การพัฒนานวัตกรรมการศึกษา ผู้จัดทำ นางสาวรัตติกาล ยมนา ตำ แหน่ง ครูชำ นาญการ ปีการศึกษา 2566 scan หน้าเว็บ สื่อออนไลน์ กกาารรจัจั จั ดจั ดกกาารรเเรีรี รียรียนนรู้รู้รู้ แ รู้ แบบบบเเชิชิ ชิงชิงรุรุรุ ก รุ ก โโดดยยใใช้ช้ ช้ สื่ ช้ สื่ สื่ อสื่ อปปรระะสสมม แแลละะสื่สื่ สื่ อสื่ อออออนนไไลลน์น์ น์ เเพื่พื่ พื่ อพื่ อพัพั พั ฒพั ฒนนาาผผลลสัสั สั มสั มฤฤททธิ์ธิ์ ธิ์ ทธิ์ ทาางงกกาารรเเรีรี รียรียนน เเรื่รื่ รื่ อรื่ องง กกาารรคูคูคู ณ คู ณ สำสำ สำ สำ หหรัรั รั บรั บนันั นั กนั กเเรีรี รียรียนนชั้ชั้ ชั้ นชั้ นปปรระะถถมมศึศึ ศึกศึกษษาาปีปีปี ที่ปี ที่ ที่ที่44 (Active Learning) (Multimedia) กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนบ้านแม่ดอกแดง อำ เภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ สำ นักนังานเขตพื้นพื้ที่การศึกษาประถมศึกษาเชียชีงใหม่ เขต 1
คำนำ คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความคิดของมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีความคิด สร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่าง ถี่ถ้วน รอบคอบ ช่วยให้คิดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหาและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสม นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และศาสตร์อื่น ๆ คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ 2551:1) ซึ่งสอดคล้องกับที่วรรณี โสมประยูร (2541:คำนำ) กล่าวไว้ว่าคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อทุกคน ตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน และจำเป็นมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคตเพราะคณิตศาสตร์นอกจากจะเป็นเครื่องมือ สำหรับการดำรงชีวิตประจำวันแล้ว ยังเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ทั่วไปของวิทยาการแขนงต่าง ๆ และ ในยุคศตวรรษที่ 21 เป็นยุคของสังคมแห่งข้อมูลข่าวสารและความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ส่งผล ให้ประเทศต่าง ๆ มีความพยายามในการแข่งขันกันเพื่อการพัฒนา สร้างสรรค์และคิดค้นความรู้ใหม่ ๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เจริญก้าวไกล คณิตศาสตร์จึงกลายเป็นศาสตร์หนึ่งที่มี ความสำคัญและมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดของมนุษย์ (สถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2555:1) ปัญหาจากการเรียนการสอนในวิชาคณิตศาสตร์ในปัจจุบันพบว่ามีนักเรียนในระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ยังขาดทักษะคณิตศาสตร์ในการหาผลคูณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหาผลคูณจำนวน ที่มีหนึ่งหลักกับจำนวนที่มีมากกว่าสี่หลัก การคูณจำนวนที่มีสองหลักกับจำนวนที่มีสามหลัก การคูณ จำนวนที่มีสองหลักกับจำนวนที่มีสี่หลัก การคูณจำนวนที่มีสามหลักกับจำนวนที่มีสามหลัก และการ หาผลคูณของจำนวนที่มีสามหลักกับจำนวนที่มีสี่หลัก เป็นต้น จากสภาพปัญหาดังกล่าว ผู้จัดทำนวัตกรรมจึงได้จัดทำนวัตกรรมเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ รายวิชาคณิตศาสตร์ ในการหาผลคูณของนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยนำกระบวนการ จัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) มาปรับใช้ในการเรียนการสอน และนำสื่อประสม (Multimedia) รวมถึงสื่อออนไลน์มาใช้ เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ดึงดูดความสนใจ ทำให้ นักเรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ที่ดี ส่งผลให้นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ต่อไป รัตติกาล ยมนา ผู้จัดทำ ก
สารบัญ หน้า คำนำ ก สารบัญ ข ความเป็นมาและความสำคัญของการพัฒนานวัตกรรม 1 วัตถุประสงค์ของการพัฒนานวัตกรรม 2 ขอบเขตการศึกษา (เนื้อหา/กลุ่มเป้าหมาย/ระยะเวลา) 2 นิยามศัพท์เฉพาะ 4 กรอบแนวคิดในการพัฒนานวัตกรรม 6 ขั้นตอนหรือวิธีการสร้าง/พัฒนานวัตกรรม 7 การหาคุณภาพของนวัตกรรม 10 การนำนวัตกรรมไปใช้ในการพัฒนา/แก้ปัญหา 11 ผลการใช้นวัตกรรม 13 สรุปผลการใช้นวัตกรรม 15 อภิปรายผล 15 ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม 15 ผลกระทบ (Outcome) ของการนำนวัตกรรมไปใช้ 16 การเผยแพร่นวัตกรรม 16 เอกสารอ้างอิง 17 บรรณานุกรม 28 ภาคผนวก - แผนจัดการเรียนรู้ 30 - คู่มือการติดตั้งและใช้งานแอปพลิเคชันไอคิวตารางสอน (Multiplication Table IQ) 37 - คู่มือการใช้งานสื่อเว็บไซต์ออนไลน์ “คูณคณิตคิดสนุก” 40 - ภาพการนำนวัตกรรมไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน 42 - แบบฝึกทักษะการคูณ 45 - แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 46 ข
1 ชื่อนวัตกรรม การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) โดยใช้สื่อประสม (Multimedia) และ สื่อออนไลน์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ชื่อผู้จัดทำ นางสาวรัตติกาล ยมนา ตำแหน่ง ครูชำนาญการ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โรงเรียนบ้านแม่ดอกแดง อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ความเป็นมาและความสำคัญของการพัฒนานวัตกรรม คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความคิดของมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีความคิด สร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่าง ถี่ถ้วน รอบคอบ ช่วยให้คิดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหาและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่าง ถูกต้องเหมาะสม นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และศาสตร์อื่น ๆ คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ 2551:1) ซึ่งสอดคล้องกับที่วรรณี โสมประยูร (2541:คำนำ) กล่าวไว้ว่าคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อทุกคน ตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน และจำเป็นมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคตเพราะคณิตศาสตร์นอกจากจะเป็นเครื่องมือ สำหรับการดำรงชีวิตประจำวันแล้ว ยังเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ทั่วไปของวิทยาการแขนงต่าง ๆ และ ในยุคศตวรรษที่ 21 เป็นยุคของสังคมแห่งข้อมูลข่าวสารและความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ส่งผล ให้ประเทศต่าง ๆ มีความพยายามในการแข่งขันกันเพื่อการพัฒนา สร้างสรรค์และคิดค้นความรู้ใหม่ ๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เจริญก้าวไกล คณิตศาสตร์จึงกลายเป็นศาสตร์หนึ่งที่มี ความสำคัญและมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดของมนุษย์ (สถาบันส่งเสริมการสอน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2555:1) ปัญหาจากการเรียนการสอนในวิชาคณิตศาสตร์ในปัจจุบันพบว่ามีนักเรียนในระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 ยังขาดทักษะคณิตศาสตร์ในการหาผลคูณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการหาผลคูณจำนวน ที่มีหนึ่งหลักกับจำนวนที่มีมากกว่าสี่หลัก การคูณจำนวนที่มีสองหลักกับจำนวนที่มีสามหลัก การคูณ จำนวนที่มีสองหลักกับจำนวนที่มีสี่หลัก การคูณจำนวนที่มีสามหลักกับจำนวนที่มีสามหลัก และการ หาผลคูณของจำนวนที่มีสามหลักกับจำนวนที่มีสี่หลัก เป็นต้น จากสภาพปัญหาดังกล่าว ผู้จัดทำ นวัตกรรมจึงได้จัดทำนวัตกรรมเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์รายวิชาคณิตศาสตร์ ในการหาผลคูณของ นักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยนำกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) มาปรับใช้ในการเรียนการสอน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม การเรียนการสอน เป็นการส่งเสริมให้นักเรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ ระหว่างครูและนักเรียน ซึ่งกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) จะมี
2 ความยืดหยุ่นสูงสามารถปรับวิธีการใช้กิจกรรมและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ซึ่งทำได้มากกว่าการ สอนแบบบรรยาย รวมถึงการนำสื่อประสม (Multimedia) และสื่อออนไลน์มาใช้เพื่อช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพในการพัฒนาทักษะการคูณ ให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ดึงดูดความสนใจ สามารถต่อยอด และพัฒนาความรู้ความสามารถด้านการคูณต่อไป ซึ่งสื่อประสม (Multimedia) และสื่อออนไลน์ เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ผสมผสาน นำเสนอข้อมูลเพื่อให้เกิดการรับรู้ที่หลายหลาย ไม่ว่าจะเป็นการ มองเห็น การได้ยินเสียง รวมไปถึงความสามารถในการโต้ตอบกับสื่อที่สามารถสร้างแรงจูงใจและ กระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ สามารถเข้าใจเนื้อหาเป็นอย่างดี เพราะมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน ทำให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ทันที นอกจากนี้การใช้สื่อมัลติมีเดียและสื่อออนไลน์ยังช่วยประหยัดกำลังคน เวลา และงบประมาณ โดยลดความจำเป็นในการใช้ผู้สอนหรือเครื่องมือที่ราคาแพง เมื่อนำไปใช้ จัดการเรียนการสอนจะทำให้สามารถเข้าถึงผู้เรียนได้ในวงกว้างมากขึ้น (ณัฐกร:2553) จากเหตุผลและความสำคัญดังกล่าว ครูผู้สอนจึงได้จัดทำนวัตกรรมการนำกระบวนการ จัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) โดยใช้สื่อประสม (Multimedia) และสื่อออนไลน์เพื่อ พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 และทำให้ นักเรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ที่ดี ส่งผลให้นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ต่อไป วัตถุประสงค์ของการพัฒนานวัตกรรม 1. เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2. เพื่อนำกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) โดยการใช้สื่อ ประสม (Multimedia) และสื่อออนไลน์มาปรับใช้ในการเรียนการสอนเรื่องการพัฒนาทักษะ การคูณให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ขอบเขตการศึกษา (เนื้อหา/กลุ่มเป้าหมาย/ระยะเวลา) 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้าน แม่ดอกแดง จำนวน 26 คน 2. ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) โดยใช้สื่อประสม (Multimedia) และสื่อออนไลน์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4
3 ตัวแปรตาม ได้แก่ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน บ้านแม่ดอกแดง 3. ระยะเวลาในการศึกษา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 (พฤษภาคม 2566 – ตุลาคม 2566) 4. ด้านเนื้อหา การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มี การนำกระบวนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) โดยการใช้สื่อประสม (Multimedia) และสื่อ ออนไลน์ มาปรับใช้ในการเรียนการสอนเรื่องการพัฒนาทักษะการคูณให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผู้จัดทำนวัตกรรมได้จัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) ซึ่งประกอบไปด้วย องค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้ - แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน - แบบฝึกทักษะการหาผลคูณของจำนวนต่าง ๆ ได้แก่ 1. การคูณจำนวนที่มีหนึ่งหลักกับจำนวนที่มีมากกว่าสี่หลัก 2. การคูณจำนวนที่มีสองหลักกับจำนวนที่มีสามหลัก 3. การคูณจำนวนที่มีสองหลักกับจำนวนที่มีสี่หลัก 4. การคูณจำนวนที่มีสามหลักกับจำนวนที่มีสามหลัก 5. การคูณของจำนวนที่มีสามหลักกับจำนวนที่มีสี่หลัก - แผนการสอน เรื่อง การคูณจำนวนที่มีหนึ่งหลักคูณกับจำนวนที่มากกว่าสี่หลัก จำนวน 1 ชั่วโมง เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านแม่ดอกแดงให้สูงขึ้น ในกระบวนการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) มีหลักการสำคัญ คือ การลด บทบาทการถ่ายทอดความรู้ของครูลง เพื่อเพิ่มบทบาทให้กับนักเรียนในการแสวงหาความรู้ได้ด้วย ตนเอง โดยครูนั้นจะต้องสามารถส่งเสริมหรือกระตุ้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียนมีปฏิสัมพันธ์ ระหว่างครูกับนักเรียน และระหว่างนักเรียนด้วยกันเอง ครูต้องมีเทคนิคหรือกิจกรรมต่าง ๆ ที่ หลากหลาย โดยเป้าหมายสำคัญของการจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) นี้เพื่อให้ นักเรียนเกิดทักษะการเรียนรู้ที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ที่จะต้องเป็นผู้มีความรู้ มีคุณธรรม จริยธรรม มีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง สามารถประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อการดำรงชีวิตในสังคม
4 ได้อย่างมีความสุขทั้งทางร่างกายและจิตใจ การเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) เป็นการเรียนรู้ ที่พัฒนาทักษะความคิดระดับสูงอย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้นักเรียนวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมิน ข้อมูลในสถานการณ์ใหม่ได้ดี จะช่วยให้นักเรียนเกิดแรงจูงใจ การเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) ประกอบด้วยลักษณะสำคัญต่อไปนี้ 1. เป็นการเรียนรู้ที่มุ่งลดการถ่ายทอดความรู้จากครูสู่นักเรียนให้น้อยลงและพัฒนาทักษะให้ เกิดกับนักเรียน 2. นักเรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียนโดยลงมือกระทำมากกว่านั่งฟังเพียงอย่างเดียว 3. นักเรียนมีส่วนในกิจกรรม เช่น อ่านอภิปรายและเขียน 4. เน้นการสำรวจเจตคติและคุณค่าที่มีอยู่ในนักเรียน 5. นักเรียนได้พัฒนาการคิดระดับสูงในการวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินผลการนำไปใช้ 6. ทั้งนักเรียนและครูรับข้อมูลป้อนกลับจากการสะท้อนความคิดได้อย่างรวดเร็ว นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การสอนคณิตศาสตร์แบบเชิงรุก (Active Learning) หมายถึง การจัดกิจกรรมการ เรียนการสอนโดยมุ่งเน้นให้ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง มีการสร้างบรรยากาศส่งเสริม ให้ผู้เรียนมีอิสระในการคิดอย่างสร้างสรรค์ ให้ผู้เรียนได้มีความตื่นตัวในกิจกรรมด้านการรู้คิด และด้านพฤติกรรมอย่างสมดุล 2. สื่อประสมหรือสื่อมัลติมีเดีย (Multimedia) และสื่อออนไลน์ เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ ผสมผสาน นำเสนอข้อมูลเพื่อให้เกิดการรับรู้ที่หลายหลาย ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยินเสียง รวมไปถึงความสามารถในการโต้ตอบกับสื่อที่สามารถสร้างแรงจูงใจและกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ สามารถเข้าใจเนื้อหาเป็นอย่างดี เพราะมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ทันที 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึงความสามารถ ความสำเร็จและ สมรรถภาพด้านต่างๆของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจากการเรียนการสอน การฝึกฝน หรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วยวิธีการต่างๆ (สมพร เชื้อพันธ์: 2547, หน้า 53)
5 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. แบบทดสอบก่อน-หลังเรียน เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2. แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ 3. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้เรียนรู้ผ่านการจัดการ เรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) โดยใช้สื่อประสม (Multimedia) และสื่อออนไลน์เรื่อง การ คูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 4. แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน บ้านแม่ดอกแดง จำนวน 1 แผน การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าเฉลี่ยของแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เรื่องการคูณ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ค่าร้อยละ ( Percentage ) 2. ค่าเฉลี่ย ( X ) 3. ค่า ส่วน เบี่ยงแบนมาตรฐาน ( S. D.)
6 กรอบแนวคิดในการพัฒนานวัตกรรม การศึกษาสภาพปัญหาในการจัดทำนวัตกรรม กำหนดเป้าหมายในการจัดการเรียนรู้/จัดทำ แผนการจัดการเรียนรู้ตามเป้าหมาย วิเคราะห์ผู้เรียนและวิเคราะห์หลักสูตร/ ดำเนินการศึกษาค้นคว้าข้อมูล กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้/สื่อ/แบบฝึก/ใบงาน และสร้างสื่อออนไลน์ ปรับปรุง แก้ไข ตรวจสอบการจัดทำนวัตกรรม ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแบบ กระบวนการสอนแบบ Active Learning โดยการใช้ สื่อประสม (Multimedia) และสื่อออนไลน์ ประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วัดผล และวิเคราะห์ผู้เรียน จัดทำรายงานการพัฒนานวัตกรรม
7 ในการพัฒนานวัตกรรมผู้จัดทำได้มีการศึกษาถึงสภาพปัญหา วิเคราะห์ผู้เรียน วิเคราะห์ หลักสูตร ดำเนินการศึกษาค้นคว้าข้อมูล เอกสารอ้างอิงและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง กำหนดเป้าหมายใน การจัดทำนวัตกรรม กำหนดวัตถุประสงค์และประโยชน์ที่จะได้รับจากการจัดการเรียนรู้ตามแผน วิเคราะห์และจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้สื่อการสอน แบบทดสอบก่อน เรียน-หลังเรียน แบบฝึกทักษะ/ใบงานที่จะนำไปใช้ในกระบวนการจัดการเรียนการสอน จัดทำสื่อการ สอนแบบออนไลน์ หลังจากนั้นได้มีการดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแบบกระบวนการสอน แบบเชิงรุก (Active Learning) กับนักเรียน โดยนำสื่อประสม (Multimedia) และสื่อออนไลน์ มา ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเรียนการสอน เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ และมีการ วัดผลและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังจากมีการใช้นวัตกรรมได้มีการปรับปรุง แก้ไข ตรวจสอบการจัดทำนวัตกรรมและจัดทำรายงานการทำนวัตกรรมให้สอดคล้องกับเป้าหมาย ขั้นตอนหรือวิธีการสร้าง/พัฒนานวัตกรรม 1. ศึกษาถึงสภาพปัญหา วิเคราะห์ผู้เรียน วิเคราะห์หลักสูตร ดำเนินการศึกษาค้นคว้าข้อมูล เอกสารอ้างอิงและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 2. กำหนดวัตถุประสงค์กลุ่มเป้าหมายและประโยชน์ที่จะได้รับในการจัดทำนวัตกรรม 3. วิเคราะห์และจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ ด้วยกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบ เชิงรุก (Active Learning) กำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการสอน แบบทดสอบ/ใบงาน ที่สอดคล้อง กับเป้าหมาย 4. ดำเนินการจัดทำสื่อการเรียนรู้แบบออนไลน์ โดยสร้างผ่าน Google Site ประกอบด้วย เนื้อหาดังต่อไปนี้ - วีดิโอศึกษาบทเรียนการคูณ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - เกมการคูณ - แบบทดสอบ/ใบงานการคูณ - หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) และสื่ออื่น ๆ https://sites.google.com/view/e-port-kru-rattikarn/classroom/math
8 จัดทำสื่อการเรียนรู้แบบออนไลน์ โดยสร้างผ่าน Google Site และบทเรียนการคูณจาก youtube จัดทำสื่อเกมการคูณ โดยสร้างผ่าน Wordwall
9 จัดทำแบบทดสอบ โดยสร้างผ่าน liveworksheets จัดทำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) โดยสร้างผ่าน anyflip.com
10 5. ศึกษา ค้นคว้าหาแอปพลิเคชันการคูณที่เหมาะสมกับการพัฒนาทักษะการคูณ โดยได้ นำแอปพลิเคชัน ไอคิวตารางสอน (Multiplication Table IQ) มาเป็นสื่อประสม (Multimedia) ที่ จะช่วยฝึกพัฒนาทักษะการคูณให้กับนักเรียน และเป็นการกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการ จัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) 6. วัดผลและประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทั้งก่อนและหลังจากการใช้นวัตกรรม 7. ปรับปรุง แก้ไข ตรวจสอบการจัดทำนวัตกรรมและจัดทำรายงานการทำนวัตกรรม การหาคุณภาพของนวัตกรรม 1. วิเคราะห์ปัญหาจากประสบการณ์ของผู้ศึกษาในรายวิชาคณิตศาสตร์ ที่ผ่านมานั้นพบว่า ผู้เรียนยังไม่มีทักษะการคูณ ไม่สามารถหาผลคูณได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการคูณไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ 2. วิเคราะห์ผู้เรียน ศึกษาและสังเกตด้านความรู้ความสามารถและประสบการณ์เดิมของ ผู้เรียน พบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีความรู้พื้นฐานในการท่องสูตรคูณ แต่ยังไม่คล่อง และ ไม่สามารถนำมาปรับใช้ในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ 3. ศึกษาวิธีการจัดการเรียนการสอน โดยนำกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) โดยนำสื่อประสม (Multimedia) และสื่อออนไลน์ มาปรับใช้ในการเรียนการสอน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการส่งเสริมให้ นักเรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
11 4. นำแบบทดสอบก่อน หลังเรียน แบบฝึกทักษะการคูณ และแบบสอบถามความพึงพอใจที่ สร้างขึ้น เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ลงความเห็นและให้คะแนน นำไปหาความ เที่ยงตรงเชิงเนื้อหา โดยให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณาความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาและข้อคำถาม (IOC) โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ + 1 เมื่อแน่ใจว่า ข้อคำถามแบบสอบถามมีความสอดคล้อง 0 เมื่อไม่แน่ใจว่า ข้อคำถามแบบสอบถามมีความสอดคล้อง - 1 เมื่อแน่ใจว่า ข้อคำถามแบบสอบถามมีความสอดคล้อง จากนั้นนำคะแนนที่ได้จากแบบประเมินของผู้เชี่ยวชาญ มาหาดัชนีความสอดคล้องระหว่าง ข้อคำถามกับลักษณะเฉพาะกลุ่มพฤติกรรม ข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50-1.00 เป็นข้อคำถามที่ อยู่ในเกณฑ์ความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาปรากฎว่าได้ค่า IOC เท่ากับ 1.00 การนำนวัตกรรมไปใช้ในการพัฒนา/แก้ปัญหา นวัตกรรมเพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์รายวิชาคณิตศาสตร์ ในการหาผลคูณของนักเรียนในระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โดยนำกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) มาปรับ ใช้ในการเรียนการสอน เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เป็นการส่งเสริมให้นักเรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูและ นักเรียน ซึ่งกระบวนการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) จะมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับวิธีการใช้กิจกรรมและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ซึ่งทำได้มากกว่าการสอนแบบบรรยาย รวมถึงการนำสื่อประสม (Multimedia) และสื่อออนไลน์มาใช้ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการ พัฒนาทักษะการคูณให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ดึงดูดความสนใจ สามารถต่อยอดและพัฒนาความรู้ ความสามารถด้านการคูณต่อไป ผู้จัดทำนวัตกรรมได้จัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) ซึ่งประกอบไปด้วย องค์ประกอบต่าง ๆ ดังนี้ - แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน - แบบฝึกทักษะการหาผลคูณของจำนวนต่าง ๆ ได้แก่ 1. การคูณจำนวนที่มีหนึ่งหลักกับจำนวนที่มีมากกว่าสี่หลัก 2. การคูณจำนวนที่มีสองหลักกับจำนวนที่มีสามหลัก 3. การคูณจำนวนที่มีสองหลักกับจำนวนที่มีสี่หลัก 4. การคูณจำนวนที่มีสามหลักกับจำนวนที่มีสามหลัก 5. การคูณของจำนวนที่มีสามหลักกับจำนวนที่มีสี่หลัก
12 - แผนการสอน เรื่อง การคูณจำนวนที่มีหนึ่งหลักคูณกับจำนวนที่มากกว่าสี่หลัก จำนวน 2 ชั่วโมง - เครื่องมือวัดผลและรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วยเครื่องมือดังนี้ 1. แบบบันทึกผลการทำแบบฝึกทักษะแต่ละชุด 2. แบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 3. แบบสำรวจความพึงพอใจ การจัดการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) โดยใช้สื่อประสม (Multimedia) และสื่อ ออนไลน์เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ผู้จัดทำนวัตกรรมได้มีการจัดทำแผนจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับกระบวนการเรียนการสอน มีการใช้ สื่อการสอนทั้งแบบสื่อประสม(Multimedia) และสื่อออนไลน์มาปรับใช้ในกระบวนการเรียนการสอน โดยมีแผนภาพการนำนวัตกรรมไปใช้ ดังต่อไปนี้ ครูทบทวนความรู้เดิม ในเรื่องการคูณ และทำกิจกรรมนำเข้าสู่บทเรียนผ่านเพลง สูตรคูณเพลินเพลง.. นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง การคูณ ครูอธิบาย/แสดงวิธีการหาผลคูณจำนวนหนึ่งหลักกับจำนวนมากกว่าสี่หลัก โดยนำจำนวนหนึ่งหลักคูณกับจำนวนในหลักหน่วย หลักสิบ หลักร้อย ... ตามลำดับ ถ้าผลคูณในหลักใด ครบสิบ หรือมากกว่าสิบ ให้ทดจำนวนที่ครบสิบไปรวมกับผลคูณ ในหลักถัดไปทางซ้าย ครูให้นักเรียนทำใบงานที่ 1 การคูณจำนวนหนึ่งหลักกับจำนวนมากกว่าสี่หลัก และ ร่วมกันสรุป/ตรวจใบงาน ครูให้นักเรียนหาคำตอบการคูณจากโจทย์ที่กำหนดผ่านบัตรตัวเลขการคูณและให้ นักเรียนช่วยกันหาผลคูณที่ถูกต้อง โดยใช้กระบวนการเชิงรุก (Active Learning)
13 ผลการใช้นวัตกรรม ผลจากการใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) และนำสื่อประสม (Multimedia) และสื่อออนไลน์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้จัดทำได้สร้างขึ้น เน้น กระบวนการส่งเสริมให้นักเรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ด้วยกระบวนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) โดยนำสื่อประสม (Multimedia) และสื่อออนไลน์มาประยุกต์ใช้ในการเรียนการ สอนเพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนและทำให้นักเรียนมี ทักษะการคิดวิเคราะห์ที่ดี จากนั้นนำแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน เรื่อง การคูณ มาเก็บรวบรวม ข้อมูลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เปรียบเทียบผลการพัฒนาตนเองในทักษะด้านการคูณ ผล ปรากฏว่านักเรียนมีค่าเฉลี่ย X เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.38 แสดงให้เห็นว่ากระบวนการจัดการการสอน แบบเชิงรุก (Active Learning) มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับวิธีการใช้กิจกรรมและแหล่งเรียนรู้ที่ หลากหลาย ซึ่งทำได้มากกว่าการสอนแบบบรรยาย รวมถึงการนำสื่อประสม (Multimedia) และสื่อ ออนไลน์มาใช้ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์เรื่องการคูณให้นักเรียนเกิดการ เรียนรู้ได้มากขึ้น สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองและทบทวนการคูณนอกจากชั่วโมงเรียนได้ สามารถต่อ ยอดและพัฒนาความรู้ความสามารถด้านการคูณต่อไป ครูให้นักเรียนใช้สื่อประสม (Multimedia) ผ่านแอปพลิเคชัน ไอคิวตารางสอน (Multiplication Table IQ) และสื่อออนไลน์ Google Site ที่ครูสร้างขึ้น เพื่อให้ เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองและสามารถทบทวนการคูณนอกจากชั่วโมงเรียนได้ นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน เรื่อง การคูณ ครูและนักเรียนร่วมกันสรุป
14 ตารางแสดงการหาค่า Average T score คะแนนก่อนเรียน - หลังเรียน แบบฝึกทักษะ เรื่องการคูณ รายวิชา คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านแม่ดอกแดง ปีการศึกษา 2566 ที่ ชื่อ - สกุล pre post Zpre Zpost Tpre Tpost (10 คะแนน) (10 คะแนน) 1 ด.ช.กันตวิชญ์ ตื้อวัน 4 4 -1.67 -1.67 33.28 33.28 2 ด.ช.กิตติภพ แสนอุ่นเรือน 5 6 -1.08 -0.49 39.19 45.11 3 ด.ช.วีรภาพ ถิ่นมะไฟ 7 8 0.10 0.69 51.02 56.94 4 ด.ช.แสงหาน ลุงโป่ง 6 7 -0.49 0.10 45.11 51.02 5 ด.ช.วีระยุทธ พวงปัญญา 5 7 -1.08 0.10 39.19 51.02 6 ด.ช.ณัฐพงค์ บุญคง 9 10 1.29 1.88 62.85 68.77 7 ด.ช.วสุพล พรมคำติ๊บ 5 6 -1.08 -0.49 39.19 45.11 8 ด.ช.ทินกร ณ คีรี 5 7 -1.08 0.10 39.19 51.02 9 ด.ช.กิติพล นายจู 7 8 0.10 0.69 51.02 56.94 10 ด.ช.ศุภกร ยือลึ 8 9 0.69 1.29 56.94 62.85 11 ด.ช.ธวัชชัย ไทยใจอุ่น 7 9 0.10 1.29 51.02 62.85 12 ด.ช.สุรชัย แสงวิโรจน์ 5 7 -1.08 0.10 39.19 51.02 13 ด.ช.สายชล จะวา 4 5 -1.67 -1.08 33.28 39.19 14 ด.ช.สมชาย ปอไว 4 6 -1.67 -0.49 33.28 45.11 15 ด.ช.จิรายุ ชัชวาลพิมล 4 6 -1.67 -0.49 33.28 45.11 16 ด.ช.วีรชัย เลาะเอ๋อ 7 9 0.10 1.29 51.02 62.85 17 ด.ญ.กัญญาพัชร วจนะสิริโรจน์ 8 9 0.69 1.29 56.94 62.85 18 ด.ญ.อรทัย เตชะแก้ว 5 7 -1.08 0.10 39.19 51.02 19 ด.ญ.พิมพ์ชญา คงธนรพีมงคล 8 9 0.69 1.29 56.94 62.85 20 ด.ญ.นาดี ยาคา 7 9 0.10 1.29 51.02 62.85 21 ด.ญ.นาภู ยาคา 7 8 0.10 0.69 51.02 56.94 22 ด.ญ.จินดาพรรณ สุระวงค์ 6 9 -0.49 1.29 45.11 62.85 23 ด.ญ.นัฏกร จะโจ 7 9 0.10 1.29 51.02 62.85 24 ด.ญ.พิชชาภา จะแส 6 7 -0.49 0.10 45.11 51.02 25 ด.ญ.ธัญพิชชา แซ่พากู่ 8 8 0.69 0.69 56.94 56.94 26 ด.ญ.พรนัชชา ในใจ 5 7 -1.08 0.10 39.19 51.02 -10.94 10.94 1190.57 1409.43 -0.42 0.42 45.79 54.21
15 สรุปผลการใช้นวัตกรรม นวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) โดยการนำสื่อประสม (Multimedia) และสื่อออนไลน์ มาพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 หลังจากที่ครูผู้สอนนำนวัตกรรมไปใช้แล้ว ผลปรากฏว่าสามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน เรื่อง การคูณ ให้สูงขึ้น โดยเปรียบเทียบจากการที่นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนและ หลังเรียน สามารถพัฒนาตนเองในทักษะด้านการคูณเพิ่มขึ้น โดยมีค่าเฉลี่ย X เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.38 แสดงให้เห็นว่ากระบวนการจัดการการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) โดยการนำสื่อประสม (Multimedia) และสื่อออนไลน์มาพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 สามารถพัฒนาทักษะผลสัมฤทธิ์ทางการคูณได้จริง อภิปรายผล จากการใช้นวัตกรรมการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) โดยนำสื่อ ประสม (Multimedia) และสื่อออนไลน์ มาพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ผู้จัดทำได้สร้างขึ้น เน้นกระบวนการ ส่งเสริมให้นักเรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนและทำให้นักเรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ที่ดี จากนั้นนำแบบทดสอบก่อน และหลังเรียน เรื่อง การคูณ มาเก็บรวบรวมข้อมูลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เปรียบเทียบผล การพัฒนาตนเองในทักษะด้านการคูณ ผลปรากฏว่านักเรียนมีค่าเฉลี่ย X เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.38 แสดงให้เห็นว่ากระบวนการจัดการการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) สามารถปรับวิธีการใช้ กิจกรรมและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ซึ่งทำได้มากกว่าการสอนแบบบรรยาย รวมถึงการนำสื่อ ประสม (Multimedia) และสื่อออนไลน์มาใช้ เพื่อช่วยกระตุ้นความสนใจของนักเรียน และเพิ่ม ประสิทธิภาพในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์เรื่องการคูณให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้มากขึ้น สามารถต่อยอด และพัฒนาความรู้ความสามารถด้านการคูณต่อไป ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม 1. ควรมีการพัฒนาชุดฝึกทักษะของแต่ละเนื้อหาให้มีความหลากหลาย สอดคล้องกับการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนให้มากขึ้น เช่น กิจกรรมซ่อมเสริมเพื่อแก้ไขปัญหาการคูณสำหรับนักเรียนที่ เรียนช้า เป็นต้น 2. ควรมีการจัดเตรียมสื่อ/อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้เพียงพอต่อการจัดการเรียนการสอน
16 3. นวัตกรรมนี้ยังสามารถพัฒนาต่อไปให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้นอีก โดยการวิเคราะห์ กระบวนการที่นำมาใช้ในรับรู้และส่งเสริมคุณลักษณะที่ดีแก่นักเรียน สำหรับครูในการนำนวัตกรรม มาใช้ควรศึกษาแผนการสอน วิธีการใช้นวัตกรรม เตรียมการสอน/สื่อ/แบบฝึก ฯลฯ ล่วงหน้า สำหรับ นักเรียน เนื่องจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ไม่ใช่แบบบรรยายและครูสั่งให้ทำ นักเรียนจำเป็นต้องปรับตัวโดยการเตรียมความพร้อมก่อนเรียน ศึกษาเนื้อหาที่จะเรียนมาล่วงหน้า กล้าคิด กล้าทำ และมีความกระตือรือร้นในการสืบเสาะแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ตามกระบวนการ ที่ครูจัดเตรียมไว้ ผลกระทบ (Outcome) ของการนำนวัตกรรมไปใช้ 1. ชุดฝึกทักษะของแต่ละเนื้อหาอาจไม่สอดคล้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน สำหรับนักเรียนบางกลุ่ม เช่น กลุ่มนักเรียนที่เรียนรู้ช้า ทำให้ผลการพัฒนาทักษะการคูณไม่เป็นไปตาม วัตถุประสงค์ จึงควรมีการจัดกลุ่มแบบคละเด็กเก่ง/อ่อน และครูมีการสอนเสริมนักเรียนกลุ่มนั้น 2. ครูหรือนักเรียนบางคนไม่สามารถใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้การ จัดการเรียนการสอนไม่มีประสิทธิภาพ เกิดความล่าช้า สับสน ครูและนักเรียนขาดความมั่นใจใน ตนเอง จึงควรมีการสำรวจความสามารถในการใช้งานเบื้องต้น และให้เวลาศึกษาทบทวนกระบวนการ จัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) โดยการนำสื่อประสม (Multimedia) และสื่อ ออนไลน์มาใช้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง การเผยแพร่นวัตกรรม ผู้จัดทำได้มีการนำนวัตกรรมเสนอต่อผู้บริหารสถานศึกษาและนำนวัตกรรมไปเผยแพร่ต่อ ครูผู้สอนภายในสถานศึกษา เพื่อเป็นแนวทางในการนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับการจัดการเรียนการ สอนเรื่องการคูณของแต่ละชั้นเรียน
17 เอกสารอ้างอิง เอกสารที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการ ได้ กำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มีรายละเอียด ดังนี้ วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของ ชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลเมืองโลก ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้ และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษา ต่อการประกอบอาชีพและการศึกษาตลอด ชีวิตโดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า ทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ตาม ศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาชั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญ ดังนี้ 1. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรมบนพื้นฐานของ ความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล 2. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษาอย่างเสมอ ภาคและมีคุณภาพ 3. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจ ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น 4. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและการจัดการ เรียนรู้ 5. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ 6. เป็นหลักสูตรการศึกษาสำหรับการศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย ครอบคลุม ทุกกลุ่มเป้าหมาย สามารถเทียบโอนผลการเรียนรู้ และประสบการณ์ จุดหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุขมี ศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมายเพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบ การศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ 1. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัยและปฏิบัติตน ตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
18 2. มีความรู้ ความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหาการใช้เทคโนโลยีและมีทักษะ ชีวิต 3. มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย 4. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิตและการ ปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข 5. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการ เรียนรู้ ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้นจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะ สำคัญ 5 ประการ ดังนี้ 1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคมรวมทั้งการเจรจาต่อรอง เพื่อขจัดและลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและ ความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเอง และสังคม 2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้ หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่ เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจ ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง 1 ในสังคม แสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้มาใช้ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อ ตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม 4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่าง ๆ ไปใช้ใน การดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงานและการอยู่ ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหาและความ ขัดแย้งต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น
19 5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้เทคโนโลยีด้าน ต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้อง เหมาะสม และมีคุณธรรม กระทรวงศึกษาธิการ (2551:1) คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาความคิด ของมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถ วิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ ช่วยให้คิดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหาและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้องเหมาะสม นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็น เครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและศาสตร์อื่น ๆ คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อ การดำเนินชีวิต ช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข วรรณี โสมประยูร (2541:คำนำ) กล่าวไว้ว่าคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีความสำคัญและจำเป็น ต่อทุกคน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และจำเป็นมากยิ่งขึ้นต่อไปในอนาคตเพราะคณิตศาสตร์นอกจาก จะเป็นเครื่องมือสำหรับการดำรงชีวิตประจำวันแล้ว ยังเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ทั่วไปของวิทยาการ แขนงต่าง ๆ และในยุคศตวรรษที่ 21 เป็นยุคของสังคมแห่งข้อมูลข่าวสารและความเจริญก้าวหน้า ทางเทคโนโลยี ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ มีความพยายามในการแข่งขันกันเพื่อการพัฒนา สร้างสรรค์ และคิดค้นความรู้ใหม่ ๆ ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เจริญก้าวไกล คณิตศาสตร์จึง กลายเป็นศาสตร์หนึ่งที่มีความสำคัญและมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดของมนุษย์ (สถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2555:1) บุญทัน อยู่ชมบุญ ( 2529 : 39 ) ได้กล่าวถึงความสำคัญของ คณิตศาสตร์ ดังนี้ 1. คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่เกี่ยวข้องกับความคิด เราใช้คณิตศาสตร์พิสูจน์เชิงเหตุผลในการ ตัดสินใจ สิ่งที่เราคิดว่าเป็นจริงหรือน่าจะเป็นจริงหรือไม่ เราใช้ความคิดเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ ในด้าน วิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม วิธีการนี้ทำให้เราเข้าใจในพลังทางความคิด 2. คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่สร้างสรรค์ทางด้านจิตใจของมนุษย์เกี่ยวกับพื้นฐานความคิด กระบวนการและเหตุผล ดังนั้นคณิตศาสตร์จึงเป็นมากกว่าเลขคณิต 3. คณิตศาสตร์เป็นภาษาอย่างหนึ่งซึ่งกำหนดขึ้นด้วยข้อความทางสัญลักษณ์ที่กระชับรัดกุม และสื่อสารความหมายได้ ภาษาคณิตศาสตร์เป็นภาษาซึ่งดำเนินไปด้วยการคิดมากกว่าการฟัง 4. คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่มีรูปแบบ นั้นคือ ความเป็นระเบียบในรูปแบบของความคิดทุกสิ่ง ที่ มีรูปแบบสามารถจัดได้ด้วยหลักทางคณิตศาสตร์ 5. คณิตศาสตร์เป็นศิลปะ อย่างหนึ่ง ความงามทางคณิตศาสตร์สามารถพบได้ใน กระบวนการซึ่งแยกข้อเท็จจริงที่ถูกถ่ายทอด ผ่านการใช้เหตุผลเป็นขั้นตอนโดยนักวิทยาศาสตร์ พยายามใช้ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ และทำความเข้าใจในสิ่งที่ท้าทายความคิด
20 จากความสำคัญที่นักการศึกษาท่านต่างๆ ได้ทำการเสนอแนะมานั้นจะเห็นว่าวิชา คณิตศาสตร์มีความสำคัญ ทั้งในด้านการพัฒนาผู้เรียนให้รู้จักใช้ความคิด พัฒนาผู้เรียนให้เห็นความ งามในระเบียบการใช้ความคิดอันส่งผล ถึงการสร้างจิตใจของมนุษย์ให้มีความคิด ละเอียด รอบคอบ สุขุมเยือกเย็น นำมาซึ่งการแก้ปัญหาในด้านต่างๆ ได้ ประโยชน์ของคณิตศาสตร์ สมทรง สุวพานิช ( 2542. : 15 - 16) ได้กล่าวถึงประโยชน์ของวิชาคณิตศาสตร์ไว้ว่า 1. คณิตศาสตร์มีความสำคัญในชีวิตประจำวันเช่น การดูเวลา การซื้อขาย การชั่ง การตวง การวัดระยะทาง การติดต่อสื่อสาร การกำหนดรายรับรายจ่าย 2. ประโยชน์ในการประกอบอาชีพต่างๆ เช่น อาชีพนักธุรกิจ นักอุตสาหกรรม อาชีพรับราชการต้องใช้คณิตศาสตร์ในการช่วยวางแผนการปฏิบัติงานอีกด้วย 3. คณิตศาสตร์ช่วยปลูกฝังและอบรมให้เป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติ นิสัย ทัศนคติ และความสามารถทาง ด้านสมอง ทฤษฎีและปรัชญาในการสอนคณิตศาสตร์ จากการวิจัย เพียเจต์ ( Piaget ) เกี่ยวกับธรรมชาติและพัฒนาการการเรียนรู้ของเด็ก พบว่า กระบวนการการคิดของเด็กขึ้นอยู่กับสาเหตุต่างๆ ได้แก่ ความพร้อม ประสบการณ์จาก สิ่งแวดล้อมด้านสังคมและอารมณ์ ซึ่งเพียเจต์ ( Piaget ) ได้แบ่งพัฒนาการด้านสติปัญญาของเด็ก ออกเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นที่ 1 วัย 0 ถึง 2 ปี เป็นขั้นที่พฤติกรรมของเด็กขึ้นอยู่กับการรับรู้ และการ เคลื่อนไหว เป็นส่วนใหญ่ เป็นขั้นเกี่ยวกับการกระทำ ขั้นที่ 2 วัย 2 ถึง 6 - 7 ปี เป็นขั้นเตรียมพัฒนาการทางภาษาดีขึ้น ความคิดความ เข้าใจขึ้นอยู่กับการรับรู้มากกว่าเดิมเด็กไม่สามารถใช้เหตุผลได้ ไม่เข้าใจเรื่องการคงที่ และสามารถ เรียนรู้พฤติกรรมทางสังคมจากเพื่อน ๆ ในวัยเดียวกัน แต่ยังไม่เข้าใจถึงความถูกต้องหรือความคิดได้ ลึกซึ้งนัก ขั้นที่ 3 วัย 6 – 7 ถึง 11 ปี เป็นขั้นการกระทำทางรูปธรรมคือ เด็กจะสามารถ คิดได้อย่างมีเหตุผล แก้ปัญหาได้ก็ต่อเมื่อสิ่งที่เรียนเป็นรูปธรรม จะมีความเข้าใจในเรื่องคงที่และ สามารถคิดย้อนกลับได้ รู้จักแบ่งกลุ่มสิ่งของได้อย่างมีกฎเกณฑ์ สามารถคิดในเรื่องน้ำหนักและ ปริมาตรได้ในเวลาเดียวกัน ขั้นที่ 4 วัย 11 ถึง 15 ปี เป็นขั้นที่เด็กมีพัฒนาการทางความรู้ ความเข้าใจถึง ระดับสูงสุด สามารถคิดอย่างมีเหตุผลเกี่ยวกับปัญหาทุกอย่าง เริ่มมีความคิดอย่างผู้ใหญ่ เช่นการ พิสูจน์ได้ว่ารูปสองรูปเท่ากันทุกประการ
21 การพัฒนาการคิดหาเหตุผล การใช้เหตุผลของเด็ก ๆ จะค่อย ๆ พัฒนา และเปลี่ยนแปลงไป ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ แต่องค์ประกอบอื่น ๆ เช่น การใช้ภาษา ฐานะทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สังคมและสติปัญญาของเด็กอาจมีอิทธิพลต่อความคิดและการใช้เหตุผลของเด็กวัยประถมศึกษา เรียนรู้หลักเกณฑ์การจัดเด็กเข้าร่วมกิจกรรมกับคนอื่น ๆ จะช่วยให้เด็กคลายความรู้สึกที่ยึดตนเอง เป็นศูนย์กลาง เพราะการที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่นช่วยให้เด็กรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น และได้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับผู้อื่นได้ด้วย หลักการสอนคณิตศาสตร์ พิศมัย ศรีอำไพ ( 2538. : 8 - 9 ) ได้กล่าวถึงหลักการสอนดังนี้ 1. ควรเริ่มจากวัตถุ สิ่งของที่ต้องจับได้ และประสบการณ์จริง 2. ใช้วิธีการนำเข้าสู่เนื้อหาต่าง ๆ กัน 3. ใช้วิธีสอนแบบบันไดเวียน คือ ไม่สอนเนื้อหาใดแล้วทิ้งไปเลย แต่สอนเนื้อหา เดียวกันในระดับต่างกัน 4. ใช้คำถามช่วยกระตุ้นให้นักเรียน ได้คิดและค้นพบหลักเกณฑ์ด้วนตนเอง จากที่กล่าวมาพอสรุปได้ว่า การสอนคณิตศาสตร์ให้ประสบผลสำเร็จนั้นผู้สอนต้องมีเจตคติ ที่ดีต่อวิชาคณิตศาสตร์ และจะต้องปลูกฝังเจตคติที่ดีให้เกิดขึ้นกับนักเรียนด้วย ครูจะต้องนำหลัก วิทยาการเรียนรู้ ของเด็กในวัยประถมศึกษามาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น การสอน จากรูปธรรมไปหานามธรรม สอนสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยาก ทบทวนความรู้เดิมก่อนที่จะเรียนเนื้อหาใหม่ ใช้วิธีการสอนที่หลากหลายให้เวลานักเรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมอย่างเพียงพอ และที่สำคัญครูควรสอน ให้นักเรียนคิดเอง เทคนิคการสอนคณิตศาสตร์ จากการรวบรวมงานวิจัยเกี่ยวกับการสอนคณิตศาสตร์ พบว่าเทคนิคการสอน คณิตศาสตร์ที่ค้นพบมีการสอนที่ประสบผลสำเร็จดังนี้ 1. วิธีสอนด้วยกระบวนการสอนแบบเรียนเพื่อรู้แจ้ง 2. วิธีสอนแบบอุปมาน 3. วิธีสอนตามระเบียบขั้นตอนทางคณิตศาสตร์ 4. วิธีสอนแบบแก้โจทย์ปัญหา 5. วิธีสอนแบบพัฒนารายบุคคล ซึ่งร่วมงานเป็นหมู่คณะ 6. วิธีสอนที่มีกระบวนการสร้างความคิดรวบยอด 7. วิธีสอนแบบสอดแทรกมโนทัศน์ทางจริยธรรม 8. วิธีสอนแบบวิเคราะห์
22 9. วิธีการสอนแบบใช้สถานการณ์จำลอง 10. วิธีสอนแบบกลุ่มย่อย 11. วิธีสอนแบบการเรียนแบบร่วมมือ 12. วิธีสอนโดยใช้การกำกับตนเอง 13. วิธีสอนโดยใช้ชุดการสอนการคิดคำนวณ 14. วิธีสอนโดยการใช้มิติสัมพันธ์ 15. วิธีสอนโดยใช้บทเรียนที่มีสื่อประสม เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแบบฝึกเสริมทักษะ ความหมายและความสำคัญของแบบฝึก แบบฝึก หมายถึง แบบฝึกหัด แบบตัวอย่างปัญหาหรือคำสั่งที่ตั้งขึ้นเพื่อให้ นักเรียนฝึกตอบ เป็นต้น ( ราชบัณฑิตยสถาน. 2542 : 490 ) ลักษณะของแบบฝึกที่ดี ควรมีลักษณะดังนี้ 1. เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เรียนมาแล้ว 2. เหมาะสมกับระดับวัยหรือความสามารถของนักเรียน 3. มีคำชี้แจงสั้นๆ ที่ช่วยให้นักเรียนเข้าใจวิธีทำได้ง่าย 4. ใช้เวลาที่เหมาะสม 5. มีสิ่งที่น่าสนใจและท้าทายให้แสดงความสามรถ 6. ควรมีข้อแนะนำในการใช้ 7. มีให้เลือกตอบอย่างจำกัดและตอบอย่างเสรี 8. ถ้าเป็นแบบฝึกที่ต้องการให้ทำศึกษาด้วยตนเอง 9. ควรใช้สำนวนภาษาง่าย ๆ ฝึกให้คิดได้เร็วและสนุก 10. ปลุกความสนใจและใช้หลักจิตวิทยา ขั้นตอนการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะ 1. สำรวจปัญหาและความต้องการ 2. กำหนดจุดประสงค์ในการสร้างแบบฝึกทักษะให้ชัดเจนเพื่อหาคำตอบ 3. วิเคราะห์คำที่เรียนในแต่ละจุดประสงค์ 4. ศึกษาจิตวิทยาการเรียน จิตวิทยาการอ่านของนักเรียนมีความสนใจเรื่องอะไร 5. กำหนดกรอบการสร้างแบบฝึก 6. ลงมือเขียนแบบฝึกแต่ละชุด 7. นำแบบฝึกไปให้ผู้ชำนาญตรวจสอบความถูกต้อง 8. จัดพิมพ์หรืออัดสำเนาแบบฝึก เพื่อให้นักเรียนนำไปใช้เสริมการเรียนการสอน
23 ประโยชน์ของแบบฝึกเสริมทักษะ 1. เป็นส่วนเพิ่มเติมหรือเสริมหนังสือเรียน 2. ช่วยเสริมทักษะการใช้ภาษาให้ดีขึ้น 3. ช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล 4. แบบฝึกช่วยเสริมให้ทักษะทางภาษาคงทน 5. การให้นักเรียนทำแบบฝึกช่วยให้ปรับปรุงและแก้ปัญหาได้ หลักการและวิธีการสร้างแบบฝึก สมวงศ์ แปลงประสพโชค ( 2541 : 26 ) กล่าว ถึงหลักการ ให้นักเรียนทำแบบฝึกหัด ไว้ที่น่าสนใจดังนี้ 1. แบบฝึกและกิจกรรมควรเรียงจากง่ายไปหายาก 2. ควรให้คำตอบของแบบฝึกหัดบางข้อเพื่อให้นักเรียนตรวจสอบงานและควรมี ข้อแนะนำอธิบายสำหรับข้อที่ยาก 3. หลีกเลี่ยงการใช้แบบฝึกที่ซ้ำซากและกิจกรรมที่ทำเป็นกิจวัตร ควรสอดแทรก เกม ปริศนาและกิจกรรมทดลองที่น่าสนใจ 4. ควรมีแบบฝึกแบบปลายเปิดที่นักเรียนเลือกปัญหาด้วยตนเอง นักเรียนควรได้รับอนุญาตให้ทำงานเป็นคู่หรือกลุ่มเล็กในบางโอกาส พยายาม ส่งเสริมการทำงานที่เป็นกลุ่มและลดการลอกงานกัน หลักการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง กรมวิชาการ ( 2542 : 1 ) ได้ให้หลักการจัดการเรียนการสอนที่เน้นนักเรียนเป็น ศูนย์กลาง 5 ประการ 1. ให้ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ด้วยตนเอง 2. ให้ผู้เรียนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ให้มากที่สุด 3. ให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน และเรียนรู้จากกันและกัน 4. ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ “กระบวนการ” ควบคู่ไปกับ “ ผลงาน/ข้อความรู้ที่สรุปได้” 5. ให้นักเรียนนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน เอกสารที่เกี่ยวข้องกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สมพร เชื้อพันธ์ (2547 : 53) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ หมายถึงความสามารถ ความสำเร็จและสมรรถภาพด้านต่างๆของผู้เรียนที่ได้จากการเรียนรู้อันเป็นผลมาจากการเรียนการ สอน การฝึกฝนหรือประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้จากการทดสอบด้วยวิธีการต่างๆ
24 สมนึก ภัททิยธนี (2546 : 65) สรุปว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการ พยายามเข้าถึงความรู้ซึ่งเกิดจากการทำงานที่ประสานกัน และต้องอาศัยความพยายามอย่างมาก ทั้ง องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับสติปัญญา และองค์ประกอบที่ไม่ใช่สติปัญญา แสดงออกในรูปความสำเร็จ ซึ่งสามารถและสังเกตวัดได้ด้วยเครื่องมือทางจิตวิทยาหรือแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทั่วไป สนทยา เขมวิรัตน์ (2549 : 6) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความรู้ หรือความสามารถของบุคคลที่ได้จากการเรียนรู้ และความสามารถ โดยสามารถนำไปใช้ในการ แก้ปัญหาหรือศึกษาต่อเนื่องได้ ซึ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสามารถวัดได้ด้วยแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ ทั่วไป สายสุนีย์ ปาวงศ์ (2548 : 33 ได้ให้ความหมายผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลของการ เรียนการสอนหรือความสามารถที่เกิดขึ้นในตัวของผู้เรียนทั้งทางด้านความรู้และทักษะอันเกิดจากการ ได้รับการฝึกฝนอบรมสั่งสอนจากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะ และความรู้ความสามารถของบุคคลที่ต้องอาศัยสมรรถภาพทางสมองและประสบการณ์ ทักษะ ความรอบรู้ ที่ได้รับจากการเรียนการสอน การฝึกฝน อบรม สั่งสอน ประสบการณ์ทำให้เกิด ความสำเร็จหรือความสามารถในด้านต่าง ๆ ซึ่งสามารถวัดเป็นคะแนนได้จากแบบทดสอบทาง ภาคทฤษฎีหรือภาคปฏิบัติหรือทั้งสองอย่างในวิชานั้น ๆ ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พวงรัตน์ ทวีรัตน์ (2548 : 30-32) กล่าวว่า การทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสามารถ กระทำได้ 2 ลักษณะ คือ 1. การทดสอบแบบอิงกลุ่ม หรือการวัดผลแบบอิงกลุ่ม เป็นการทดสอบ หรือ การสอบวัดผล ที่เกิดจากแนวความเชื่อในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคลที่ว่าความสามารถของบุคคลใดในเรื่องใด นั้นไม่เท่ากัน บางคนมีความสามารถเด่น บางคนมีความสามารถด้อยและส่วนใหญ่จะมีความสามารถ ปานกลาง การกระจายความสามารถของบุคคลถ้านำมาเขียนกราฟ จะมีลักษณะคล้ายๆโค้งรูประฆัง หรือเรียกว่า "โค้งปกติ" ดังนั้นการทดสอบแบบนี้จึงยึดคนส่วนใหญ่เป็นลักษณะในการเปรียบเทียบโดย พิจารณาคะแนนผลการสอบของบุคคลอื่นที่สอบด้วยข้อสอบฉบับเดียวกัน จุดมุ่งหมายของการ ทดสอบแบบนี้เพื่อจะกระจายบุคคลทั้งสองกลุ่มไปตามความสามารถของแต่ละบุคคล กล่าวคือ คนที่มี ความสามารถสูง จะได้คะแนนสูง คนที่มีความสามารถด้อยกว่าจะได้คะแนน ลดหลั่นลงมาถึงคะแนน ต่ำสุด 2. การทดลองแบบอิงเกณฑ์หรือการวัดผลแบบอิงเกณฑ์ ยืดความเชื่อในเรื่องการเรียนเพื่อ รอบรู้ กล่าวคือ ยึดหลักการว่าในการเรียนการสอนนั้น จะต้องมุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนทั้งหมดประสบ
25 ความสำเร็จในการเรียน แม้ว่าผู้เรียนจะมีลักษณะแตกต่างกันก็ตาม แต่ทุกคนได้รับการส่งเสริมให้ พัฒนาไปถึงขีดความสามารถสูงสุดของตน โดยอาจใช้เวลาแตกต่างกันในแต่ละบุคคล ดังนั้นการ ทดสอบแบบอิงเกณฑ์ จึงมีการกำหนดเกณฑ์ขึ้นแล้วนำผลการสอบของแต่ละบุคคลเทียบกับเกณฑ์ ที่ตั้งไว้ไม่ได้นำผลการสอบไปเปรียบเทียบกับบุคคลอื่น ๆ ในกลุ่มความสำคัญของการทดสอบนี้ จึงอยู่ ที่เกณฑ์เป็นสำคัญ เกณฑ์หมายถึงการตรวจสอบดูว่าใครเรียนได้ถึงเกณฑ์และใครยังเรียนไม่ถึงเกณฑ์ ควรได้รับการปรับปรุงแก้ไขต่อไป เช่น การเรียนเสริม เป็นต้น ประโยชน์ของแบบทดสอบการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน คือ ใช้สำรวจทั่ว ๆ ไป เกี่ยวกับ การเรียน เมื่อเปรียบเทียบกับเกณฑ์ปกติทำให้เข้าใจนักเรียนได้ดีขึ้นใช้แนะแนวและประเมินค่า เกี่ยวกับการสอนได้ สอบตกของแต่ละบุคคล จุดอ่อนและจุดเด่นของแต่ละบุคคล การสอนเสริมให้กับ นักเรียนฉลาดและนักเรียนที่ต้องการความช่วยเหลือ การปรับปรุงการสอน ใช้จัดกลุ่มนักเรียนเพื่อ ประโยชน์ในการจัดเรียนการสอนและช่วยในการวิจัยทางการศึกษา เปรียบเทียบผลการเรียนในวิชาที่ สอนแตกต่างกันโดยใช้แบบบทสอบมาตรฐานเป็นเครื่องมือวัด การเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) มีหลักการสำคัญ คือ การลคบทบาทการถ่ายทอดความรู้ของครูลง เพื่อเพิ่มบทบาทให้กับ นักเรียนในการแสวงหาความรู้ได้ด้วยตนเอง โดยครูนั้นจะต้องสามารถส่งเสริมหรือกระตุ้นให้นักเรียน มีส่วนร่วมในชั้นเรียนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับนักเรียนและระหว่างนักเรียนด้วยกันเอง ครูต้องมีเทคนิคหรือกิจกรรมต่างๆ ที่หลากหลาย โดยเป้าหมายสำคัญของการจัดการเรียนรู้ แบบเชิงรุก (Active Learning) นี้เพื่อให้นักเรียนเกิดทักษะการเรียนรู้ที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21 ที่ จะต้องเป็นผู้มีความรู้ มีคุณธรรม จริยธรรม มีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง สามารถ ประยุกต์ใช้ความรู้เพื่อการดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุขทั้งทางร่างกายและจิตใจ การเรียนรู้ แบบเชิงรุก (Active Learning) เป็นการเรียนรู้ที่พัฒนาทักษะความคิดระดับสูงอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้นักเรียนวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินข้อมูลในสถานการณ์ใหม่ได้ดี ในที่สุดจะช่วยให้ นักเรียนเกิดแรงจูงใจจนสามารถชี้นำตลอดชีวิตในฐานะผู้ฝึกใฝ่การเรียนรู้ ธรรมชาติของการเรียนรู้ แบบเชิงรุก (Active Learning) ประกอบด้วยลักษณะสำคัญต่อไปนี้ 1. เป็นการเรียนรู้ที่มุ่งลดการถ่ายทอดความรู้จากครูสู่นักเรียนให้น้อยลงและพัฒนาทักษะให้ เกิดกับนักเรียน 2. นักเรียนมีส่วนร่วมในชั้นเรียนโดยลงมือกระทำมากกว่านั่งฟังเพียงอย่างเดียว 3. นักเรียนมีส่วนในกิจกรรมเช่นอ่านอภิปรายและเขียน 4. เน้นการสำรวจเจตคติและคุณค่าที่มีอยู่ในนักเรียน 5. นักเรียนได้พัฒนาการคิดระดับสูงในการวิเคราะห์ สังเคราะห์และประเมินผลการ
26 6. ทั้งนักเรียนและครูรับข้อมูลป้อนกลับจากการสะท้อนความคิดได้อย่างรวดเร็ว การเรียนรู้ แบบเชิงรุก (Active Learning) ถือได้ว่าเป็นการเรียนรู้ที่ต้องการกิจกรรมการเรียนการสอนที่ หลากหลายที่จะช่วยให้นักเรียนได้พัฒนาตนเองผ่านการจัดการตนเองให้ความรู้และช่วยพัฒนาเพื่อน ร่วมชั้นซึ่งจะก่อให้เกิดการสร้างสรรค์พัฒนาความรู้ความเข้าใจและทักษะที่หลากหลาย เป็น กระบวนการที่ประณีตรัดกุมและนักเรียนได้รับประโยชน์มากกว่าการเรียนรู้ที่นักเรียนเป็นฝ่ายรับ ความรู้ อาจนำมาขยายความให้เห็นเป็นลักษณะสำคัญของการจัดการเรียนการสอนแบบเชิงรุก (Active Learning) ได้ดังนี้ 1. เป็นการเรียนการสอนที่พัฒนาศักยภาพทางสมองได้แก่การคิดการแก้ปัญหาและการนำ ความรู้ไปประยุกต์ใช้ 2. เป็นการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด 3. นักเรียนสร้างองค์ความรู้และจัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง 4. นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนทั้งในด้านการสร้างองค์ความรู้การสร้างปฏิสัมพันธ์ ร่วมกัน ร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขัน 5. นักเรียนเรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกันการมีวินัยในการทำงานการแบ่งหน้าที่ความ รับผิดชอบ 6. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ให้นักเรียนอ่าน พูด ฟัง คิดอย่างลุ่มลึก นักเรียนจะเป็น ผู้จัดระบบการเรียนรู้ด้วยตนเอง 7. เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนเน้นทักษะการคิดขั้นสูง นำไปใช้ 8. เป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้นักเรียนบูรณาการข้อมูลข่าวสารหรือสารสนเทศและหลักการ ความคิดรวบยอด 9. ครูจะเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้เพื่อให้นักเรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วย 10. ความรู้เกิดจากประสบการณ์การสร้างองค์ความรู้และการสรุปทบทวนของนักเรียน การ ส่งเสริมให้นักเรียนได้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองจากการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) มี ส่วนประกอบสำคัญ ได้แก่ การมีวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือ นักเรียนมีโอกาสลงมือปฏิบัติ (Opportunities for Manipulation) นักเรียนมีส่วนร่วมในการเลือกกิจกรรมและกลวิธีการแก้ปัญหา ด้วยตนเอง (Choices for Children) นักเรียนได้สื่อสารเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังทำกับผู้อื่น การเรียนรู้ที่ กระตือรือร้นการประเมินการจัดห้องเรียนกำหนดการประจำวันปฏิสัมพันธ์ระหว่างครู นักเรียน เนื้อหา การจัดการเรียนการสอน ซึ่งการเรียนรู้แบบเชิงรุก (Active Learning) จะมีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับวิธีการใช้กิจกรรมและแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย ซึ่งทำได้มากกว่าการสอนแบบบรรยาย นั่นเอง
27 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับสื่อมัลติมีเดีย (Multimedia) ความหมายของสื่อมัลติมีเดีย สื่อมัลติมีเดีย มีผู้ให้ความหมายไว้ดังต่อไปนี้ กิดานันท์ มลิทอง (2548 : 225) ได้กล่าวถึงความหมายของคำว่า มัลติมีเดีย คือ การใช้ คอมพิวเตอร์ร่วมกับโปรแกรมชอฟต์แวร์ในการสื่อความหมายโดยการผสมผสานสื่อหลากหลาย เช่น ข้อความ ภาพกราฟิก ภาพเคลื่อนไหว (Animation) เสียง (Sound) และวีดิทัศน์ (Video) เป็นต้น เอกวิทย์ แก้วประดิษฐ์ (2545 : 145) ได้ให้ความหมายของคำวา "มัลติมีเดีย" หมายถึง การ นำองค์ประกอบของสื่อชนิดต่าง ๆ มาผสมผสานเข้าด้วยกัน ซึ่งประกอบด้วย ตัวอักษร (Text) ภาพนิ่ง (Still Image) ภาพเคลื่อนไหวหรือแอนนิเมชั่น (Animation) เสียง (Sound) และวิดีโอ (Video) โดย ผ่านกระบวนการทางระบบคอมพิวเตอร์เพื่อสื่อความหมายกับผู้ใช้ อย่างมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive Multimedia) และได้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์การใช้งาน ลาณี เลิศอุดมกิจไพศาล (2545 : 287) ให้ความหมายมัลติมีเดีย หมายถึง สื่อชนิดหนึ่งที่ สามารถนำเสนอสื่อประสมเขาด้วยกันได้หลายอย่าง เชน ข้อความ ภาพนิ่ง กราฟิก แผนภูมิ เพื่อให้ บรรลุตามวัตถุประสงค์การใช้งานมากที่สุด พรพิไล เลิศวิชา (2544 : 21) ให้ความหมายของสื่อประสม (Multimedia) หมายถึง สื่อที่เกิด จากการแสดงผลของข้อความ ภาพ และเสียงพร้อมๆ กัน ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง โดยใช้อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ ณัฐกร (2553) สื่อประสมหรือสื่อมัลติมีเดีย (Multimedia) เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ผสมผสาน นำเสนอข้อมูลเพื่อให้เกิดการรับรู้ที่หลายหลาย ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็น การได้ยินเสียง รวมไปถึง ความสามารถในการโต้ตอบกับสื่อที่สามารถสร้างแรงจูงใจและกระตุ้นให้เกิดการเรียนรู้ สามารถเข้าใจ เนื้อหาเป็นอย่างดี เพราะมีการปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ทันที นอกจากนี้ การใช้สื่อประสมหรือมัลติมีเดีย ยังช่วยประหยัดกำลังคน เวลา และงบประมาณ โดยลดความจำเป็น ในการใช้ผู้สอนหรือเครื่องมือที่ราคาแพง เมื่อนำไปใช้จัดการเรียนการสอนจะทำให้สามารถเข้าถึง ผู้เรียนได้ในวงกว้างมากขึ้น งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ศิริลักษณ์ ทองบุ ( 2542 : 85 ) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการสร้างแบบฝึกทักษะที่มีประสิทธิภาพ วิชาคณิตศาสตร์ เรื่องโจทย์ปัญหาการคูณ การหาร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตร ประถมศึกษาพุทธศักราช 2521 ( ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533 ) พบว่า แบบฝึกเสริมทักษะการแก้ โจทย์ปัญหาการคูณ การหาร มีประสิทธิภาพเท่ากับ 81.92 /79.23 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการแก้โจทย์ปัญหาหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
28 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2551), หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ :โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด, 2552. ก้องกาญจน์ วชิรพนัง , รสิตา รักสกุล, และสุวรรณา สมบุญสุโข. (2558). ผลสัมฤทธิ์ของการจัดการ เรียนการสอนแบบบูรณาการ โดยใช้ Active Learning ของนักศึกษาในรายวิชา การบริหาร จัดการยุคใหม่และภาวะผู้นำมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี.รายงานวิจัย. กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี, คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม และเทคโนโลยี. เชิดศักดิ์ ภักดีวิโรจน์. (2556). ผลการจัดการเรียนรู้เชิงรุก เรื่องทักษะและกระบวนการทาง คณิตศาสตร์ที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ การคิดอย่างมี วิจารณญาณ และความเชื่อมั่นในตนเองของนักเรียนชั้นมัธยมศึกมาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ ปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิชาคณิตศาสตร์, มหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒ. พรพิไล เลิศวิชา. (2544). มัลติมีเดียเทคโนโลยีกับโรงเรียนในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: ไทยวัฒนาพานิช. วาสนา เจริญไทย. (2557). ผลการการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุกที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยบูรพา. ไทยพานิช วีระ. (2536). บทบาทและปัญหาของการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน. กรุงเทพมหานคร: ศูนย์ เทคโนโลยีทางการศึกษา กรมการศึกษานอกโรงเรียน. พวงรัตน์ทวีรัตน์. (2548). การสร้างและพัฒนาและทดสอบผลสัมฤทธิ์. กรุงเทพฯ: สำนักทดสอบทาง การศึกษา มหาวิทยาลับศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. ศิริลักษณ์ ทองบุ ( 2542 : 85 ) การสร้างแบบฝึกทักษะที่มีประสิทธิภาพวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง โจทย์ปัญหาการคูณ การหาร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามหลักสูตรประถมศึกษาพุทธศักราช 2521 ( ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533 ).
29 ภาคผนวก
30 แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 รายวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หน่วยการเรียนรู้ที่ 3 การคูณ การหาร เวลาเรียน 31 ชั่วโมง เรื่อง การคูณจำนวนหนึ่งหลักกับจำนวนมากกว่าสี่หลัก เวลาเรียน 2 ชั่วโมง สอนวันที่....... เดือน.......................... พ.ศ. ......... ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2566 ............................................................................................................................. ................................... มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐาน ค 1.1 : เข้าใจความหลากหลายของการแสดงจำนวน ระบบจำนวน การ ดำเนินการของจำนวน ผลที่เกิดขึ้นจากการดำเนินการ สมบัติของการ ดำเนินการ และการนำไปใช้ ตัวชี้วัด ค 1.1 ป.4/7 : ประมาณผลลัพธ์ของการบวก การลบ การคูณ การหาร จากสถานการณ์ ต่างๆ อย่างสมเหตุสมผล สาระสำคัญ จำนวนหนึ่งหลักคูณกับจำนวนที่มากกว่าสี่หลัก ใช้หลักการเดียวกันกับจำนวนหนึ่งหลักคูณ กับจำนวนไม่เกินสี่หลัก โดยนำจำนวนหนึ่งหลักคูณกับจำนวนในหลักหน่วย หลักสิบ หลักร้อย ... ตามลำดับ ถ้าผลคูณในหลักใด ครบสิบ หรือมากกว่าสิบ ให้ทดจำนวนที่ครบสิบไปรวมกับผลคูณใน หลักถัดไปทางซ้าย จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายหลักการคูณจำนวนหนึ่งหลักกับจำนวนมากกว่าสี่หลักได้ (K) 2. แสดงวิธีหาผลคูณจำนวนหนึ่งหลักกับจำนวนมากกว่าสี่หลักได้ (P) 3. นำความรู้เกี่ยวกับการคูณจำนวนหนึ่งหลักกับจำนวนมากกว่าสี่หลักไปใช้แก้ปัญหาทาง คณิตศาสตร์ได้ (A) สาระการเรียนรู้ การคูณจำนวนหนึ่งหลักกับจำนวนมากกว่าสี่หลัก ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ 1. ความสามารถในการสื่อสารและการสื่อความหมายทางคณิตศาสตร์ 2. ความสามารถในการให้เหตุผล
31 คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน กิจกรรมการเรียนรู้ ชั่วโมงที่ 1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูนำเข้าสู่บทเรียน โดยนำนักเรียนร้องเพลงและทำท่าประกอบ เพลง สูตรคูณ เพลินเพลง เนื้อร้องดังนี้ 2. ครูแบ่งกลุ่มนักเรียน ออกเป็นกลุ่มละ 4-6 คน คละคนเก่ง คนปานกลางและคนอ่อน จากนั้นทบทวนการคูณอย่างง่ายโดยใช้กระบวนการแบบเชิงรุก (Active Learning) ให้นักเรียนนำ บัตรภาพตัวเลขการคูณมาเรียงคำตอบตามโจทย์ที่ครูกำหนดบนกระดาน เช่น 3 × 5 = …. , 6 x =… เป็นต้น จากนั้นให้นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน ขั้นสอน 3. ครูและนักเรียนช่วยกันหาคำตอบ จากประโยคสัญลักษณ์การคูณจำนวนที่มีหนึ่งหลัก กับจำนวนมากกว่าสี่หลัก เช่น นักเรียนเขียนประโยคสัญลักษณ์การคูณให้อยู่ในรูปของการบวก (4 × 13,227 = 13,227 + 13,227 + 13,227 + 13,227) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายการหาผลคูณจำนวนที่มีหนึ่งหลักกับจำนวนมากกว่า สี่หลักและความสมเหตุสมผลของคำตอบ ขั้นที่ 1 เริ่มคูณในหลักหน่วยจะได้ 28 มาจาก 4 × 7 ขั้นที่ 2 คูณในหลักสิบ จะได้ 80 มาจาก 4 × 20 ขั้นที่ 3 คูณในหลักร้อย จะได้ 800 มากจาก 4 × 200 4 × 13,227 = เพลง สูตรคูณเพลินเพลง.. ท่าประกอบ (ปรบมือ/ปรบมือซ้าย/ปรบมือขวา/ปรบตัก) *สูตรคูณเพลินเพลง บรรเลงแล้วท่อง อย่ามัวยิ้มย่อง ไม่ท่องก็ลืม ลืม ลืม (ตามด้วยท่องสูตรคูณแม่ 2 ... 12 เป็นต้น)
32 ขั้นที่ 4 คูณในหลักพัน จะได้ 12,000 มาจาก 4 × 3,000 ขั้นที่ 5 คูณในหลักหมื่น จะได้ 40,000 มาจาก 4 × 10,000 ดังนั้น 4 × 13,227 = 40,000 + 12,000 + 800 + 80 + 28 = 52,908 ซึ่งจำนวน 13,227 อยู่ระหว่าง 13,000 กับ 14,000 เมื่อคูณกับ 4 ผลลัพธ์ที่ได้ จะใกล้เคียงกับ 52,000 แต่ไม่เกิน 56,000 ดังนั้น 52,908 น่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง 4. ครูแนะนำการหาผลคูณจำนวนหนึ่งหลักกับจำนวนมากกว่าสี่หลักด้วยการ ยกตัวอย่าง ดังนี้ วิธีทำ คูณในหลักหน่วย 5 × 0 หน่วย ได้ 0 หน่วย ใส่ 0 ในหลักหน่วย 2 7 4 5 0 5 × 0 คูณในหลักสิบ 5 × 5 สิบ ได้ 25 สิบ หรือ 2 สิบ กับ 5 หน่วย ใส่ 5 ในหลักสิบทด 2 ในหลักร้อย 2 2 7 4 5 0 5 × 5 0 คูณในหลักร้อย 5 × 4 ร้อย ได้ 20 ร้อย รวมกับตัวทดอีก 2 สิบ เป็น 22 ร้อย ใส่ 2 ในหลักร้อย ทด 2 ในหลักพัน 2 2 2 7 4 5 0 5 × 2 5 0 27,450 × 5 =
33 คูณในหลักพัน 5 × 7 พัน ได้ 35 พัน รวมกับตัวทดอีก 2 พัน เป็น 37 พัน ใส่ 7 ในหลักพัน ทด 3 ในหลักหมื่น 3 2 2 2 7 4 5 0 5 × 7 2 5 0 คูณในหลักหมื่น 5 × 2 หมื่น ได้ 10 หมื่น รวมกับตัวทดอีก 3 หมื่น เป็น 13 หมื่น ใส่ 3 ใน หลักหมื่น และ 1 ในหลักแสน 3 2 2 2 7 4 5 0 5 × 1 3 7 2 5 0 ดังนั้น 27,450 × 5 = 137,250 5. ครูยกตัวอย่างเพิ่มเติม และให้นักเรียนร่วมกันอภิปรายวิธีการเพื่อหาคำตอบ - 31,620 × 3 = - 38,534 × 2 = - 23,466 × 4 = - 73,842 × 5 = 6. ครูให้นักเรียนทำใบงานที่ 1 การคูณจำนวนหนึ่งหลักกับจำนวนมากกว่าสี่หลัก เมื่อเสร็จ แล้วให้นักเรียนช่วยกันตรวจสอบความถูกต้อง ครูและนักเรียนร่วมกันเฉลยกิจกรรมในใบงานที่ 1 7. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม ผลัดกันช่วยหาผลคูณของโจทย์การคูณในแอปพลิเคชัน ไอคิว ตารางสอน (Multiplication Table IQ) โดยเป็นการนำสื่อประสมมาปรับใช้ในกระบวนการเรียนการ สอนเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจและเกิดการเรียนรู้ด้วยตนเอง ขั้นสรุป 8. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ร่วมกัน ดังนี้ การคูณจำนวนที่มีหนึ่งหลักกับ จำนวนมากกว่าสี่หลัก ทำได้โดยการคูณกับจำนวนในหลักหน่วยก่อนแล้วจึงคูณกับจำนวนในหลัก ถัดไปทางซ้ายมือตามลำดับ
34 ชั่วโมงที่ 2 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน 1. ครูนำเข้าสู่บทเรียน เพื่อทบทวนการคูณจากชั่วโมงที่แล้ว ดังนี้ 10 × 6 = 25 × 5 = 52 × 4 = 30 × 7 = 2. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายถึงโจทย์การคูณที่ผ่านมาได้คำตอบอย่างไร ขั้นสอน 3. ครูอธิบายการใช้สื่อออนไลน์ “คูณคณิตคิดสนุก” ที่ครูได้จัดทำขึ้นโดย Google Site เพื่อให้นักเรียนศึกษาเนื้อหาการคูณด้วยตนเองดังต่อไปนี้ - วีดิโอศึกษาบทเรียนการคูณ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - เกมการคูณ - แบบทดสอบ/ใบงานการคูณ - หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) และสื่ออื่น ๆ https://sites.google.com/view/e-port-kru-rattikarn/classroom/math ขั้นสรุป 4. ครูให้นักเรียนทำแบบทดสอบหลังเรียน 5. ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปสิ่งที่ได้เรียนรู้ร่วมกัน การใช้สื่อออนไลน์เพื่อพัฒนาทักษะการ คูณเพื่อให้นักเรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง และสามารถทบทวนเนื้อหาได้เองนอกจาก ชั่วโมงเรียน สื่อการเรียนรู้ 1. บัตรภาพตัวเลขการคูณ 2. ใบงานที่ 1 การคูณจำนวนหนึ่งหลักกับจำนวนมากกว่าสี่หลัก 3. แอปพลิเคชัน ไอคิวตารางสอน(Multiplication Table IQ) 4. สื่อเว็บไซต์ออนไลน์ “คูณคณิตคิดสนุก” ที่ครูได้จัดทำขึ้นโดย Google Site 5. แบบทดสอบก่อน-หลังเรียน
35 การวัดผลและประเมินผล สิ่งที่ต้องการวัด วิธีวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์การประเมิน 1. ด้านความรู้ ตรวจแบบทดสอบก่อน เรียน,หลังเรียนและใบ งานที่ 1 แบบทดสอบก่อน เรียน,หลังเรียนและ ใบงานที่ 1 ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ขึ้นไป 2. ด้านทักษะ กระบวนการ สังเกตพฤติกรรมด้าน ทักษะกระบวนการ แบบสังเกต พฤติกรรมด้าน ทักษะกระบวนการ ผ่านเกณฑ์ในระดับพอใช้ขึ้น ไป 3. ด้านคุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ สังเกตพฤติกรรมด้าน คุณลักษณะที่พึงประสงค์ แบบสังเกต พฤติกรรมด้าน คุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ ได้ระดับคุณภาพ 2 ทุก รายการขึ้นไปถือว่าผ่าน เกณฑ์
36 ความคิดเห็นผู้บริหาร ลงชื่อ.....................................ผู้ตรวจ (นายอลงกต เขียนนอก) ผู้อำนวยการโรงเรียน ..../................../........ บันทึกหลังการเรียนการสอน 1. ผลการเรียนรู้ 2. ปัญหาและอุปสรรค 3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางในการแก้ปัญหา ลงชื่อ.....................................ผู้สอน (นางสาวรัตติกาล ยมนา) ..../................../........
37 คู่มือขั้นตอนการติดตั้งและใช้แอปพลิเคชัน ไอคิวตารางสอน (Multiplication Table IQ) แอปพลิเคชัน "Times and Division Tables" สร้างขึ้นตามอัลกอริทึมที่ปรับคำถามให้ เหมาะสมกับทักษะปัจจุบันของเด็ก แอปพลิเคชันปรับความเข้มข้นในการเรียนรู้ โดยเน้นการ ดำเนินการทางคณิตศาสตร์ที่เด็ก ๆ พบว่ายากมากที่สุด อัลกอริทึมพิเศษที่แสดงความคืบหน้าในการ เรียนรู้ และเน้นถึงการดำเนินการทางคณิตศาสตร์ที่มีความยากต่อการเรียนรู้ ระบบทำซ้ำอัจฉริยะ แสดงความคืบหน้าในการเรียนรู้ มองเห็นได้โดยใช้ดาวแสดงความคืบหน้า ซึ่งช่วยให้ตรวจสอบได้ทั้ง ความคืบหน้าในการเรียนรู้สำหรับกิจกรรมรายบุคคล รวมถึงความคืบหน้าโดยรวม อัลกอริทึมคำนวณ ความคืบหน้าสำหรับตารางการคูณและการหารแยกกัน นอกจากนี้ แอปฯ ยังปรับให้เข้ากับช่วงของ ผลลัพธ์ที่เลือก และช่วงของจำนวนที่ใช้ในการดำเนินการทางคณิตศาสตร์ ทั้งการตั้งค่าและโหมดการ เรียนรู้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในตัวเลือกของแอปพลิเคชัน link download: ระบบ ios https://apps.apple.com/th/app/multiplication-table-iq/id1413171259?l=th link download: ระบบ android https://play.google.com/store/apps/details?id=com.honeti.multiplication&hl=th&gl=US 1. เมื่อกดค้นหาแอปพลิเคชันเจอแล้ว ให้กดติดตั้งลงในเครื่อง ดังภาพ หน้าตาแอปพลิเคชันในระบบ android หน้าตาแอปพลิเคชันในระบบ IOS
38 1. เมื่อกดเข้าใช้งานแอปพลิเคชันครั้งแรก จะมีเมนูให้เลือกดังภาพ 2. หากกดที่เมนู ตาราง จะมีหน้าตาตารางสูตรคูณดังภาพ 3. หากกดที่เมนู แบบทดสอบ จะมีหน้าจอแบบทดสอบ ดังภาพ
39 4. เริ่มทำแบบทดสอบการคูณ ข้อที่ 1 ถึงข้อที่ 10 โดยมีแถบสีฟ้ากำหนดเวลาใน การทำแต่ละข้อ 5. เมื่อทำครบทั้ง 10 ข้อแล้ว จะมีรายละเอียดคำตอบของแบบทดสอบการคูณ ว่าข้อใดผิด ข้อใดถูก และรวมคะแนนที่ได้
40 คู่มือการใช้งานสื่อเว็บไซต์ออนไลน์ “คูณคณิตคิดสนุก” ครูผู้สอนได้จัดทำสื่อการสอนผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ จาก Google Site เพื่อให้นักเรียนได้ศึกษา เนื้อหาการคูณด้วยตนเอง ดังต่อไปนี้ - วีดิโอศึกษาบทเรียนการคูณ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 - เกมการคูณ - แบบทดสอบ/ใบงานการคูณ - หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-Book) และสื่ออื่น ๆ urlของเว็บไซต์ https://sites.google.com/view/e-port-kru-rattikarn/classroom/math ศึกษาเรียนรู้การคูณแบบออนไลน์ ผ่าน Google Site และบทเรียนการคูณจาก youtube ทบทวนสูตรคูณผ่านเกมการคูณที่สร้างโดย Wordwall
41 เลือกทำแบบทดสอบการคูณที่สร้างผ่าน liveworksheets เลือกอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (E-book) ที่สร้างผ่าน anyflip.com
42 ภาพการนำนวัตกรรมไปใช้ในการจัดการเรียนการสอน กิจกรรมนำเข้าสู่บทเรียนผ่านเพลง สูตรคูณเพลินเพลง…. การจัดการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการเชิงรุก (Active Learning) การจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อประสม (Multimedia) ผ่านแอปพลิเคชัน ไอคิวตารางสอน (Multiplication Table IQ)
43 การจัดการเรียนการสอนโดยใช้สื่อประสม (Multimedia) กระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสนใจ เกิดการเรียนรู้ด้วยตนเองและสนุกกับการเรียนคณิตศาสตร์ ครูอธิบายขั้นตอนการใช้สื่อออนไลน์ “คูณคณิตคิดสนุก” ที่ครูได้จัดทำขึ้น นักเรียนใช้สื่อออนไลน์ “คูณคณิตคิดสนุก” เพื่อศึกษาเรื่องการคูณ ทำแบบทดสอบ เกมการคูณและทบทวนการคูณด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ผ่านคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง
44 นักเรียนใช้สื่อออนไลน์ “คูณคณิตคิดสนุก” เพื่อศึกษาเรื่องการคูณ ทำแบบทดสอบ เกมการคูณและทบทวนการคูณด้วยหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ผ่านคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง นักเรียนสามารถใช้สื่อออนไลน์ “คูณคณิตคิดสนุก” เพื่อพัฒนาทักษะการคูณ นอกเหนือจากชั่วโมงเรียนได้ด้วยตนเอง
45 ใบงานที่ 1 การคูณจำนวนหนึ่งหลักกับจำนวนมากกว่าสี่หลัก คำชี้แจง หาผลคูณให้ถูกต้อง 1. 4 × 12,991 วิธีทำ ตอบ 2. 5 × 39,016 วิธีทำ ตอบ 3. 7 × 43,708 วิธีทำ ตอบ 4. 9 × 89,005 วิธีทำ ตอบ 5. 8 × 215,986 วิธีทำ ตอบ ชื่อ.................................................................ชั้น ป.4 ... เลขที่ ................
46 จงหาผลคูณ 1. 4 x 2 = ก. 5 ข. 6 ค. 7 ง. 8 2. 6 x 9 = ก. 54 ข. 65 ค. 17 ง. 28 3. 14 x 5 = ก. 75 ข. 86 ค. 70 ง. 18 4. 514 x 2 = ก. 1,028 ข. 1,086 ค. 1,770 ง. 1,708 5. 920 x 3 = ก. 2,950 ข. 8,416 ค. 7,014 ง. 2,760 6. 12,984 x 2 = ก. 25,789 ข. 25,968 ค. 72,789 ง. 85,784 7. 62526 x 7 = ก. 512,544 ข. 684,587 ค. 172,545 ง. 437,682 8. 2,015 x 4 = ก. 7,500 ข. 8,060 ค. 7,870 ง. 1,418 9. 55,412 x 6 = ก. 332,472 ข. 864,145 ค. 770,000 ง. 114,788 10. 1,450 x 5 = ก. 7,205 ข. 7,005 ค. 7,505 ง. 7,250 แบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง การคูณ คะแนนที่ได้......... ชื่อ.................................................................ชั้น ป.4 ... เลขที่ ................
47 เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน 1. ง 2. ก 3. ค 4. ก 5. ง 6. ข 7. ง 8. ข 9. ก 10.ง