 โวลต)์ ถ้าต่ำกวา่ แสดงว่า
แบตเตอร่เี ส่ือมคุณภาพ โดยก่อนทดสอบควรประจุไฟแบตเตอรีใ่ ห้เตม็ เสียก่อน
รปู ท่ี 1.38 แสดงการทดสอบความสามารถในการจ่ายไฟ
การทดสอบความสามารถในการคายประจุ
ปิดสวิตช์กญุ แจในตำแหนง่ สตาร์ต เพอ่ื ให้มอเตอรส์ ตารต์ ทำงาน สังเกตการหมนุ ของมอเตอร์สตาร์ต
วา่ หมนุ ไดด้ เี พยี งใด ถ้าหมนุ ชา้ แสดงว่าแบตเตอรีเ่ รม่ิ เสอื่ มคุณภาพ
รูปท่ี 1.39 แสดงการทดสอบความสามารถในการคายประจุ
การทดสอบความสามารถในการเก็บไฟของแบตเตอร่ี
นำแบตเตอรี่ไปประจุไฟด้วยเคร่อื งประจเุ รว็ ในเวลา 3 นาที ดว้ ยกระแสไมเ่ กนิ 40 แอมป์ เมื่อครบ 3
นาทีแล้ว แรงเคล่ือนจะต้องได้นอ้ ยกว่า 15.5 โวลต์ ถ้าสูงกวา่ น้แี สดงวา่ แบตเตอรี่ไมส่ ามารถเกบ็ ไฟไดห้ รอื ชำรุดแล้ว
รปู ท่ี 1.40 แสดงการประจุไฟเข้าแบตเตอร่ี
10.การประจไุ ฟเขา้ แบตเตอรี่
การประจุอยา่ งเร็ว คือ การประจไุ ฟเพื่อใชอ้ ย่างเรง่ ดว่ นในระยะเวลาอนั สนั้ ดว้ ยเคร่ืองประจไุ ฟที่เรียกวา่
เครอ่ื งประจุไฟเร็ว (Quick Charge) โดย
1.ประจุขณะแบตเตอรี่อยบู่ นรถได้
2.ประจดุ ้วยกระแสไม่เกิน1/2ของความจทุ ่กี ำหนดไว้บนตวั แบตเตอร่ี
3.ใช้เวลาประมาณ1/2 – 1ชว่ั โมง
4.ดูแลอณุ หภมู ิของแบตเตอรต่ี ้องไม่เกนิ 45 องศา ถา้ เกินใหล้ ดอัตรากระแสทป่ี ระจลุ งมา
การประจอุ ยา่ งช้า คือ การประจไุ ฟทีไ่ มต่ ้องการความเร่งด่วนในการใช้งานหรอื ประจุตามปกติ โดยทวั่ ไป
มกั จะประจุคร้งั ละหลายๆ ลูก โดย
1.ประจกุ ระแสคงที่
2.ประจุตามปกติใช้เวลา 6-8 ช่ัวโมง
3.ตอ้ งยกแบตเตอรีอ่ อกจากรถ
4.ประจุด้วยกระแสประมาณ 1/10 ของความจุท่กี ำหนดไว้บนแบตเตอร่ี
การประจคุ รง้ั ละหลายลูก
แบบขนาน
1.ต่อพ่วงแบตเตอร่ีข้ัวบวกต่อขวั้ บวก ข้วั ลบตอ่ ขวั้ ลบ
2.เลอื กแรงเคลื่อนท่ีเคร่ืองประจุเทา่ กับแรงเคลื่อนของแบตเตอร่ี 1 ลูก
3.เลือกกระแสประจุเทา่ กับประจุ 1 ลูก คูณดว้ ยจำนวนแบตเตอร่ี
รปู ที่ 1.41 แสดงการประจุไฟแบบขนาน
แบบอนุกรม
1.ต่อพว่ งแบตเตอร่ีขั้วบวกตอ่ ขั้วบวกลกู ที่ แรก ข้ัวลบต่อขั้วลบลูกทสี่ อง
2.ต่อขัว้ แบตเตอรี่ข้ัวลบลกู แรก เข้ากบั ขั้วลบของแบตลกู ท่สี อง
2.เลือกแรงเคลือ่ นที่เครื่องประจเุ ทา่ กบั แรงเคล่ือนของแบตเตอร่ี 2 ลูกบวกกัน
3.เลอื กกระแสประจเุ ท่ากับประจุแบตเตอรที่ มี่ ปี ระจุตำ่ ทีส่ ุด
รปู ท่ี 1.42 แสดงการประจไุ ฟแบบอนุกรม
การกำหนดอัตรากระแสและเวลาประจุ
เพ่ือให้เกดิ ความเทยี่ งตรงในการกำหนดเวลาและกระแสไฟฟ้าในการประจุ ควรใชส้ ูตรในการคำนวณ
ดงั นี้
การประจุเรว็ กำหนดเวลา ½ -2 ชว่ั โมง
สูตร อตั รากระแสประจุ = ประจุทถ่ี ูกใช้(Ah) / 1+เวลาทีก่ ำหนด
ตวั อย่าง แบตเตอร่คี วามจุ 40Ah วัดความถ่วงจำเพาะเฉล่ียได้ 1.18 จากตารางกราฟหนา้ 43 ประจคุ งเหลือใน
แบตเตอร่ี 60% ถกู ใช้ไป 40%
แบตเตอร่ีถกู ใชป้ ระจุ = (40/100)*10 =16Ah
เวลาประจทุ ี่กำหนด = 1 ชว่ั โมง
สตู ร อัตรากระแสประจุ = ประจทุ ถี่ ูกใช(้ Ah) / 1+เวลาที่กำหนด
แทนค่า อตั รากระแสประจุ = (16/1+1) = 16/2 =8 แอมป์
สรุป คา่ ทคี่ ำนวณไดเ้ ท่ากับ 8 แอมป์ไมเ่ กนิ ครง่ึ หนง่ึ ของความจุ คอื 20 แอมแปร์-ชั่วโมง
การประจชุ า้ กำหนดกระแสประจุ 1/10 ของความจุ
ตวั อยา่ ง แบตเตอร่ี ความจุ 40 Ah วดั ความถ่วงจำเพาะเฉลยี่ ได้ 1.18 ถูกใชป้ ระจุ 16 Ah
สตู รเวลาประจทุ ี่กำหนด = (ประจทุ ่ถี ูกใช้(Ah) / กระแสประจุ )*1.25ถึง1.5
แทนคา่ เวลาประจุทีก่ ำหนด = (16/4)*1.2 ถึง 1.5
เวลาประจทุ ่กี ำหนด = 4.8 ถึง 6 ช่ัวโมง
สรปุ อตั รากระแสประจุ เท่ากับ 4 แอมแปร์ ใชเ้ วลาประจุ 4.8-6 ชวั่ โมง
ข้อควรระวังในการใชง้ านและบำรงุ รกั ษาแบตเตอร่ี
1.ไมป่ ระจุไฟฟา้ ด้วยกระแสที่มากเกินไป
2.ไมใ่ ช้งานแบตเตอร่ีจนกระทั่งไฟหมด
3.บำรงุ รักษาข้ัวแบตเตอร่ี ใหส้ ะอาดอยู่เสมอ
4.ตรวจความถว่ งจำเพาะของนำ้ ยา อยา่ งน้อย 1-2 สปั ดาห์ต่อครงั้
5.ไมส่ ตารต์ เครื่องเปน็ เวลานานเพราะจะทำใหแ้ บตเตอรี่จา่ ยกระแสติดต่อกันมาก
6.ขณะประจไุ ฟจะต้องไม่ทำให้เกดิ ประกายไฟในบรเิ วณใกล้เคียง
7.ถ้าไม่ใช้แบตเตอรเ่ี ปน็ เวลานานต้องปลดขัว้ สายออกและนำไปประจุไฟ 2 สปั ดาห์ตอ่ ครั้ง
8.ขณะประจไุ ฟเข้าแบตเตอร่ีควรเปดิ ฝาแบตเตอรี่ทคุ รั้ง
สาเหตทุ ีท่ ำให้แบตเตอร่ีมอี ายกุ ารใช้งานสน้ั
1.ประจุไฟมากเกินไป จะทำให้เกดิ
•การกรอ่ นท่ีแผ่นธาตุ
•อุณหภูมิภายในแบตเตอรส่ี งู ทำให้แผ่นธาตชุ ำรดุ
•น้ำยาแหง้ เรว็ กว่าปกติ
•อายกุ ารใช้งานสน้ั ลง
2.ประจไุ ฟน้อยเกนิ ไปทำให้เกิดคราบตะกั่วซัลเฟต บริเวณข้ัวแบตเตอร่แี ละแผน่ ธาตุ
3. เกดิ การลดั วงจรภายในหม้อแบตเตอร่ี อันเกิดมาจากสารเคลอื บแผน่ ธาตรุ ว่ ง ทดสอบได้โดย
•วัดคา่ ความถ่วงเพาะของแตล่ ะชอ่ งเปรียบเทียบกัน
•ประจไุ ฟแลว้ วัดความถ่วงจำเพาะแตล่ ะช่องอีกคร้ัง
4.เกิดซลั เฟตจับ เนื่องจาก
•เกบ็ แบตเตอร่ีไวน้ านโดยไม่ใชง้ าน
•เติมนำ้ ยาแทนนำ้ กลนั่
•อณุ หภูมิของแบตเตอรี่สงู เกนิ ไป
•ประจไุ ฟไม่เพียงพอ
คำถาม
แบบประเมนิ ผลการเรียนร้ทู า้ ยหน่วยท่ี 1
ตอนที่ 1
จงเลือกคำตอบท่ีถกู ต้องที่สดุ เพยี งข้อเดยี ว
1. การไหลของกระแสไฟฟา้ คือการเคลอ่ื นท่ขี องขอ้ ใด
ก. โปรตอน ข. อิเล็กตรอน
ค. นวิ ตรอน ง. อิเลก็ ตรอนอสิ ระ
2. สว่ นทีเ่ ล็กทีส่ ดุ ของสสารคอื ข้อใด
ก. อะตอม ข. โมเลกลุ
ค. ธาตุ ง. เกลด็
3. อุปกรณ์ผลติ ไฟฟา้ กระแสตรงคือขอ้ ใด
ก. อลั เตอร์เนเตอร์ ข. แบตเตอร่ี
ค. เร็กกเู ลเตอร์ ง. ไดโอด
4. อปุ กรณผ์ ลิตไฟฟา้ กระแสสลบั คือข้อใด
ก. อัลเตอรเ์ นเตอร์ ข. แบตเตอร่ี
ค. เรก็ กูเลเตอร์ ง. ไดโอด
5. อุปกรณ์ท่นี ำประโยชน์จากไฟฟา้ สถิตมาใช้งานคือข้อใด
ก. เยนเนอเรเตอร์ ข. เรก็ กเู ลเตอร์
ค. คอนเดนเซอร์ ง. อัลเตอรเ์ นเตอร์
6. อุปกรณ์ไฟฟ้า AC220V50HZ ใชก้ บั ไฟฟา้ ชนดิ ใด
ก. ไฟฟ้าสถิต ข. ไฟฟ้ากระแสสลบั
ค. ไฟฟา้ กระแสตรง ง. ไฟฟ้ากระแส
7. หนว่ ยวดั แรงดนั ไฟฟา้ คอื ข้อใด
ก. วัตต์ ข. แอมแปร์
ค. โอห์ม ง. โวลต์
8. แอมแปร์ (A) คอื หน่วยวดั ของข้อใด
ก. แรงดันไฟฟา้ ข. กระแสไฟฟ้า
ค. ความจุ ง. กำลังไฟฟา้
9. กิโลโอหม์ คือหนว่ ยวัดของขอ้ ใด
ก. แรงดันไฟฟ้า ข. กำลงั ไฟฟา้
ค. ความถี่ ง. ความตา้ นทาน
10. เมกะวัตต์ คือหนว่ ยวัดของข้อใด
ก. แรงดันไฟฟ้า ข. กำลังไฟฟ้า
ค. ความถ่ี ง. ความต้านทาน
11. สสารท่ัวไปเมอ่ื ได้รับความรอ้ น คา่ ความตา้ นทานจะเปน็ อย่างไร
ก. ลดลง ข. เทา่ เดมิ
ค. เพ่มิ ขนึ้ ง. ยงั ไม่แน่
12. ตอ่ ไปนี้ ขอ้ ใดคือกฎของโอหม์
ก. I = E/R ข. R = I/E
ค. R = EI ง. P = EI
13. แบตเตอรี่แรงดัน 12 โวลต์ ตอ่ เขา้ กบั หลอดไฟ ความต้านทาน 5 โอหม์ จะมีกระแสไหลในวงจรเทา่ ใด
ก. 60 แอมแปร์ ข. 0.45 แอมแปร์
ค. 2.4 แอมแปร์ ง. 12 แอมแปร์
14. เพราะเหตใุ ดวงจรไฟฟ้าจึงนิยมตอ่ หลอดไฟแบบขนาน
ก. ทุกหลอดไฟสว่างเท่ากนั ข. ทุกหลอดไฟไมต่ ก
ค. หลอดสุดท้ายไฟตก ง. หลอดไฟหลอดแรกไมส่ วา่ ง
15. จากกฎของโอหม์ ถา้ แรงดันไฟฟ้าคงท่ี ความตา้ นทานมาก กระแสทไ่ี หลในวงจรจะเป็นอยา่ งไร
ก. กระแสไหลนอ้ ย ข. กระแสไหลมาก
ค. กระแสไหลเทา่ เดิม ง. ขน้ึ อยู่กบั ค่าแรงดันไฟฟ้า
16. การวดั แรงเคลื่อนไฟฟ้าโวลต์มิเตอรต์ ่อเขา้ กบั วงจรแบบใด
ก. แบบอนุกรม ข. แบบขนาด
ค. แบบผสม ง. แบบเดลต้า
17. เมอื่ ต้องการวดั แรงเคลื่อนไฟฟา้ แบตเตอรี่ 12 โวลต์ ควรปรับมัลตมิ เิ ตอร์ไปทีต่ ำแหน่งใด
ก. DCV10 ข. RX1 K
ค. DCV250 ง. DCV50
18. การวดั กระแสไฟฟา้ แอมมิเตอร์ตอ่ เข้ากบั วงจรแบบใด
ก. แบบอนุกรม ข. แบบขนาน
ค. แบบผสม ง. แบบเดลตา้
19. การตง้ั มัลติเตอร์ที่ RX1 K เหมาะสมกับการตรวจสอบข้อใด
ก. ขดลวดปฐมภูมิ ข. ขดลวดทตุ ยิ ภมู ิ
ค. ขดลวดอาร์มาเจอร์ ง. ขดลวดฟิลดค์ อยล์
20. สวิตชไ์ ฟทม่ี ีไฟหนา้ และไฟเล้ียวรวมกนั อย่คู ือข้อใด
ก. สวิตช์กด ข. สวิตช์ดึง
ค. สวิตชพ์ วงมาลยั ง. สวติ ช์กุญแจ
21. ตอ่ ไปน้ีขว้ั ชุดใดเปน็ ของสวิตช์กญุ แจ
ก. B H P D ข. HL HU (HF) HB
ค. B (AM) ACC IG ST ง. TB TR TL
22. รีเลยน์ ยิ มใช้กบั วงจรประเภทใด
ก. วงจรที่ตอ้ งการประหยัดไฟ ข. วงจรทต่ี ้องใช้กระแสไฟน้อย
ค. วงจรทตี่ อ้ งใชก้ ระแสไฟปานกลาง ง. วงจรทีต่ อ้ งใชก้ ระแสไฟมาก
23. ข้อขัดข้องท่ีเกดิ ขึน้ คอื ไฟหน้าดบั ทัง้ สองดวงเพราะสาเหตใุ ด
ก. ฟิวส์ไฟหนา้ ขาด 2 ตวั ข. หลอดไฟหน้าขาดท้งั 2 ดวง
ค. แบตเตอรี่ไฟอ่อน ง. ไฟประจุเข้าแบตเตอรไี่ ม่พอ
24. ไฟเลี้ยวกะพรบิ เฉพาะดา้ นซ้ายเพราะสาเหตุใด
ก. แฟลชเชอร์รีเลย์ชำรุด ข. แบตเตอร่ีไฟอ่อน
ค. สวิตชไ์ ฟเลี้ยวชำรุด ง. สวติ ชก์ ุญแจชำรดุ
25. ไฟหน้าติด 2 ขา้ งแต่สวา่ งไม่เทา่ กันเพราะสาเหตุใด
ก. ฟวิ สไ์ ฟหน้าขาด 1 ตวั ข. ฟวิ สไ์ ฟหน้าขาด 2 ตวั
ค. ไส้หลอดไฟต่ำขาด ง. ไสห้ ลอดไฟสูงขาด
26. การตรวจสอบการต่อเนอ่ื งของอปุ กรณ์ โดยตั้งมัลติมิเตอรท์ ี่ RX1 ต่อจากนนั้ ควรปฏบิ ัติอย่างไร
ก. เซตคา่ ที่ 0 และวดั ได้เลย
ข. เซตคา่ ที่ 0 และก่อนวดั ปลดข้ัวอุปกรณ์ออก
ค. ปลดขั้วอุปกรณ์ออกแลว้ จึงวัด
ง. มเิ ตอร์ได้รบั การปรบั ต้งั แล้ววัดไดเ้ ลย
27. การใช้มัลติมิเตอร์ทดสอบวา่ มกี ระแสไฟไหลไปถึงอุปกรณ์น้ันหรอื ไม่ เมื่อปรับค่าพิกดั ได้เหมาะสมแล้ว มีวิธีการวัด
อย่างไร
ก. วดั ที่ขว้ั บวกและลบของอุปกรณ์
ข. ปลดขว้ั และวัดที่ขวั้ บอก ขว้ั ลบของอุปกรณ์
ค. วัดท่แี ผงฟวิ สแ์ ละขั้วบวกของอุปกรณ์
ง. วดั ทข่ี วั้ บวกของอุปกรณ์และกราวด์
28. ไฟเลี้ยวไฟทา้ ยติดพร้อมกัน แตไ่ มส่ วา่ งเม่ือเปิดไฟหน้าเพราะสาเหตใุ ด
ก. สายกราวด์ไมแ่ นน่ หรือสกปรก ข. ไฟลัดวงจรเข้าหากนั
ค. วงจรทง้ั สองต่อพว่ งกัน ง. ข้ัวไฟหนา้ สกปรก
29. ข้วั ร่วมของไสห้ ลอดไฟหนา้ สูง-ต่ำมีจุดสังเกตไดอ้ ย่างไร
ก. มแี กนเพยี งแกนเดยี ว ข. แกนมีขนาดใหญ่กว่า
ค. มีแกน 2 แกนรวมกัน ง. มีแกน 3 แกนรวมกนั
30. ต่อไปนี้ข้ัวใดอยู่ในสวติ ช์ไฟสูงตำ่
ก. B P D H ข. TB TR TL
ค. B (AM) ACC IG ST ง. HL HU (HF) ED
31. การไหลของกระแสไฟฟา้ คอื การเคล่อื นที่ของข้อใด
ก. โปรตอน ข. อิเลก็ ตรอน
ค. นิวตรอน ง. อิเล็กตรอนอสิ ระ
32. ข้อใดเป็นอุปกรณท์ ่ีใชห้ ลักการของไฟฟา้ สถติ
ก. คอยล์จดุ ระเบดิ ข. สายไฟฟา้ แรงสูง
ค. หน้าทองขาว ง. คอนเดนเซอร์
33. เพราะเหตุใดวงจรไฟฟ้าจงึ นยิ มต่อวงจรแบบขนาน
ก. ทำให้ไฟสวา่ งมากข้ึน ข. ทำใหไ้ ฟทุกหลอดสวา่ งเท่ากัน
ค. ทำใหไ้ ฟไมต่ กทกุ หลอด ง. ทำให้ไฟหลอดแรกสว่างมาก
34. อุปกรณ์ใดเมื่อได้รับความร้อนแล้วความต้านทานลดลง
ก. ทองแดง ข. เงิน
ค. ทองขาว ง. คาร์บอน
35. แอมแปร์ คอื หนว่ ยวัดของอะไร
ก. กระแส ข. แรงเคลือ่ น
ค. ความต้านทาน ง. กำลงั ไฟฟ้า
36. โวลต์มเิ ตอรส์ ำหรบั วดั แรงเคลื่อนไฟฟา้ ต่อเข้าวงจรแบบใด
ก. อนุกรม ข. ขนาน
ค. ผสม ง. แบบใดก็ได้
37. แผน่ ธาตบุ วกของแบตเตอรี่ทำมาจาก
ก. ตะก่ัวพรุน ข. ตะกัว่ ซลั เฟต
ค. ตะกว่ั เปอร์ออกไซด์ ง. ตะก่ัวทองแดง
38. น้ำยาอิเลก็ ทรอไลตข์ องแบตเตอรี่ทำมาจากสารชนดิ ใด
ก. กรดเกลือ ข. กรดกำมะถันเจอื จาง
ค. กรดกำมะถนั ง. กรดโซดาไฟ
39. คา่ ความถว่ งจำเพาะของนำ้ ยาในแบตเตอรี่จะบอกสภาวะใดของแบตเตอรี่
ก. ความจุ ข. ความตา้ นทาน
ค. ความถว่ งจำเพาะ ง. ความเข้มข้น
40. สภาวะแบตเตอรหี่ มดไฟ แผ่นธาตจุ ะแปรสภาพเป็นสิ่งใด
ก. ตะกวั่ ข. ตะก่วั เปอร์ออกไซด์
ค. ตะกัว่ ทองแดง ง. ตะกวั่ ซลั เฟต
41. แบตเตอร่ีมคี วามจุ 70 แอมแปร์-ชวั่ โมง ถกู ใช้ไป 12 แอมแปร์ ในเวลา 3.5 ชั่วโมง จะเหลอื คา่ ความจุในแบตเตอรี่
เท่าใด
ก. 42 แอมแปร์-ชวั่ โมง ข. 70 แอมแปร์-ชว่ั โมง
ค. 38 แอมแปร์-ชั่วโมง ง. 28 แอมแปร์-ช่วั โมง
42. น้ำยาในแบตเตอรที่ ีต่ ดิ อยู่กับรถยนตแ์ ห้งเร็วผิดปกติ สาเหตุเนือ่ งจากข้อใด
ก. ไฟประจุเขา้ แบตเตอร่ีมากเกนิ ไป ข. ไฟประจเุ ข้าแบตเตอร่ีน้อยเกินไป
ค. แบตเตอร่ีไมเ่ กบ็ ไฟ ง. แบตเตอรห่ี มดอายุการใช้งาน
43. การประจุไฟอยา่ งเร็ว ควรประจดุ ้วยกระแสประมาณเทา่ ใด
ก. 1 เทา่ ของความจุ ข. ครง่ึ หนึง่ ของความจุ
ค. 2 เทา่ ของความจุ ง. ด้วยความจเุ ท่าใดก็ได้
44.ถ้าตอ้ งการได้แรงเคล่ือนที่เพ่มิ ขน้ึ จาก 12 โวลต์ เป็น 24 โวลต์ โดยใช้แบตเตอร่ี 12 โวลต์ 2 ลกู จะปฏบิ ัติอยา่ งไร
ก. ตอ่ ผสมกัน ข. ต่อแบบขนานกัน
ค. ตอ่ แบบอนกุ รมกัน ง. ประจไุ ฟเพิ่มเขา้ ในแบตเตอรี่
45. เพราะเหตุใดเม่ือประจไุ ฟเขา้ แบตเตอรี่จึงต้องเปิดฝาแบตเตอรี่
ก. ใหน้ ำ้ กล่ันระเหยออก ข. ให้ไฮโดรเจนระเหยออก
ค. ให้ความรอ้ นระบายออก ง. ไม่ให้น้ำยาในแบตเตอรหี่ ก
46. การทดสอบโดยการจา่ ยกระแสเปน็ 3 เทา่ ภายใน 15 วนิ าที คอื การทดสอบหาคา่ ใดของแบตเตอร่ี
ก. ความสามารถในการจ่ายไฟ ข. ความสามารถในการเกบ็ ไฟ
ค. สถานภาพความจุ ง. แรงเคลื่อนไฟฟา้ ของแบตเตอร่ี
47. การเกิดคราบตะกวั่ ซัลเฟตมาจากสาเหตุใด
ก. เกิดการลดั วงจรภายในแบตเตอรี่ ข. ไฟประจเุ ข้าแบตเตอรีม่ าก
ค. ไฟประจเุ ข้าแบตเตอร่นี ้อย ง. เกิดความแตกต่างของความถว่ งจำเพาะแตล่ ะช่อง
48. แบตเตอรี่ขนาดความจุ 50 Ah ถกู ใช้ไป 20 แอมแปร์ ต้องการประจชุ ้า ใชก้ ระแสประจเุ ท่าใด
ก. 3 แอมแปร์ ข. 10 แอมแปร์
ค. 50 แอมแปร์ ง. 5 แอมแปร์
49. เครือ่ งมือใดใช้วดั ความถ่วงจำเพาะ
ก. โอหม์ มิเตอร์ ข. โวลต์มเิ ตอร์
ค. โวลต์-แอมป์เทสเตอร์ ง. ไฮโดรมเิ ตอร์
50. ถ้าต้องการเพม่ิ กระแสไฟฟ้าใหแ้ กแ่ บตเตอรี่ จะต่อแบตเตอรี่แบบใด
ก. แบบขนาน ข. แบบอนุกรม
ค. แบบสตาร์ ง. แบบเดลตา
ตอนที่ 2
จงตอบคำถามต่อไปน้ี
1. ส่วนท่ีเลก็ ท่สี ุดของสสาร คือ.......................................................
2. การไหลของกระแสไฟฟ้า คอื การเคล่อื นทีข่ อง...................................
3. ไฟฟ้าท่ถี ูกนำมาใชง้ านมากทส่ี ดุ คอื ไฟฟ้าที่ไดจ้ าก........................................
4. ไฟฟ้าสถติ เกิดจาก........................................
5. ประจุไฟฟ้าบวกและลบ เมื่อเขา้ ใกลก้ นั จะ........................................
6. ไฟฟ้ากระแสตรง คือ........................................
7. ไฟฟ้ากระแสสลบั คอื ........................................
8. แอมแปร์ คือหน่วยท่ใี ชว้ ดั ........................................
9. ความต้านทาน 1,000 โอห์ม เรยี กได้อกี อยา่ งหนงึ่ ว่า........................................
10. กิโลโวลต์ คือหนว่ ยวดั ของ........................................
11. สมการคำนวณหาแรงดนั ไฟฟา้ จากกฎของโอห์ม คือ........................................
12. สมการคำนวณหาค่ากระแสไฟฟา้ จากกฎของโอห์ม คอื ........................................
13. ความต้านทานคงที่ แรงดันไฟฟา้ มาก กระแสจะไหลในวงจร........................................
14. แรงดันไฟฟา้ คงท่ี ความตา้ นทานมาก กระแสจะไหลในวงจร........................................
15. กำลังไฟฟา้ คือผลคูณระหวา่ ง........................................
16. หน่วยวัด........................................คอื วตั ต์, กโิ ลวัตต์
17. กำลงั ไฟฟ้า 1 kW มีคา่ เท่ากบั ........................................
18. ข้อแตกต่างระหว่างวธิ ตี ่อวงจรแบบอนุกรมและแบบขนาน คือ........................................
19. วงจรซง่ึ ตอ่ แล้วทุกหลอดไฟไม่ตก คือการต่อวงจรแบบ........................................
20. ตวั ปรับค่าความต้านทาน ทำใหไ้ ฟหรลี่ งหรอื สว่างขึน้ ต่อเข้ากบั วงจรแบบ........................................
เอกสารอ้างอิง
นริศ สวุ รรณางกรู , งานไฟฟา้ รถยนต์. กรงุ เทพฯ : เอมพนั ธ์, 2562