The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สมัยก่อนรัตนโกสินทร์-สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
สมัยรัตนโกสินทร์-พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by boong.nitchanan8, 2022-01-29 12:37:56

พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทย

สมัยก่อนรัตนโกสินทร์-สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
สมัยรัตนโกสินทร์-พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

-สมัยก่อนรัตนโกสินทร์-

พพรระ ระ มา ชหกา กร ณษัีตยรกิิยจ์ ไขทอยง

-สมัยรัต
นโกสินทร์-



สมัยก่อนรัตนโกสินทร์



สมเด็จพระนเรศวรมหาราช

พระราชประวัติ

สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเป็นพระ
ราชโอรสใน สมเด็จพระมหาธรรมราชา และพระวิสุทธิ
กษัตรี(ราชธิดาของสมเด็จพระศรีสุริโยทัย) มีพระนามเดิม
ว่า "พระองค์ดำ" พระองค์เสด็จพระบรมราชสมภพเมื่อ
พ.ศ. 2098 ณ พระราชวังจันทน์ เมืองพิษณุโลก ทรงมีพระ
เชษฐภคินีองค์หนึ่งพระนาม พระสุพรรณกัลยา และพระ
อนุชา พระเอกาทศรถ (พระองค์ขาว)

ขณะมีพระชนม์มายุเพียง ๙พรรษา พระเจ้าบุเรง
นองได้ยกทัพมาตีเมืองพิษณุโลก สมเด็จพระมหาธรรม
ราชาธิราชเจ้าเมืองพิษณุโลกยอมอ่อนน้อมต่อแห่งหงสาว
ดี และทำให้พิษณุโลกต้องแปรสภาพเป็นเมืองประเทศราช
หงสาวดีไม่ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าบุเรงนองจึงได้ทรง
ขอ พระนเรศวรไปเป็นองค์ประกันที่หงสาวดี

เมื่อพระชนม์ได้ 15 พรรษา สมเด็จพระมหาธรรมราชาจึงได้ขอตัวสมเด็จพระนเรศวรกลับกรุงศรีอยุธยา และแต่ง
ตั้งให้เป็นพระมหาอุปราชครองเมืองพิษณุโลก

ประกาศอิสรภาพจากพม่าเมื่อ พ.ศ.2127 หลังจากที่กรุงศรีอยุธยาตกเป็นเมืองขึ้นของพม่า เมื่อ พ.ศ. 2112-
2127 เป็นเวลา 15 ปี

เสด็จขึ้นครองราชเมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2133 รวมสิริดำรงราชสมบัติ 15 ปี เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 25
เมษายน พ.ศ. 2148

พระราชกรณียกิจ

ด้านการบริหารบ้านเมือง

เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงขึ้นครองราชย์ ทรงสถาปนาสมเด็จพระเอกาทศ
รถ(พระอนุชา) ให้ดำรงตำแหน่งเป็นพระอุปราชแต่มีพระอิสริยยศเสมือนพระมหากษัตริย์
อีกพระองค์หนึ่ง

ด้านการทำศึกสงคราม

สมเด็จพระนเรศวรมหาราทรงมีบทบาทเด่นด้านการทำสงครามตลอดรัชกาล

"ศึกทัพพระมหาอุปราชา"

เหตุที่จะเกิดศึกครั้งนี้คือเจ้าฟ้าไทยใหญ่เมืองคังตั้งแข็งเมืองขึ้นอีก พระเจ้านันทบุเรงตรัสปรึกษาเสนาบดี
เห็นกันว่าเป็นเพราะเหตุที่เจ้าเมืองคังได้ทราบว่าปราบกรุงศรีอยุธยาไม่สำเร็จ จึงตั้งแข็งเมืองเอาอย่างบ้างตราบใดที่ยังไม่
ปราบกรุงศรีอยุธยาลงได้ ถึงแม้จะปราบเมืองคังได้ เมืองอื่นก็คงแข้งข้อเอาอย่าง แต่ในเวลานั้นพระเจ้านันทบุเรงทรงอยู่ใน
วัยชราทุพพลภาพ ไม่ทรงสามารถจะไปทำสงครามเอาได้ดังแต่ก่อน จึงจัดกองทัพขึ้นสองทัพ ให้ราชบุตรองค์หนึ่งซึ่งได้เป็น
พระเจ้าแปรขึ้นใหม่ยกไปตีเมืองคัง ทัพหนึ่งให้พระยาพะสิม พระยาพุกามเป็นกองหน้า พระมหาอุปราชาเป็นกองหลวงยก
ลงมาตีกรุงศรีอยุธยาอีกทัพหนึ่ง พระมหาอุปราชายกออกจากกรุงหงสาวดีเมื่อเดือน 12 พ.ศ. 2133 มาเข้าทางด่านพระ
เจดีย์สามองค์ เพื่อตรงมาตีพระนครศรีอยุธยาทีเดียว

ฝ่ายทางกรุงศรีอยุธยาครั้งนี้ รู้ตัวช้าจึงเกิดความ
ลำบาก ไม่มีเวลาจะต้อนผู้คนเข้าพระนครดังคราวก่อน สมเด็จพระ
นเรศวรทรงเห็นว่าจะคอยต่อสู้อยู่ในกรุงอาจไม่เป็นผลดี จึงรีบเสด็จ
ยกกองทัพหลวงออกไปกับสมเด็จพระเอกาทศรถ ที่เมืองสุพรรณบุรี
และตั้งทัพหลวงรับข้าศึกอยู่ที่ลำน้ำท่าคอย พอกองทัพพม่ายกมาถึง
ก็รบกันอย่างตะลุมบอน สุดท้ายพม่าเป็นฝ่ายถอยร่นไป

"สงครามยุทธหัตถี"

ในปี พ.ศ. 2135 พระเจ้านันทบุเรง โปรดให้พระมหาอุปราชา นำกองทัพทหารสองแสนสี่หมื่นคน มาตีกรุง
ศรีอยุธยาหมายจะชนะศึกในครั้งนี้ สมเด็จพระนเรศวรทรงทราบว่าพม่าจะยกทัพใหญ่มาตี จึงทรงเตรียมไพร่พล มีกำลังหนึ่ง
แสนคนเดินทางออกจากบ้านป่าโมกไปสุพรรณบุรี ข้ามน้ำตรงท่าท้าวอู่ทองและตั้งค่ายหลวงบริเวณหนองสาหร่าย

เช้าของวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถทรง
เครื่องพิชัยยุทธ สมเด็จพระนเรศวรทรงช้าง นามว่า เจ้าพระยาไชยานุภาพ ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงช้างนามว่า
เจ้าพระยาปราบไตรจักร ช้างทรงของทั้งสองพระองค์นั้นเป็นช้างชนะงา คือช้างมีงาที่ได้รับการฝึกให้รู้จักการต่อสู้มาแล้วหรือ
เคยผ่านสงครามชนช้าง ชนะช้างตัวอื่นมาแล้ว ซึ่งเป็นช้างที่กำลังตกมัน ในระหว่างการรบจึงวิ่งไล่ตามพม่าหลงเข้าไปใน
แดนพม่า

สมเด็จพระนเรศวรทอดพระเนตรเห็นพระมหาอุป
ราชาทรงพระคชสารอยู่ในร่มไม้กับเหล่าเท้าพระยา จึงทราบได้
ว่าช้างทรงของสองพระองค์หลงถลำเข้ามาถึงกลางกองทัพ และ
ตกอยู่ในวงล้อมข้าศึกแล้ว แต่ด้วยพระปฏิภาณไหวพริบของ
สมเด็จพระนเรศวร ทรงเห็นว่าเป็นการเสียเปรียบข้าศึกจึงไสช้าง
เข้าไปใกล้ แล้วตรัสถามด้วยคุ้นเคยมาก่อนแต่วัยเยาว์ว่า
"พระเจ้าพี่เราจะยืนอยู่ใยในร่มไม้เล่า เชิญออกมาทำยุทธหัตถี
ด้วยกัน ให้เป็นเกียรติยศไว้ในแผ่นดินเถิด ภายหน้าไปไม่มี
พระเจ้าแผ่นดินที่จะได้ยุทธหัตถีแล้ว"

พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น จึงไสช้างนามว่า พลายพัทธกอ เข้าชนเจ้าพระยาไชยานุภาพเสียหลัก พระมหา
อุปราชาทรงฟันสมเด็จพระนเรศวรด้วยพระแสงของ้าว แต่สมเด็จพระนเรศวรทรงเบี่ยงหลบทัน จึงฟันถูกพระมาลาหนังขาด
จากนั้นเจ้าพระยาไชยานุภาพชนพลายพัทธกอเสียหลัก สมเด็จพระนเรศวรทรงฟันด้วยพระแสงของ้าวถูกพระมหาอุปราชา
เข้าที่อังสะขวา สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง

ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถทรงฟันเจ้ามังจาปะโรเสียชีวิตเช่นกัน ทหารพม่าเห็นว่าแพ้แน่แล้ว จึงใช้ปืนระดมยิง
ใส่สมเด็จพระนเรศวรได้รับบาดเจ็บ ทันใดนั้นทัพหลวงไทยตามมาช่วยทัน จึงรับทั้งสองพระองค์กลับพระนคร พม่าจึงยกทัพ
กลับกรุงหงสาวดีไป นับแต่นั้นมาก็ไม่มีกองทัพใดกล้ายกมากล้ำกรายกรุงศรีอยุธยาอีกเป็นระยะเวลาอีกยาวนาน

"สงครามตีเมืองทะวายและตะนาวศรี"

ศึกทะวายและตะนาวศรีนั้นเป็นการ
รบในระหว่างคนต้องโทษกับคนต้องโทษด้วย
กันกล่าวคือ ทางกรุงศรีอยุธยพาพวกนายทัพ
ที่ตามเสด็จไม่ทันในวันยุทธหัตถีนั้น มีถึง 6 คน
คือ พระยาพิชัยสงคราม พระยารามกำแหง
เจ้าพระยาจักรี พระยาพระคลัง และพระยา-
ศรีไสยณรงค์ ไปตีทะวายและตะนาวศรีเป็น
การแก้ตัว โดยให้เจ้าพระยาจักรีเป็นแม่ทัพคุม
พลห้าหมื่นไปตีตะนาวศรี พระยาพระคลังคุมกำลังพลหมื่นเหมือนกันไปตีทะวาย ส่วนแม่ทัพอื่น ๆ ที่ต้องโทษก็แบ่งกันไป
ในสองกองทัพนี้คือพระยาพิชัยสงครามกับพระยารามคำแหงไปตีเมืองทะวายกับพระยาพระคลัง และให้พระยาเทพอรชุนกับ
พระยาศรีไสยณรงค์ไปตีเมืองตะนาวศรีกับเจ้าพระยาจักรี

ส่วนทางหงสาวดีนั้น เมื่อพระเจ้านันทบุเรงเสียพระโอรสรัชทายาทแล้วก็โทมนัส ให้ขังแม่ทัพนายกองไว้ทั้งหมด
แต่ภายหลังทรงดำริว่าไทยชนะพม่าในครั้งนี้แล้วก็จะต้องมาตีพม่าโดยไม่ต้องสงสัย ก่อนที่ไทยไปรบพม่าก็จะต้องดำเนิน
การอย่างเดียวกันกับที่พม่ารบกับไทย กล่าวคือ จะต้องเอามอญไว้ในอำนาจเสียก่อนและเป็นการแน่นอนว่าไทยจะต้องเข้า
มาตีทะวายและตะนาวศรี ด้วยเหตุนี้จึงให้แม่ทัพนายกองที่ไปแพ้สงครามมาครั้งนี้ไปแก้ตัวรักษาเมืองตะนาวศรีและเมือง
ทะวาย

ในการรบทะวายและตะนาวศรีครั้งนี้ ชัยชนะเป็นของไทยสมเด็จ
พระนเรศวรได้โปรดเกล้าฯ ให้พระยาศรีไสยณรงค์อยู่ครองเมืองตะนาวศรี
ส่วนทางเมืองทะวายนั้นให้เจ้าเมืองทะวายคนเก่าครองต่อไป ชัยชนะครั้งนี้
เป็นอันทำให้แม่ทัพทั้งหลายพ้นโทษ

"ตีหัวเมืองมอญ"
ปี พ.ศ. 2137 พระยาลาว เจ้าเมืองเมาะตะมะ เกิดวิวาทกับเจ้าพระยาพะโร เจ้าเมืองเมาะลำเลิง พระยาพะ

โรกลัวพระยาลาวจะมาตีเมาะลำเลิงจึงให้สมิงอุบากองถือหนังสือมาขอบารมีสมเด็จพระนเรศวรเป็นที่พึ่ง ขอพระราชทาน
กองทัพไปช่วยป้องกันเมือง สมเด็จพระนเรศวรจึงยอมรับช่วยเหลือพระยาพะโรทันที มีดำรัสสั่งให้พระยาศรีไศลออกไปช่วย
รักษาเมืองเมาะลำเลิง ซึ่งแต่บัดนี้ไปได้ยอมมาสวามิภักดิ์เป็นประเทศราชของไทย ฝ่ายข้างพระยาลาวเจ้าเมืองเมาะตะมะ
ก็ไปขอความช่วยเหลือทางหงสาวดีบ้าง ทางหงสาวดีให้พระเจ้าตองอูยกทัพมาช่วย แต่กองทัพไทยกับมอญเมาะลำเลิงได้ตี
ทัพพระเจ้าตองอูแตกไป

"ตีเมืองหงสาวดีครั้งแรก"
สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกกองทัพหลวงไปตีเมืองหงสาวดี ออกจากพระนคร เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น 3 ค่ำ เดือน

อ้าย ปีมะแม พ.ศ.2138 มีกำลังพล 120,000 คน เดินทัพไปถึงเมืองเมาะตะมะ แล้วรวบรวมกองทัพมอญเข้ามาสมทบ
จากนั้น ได้เสด็จยกกองทัพหลวงไปยังเมืองหงสาวดี เข้าล้อมเมืองไว้ กองทัพไทยล้อมเมืองหงสาวดีอยู่ 3 เดือน และได้
เข้าปล้นเมือง เมื่อวันจันทร์ แรม 13 ค่ำ เดือน 4 ครั้งหนึ่ง แต่เข้าเมืองไม่ได้ ครั้นเมื่อทรงทราบว่าพระเจ้าแปร พระเจ้าอัง
วะ พระเจ้าตองอู ได้ยกกองทัพลงมาช่วยพระเจ้านันทบุเรงถึงสามเมือง เห็นว่าข้าศึกมีกำลังมากนักจึงทรงให้เลิกทัพกลับ
เมื่อวันสงกรานต์ เดือน 5 ปีวอก พ.ศ. 2139 และได้กวาดต้อนครอบครัวในหัวเมืองหงสาวดี มาเป็นเชลยเป็นอันมาก
และกองทัพข้าศึกมิได้ยกติดตามมารบกวนแต่อย่างใด

การสงครามครั้งนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า สมเด็จพระนเรศวรเสด็จยกทัพไปครั้ง
นี้ เป็นการจู่ไป โดยไม่ให้ข้าศึกมีเวลาพอตระเตรียมการต่อสู้ได้พรักพร้อม และพระราชประสงค์ที่ยกไปนั้น น่าจะมีอยู่ 3
ประการคือ

1. ถ้าสามารถตีเอาเมืองหงสาวดีได้ก็จะตีทีเดียว
2. ถ้าตีเมืองหงสาวดียังไม่ได้ครั้งนี้ ก็จะตรวจ

ภูมิลำเนา และกำลังข้าศึกให้รู้ ไว้ สำหรับ
คิดการคราวต่อไป
3.คงคิดกวาดต้อนผู้คนมาเป็นเชลยให้มาก เพื่อ
ประสงค์จะตัดทอนกำลังข้าศึก และเอาผู้คน
มาเพิ่มเติมเป็นกำลังสำหรับพระราช
อาณาจักรต่อไป

"ตีเมืองหงสาวดีครั้งที่ 2"

พ.ศ. 2142 สมเด็จพระนเรศวรทรงมุ่งหมายจะตีเอาเมืองหงสาวดีให้ได้ จึงตระเตรียมทัพยกไปทั้งทางบกและ
ทางเรือ ได้ออกเกลี้ยกล่อมหัวเมืองต่าง ๆ ให้อ่อนน้อมต่อไทยได้อีกหลายเมือง ส่วนเมืองตองอูกับเมืองยะไข่เมื่อเอาใจ
ออกห่างจากกรุงหงสาวดีไปแล้ว ก็หันมาฝักใฝ่กับไทยและรับว่า เมื่อไทยยกทัพไปตีกรุงหงสาวดีแล้ว ก็จะเข้าร่วมช่วย
เหลือ พระเจ้ายะไข่นั้นอยากได้หัวเมืองชายทะเล ส่วนพระเจ้าตองอูนัดจินหน่องอยากเป็นพระเจ้าหงสาวดีแทน สมเด็จ
พระนเรศวรจึงทรงรับเป็นไมตรีกับเมืองทั้งสองนั้น

ในระหว่างนั้นพระมหาเถระเสียมเพรียมภิกษุรูปหนึ่งได้เข้ายุยงพระเจ้าตองอูนัดจินหน่องมิให้อ่อนน้อมแก่ไทย และแจ้ง
อุบายให้พระเจ้าตองอูนัดจินหน่องคิดอ่านเอาเมืองหงสาวดีเสียเอง พระเจ้าตองอูนัดจินหน่องเห็นชอบด้วยจึงชวนพระเจ้า
ยะไข่ให้ไปตีเมืองหงสาวดี แล้วพระเจ้าตองอูจนัดจินหน่องะทำทีเป็นยกกองทัพมาช่วยหงสาวดี พอเข้าเมืองได้แล้วก็หย่า
ศึกกันเสีย และจะแบ่งประโยชน์ให้ตามที่พระเจ้ายะไข่ต้องการ คือจะยกหัวเมืองชายทะเลให้แก่พระเจ้ายะไข่ แต่ครั้งทัพ
พระเจ้ายะไข่และทัพพระเจ้าตองอูนัดจินหน่องเข้าประชิดเมืองหงสาวดีแล้วก็หาเข้าเมืองไม่ ทั้งนี้เพราะพระเจ้านันทบุเรง
เกิดทรงระแวงขึ้น ทัพพระเจ้าตองอูนัดจินหน่องและพระเจ้ายะไข่จึงได้แต่ตั้งล้อมเมืองหงสาวดีไว้

สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นว่าทางกรุงหงสาวดีกำลังปั่นป่วนจึงเสด็จยกทัพหลวงไปตีหงสาวดี แต่ต้องไปเสียเวลา
ปราบปรามกบฏตามชายแดนเป็นเวลาถึง 3 เดือนเศษ จึงเดินทัพถึงเมืองหงสาวดีช้ากว่ากำหนดที่คาดหมายไว้ ทางฝ่าย
พระเจ้าตองอูนัดจินหน่องและพระเจ้ายะไข่ซึ่งกำลังล้อมเมืองหงสาวดีอยู่ พอได้ทราบข่าวว่าสมเด็จพระนเรศวรกำลังเดิน
ทัพมาก็แจ้งให้พระเจ้านันทบุเรงทราบ พระเจ้านันทบุเรงก็จำใจอนุญาตให้พระเจ้าตองอูยกทัพเข้าไปในเมืองหงสาวดีได้
และมอบหมายให้พระเจ้าตองอูนัดจินหน่องบัญชาการรบแทนทุกประการ พระเจ้าตองอูนัดจินหน่องจึงกวาดต้อนผู้คนและ
ทรัพย์สมบัติ รวมทั้งพระเจ้านันทบุเรงไปยังเมืองตองอู ทิ้งเมืองหงสาวดีไว้ให้กองทัพพระเจ้ายะไข่ค้นคว้าทรัพย์ที่ยังเหลือ
อยู่ต่อไป พอพระเจ้าตองอูนัดจินหน่องออกจากหงสาวดีไปได้ประมาณ 8 วัน กองทัพไทยก็ยกไปถึงเมืองหงสาวดี ครั้น
สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงทราบว่าพระเจ้าตองอูนัดจินหน่องไม่ซื่อตรงตามคำมั่นที่ได้ให้ไว้ก็ทรงพระพิโรธ จึงเสด็จยกทัพ
ตามขึ้นไปตีเมืองตองอู ได้เข้าล้อมเมืองตองอูอยู่ถึง ๒ เดือนก็ไม่อาจตีหักเอาได้ เพราะเมืองตองอูมีชัยภูมิที่ดี ชาวเมืองก็
ต่อสู้เข้มแข็ง ประกอบกับฝนตกชุกและทัพไทยขาดเสบียงอาหาร สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยก
กองทัพกลับคืนกรุงศรีอยุธยา



สมัยรัตนโกสินทร์



พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

พระราชประวัติ

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราช
สมภพเมื่อ วันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 1
มกราคม พ.ศ. 2423 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 29 ในพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชสมภพเมื่อ วัน
เสาร์ เดือนยี่ ขึ้น 2 ค่ำ ปีมะโรง ตรงกับวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.
2423 เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 29 ในพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

และเสด็จเข้าทรงศึกษาที่โรงเรียนราชกุมารในพระบรม
มหาราชวังเมื่อพระชนมายุ 10 พรรษา ครูที่ถวายพระอักษรคือ
พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจาริยางกูร) พระยาอิศรพันธุ์
โสภณ (ม.ร.ว. หนู อิศรางกูร) และหม่อมเจ้าประภากร ในสมเด็จ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหามาลา กรมพระยาบำราบปรปักษ์
ส่วนครูภาษาอังกฤษ คือ นายโรเบอร์ต มอแรนต์

เมื่อพระชนมายุ 12 พรรษา เสด็จไปทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ในพ.ศ. 2440 ทรงเข้าศึกษาวิชาทหารใน
โรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์สต์ และทรงเข้าอบรมหลักสูตรต่างๆ เพิ่มเติม ได้แก่ วิชาปืนเล็ก และวิชาทหารปืนใหญ่ภูเขา
ทั้งยังได้ทรงเข้าประจำการในกองพันที่ 1 กรมทหารราบเบาเดอรัม อันเป็นการฝึกอบรมกองทหารเพื่อเตรียมไปราชการ
สงครามบัวร์ที่ประเทศแอฟริกาใต้ จากนั้น ใน พ.ศ. 2442 ทรงเข้าศึกษา ณ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด วิชาที่ทรงศึกษาคือ
ประวัติศาสตร์ กฎหมาย และการปกครอง เนื่องจากพระองค์จะต้องทรงปกครองสยามประเทศต่อไปในอนาคต

เสวยราชสมบัติเมื่อวันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม ปีจอ พุทธศักราช 2453 และเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน
พ.ศ. 2468 รวมพระชนมพรรษา 45 พรรษา เสด็จดำรงราชสมบัติรวม 15 ปี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงพระราชอัจฉริยภาพและทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจในหลายสาขา ทั้งด้านการเมืองการปกครอง การทหาร การ
ศึกษา การสาธารณสุข การต่างประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือด้านวรรณกรรมและอักษรศาสตร์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์บท
ร้อยแก้วและร้อยกรองไว้นับพันเรื่อง กระทั่งทรงได้รับการถวายพระราชสมัญญาเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วว่า "สมเด็จพระมหา
ธีราชเจ้า"

พระราชกรณียกิจ

"การปกครอง"

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีเริ่มพระราชภารกิจในด้านการปกครองมาแต่ครั้งดำรงพระยศเป็น
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงรับพระราชภาระเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร ในระหว่างที่
สมเด็จพระบรมชนกนาถมิได้ประทับในพระนครอยู่เนืองๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่
หัวเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรปครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2450

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเน้นความสำคัญของ “ชาติ” เป็นหัวใจของการปกครอง กล่าวคือ ทรง
กระทำทุกวิถีทางเพื่อประโยชน์ของชาติ ซึ่งหมายถึงราษฎรที่เกิดเป็นไทย และในเวลาต่อมามีความหมายรวมถึงดินแดนที่
เป็นของราษฎรที่เกิดเป็นไทยด้วย ไม่ว่าราษฎรเหล่านั้นจะมีเชื้อชาติและศาสนาใด ทรงพิจารณาเรื่องอันจะเป็นประโยชน์
ต่อบ้านเมืองอย่างรอบคอบและรอบด้าน เมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมจึงจะดำเนินการ

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว นอกจากจะทรงดำเนินการปกครองตามแบบแผนที่พระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มไว้แล้ว ยังได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดการปรับเปลี่ยนบางอย่างเพิ่มเติมดังเช่น การ
ปรับเปลี่ยนระเบียบราชการบางส่วนในกระทรวงมหาดไทย กล่าวคือ ใน พ.ศ. 2458 โปรดเกล้าฯ ให้รวมหัวเมืองมณฑล
ที่ใกล้เคียงกันจัดเป็นภาค และทรงแยกหัวเมืองในมณฑลพายัพออกเป็น 2 มณฑล คือ มณฑลพายัพ มีเขตปกครองคือ
จังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน แม่ฮ่องสอน เชียงราย กับมณฑลมหาราษฎร์ มีเขตปกครองคือ จังหวัดแพร่ ลำปาง และน่าน แล้ว
โปรดให้เรียกรวมว่า “มณฑลพายัพ” และทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลขึ้นเป็นอุปราช
มณฑลภาคพายัพ

ต่อจากนั้นโปรดเกล้าฯ ให้รวมมณฑลนครไชยศรีและมณฑลราชบุรี จัดเป็น “มณฑลภาคตะวันตก” รวมมณฑล
นครศรีธรรมราช มณฑลสุราษฎร์ธานี และมณฑลปัตตานี เป็น “มณฑลปักษ์ใต้” และรวมมณฑลอุดร มณฑลร้อยเอ็ด
และมณฑลอุบล เป็น ภาคอีสาณ ตามลำดับ ทั้งได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลขึ้นเป็น
อุปราชมณฑลภาคนั้นๆ ส่วนมณฑลกรุงเก่า (มณฑลอยุธยา) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนตำแหน่งสมุห
เทศาภิบาลขึ้นเป็นอุปราชมณฑลกรุงเก่า และยังโปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศกำหนดอำนาจและหน้าที่ของอุปราชไว้ในปี
เดียวกันนี้ด้วย

"ประชาธิปไตย"

แม้ว่าการปกครองในระบบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะเป็นนิติธรรม ในการปกครองบ้านเมืองของสยาม พระบาท
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงตระหนักดีว่าการปกครองบ้านเมืองโดยบุคคลคนเดียวเป็นความเสี่ยง หากได้ผู้
ปกครองไม่ดีก็จะเป็นผลเสียแก่บ้านเมือง วิธีที่ดีที่สุดคือให้ราษฎรปกครองตนเอง แต่จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมให้ดี
ก่อน มิเช่นนั้นอาจเป็นผลเสียแก่บ้านเมืองได้ และด้วยทรงตระหนักในพระราชหฤทัยว่า พสกนิกรชาวสยามในเวลานั้นยัง
ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องสิทธิและหน้าที่อันเป็นรากฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

จึงมีพระราชดำรัสสั่งให้กระทรวงศึกษาธิการประกาศใช้พระราชบัญญัติ
ประถมศึกษา พ.ศ. 2464 ในทุกหัวเมืองมณฑลทั่วพระราชอาณาจักร
ด้วยมีพระราชปรารภว่า “…เรามีความปรารถนาจะให้ประชาราษฎรของ
เราได้มีความรู้คั่นประถมศึกษาโดยทั่วถึงภายใน 15 ปี นับแต่เราขึ้น
ครองราชสมบัติ เพราะความตั้งใจของเรามีอยู่ว่า เมื่อเราครองราชย์ครบ
15 ปี เราจะมอบสิทธิ์การปกครองบ้านเมือง ให้ประชาชนของเรามีสิทธิ์มี
เสียง แต่ถ้าเขายังไม่มีความรู้พอแก่การดำเนินการได้ ให้ไปก็เสื่อม
ประโยชน์ ได้ไม่เท่าเสีย…”

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริเกี่ยวกับการปกครองในระบบอบประชาธิปไตย มาแต่ครั้งทรง
ดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงนำแนวคิดเรื่องระบอบการปกครองแบบ
ประชาธิปไตยที่ทรงทดลองปฏิบัติ ใน “สาธารณรัฐใหม่” (The New Republic) ซึ่งเป็นสาธารณรัฐสมมติที่ทรงจัดตั้งร่วม
กับพระสหายชาวต่างประเทศ ขณะประทับ ณ กรุงปารีส มาทรงปฏิบัติจริงโดยทรงจัดตั้ง “เมืองมัง” ในบริเวณสวนอัมพวัน
ด้านหลังพระตำหนักจิตรลดา มีวัตถุประสงค์เพื่อสอนให้มหาดเล็กรู้จักการปกครองตนเอง ดูแลบ้านเรือนของตนให้
สะอาดเรียบร้อย ต่อมาใน พ.ศ. 2461 จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองจำลอง “ดุสิตธานี” ขึ้นภายในพระราชวังดุสิต ก่อนที่
จะโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปสร้างใหม่ ในพื้นที่ว่างหลังพระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถานและพระที่นั่งพิมานจักรี ในพระราชวัง
พญาไทเมื่อ พ.ศ. 2462 จัดให้มีการปกครองตนเองในลักษณะการปกครองท้องถิ่น ในดุสิตธานีมีบ้านเมืองจำลองใน
อัตราส่วน 1:20 ประกอบด้วยวัด โรงพยาบาล โรงทหาร โรงเรียน ธนาคาร ร้านค้า ฯลฯ ทวยนาคร (พลเมือง) ประกอบ
อาชีพต่างๆ เป็นที่ทดลองการปกครองแผนใหม่ ให้ข้าราชการรู้จักการใช้สิทธิในการปกครองตนเอง การจัดทดลองการ
ปกครองระบอบประชาธิปไตยที่เมืองจำลองดุสิตธานีนี้ ได้ดำเนินเรื่อยมาจนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ
สวรรคต โดยยังไม่ทันได้พระราชทานการปกครองแบบประชาธิปไตยให้แก่ปวงชนชาวไทยดังพระราชปณิธานที่ทรงตั้งไว้

"พระราชทานนามสกุลและโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัตินามสกุล"

เพื่อเป็นการจัดระเบียบความสัมพันธ์ในสังคมที่เริ่มซับซ้อนขึ้นให้เป็นระบบ ช่วยให้การจัดเก็บข้อมูลต่างๆ เช่น การ
จัดทำสำมะโนประชากร ทำได้สะดวก ทั้งทำให้เกิดความเป็นธรรมเกี่ยวกับผลประโยชน์ในครอบครัว โดยนำหลัก
กฎหมายแบบตะวันตกมาใช้ จึงได้พระราชทานนามสกุล ซึ่งทรงพระราชอุตสาหะคิดนามสกุลพระราชทานแก่ข้าราชการ
พ่อค้า ประชาชน รวมทั้งลูกเสือและนักเรียนถึง 6,432 นามสกุล และได้โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัตินามสกุลขึ้น
เมื่อวันที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2445 และประกาศใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2456 ให้คนไทยทุกคนใช้นามสกุล




"การทหารและการป้องกันประเทศ"

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัตพระนคร ทรงร่วมกับพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรี
สุรเดช ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ

เร่งก่อตั้งกองทัพสยามให้เป็นกองทัพสมัยใหม่ตามแบบยุโรป
ทรงยกร่างพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร พ.ศ. 2448 เพื่อเกณฑ์ชายฉกรรจ์เข้ารับราชการทหารแทนการเกณฑ์เลกเข้า
รับราชการแบบโบราณ
ทรงร่วมกับพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดชจัดวางโครงสร้างกองทัพบกเป็น 10 กองพล กระจายกัน
อยู่ทั่วประเทศ เว้นแต่พื้นที่ที่มีสัญญาลับกับชาติมหาอำนาจ
โปรดเกล้าฯ ให้ยุบเลิกกรมยุทธนาธิการซึ่งปกครองบังคับบัญชาราชการฝ่ายทหารบก แล้วโปรดให้ยกราชการฝ่าย
ทหารบกไปขึ้นสังกัดในกระทรวงกลาโหม
ยกกรมทหารเรือขึ้นเป็นกระทรวงทหารเรือ
โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง “สภาการทัพ” เพื่อปรึกษาคำริกิจการป้องกันพระราชอาณาจักร ซึ่ง “สภาการทัพ” นี้ได้
พัฒนาเป็นสภากลาโหม ในปัจจุบัน
โปรดเกล้าฯ ให้ยกกรมวังนอกซึ่งเป็นส่วนราชการในพระราชสำนักขึ้นเป็น “กรมทหารรักษาวัง” โดยจัดกำลังรบ
และการปกครองบังคับบัญชาแบบกรมทหารเต็มรูป แต่ให้ขึ้นกับกระทรวงวังซึ่งเบิกจ่ายงบประมาณทั้งหมดจาก
พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์

"ทรงจัดตั้งกองเสือป่า"

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงจัดตั้งกองเสือป่าขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2454 โดยมีจุดมุ่งหมายเกี่ยวกับการ
รักษาดินแดนของประเทศเป็นสำคัญ มีพระบรมราชาธิบายว่า “เสือป่า” นั้น คือทหารที่ท่านใช้ไปสืบข่าวข้าศึก เพื่อแม่ทัพ
จะได้รู้พอเป็นเลาๆ ว่าข้าศึกนั้นจะยกมาทางใด มีกำลังเพียงใด ท่าทางจะรบพุ่งอย่างไร ตรงกับที่ในกองทัพบกทุกวันนี้
เรียกว่า “ผู้สอดแนม” นอกจากนั้นยังทรงมุ่งหมายจะอบรมให้รู้ประวัติศาสตร์ของชาติไทย ให้มีความเข้มแข็งทั้งร่างกาย
และจิตใจ นับเป็นการพัฒนาบุคคลทางหนึ่ง โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสอนเองในเรื่องของชาติ
ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้ทรงจัดให้มีการแสดงตำนานเสือป่าที่สนามเสือป่า เพื่อให้เสือป่าเข้าใจว่าชาติไทยเคยเจริญ
รุ่งเรือง โดยเฉพาะทางจิตใจมาแต่โบราณกาล บรรพบุรุษได้เคยเสียสละชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อรักษาบ้านเมืองเอาไว้ ทรง
สอนยุทธวิธีเบื้องต้น และทรงสอนธรรมะซึ่งรวมเรียกกันว่า “เทศนาเสือป่า”

สำหรับการจัดตั้งกองกำลังเสือป่านั้น ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ จัดแบ่งสมาชิกเสือป่าออกเป็น 3 กอง คือ กอง
ร้อยที่ 1 และกองร้อยที่ 2 กับมีกองฝึกหัดอีก 1 กอง โดยกองร้อยที่ 1 ทำหน้าที่เป็นกองรักษาพระองค์ร่วมกับหน่วยทหาร
รักษาพระองค์ ต่อมาบรรดาข้าราชการและบุคคลพลเรือนในหัวเมืองมณฑลต่างๆ ได้พร้อมใจกันยื่นใบสมัครจนสามารถ
จัดตั้งกองเสือป่ารักษาดินแดนขึ้นในหัวเมืองมณฑลทั่วพระราชอาณาจักรไม่เว้นแม้แต่พื้นที่ที่มีสัญญาลับกับชาติ
มหาอำนาจ เพราะเสือป่ามิใช่ทหารแต่เป็นบุคคลพลเรือนที่ได้รับการฝึกเยี่ยงทหาร

"พระราชทานกำเนิดกิจการลูกเสือในประเทศไทย"

หลังจากทรงตั้งกองเสือป่าแล้ว ทรงเห็นว่าหากเยาวชนของชาติได้รับการฝึกหัดให้มีวินัยและได้เรียนรู้วิธีสืบข่าว
เสียแต่ยังเยาว์ เมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ นอกจากจะมีระเบียบวินัยเป็นพลเมืองดีของชาติแล้ว ยังจะสามารถนำความรู้ที่ได้
ร่ำเรียนมาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติได้ด้วย จึงทรงยกร่าง “ข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือ” โปรดเกล้าฯ ให้
ตรา ข้อบังคับนี้ไว้เมื่อวันเสาร์ที่ 1 กรกฎาคม 2454 นับเป็นประเทศที่สามของโลกที่จัดให้มีกิจการลูกเสือ ต่อมาได้
โปรดเกล้าฯ ให้ขยายการจัดตั้งกองลูกเสือออกไปยังโรงเรียนต่างๆ จนมีกองลูกเสืออยู่ทั่วพระราชอาณาจักร

เมื่อทรงจัดตั้งกองเสือป่าและลูกเสือแล้ว ได้ทรงนำทั้งเสือป่า ลูกเสือรวมทั้ง ทหาร ตำรวจ เดินทางไกลไปเพื่อ
ซ้อมรบที่นครปฐม ราชบุรี และกาญจนบุรีเป็นประจำ คราวละประมาณหนึ่งเดือนเพื่อฝึกฝนให้อดทนต่อสู้กับความ
ลำบากนานาชนิด

"กองทัพเรือ"

ในปี พ.ศ. 2457 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “ราชนาวีสมาคมแห่งกรุงสยาม” ในพระบรมราชูปถัมภ์ขึ้น เพื่อเรี่ยไรเงินซื้อ
เรือรบชนิดที่เรียกว่า เรือลาดตระเวนอย่างเบา ระวางขับน้ำ 5,000 ตันลงมา อันเป็นเรือที่มีความคล่องตัวสูง โดย
พระราชทานเงินส่วนพระองค์เป็นทุนประเดิมจำนวน 80,000 บาท และโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินรายได้ต่างๆ สมทบ
กับเงินที่ราษฎรทั่วราชอาณาจักรบริจาคไปจัดซื้อเรือจากประเทศอังกฤษ ได้เรือพิฆาตตอร์ปิโด 1 ลำ พระราชทานนามว่า
“เรือพระร่วง”และพระราชทานนามใหม่อีกครั้งว่า “เรือรบหลวงพระร่วง” เมื่อ พ.ศ. 2463 ส่วนเงินที่เหลือจากการซื้อเรือ
ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานให้กองทัพเรือไว้ใช้ในราชการต่อไป

และในคราวเสด็จพระราชดำเนินเลียบหัวเมืองชายทะเล
มณฑลจันทบุรี เมื่อ พ.ศ. 2457 ได้โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศ
สงวนพื้นที่ชายฝั่งทะเลสัตหีบตั้งแต่เกล็ดแก้วไปจนถึงแสมสาร
เพื่อประโยชน์แก่ราชการกองทัพเรือ ซึ่งต่อมาในพ.ศ. 2463 เมื่อ
กระทรวงทหารเรือสำรวจพื้นที่ชายฝั่งแล้วเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวมี
ความเหมาะสมในทางยุทธศาสตร์ นายพลเรือเอก พระเจ้าพี่ยา
เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ จึงได้ขอพระราชทานที่ดินอ่าว
สัตหีบไปจัดสร้างเป็นฐานทัพเรือ
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่ได้พระราชทานพระบรม
ราชานุญาติตามที่ขอพระราชทาน

นอกจากนั้น ยังโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้นายนาวาตรี หลวงหาญสมุท (บุญมี พัน
ธุมนาวิน) ไปประจำการในกองทัพเรืออังกฤษ เพื่อเรียนรู้วิธีบังคับเรือใต้น้ำของกองทัพเรืออังกฤษในระหว่างสงครามโลก
ครั้งที่ 1 จนสามารถนำความรู้และประสบการณ์ที่ได้รับมาจัดตั้งกองเรือใต้น้ำขึ้นในราชนาวีสยามจนเป็นผลสำเร็จใน
เวลาต่อมา

"กองทัพอากาศ"

สืบเนื่องจากการที่โปรดเกล้าฯ ให้กองทหารอาสาสมัครไป
ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อ พ.ศ. 2460 และกองทัพฝรั่งเศส
ได้ให้การอนุเคราะห์ฝึกบินและซ่อมบำรุงให้นายทหารในกองบิน
ทหารบกจนสามารถสอบไล่ได้เป็นนักบินและช่างซ่อมบำรุง
อากาศยานจำนวนหนึ่ง นายทหารที่ได้รับการฝึกดังกล่าวได้นำความ
รู้นั้นมาพัฒนากรมอากาศยานทหารบกจนเจริญก้าวหน้าเป็นกองทัพ
อากาศในเวลาต่อมา

"การเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ"

พระบาทสมเด็จพระมง
กุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปทรงศึกษาที่ประเทศอังกฤษและประทับอยู่ในประเทศอังกฤษ

เป็นเวลา 9 ปี เนื่องด้วยพระราชฐานันดรศักดิ์สยามมกุฏราชกุมาร ทำให้ทรงได้รับความเลื่อมใสจากราชสำนักต่างๆ
ของตะวันตก ทรงได้รับการทูลเชิญไปเยือนราชสำนักหลายแห่ง และได้ทรงร่วมในพระราชพิธีสำคัญต่างๆหลายครั้ง จึง
เป็นพื้นฐานให้นานาชาติยอมรับว่าสยามประเทศมีฐานะเท่าเทียมชาติตะวันตกในเวลาต่อมา นับว่าทรงปฏิบัติพระราช
ภารกิจในการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศมาตั้งแต่ต้น ทั้งก่อนเสด็จนิวัตพระนคร นอกจากจะได้เสด็จไปทรงเฝ้า
พระราชาธิบดีและทรงพบประมุขของประเทศต่างๆ แล้วยังได้เสด็จไปเยือนประเทศรุสเซีย ออสเตรีย อียิปต์ อิตาลี
ฝรั่งเศส ฮังการี สเปน โปรตุเกส เยอรมนี สหรัฐอเมริกา แล้วเสด็จต่อไปยังประเทศญี่ปุ่นและทรงแวะที่ฮ่องกงเป็นลำดับ
สุดท้ายก่อนเสด็จถึงพระนครใน พ.ศ. 2445 ทำให้ได้ทอดพระเนตรความเจริญของบ้านเมือง รวมทั้งความเป็นอยู่ของ
ประชาชน การประกอบอาชีพ การศึกษา การทหาร การคมนาคม และโบราณสถานของประเทศเหล่านั้น

ในการเสด็จนิวัตพระนครนี้เรียกได้ว่าเสด็จโดยวิธี
“รอบพิภพ” เพราะทรงผ่านทั้งมหาสมุทรแอตแลนติกและ
แปซิฟิก ดังนั้น จึงทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรกที่
เดินทาง “รอบโลก” ได้ทอดพระเนตรความเจริญของ
“โลกเก่า” คือประเทศอียิปต์และนานาประเทศในทวีป
ยุโรป “โลกใหม่” คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา และ “โลก
เอเชียสมัยใหม่” คือ ประเทศญี่ปุ่น ดังนั้นนอกจากจะทรง
ทำหน้าที่เจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ อย่างดียิ่ง
แล้ว ประสบการณ์อันมีค่าที่ทรงได้รับนี้ยังเป็นประโยชน์ใน
การช่วยราชการสมเด็จพระบรมชนกนาถ และการบริหาร
ราชการในเวลาต่อมา

เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแล้ว ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยกระบวน
รถไฟจากสถานีบางกอกน้อยไปจนสุดพระราชอาณาจักรสยามที่สถานีปาดังเบซาร์ แล้วประทับกระบวนรถไฟพระที่นั่งซึ่ง
เปลี่ยนไปใช้หัวรถจักรมลายูลากจูง เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐมลายูของอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. 2467 นับเป็นครั้งแรก
และครั้งเดียวในรัชกาลที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ

"การส่งทหารเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1"

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตัดสินพระทัยประกาศสงครามกับชาติมหาอำนาจกลางอัน
ประกอบด้วย เยอรมนี และออสเตรเลีย-ฮังการี ในสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2460 และ
ส่งทหารไปช่วยฝ่ายสัมพันธมิตร ด้วยทรงมีพระราชประสงค์จะเผยแพร่เกียรติคุณให้นานาประเทศรู้จักชาติไทย และ
เพื่อขจัดปัญหาสนธิสัญญาต่างๆที่นานาชาติพยายามผูกมัดไทย ส่งผลให้สนธิสัญญาต่างๆที่รัฐบาลสยามทำไว้กับ
รัฐบาลเยอรมนีและออสเตรเลีย-ฮังการีสิ้นสุดลง ทำให้สามารถยกเลิกข้อผูกมัดเรื่องสิทธิสภาพนอกอาณาเขตและ
ภาษีร้อยชักสามที่ทำไว้กับทั้งสองประเทศได้ และเมื่อภาวะสงครามสิ้นสุดลง ประเทศสยามยังได้เป็นสมาชิกผู้ร่วม
ก่อตั้งสันนิบาตชาติอันเป็นต้นกำเนิดขององค์การสหประชาชาติ เป็นภาคีสมาชิกสหภาพสากลไปรษณีย์ องค์การ
อนามัยโลก สหพันธ์สภากาชาดและเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ และองค์การลูกเสือโลก ทั้งยังทรงใช้
ประโยชน์จากการที่ประเทศสยามเป็นผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1 ดำเนินการแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ทั้ง
สนธิสัญญาว่าด้วยสิทธิสภาพนอกอาณาเขตซึ่งมีข้อสัญญาลิดรอนอำนาจศาลไทย รวมทั้งภาษีร้อยชักสามที่ทำให้
สยามประเทศต้องเสียเปรียบในการค้าระหว่างประเทศ ซึ่งสามารถดำเนินการแก้ไขได้เสร็จสมบูรณ์เป็นส่วนมาก
ในตอนปลายรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (ส่วนการให้สัตยาบันในสนธิสัญญาที่แก้ไขมาเสร็จ
สมบูรณ์ในตอนต้นรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว)

นอกจากนั้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ก่อนที่จะทรงประกาศสงคราม เมื่อได้ทรงทราบว่านายทหารใน
กองพันที่ 1 กองทหารราบเบาเดอรัม ซึ่งเคยเสด็จประจำการ ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในสงครามเป็นจำนวนมาก
จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินส่วนพระองค์จำนวน 1,000 ปอนด์ให้รัฐบาลอังกฤษนำไปจัดการช่วยเหลือบุตร
กำพร้าและภรรยาหม้ายของนายทหารและพลทหารของกรมดังกล่าว ซึ่งต่อมา ใน พ.ศ. 2458 สมเด็จพระเจ้ายอร์ช
ที่ 5 พระราชาธิบดีแห่งกรุงบริเตนใหญ่และไอร์แลนด์ได้มีพระราชโทรเลขอัญเชิญให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า
เจ้าอยู่หัวทรงรับพระยศเป็นนายพลเอกพิเศษแห่งกองทัพบริเตน

"การเศรษฐกิจ"

ด้วยทรงมีพระราชดำริห่วงใยในการรักษาทรัพย์ของราษฎร

จึงทรงหยิบยกเรื่องดังกล่าวเข้าหารือที่ประชุมเสนาบดีสภา เมื่อวันที่

20 มกราคม พ.ศ. 2455 เมื่อที่ประชุมสภาเห็นชอบตามพระราชดำริ

แล้ว จึงทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้เสนาบดีกระทรวงพระคลัง

มหาสมบัติดำเนินการจัดตั้ง “คลังออมสิน” ขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน

พ.ศ. 2456 การที่ทรงจัดตั้งคลังออมสินขึ้นนี้นอกจากจะเป็น

ประโยชน์ในทางรักษาทรัพย์ของราษฎรแล้ว ยังเป็นหนทางในการ

สะสมทุนสำรองเพื่อสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจของชาติอีกด้วย “คลังออมสิน”

โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระคลังข้างที่เข้าร่วมหุ้นจัดตั้ง “บริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัดสินใช้” ขึ้นใน พ.ศ. 2456 เพื่อ

ผลิตปูนซิเมนต์รองรับงานต่างๆ ทดแทนการนำเข้า ทั้งมีพระราชประสงค์สำคัญเพื่อฝึกคนไทยให้รู้จักประกอบธุรกิจ

อุตสาหกรรมขนาดใหญ่

โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมสถิติพยากรณ์ ใน พ.ศ. 2458 เพื่อรวบรวมสถิติ “อันเป็นรายละเอียดแห่งการหมุนเวียน
แห่งทรัพย์” ซึ่งเป็นการวางรากฐานการพาณิชย์ของประเทศ ต่อมาใน พ.ศ. 2463 โปรดเกล้าฯ ให้ยกขึ้นเป็น “สภาเผย
แพร่พาณิชย์และสถิติพยากรณ์” มีฐานะเทียบเท่ากระทรวง มีหน้าที่ให้คำปรึกษาและให้ความช่วยเหลือแก่หน่วยงาน
ต่างๆ ที่มีหน้าที่อุดหนุนและส่งเสริมการพาณิชย์ของประเทศ

โปรดเกล้าฯ ให้เลิกการพนันหวย ก ข ใน พ.ศ. 2458 และเลิกบ่อนเบี้ยใน พ.ศ. 2459 ตามลำดับ

โปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้าง “เขื่อนพระราม 6” กั้นลำน้ำป่าสักที่อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อทดน้ำ
และส่งน้ำลงสู่ท้องทุ่งด้านตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา จัดเป็นเขื่อนทดน้ำและส่งน้ำแห่งแรกของประเทศไทย ได้เสด็จ
พระราชดำเนินไปทรงเปิดเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2467

โปรดเกล้าฯ ให้ประเทศสยาม ใช้มาตราชั่งตวงวัดแบบเมตริกเป็นมาตรฐานในการซื้อขายสินค้า เมื่อ พ.ศ. 2467

"การศึกษาของชาติ"

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักว่าการศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาประเทศ ทุก
ด้าน ดังนั้น ครั้งยังทรงดำรงพระราชอิสริยยศ เป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เมื่อเสด็จนิวัตพระนคร จึงได้ทรงริเริ่มวาง
รากฐานการศึกษาสำหรับสตรี โดยกราบบังคมทูลถวายคำแนะนำให้สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรม
ราชินีนาถในขณะนั้น ทรงตั้งโรงเรียนราชินี เพื่อเป็นต้นแบบการจัดการศึกษาสำหรับสตรี รวมทั้งทรงสนับสนุนให้
กระทรวงธรรมการจัดวางหลักสูตรการศึกษาสำหรับสตรีด้วย และเพราะทรงเห็นความสำคัญของการศึกษานี้ จึงทรง
เริ่มวางรากฐานการศึกษาของชาติเป็นพระราชกรณียกิจแรกในตอนต้นรัชกาล

พ.ศ. 2453 โปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “โรงเรียนมหาดเล็กหลวง”
ขึ้นในพระบรมมหาราชวัง ด้วยทรงมุ่งหมายจะให้เป็นโรงเรียนกิน
นอน สอนชั้นมัธยมศึกษา และทรงควบคุมการดำเนินงานอย่าง
ใกล้ชิด “โรงเรียนมหาดเล็กหลวง” นี้ ต่อมาได้พัฒนาเป็น
“วชิราวุธวิทยาลัย” ในต้นรัชกาลที่ 7

“โรงเรียนมหาดเล็กหลวง หรือ วชิราวุธวิทยาลัย”

ในปีเดียวกัน ได้โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนา “โรงเรียนมหาดเล็ก” ขึ้นเป็นสถาบันอุดมศึกษา พระราชทานนามว่า
“โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เพื่อเป็นสถานฝึกหัดราชการฝ่ายพลเรือน

พ.ศ. 2456 เกิดแผนการศึกษาชาติ เพื่อสนับสนุนให้การศึกษากว้างขวางยิ่งขึ้น โดยกำหนดให้จัดระเบียบการ
ศึกษาเป็นระดับอนุบาล ประถม มัธยม และอุดมศึกษา ซึ่งใช้กันมาจนทุกวันนี้ นอกจากนั้นในแผนการศึกษานี้ยังมี
หลักสูตรอาชีวศึกษาในระดับมัธยมต้นขึ้นเป็นครั้งแรก ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนเพาะช่างและ
โรงเรียนพณิชยการขึ้นในปีเดียวกัน และตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมขึ้นใน พ.ศ. 2460 เนื่องจากทรงมีพระราช
ประสงค์จะส่งเสริมให้ราษฎรประกอบอาชีพต่างๆ เพื่อช่วยกันสร้างความเจริญและความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้บ้าน
เมือง

พ.ศ. 2458 ด้วยทรงเห็นว่าควรขยายกิจการ “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว” ให้กว้างขวางขึ้น จึงพระราชทานเงินทุนที่เหลือจากการที่ราษฎรได้เรี่ยไรเพื่อสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์
พระบรมรูปทรงม้าจำนวนเก้าแสนกว่าบาท ให้ใช้สร้างอาคารเรียนและเป็นตึกบัญชาการบนที่ดินของพระคลังข้างที่
จำนวน 1,309 ไร่ ที่อำเภอปทุมวัน และเงินที่เหลือจากการสร้างก็พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้เพื่อกิจการ
ของโรงเรียนต่อไป ทั้งนี้ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงวางศิลาพระฤกษ์ในการสร้างอาคารเมื่อ 3 มกราคม พ.ศ. 2458

พ.ศ. 2459 โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงธรรมการดำเนิน

การสนองพระราชดำริในเรื่องการจัด “โรงเรียนข้าราชการ

พลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” เป็น

มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย จึงทรงพระกรุณาโปรด

เกล้าฯ ให้ประดิษฐานโรงเรียนข้าราชการพลเรือนฯ ขึ้นเป็น

“จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” เมื่อ 26 มีนาคม พ.ศ. 2459 เพื่อ

เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติแห่งสมเด็จ

พระบรมชนกาธิราชให้เจริญก้าวหน้ากว้างขวางแผ่ไพศาลต่อ “จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย”

ไป

พ.ศ. 2461 โปรดเกล้าฯ ให้ออกพระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์ เพื่อควบคุมการดำเนินงานของโรงเรียนเอกชน

พ.ศ. 2464 โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษาเป็นการศึกษาภาคบังคับ เพื่อขยายการศึกษาใน
ระดับประถมซึ่งจัดให้มีอยู่แล้วตั้งแต่รัชกาลก่อนให้ทั่วประเทศ อันมีผลบังคับให้เด็กไทยทุกคนที่มีอายุระหว่าง 7-14 ปี
เข้าเรียนในโรงเรียนจนจบชั้นประถมศึกษาหรืออ่านออกเขียนได้

"การรถไฟ"

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงบำรุงกิจการรถไฟตามพระราชดำริในสมเด็จพระบรมชนกนาถ โดย
โปรดเกล้าฯ ให้ขยายทางรถไฟสายใต้ไปต่อกับทางรถไฟสายมลายูของอังกฤษที่ปาดังเบซาร์และสุไหงโกลก สายเหนือไป
ถึงเชียงใหม่ สายตะวันออกไปถึงอรัญประเทศ สายตะวันออกเฉียงเหนือถึงหนองคายและอุบลราชธานี และให้เชื่อมทาง
รถไฟสายต่างๆ ไว้ที่กรุงเทพฯ เป็นชุมทางแห่งเดียว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานพระราม 6 อันเป็นสะพานข้ามแม่น้ำ
เจ้าพระยาแห่งแรกเพื่อเชื่อมทางรถไฟสายใต้ให้ถึงสถานีกรุงเทพฯ และรวมการบัญชาการกรมรถไฟสายเหนือและกรม
รถไฟสายใต้เข้าด้วยกันเป็น “กรมรถไฟหลวง” และ “กรมรถไฟหลวงแห่งกรุงสยาม” ตามลำดับ อันเป็นกิจการของชาว
ไทยโดยเด็ดขาด อีกทั้งยังทรงทะนุบำรุงการคมนาคมในหัวเมืองโดยสร้างถนนเชื่อมต่อกับทางรถไฟเพื่ออำนวยความ
สะดวกแก่ราษฎร เช่น จากสถานีรถไฟจากนครลำปางไปยังเมืองเชียงราย และจากสถานีรถไฟตะพานหิน จังหวัดพิจิตรไป
ยังจังหวัดเพชรบูรณ์ เป็นต้น

“สะพานพระราม 6”

"การสร้างสะพานข้ามคลองชุดที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า “เจริญ” "

ในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้มีการสร้างสะพานข้ามคลองที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่าเฉลิมหลายแห่ง มาในสมัยรัชกาลที่ 6
ได้ทรงเจริญรอยพระยุคลบาทสมเด็จพระบรมชนกนาถด้วยการพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดสร้างสะพานชุด
“เจริญ” โดยมีตัวเลขจำนวนปีพระชนมพรรษาต่อท้าย และมีอักษรพระบรมนามาภิไธย ว.ป.ร. ประดับที่ราวสะพานทั้งสอง
ฝั่งเช่นเดียวกับสะพานชุดเฉลิมโดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างสะพานชุดนี้เรียงลำดับมาแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.
2454 ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีที่สองในรัชกาล คือ

1.สะพานเจริญรัช 31 ข้ามคลองคูเมืองเดิม ตำบลปากคลองตลาด
2.สะพานเจริญราษฎร์ 32 ข้ามคลองมหานาค ที่ถนนกรุงเกษม
3.สะพานเจริญพาศน์ 33 ข้ามคลองบางกอกใหญ่ ที่ถนนอิสรภาพ
4.สะพานเจริญศรี 34 ข้ามคลองคูเมืองเดิม บริเวณวัดบุรณศิริมาตยาราม
5.สะพานเจริญทัศน์ 35 ข้ามคลองวัดสุทัศน์เทพวราราม ที่ถนนบำรุงเมือง
6.สะพานเจริญสวัสดิ์ 36 ข้ามคลองผดุงกรุงเกษม ที่ถนนเจริญกรุง หน้าสถานีรถไฟกรุงเทพฯ
7.สะพานเจริญศรัทธา ข้ามคลองเจดีย์บูชา จังหวัดนครปฐม เพื่อเชื่อมเส้นทางคมนาคมระหว่างสถานีรถไฟนครปฐม

กับองค์พระปฐมเจดีย์ ซึ่งเป็นสะพานคอนกนรีตเสริมเหล็กแห่งแรกที่สร้างขึ้นในหัวเมือง

"กระทรวงคมนาคม"

ใน พ.ศ. 2455 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงโยธาธิการดูแลรับผิดชอบการส่งข่าวสารและ การทำ
ทางทั้งทางน้ำทางบก พระราชทานนามใหม่ว่า “กระทรวงคมนาคม” และโปรดเกล้าฯ ให้วิศวกรผู้ชำนาญการออกไป
ประจำอยู่ทุกมณฑล

"การขนส่งไปรษณียภัณฑ์ทางอากาศ"

โปรดเกล้าฯ ให้มีการขนส่งไปรษณีย์ภัณฑ์ทางอากาศเป็นครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2462 ในเส้นทางกรุงเทพฯ -
จันทบุรี และโปรดเกล้าฯ ให้ขยายกิจการไปทางภาคอีสานอีก 2 เส้นทาง จากนครราชสีมา – ร้อยเอ็ด – อุบลราชธานี
ในปีพ.ศ. 2465 และจากนครราชสีมา – ร้อยเอ็ด – อุดรธานี – หนองคาย ใน พ.ศ. 2466

"การโทรเลข"

โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงทหารเรือเปิดการสื่อสารวิทยุโทรเลขระหว่างสถานีวิทยุโทรเลขศาลาแดงที่กรุงเทพฯ
กับจังหวัดสงขลา และโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดรหัสสัญญาณรับส่งโทรเลขเป็นภาษาไทยขึ้นใช้เป็นผลสำเร็จ

"กฎหมาย"

กฎหมายเป็นวิชาสำคัญวิชาหนึ่งที่ทรงศึกษา ณ มหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด ที่ทรงนำมาช่วยเหลือกิจการสภาส่วน
พระองค์ของสมเด็จพระบรมชนกนาถว่าด้วยเรื่องกฎหมายระหว่างประเทศ ทรงช่วยร่างกฎหมายทหาร (พระธรรมนูญศาล
ทหารและกฎอัยการศึก) และได้พระราชนิพนธ์หนังสือว่าด้วยกฎหมายนานาประเทศเพื่อให้ความรู้แก่ราษฎรทั่วไป เน้น
เรื่องการปฏิบัติของประเทศ (Public International Law) ให้เป็นแบบอย่างในการเรียบเรียงตำรากฎหมายไทย และ
ก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ไม่นานนัก ทรงได้รับมอบหมายให้เป็นผู้กำกับราชการกระทรวงยุติธรรม

โปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศพระบรมราชโองการจัดระเบียบราชการกระทรวงยุติธรรม “…ลงเปนระเบียบเดียวกับ
ประเทศอื่น...” เมื่อ พ.ศ. 2455

โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติทนายความ เพื่อคุ้มครองโจทก์จำเลยผู้มีอรรถคดีในศาลยุติธรรม และจัดตั้ง
เนติบัณฑิตยสภา ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อบำรุงวิชากฎหมายและสอดส่องความประพฤติของทนายความ เมื่อ พ.ศ.
2457 ทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้ยกโรงเรียนกฎหมายที่พระเจ้าพี่ยาเธอ กรมหมื่นราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงตั้งขึ้นในรัชกาลพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้เป็นโรงเรียนหลวงสังกัดกระทรวงยุติธรรม อันเป็นการรับรองหลักสูตรการศึกษาวิชา
กฎหมายตามแบบอย่างอารยประเทศ ในปีเดียวกันนี้อีกด้วย

โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรมร่างกฎหมาย เพื่อยกร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมทั้งการพิจารณายกร่าง
กฎหมายต่างๆ ในปี พ.ศ. 2466

"โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์"

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักดีถึงความสำคัญของสุขภาพอนามัยของราษฎร ทรงถือว่า
“ถ้าพลเมืองป่วยไข้ไม่สมประกอบ ต้องนับว่าประเทศนั้นขาดปัจจัยแห่งความสมบูรณ์” จึงมีพระราชดำริที่จะจัดสร้างโรง
พยาบาลของสภากาชาดสยามขึ้น ทรงพระราชทานเงินส่วนพระองค์จำนวน 5,800 บาท ร่วมกับพระราชโอรสพระราชธิดา
ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์ทรงพร้อมพระทัยกันร่วมบริจาคสมทบรวมเป็นเงินทั้งสิ้น
122,910 บาท เพื่อจัดสร้างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสืบมา พระองค์ทรงเสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงพยาบาลเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2457

"วชิรพยาบาล"

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ
ให้กรมพระคลังข้างที่ซื้อตึกและที่ดินริมถนนสามเสน แล้ว
พระราชทานให้กระทรวงนครบาลจัดเป็นโรงพยาบาลสำหรับ
รักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วยในพื้นที่ตอนเหนือของกรุงเทพฯ
พระราชทานนามว่า “วชิรพยาบาล” เสด็จพระราชดำเนินเปิด
โรงพยาบาลเมื่อวันที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2455

"โรงพยาบาลวชิระภูเก็ต"

เมื่อคราวพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

เสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลปักษ์ใต้ พ.ศ. 2460 ได้

โปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ให้ใน

การก่อสร้างตึกวชิระพยาบาล ตามข้อมูลในเอกสาร

จดหมายเหตุประมวลได้ว่า ใน พ.ศ. 2460 ทรงเห็นว่าโรง

พยาบาลสุขาภิบาลที่ภูเก็ตคับแคบและถูกน้ำท่วมเสมอ ควร

สร้างโรงพยาบาลใหม่ให้ทันสมัย จึงทรงพระกรุณาโปรด

เกล้าฯ ให้หาทำเลที่ตั้งโรงพยาบาลใหม่ และทรงเลือก

บริเวณเขารังซึ่งเป็นที่ตั้งอาคารทำการของศึกษาธิการมณฑล

ภูเก็ต แล้วพระราชทานเงิน 30,000 บาท สำหรับก่อสร้าง

อาคารที่ทำการโรงพยาบาล อาคารที่พักผู้ป่วย อาคารที่พัก

แพทย์ และโรงครัว ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวม

โรงพยาบาลสุขาภิบาลเข้ากับโรงพยาบาลวิชระภูเก็ต

"รากฐานการประปาในกรุงเทพฯ"

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริให้กรมศุขาภิบาล กระทรวงนครบาลเริ่มวางรากฐาน
การประปาในกรุงเทพฯมาตั้งแต่ครั้งทรงเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนครในปี พ.ศ. 2450 มีการขุดคลองจากเชียงราก
มาถึงโรงกรองน้ำที่สามเสน รวมทั้งฝังท่อส่งน้ำจากโรงกรองน้ำไปยังบ้านเรือนของราษฎรในกรุงเทพฯ แล้วเสร็จในปี พ.ศ.
2457

"การเสด็จประพาสหัวเมือง"

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งเมื่อทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยาม
มกุฎราชกุมาร ได้เสด็จประพาสหัวเมืองมณฑลพายัพ เมื่อ พ.ศ. 2448 ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่
หัวจากกรุงเทพฯ ไปในการทรงเปิดทางรถไฟสายเหนือที่สถานีชุมทางบ้านภาชี แล้วเสด็จ พระราชดำเนินโดยขบวนรถไฟ
ไปถึงสถานีปากน้ำโพเมืองนครสวรรค์ ต่อจากนั้นได้เสด็จพระราชดำเนินไปยังเมืองพิจิตร พิษณุโลก อุตรดิตถ์ แพร่
ลำปาง พะเยา พาน เชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน แล้วกลับมาประทับที่เชียงใหม่ นอกจากนั้นระหว่างทางเสด็จกลับจาก
เชียงใหม่มากรุงเทพฯ ยังได้เสด็จประพาสเมืองตาก กำแพงเพชร บรรพตพิสัย ชัยนาท สิงห์บุรี และอ่างทองในมณฑลกรุง
เก่าอีกด้วย รวมระยะเวลาในการเสด็จประพาสทั้งหมด 3 เดือน จากการเสด็จประพาสครั้งนั้น ได้เสด็จตรวจสถานที่
ราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนรวมทั้งสภาพวัดและโบราณสถาน ได้ทอดพระเนตรเห็นสภาพภูมิประเทศ สภาพบ้าน
เมือง และความเป็นอยู่ของราษฎร

ครั้นใน พ.ศ. 2452 ได้เสด็จพระราชดำเนินหัวเมืองมณฑลปักษ์ใต้เพื่อทอดพระเนตรภูมิประเทศและชัยภูมิใน
แนวคอคอดกระกับสภาพบ้านเมืองและความเป็นอยู่ของราษฎร ในการเสด็จครั้งนั้นเสด็จโดยเรือพระที่นั่งจักรีจาก
กรุงเทพฯ ไปทรงขึ้นบกที่ชุมพร แล้วเสด็จพระราชดำเนินตามแนวคอคอดกระจนถึงปากจั่น อำเภอกระบุรี จังหวัดระนอง
ซึ่งเป็นเขตแดนต่อเมืองมลิวันของอังกฤษ แล้วเสด็จต่อไปยังเมืองระนอง ตะกั่วป่า ภูเก็ต พังงา ตะกั่วทุ่ง กระบี่
เกาะลันตา ตรัง ทับเที่ยง ทุ่งสง ร่อนพิบูลย์ และนครศรีธรรมราช

เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้ว ยังได้เสด็จเลียบมณฑลปักษ์ใต้อีก 2 ครั้ง ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2458 ครั้งนี้ได้เสด็จไป
ถึงหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นราธิวาส สายบุรี ปัตตานี สงขลา พัทลุง ตรัง ภูเก็ต นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี และ
ชุมพร ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2460 ได้เสด็จพระราชดำเนินข้ามคอคอดกระจากเมืองชุมพรไปยังตำบลมะมุ อำเภอ กระบุรี
จังหวัดระนองซึ่งเป็นเขตแดนต่อเมืองมลิวันของอังกฤษอีกครั้งหนึ่ง ต่อจากนั้นได้เสด็จประพาสเมืองระนอง ภูเก็ต ตรัง
กันตัง นครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี หลังสวน ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี

การที่ได้เสด็จประพาสหัวเมืองฝ่ายเหนือจนถึงเมืองเชียงใหม่ และหัวเมืองปักษ์ใต้นี้ทำให้ทรงมีความรู้เรื่องของ
ราษฎรที่มีวัฒนธรรมต่างกัน ทรงสานต่องานด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ทำให้มีการเขียนประวัติศาสตร์ของชาติ
สยามอย่างเป็นรูปธรรมในเวลาต่อมา และการเสด็จประพาสหัวเมืองนี้ ยังทำให้ทรงมีโอกาสเปรียบเทียบทรัพยากรของ
สยามกับนานาประเทศที่เคยเสด็จประพาส นับเป็นต้นทุนในการวางแผนสร้าง “สยามรัฐ” อย่างเป็นระบบในรัชกาลของ
พระองค์อีกด้วย

"ศาสนา"

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเลื่อมใสในพระบวรพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ทรงผนวชในขณะดำรง

พระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมีพระเจ้าน้องยาเธอ กรม

หมื่นวชิรญาณวโรสเป็นพระราชอุปัธยาจารย์ ตั้งแต่วันที่ 21 สิงหาคม ถึง วันที่ 11 ธันวาคม 2447 มีพระสมณฉายาว่า

“วชิราวุโธ” เสด็จจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร นอกจากจะทรงปฏิบัติศาสนกิจแล้ว ยังได้ทรง

ศึกษาธรรมวินัยตามหลักสูตรที่พระราชอุปัธยาจารย์จัดถวาย และทรงสอบไล่ได้เป็นที่ 1 ของสนามสอบวัดบวรนิเวศวิหาร

ในปีนั้นด้วย
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น พระองค์ทรงสร้าง

ทรงพระราชนิพนธ์ และทรงริเริ่มสิ่งต่างๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไว้หลายอย่าง กล่าว

คือ ได้ทรงปฏิสังข์พระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ พระราชทานนามว่า พระร่วงโรจนฤทธิ์

ประดิษฐาน ณ พระวิหารโถงด้านหน้าต่อกับวิหารทิศเหนือของพระปฐมเจดีย์ ทั้งยังมี

พระราชพินัยกรรมให้บรรจุพระบรมราชสรีรังคารส่วนหนึ่งไว้ที่ใต้ฐานพุทธบัลลังก์นั้น

ด้วย ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือเรื่อง “พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร” ทรงพระราชนิพนธ์แปล

ภาษาบาลีเป็นภาษาไทยเพื่อให้คนไทยได้เข้าใจความอย่างแจ่มแจ้ง เช่น มงคลสูตร “พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร”
และยังมีบทพาหุงที่ทรงพระราชนิพนธ์แปล โดยทรงรักษาคณะฉันท์วสันตดิลกของเดิม

ไว้ได้อย่างน่าพิศวง และมีการใช้บทแปลพาหุงดังกล่าวมาจนทุกวันนี้ ในบางครั้งทรง

แสดงพระธรรมเทศนาที่เรียกว่า “พระบรมราชานุศาสนีย์” ทรงพระราชดำริให้มีอนุ

ศาสนาจารย์ไปกับกองทหาร ซึ่งเริ่มขึ้นเมื่อประเทศสยามส่งทหารไปร่วมรบ ณ สมรภูมิ

ยุโรปในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทรงริเริ่มพระราชทานบัตรอำนวยพรในวันวิสาขบูชาตั้งแต่

กลางรัชกาลของพระองค์ ทรงรับพระราชธุระปฏิสังขรณ์พระอารามสำคัญต่างๆ อาทิ วัด

พระศรีรัตนศาสดาราม วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดบวรนิเวศวิหาร วัดมหาธาตุยุว

ราชรังสฤษฎิ์ วัดพระพุทธบาท สระบุรี และวัดพระปฐมเจดีย์ ทั้งยังทรงหารายได้จาก “มงคลสูตร”
กิจการต่างๆ พระราชทานไปบูรณะพระพุทธเจดีย์และพระอารามหลายครั้ง

ในส่วนของการสืบอายุพระศาสนา ทรงอาราธนาสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสให้ทรงเป็น
แม่กองชำระคัมภีร์อรรถกถาทั้งในส่วนพระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก และพระสุตตันตปิฎกบางคัมภีร์ ถวายเป็นพระ
ราชกุศลแด่สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ บรมราชชนนี และเมื่อสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณว
โรรส ทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา ได้ทรงรับเป็นเจ้าภาพจัดพิมพ์อรรถกถาพระสุตันตปิฎกจนครบบริบูรณ์ แล้วโปรด
พระราชทานไว้ในพระราชอาณาจักร 200 ชุด กับนานาประเทศอีก 400 ชุด

ในส่วนของศาสนาอื่นๆ นอกจากจะทรงรับเป็นองค์ศาสนูปถัมภกแล้ว ยังได้พระราชทานพระราชทรัพย์บำรุง
ศาสนานั้นๆ ตามควรแก่โอกาส

"การอนุรักษ์โขน ละคร และดนตรี"

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นสมเด็จ
พระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงจัดตั้ง “คณะโขนสมัครเล่น” ซึ่ง
ต่อมามีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “โขนบรรดาศักดิ์” เนื่องจากผู้แสดงทั้งหมดเป็นผู้ที่รับ
ราชการและได้รับพระราชทานให้มีบรรดาศักดิ์ ทรงเริ่มโดยยืมครูโขนละครผู้มีฝีมือ
ดีจากบ้านเจ้าพระยาเทเวศรวงศ์วิวัฒน์ (หม่อมราชวงศ์หลาน กุญชร) มาฝึกสอน
มหาดเล็กข้าในพระองค์อย่างจริงจังและถูกต้องตามแบบแผนทั้งภาคทฤษฎีและ
ภาคปฏิบัติ ภายหลังจากที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรมโขนหลวงเป็น
ส่วนราชการสังกัดในกรมมหรสพซึ่งขึ้นตรงต่อกรมมหาดเล็กแล้ว ได้โปรดให้ครูโขน
ละครฝีมือดีมีบรรดาศักดิ์และราชทินนามต่างๆ ตามความสามารถของแต่ละบุคคล

ทรงพระราชนิพนธ์บทละครพูด และโปรดให้คณะโขนบรรดาศักดิ์เปลี่ยนมาเล่นละครพูดแทน ในช่วงหลัง
สงครามโลกครั้งที่ 1 จึงโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมคณะผู้แสดงละครพูดจัดเป็น “คณะละครศรีอยุธยารม” และโปรดฯ ให้
คณะละครนี้จัดการแสดงละครพระราชนิพนธ์และละครอื่นๆ เพื่อเก็บเงินบำรุงสาธารณกุศลมาเป็นลำดับตราบจนสิ้นรัช
สมัย

พ.ศ. 2454 โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกรมมหรสพ ขึ้นในสังกัดกรมมหาดเล็กหลวง รับผิดชอบราชการด้าน
ดุริยางคศิลป์ โดยมีส่วนราชการในสังกัด คือ กรมปี่พาทย์หลวง กรมโขนหลวง และกองเครื่องสายฝรั่งหลวง ซึ่งโปรด
เกล้าฯ ให้จัดตั้งขึ้นเป็นวงศ์ดุริยางค์ชนิดออเคสตราวงแรกของประเทศไทยและภาคพื้นเอเชียอาคเนย์

พ.ศ. 2457 โปรดเกล้าให้จัดตั้ง “โรงเรียนทหารกระบี่หลวง” ซึ่งมุ่งเน้นฝึกหัดกุลบุตรให้มีความรู้ความ
ชำนาญในวิชานาฏดุริยางคศิลป์ เพื่อสืบทอดศิลปวัฒนธรรมอันทรงคุณค่ามิให้เสื่อมสูญ ภายหลังโรงเรียนนี้ได้รับ
พระราชทานนามใหม่ว่า “โรงเรียนพรานหลวง” และถูกยุบเลิกไปเมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
สวรรคต นักเรียนพรานหลวงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดี เช่น ศาสตราจารย์มนตรี ตราโมท นายเอื้อ สุนทรสนาน และนาย
อาคม สายาคม เป็นต้น

"ศลิ ปกรรม"

โปรดเกล้าฯ ให้ยกงานประณีตศิลป์ซึ่งกระจายกันอยู่ในกระทรวง
โยธาธิการ และกรมพิพิธภัณฑ์ กระทรวงธรรมการ มารวมขึ้นใน “กรม
ศิลปากร” ที่โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นใหม่เป็นส่วนราชการในสังกัดกระทรวงวัง

"สถาปัตยกรรม"

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างต่อเติมและก่อสร้างสถานที่
สำคัญใหม่หลายแห่ง ซึ่งแต่ละแห่งจะมีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันออกไป ดังนี้

โปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการก่อสร้างพระที่นั่งอนันตสมาคมและพระที่นั่งศรเพชรปราสาท (พระรามราชนิเวศน์หรือ
พระราชวังบ้านปืน) ที่ค้างมาแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจนแล้วเสร็จ
โปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างพระที่นั่งและพระตำหนักในพระราชวังสนามจันทร์หลายองค์ด้วยศิลปะสถาปัตยกรรมไทย
อันงดงาม ที่มีการผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมตะวันออกกับตะวันตกอย่างลงตัว
โปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างตึกบัญชาการโรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
กับหอสวดและหอนอนของโรงเรียนมหาดเล็กหลวงด้วยสถาปัตยกรรมตะวันตกแต่ตกแต่งด้วยลวดลายอย่างไทย
เกิดสถาปัตยกรรมรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “สถาปัตยกรรมไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว”
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ฝรั่งแต่งเครื่องไทย”
ในปี พ.ศ. 2466 โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการก่อสร้างพระราชนิเวศน์มฤคทายวัน เป็น
พระราชวังฤดูร้อน โดยทรงร่างแผนผังการก่อสร้างพระราชนิเวศน์ด้วยพระองค์เอง ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบ
ไทยประยุกต์ (เรือนไทยผสมยุโรป) สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง อาคารเปิดโล่งทั้งสองชั้น ใต้ถุนสูง พื้นล่างเท
คอนกรีต หลังคาหมู่พระที่นั่งเป็นทรงปั้นหยาแบบไทย มุงด้วยกระเบื้องว่าวสี่เหลี่ยม เพดานสูง บนเพดานระเบียง
ทางเดินที่ทอดยาวเชื่อมต่อถึงกันนั้น ฉลุเป็นช่องลมโดยตลอด ตัวอาคารที่ยกขึ้นสูงให้ลมพัดผ่านสะดวก
ในตอนปลายรัชสมัย โปรดเกล้าฯ ให้สถาปนิกชาวอิตาลีออกแบบและก่อสร้าง “บ้านนรสิงห์” และ “บ้านบรรทม
สินธุ์” ด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรป

"ศัพท์บัญญัติ"

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงคิดคำไทยที่จำเป็นให้ใช้กันมาจนทุกวันจำนวนมาก อาทิเช่น
ตำรวจ โทรเลข ธนาคาร บริการ บริษัท บรรณาธิการ จักรยาน ราชนาวี เลขานุการ วิทยุ สหกรณ์ เอกสารห้องสมุด
เครื่องบิน ปริญญา อนุบาล ฯลฯ

"การกีฬา"

ทรงส่งเสริมกิจการฟุตบอลอย่างจริงจัง ด้วยทรงเห็นว่านอกจากสนุกแล้ว ยังสอนให้มีน้ำใจรู้แพ้รู้ชนะ และฝึก
ร่วมมือกันเป็นทีม มิใช่แสดงความเด่นแต่ผู้เดียว กิจการฟุตบอลเจริญมากจนมีชุด “ทีมชาติ” มีการแข่งขันชิงถ้วย
พระราชทาน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา “ข้อบังคับลักษณะปกครองคณะฟุตบอลแห่งสยาม” ในปี พ.ศ.
2459

"วรรณกรรม"

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระปรีชาสามารถในด้านการประพันธ์อย่าง
ยอดเยี่ยม ทรงได้รับการเฉลิมพระเกียรติคุณด้วยพระราชสมัญญาว่า “สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า” องค์การศึกษา
วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติได้ยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นนักประพันธ์ กวี
และนักแต่งบทละคร นับเป็นปราชญ์สยามคนที่ 5

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงใฝ่พระทัยในการประพันธ์มาแต่ยังทรงพระเยาว์ โดยทรงเริ่มจาก
การจดบันทึกพระราชกิจรายวัน ครั้นเสด็จออกไปทรงศึกษายังต่างประเทศ ได้ทรงศึกษาภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ทรง
ใช้เวลาว่างในการทรงพระราชนิพนธ์บทละครภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส ทั้งยังทรงบันทึกเหตุการณ์สำคัญที่ทรงพบเห็น
ไว้ในรูปพระราชหัตถเลขา เมื่อเสด็จพระราชดำเนินนิวัตพระนครแล้วก็ได้ทรงใช้เวลาว่างในแต่ละวันพระราชนิพนธ์บท
ละคร บทความ นิทาน และอื่นๆ ไว้เป็นจำนวนมาก เมื่อคราวฉลองพระบรมราชสมภพครบ 100 ปี คณะกรรมการ
รวบรวมและค้นคว้าเกี่ยวกับพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สำรวจและรวบรวมพระราช
นิพนธ์ที่ทรงไว้ตลอดพระชนมชีพพบว่ามีจำนวนกว่า 1,200 เรื่อง และแม้เวลาจะล่วงมาถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่อาจรวบรวม
ให้สมบูรณ์ได้

พระราชนิพนธ์ทั้งหมด ได้แก่ บทโขน บทละคร บทร้อยกรอง นิทาน เรื่องชวนหัว พระราชดำรัส พระบรม
ราโชวาท บทปลุกใจ พระราชบันทึก พระราชหัตถเลขา พระบรมราชานุศาสนีย์ สารคดีต่างๆ และบทความใน
หนังสือพิมพ์ นั้น นอกจากจะเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางวรรณศิลป์ ด้านเนื้อหาสาระ และสำนวนโวหารอันสละสลวยดังที่
วรรณคดีสโมสรยกย่องแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงใช้บทพระราชนิพนธ์หลายเรื่องเป็น
อุปกรณ์ในการพระราชทานความรู้ในเรื่องต่างๆ เช่น เรื่องประชาธิปไตย ตำนานชาติไทย ฯลฯ แก่พสกนิกรไทยมา
โดยตลอด ทั้งในบทพระราชนิพนธ์ยังเต็มไปด้วยข้อคิดคำคมที่มีความหมายลึกซึ้ง เป็นที่จดจำสืบต่อมาจนทุกวันนี้

นอกจากพระราชนิพนธ์บทละครภาษาไทยแล้ว ยังทรงพระราชนิพนธ์บทละครภาษาอังกฤษอีกหลายเรื่อง ส่วน
พระราชนิพนธ์แปล ทรงแปลบทละครภาษาอังกฤษและฝรั่งเศสไว้หลายเรื่องเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทละครของวิล
เลียม เชคสเปียร์ กวีคนสำคัญของอังกฤษ ซึ่งทรงแปลเป็นบทกวีไทยที่สละสลวยและรักษาอรรถรสของบทประพันธ์เดิม
ไว้ได้อย่างครบถ้วน อีกทั้งทรงแปลบทละครพระราชนิพนธ์ภาษาไทยเป็นภาษาอังกฤษไว้อีกหลายเรื่องอีกด้วย

“มัทนะพาธา” “เห็นแก่ลูก” “โรเมโอและจูเลียต”


Click to View FlipBook Version