การวจิ ัยในชัน้ เรียน
การแกป้ ัญหาการเรียนเรอ่ื งคำราชาศัพท์ของนกั เรียน
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๒ โดยใช้บทเรียนออนไลน์ (Google Sites)
นางกนกกาญจน์ รอดเพ็ง
ผวู้ ิจยั
กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรยี นสตรีพทั ลุง
สำนักงานเขตพ้นื ท่ีการศกึ ษามัธยมศกึ ษาพัทลงุ
การวจิ ยั ในชั้นเรยี น
ช่ือเรื่อง การแกป้ ัญหาการเรียนเรื่องคำราชาศพั ท์ของนกั เรียนชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๒ โดยใช้
บทเรียนออนไลน์ (Google Sites)
ผูว้ ิจัย นางกนกกาญจน์ รอดเพ็ง
ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๕
บทคดั ย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาการเรียนเรื่องคำราชาศัพท์ของนักเรียนช้ัน
มัธยมศึกษาปีที่ ๒ โดยใช้บทเรยี นออนไลน์ และศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีตอ่ การจัดการเรียนรู้
ด้วยบทเรียนออนไลน์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒/7 โรงเรียนสตรีพัทลุง
ปีการศึกษา ๒๕๖๕ จำนวน ๔๐ คน โดยวิธีการสุ่มแบบง่าย (Simple Random Sampling) เครื่องมือ
ที่ใช้ ได้แก่ บทเรียนออนไลน์ Google Sites เรื่อง คำราชาศัพท์ แบบฝึกทักษะ แบบทดสอบก่อน-หลัง
เรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจ วเิ คราะหข์ ้อมลู โดยใช้สถิติ ค่าเฉลีย่ สว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และ
โปรแกรม ทดสอบที T (t-test)
ผลการวจิ ัยพบวา่
๑. ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นของนักเรยี นหลังจากการจัดการเรียนรู้ด้วยบทเรียนออนไลน์ เร่ือง
คำราชาศพั ท์ โดยใช้ (Google Sites) สูงกวา่ กอ่ นเรยี น อยา่ งมนี ยั สำคัญทางสถติ ิท่ีระดบั
.๐๑
๒. นกั เรียนมีความพึงพอใจตอ่ การจัดการเรียนรดู้ ้วยบทเรยี นออนไลน์อยใู่ นระดบั มากที่สุด
ก
คำนำ
ประเทศไทยมีภาษาของตนเองเปน็ มรดกลำ้ ค่าท่ีบรรพบุรษุ ได้สร้างไว้ อีกทั้งยังเป็นเครื่องแสดง
ว่าชาติไทยเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมสูงส่งมาแต่โบราณกาลและยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน ประเทศไทยเป็น
ประเทศที่มีการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงได้มีการรักษาธรรมเนียมประเพณีอันดี
งามทางด้านภาษาของไทยไว้ คำราชาศัพท์จึงมีลักษณะเด่นเป็นพิเศษที่ต้องมีระเบียบแบบแผน ผู้เรียน
จะต้องศึกษาในเรื่องความหมายของคำราชาศัพท์ ตลอดจนหลักการใช้คำราชาศัพทใ์ นระดับ ต่าง ๆ ให้
ถูกตอ้ งและเหมาะสม แต่อยา่ งไรก็ตามการเรียนเรื่องคำราชาศพั ท์ยังถือวา่ เป็นเร่ืองทย่ี ากสำหรับผู้เรียนใน
ระดับนี้ นักเรียนส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยสนใจเรียนเรื่องคำราชาศัพท์ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว ล้าสมัย
และไมไ่ ดใ้ ช้จริงในชีวิตประจำวัน
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาการเรียนเร่ืองคำราชาศัพท์ของนักเรียนช้ัน
มธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๒ โดยใชบ้ ทเรียนออนไลน์ (Google Sites) ในการกระตุน้ ให้นักเรียนเกิดความสนใจเรียน
เกิดความรู้ความเข้าใจในบทเรียน และมีผลสัมฤทธิ์ทางเรียนเพิ่มสูงมากยิ่งขึ้น และศึกษาความพึงพอใจ
ของนกั เรยี นทมี่ ตี ่อการจัดการเรยี นรู้ดว้ ยบทเรียนออนไลน์
ผลการศึกษาวิจัยจึงเป็นแนวทางในการสร้างบทเรียนออนไลน์ในการจัดการเรียนรู้
เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ และสร้างความพึงพอใจบนแอปพลิเคชัน ในหน่วยการเรียนรู้อื่น ๆ ในรายวิชา
อื่น ๆ หรือในระดับชั้นอื่น ๆ ต่อไป สอดคล้องกับแนวคิดที่ว่า “การเรียนรู้เกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเวลา การ
เรียนร้ขู องผู้เรยี นไมไ่ ดจ้ ำกดั เฉพาะในชน้ั เรยี นเท่านน้ั ”
กนกกาญจน์ รอดเพ็ง
ข
สารบัญ
หน้า
บทคัดยอ่ บทนำ.......................................................................................... ก
คำนำ ทีม่ าและความสำคญั ของปญั หา ……………………….…………… ข
สารบญั วตั ถปุ ระสงคข์ องการวจิ ัย …………………………………………….. ๑
บทที่ ๑ สมมตุ ฐิ านของการวิจยั ………………………………………………. ๑
ตัวแปรทใ่ี ช้ในการวิจัย………………………………………. ๒
บทท่ี ๒ นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ …………………………………………………….. 3 ๒
ประโยชนท์ ีค่ าดวา่ จะได้รบั ………………………………………. 3
บทที่ ๓ เอกสารและงานวจิ ัยท่ีเกีย่ วขอ้ ง ……………………………………….
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐานพุทธศักราช 2551 3
บทที่ ๔ กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ………………………………………. 4
บทท่ี ๕ การจดั การเรียนการสอนภาษาไทย……………………………………….
คำราชาศพั ท์……………………………………….………………………………………. 4
บทเรยี นออนไลนผ์ ่านเว็บดว้ ย Google Sites…………………………………… 5
ความรเู้ กี่ยวกบั โปรแกรม Google Site ………………………………………. 8
วธิ ดี ำเนินการวจิ ัย ………………………………..…………………… 10
ประชากรและกลุม่ ตวั อยา่ ง ………………………………………….. 17
เคร่ืองมอื ที่ใชใ้ นการวิจัย …………………………………………….. 18
วธิ ีการเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู และวิเคราะหข์ ้อมลู ………………………. 18
สถติ ิทใี่ ช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมูล ……………………………………… 18
ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ………………….…………………………… 18
การเปรยี บเทียบผมสัมฤทธ์ิทางการเรียนกอ่ นเรียนและหลงั เรียน ….. 19
ความความพงึ พอใจของผ้เู รยี นท่ีมตี ่อการเรียนด้วยบทเรยี นออนไลน์ 21
สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ …………………………………. 21
การเปรียบเทยี บผลสัมฤทธ์กิ อ่ นเรียนและหลงั เรียนดว้ ยบทเรียนออนไลน์ 21
เรอื่ ง คำราชาศพั ท์ โดยใช้ (Google Sites) …………….……. 22
ความพึงพอใจของผ้เู รยี นทีม่ ตี ่อการเรยี นด้วยบทเรียนออนไลน์ …
ข้อเสนอแนะ ………………………………………………………. 22
บรรณานุกรม ……………………………………………………………………… 22.
ภาคผนวก……………………………………….………………………………………. 22
2๓
- แผนการสอนออนไลน์ เรื่อง คำราชาศพั ท์ 24
- บทเรยี นออนไลน์ เรอื่ ง คำราชาศัพท์
- กิจกรรม/แบบฝึกทักษะ/แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ
- แบบทดสอบออนไลน์ ด้วยโปรแกรม Google Forms
- แบบสอบถามความพึงพอใจ ดว้ ยโปรแกรม Google Forms
- ผลการวิจยั คา่ ทดสอบ T โปรแกรมเอ็กซเ์ ซลสถติ วิ ิจัย
บทที่ ๑
บทนำ
ทม่ี าและความสำคัญของปัญหา
ประเทศไทยมีภาษาของตนเองเปน็ มรดกล้ำค่าท่ีบรรพบุรษุ ได้สร้างไว้ อีกทั้งยังเป็นเครื่องแสดง
ว่าชาติไทยเป็นชาติที่มีวัฒนธรรมสูงส่งมาแต่โบราณกาลและยั่งยืนมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากน้ี ชนชาติ
ไทยยังมีระเบีบบ แบบแผน ประเพณี และวัฒนธรรมที่สะท้อนออกมาในรูปแบบของภาษา โดยการนำ
ภาษามาใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคล เกื้อกูล เสพย์ธรรม (๒๕๕๗, หน้า ๖) ได้กล่าวไว้ว่า บุคคลมี
ฐานะท่ีแตกต่างกนั เราจงึ ใชภ้ าษาไทยไมเ่ หมือนกัน แม้ว่าความหมายจะเปน็ อยา่ งเดยี วกันกต็ าม โดยเฉพาะ
อย่างย่งิ กบั พระมหากษตั ริยแ์ ละพระบรมวงศานวุ งศ์ท่ีเราเทดิ ทูน เราก็มภี าษาไทยลักษณะพเิ ศษอีกชุดหน่ึง
ทน่ี ำมาใช้ซ่งึ เรียกวา่ คำราชาศัพท์ สอดคล้องกับพรทิพย์ แฝงสดุ (๒๕๕๗, หนา้ ๑) กล่าวไวว้ ่า ประเทศไทย
เป็นประเทศที่มีการปกครองโดยพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จงึ ได้มกี ารรักษาธรรมเนียมประเพณีอัน
ดงี ามทางด้านภาษาของไทยไว้ คำราชาศัพท์จึงมีลกั ษณะเด่นเป็นพิเศษท่ีต้องมีระเบียบแบบแผนการใช้ให้
ถูกต้องเหมาะสม ด้วยเหตุนี้คำราชาศัพท์จึงเป็นรูปแบบของภาษาที่สุภาพและถูกต้องตามระเบียบแบบ
แผนซง่ึ ตอ้ งใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั ฐานะของบุคคลตามลำดบั ชน้ั นนั่ เอง
ครผู สู้ อนมบี ทบาทสำคัญท่ีจะช่วยปลูกฝงั ให้ผู้เรียน เกดิ ความรกั ความศรัทธา และหวงแหน ใน
วัฒนธรรมทางภาษาอันล้ำค่านี้ ผ่านการจัดการเรียนการสอนหลากหลายรูปแบบและมีความถูกต้อง
เหมาะสม รวมถึงการให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในการจัดการเรียนรู้ของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานอีกด้วย แต่เนื่องจากปัจจุบันปัญหาที่พบคือ ผู้เรียนส่วนใหญ่ไม่สนใจเรียน
เรื่องคำราชาศัพท์เพราะไม่ได้นำมาใช้ในชีวิตประจำวัน และเป็นเรื่องที่ล้าสมัยจึงรู้สึกเบื่อหน่าย ส่งผลให้
ขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องคำราชาศัพท์ที่ถูกต้อง ซึ่งสอดคล้องกับกับงานวิจัยของบัวทิพย์ ชูกลิ่น
(๒๕๕๐, หน้า ๒) ที่กล่าวว่า การเรียนเรื่องคำราชาศัพท์ที่ผ่านมาไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ซึ่งเป็น
ในเรอื่ งของความรู้ ความจำ และการนำไปใช้ ทั้งนผี้ เู้ รยี นรู้สกึ วา่ คำราชาศพั ทเ์ ป็นเร่อื งค่อนขา้ งยาก และไม่
ค่อยได้ใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งครูได้จัดการเรียนการสอนเรื่องคำราชาศัพท์ของนักเรียนระดับชั้น
มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรียนสตรีพทั ลุง จงึ ทำใหท้ ราบถงึ ปัญหาในการเรียนเรื่องคำราชาศพั ท์ สรุปไดด้ งั นี้
1) ผู้เรียนขาดความรู้ความเข้าใจในเรื่องของคำราชาศัพท์ 2) ผู้เรียนไม่เข้าใจความหมายของคำราชา
ศัพท์ 3) ผู้เรียนไม่สามารถแยกแยะคำราชาศัพท์ในระดับตา่ ง ๆ ได้ 4) ผู้เรียนเกิดความเบื่อหน่ายและไม่
ชอบเรียนเรื่องคำราชาศัพท์ 5) ผู้เรียนไม่ชอบวิธีการสอนแบบเดิม ๆ ของครูผู้สอน จากปัญหาดังกล่าว
ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องคำราชาศัพท์ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน
สตรีพัทลุง อยู่ในเกณฑ์ตำ่ กว่าเกณฑ์ท่คี รูผูส้ อนคาดหวงั ไว้
ผู้วิจัยในฐานะครูผู้สอน จึงต้องการปรับเปลี่ยนวิธีการสอน เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการ
ของผู้เรียน โดยเลือกใช้บทเรียนออนไลน์ (Google Sites) เพื่อแก้ปัญหาการเรียนเรื่องคำราชาศัพท์ของ
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ เนื่องจากบทเรียนออนไลน์เป็นสื่อที่ทันสมัยและเป็นที่นิยม สามารถรับส่ง
ข้อมูลได้รวดเร็ว มีความน่าสนใจ และกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความต้องการที่จะเรียนรู้ อีกทั้งยังสามารถ
ถ่ายทอดความรู้ที่ใกล้เคียงกับการสอนในห้องเรียน มีรูปแบบการนำเสนอเนื้อหาอย่างเป็นระบบ มีการ
เชื่อมโยงเนื้อหาและจัดลำดับวิธีการสอนหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับผู้เรียน ช่วยให้ผู้เรียนจดจำ
เนื้อหาได้คงทน มีเจตคติที่ดีต่อวิชาที่เรียน สามารถนำมาแก้ปัญหาผู้เรียนรายบุคคล และรายกลุ่มได้ดี
ผเู้ รียนสามารถทบทวนบทเรยี นได้ด้วยตนเอง ทำให้ผเู้ รียนทราบความกา้ วหนา้ ของตนเอง อกี ทงั้ ยังเปน็
2
เครื่องมือที่ช่วยให้ครูผู้สอนสามารถประเมินผลการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี ว่าผู้เรียนมีความเข้าใจมากน้อย
เพียงใด และทำให้ครูทราบปัญหา ข้อบกพร่องของผู้เรียนในเรื่องที่เรียน สามารถแก้ปัญหาของผู้เรียนได้
อย่างถูกต้อง และเป็นเครื่องมือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังจบบทเรียนในแต่ละครั้ง นอกจากนี้ยัง
สามารถวัดความพึงพอใจของผเู้ รียน อันจะชว่ ยพัฒนาคุณภาพการจัดการเรยี นการสอนไดด้ ียิง่ ขน้ึ
วตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั
๑. เพ่ือพฒั นาผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นก่อนเรียนและหลังเรยี น ดว้ ยบทเรยี นออนไลน์
เรอื่ งคำราชาศัพท์ โดยใช้บทเรยี นออนไลน์ (Google Sites)
๒. เพอ่ื ศึกษาความพงึ พอใจของนกั เรยี นท่ีมีตอ่ การจัดการเรียนรู้ดว้ ยบทเรียนออนไลน์
(Google Sites)
สมมุตฐิ านของการวจิ ยั
๑. นักเรียนท่ีเรียนเรือ่ งคำราชาศพั ท์ด้วยบทเรยี นออนไลน์ (Google Sites) มีผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรยี นหลงั เรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียน
๒. นกั เรยี นมีความพงึ พอใจต่อการจดั การเรยี นรู้ด้วยบทเรยี นออนไลน์ (Google Sites) อยู่
ในระดบั มาก
ขอบเขตของการวจิ ัย
๑. ขอบเขตดา้ นประชากร
๑.๑ ประชากร
ประชากร คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนสตรีพัทลุง อำเภอเมือง จังหวัด
พทั ลงุ จำนวน ๔ ห้องเรยี น จำนวน ๑๕๕ คน
๑.๒ กลมุ่ ตัวอยา่ ง
กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒/7 โรงเรียน
สตรีพัทลุง อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง จำนวน ๑ ห้องเรียน โดยใช้วิธีสุ่มอย่างง่าย (Simple Random
Sampling)
๒. ขอบเขตด้านเน้ือหา
เนอ้ื หาท่ใี ชใ้ นการวิจัย คือ บทเรียนออนไลน์ (Google Sites) เรื่อง คำราชศัพท์
๓. ขอบเขตด้านระยะเวลา
การวจิ ยั ครัง้ นี้ ผ้วู ิจยั ได้กำหนดระยะเวลาทดลองตงั้ แต่วนั ท่ี ๑ - ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๕
๔. ขอบเขตดา้ นสถานท่ี
สถานที่ที่ใชใ้ นวิจยั คือ โรงเรียนสตรีพัทลุง อำเภอเมือง จังหวดั พัทลุง สังกัดสำนักงานเขต
พน้ื ท่ีการศกึ ษามัธยมศกึ ษาพัทลุง
3
ตัวแปรทใ่ี ช้ในการวิจยั
1. ตวั แปรตน้ การใช้บทเรียนออนไลน์ (Google Sites) เรือ่ งคำราชาศัพท์ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่2ี
2. ตวั แปรตาม
2.1 ประสทิ ธิภาพของบทเรยี นออนไลน์ (Google Sites) เรือ่ งคำราชาศัพท์ ชั้นมัธยมศกึ ษา
ปีท่ี 2
2.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนที่เรียนบทเรียนออนไลน์ (Google Sites) เรื่อง
คำราชาศัพท์ ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 2
นิยามศัพท์เฉพาะ
๑. บทเรียนออนไลน์ หมายถงึ บทเรยี นเรอื่ งคำราชาศัพท์ ท่ผี ู้วิจยั สรา้ งขนึ้ ดว้ ยโปรแกรม
คอมพิวเตอร์ (Google Sites) และะนำเสนอผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ในระบบ Google Classroom
ประกอบด้วยมาตรฐานตัวชีวัด จุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหาบทเรียน แบบฝึกทักษะ แบบทดสอบก่อน
เรยี นและหลังเรียน
๒. นักเรียน หมายถงึ นักเรยี นทก่ี ำลงั ศกึ ษาในระดับช้นั มัธยมศึกษาปีที่ ๒/7
โรงเรียนสตรีพัทลงุ ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา ๒๕๖5
ประโยชน์ของการวิจยั
๑. ได้บทเรียนออนไลน์ (Google Sites) เรื่องคำราชาศัพท์ ที่มีประสิทธิภาพไว้ใช้ในการเรียน
สำหรับนักเรยี นชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรียนสตรีพทั ลงุ
2. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี นหลงั เรยี นสงู กว่ากอ่ นเรยี น
3. นักเรยี นมีเจตคติท่ดี ีตอ่ การเรยี นและมีความพึงพอใจท่ีมตี ่อการจดั การเรียนร้ดู ว้ ยบทเรยี น
ออนไลน์ (Google Sites) เรอ่ื งคำราชาศพั ท์
4. เปน็ แนวทางสำหรับการพฒั นาบทเรียนออนไลนใ์ นรูปแบบ อน่ื ๆ ตอ่ ไป
บทที่ ๒
เอกสารและงานวิจัยท่เี ก่ยี วขอ้ ง
การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องคำราชา
ศัพท์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้บทเรียนออนไลน์ (Google Sites) ผู้วิจัยได้ศึกษาเอกสาร
และงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง ดังน้ี
1. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย
คุณภาพผู้เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย คุณภาพผู้เรียนเกิดจากการกระบวนการ
จัดการเรยี นรู้ ตามแนวทางที่สอดคล้องกบั หลักสูตรทเ่ี น้นผเู้ รียนเป็นสำคัญ และนำเสนอการจัดการเรียนรู้
แบบผเู้ รยี นเป็นผลู้ งมือปฏิบัติ (สถาพร พฤฑฒกิ ลุ , 2555: 1) ซง่ึ หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยได้กำหนดคุณภาพผู้เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551: 39) ไว้ดังนี้
จบชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 3
อ่านออกเสียงบทร้อยแกว้ และบทร้อยกรองเป็นทำนองเสนาะได้ถูกต้อง เขา้ ใจความหมาย
โดยตรงและความหมายโดยนัย จับใจความสำคัญและรายละเอียดของสิ่งที่อ่าน แสดงความคิดเห็นและ
ข้อโต้แย้งเกีย่ วกบั เร่ืองที่อ่าน และเขียนกรอบแนวคิด ผังความคดิ ย่อความ เขียนรายงานจาก สิ่งท่ีอ่านได้
วิเคราะห์ วิจารณ์ อย่างมีเหตุผล ลำดับความอย่างมีขั้นตอนและความเป็นไปได้ของ เรื่องที่อ่าน รวมทั้ง
ประเมนิ ความถูกต้องของข้อมลู ท่ใี ช้สนับสนนุ จากเรื่องท่ีอา่ น
เขียนสือ่ สารดว้ ยลายมือท่ีอ่านงา่ ยชัดเจนใช้ถ้อยคำได้ถูกต้องเหมาะสมตามระดับภาษาเขียนคำ
ขวัญ คำคม คำอวยพรในโอกาสต่าง ๆ โฆษณา คติพจน์ สุนทรพจน์ ชีวประวัติ อัตชีวประวัติและ
ประสบการณ์ต่าง ๆ เขียนย่อความ จดหมายกิจธุระ แบบกรอกสมัครงาน เขียนวิเคราะห์ วิจารณ์ และ
แสดงความรคู้ วามคดิ หรอื โตแ้ ยง้ อย่างมีเหตุผล ตลอดจนเขยี นรายงานการศึกษาคน้ ควา้ และเขยี นโครงงาน
พูดแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินสิ่งที่ได้จากการฟังและดู นำข้อคิด ไป
ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน พูดรายงานเรื่องหรือประเด็นที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นระบบ
มีศิลปะในการพูด พูดในโอกาสต่าง ๆ ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ และพูดโน้มน้าวอย่างมีเหตุผลน่าเชื่อถือ
รวมท้งั มมี ารยาทในการฟงั ดู และพูด
เข้าใจและใช้คำราชาศัพท์ คำบาลีสันสกฤต คำภาษาต่างประเทศอื่น ๆ คำทับศัพท์ และศัพท์
บัญญัติในภาษาไทย วิเคราะห์ความแตกต่างในภาษาพูด ภาษาเขียน โครงสร้างของประโยครวม ประโยค
ซ้อน ลักษณะภาษาที่เป็นทางการ กึ่งทางการและไม่เป็นทางการ และแต่งบทร้อยกรอง ประเภทกลอน
สภุ าพ กาพย์ และโคลงส่สี ภุ าพ
สรุปเนื้อหาวรรณคดีและวรรณกรรมที่อ่าน วิเคราะห์ตัวละครสำคัญ วิถีชีวิตไทย และคุณค่า
ที่ได้รับจากวรรณคดีวรรณกรรมและบทอาขยาน พร้อมทั้งสรุปความรู้ข้อคิดเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ ในชีวติ
จรงิ
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย
สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้กลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทยตามหลักสตู รแกนกลาง
การศกึ ษาข้นั พน้ื ฐานพุทธศักราช 2551 ได้กำหนดไว้ทงั้ หมด 5 สาระ ดงั น้ี
5
สาระท่ี 1 การอ่าน
มาตรฐาน ท 1.1 ใช้กระบวนการอา่ นสรา้ งความรู้และความคดิ เพอ่ื นำไปใชต้ ัดสนิ ใจ
แก้ปญั หาในการดำเนนิ ชวี ิตและมนี ิสยั รักการอา่ น
สาระท่ี 2 การเขยี น
มาตรฐาน ท 2.1 ใช้กระบวนการเขียน เขียนส่ือสาร เขยี นเรยี งความ ย่อความ และเขียน
เร่อื งราวในรูปแบบต่าง ๆ เขียนรายงานข้อมลู สารสนเทศและรายงานการศกึ ษาค้นควา้ อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
สาระท่ี 3 การฟัง การดู และการพดู
มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟังและดอู ย่างมวี จิ ารณญาณ และพูดแสดงความรูค้ วามคิด
ความรสู้ ึกในโอกาสตา่ ง ๆ อย่างมวี ิจารณญาณ และสรา้ งสรรค์
สาระที่ 4 หลกั การใช้ภาษาไทย
มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาตขิ องภาษาและหลกั ภาษาไทย การเปล่ียนแปลงของภาษา
และพลงั ของภาษา ภมู ปิ ญั ญาทางภาษา และรักษา ภาษาไทยไว้เปน็ สมบตั ิของชาติ
สาระท่ี 5 วรรณคดีและวรรณกรรม
มาตรฐาน ท 5.1 เขา้ ใจและแสดงความคดิ เห็น วจิ ารณว์ รรณคดี และวรรณกรรมไทยอย่าง
เหน็ คณุ ค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชวี ิตจริง
2. การจัดการเรยี นการสอนภาษาไทย
การจัดการเรียนการสอนภาษาไทย
หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ กำหนดสาระและมาตรฐาน
การเรียนรู้เป็นเกณฑ์การพัฒนาคณุ ภาพผู้เรียน ให้เป็นผูเ้ รียนเป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพใน
การศึกษาต่อสามารถประกอบอาชีพ และศึกษาตลอดชีวิต โดยมีสาระการเรียนรู้ภาษาไทยเป็นสาระการ
เรียนรู้ท่ีสถานศึกษาต้องใช้เป็นหลักการจัดการเรียนการสอนเพื่อสร้างฐานการคิด และเป็นกลยุทธ์ในการ
แก้ปัญหาและเป็นรากฐานการพัฒนาการศึกษาของคนในชาติ เนื่องจากภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ใช้
เป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสาร เพื่อสร้างความเข้าใจ สร้างสัมพันธภาพอันดี เป็นเครื่องมือแสวงหา
ความรู้ เพื่อพัฒนาความรู้ กระบวนการคิดวิเคราะห์ วิจารณ์ และสร้างสรรค์ นอกจากนี้ภาษายังเป็นสื่อ
แสดงภมู ปิ ญั ญาของบรรพบุรุษสืบสานภูมิปญั ญา ศิลปะ วฒั นธรรม และประเพณีอันลำ้ คา่ ของชนชาติไทย
การพัฒนาทักษะภาษาไทยจงึ ต้องมกี ารฝกึ ฝนทั้งการฟัง การดู การพดู การอ่าน การเขียน ตามหลกั การใช้
ภาษาไทย
2.1 การจดั การเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการสำคัญในการพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐาน
การเรียนรู้ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน เปน็ หลกั สูตรทม่ี มี าตรฐานการเรยี นรู้ สมรรถนะ
สำคัญของผู้เรยี นและคุณลักษณะอันพึงประสงค์สำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนผู้สอนต้องพยายามคดั สรร
กระบวนการเรยี นรู้ จดั การเรยี นรเู้ พื่อพฒั นาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรยี นร้ทู ง้ั ๘ กลุ่มสาระ
เรยี นรู้ รวมทงั้ ปลูกฝงั เสริมสร้างคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ พัฒนาทกั ษะต่าง ๆ อนั เป็นสมรรถนะสำคัญที่
ตอ้ งการให้เกดิ แกผ่ เู้ รียน โดยยึดหลักการจัดการเรียนรู้ท่ีเนน้ ผู้เรียนเปน็ สำคัญซง่ึ ยึดประโยชน์ทจี่ ะเกดิ
กับผู้เรียน จึงต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ คำนึงถึงความ
แตกตา่ งระหว่างบคุ คลและพัฒนาการทางสมอง เนน้ ให้ความสำคัญทั้งความรู้ และคณุ ธรรม ผู้เรียนจะตอ้ ง
6
อาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายเป็นเครื่องมือที่จะนำพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร อาทิ
กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิดกระบวนการสังคม
กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการ
ปฏิบัติ ลงมือทำจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้ของตนเอง และ
กระบวนการพฒั นาลักษณะนสิ ยั
ดงั นั้น ผู้สอนจึงต้องศึกษาหลักสูตรสถานศกึ ษาให้เขา้ ใจถึงมาตรฐานการเรยี นรู้ ชี้วัดสมรรถนะ
ของผู้เรียนคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ แล้วจึงพิจารณาออกแบบการจัดการเรียนรู้ โดยเลอื กใช้วิธสี อนและ
เทคนิค การสอน/ส่อื /แหลง่ เรียนรู้ การวัดและประเมนิ ผล เพอ่ื ใหผ้ เู้ รียนได้พฒั นาเตม็ ตามศกั ยภาพและ
บรรลมุ าตรฐาน การเรียนรู้ซึง่ เป็นเป้าหมายท่ีกำหนด
2.2 บทบาทของผู้สอนและผเู้ รียน
การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีคุณภาพตามเป้าหมายของหลักสูตร ทั้งผู้สอนและผู้เรียน
ควรมีบทบาท ดังน้ี
บทบาทของผู้สอน
- ศึกษาวเิ คราะห์ผเู้ รียนเป็นรายบคุ คล และนำขอ้ มูลมาใชใ้ นการวางแผนการจัดการ
เรียนรู้
- กำหนดเป้าหมายท่ตี อ้ งการให้เกิดขนึ้ กบั ผู้เรยี นด้านความรู้และทักษะ รวมทงั้
คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
- ออกแบบการเรยี นรูแ้ ละจดั การเรียนร้ทู ี่ตอบสนองความแตกตา่ งระหว่างบุคคลและ
พฒั นาการทางสมอง
- จดั บรรยากาศท่เี อื้อต่อการเรียนรู้ และดแู ลชว่ ยเหลอื ผเู้ รียนใหเ้ กิดการเรยี นรู้
- จดั เตรียมและเลือกใชส้ ่ือให้เหมาะสมกบั กิจกรรม นำภมู ิปญั ญาทอ้ งถ่นิ และเทคโนโลยี
มาประยุกต์ใช้ในการสอน
- ประเมนิ ความก้าวหน้าของผ้เู รยี นดว้ ยวธิ ีการท่ีหลากหลาย เหมาะสมกบั ธรรมชาติของ
วชิ าและ
บทบาทของผ้เู รยี น
- กำหนดเปา้ หมาย วางแผน และรับผิดชอบการเรยี นร้ขู องตนเอง
- เสาะแสวงหาความรู้ เขา้ ถงึ แหล่งการเรียนรู้ วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อความรู้ ตั้งคำถาม
คิดหาคำตอบหรอื แนวทางแกป้ ญั หาดว้ ยวิธกี ารตา่ ง ๆ
- ลงมือปฏิบัติจริง สรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ด้วยตนเอง และนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ใน
สถานการณ์ต่าง ๆ
- ประเมินและพัฒนากระบวนการเรียนรู้ของตนเองอย่างต่อเนื่องระดับพัฒนาการของ
ผ้เู รียน และนำผลการประเมนิ มาใชซ้ ่อมเสรมิ และพัฒนาผเู้ รยี น
2.3สอ่ื การเรยี นรู้
สื่อการเรียนรู้เป็นเครื่องมือส่งเสริมสนับสนุนการจัดการกระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียน
เข้าถึงความรู้ ทักษะกระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ สื่อการเรียนรู้มีหลากหลายประเภท ทั้งสื่อธรรมชาติ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อเทคโนโลยี และ
เครือข่ายการเรียนรู้ต่าง ๆ ที่มีในท้องถิ่นการเลือกใช้สื่อควรเลือกให้มีความเหมาะสมกับระดับพัฒนาการ
และลลี าการเรียนรทู้ ่หี ลากหลายของผ้เู รียนการจดั หาส่ือการเรียนรู้ ผ้เู รียนและผ้สู อนสามารถจัดทำและ
7
พัฒนาขึ้นเอง หรือปรับปรุงเลือกใช้ อย่างมีคุณภาพจากสื่อต่าง ๆ ที่มีอยู่รอบตัวเพื่อนำมาใช้ประกอบใน
การจัดการเรียนรู้ที่สามารถส่งเสริมและสื่อสารให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยสถานศึกษาควรจัดให้มีอย่าง
พอเพียงเพื่อพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง สถานศึกษา เขตพื้นที่การศึกษา หน่วยงานท่ี
เกีย่ วข้องและผ้มู ีหนา้ ทจ่ี ดั การศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน ควรดำเนินการ ดงั น้ี
๑. จัดให้มแี หลง่ การเรียนรู้ ศูนย์สอ่ื การเรียนรู้ ระบบสารสนเทศการเรยี นรู้และเครือข่าย
การเรียนร้ทู ่ีมีประสิทธิภาพทั้งในสถานศึกษาและในชุมชน เพือ่ การศึกษาคน้ คว้าและการแลกเปล่ียน
ประสบการณ์การเรยี นรู้ ระหว่างสถานศกึ ษา ท้องถิ่น ชุมชน สงั คมโลก
๒. จดั ทำและจัดหาสอื่ การเรียนรู้สำหรบั การศึกษาค้นควา้ ของผเู้ รยี น เสริมความรใู้ ห้
ผ้สู อน รวมทัง้ จัดหาสิง่ ทม่ี ีอยู่ในท้องถิน่ มาประยกุ ต์ใชเ้ ป็นสอื่ การเรยี นรู้
๓. เลือกและใชส้ ื่อการเรยี นรู้ท่ีมคี ณุ ภาพ มคี วามเหมาะสม มคี วามหลากหลาย สอดคล้อง
กับวิธกี ารเรียนรู้ ธรรมชาติของสาระการเรยี นรู้ และความแตกต่างระหวา่ งบคุ คลของผู้เรียน
๔. ประเมนิ คุณภาพของสอ่ื การเรียนรทู้ ีเ่ ลอื กใช้อย่างเปน็ ระบบ
๕. ศึกษาคน้ คว้า วจิ ยั เพ่ือพัฒนาสอ่ื การเรยี นร้ใู หส้ อดคล้องกับกระบวนการเรียนรู้ของ
ผเู้ รยี น
๖. จัดใหม้ ีการกำกบั ติดตาม ประเมนิ คุณภาพและประสทิ ธภิ าพเกี่ยวกับสื่อและการใชส้ ่ือ
การเรียนรเู้ ป็นระยะ ๆ และสมำ่ เสมอ
ในการจัดทำการเลอื กใช้ ติดตาม ประเมิน คุณภาพส่ือการเรียนรู้ทใี่ ชใ้ นสถานศึกษา ควร
คำนงึ ถึงหลักการสำคัญของสื่อการเรียนรู้ เชน่ ความสอดคลอ้ งกับหลกั สูตร วตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ การ
ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ การจดั ประสบการณ์ให้ผเู้ รียน เนื้อหามคี วามถูกต้องและทนั สมัย ไม่กระทบ
ความมั่นคงของชาติ ไม่ขดั ต่อศลี ธรรม มีการใชภ้ าษาที่ถูกต้อง รูปแบบการนำเสนอท่ีเข้าใจง่าย และนา่ สนใจ
2.4 ส่ือการเรยี นรแู้ ละวิธสี อนที่ดี
สอ่ื การเรยี นรู้ท่ดี ี สื่อการเรียนการสอนทีจ่ ัดทำขนึ้ ต้องคำนึงถึงความเหมาะสม สอดคล้อง
กับเน้ือหา และจดุ ประสงค์ของหลกั สูตรเพื่อจะทำให้สอ่ื นนั้ มีคุณภาพสามารถส่งเสริมกระบวนการเรียน
การสอนใหบ้ รรลุจุดหมายของหลักสูตรไดอ้ ยา่ งมคี ุณภาพ
ลักษณะของส่ือการเรียนการรสอนท่ีดี
๑. เหมาะสมกบั วยั และความสามารถของผเู้ รียน
๒. ให้ความรแู้ กผ่ ูเ้ รียนเป็นขน้ั ตอนจากง่าย ไปหายาก
๓. ชว่ ยให้ผู้เรยี นสามารถเรียนร้ไู ดเ้ ร็วและประหยัดเวลา
๔. ผ้เู รยี นมีส่วนรว่ มในการผลติ การใช้และประเมินผลสอ่ื
๕. เรา้ ความสนใจของผูเ้ รียนและผูเ้ รยี นสามารถตอบสนองได้ทนั ที
๖. ส่งเสริมเจตคตทิ ีด่ ตี ่อเน้ือหาท่สี อน
๗. มคี วามประณีต ขนาดเหมาะสมกบั ผู้เรียนทีจ่ ะใชป้ ระกอบกิจกรรมระหว่างเรียน และ
เหมาะสมกับการสอนของครู เชน่ ขนาด รูปร่าง สีเร้าความสนใจ และมคี วามชัดเจน
๘. มคี วามค้มุ คา่ ทัง้ เวลา และแรงงาน
๙. สือ่ ทด่ี คี วรผ่านการทดลองใช้ และแก้ไขปรบั ปรุงก่อนนำไปใชจ้ ริง
8
วิธีการสอนทด่ี ขี องครู
๑. แสดงใหน้ กั เรยี นตระหนกั ถึงความสำคัญของการอา่ นการเขียน โดยครูเป็นแบบอย่างท่ี
ดี มิใช่เปน็ เพยี งผู้แนะนำเท่าน้ัน ต้องอ่านหนังสอื ใหเ้ ด็กฟงั บ้าง ตอ้ งเขยี นหนงั สือใหเ้ ด็กอา่ นบา้ ง ให้
นักเรยี นไดเ้ หน็ ตวั อย่าง งานเขยี นของผเู้ ขียนคนอ่ืน ๆ อยา่ งหลากหลาย และสม่ำเสมอ
๒. กระตือรอื ร้น ตงั้ ใจจริง มคี วามสมั พนั ธท์ ีด่ ีต่อครูในโรงเรียนและผู้ปกครองทีจ่ ะร่วม
แกป้ ัญหายกระดับการเรียนการสอนภาษาไทย
๓. เชื่อวา่ นกั เรยี นทกุ คนมีความสามารถในการอ่าน การเขียน และเขา้ ใจพัฒนาการของ
นกั เรยี น สรา้ งความกระตือรอื รน้ ใหน้ ักเรยี นแสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง โดยไมต่ ้องใชแ้ รงจูงใจภายนอก
ร้จู กั สรา้ งอารมณใ์ หน้ ักเรยี นรูส้ กึ ตอ้ งการทีจ่ ะอ่านและต้องการทีจ่ ะเขียน
๔. รอบรสู้ อ่ื การอ่านประเภทตา่ ง ๆ รแู้ หล่งท่ีมาของส่ือ สามารถสรา้ งสือ่ และเลอื กใชส้ ื่อได้
ตรงกบั ความสนใจของนกั เรียน
๕. รจู้ กั เลอื กวิธกี ารสอนอ่าน สอนเขยี นแบบตา่ ง ๆ ท่ีได้ผลและเหมาะสมแกน่ ักเรยี น ทัง้
เปน็ กลุ่มและรายบุคคล จดั กจิ กรรมใหน้ กั เรยี นอา่ นหนังสือหรืองานเขียนต่าง ๆ เปน็ ประจำอยา่ งสมำ่ เสมอ
บรู ณาการการอา่ นและการเขียน สัมพนั ธท์ กั ษะฟงั และพดู อย่างเหมาะสม สาธติ การอา่ น การใช้
พจนานุกรม ฝึกปฏบิ ัตกิ ารเขียนเปน็ ประจำและตอ่ เนื่องให้นักเรยี นมผี ลงานการเขยี นที่ชัดเจน เขา้ ใจ
ปญั หาทีเ่ กิดขึน้ แก่นกั เรียนและชว่ ยแกป้ ัญหาให้ลลุ ว่ ง
๖. ประเมินความกา้ วหน้าการอา่ นการเขยี นของนกั เรียนสมำ่ เสมอ และประเมนิ การสอน
ของครู โดยประเมินตนเอง และให้นักเรยี นรว่ มประเมินดว้ ย
3. คำราชาศัพท์
ความหมายของคำราชาศพั ท์
ผูเ้ ชยี่ วชาญและนกั วชิ าการหลายคนได้กล่าวถงึ ความหมายของคำราชาศัพท์ไวด้ ังนี้
พระยาอุปกิตศิลปสาร (2531: 157-158) กล่าวว่า คำราชาศัพท์ แปลว่า ศัพท์ สำหรับ
พระราชาหรอื ศัพทห์ ลวง แต่ในทีน่ ้ใี หค้ วามหมายวา่ ศัพทท์ ี่ใช้ในราชการ เพราะในตำราน้ัน บางคำไม่กล่าว
เฉพาะสำหรับกษัตริย์หรือเจ้านายเท่านั้น กล่าวโดยทั่วไปถึงคำที่ใช้สำหรับบุคคลชั้นอื่น เช่น ขุนนางและ
พระสงฆ์ เป็นต้นด้วย เช่นคำว่า “ตาย” เป็นต้น คำราชาศัพท์นี้ เป็นระเบียบของภาษาที่จะต้องใช้ให้
ถกู ต้อง นบั วา่ เปน็ ส่วนหน่ึงของไวยากรณจ์ กั ไม่กล่าวให้พสิ ดารตามตำราราชาศพั ท์ ซง่ึ มีแผนกหน่งึ ต่างหาก
ช้นั ของบคุ คลที่จะต้องใหค้ ำราชาศัพทน์ ี้ มี 5 ชน้ั คอื พระราชา เจา้ นาย พระสงฆ์ ขุนนาง คนสุภาพ
สุธิวงศ์พงศ์ไพบูลย์ (2538: 322) ได้ให้ความหมายของคำราชาศัพท์ ไว้ว่า คำเฉพาะใช้สำหรับ
เพด็ ทลู พระเจ้าแผน่ ดินและเจ้านาย ต่อมาหมายรวมถึงคำท่ี'ใชก้ ับพระภกิ ษุ ขา้ ราชการและสุภาพชน
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร (2541: 48) อธิบายคำวา่ คำราชาศพั ท์อาจแปลให้เขา้ ใจ
ง่าย ๆ ว่า คอื ศัพทท์ เ่ี กยี่ วขอ้ งกบั พระราชา แต่มีขอบเขตกว้างขวางครอบคลมไปถงึ บุคคลอน่ื ๆ ทอ่ี ยู่ ใน
ฐานะตา่ ง ๆ กนั ไปในการศึกษาคำราชาศัพทจ์ ึงมิได้ศึกษาแต่ถอ้ ยคำทีใ่ ชก้ บั พระเจ้าแผน่ ดินหรือกล่าวถึง
พระเจา้ แผ่นดนิ เท่านัน้ แต่จะต้องศึกษาใหก้ วา้ งออกไปถึงบุคคลชัน้ ตา่ ง ๆ ท่ลี ดหลั่นกนั ไปอกี ดว้ ย การ
แสดงช้ันบุคคลในท่นี ้ีต้องเข้าใจว่าไม่ใช่เร่อื งการแบ่งช้นั วรรณะคำราชาศพั ท์อาจแปลใหเ้ ขา้ ใจ แตเ่ ปน็ การ
แสดงถงึ ระดับการใชภ้ าษาใดกต็ ามจะตอ้ งมคี วามลดหล่ันตามกาลเทศะและบุคคลเสมอไป
เยาวลกั ษณ์ ชาติสขุ ศิรเิ ดช (2545: 1) ได้ใหค้ วามหมายของคำราชาศัพท์ ไว้ว่า คำราชาศัพท์
แปลตามรูปคำศพั ท์ หมายถงึ ถ้อยคำสำหรับพระราชา แตต่ ามหลักภาษาไทยไดใ้ หค้ วามหมายว่าคำท่ีใชใ้ ห้
เหมาะสมกบั บุคคลซ่ึงแบง่ ออกเป็น 3 ประเภท คือ
9
1. ศพั ทท์ ใ่ี ชส้ ำหรบั พระมหากษัตรยิ ์และพระบรมวงศานุวงศ์
2. ศัพท์ท่ีใชส้ ำหรบั พระภกิ ษุสงฆ์
3. ศัพท์ที่ใชส้ ำหรบั สภุ าพชน
สนิท บุญฤทธิ์ (2536: 17) ได้กล่าวถึงคำราชาศัพท์ไว้ว่า คำราชาศัพท์เป็นวัฒนธรรมใน
ภาษาไทยอย่างหนึ่งที่ใช้พูดให้เหมาสมกับบุคคลในฐานะตำแหน่งต่าง ๆ หลายชั้นหลายตำแหน่งซึ่งพอจะ
แบ่งออกคร่าว ๆ เป็น 5 ชั้น ดังนี้ พระราชาและพระราชินี เจ้านาย (พระบรมวงศานุวงศ์) พระสงฆ์
ขุนนางหรอื ขา้ ราชการทว่ั ไป คำสภุ าพหรอื คำสามญั ทว่ั ไป
กำชัย ทองหลอ่ (2554: 204) กล่าววา่ คำราชาศพั ท์ คือ คำพเิ ศษพวกหนง่ึ ซ่ึงต้องใช้ให้
เหมาะสมกบั ชนชน้ั ของบุคคล ไม่เฉพาะแต่พระราชาเทา่ นน้ั
ราชบณั ฑิตยสถาน (2556: 997) ไดใ้ หค้ วามหมายของราชาศัพท์ คือ คำที่ใชก้ ราบบังคมทลู
ที่มาของคำราชาศพั ท์
ผูเ้ ช่ยี วชาญและนักวชิ าการหลายคนได้กลา่ วถงึ ที่มาของคำราชาศัพท์ ไว้ดังน้ี
พระวรเวทย์พสิ ฐิ (2505) อ้างถงึ ใน สำนกั งานเสรมิ สร้างเอกลักษณข์ องชาต(ิ 2555: 10)
ไดก้ ลา่ วถึงทีม่ าของคำราชาศัพท์กลา่ วไว้ในหนังสือหลักภาษาไทยว่า แรกเรมิ่ ก่อนมีคำราชาศัพท์ขึ้นเพราะ
ไทยตั้งชาตใิ นเขตท่ีเข้ามาปกครองใหม่ คือ เขตประเทศสยาม คนไทยกเ็ ลอื กคนท่ีมคี วามสามารถ โดยเป็น
อัจฉริยบุคคลในปวงชน แล้วยกให้เป็นประมุขของชาตเิ พื่อคุ้มครองชาติให้ม่ันคงและนำชาติให้ประสบชยั
ตลอดถึงความเปน็ อารยชาติ ผู้ทไ่ี ดร้ ับเลือกเป็นประมุขนเ้ี รียกกันวา่ พระราชาธิบดี
พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมน่ื นราธปิ พงศป์ ระพนั ธ์ (2505) อ้างถึงใน สำนกั งานเสรมิ สร้าง
เอกลักษณ์ของชาติ(2555: 10) ได้ตรัสถึงที่มาของคำราชาศัพท์ไว้ในปาฐกถา เรื่อง ภาษา สรุปได้ว่า
นอกเหนือจากคำพูดปกติมีคำพูดและวิธีพูดแบบเฉพาะสำหรับกลุ่มคนเฉพาะอีกด้วย เช่นคำราชาศัพท์
ชาวฝรง่ั ไม่มีคำราชาศัพท์ใช้เปน็ คำเฉพาะ แตม่ ีการพดู เพื่อยกย่องชนชัน้ กษัตรยิ ์หรือชั้นผู้ดี แต่รูปแบบการ
พูดแบบน้ีไม่มีรูปแบบทแี่ น่นอน โดยมากมกั จะเป็นวธิ ีพูดอยา่ งสุภาพเท่านน้ั เอง
กาญจนา นาคสกลุ (2534: 28-29) อธิบายถงึ ที่มาของคำราชาศพั ท์ สรปุ ไดว้ ่า มีการใช้
คำราชาศัพทม์ าตงั้ แต่สมยั ใดไม่มีหลักฐานทจ่ี ะยืนยันไดแ้ น่นอน แตจ่ ากการศกึ ษาเปรียบเทยี บลกั ษณะ
ภาษาและถ้อยคําในศิลาจารึกสมัยสุโขทัยและในเอกสารอื่นได้พบว่า มีการเลือกใช้คําบางคําเพื่อแสดง
ความเคารพนบนอบที่มีต่อพระภิกษุสงฆ์และชนชั้นผู้ปกครองประเทศเป็นพิเศษกว่าผู้อื่นอยู่บ้าง เช่น ใช้
คาํ วา่ “นบ” แทนคําวา่ “ไหว้” เมอื่ ใชแ้ ก่ พระ พระพุทธรูป หรือ พระพทุ ธบาท เป็นตน้ แต่ในจารึกต่าง ๆ
ในสมัยสุโขทยั ชนชั้นผู้ปกครอง คือ พระเจ้าแผน่ ดนิ ในสมัยนี้ยงั ไม่มีการใช้ ราชาศัพท์ในลกั ษณะที่ใช้คาํ ที่
แตกต่างไป หรือมีการประกอบคําอย่างคําราชาศัพท์ในปัจจุบัน เช่น พ่อขุนรามคําแหงพูดถึงสมเด็จพระ
ราชบิดา พระราชมารดาวา่ “พ่อกูช่อื ศรอี นิ ทราทติ ย์ แมก่ ูชื่อนางเสือง” ในช้นั น้จี งึ อาจจะพอสันนิษฐานว่า
ในสมัยสุโขทัยมีการใช้คําบางคํากับบุคคลหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทางศาสนา ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเคารพ
เลอื่ มใสสูงสดุ แต่ยังมไิ ดม้ คี าํ ราชาศัพท์ที่จะใช้กับชนช้ันผ้ปู กครองอย่าง ในปจั จบุ ัน มาจนถงึ ระยะหลังของ
สุโขทยั เมือ่ ชนช้นั ปกครองมีอํานาจมากขึ้น เนอ่ื งจากต้องปกครองพระราชอาณาเขต ซ่งึ ขยายออกไปกว้าง
ใหญ่ ความใกล้ชิดระหว่างผู้ปกครองกับผู้ถูกปกครองแบบพ่อปกครองลูกในสมัยสุโขทัยตอนต้นจงึ ไม่อาจ
กระทําได้ และเกิดช่องว่างระหว่างชนชั้นขึ้น แต่การยกชั้นปกครองนั้นน่าจะมิใช่แบบเทวราชาของเขมร
หากเป็นธรรมราชาซึ่งทําหน้าที่เป็นผู้นําทางศาสนาด้วย ถ้อยคําซึ่งใช้ในทางศาสนาจึงถูกนํามาใช้กับ
พระราชาด้วยคาํ ที่ใชก้ บั ชนช้นั ปกครองกับคําที่ใช้กับบุคคลทางศาสนา สว่ นหนึง่ จงึ เหมือนกนั เช่น ใช้คาํ วา่
เสด็จถวาย ทรง เปน็ ต้น ในตอนปลายสมยั สุโขทยั มีการใชค้ าํ ทีไ่ พเราะและมวี ธิ ีการทส่ี ร้างสรรค์ภาษาใช้กบั
พระเจา้ แผน่ ดินมากขนึ้ ทง้ั คําเรยี กขาน คําบรรยายกริ ยิ าอาการและคาํ นามทว่ั ไป ซึง่ นา่ จะจดั เป็น
10
ราชาศพั ท์ได้แบบอย่างการใชร้ าชาศัพทน์ า่ จะรบั มาจากเขมร แตว่ วิ ัฒนาการการใช้ราชาศัพทเ์ กิดจาก
พัฒนาการของภาษาในสงั คมไทย กล่าวคือ คนไทยเปน็ คนทม่ี ธี รรมชาติอ่อนน้อมถ่อมตน ยกย่องผอู้ ่ืน
เป็นลักษณะนิสยั และวฒั นธรรมประจําชาติอยแู่ ลว้ การพูดจากับผทู้ คี่ วรเคารพ กับพอ่ แมก่ ับครบู าอาจารย์
กับพระจะใช้คําสุภาพ อ่อนน้อม ผิดกับถ้อยคําที่ใช้กับคนเท่า ๆ กัน กับผู้น้อย หรือกับผู้ที่ต่ำต้อยกว่าตน
ลักษณะค่านิยมเช่นนี้เอง ย่อมส่งให้มีการยกย่องบุคคลใน 2 สถาบัน คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ และ
สถาบนั ศาสนาดว้ ย การเคารพยกย่องสถาบนั ทั้งสอง เป็นการยกย่องเคารพท่ีสูงย่ิงกว่าการให้ความเคารพ
พ่อแม่ ครู อาจารย์ เพราะเกี่ยวพันกับอํานาจที่อาจมีถึงชีวิต และเกี่ยวพันกับความเชื่อซึ่งมีผลทางจิตใจ
การยกย่องและให้ความเคารพนั้นยิ่งจะต้องสูงกว่าปกติเป็นธรรมดาวัฒนธรรมไทยจึงเป็นแรงผลักดัน
สําคญั แรงหนึง่ ทท่ี าํ ใหเ้ กิดการใช้คาํ ราชาศัพท์
ประพนธ์ เรืองณรงค์(2562: 19-25) อธบิ ายถึงท่ีมาของคำราชาศัพท์ สรุปไดว้ ่า ราชาศพั ท์
ไมม่ ีหลกั ฐานแนช่ ดั วา่ เรมิ่ ใช้มาต้ังแต่สมัยใด สันนษิ ฐานว่าเรมิ่ ใช้ในสมยั พระธรรมราชาท่ี 1 (พระยาลไิ ทย)
กรงุ สโุ ขทัย เพราะในไตรภูมิพระรว่ งมีการใช้ราชาศัพท์ภาษาเขมรและภาษาสนั สกฤต ต่อมาในสมัยอยุธยา
เมอ่ื มกี ารกวาดต้อนชาวเขมรเข้ามาเป็นจำนวนมาก จงึ นำคำเขมรมาใช้ในภาษาไทยหลายคำโดยเฉพาะคำ
ว่า “สมเด็จ” เป็นคำราชาศัพท์ที่เขมรใช้นำหน้าพระนามพระมหากษัตริย์ และชาวไทยนำมาใช้เช่นกัน
ไทยจัดการใช้ราชาศัพท์เป็นระเบียบแบบแผนด้วยการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร ครั้งแรกในรัชกาล
พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หัวบรมโกศสมัยกรงุ ศรีอยธุ ยา
จากทก่ี ล่าวมาข้างตน้ สามารถสรุปไดว้ า่ คำราชาศพั ท์มีววิ ัฒนาการมาแตโ่ บราณ ใช้สำหรับ
พระเจ้าแผ่นดิน และพระราชวงศ์ ทั้งนี้เพราะประเทศไทยมมี หากษตั รยิ ์เป็นพระประมุขของชาติมาตลอด
หลายร้อยปีแล้ว ตั้งแต่กรุงสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ชัดว่าชนชาติไทยมีศรัทธา
มั่นคงในสถาบันพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันสูงเป็นที่เคารพสักการะ คนไทยมี
ความผูกพันกับศาสนาพุทธ ดังนั้นคำราชาศัพท์ส่วนใหญ่มักเป็นคำภาษาบาลีและสันสกฤตซึ่งเป็นคำทาง
ศาสนา และมีการใช้คำเขมรเนื่องจากคนไทยมีความคุ้นเคยกับเขมร จึงยืมคำศัพท์มาปรับใช้ให้เหมาะสม
กับภาษาไทย
4. บทเรียนออนไลน์ผ่านเวบ็ ด้วย Google Sites
4.1 ความหมายของการเรยี นการสอนผา่ นเวบ็
คาน (Khan, 1997) ไดใ้ หค้ ำจำกัดความของการเรียนการสอนผา่ นเวบ็ (Web-Based
Instruction) ไว้ว่าเป็นการเรียนการสอนท่ีอาศยั โปรแกรมไฮเปอร์มเี ดยี ทชี่ ว่ ยในการสอน โดยการใช้
ประโยชนจ์ ากคณุ ลักษณะและทรัพยากรของอนิ เทอรเ์ นต็ มาสรา้ งใหเ้ กดิ การเรยี นรู้อย่างมีความหมาย
โดยสง่ เสริมและสนบั สนุนการเรียนรู้อย่างมากมายและสนับสนนุ การเรยี นรู้ในทุกทาง
คลารก์ (Clark, 1996) ไดใ้ ห้คำจำกัดความของการเรยี นการสอนผ่านเวบ็ วา่ เป็นการเรียน
การสอนรายบคุ คลท่นี ำเสนอโดยการใช้เครือข่ายคอมพิวเตอรส์ าธารณะหรือสว่ นบุคคล และแสดงผลใน
รูปของการใช้เว็บบราวเซอรส์ ามารถเข้าถึงข้อมลู ที่ติดตงั้ ไว้ไดโ้ ดยผา่ นเครอื ขา่ ย
รแี ลน และกลิ ลานิ (Relan and Gillani, 1997) ไดใ้ ห้คำจำกัดความของเวบ็ ในการสอน
เอาไวว้ า่ เปน็ การกระทำของคณะหนง่ึ ในการเตรยี มการคิดในกลวธิ กี ารสอนโดยกลมุ่ คอนสตรคั ตวิ ซิ ่ึมและ
การเรยี นรูใ้ นสถานการณร์ ่วมมอื กัน โดยใช้ประโยชน์จากคุณลักษณะและทรัพยากรในเวลิ ดไ์ วด์เวบ็
พาร์สัน (Parson, 1997) ได้ใหค้ วามหมายของการเรยี นการสอนผ่านเวบ็ ว่า เปน็ การสอน
ทน่ี ำเอาสงิ่ ท่ีตอ้ งการส่งใหบ้ างส่วนหรือทงั้ หมดโดยอาศยั เว็บ โดยเว็บสามารถกระทำได้ในหลากหลาย
รปู แบบและหลายขอบเขตทเี่ ช่อื มโยงกัน ท้งั การเชอ่ื มตอ่ บทเรยี น วสั ดชุ ว่ ยการเรียนรูแ้ ละการศึกษา
11
ทางไกล
ดรสิ คอล (Driscoll, 1997) ไดใ้ ห้ความหมายของการเรยี นการสอนผา่ นเวบ็ ว่า เป็นการใช้
ทักษะหรอื ความรตู้ า่ งๆ ถา่ ยโยงไปส่ทู ี่ใดทหี่ นึง่ โดยการใช้เวิลดไ์ วดเ์ ว็บเป็นชอ่ งทางในการเผยแพร่สง่ิ
แฮนนัม (Hannum, 19100) กล่าวถึงการเรียนการสอนผ่านเว็บว่าเปน็ การจัดสภาพการ
เรียน การสอนผา่ นระบบอินเทอร์เน็ตหรืออนิ ทราเนต็ บนพน้ื ฐานของหลกั และวิธีการออกแบบการเรยี น
การสอนอย่างมีระบบ
คารล์ สันและคณะ (Carlson et al., 19100) กลา่ ววา่ การเรียนการสอนผ่านเว็บเป็นภาพ
ท่ชี ดั เจนของการผสมผสานระหวา่ งเทคโนโลยใี นยคุ ปัจจุบนั กับกระบวนการออกแบบการเรียนการสอน
(Instructional Design) ซ่ึงกอ่ ใหเ้ กดิ โอกาสทชี่ ดั เจนในการนำการศึกษาไปสูท่ ่ดี อ้ ยโอกาส เปน็
การจัดหาเครื่องมอื ใหมๆ่ สำหรบั ส่งเสริมการเรยี นรู้และเพิ่มเคร่ืองมืออำนวยความสะดวกทช่ี ่วยขจดั
ปญั หา เร่อื งสถานที่และเวลา
แคมเพลสและแคมเพลส (Camplese and Camplese, 19100) ให้ความหมายของการ
เรยี นการสอนผ่านเว็บวา่ เป็นการจัดการเรียนการสอนทัง้ กระบวนการหรือบางส่วน โดยใช้เวิลด์ไวด์เว็บ
เปน็ ส่อื กลางในการถา่ ยทอดความรแู้ ลกเปลย่ี นขา่ วสารข้อมลู ระหว่างกนั เนอื่ งจากเวิลดไ์ วดเ์ ว็บมคี วาม
สามารถในการถา่ ยทอดขอ้ มลู ไดห้ ลายประเภทไมว่ ่าจะเปน็ ข้อความ ภาพน่งิ ภาพเคลอ่ื นไหว และเสียง
จึงเหมาะแก่การเปน็ ส่ือกลาง ในการถา่ ยทอดเน้ือหาการเรยี นการสอน
ลานเพียร์ (Laanpere, 1997) ได้ใหค้ วามหมายของการเรยี นการสอนผ่านเว็บวา่
เปน็ การจดั การเรยี นการสอนผ่านสภาพแวดล้อมของเวลิ ดไ์ วดเ์ ว็บ ซง่ึ อาจเปน็ เพียงสว่ นหน่งึ ของ
การเรยี นการสอนในหลักสตู รมหาวิทยาลัย สว่ นประกอบการบรรยายในช้ันเรยี น การสัมมนาโครงการ
กลมุ่ หรอื การส่อื สารระหว่างผเู้ รยี นกับผสู้ อนหรอื อาจเปน็ ลักษณะของหลกั สูตรท่เี รยี นผ่านเวิลด์ไวด์เว็บ
โดยตรงท้งั กระบวนการเลยกไ็ ด้ การเรียนการสอนผา่ นเวบ็ นเ้ี ปน็ การรวมกันระหว่างการศกึ ษาและ
การฝกึ อบรมเข้าไวด้ ้วยกนั โดยให้ความสนใจตอ่ การใชใ้ นระดบั การเรียนที่สูงกว่าระดับมธั ยมศกึ ษา
พรทิพย์ ชูศรี (2556: 46) ได้ให้ความหมายของการเรียนการสอนบนเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตการเรียนการสอนผ่านเว็บไว้ว่า การเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ( Online
Instruction) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่มีสภาพการเรียนที่ต่างไปจากรูปแบบเดิม โดยอาศัยทั้ง
ศักยภาพและความสามารถของอินเทอรเ์ น็ต ซ่ึงเปน็ การเรียนการสอนท่ีมเี ทคโนโลยีสงู สดุ ในขณะน้ี ให้เข้า
มาช่วยเอื้ออำนวยเป็นเครื่องมือและเป็นแหล่งสนับสนุนการเรียนการสอน ให้เกิดการเรียนรู้อย่างมี
ความหมาย เชือ่ มโยงเครือขา่ ยท่ีสามารถเรยี นรูไ้ ดท้ กุ สถานท่ีทุกเวลา ซึง่ ให้มชี ื่อเรยี กหลายลกั ษณะ ไดแ้ ก่
การทดสอบผ่านเว็บ (Web-based Instruction) การเรียนร้ผู า่ นเว็บ (Web-based Training) การสอน
ผา่ นอินเทอร์เน็ต (Internet-based Instruction) การสอนผ่านเวลิ ดไ์ วดเ์ วบ็ (Web-based
Instruction) การเรียนรู้ผ่านเวลิ ด์ไวด์เวบ็ (Web Training) การเรียนผ่านเวบ็ (Web-based Leaning)
ศรันย์ พรมสวัสดิ์ (2557: 19) ได้ให้ความหมายของการเรียนการสอนผ่านเว็บไว้ว่า การ
เรียนการสอนผ่านเว็บ หมายถึง บทเรียนผ่าน (Web based instruction) คือ การเรียนการสอนผ่าน
ระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ที่มีรูปแบบของไฮเปอร์มีเดีย โดยอาศัยประโยชน์ทรัพยากรของอินเทอร์เนต็
และเวิลด์ ไวด์ เว็บ ซ่ึงรวมทั้งเครอื่ งมือส่อื สารในการสร้างสรรค์กจิ กรรมการเรยี นทำใหเ้ กิดการเรยี นรู้
สามารถเรียนร้ไู ดท้ กุ ท่ีทกุ เวลา
นิตยา ม่นั ศักดิ์ (2560: 19) ไดใ้ หค้ วามหมายของการเรยี นการสอนผา่ นเว็บไวว้ ่า บทเรียน
ที่ถูกพัฒนาข้ึนมา ประกอบดว้ ยภาพนิง่ ภาพเคลอ่ื นไหว ขอ้ ความ และเสียง โดยผ่านการเชื่อมโยงผ่าน
เครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เน็ตความเรว็ สูง
12
สรุปได้วา่ การเรยี นการสอนผ่านเวบ็ เป็นการใช้เครอื่ งมอื หรอื สื่อที่จดั ทำข้นึ ในลักษณะสือ่ หลาย
มติ มิ าช่วยในการเรียนรูโ้ ดยใชเ้ ทคโนโลยีของเวบ็ และเบราเซอร์เปน็ ตัวจัดการให้เกดิ ประสิทธภิ าพสูงสุด
สามารถปรับปรุงพัฒนาเนือ้ หาให้ทนั สมยั ได้อย่างรวดเร็วและตลอดเวลา
4.2 ส่วนประกอบของการเรยี นการสอนผ่านเว็บ
ส่วนประกอบของการเรยี นการสอนผา่ นเว็บ ประกอบด้วย 4 สว่ น ดังน้ี
1. สื่อสำหรับนำเสนอ (Presentation media) หมายถึง ตัวบทเรียนที่นำเสนอผ่าน
เครือขา่ ยอนิ เทอรเ์ น็ตไปยงั ผเู้ รยี นในลักษณะของสื่ออเิ ล็กทรอนิกสไ์ ด้แกข่ ้อความ (Text), ภาพนง่ิ (Still
image), กราฟกิ (Graphic), ภาพเคล่อื นไหว (Animation), วีดิทัศน(์ Video) และเสยี ง (Sound)
2. การปฏิสัมพนั ธ์(Interactivity) หมายถงึ การโต้ตอบทเ่ี กิดข้นึ ระหวา่ งผเู้ รียนกับบทเรยี น
3. การจัดการฐานข้อมูล (Database management) หมายถึง การจัดการเกี่ยวกับ
บทเรียนเริ่มตั้งแตก่ ารลงทะเบยี นจนถงึ การประเมินผลการเรยี น
4. ส่วนสนับสนุนการเรยี นการสอน (Course support) หมายถึง การบรกิ ารตา่ ง ๆ ที่มีอยู่
ในเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ เพื่อสนับสนนุ การเรยี นการสอน จำแนกออกเปน็ 2 ประเภทใหญๆ่ ไดแ้ ก่
4.1.1 Asynchronous หมายถึง ส่วนสนับสนุนการเรยี นการสอนทใ่ี ชง้ านในลกั ษณะ
Off-line สำหรับการตดิ ต่อส่อื สารระหวา่ งผูเ้ รียนกับบทเรยี น หรือผ้อู นื่ ท่เี กีย่ วขอ้ ง ได้แก่
1. อิเลก็ ทรอนิกสบ์ อร์ด (Electronic board) เช่น BBS, Web board
2. จดหมายอิเลก็ ทรอนิกส์(E-mail)
4.1.2 Synchronous หมายถึง ส่วนสนับสนุนการเรียนการสอนที่ใช้งานในลักษณะ
On-line สำหรับการติดตอ่ ส่อื สารระหว่างผูเ้ รียนกบั บทเรยี นหรือผอู้ นื่ ทเ่ี กย่ี วข้อง ได้แก่
1. การสนทนาผา่ นเครอื ขา่ ย (Internet relay chat) เช่น Chat room, ICQ
2. การประชมุ ทางไกลดว้ ยภาพ (Video conferencing)
3. การบรรยายสด (Live lecture)
4. การติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่าย เช่น Internet phone, Net meeting
นอกจากน้ียงั มีสว่ นสนับสนนุ การเรียนการสอน ซึ่งเป็นการใชเ้ คร่ืองมอื หรือการบริการ ที่มอี ยู่บนเครือข่าย
อินเทอร์เน็ตอำนวยความสะดวกในการศึกษาบทเรียน WBI: Web based instruction ไดแ้ ก่
เครื่องมอื สำหรบั คน้ หาขอ้ มลู ไดแ้ ก่ Search engine tool ต่าง ๆ
เคร่อื งมอื สำหรับเขา้ ส่รู ะบบเครือข่าย ได้แก่Telnet, FTP
4.3 การออกแบบบทเรียนผ่านเว็บ
บทเรียนผา่ นเวบ็ มกี ารนำเสนอรปู แบบทหี่ ลากหลายเพือ่ ให้ผู้เรียนไดเ้ กิดการเรยี นรทู้ ี่ง่ายต่อ
ความเข้าใจ ซึ่งผูเ้ รยี นสามารถเรยี นรู้ได้ด้วยตนเองจงึ จำเป็นต้องมีการออกแบบ การเรยี นการสอนตาม
ขน้ั ตอนต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้
ดิลลอน (Dillon, 1997 : 221-224) ได้ให้แนวคิดเกีย่ วกับข้ันตอนในการสร้างบทเรียนท่ี
มีลกั ษณะเปน็ ส่อื หลายมิติ (Hypermedia) ซง่ึ หลักการน้สี ามารถนำไปประยุกตใ์ ชใ้ นการออกแบบและ
พัฒนาเว็บเพ่ือการเรียนการสอนแนวคิดดงั กลา่ วมขี ้ันตอนดังน้ี
1. ศึกษาเกี่ยวกับผู้เรียนและเน้ือหาที่จะนำมาพัฒนาเพื่อกำหนดวัตถุประสงค์และแนวทาง
ในการจดั กจิ กรรมการเรยี น
2. วางแผนเก่ยี วกบั การจดั รูปแบบโครงสรา้ งของเนอ้ื หาศกึ ษาคณุ ลักษณะของเน้ือหาท่จี ะ
นำมาใชเ้ ปน็ บทเรยี นวา่ ควรจะนำเสนอในลกั ษณะใด
13
3. ออกแบบโครงสร้างเพื่อการเข้าถึงข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพโดยผู้ออกแบบควรศึกษา
ทำความเข้าใจกบั โครงสร้างของบทเรียนแบบต่าง ๆ โดยพจิ ารณาจากลักษณะผู้เรยี นและเน้อื หาวา่
โครงสรา้ งลักษณะใดจะเอื้ออำนวยต่อการเขา้ ถงึ ข้อมูลของผู้เรยี นได้ดีทส่ี ดุ
4. ทดสอบรูปแบบเพื่อหาข้อผิดพลาดจากนั้นทำการปรับปรุงแก้ไขและทดสอบซ้ำอีกคร้ัง
จนแนใ่ จวา่ เป็นบทเรียนที่มีประสิทธิภาพก่อนที่จะนำไปใชง้ าน วิธดี ำเนินการ 5 ขน้ั ตอนเพ่ือการออกแบบ
และพฒั นาการเรียนการสอนผ่านเวบ็ ท่มี ีประสิทธิภาพ คอื
1. ทำการวิเคราะหค์ วามตอ้ งการของผูเ้ รียนรวมท้งั จดุ แข็งและจุดอ่อนของผู้เรียน
2. การกำหนดเป้าหมายวตั ถปุ ระสงค์และกิจกรรม
3. ควรเลือกเนื้อหาที่จะใช้นำเสนอพร้อมกับหางานวิจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องและช่วย
สนบั สนนุ เนื้อหา
4. การวางโครงสร้างและจัดเรียงลำดบั ข้อมูลรวมทัง้ กำหนดสารบัญเครื่องมือการเข้าสู่
เนือ้ หา(Navigational Aids) โครงร่างหนา้ จอและกราฟฟกิ ประกอบ
5. ดำเนินการสร้างเว็บไซต์โดยอาศัยแผนโครงเรื่องการออกแบบการเรียนการสอน
ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมีหลายขั้นตอนซึ่งในการออกแบบนั้นควรศึกษาขั้นตอนการออกแบบ ศึกษา
เน้ือหา และผเู้ รียน ซึง่ ต้องออกแบบให้มคี วามสมั พันธก์ นั จึงจะช่วยให้ไดบ้ ทเรยี นท่ีมีคุณภาพ
อาแวนติ สิ (Arvanitis, 1997) ไดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะว่าในการสร้างเว็บไซตน์ ้นั ควรจะดำเนนิ การ
ตามขน้ั ตอนตอ่ ไปน้ี
1. กำหนดวัตถุประสงค์ โดยพจิ ารณาว่าเป้าหมายของการสร้างเวบ็ ไซต์นี้เพื่ออะไร
2. ศึกษาคณุ ลกั ษณะของผ้ทู ี่จะเขา้ มาใช้ วา่ กลุม่ เปา้ หมายใดทีผ่ ู้สรา้ งต้องการสอ่ื สาร ข้อมูล
อะไรท่พี วกเขาต้องการ โดยขน้ั ตอนน้ีควรจะปฏิบัติควบคูไ่ ปกบั ขนั้ ตอนท่ีหน่ึง
3. วางลักษณะโครงสรา้ งของเวบ็
4. กำหนดรายละเอยี ดให้กับโครงสรา้ ง ซง่ึ พิจารณาจากวตั ถปุ ระสงค์ทตี่ ้ังไวโ้ ดยตั้งเกณฑ์ใน
การใช้ เช่น ผูใ้ ช้ควรจะทำอะไรบ้าง จำนวนหนา้ ควรมีเท่าใด มกี ารเชอ่ื มโยงมากน้อยเพียงไร
5. หลงั จากนน้ั จงึ ทำการสรา้ งเว็บแล้วนำไปทดลอง เพือ่ หาขอ้ ผดิ พลาดและทำการปรบั ปรุง
แกไ้ ข แลว้ จงึ ค่อยนำเขา้ สูเ่ ครอื ขา่ ยอินเทอร์เน็ตเป็นขนั้ ตอนสุดท้าย
เพอร์นสิ ิ และ คาสาติ (Pernici and Casati, 1997) ไดแ้ ยกยอ่ ยกระบวนออกเป็น 4 ขนั้ ตอน
ดงั นี้
1. การวิเคราะห์องคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ท่จี ำเป็นต่อการออกแบบ ซง่ึ ประกอบด้วยการตงั้
วตั ถุประสงค์ การกำหนดผเู้ รยี น และสง่ิ ท่ีจำเปน็ ในด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
2. ผู้สอนต้องกำหนดแนวทางในการสร้างเว็บไซต์ ได้แก่ เนื้อหาที่จะใช้ กิจกรรมต่าง ๆ
ขน้ั ตอนการเรยี นการสอน
3. เป็นการออกแบบในแนวกว้าง (Design in the Large) โดยผู้สอนจะต้องวางแผน
ลักษณะการเข้าสูเ่ น้ือหา (Navigation) ซึ่งรวมถึงการกำหนดรายการต่าง ๆ (Menus) และการเรียงลำดบั
ของข้อมูล
4. เป็นการออกแบบในแนวแคบ (Design in the Small) คือการกำหนดรายละเอียด
ตา่ ง ๆ ทม่ี ใี นแตล่ ะหน้า
ไบเลยแ์ ละไบรท์ (Bailey and Blythe, 19100) ได้เสนอกระบวนการ 3 ขัน้ ตอนงา่ ย ๆ ใน
การนำไปใช้ออกแบบเวบ็ ไซตเ์ พื่อการเรยี นการสอน ดังนี้
1. รา่ งเค้าโครงแนวคดิ เบอ้ื งตน้ ในด้านการนำเสนอ การเชอ่ื มโยงและจัดเรียงเนื้อหา
14
2. การวางแผนผังแสดงโครงสร้างของเว็บไซต์ ซึ่งโดยทั่วไปจะมีโครงสร้างอยู่ 3 ลักษณะ
คือ โครงสรา้ งแบบเส้นตรง (Linear) ซง่ึ กำหนดเสน้ ทางเดยี วให้แกผ่ เู้ รียนคอื เรม่ิ จากหน้าแรกไปสหู่ น้า
ต่อ ๆ ไปโครงสร้างแบบลำดับขั้น (Hierarchical) ซึ่งจะแบ่งระดับความสำคัญของข้อมูลลดหลั่นกันลงมา
เปน็ ขน้ั ๆ โครงสร้างแบบแตกกงิ่ (Branching) ซึง่ จะมีเสน้ ทางทแี่ ตกต่างกนั ในการเขา้ สู่เน้อื หาแตล่ ะสว่ น
3. เขียนแผนโครงเรื่อง โดยแสดงรายละเอียดที่จะมีอยู่ในแต่ละหน้าไม่ว่าจะเป็นตัวอักษร
เสยี ง วีดทิ ศั น์ และกราฟิก
คาน (Khan, 1997) ได้กล่าวไว้ว่า การออกแบบเว็บที่ดีมีความสำคัญต่อการเรียนการสอน
เป็นอย่างมากดังนั้นจึงควรทำความเข้าใจถึงคุณลักษณะ 2 ประการของโปรแกรมการเรียนการสอนผ่าน
เวบ็
1. คุณลักษณะหลัก (Key Features) เป็นคุณลักษณะพื้นฐานของโปรแกรมการเรียนการ
สอนผา่ นเว็บทุกโปรแกรม ตวั อยา่ งเชน่ การสนบั สนุนให้ผู้เรยี นมปี ฏิสัมพันธก์ บั บทเรยี น ผู้สอน หรอื ผู้เรยี น
คนอน่ื ๆ การนำเสนอบทเรียนในลักษณะของสื่อหลายมิติ (Multimedia) การนำเสนอบทเรยี นระบบ
เปดิ (Open System) กลา่ วคือ อนุญาตให้ผเู้ รยี นสามารถเชือ่ มโยงเข้าสูเ่ วบ็ เพจอ่นื ๆ ที่เกีย่ วข้องได้
ผเู้ รียนสามารถสบื คน้ ขอ้ มูลบนเครือขา่ ยได้ (Online Search) ผเู้ รียนควรท่จี ะสามารถเข้าสู่โปรแกรม
การสอนผา่ นเวบ็ จากท่ใี ดก็ไดท้ ัว่ โลก รวมทั้งผเู้ รยี นควรทีจ่ ะสามารถควบคุมการเรยี นของตนเองได้
2. คุณลักษณะเพิ่มเติม (Additional Features) เป็นคุณลักษณะประกอบเพิ่มเติม ซึ่ง
ขึ้นอยู่ กับคุณภาพและความยากง่ายของการออกแบบ เพื่อนำมาใช้งานและการนำมาประกอบกับ
คุณลักษณะหลักของโปรแกรมการเรียนการสอนผ่านเว็บ ตัวอย่างเช่น ความง่ายในการใช้งานของ
โปรแกรมมีระบบป้องกันการลักลอบข้อมูล รวมทั้งระบบให้ความช่วยเหลือบนเครือข่ายมีความสะดวกใน
การแกไ้ ข ปรับปรงุ โปรแกรม เปน็ ต้น
ฮอลล์ (Hall, 1910) ไดก้ ล่าวถงึ การใชเ้ วบ็ ในดา้ นการเรียนการสอนว่า การศกึ ษาทดลองหา
วธิ ีการสร้างเวบ็ อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพยังอย่ใู นระดับทน่ี ้อย แต่จากการรวบรวมจากประสบการณแ์ ละ
การนำเสนอของบรรดานักออกแบบเวบ็ เพ่อื การเรยี นการสอน สรปุ ได้วา่ เวบ็ เพอื่ การเรียนการสอนท่ดี ี
จะตอ้ งมลี ักษณะดังนี้
1. ต้องสะดวกและไมย่ ่งุ ยากตอ่ การสืบค้นของผเู้ รยี น
2. ต้องมีความสอดคลอ้ งตรงกันในแต่ละเวบ็ รวมถงึ การเชื่อมโยงระหว่างเว็บต่าง ๆ
3. เวลาในการแสดงผลแต่ละหน้าจอจะต้องน้อยที่สุด หลีกเลี่ยงการใช้ภาพกราฟิกขนาด
ใหญท่ จ่ี ะทำให้เสยี เวลาในการดาวน์โหลด
4. มีส่วนที่ทำหน้าที่ในการจัดระบบในการเข้าสู่เว็บ นักออกแบบควรกำหนดให้ผู้เรียนได้
เขา้ ส่หู น้าจอแรกทม่ี ีคำอธบิ าย มกี ารแสดงโครงสร้างภายในเวบ็ เพอ่ื ทราบถงึ ขอบเขตท่ผี เู้ รยี นจะสืบค้น
5. ควรมีความยืดหยุ่นในการสืบค้น แม้จะมีการแนะนำว่าผู้เรียนควรจะเรียนอย่างไร
ตามลำดบั ข้นั ตอนก่อนหลงั แต่ก็ควรเพิ่มความยดื หยนุ่ ให้ผู้เรยี นสามารถกำหนดเสน้ ทางการเรียนร้ไู ดเ้ อง
6. ต้องมีความยาวในหนา้ จอให้นอ้ ย แมน้ ักออกแบบส่วนใหญจ่ ะบอกว่าสามารถใช้
ไฮเปอรเ์ ท็กซ์ช่วยในการเลอื่ นไปมาในพ้ืนทสี่ ว่ นตา่ ง ๆ ในหนา้ จอ แตใ่ นความเป็นจรงิ แล้วหนา้ จอที่สนั้
เป็นส่งิ ท่ดี ีท่ีสุด
7. ไม่ควรมีจุดจบหรือกำหนดจุดสิ้นสุดที่ผู้เรียนไปไหนต่อไม่ได้ ควรมีการสร้างในแบบ
วนเวียนให้ผู้เรียนสามารถหาเสน้ ทางไปกลับระหว่างหน้าต่างๆได้ง่าย นอกจากนี้ยังควรให้ผู้เรียนสามารถ
กลับ ไปเรยี นในจดุ เริม่ ต้นได้ดว้ ยโดยการคลกิ เพยี งคร้งั เดยี ว
15
โจนสแ์ ละฟาร์เควอร์ (Jones and Farquar, 1997) ได้แนะนำหลกั การออกแบบเบ้ืองต้นที่จะ
เป็นจุดเร่ิมในการพัฒนาเว็บเพอื่ การเรยี นการสอน ดงั น้ี
1. ควรมกี ารจัดโครงสรา้ งหรอื จัดระเบยี บข้อมูลทช่ี ัดเจน การท่ีเน้ือหามคี วามต่อเน่ืองไปไม่
สน้ิ สดุ หรือกระจายมากเกนิ ไปอาจทำใหเ้ กิดความสบั สนตอ่ ผูใ้ ช้ได้ ฉะนน้ั จงึ ควรออกแบบให้มลี กั ษณะท่ี
ชัดเจนแยกย่อยออกเป็นสว่ นต่าง ๆ จดั หมวดหมใู่ นเรือ่ งที่สัมพันธก์ ัน รวมทั้งอาจมกี ารแสดงใหผ้ ใู้ ช้เหน็
แผนที่โครงสร้างเพื่อป้องกนั ความสับสนได้
2. กำหนดพื้นที่สำหรับการเลือก (Selectable Areas) ให้ชัดเจนซึ่งโดยทั่วไปจะมี
มาตรฐานที่ชดั เจนอยแู่ ลว้ เช่น ลักษณะของไฮเปอรเ์ ท็กซ์ที่เปน็ คำสฟี า้ และขีดเสน้ ใต้ พยายามหลีกเล่ียง
การออกแบบท่ีขดั แยง้ กับมาตรฐานทวั่ ไปท่ีคนสว่ นใหญ่ใช้ยกเวน้ จะมคี วามจำเปน็ ทีต่ ้องใช้ นอกจากน้ียัง
รวมไปถงึ การทำใหต้ วั เลือกเกิดการเปลยี่ นแปลง ซ่งึ ปกตเิ ม่ือมกี ารคลิกคำหรือข้อความใด ๆ เมอื่ กลับมา
ที่หน้าเดิมคำหรอื ข้อความน้นั ๆ ก็จะเปลยี่ นจากสีฟ้าเป็นสแี ดงเขม้ เพอื่ บอกใหท้ ราบวา่ ผใู้ ช้ไดเ้ ลอื กส่วน
นน้ั ไปแลว้ ในการออกแบบจึงควรใช้มาตรฐานเดมิ แบบนเี้ ชน่ กัน
3. กำหนดให้แต่หน้าจอภาพสั้น ๆ ทั้งนี้จากการวิจัยพบว่าผู้ใช้ไม่ชอบการเลื่อนขึ้นลง
(Scroll) (Nielsen, 1996 อ้างถึงใน Jones and Farquar, 1997) อีกทั้งยังเสียเวลาในการโหลดนาน
และยุ่งยาก ต่อการพิมพ์ที่ผู้ใช้ต้องการเนื้อหาเพียงบางส่วน แต่ถ้ามีความจำเป็นต้องใช้หน้ายาวก็ควร
กำหนดเป็นพืน้ ที่แต่ละส่วนของหน้า โดยให้ผูเ้ รียนสามารถเลือกไปยังจดุ ต่าง ๆ ได้ในหน้าเดียวในลักษณะ
ของบุ๊คมารค์ (Bookmark)
4. ลักษณะการเช่ือมโยงทปี่ รากฏในแตล่ ะหนา้ หากมีทัง้ การเชอื่ มโยงในหนา้ เดยี วกันและ
การเชอื่ มโยงไปยังหนา้ อ่ืน ๆ หรือออกจากหนา้ จอไปยังหน้าจอใหม่จะก่อให้เกดิ การสบั สนได้ โดยเฉพาะ
อย่างยิง่ ถา้ ผู้เรียนใช้ปุ่มมาตรฐานที่มอี ย่ใู นโปรแกรมค้นผา่ น (Web Browser) อาจทำให้ผ้เู รยี นหลงทาง
ได้ ฉะนน้ั จึงตอ้ งออกแบบใหม้ ีความแตกตา่ งและชัดเจน
5. ตอ้ งระวงั เร่ืองของตำแหนง่ ในการเชอ่ื มโยง การทีจ่ ำนวนการเชื่อมโยงมากและกระจดั
กระจายอยู่ทั่วไปในหน้าอาจกอ่ ให้เกิดความสับสน การออกแบบท่ดี ีควรจัดการเชือ่ มโยงไปยงั หน้าอน่ื ๆ
อยูร่ วมกนั เป็นสัดส่วนมลี ำดบั กอ่ นหลงั หรือมีหมายเหตุประกอบ เชน่ จัดรวมไวส้ ่วนล่างของหน้าจอ
6. ความเหมาะสมของคำทใี่ ชเ้ ชือ่ มโยง คำท่ใี ชส้ ำหรบั การเช่อื มโยงจะตอ้ งเขา้ ใจง่ายมี
ความชดั เจนและไมส่ ้นั จนเกนิ ไป
7. ความสำคัญของข้อมูลควรอยู่ส่วนบนของหน้าจอภาพ หลีกเลี่ยงการใช้กราฟิกด้านบน
ของหน้าจอเพราะถึงแม้จะดูดีแต่ผู้เรียนจะเสียเวลาในการได้รับข้อมูลที่ต้องการสรุปได้ว่าการเรียนการ
สอนผ่านเว็บ เป็นการจัดการอย่างจงใจและนำเสนอข้อมูลที่มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาการเรียนรู้โดยเฉพาะ
ดังนั้นการออกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์ผ่านเว็บด้วย Google Siteควรจัดเตรียมบทเรียน กิจกรรม
แบบฝกึ หดั และแบบทดสอบ เพื่อใหน้ ักเรยี นได้เรยี นรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
4.4 ลักษณะและประเภทของการเรยี นการสอนผา่ นเวบ็
การเรยี นการสอนผา่ นเว็บมีรูปแบบที่แตกต่างกันไปลกั ษณะของการเรยี นการสอนผา่ นเว็บมนี กั
การศกึ ษากล่าวถงึ การแบ่งประเภทของการเรยี นการสอนผ่านเว็บไว้ดงั น้ี
พาร์สนั (Parson, 1997) ได้แบง่ ประเภทของการเรียนการสอนผ่านเวบ็ ออกเป็น 3 ลักษณะ
1. การเรยี นการสอนผา่ นเวบ็ แบบรายวิชาเดียว (Stand-alone courses) เป็นรายวชิ าทีม่ ี
เครือ่ งมือและแหล่งที่เข้าไปถึงและเขา้ หาได้โดยผา่ นระบบอินเทอรเ์ น็ตอยา่ งมากท่ีสดุ ถ้าไม่มีการสอ่ื สาร
กส็ ามารถทจ่ี ะไปผ่านระบบการสือ่ สารได้ ลักษณะของการเรยี นการสอนผ่านเวบ็ แบบนม้ี ีลักษณะเปน็
แบบวิทยาเขตมีนักศกึ ษาจำนวนมากเข้ามาใช้จรงิ แต่จะมีการส่งข้อมูลจากรายวิชาทางไกล
16
2. การเรียนการสอนผา่ นเวบ็ แบบเว็บสนบั สนุนรายวิชา (Web supported courses)
เปน็ รายวชิ าทมี่ ีลกั ษณะเป็นรูปธรรมท่ีมีการพบปะระหว่างครูกบั นกั เรียนและมีแหล่งใหม้ าก เชน่
การกำหนดงานให้ทำบนเว็บ การกำหนดให้อา่ น การส่อื สารผ่านระบบคอมพวิ เตอร์ หรือการมีเวบ็ ท่ี
สามารถชีต้ ำแหนง่ บนพ้นื ทข่ี องเวบ็ ไซต์โดยรวมกิจกรรมต่าง ๆ เอาไว้
3. การเรียนการสอนผ่านเว็บแบบศูนย์กลางการศึกษา (Web pedagogical resources)
เป็นชนดิ ของเวบ็ ไซตท์ ีม่ ีวตั ถดุ ิบ เครอ่ื งมือ ซึ่งสามารถรวบรวมวิชาขนาดใหญ่เขา้ ไวด้ ้วยกันหรือเป็นแหลง่
สนบั สนนุ กิจกรรมทางการศึกษา ซงึ่ ผู้ทีเ่ ขา้ มาใชก้ จ็ ะมีส่ือให้บรกิ ารหลายรปู แบบอย่างเช่น เปน็ ข้อความ
เป็นภาพกราฟกิ การส่อื สารระห่างบคุ คลและการทำภาพเคลือ่ นไหวตา่ ง ๆ เปน็ ต้น
ใจทพิ ย์ ณ สงขลา (2554: 15) ได้กลา่ วถงึ การแบ่งประเภทการใช้เว็บเพื่อการเรยี นการสอน
4 ลกั ษณะ ดังนี้
1. เว็บเพื่อเสริมการสอนรายวิชา การเรียนโดยใช้เว็บเพื่อการสอนเสริมเป็นการจัดทำ
เพื่อให้เป็นแหล่งข้อมูลหรือสารสนเทศเพิ่มเติมเสริมจากการเรียนปกติรวมทั้งอาจมีการจัดกิจกรรมการ
สื่อสารนอกเวลาการเรียนโดยใช้เว็บเป็นชอ่ งทางการสื่อสารหลักซึ่งอาจปิดเฉพาะให้กับผูเ้ รียนรายวิชานน้ั
หรอื อาจเผยแพรใ่ หก้ ับผู้สนใจทัว่ ไปเข้าศกึ ษา
2. เวบ็ เพือ่ การเรียนการสอนในหลักสูตร เวบ็ เพอ่ื การเรยี นการสอนในหลักสูตร เปน็ การ
กำหนดรายวิชาประกอบเข้าเปน็ หลักสตู รมีการจดั เป็นระบบการเรยี นการสอน การติดตามผลการเรยี น
การบริหารจัดการ และบรกิ ารสารสนเทศให้กับผู้เรยี น โดยผ้เู รยี นจะต้องลงทะเบียนในหลักสูตรดงั กล่าว
เว็บในลักษณะนีม้ กั ปรากฏในลักษณะการศกึ ษาทางไกล ซง่ึ อาจกำหนดเปน็ โปรแกรมการเรยี นการสอน
ทงั้ หมดผ่านเครอื ขา่ ยหรอื ควบค่ไู ปกับการศึกษาจากสื่อสารเรยี น หรอื การเรยี นท่ผี ู้เรียนผสู้ อนตอ้ ง
พบปะกันจรงิ (On line/off line) ในลักษณะผสมผสาน (Blended หรอื Hybrid learning)
3 เว็บเพื่อการจัดการเรียนแบบดีกรีร่วม การจัดการเรียนแบบดีกรีร่วมด้วยเว็บเป็นการ
พัฒนาเว็บเพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างการเรียนการสอนของสถาบันมากกว่าหนึ่งสถาบันร่วมกัน โดยทั่วไป
อาจจัดเป็นหลักสูตรร่วมกรณีที่สถาบันการศึกษามีความช านาญเฉพาะเรื่องแตกต่างกันหรือการจัดการ
เป็นหลักสูตรความรว่ มมือระหว่างสถาบันในแต่ละประเทศมีข้อตกลงเรื่องของการบรหิ ารจัดการแตกต่าง
กันไปในแตล่ ะกรณี
4. เวบ็ ทเี่ ป็นแหลง่ ข้อมูล เว็บทเ่ี ปน็ แหลง่ ขอ้ มลู สารสนเทศทางการศึกษา หรอื บทเรยี นที่จัด
ไว้เพ่อื ให้ผู้สนใจท่ัวไปเข้าไปศึกษาอยู่ในลกั ษณะของแหล่งข้อมูลหรอื ฐานข้อมูล
5. ประโยชนข์ องการเรยี นการสอนผ่านเวบ็
ประโยชน์ของการจัดการเรยี นการสอนผ่านเว็บ มดี งั น้(ี ใจทิพ ณ สงขลา, 2554: 41)
1. ช่วยตอบสนองความแตกต่างในการเรียนรู้ของบุคคลและสามารถให้สาระได้มากกว่า
การใชเ้ พียงส่ือชนิดเดยี ว
2. ช่วยให้ผูเ้ รียนเกิดการเรยี นรู้ดว้ ยหลาย ๆ วธิ ีการ ทำใหเ้ รียนรู้ได้ดีกว่าและมีความคงทน
ในความไดน้ านกวา่
3. ชว่ ยสนองความแตกต่างของสไตลก์ ารเรียนรแู้ ละความชอบของผเู้ รียน
4. ช่วยสร้างแรงจูงใจกบั ผู้เรียน
ขอ้ คำนงึ ในการเรยี นการสอนบทเรยี นผ่านเครือขา่ ยอนิ เทอร์เนต็
1. ความพรอ้ มของอุปกรณแ์ ละระบบเครอื ข่าย เนอ่ื งจากการเรยี นการสอนผา่ นเวบ็ เป็น
การปรบั เนอ้ื เดิมสู่รปู แบบใหม่ จะเปน็ ต้องมเี ครื่องมือ อุปกรณ์ ระบบเครอื ขา่ ยทีพ่ ร้อมและสมบูรณ์
เพื่อให้บทเรียนได้มีคณุ ภาพ และทนั ต่อความตอ้ งการของผเู้ รยี น สามารถเลือกเวลาเรียนไดท้ กุ เวลา
17
2. ทกั ษะการใช้คอมพิวเตอรแ์ ละอนิ เทอร์เน็ต ผเู้ รยี นและผู้สอนต้องมีความรู้และทักษะทั้ง
ด้านคอมพิวเตอรแ์ ละครอื ข่ายอนิ เทอร์เน็ต โดยเฉพาะผสู้ อนจำเปน็ ตอ้ งทักษะอน่ื ๆ ประกอบเพอ่ื สร้าง
เว็บไซตก์ ารสอนทน่ี า่ สนใจให้กับผเู้ รยี น
3. ความพรอ้ มของผู้สอน ผู้สอนจะตอ้ งเปลี่ยนบทบาทจากผู้แนะน า มาเป็นผอู้ ำนวยความ
สะดวกยึดผเู้ รียนเป็นศูนยก์ ลาง กระตุน้ ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความอยากร้อู ยากเห็น อยากเรยี นร้กู ระตุ้นกระทำ
กจิ กรรมเตรียมเนื้อหาและแหล่งคน้ คว้าทค่ี ณุ ภาพ รวมทัง้ ความพรอ้ มด้านการใชค้ อมพวิ เตอร์การผลติ
การผลติ บทเรยี นผ่านเวบ็ และเผยแพรบ่ ทเรียนผา่ นดว้ ยตนเอง มคี วามกระตือรือรน้ ตน่ื ตัว ใฝ่รู้ มีความ
รับผดิ ชอบ กลา้ แสดงความคดิ เห็นและศึกษาความรูใ้ หม่ ๆ
4. ความพรอ้ มของผู้สอน ผู้สอนจะตอ้ งเปลี่ยนบทบาทจากผู้แนะน า มาเปน็ ผู้อำนวยความ
สะดวก ยดึ ผเู้ รียนเป็นศนู ยก์ ลาง กระตนุ้ ให้ผเู้ รยี นเกดิ ความอยากรอู้ ยากเห็น อยากเรียนรกู้ ระต้นุ กระทำ
กจิ กรรมเตรยี มเน้ือหาและแหล่งค้นคว้าทมี่ คี ณุ ภาพ รวมทงั้ ความพร้อมด้านการใช้คอมพวิ เตอรก์ ารผลติ
บทเรยี นผา่ นเว็บ และการเผยแพร่บทเรียนผา่ นเว็บบนเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต
5. เนื้อหาบทเรียนจะต้องเหมาะสมกับผู้เรียนให้มากกว่ากลุ่มที่สุด มีหลากหลายให้ผู้เรียน
แต่ละกล่มุ ท่สี ุด มหี ลากหลายใหผ้ ้เู รยี นแตล่ ะกลุ่มเลอื กเรยี นไดด้ ว้ ยตนเอง มกี ิจกรรมวัตถุประสงคท์ ่ชี ัดเจน
เลอื กใชส้ อื่ การสอนท่ีเหมาะกับความพร้อมของเทคโนโลยี การลำดบั เนอ้ื หาชัดเจนมปี ระสทิ ธิภาพใน
การเรยี นการสอน
สรปุ ไดว้ า่ ประโยชน์และขอ้ ดีของการจัดการเรยี นการสอนผ่านเว็บไดว้ า่ การเรยี นการสอนผา่ น
เวบ็ น้ันเป็นการจัดการเรียนการสอนท่ไี ม่จ ากดั เวลาและสถานที่ ผเู้ รยี นและผู้สอนไมจ่ าเป็นจัดการสอน
ในหอ้ งเรยี นปกติ สามารถเรยี นร้ไู ด้ด้วยตนเอง สามารถเรียนซ้ำในส่วนท่ีตอ้ งการเรยี นในบทเรียนเดิม
และยงั สามารถหาความรเู้ พม่ิ เติมหามขี ้อสงสัยจากครูผูส้ อนผ่านไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์หรือการพดู คุย
บนเครอื ขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ ได้ทันที ซึง่ ช่วยใหแ้ กไ้ ขปญั หาการเรยี นของผู้เรียนได้ ผสู้ อนสามารถปรบั ปรุง
บทเรยี นของตนเองไดต้ ลอดเวลาเพอ่ื ใหเ้ กิดการพัฒนาบทเรยี นให้มคี วามทนั สมยั อยู่เสมอ
5. ความร้เู กี่ยวกับโปรแกรม Google Site
สุกจิ สุวริ ยิ ะชยั กุล (2558: 65) Google Sites คอื โปรแกรมของ Google ทใ่ี ห้บริการสร้าง
เว็บไซตฟ์ รีสามารถสร้างเว็บไซตไ์ ด้งา่ ย และสามารถรวบรวมความหลากหลายของขอ้ มลู ไวใ้ นทเี่ ดียว
กนกพร ฉันทนารุ่งภกั ด์ิ(2553: 48-49) ได้กล่าวว่า Google Site เปน็ หน่ึงใน Google Apps
for Education ของ Google ทไี่ ด้พัฒนาข้นึ มาเพอื่ สนบั สนับสนนุ การเรียนการสอน
6 รู้จกั กเู ก้ลิ ไซต์ (Google Sites)
1. Google Sites ใหบ้ รกิ ารครั้งแรกเมือ่ เดอื นพฤษภาคม 2551
2. สรา้ งเวบ็ ไซต์ได้สุดแสนจะง่ายดาย ใช้เวลาไมก่ ีน่ าทีกโ็ ชวผ์ ลงานได้
3. ไม่จำเปน็ ต้องรูภ้ าษาเขียนเวบ็ (HTML) ใหป้ วดหัว แค่ใช้เวิร์ดพิมพง์ านเปน็ กเ็ ริม่ ได้เลย
แถมเมนเู ปน็ ภาษาไทยอกี ต่างหาก
4. มแี บบเทมเพลตสำเรจ็ รปู ให้เลือกมากมาย คล้าย ๆ กับแบบส าเรจ็ เพาเวอรพ์ อยต์
5. สามารถแชร์เว็บได้
6. เปน็ ระบบทค่ี รอบคลมุ เอามาใชด้ ว้ ยกนั ไดเ้ ลย เชน่ อีเมล์ (email) ปฏิทนิ (Calendar)
7. เอกสาร (Documents) ยูทูป (YouTube) อัลบั้มภาพ (Picasa) แผนที่ (Map) ฯลฯ
8. Free Accountไวท้ 1ี่ 00 MB พื้นทจ่ี ัดเกบ็ 10 GB* (GB=กกิ ะไบต)์
ขนาดไฟล์สูงสุด 10 MB (MB=เมกกะไบต์) จ านวนหนา้ เวบ็ เพจไม่จ ากดั การใชง้ าน Google site
บทที่ ๓
วิธีดำเนินการวจิ ยั
การวิจัยครัง้ นี้ ผู้วจิ ัยไดด้ ำเนินการ มีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรท่ใี ช้ในการวจิ ัยครั้งน้ี ได้แก่ นกั เรยี นช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี ๒
โรงเรยี นสตรพี ทั ลุง ปีการศึกษา ๒๕๖5 กลมุ่ ตัวอย่างทีใ่ ช้ ไดแ้ ก่ นักเรยี นชั้นมธั ยมศกึ ษา
ปที ี่ ๒/7 จำนวน ๔๐ คน โดยวธิ กี ารส่มุ แบบง่าย (Simple Random Sampling)
เครื่องมอื ทีใ่ ชใ้ นการวิจัย
๑. บทเรียนออนไลน์เรอ่ื งคำราชาศพั ท์ โดยใช้ (Google Sites) และะนำเสนอผา่ นเครอื ขา่ ย
อินเทอร์เน็ต ในระบบ Google Classroom ประกอบด้วยมาตรฐานตัวชีวัด จุดประสงค์การเรียนรู้
เน้อื หาบทเรียน แบบฝึกทกั ษะ แบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรียน มวี ิธีการดังนี้
๑.๑ ศึกษาและวิเคราะหห์ ลกั สตู รภาษาไทย ระดบั ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๒
๑.๒ ศึกษาและวิเคราะห์โครงสร้างรายวิชา หน่วยการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ เนื้อหา
และจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม
๑.๓ ศึกษาหลักการสร้างบทเรียนออนไลน์ (Google Sites) และวิธีการใช้ Google
Classroom
๑) บทเรียน PowerPoint ด้วยโปรแกรม Office Mix
๒) กจิ กรรม/ แบบฝกึ ทกั ษะ/ ใบงานออนไลน์
๓) แบบทดสอบออนไลน์ ด้วยโปรแกรม Google Forms
๒. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น ได้แก่ แบบทดสอบออนไลน์
เรอ่ื งคำราชาศพั ท์ ชนดิ เลอื กตอบ ๔ ตัวเลือก จำนวน ๒๐ ข้อ
๓. แบบสอบถามความพึงพอใจ ไดแ้ ก่ แบบสอบถามความพึงพอใจของนกั เรยี น
ทมี่ ตี อ่ บทเรียนออนไลน์ เรื่องคำราชาศัพท์ ชนดิ มาตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ (Rating Scale)
คือ มากทีส่ ดุ มาก ปานกลาง นอ้ ย น้อยทส่ี ุด
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลและวเิ คราะหข์ ้อมูล
บทบาทครู
๑. การจัดการเรยี นการสอนด้วยบทเรียนออนไลน์ ครูควรศึกษารูปแบบ องคป์ ระกอบ
วธิ ีการสรา้ งบทเรียนที่ดี ทดสอบ ตรวจสอบ และทดลองใช้ เพือ่ ให้เกิดประสิทธิภาพ
๒. ครูอธิบายใหน้ ักเรียนเรยี นรู้ และเข้าใจวิธีการใชบ้ ทเรยี นออนไลน์ (Google Sites)
นำเสนอผา่ นเครือขา่ ยอนิ เทอร์เนต็ โดยใช้ Google Classroom
19
บทบาทนกั เรยี น
๑. นกั เรียนกลุ่มตัวอย่างลงทะเบียนเขา้ สรู่ ะบบ Google Classroom และเขา้ เรยี นสู่
บทเรียนออนไลน์ (Google Sites)
๒. ทำแบบทดสอบก่อนเรียน (pre-test) เรื่อง คำราชาศพั ท์
๓. ศกึ ษาเนื้อหาในบทเรยี นออนไลน์ เร่อื ง คำราชาศัพท์
๔. ปฏิบตั กิ จิ กรรมในบทเรียนออนไลนเ์ รื่อง คำราชาศพั ท์
๕. ทำแบบทดสอบหลังเรียน (post-test) เรอ่ื ง คำราชาศัพท์
๖. ทำแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนทีม่ ีต่อการจัดการเรียนรู้
ด้วยบทเรียนออนไลน์ เรอื่ ง คำราชาศัพท์
๗. ผ้วู จิ ยั เกบ็ รวบรวมข้อมลู วเิ คราะหข์ ้อมูล และจดั กระทำข้อมลู ตามสมมตุ ฐิ าน
ของการวิจยั ทตี่ งั้ ไว้
สถติ ิท่ีใชใ้ นการวเิ คราะห์ข้อมูล
๑. ค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) โดยใช้สูตร
แทน คา่ เฉลย่ี
แทน ผลรวมของคะแนน
N แทน จำนวนคน
๒. สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation)
เม่อื S.D. แทน ค่าสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน
Xi แทน คะแนนแต่ละตัว
N แทน จำนวนคน
แทน ค่าเฉลี่ยของคะแนนทง้ั หมด
๓. คา่ ทดสอบ T (t-test)
ค่าทดสอบ T ใชโ้ ปรแกรมทดสอบเอ็กซเ์ ซลสถติ วิ จิ ยั (ศักด์ิสทิ ธ์ิ วชั รารัตน์;
http://202.29.243.161/ t.project/web_saksit/)
20
เกณฑก์ ารแปลความหมายระดบั ความพงึ พอใจ
คะแนนเฉล่ยี ๔.๕๐ – ๕.๐๐ หมายถึงพึงพอใจมากทส่ี ุด
คะแนนเฉลย่ี ๓.๕๐ – ๔.๔๙ หมายถึงพงึ พอใจมากที่สุด
คะแนนเฉลี่ย ๒.๕๐ – ๓.๔๙ หมายถึงพึงพอใจมากที่สดุ
คะแนนเฉล่ยี ๑.๕๐ – ๒.๔๙ หมายถงึ พงึ พอใจมากที่สดุ
คะแนนเฉลย่ี ๑.๐๐ – ๑.๔๙ หมายถงึ พงึ พอใจมากที่สุด
บทที่ ๔
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล
๑. ผวู้ ิจัยดำเนนิ การทดลองใช้บทเรยี นออนไลน์ เร่ือง คำราชาศัพท์ (Google Sites)
นำเสนอผ่านเครือขา่ ยอินเทอร์เนต็ โดยใช้ Google Classroom สำหรบั นักเรยี นช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ ๒
โรงเรียนสตรีพัทลงุ ปกี ารศึกษา ๒๕๖๔ กลมุ่ ตัวอยา่ งเป็นนักเรยี นระดับชน้ั ม.๒/๔ จำนวน ๔๐ คน
ปรากฏผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้
๑. การเปรยี บเทียบผมสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นกอ่ นเรยี นและหลังเรยี น
ตารางที่ ๑ การเปรยี บเทียบผลสัมฤทธก์ิ ่อนเรียนและหลงั เรยี นด้วยบทเรียนออนไลน์
เรื่องคำราชาศพั ท์ (Google Sites)
S.D. S.D. t Sig
ค่าเฉล่ีย 1 tailed
ผลต่าง
กอ่ นเรียน 9.03 ๑.๓57 0.960 ๑7.150** ๐.๐๐๐๐
หลงั เรียน ๑7.15 1.๒78
จากตารางท่ี ๑ พบวา่ การทดสอบของผเู้ รียนมคี ะแนนกอ่ นเรยี นเฉล่ีย เทา่ กบั 9.03 คะแนน
จากคะแนนเต็ม 20 และมีคะแนนหลังเรียนเฉล่ีย เทา่ กบั 17.15 คะแนน จากคะแนนเตม็ 20
เมอ่ื เปรียบเทียบระหวา่ งคะแนนสอบทัง้ สองครั้ง พบว่า คะแนนสอบหลงั เรียน สูงกวา่ ก่อนเรียนอย่างมี
นยั สำคัญทางสถิติทีร่ ะดับ .05
๑. ความความพงึ พอใจของผูเ้ รียนท่มี ีต่อการเรยี นด้วยบทเรียนออนไลน์ เรื่องคำราชาศพั ท์
ตารางท่ี ๒ ความพงึ พอใจของผเู้ รยี นที่มีตอ่ การเรียนดว้ ยบทเรยี นออนไลน์
รายการ S.D. ความหมาย
ดา้ นการออกแบบบทเรยี นออนไลน์ ๔.๑๐ ๐.๓๑ มากทส่ี ุด
มากที่สดุ
ด้านเนอ้ื หา กจิ กรรม แบบฝกึ และใบงาน ๓.๙๕ ๐.๖๐ มากทสี่ ุด
มากที่สุด
บทเรียนมคี วามสวยงาม นา่ สนใจ ใคร่เรยี นรู้ ๓.๗๕ ๐.๖๔
มาก
บทเรยี นสรา้ งความรูค้ วามเขา้ ใจไดช้ ดั เจนมากขนึ้ ๓.๗๐ ๐.๔๗ ปานกลาง
มากท่สี ดุ
บทเรยี นมีการติดต่อส่ือสาร และแสดงผลการเรียนรู้ ๓.๕๐ ๐.๕๑
ความสะดวกของการใชช้ ่องทางการเรยี นรู้บทเรยี น ๓.๒๐ ๐.๗๐
รวม ๓.๗๐ ๐.๒๗
จากตารางที่ ๒ พบว่าความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อบทเรียนออนไลน์ (Google Sites)
เร่อื ง คำราชาศพั ท์ ดา้ นการออกแบบบทเรียนออนไลน์ มรี ะดบั ความพึงพอใจมากทส่ี ุด คา่ เฉลี่ย ๔.๑๐
และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน ๐.๓๑ ความสะดวกของการใช้ชอ่ งทางการเรยี นรู้บทเรยี น มรี ะดับ
ความพึงพอใจปานกลาง ค่าเฉลี่ย ๓.๒๐. และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ๐.๗๐ ความพึงพอใจโดยรวม
มคี า่ เฉลย่ี ๓.๗๐ สว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน ๐.๒๗ อย่ใู นระดบั ความพงึ พอใจมากทสี่ ดุ
บทท่ี ๕
สรุป อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ
สรุปและอภิปรายผล
๑. พฒั นาผลสมั ฤทธิ์การเรียนของผเู้ รียนก่อนเรียนและหลังเรยี นดว้ ยบทเรยี นออนไลน์
เรอื่ ง คำราชาศพั ท์ (Google Sites)
๑. ผลการพฒั นาผลสมั ฤทธิก์ ารเรยี นของผเู้ รยี นด้วยบทเรยี นออนไลน์ (Google Sites)
เรื่อง คำราชาศัพท์ นำเสนอผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยใช้ Google Classroom พบว่า คะแนน
ผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน ได้ค่าเฉลี่ยก่อนเรียน 9.03 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ๑.๓57
คา่ เฉล่ียหลังเรียน ๑7.15 และสว่ นเบยี่ งเบนมาตรฐาน 1.๒78 เมือ่ เปรียบเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน
แล้ว พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐5
สอดคล้องกับสมมุติฐานทีต่ ั้งไว้ สอดคล้องกับงานวิจัยของจุฑามาศ ใจสบาย (๒๕๖๐ : บทคดั ย่อ) และ
ชนาธิป พลพวก (๒๕๖๑ : บทคัดย่อ) ดังนั้นจึงสามารถนำวิธีการเรียนด้วยบทเรียนออนไลน์ โดยใช้
กระบวนการจัดการความรู้ ไปประยุกต์ปรับใช้เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนระดับช้ัน
อน่ื ๆ และวิชาอ่ืนๆ ได้
๒. ความพงึ พอใจของผู้เรียนท่ีมีต่อการเรยี นดว้ ยบทเรียนออนไลน์ (Google Sites)
เร่อื ง คำราชาศัพท์
ผลการประเมินความพึงพอใจของผูเ้ รยี นที่มตี อ่ การเรยี นด้วยบทเรียนออนไลน์
(Google Sites) เร่อื ง คำราชาศัพท์ นำเสนอผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต โดยใช้ Google Classroom
พบว่า ดา้ นการออกแบบบทเรียนออนไลน์ มรี ะดับความพึงพอใจมากท่สี ุด รองลงไปเป็นลำดบั ได้แก่
ด้านเนื้อหา กิจกรรม แบบฝกึ และใบงาน บทเรียนมีความสวยงาม น่าสนใจ ใครเ่ รียนรู้ บทเรยี นสรา้ ง
ความรคู้ วามเข้าใจ ได้ชดั เจนมากขน้ึ บทเรยี นมีการติดต่อสือ่ สาร และแสดงผลการเรียนรู้ ความสะดวก
ของการใชช้ ่องทางการเรียนรู้บทเรยี น และระดบั ความพงึ พอใจโดยรวม อยใู่ นระดบั ความพึงพอใจมาก
ท่ีสุด สอดคล้องกบั สมมตุ ฐิ านทีต่ ง้ั ไว้ และสอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของจฑุ ามาศ ใจสบาย (๒๕๖๐ :
บทคดั ย่อ) และชนาธิป พลพวก (๒๕๖๑ : บทคดั ยอ่ ) บทเรียนออนไลน์ที่ดจี ึงมีผลตอ่ ระดบั ความพงึ
พอใจของผู้เรียน
ขอ้ เสนอแนะ
๑. ควรหาประสทิ ธิภาพของบทเรยี นออนไลน์ตามระเบียบวธิ ีวิจยั
๒. เปน็ แนวทางในการสร้างบทเรียนออนไลน์ ในการจดั การเรียนรู้ เพ่อื ยกระดบั
ผลสัมฤทธิ์ ในรายวิชาอน่ื ๆ หรือในระดับชน้ั อน่ื ๆ ต่อไป
๓. การพัฒนาบทเรยี นออนไลน์ ควรมีการวเิ คราะหห์ ลักสตู ร ศึกษารปู แบบ
องค์ประกอบทดี่ ีของบทเรยี นออนไลน์ และออกแบบบทเรยี นใหน้ ่าสนใจ
๔. แอปพลเิ คชนั ในการจดั การเรียนรแู้ บบออนไลน์ ควรใชใ้ ห้หลากหลายรปู แบบ
นักเรยี นเขา้ ถึงข้อมลู ในช่องทางต่างๆ ไดส้ ะดวก ทบทวนความรู้ไดต้ ลอดเวลา มปี ฏิสัมพนั ธ์
ระหวา่ งกัน มีระบบกำกับ ติดตาม บันทกึ ประเมิน และมีผลข้อมลู ย้อนกลับ
23
บรรณานกุ รม
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. (๒๕๕๓). หลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑.
กรงุ เทพฯ :โรงพิมพช์ ุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด
ชนาธปิ พลพวก. (๒๕๖๑). การพฒั นาบทเรยี นออนไลน์ เรือ่ ง การวดั คา่ กลางของข้อมูล
ด้วย Google Site สำหรับนกั เรยี นช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ ๓. (ออนไลน์). แหล่งท่ีมา:
http://www.edu-journal.ru.ac.th/index.php/abstractData/viewIndex/1850.ru
(๘ สิงหาคม ๒๕๖๔).
ถนอมพร เลาหจรสั แสง. (๒๕๔๕). Designing-บทเรียนออนไลน์ หลกั การออกแบบ
และการสร้างเวบ็ เพื่อการเรียนการสอน. กรงุ เทพมหานคร. ศูนยห์ นงั สอื จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลัย.
บุญชม ศรสี ะอาด. (๒๕๕๖). การวิจยั เบื้องต้น. พิมพ์คร้ังท่ี ๙. กรงุ เทพฯ; สวุ รี ยิ าสาสน์ .
พิชติ ฤทธิ์จรญู . (๒๕๖๐). หลกั การวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา. พมิ พ์คร้ังท่ี ๑๑. กรุงเทพฯ;
เฮา้ ส์ ออฟ เคอร์มีสท์.
ศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ วชั รารัตน์. (๒๕๖๔). ชดุ โปรแกรมช่วยวเิ คราะห์ขอ้ มูลสถิติวิจัยด้วยเอ็กซ์เซล-
วิทยาลัยสารพัดชา่ งพิษณุโลก. (ออนไลน)์ . แหลง่ ท่ีมา:http://202.29.243.161/
t.project/web_saksit/. (๘ สิงหาคม ๒๕๖๔).
ศูนย์เฉพาะกจิ การจัดการศึกษาทางไกลในสถานการณ์โรคติดเชือ้ ไวรัสโคโรนา 2019 สำนกั งาน
คณะกรรการการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน. (๒๕๖๓). แนวทางการจัดการเรยี นการสอนของ
โรงเรียนสังกัดอยา่ งมีประสิทธภิ าพ สำนักงานคณะกรรการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ในสถานการณก์ ารระบาดของโรคตดิ เช้ือไวรัสโคโรนา2019 ปกี ารศกึ ษา ๒๕๖๓.
(ออนไลน์). แหล่งทม่ี า: https://www.obec.go.th/archives/246004 (๘ สิงหาคม ๒๕๖๔).
สวุ ฒั น์ บรรลือ. (๒๕๖๐). รูปแบบการจดั การเรียนการสอนออนไลน์ทเี่ หมาะสม สำหรับ
มหาวิทยาลัยราชภฏั อุบลราชธาน.ี วารสารมหาวิทยาลัยร้อยเอด็ ปีที่ ๑๑ ฉบับท่ี ๒
กรกฎาคม – ธันวาคม ๒๕๖๐, ๒๕๐ - ๒๖๐
มนธิชา ทองหัตถา. (๒๕๖๔). สภาพการจัดการเรยี นรแู้ บบออนไลน์ในสถานการณก์ ารแพร่
ระบาดของโรคตดิ เช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID 19) ของครกู ลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนปากพนงั จังหวัดนครศรธี รรมราช. (ออนไลน์). แหลง่ ที่มา:
file:///C:/Users/HP/Downloads/250028-Article%20Text-901975-1-10-
20210629.pdf .
(๘ สงิ หาคม ๒๕๖๔).
ราชบณั ฑติ ยสถาน. (๒๕๔๖). พจนานกุ รม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๔๒.
กรุงเทพมหานคร. บริษัทอักษรเจริญทัศน.์
ภาคผนวก
แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี 12
หนว่ ยท่ี 3 ช่อื หนว่ ย พินจิ ถอ้ ยคำ แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี
๑2เรอ่ื ง คำราชาศพั ท์ ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีที่ ๒ ภาคเรียนท่ี 1
วิชาภาษาไทย จำนวนเวลา 1 ชว่ั โมง
กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย รหสั วิชา ท ๒๒๑๐1 โรงเรยี นสตรพี ัทลงุ
มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชีว้ ดั
มาตรฐานการเรียนรู้
ท 4.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลย่ี นแปลงของภาษาและ
พลงั ของภาษา ภมู ปิ ัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไวเ้ ป็นสมบตั ิของชาติ
ตัวช้ีวดั
ม ๒/4 การใชค้ ำราชาศัพท์
จดุ ประสงค์การเรียนรู้
๑. นกั เรยี นสามารถอธบิ ายหลกั การใชค้ ำราชาศัพทไ์ ด้
๒. นักเรยี นสามารถเลอื กใช้คำราชาศัพท์ได้ถูกต้อง
๓. นักเรียนเห็นคณุ คา่ และใช้ภาษาไทยในการสอ่ื สารได้ถูกต้องเหมาะสม
สาระสำคัญ
คำราชาศัพท์ คือ คำสุภาพที่ใช้ให้เหมาะสมกับฐานะของบุคคลต่าง ๆ ภาษาไทยได้กำหนดคำ
ราชาศัพท์ขึ้นใช้ และมีวิธีการใช้ตามระเบียบแบบแผนของภาษา ซึ่งนับว่าเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่
แสดงออกทางดา้ นภาษา สะท้อนให้เหน็ วัฒนธรรมอันดีงามของไทย
สาระการเรียนรู้
ดา้ นความรู้ ความเข้าใจ (K)
นกั เรียนสามารถอธิบายหลกั การใช้คาราชาศพั ท์ได้
ดา้ นทักษะ / กระบวนการ (P)
นกั เรียนสามารถเลือกใช้คำราชาศพั ท์ได้ถูกต้อง
ด้านเจตคติ (A)
นกั เรียนเหน็ คณุ คา่ และใช้ภาษาไทยในการส่ือสารได้ถกู ต้องเหมาะสม
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
๑. ใฝ่เรยี นรู้
๒. อยูอ่ ยา่ งพอเพยี ง
๓. รักความเป็นไทย
๔. มีจิตสาธารณะ
สมรรถนะ
๑. ความสามารถในการคดิ
๒. ความสามารถในการสือ่ สาร
การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
ชั่วโมงท่ี ๑ - 2
ขนั้ ที่ ๑ นำเขา้ สบู่ ทเรยี น
๑. ครูนำเข้าสู่บทเรียนด้วยการนำภาพพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดย
ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนื่องในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกมาให้นักเรียนดู แล้วตั้งคำถามกับ
นักเรียนว่า
คำถามที่ 1 “นักเรียนเคยเห็นภาพนี้หรือไม่ และภาพนี้เป็นภาพเกี่ยวกับอะไร” โดยให้
นักเรียนยกมือขึ้นตอบและใช้การสุ่ม (หากไม่มีนักเรียนคนใดตอบถูกครูต้องเฉลยและอธิบายให้นักเรียน
ฟัง)
คำถามท่ี 2 “นักเรียนสามารถบอกได้ไหมว่าภาพเหล่ามีความสำคัญอยา่ งไร”(คำถามใน
ขอ้ นอ้ี าจเปน็ คำถามวาทศิลป์กไ็ ดห้ รือใหน้ กั เรยี นตอบและอธบิ ายก็ได)้ โดยให้นักเรียนยกมอื ขึ้นตอบและใช้
การสุ่ม
เมือ่ นกั เรยี นร่วมกันตอบคำถามเสร็จแลว้ ครูเช่อื มโยงประเด็นการเรียนร้วู ่า “เราจะเห็นได้ว่า
สถาบันพระมหากษัตริย์เปน็ สิ่งที่คนไทยให้ความเคารพยกย่องสูงสุด และมีความสำคัญกับสังคมไทยมาช้า
นาน แต่การที่จะพูดกับพระมหากษัตรยิ ์หรือพูดถึงพระมหากษัตริย์จะต้องใช้ถ้อยคำที่แตกต่างจากการใช้
ถ้อยคำทั่วไปหรือที่เรียกว่าคำราชาศัพท์ ซึ่งวันนี้ครูจะพานักเรียนมาเรียนรู้ความหมายของคำราชาศัพท์
และการใช้ คำราชาศพั ท์บางคำท่ีมกั ไดย้ ินหรือพบเจอบ่อย ๆ ในสงั คมไทยปัจจุบัน”
2. ครใู ห้นกั เรยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรยี น จำนวน 20 ขอ้ เพอ่ื วัดความรู้
ขั้นที่ ๒ ขั้นสอน
1. ใหน้ กั เรียนศกึ ษาเร่อื งคำราชาศพั ท์ จากหนงั สือเรียนวิวิธภาษา ช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 2
2. ครูบรรยายให้ความรู้ โดยใช้บทเรียนออนไลน์ (Google Sites) เรื่องคำราชาศัพท์ ให้
นกั เรยี นฟัง ประกอบกบั ใช้เทคนคิ การสอนตา่ ง ๆ พรอ้ มยกตวั อย่างใหช้ ดั เจนประกอบการบรรยาย และให้
นกั เรยี นฝกึ ตอบตามไปดว้ ย
3. ครูถามคำถามเก่ยี วกับเร่ืองคำราชาศัพท์ เพื่อทดสอบความรคู้ วามเข้าใจของนักเรยี น และ
อธบิ ายเพ่มิ เติมในประเดน็ ทบี่ กพร่อง หรอื ประเดน็ ท่ีนักเรียนยงั ไม่เข้าใจ
4. ให้นักเรียนทำแบบฝึกทักษะ เรื่องคำราชาศัพท์ เพื่อวัดความรู้ความเข้าใจของนักเรียน
รายบคุ คล
ข้นั ท่ี ๓ ขนั้ สรปุ
1. ครูให้นักเรียนถามคำถามที่มีข้อสงสัยหรืออยากแลกเปลี่ยนความรู้เกี่ยวกับเรื่องคำ
ราชาศัพท์
2. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปองค์ความรู้ เรื่องคำราชาศัพท์อีกครั้งเพื่อให้แม่นยำในเนื้อหา
และหลกั การ เน่ืองจากจะเปน็ พื้นฐานในการเรยี นรใู้ นครั้งตอ่ ๆ ไป
ชั่วโมงท่ี 3 – 4
ขัน้ ที่ ๑ ขน้ั นำเขา้ ส่บู ทเรียน
ครนู ำเขา้ สู่บทเรียนด้วยการเปิดขา่ วในพระราชสำนัก พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยูห่ วั
สมเดจ็ พระนางเจา้ ฯ ทรงปฏิบัติพระราชกรณยี กิจ 8 ก.พ. 2563
[https://www.youtube.com/watch?v=Xxe24rg-wPA] ให้นักเรียนดู แล้วตงั้ คำถามกับนกั เรยี นว่า
คำถาม “นักเรียนสังเกตุเหน็ อะไรบ้างในข่าวพระราชสำนกั ทด่ี ูเมอ่ื สักครู”่ โดยให้นักเรียนยกมอื ข้นึ ตอบ
และใชก้ ารสมุ่ เมื่อนักเรียนร่วมกันตอบคำถามเสร็จแล้ว ครูเชอ่ื มโยงประเดน็ การเรียนรู้ว่า “จะเห็นได้วา่
การใชค้ ำราชาศัพท์เปน็ สิง่ ทีเ่ ราสามารถพบเห็นและใช้จริงในชวี ติ ประจำวันหรือโอกาสสำคัญต่าง ๆ ดังนั้น
เราจงึ ควรมคี วามรู้ความเขา้ ใจและนำมาปฏิบัติใหถ้ ูกต้องตามหลกั เกณฑ์ ซึ่งในวันนี้ครจู ะพานักเรียนมาฝึก
ปฏบิ ตั เิ ก่ยี วกบั การใช้คำราชาศพั ท์ใหถ้ กู ตอ้ ง”
ขนั้ ที่ ๒ ขั้นสอน
1. ครูถามคำถามทบทวนความรู้ ความเข้าใจของนักเรียน เรื่องคำราชาศัพท์ ที่ได้
เรียนรู้ในชั่วโมง ที่ผ่านมา เช่น คำราชาศัพท์คืออะไร คำราชาศัพท์มีทั้งหมดกี่หมวด หมวดอะไรบ้าง
2. ครอู ธบิ ายเพม่ิ เตมิ ในประเด็นที่บกพรอ่ ง หรอื ประเดน็ ที่นักเรยี นยังไมเ่ ขา้ ใจ
3. แบง่ นกั เรียนออกเป็น ๓ กลุ่ม คน้ หาและศึกษาคำราชาศพั ท์ ตามหวั ข้อตอ่ ไปน้ี
๑) คำนามราชาศัพท์
๒) คำสรรพนามราชาศัพท์
๓) คำกริยาราชาศัพท์
4. นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ค้นหาคำราชาศัพท์เพมิ่ เติมจากท่คี รูกำหนดให้
5. นักเรียนแต่ละกล่มุ นำเสนอผลการศกึ ษาค้นหาคำราชาศัพท์ ตามหวั ขอ้ ที่ไดร้ ับมอบหมาย หน้าชนั้ เรียน
ขน้ั ที่ ๓ ขั้นสรปุ
1. นักเรียนสังเกตลักษณะของคำราชาศัพท์ทั้ง 3 หัวข้อ ว่ามีลักษณะอย่างไร และรู้ได้
อยา่ งไรว่าเป็นคำนาม กริยา หรือสรรพนาม
2. ครูและนักเรียนร่วมกนั สรปุ ลกั ษณะของคำราชาศัพท์
ชว่ั โมงท่ี 5
ขั้นท่ี ๑ ขัน้ นำเข้าสบู่ ทเรยี น
ครูนำเขา้ สบู่ ทเรียนดว้ ยการให้นกั เรยี นชมวดี ีทศั นล์ ะครเรอื่ งสี่แผ่นดนิ ฉากเสดจ็ ใหม้ าทลู
ถามเสด็จว่าเสด็จจะเสด็จหรือไมเ่ สด็จ แล้วต้งั คำถามกับนกั เรยี นวา่
คำถามที่ 1 “นกั เรียนสังเกตเุ ห็นอะไรบ้างในละครเรื่องส่แี ผ่นดินฉากนี้” โดยใหน้ ักเรยี นยกมอื ข้นึ ตอบและ
ใชก้ ารสุ่ม
คำถามท่ี 2 “ประโยคที่แม่มาลัยพดู ว่า เสด็จใหม้ าทูลถามเสดจ็ วา่ จะเสด็จหรอื ไม่เสด็จ ถ้าเสดจ็ จะเสด็จ
เสด็จกจ็ ะเสดจ็ ดว้ ย นักเรยี นสามารถตอบได้ไหมว่าหมายความวา่ อย่างไร” โดยใหน้ ักเรยี นยกมือขนึ้ ตอบ
และใช้การสุ่ม (หากไม่มนี ักเรียนคนใดตอบถูกครตู ้องเฉลยและอธบิ ายให้นักเรียนฟัง)
เมอ่ื นกั เรยี นรว่ มกนั ตอบคำถามเสร็จแลว้ ครเู ช่อื มโยงประเด็นการเรยี นรวู้ า่ “จะเห็นไดว้ ่าการใชค้ ำราชา
ศพั ทน์ ั้นมีมาตง้ั แต่สมัยโบราณจนถงึ ยคุ สมัยปจั จบุ นั กย็ งั มีการใช้อยู่ แสดงให้เห็นวา่ คำราศพั ท์มี
ความสำคัญคูส่ งั คมไทยมาชา้ นานและไมเ่ ส่อื มถอย เมอ่ื ยสุ มัยเปล่ียนไปเหตุใดคำราชาศัพท์จงึ ไมเ่ ปลีย่ น
หรอื สูญหานไปกบั ยุคสมยั วนั นี้ครูจะพานกั เรียนมาตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของคำราชาศัพท์
ข้นั ท่ี ๒ ขั้นสอน
1. ครูถามคำถามทบทวนความรู้ ความเข้าใจของนักเรียน เรื่องคำราชาศัพท์ ที่ได้
เรียนรู้ในช่ัวโมง ที่ผ่านมา เช่น บอกลักษณะของคำนามราชาศัพท์ คำสรรพนามราชาศัพท์ คำกริยา
ราชาศัพท์ และยกตัวอย่าง
2. ครอู ธบิ ายเพิม่ เตมิ ในประเดน็ ทีบ่ กพรอ่ ง หรือประเดน็ ท่นี ักเรียนยงั ไมเ่ ข้าใจ
3. ให้นักเรียนทำแบบฝึกทักษะ เรื่องคำราชาศัพท์ เพื่อวัดความรู้ความเข้าใจของ
นักเรียนรายบุคคล
4. ครูใหน้ กั เรยี นทำแบบทดสอบกอ่ นเรียน จำนวน 20 ขอ้ เพอ่ื วัดความรู้
ข้นั ที่ ๓ ขน้ั สรปุ
1. ครูและนักเรยี นรว่ มกนั สรุปเรือ่ งคำราชาศพั ท์
2. นกั เรยี นบอกถึงคณุ คา่ และประโยชนข์ องคำราชาศัพท์ท่ีใชใ้ นชีวิตประจำวัน
สื่อและแหลง่ การเรยี นรู้
1. ภาพพระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค
เนอ่ื งใน พระราชพิธีบรมราชาภเิ ษก พุทธศักราช 2562
2. หนงั สอื เรยี นววิ ธิ ภาษา ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 2
3. บทเรยี นออนไลน์ (Google Sites) เรอื่ งคำราชาศพั ท์ https://sites.google.com/
spt.ac.th/krukanokkarn
4. แบบทดสอบ เร่อื ง คำราชาศัพท์
5. ข่าวในพระราชสำนัก เข้าถึงได้จาก https://www.youtube.com/watch?v=Xxe24rg-
wPA
6. ใบงาน เรอื่ ง การใชค้ ำราชาศพั ท์
7. วีดีทัศน์เรื่องสี่แผ่นดิน เข้าถึงได้จาก https://www.youtube.com/watch?v=M9-
ingGlpL4
การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้
ดา้ นพุทธิพสิ ัย (K)
สงิ่ ทต่ี ้องการวัด วธิ ีการวดั เครือ่ งมือวดั เกณฑก์ ารประเมนิ
นักเรียนสามารถ การถาม-ตอบ แบบประเมินพฤตกิ รรม นักเรียนสามารถตอบ
อธิบายหลักการใช้คำ คำถามได้มากกว่าร้อย
ราชาศพั ท์ได้ ละ 8๐
ดา้ นทกั ษะพิสยั (P)
สงิ่ ทตี่ ้องการวัด วธิ กี ารวดั เครื่องมอื วดั เกณฑ์การประเมนิ
แบบทดสอบ ผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ80
นกั เรยี นสามารถ การทดสอบ
เลอื กใชค้ ำราชาศพั ท์ได้
ถกู ต้อง
ด้านคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ (A)
สิง่ ทต่ี ้องการวดั วธิ ีการวดั เครอ่ื งมือวดั เกณฑ์การประเมนิ
นักเรยี นเหน็ คุณค่าและ แบบประเมิน แบบประเมิน ผา่ นเกณฑ์ระดบั
คุณลักษณะอันพงึ ๒ ขนึ้ ไป
ใช้ภาษาไทยในการ คณุ ลกั ษณะ ประสงค์
สอ่ื สารได้ถูกต้อง
เหมาะสม
การวดั ผลประเมนิ ผล
๑. วิธีการ
๑.๑ สังเกต
- การซักถาม และการตอบคำถาม
- การรว่ มกจิ กรรม
- กระบวนการทำงานกลมุ่
๑.๒ ตรวจ
- ตรวจแบบฝึกหัด
๒. เครอื่ งมอื วัดและประเมินผล
- แบบทดสอบ
๓. เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผล
- ถอื เกณฑก์ ารผ่านรอ้ ยละ 8๐
บันทกึ หลังสอน
๑. ผลการสอน
- นกั เรียนส่วนใหญ่สามารถบอกท่ีมาและความหมายของคำราชาศพั ท์ได้ถูกต้อง
- นกั เรยี นสว่ นใหญ่อธิบายหลักการใช้คำราชาศพั ทไ์ ด้ถูกต้อง
- นักเรียนสว่ นใหญ่สามารถใช้คำราชาศพั ทไ์ ด้ถกู ต้อง
- นกั เรยี นเห็นคณุ ค่าและใชภ้ าษาไทยในการส่ือสารได้ถูกต้องเหมาะสม
๒. ปญั หาและอุปสรรค
- นักเรยี นสว่ นนอ้ ย มีปัญหาเรอื่ งอุปกรณ์ เช่น ไม่ม/ี สญั ญาณอนิ เตอรเ์ นต็ ไมเ่ สถียร ทำให้ชา้
- นักเรยี นบางคนไมท่ ราบความหมายของคำราชาศัพทย์ าก ทำให้ไม่สามารถใช้คำราชาศัพท์ได้
อย่างถูกต้อง
๓. ขอ้ เสนอแนะ
- ครใู ห้นักเรียนทม่ี ีปัญหาเร่ืองอปุ กรณ์ในการเขา้ ถึงข้อมลู จับคูก่ ับเพื่อนแล้วทำไปพรอ้ มกัน
- ครใู หน้ ักเรยี นศกึ ษาเร่ืองคำราชาศพั ท์จากบทเรียนออนไลน์ (Google Sites) และสบื คน้ ข้อมูล
เพมิ่ เติมจากแหล่งเรยี นรตู้ ่าง ๆ
- ครใู ห้นักเรยี นเล่นเกมคำราชาศัพท์แล้วฝึกทำแบบฝึกทักษะเพ่ือเพิ่มความเขา้ ใจ
ลงชื่อ...................................................
ผสู้ อน
(นางกนกกาญจน์ รอดเพง็ )
ความเห็นของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิชาภาษาไทย
ลงชอื่ ...........................................................
(นางสาวภานชุ ไชยพันธ์)
หวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิชาภาษาไทย
แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรยี น
คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรยี นในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรียน แล้วใส่คะแนนการปฏบิ ัติหรือการ
แสดงพฤตกิ รรมลงในชอ่ งท่ตี รงกับระดบั คะแนน
รายการประเมิน รวม แปล
ลำดับ ชอ่ื -สกลุ ความ ความมี การรบั การ การ คะแนน คุณภาพ
มวี ินยั น้ำใจ ฟงั แสดง ตรง
เอ้อื เฟือ้ ความ ความ ตอ่
เสยี สละ คิดเห็น คดิ เห็น เวลา
1 เด็กชายกองทัพ ศรีออ่ น 2 3 2 2 2 11
2 2 2 2 11
2 เด็กชายกัณตกานต์ สังข์ทอง 3 3 3 3 3 15
3 2 2 2 12
3 เดก็ ชายชลกร เรอื งอินทร์ 3 3 3 3 3 14
2 2 2 2 11
4 เดก็ ชายฌาณวฒั น์ แดงสนิ 3 2 2 2 2 10
3 3 3 3 14
5 เดก็ ชายญาณวฒุ ิ ขมุนจติ ร 2 2 2 2 2 11
3 3 3 3 14
6 เดก็ ชายณชพล ไชยชนะ 3 3 3 3 3 15
3 3 3 3 15
7 เดก็ ชายณัชนพ ชูสุวรรณ์ 2 3 3 3 3 15
3 3 3 3 15
8 เดก็ ชายเทพทตั ธรรมจกั ร์ 2 3 3 3 2 14
3 3 3 3 15
9 เด็กชายธีรเทพ ศรียวง 3 2 2 2 2 11
3 3 3 3 15
10 เด็กชายปรเมษวร์ ชดู ำ 2 3 3 3 3 15
3 3 2 3 14
11 เด็กชายปวณี ์กร นวลยงั 3 3 3 3 3 15
3 3 3 3 15
12 เด็กชายภวู ศิ เพจ็ เซ่ง 3 3 3 3 3 15
3 3 3 2 14
13 เดก็ ชายวชั ร เพชรคง 3 3 3 2 3 14
3 3 2 3 14
14 เดก็ ชายสรวชิ ญ์ พรหมจันทร์ 3 3 3 3 3 15
2 2 2 2 11
15 เดก็ หญงิ กนกวรรณ จนั ทรร์ ัตน์ 3 2 2 2 2 10
3 3 3 3 14
16 เด็กหญิงจารุนนั ท์ หนูจนิ ดา 3 3 3 3 3 15
3 3 3 3 15
17 เดก็ หญงิ จดิ าภา ลีสุวรรณ์ 3 3 2 3 3 14
3 3 3 3 15
18 เดก็ หญงิ ฌานิกา ชืน่ กล่ิน 2
19 เดก็ หญงิ ณัชฐพิธดิ า คงเทพ 3
20 เด็กหญงิ ณฐั ณิชา เสน็ พรา่ ย 3
21 เด็กหญิงณัฐณชิ า อนิ รอด 3
22 เด็กหญงิ ดลยา สวา่ งรัตน์ 3
23 เดก็ หญิงธญั พิชชา เพชรรตั น์ 3
24 เด็กหญิงเธยี รชมพู ชว่ ยอินทร์ 3
25 เดก็ หญิงเบญญาภา เพชรคงเทพ 3
26 เด็กหญิงปนสั ยา สังขห์ นู 3
27 เดก็ หญงิ พจนพ์ ชิ ชา ทรัพย์สิน 3
28 เด็กหญิงพชั รพร เพมิ่ บญุ 3
29 เดก็ หญงิ เพชรกมล ชงิ แกว้ 2
30 เดก็ หญงิ โฟรโ์ มสต์ อภยั พงษ์ 2
31 เดก็ หญิงภคั ธมี า ทองทวี 3
32 เดก็ หญงิ มนทพิ ย์ ยกมาก 3
33 เด็กหญิงยมลพร ยอดแกว้ 3
34 เด็กหญิงวิชญาพร ทองสม 3
ลำดบั ชื่อ-สกลุ รายการประเมิน รวม แปล
คะแนน คณุ ภาพ
35 เด็กหญงิ ศศวิ มิ ล อุ่นเสยี ม ความ ความมี การรับ การ การ
36 เด็กหญิงศิรลิ ักษณ์ อักษรเนยี ม มวี ินยั นำ้ ใจ ฟัง แสดง ตรง
37 เดก็ หญงิ สุณสิ า อนิ ทรป์ ราบ
38 เดก็ หญิงสุธมี นต์ อนิ ทรแ์ ก้ว เอ้ือเฟ้ือ ความ ความ ตอ่
39 เดก็ หญิงสุนิศา แกว้ มุสกิ เสยี สละ คิดเห็น คดิ เหน็ เวลา
40 เดก็ หญิงสพุ พัตรา เรนเรอื ง
33 3 3 2 14
33 3 3 3 15
33 3 3 3 15
33 3 2 3 14
33 3 3 3 15
33 3 3 3 15
ลงช่อื ...................................................ผ้ปู ระเมนิ
(นางกนกกาญจน์ รอดเพ็ง)
ตำแหนง่ ครู คศ.2
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน เกณฑ์การตดั สนิ คุณภาพ
ปฏิบตั หิ รอื แสดงพฤติกรรมอยา่ งสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน
ปฏิบัติหรอื แสดงพฤตกิ รรมบ่อยครัง้ ให้ 2 คะแนน ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
ปฏิบตั หิ รือแสดงพฤติกรรมบางคร้งั ให้ 1 คะแนน 12 - 15 ดี
8 - 11
ต่ำกว่า 8 พอใช้
ปรบั ปรงุ
แบบประเมนิ การทำงาน
รายการประเมนิ พฤตกิ รรมบ่งชี้
5 4 321
1. มีการวางแผนการทำงาน
2. มคี วามพรอ้ มในการนำเสนอ
3. ความถูกตอ้ ง
4. มีความคดิ สร้างสรรค์
รวม
เกณฑ์การตดั สินคุณภาพ
ช่วงคะแนน ระดบั คณุ ภาพ
15 – 20 ดมี าก
10 – 14 ดี
5–9
0–4 พอใช้
ปรับปรงุ
ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน
(นางกนกกาญจน์ รอดเพ็ง)
ตำแหน่ง ครู คศ.2
บทเรียนออนไลน์ Google sites เรื่อง คำราชาศพั ท์
แบบทดสอบกอ่ น - หลงั เรียน/แบบฝึกทกั ษะ/แบบประเมนิ ความพงึ พอใจ
ผลการวิจัยค่าทดสอบT โปรแกรม excel
นกั เรียน คะแนน คะแนน คะแนน D2
ผลตา่ ง 9.00
คนที่ ก่อนเรียน หลงั เรียน 9.00
10.00 13.00 D 9.00
1 10.00 13.00 3.00 16.00
2 11.00 14.00 3.00 4.00
3 12.00 16.00 3.00 9.00
4 11.00 13.00 4.00 25.00
5 10.00 13.00 2.00 49.00
6 11.00 16.00 3.00 9.00
7 11.00 18.00 5.00 9.00
8 11.00 14.00 7.00 16.00
9 11.00 14.00 3.00 25.00
10 10.00 14.00 3.00 25.00
11 13.00 18.00 4.00 16.00
12 11.00 16.00 5.00 36.00
13 11.00 15.00 5.00 49.00
14 12.00 18.00 4.00 9.00
15 13.00 20.00 6.00 16.00
16 10.00 13.00 7.00 36.00
17 11.00 15.00 3.00 36.00
18 12.00 18.00 4.00 16.00
19 12.00 18.00 6.00 16.00
20 11.00 15.00 6.00 25.00
21 11.00 15.00 4.00 16.00
22 8.00 13.00 4.00 81.00
23 10.00 14.00 5.00 16.00
24 11.00 20.00 4.00
25 8.00 12.00 9.00
26 4.00
27 10.00 15.00 5.00 25.00
28 12.00 16.00 4.00 16.00
29 10.00 15.00 5.00 25.00
30 10.00 15.00 5.00 25.00
31 12.00 15.00 3.00 9.00
32 11.00 20.00 9.00 81.00
33 11.00 18.00 7.00 49.00
34 11.00 15.00 4.00 16.00
35 11.00 15.00 4.00 16.00
36 8.00 13.00 5.00 25.00
37 8.00 13.00 5.00 25.00
38 9.00 15.00 6.00 36.00
39 10.00 15.00 5.00 25.00
40 8.00 13.00 5.00 25.00
ผลการวเิ คราะห์ข้อมลู กล่มุ ตัวอยา่ ง 2 กลมุ่ ท่ีมีความสัมพันธ์กัน โดยมีสมมต
H0 : คะแนนเฉลย่ี หลงั เรยี น ไมแ่ ตกต่างจาก
H1 : คะแนนเฉล่ยี หลงั เรียน สงู กว่าคะแนน
N Mean Std
Pair ก่อนเรยี น 38 10.55
1 หลงั เรียน 38 15.44
การแปลผล
ก่อน
1. Mean หมายถงึ คะแนนเฉล่ียการทดสอบ เรยี น เทา่ ก
เท่าก
หลงั
คะแนนเฉลยี่ การทดสอบ เรยี น
2. N หมายถึง จำนวนผูเ้ รียน 2 กลมุ่ มีจำนวนกลุ่มละ 38
3. Std. Deviation หมายถึง ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานคะแนนทดสอบ
ค่าเบีย่ งเบนมาตรฐานคะแนน
4. Std. Error Mean หมายถึง คา่ คลาดเคลื่อนมาตรฐานของคะแนนท
ค่าคลาดเคล่ือนมาตรฐานของคะ
ติฐาน ดังนี้ กอ่ นเรียน
กคะแนนเฉลี่ย ก่อนเรยี น
นเฉลีย่
d. Deviation Std. Error Mean
0.209
1.319 0.396
2.242
กบั 10.55 คะแนน
กับ 15.44 คะแนน เทา่ กับ 1.319 คะแนน
8 คน เท่ากบั 2.242 คะแนน
ก่อนเรยี น เทา่ กับ 0.209 คะแนน
นทดสอบ หลังเรียน เทา่ กบั 0.396 คะแนน
ทดสอบ กอ่ นเรียน
ะแนนทดสอบ หลงั เรยี น
Paired Samples Statistic
N C
กอ่ น
Pair 1 เรียน กบั หลงั เรยี น 38
การแปลผล
การหาคา่ สมั ประสิทธิส์ หสัมพันธ์ของคะแนนทดสอบ
และใชใ้ นการทดสอบความสัมพันธข์ องตวั แปร ก่อนเรียน
H0 : คะแนนทดสอบของผู้เรียน #NUM! ก่อนเรยี น กบั หลงั เ
H1 : คะแนนทดสอบของผูเ้ รยี น ก่อนเรียน กบั หลงั เ
โดยท่ี –1 ≤ correlation (r) ≤ 1
จากผลการวเิ คราะห์ค่า Sig. = (p-value #NUM! #NU
และมที ิศทางความสัมพันธ์ อยใู่ นทิศทางเดียวกนั เนื่อง
cs Sig.
Correlation #NUM!
0.684
ก่อนเรียน และ หลงั เรียน
กับ หลงั เรียน
เรียน ไมม่ ีความสัมพันธ์กัน
เรยี น มีความสมั พนั ธก์ ัน
UM! มคี ่าเปน็
งจากค่า correlation (r) = 0.684 บวก
Paired Difference
C
Std. Std. Int
Error D
Pair 1 Mean Deviation Mean Low
ก่อนเรียน
หลงั
กบั เรียน 4.59 1.682 0.297 3.7
t-table= 2.744
การแปลผล
1. Pair 1 หมายถึง การหาค่าแตกตา่ งระหวา่ งคะแนน หลงั
2. Mean หมายถึง ค่าเฉลี่ยค่าความแตกต่างของคะแนน เรียน
3. Std. Deviation หมายถงึ คา่ เบี่ยงเบนมาตรฐานของคา่ แตกตา่ ง (Sd)
4. Std. Error Mean หมายถงึ ค่าคลาดเคล่ือนมาตรฐานของค่าเฉลย่ี ของ
< μd
เท่ากบั 3.778 < 5.410
6. คา่ t หมายถงึ คา่ สถิติทดสอบของการทดสอบ H0 : μd = 0 ในท่นี ้ี t =
7. Sig. (2-tailed) หมายถึง คา่ Significance ของการทดสอบ t =
99% t df Sig.
15.448 31 (2-tailed)
Confidence
terval of the 0.000
Difference
wer Upper
778 5.410
หลงั เรยี น ลบ ก่อนเรยี น
เท่ากับ 4.59
น และ ก่อนเรยี น
= 1.682 0.297
งค่าแตกต่าง (SEd) =
= 15.448 t-table= 2.744
ซ่ึงน้อยกว่า α =
0.000 0.01
สรุปผลการวิเคราะห์
ตารางท่ี 1 ค่าเฉลย่ี สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ค่าสถิติทดสอบที และระ
ในการทดสอบเปรียบเทยี บคะแนน ก่อนเรยี
S.D
Mean S.D. คา่ เฉลีย่ ของผลต่าง ค่าเฉ
ผลต
กอ่ นเรียน 10.55 1.319 4.59 1.68
หลังเรยี น 15.44 2.242
จากตารางที่ 1 พบวา่ การทดสอบคะแนนของผูเ้ รียน มคี ะแนน
หลัง
คะแนน และมีคะแนน เรยี น เฉลี่ย เทา่ กับ 15.4
ทงั้ สองครง้ั พบวา่ คะแนนสอบ หลงั เรยี น สงู กว