รายงาน เรื่อง จิตวิทยาส าหรับครู นางสาว ปณิตา อาจสุนทร รหัสนักศึกษา 655571009-8 เสนอ ดร. กฤษฎาพันธ์ พงธ์บริบูรณ์ รายงานเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษา ตามหลักสูตรหลักสูตรศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต คณะศึกษาศาสตร์และศิลปะศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย พ.ศ. 2567
ก คำนำ รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชานวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา เป็นรายงานที่ จัดทำขึ้นเพื่อส่งเสริมให้นักศึกษามีทักษะการใช้เทคโนโลยีอย่างถูกต้อง พร้อมทั้งนำมาประยุกต์ใช้ในการศึกษา และในชีวิตประจำวัน เพื่อจะได้มีการเรียนรู้ใหม่ๆ ซึ่งจะเป็นการสร้างพื้นฐานให้นักศึกษามีความรู้และความ เข้าใจ ดังนั้นจึงได้จัดทำรายงานเพื่อนักศึกษาได้เข้าใจถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศต่างๆมา ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด และเพื่อใช้ประกอบการศึกษาและปฏิบัติอย่างถูกวิธี หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารประกอบการสอนรายวิชานวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา สำหรับครูเล่มนี้คงเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้ไม่มากก็น้อย ขนิษฐา ตาสาโรจน์ ผู้จัดทำ
ข สารบัญ เรื่อง หน้า จิตวิทยา 1 ความหมายของจิตวิทยา 1 ประวัติความเป็นมาของจิตวิทยา 1 จุดมุ่งหมายของจิตวิทยา 2 ขอบข่ายของจิตวิทยา 3 ระเบียบวิธีการศึกษาจิตวิทยา 4 วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่นิยมใช้ในจิตวิทยา 5 แนวความคิดของนักจิตวิทยาในกลุ่มต่างๆ 6 จิตวิทยาสำหรับครู 13 หลักการสำคัญของการเรียนรู้ 14 ความสำคัญของจิตวิทยาสำหรับครู 14 ประโยชน์ของจิตวิทยาสำหรับครู 14 ขอบข่ายจิตวิทยาสำหรับครู 15 ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมโคลเบิร์ก 16 ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟอรยด์ 17 ทฤษฎีพัฒนาการสติปัญญาของเพียเจต์ 19 การประยุกต์ใช้จิตวิทยาในชั้นเรียน 22 จิตวิทยาการศึกษา 24 ข้อจำกัดของจิตวิทยาการศึกษา 24 จิตวิทยาการศึกษากับการสอน 24 จิตวิทยาการศึกษาการปรับปรุงหลักสูตร 24 จิตวิทยาการศึกษากับการแนะแนว 25 จิตวิทยาการแนะแนวและการให้คำปรึกษา 25 บริการแนะแนวที่ควรจัดในโรงเรียน 25 ประเภทของการแนะแนว 25 ปรัชญาการแนะแนว 26 บริการให้คำปรึกษาในโรงเรียน 26
ค สารบัญ(ต่อ) เรื่อง หน้า จิตวิทยาเด็ก 27 รวมเทคนิคการใช้จิตวิทยาเด็ก 29
1 จิตวิทยาส าหรับเด็ก ความหมายของจิตวิทยา จิตวิทยานั้น มีความหมายตามชื่อ คือการศึกษาเกี่ยวกับ “จิต” เช่นเดียวกับ ชีววิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับ “ชีวะ” หรือสิ่งมีชีวิต หรือรังสีวิทยาที่ศึกษาเกี่ยวกับรังสี หลายๆ ท่านคงเริ่มสงสัยต่อว่า แล้ว “จิต” หมายถึง อะไร คำว่า “จิต” หรือจิตใจนั้น หมายถึงสิ่งที่ควบคุมให้เราทำสิ่งต่างๆ ท่านลองนึกว่าร่างกายของท่านคือ หุ่นยนต์ หากไม่มีอะไรมาควบคุม ต่อให้มีไฟฟ้าหรือพลังงาน หุ่นยนต์ตัวนั้นก็ได้แต่ยืนนิ่งๆ แต่เมื่อไรก็ตามที่มี คนมาควบคุม หุ่นยนต์ตัวนั้นจึงจะเคลื่อนไหว มนุษย์ก็เช่นกัน โดยสิ่งที่คอยสั่งให้เราทำอะไรต่ออะไร ก็คือจิต หรือความคิดของเราจิตวิทยานอกจากจะศึกษาเกี่ยวกับความคิด ที่คอยควบคุมให้เราทำสิ่งต่างๆ แล้ว จิตวิทยา ยังศึกษาความคิดที่อยู่ในใจที่ไม่แสดงออก รวมถึงอารมณ์และความรู้สึกของเราอีกด้วย นอกจากนี้จิตวิทยายัง ศึกษาเกี่ยวกับการกระทำหรือการเคลื่อนไหวหรือการแสดงออกมาภายนอก โดยทั้งความคิด อารมณ์ ความรู้สึก และการกระทำนั้น เราเรียกรวมกันว่าคือ “พฤติกรรม”สรุปสั้นๆ แล้วจิตวิทยาก็คือศาสตร์ที่ศึกษา เกี่ยวกับพฤติกรรมของมนุษย์นั่นเองพฤติกรรมของมนุษย์นั้นมีมากมายมหาศาล ตั้งแต่ เดิน นอน พูด กิน ทำงาน นอกจากนี้อารมณ์ และความรู้สึกก็มีไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นดีใจ เสียใจ โกรธ ผิดหวัง เศร้า และอื่นๆ อีก มากมาย ดังนั้นจิตวิทยาเลยมีหัวข้อให้ศึกษามากมาย ประวัติความเป็นมาของจิตวิทยา จิตวิทยาได้เริ่มขึ้นโดยนักปราชญ์ชาวกรีก ชื่อ เพลโต และอริสโตเติล เพลโตเชื่อว่าการคิดและการใช้ เหตุผลเท่านั้น ที่ทำให้คนเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เขาสามารถจะเข้าใจได้ โดยไม่สนใจวิธีการสังเกตหรือการ ทดลองใด ๆ แต่อริสโตเติลกลับเป็นนักสังเกตสิ่งรอบตัว เขาสนใจสิ่งภายนอกที่มองเห็นได้ การเข้าใจ ปรากฏการณ์ตามธรรมชาติที่เกี่ยวข้องกับคนต้องเริ่มด้วยการสังเกตอย่างมีระบบในคริสต์ศตวรรษที่ 13
2 ศาสนาเริ่มเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยแนวคิดทางศาสนาเน้นว่าจิตเป็นส่วนที่แยกออกจากร่างกายในคริสต์ศตวรรษที่ 15 การฟื้นฟูการสืบสวนโดยวิธีทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการละทิ้งความเชื่อแบบเดิม ๆ มีการค้นหาความรู้ใหม่ ๆ วิธีการก็เริ่มมีลักษณะที่เป็นวิทยาศาสตร์ ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฟรานซิส เบคอน กล่าวว่า “ทฤษฎีให้ แนวทาง การวิจัยให้คำตอบ” โดยชี้ให้เห็นถึงความสำคัญระหว่างทฤษฎีและการวิจัยกลางคริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีกลุ่มแนวคิดที่สำคัญเกิดขึ้น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประจักษ์นิยมชาวบริเตน (British Empiricism) ที่เชื่อว่า ความรู้ผ่านเข้ามาทางสื่อกลางของความรู้สึก จิตเป็นที่รวมของความคิดเห็น นักจิตวิทยา กลุ่มนี้มีบทบาทสำคัญต่อการเกิดจิตวิทยากลุ่มสัมพันธนิยม (Associationistic Psychology) นักจิตวิทยาอีก กลุ่มหนึ่งกลับสนใจทางชีวภาพ เช่น ความแตกต่างระหว่างประสาทส่วนรับความรู้สึกกับประสาทส่วนการ เคลื่อนไหว และ ลักษณะทางกายที่แสดงปฏิกิริยาสะท้อน (reflex) นักจิตวิทยากลุ่มนี้พยายามอธิบายการ กระทำของมนุษย์ด้วยหลักการทางฟิสิกส์ คือ จิตฟิสิกส์ซึ่งเป็นวิธีที่ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างลักษณะทาง กายภาพของสิ่งเร้ากับประสบการณ์รู้สึกที่ผู้ที่ถูกเร้ารายงานออกมา จุดมุ่งหมายของจิตวิทยา จิตวิทยาเป็นวิชาที่จัดอยู่ในกลุ่มพฤติกรรมศาสตร์ โดยมีจุดมุ่งหมายดังต่อไปนี้ 1. เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจพฤติกรรม (Understanding Behavior) ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรม ภายนอก กระบวนการทางจิต (Mental Process) ที่เกิดขึ้นภายใน อันจะทำให้สามารถเข้าใจตนเองและผู้อื่น ได้อย่างถ่องแท้ยิ่งขึ้น 2. เพื่อให้ผู้ศึกษาสามารถอธิบายพฤติกรรม (Explanation Behavior) ทั้งหลายที่เกิดขึ้นได้ พฤติกรรม ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้นต่างมีเหตุจูงใจในการแสดงพฤติกรรมทั้งสิ้น ดังนั้นนักจิตวิทยาจะใช้วิธีการทาง วิทยาศาสตร์ในการค้นหาคำตอบ เพื่ออธิบายถึงปัจจัยที่เป็นสาเหตุสำคัญแห่งพฤติกรรมที่แสดงออกนั้น ๆ 3. เพื่อให้ผู้ศึกษาสามารถทำนายพฤติกรรม (Prediction Behavior) ซึ่งการทำนายนั้นหมายถึงการ คาดคะเนผลที่ควรจะเกิดขึ้นจากสาเหตุต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสม 4. เพื่อให้ผู้ศึกษาสามารถควบคุมพฤติกรรม (Control Behavior) ที่ไม่พึงประสงค์ให้ลดลงหรือหมด ไป โดยในขณะเดียวกันนั้นก็จะต้องสามารถเสริมสร้างพฤติกรรมที่พึงประสงค์ให้เกิดขึ้นใหม่ด้วย 5. เพื่อให้ผู้ศึกษานำความรู้ไปประยุกต์ใช้ (Application) ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ โดยไม่ว่าจะเป็น ปัญหาที่เกิดขึ้นกับตนเอง และ/หรือสังคมได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
3 ขอบข่ายของจิตวิทยา ปัจจุบันนั้น จิตวิทยาได้แตกแขนงออกไปเป็นหลากหลายสาขา โดยจะเน้นศึกษาพฤติกรรมในแง่มุมที่ แตกต่างกันออกไป โดยขึ้นอยู่กับว่าจุดมุ่งหมายของแต่ละสาขานั้นเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งสามารถจำแนก ขอบข่ายของจิตวิทยาได้ 2 ประเภท ได้แก่ 1. ขอบข่ายพื้นฐาน (Basic Fields) 1) จิตวิทยาทั่วไป (General or Pure Psychology) เป็นจิตวิทยาที่มุ่งศึกษาถึงกฎเกณฑ์ ทฤษฎีพื้นฐานทางจิตวิทยา ซึ่งเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมโดยทั่ว ๆ ไปของมนุษย์ เป็นการปูพื้นฐานทางจิตวิทยา 2) จิตวิทยาการทดลอง (Experimental Psychology) เป็นการศึกษาถึงกระบวนการต่างๆ ของสิ่งมีชีวิตในสภาพการณ์ด้านต่าง ๆ เช่น การเรียนรู้ การลืม การจำ โดยใช้วิธีการทดลองเป็นหลักสำคัญใน การศึกษาค้นคว้า และนำผลที่ได้จากการทดลองไปสร้างเป็นทฤษฎีและเกณฑ์เพื่อประยุกต์ในวิชาการแขนง ต่างๆ 3) จิตวิทยาเชิงสรีรวิทยา (Physiological Psychology) เป็นการศึกษาเกี่ยวกับร่างกายของ มนุษย์ซึ่งเป็น องค์ประกอบพื้นฐานในการก่อเกิดการแสดงออกทางพฤติกรรม เน้นถึงโครงสร้างหน้าที่การ ทำงานของอวัยวะที่มีส่วนเกี่ยวพันกับการเกิดพฤติกรรมโดยเฉพาะ 4) จิตวิทยาสังคม (Social Psychology) มุ่งศึกษาเกี่ยวกับบทบาท ความสัมพันธ์ และ พฤติกรรมการแสดงออกของบุคคลในสังคม โดยเน้นไปที่การสำรวจมติมหาชน ทัศนคติ ค่านิยม รวมไปถึง วัฒนธรรมของแต่ละสังคม เพื่อสรุปเป็นเกณฑ์สำหรับอธิบายพฤติกรรมของสังคมแต่ละสังคม 5) จิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology or Genetic Psychology) เป็น การศึกษาที่มุ่งเน้นถึงพัฒนาการของมนุษย์ตั้งแต่เริ่มปฏิสนธิ ตลอดจนอิทธิพลของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อมที่ มีผลต่อพฤติกรรมต่าง ๆ เช่น อารมณ์ สติปัญญา เป็นต้น 2. ขอบข่ายประยุกต์ (Applied Fields) 1) จิตวิทยาการศึกษา (Educational Psychology) มุ่งศึกษาเกี่ยวกับการประยุกต์ทฤษฎี เพื่อใช้ในการศึกษา พัฒนาการเรียนการสอน เน้นให้เกิดความรู้อย่างแท้จริงตามปรัชญาทางการศึกษา 2) จิตวิทยาคลินิก (Clinical Psychology) มุ่งศึกษาเหตุแห่งความ ผิดปกติทางพฤติกรรม เพื่อหาแนวทางในการบำบัดรักษาในด้านต่าง ๆ เช่น อารมณ์ พฤติกรรม อาการป่วยทางจิตใจ ตลอดจนการ ป้องกันและส่งเสริมสุขภาพจิตด้วย 3) จิตวิทยาการให้คำปรึกษา (Counseling Psychology) มุ่งศึกษาถึงเทคนิคและวิธีการต่าง ๆ เพื่อช่วยให้บุคคลที่ประสบปัญหาทางอารมณ์และจิตใจได้เข้าใจและเห็นแนวทางในการเลือกแก้ปัญหาด้วย ตนเองได้ 4) จิตวิทยาอุตสาหกรรม (Industrial Psychology) มุ่งศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมการทำงาน
4 ในงานประเภทอุตสาหกรรม ในแง่ของ ประสิทธิภาพในการทำงาน ผลของสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อคนงาน การ สร้างขวัญและการจูงใจการคัดเลือกบุคคล ตลอดจนการประเมินการทำงานในสถานประกอบการทั้งหลาย เพื่อ ค้นหากระบวนการที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในงานอุตสาหกรรม 5) จิตวิทยาเปรียบเทียบ (Comparative Psychology) มุ่งศึกษาความเหมือนและแตกต่าง ของพฤติกรรมการแสดงออกของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย นอกจากนี้ ในขอบข่ายของจิตวิทยาประยุกต์นั้นยังมีอีกมากมาย เช่น จิตวิทยา ชุมชน (Community Psychology) จิตวิทยาบุคลิกภาพ (Personality Psychology) จิตวิทยาบำบัด (Therapy Psychology) จิตวิทยาวิศวกรรม (Engineering Psychology) จิตวิทยาการกีฬา (Sport Psychology) เป็นต้น ระเบียบวิธีการศึกษาทางจิตวิทยา จิตวิทยานั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นวิทยาศาสตร์ทางพฤติกรรมหรือที่เรียกกันว่า พฤติกรรมศาสตร์ ซึ่ง เป็นศาสตร์แขนงหนึ่งในทางวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุผลที่จิตวิทยานั้นได้นำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ เพื่อค้นคว้าหาคำตอบ เกี่ยวกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นทั้งหลาย ซึ่งวิธีการทางวิทยาศาสตร์ที่กล่าวมานั้น ประกอบไปด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ตั้งปัญหา (Formulating Problem) เป็นขั้นตอนที่จะต้องกำหนดปัญหาที่จะศึกษาค้นคว้าอย่างชัดเจนว่าต้องการค้นคว้าศึกษาหา คำตอบในเรื่องใด นั่นคืออะไรที่ทำให้เราเกิดความสงสัยใคร่รู้นั่นเอง 2. ตั้งสมมติฐาน (Stating Hypothesis) หลังจากที่ได้กำหนดปัญหาที่ชัดเจนแล้ว ผู้ศึกษาควรคาดคะเนผลที่ควรจะเกิดขึ้นล่วงหน้าว่า จะเป็นอย่างไร โดยอาจอาศัยทฤษฎีที่เกี่ยวข้องมาสนับสนุน แต่ไม่ใช่การเดาสุ่มอย่างไม่มีหลักเกณฑ์ การ ตั้งสมมติฐานเปรียบเสมือนกับแผนที่ในการเดินทางสู่เป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและใกล้เคียงกับสิ่งที่เป็นจริง มากยิ่งขึ้น 3. รวบรวมข้อมูล (Collecting Data) ทั้งนี้ทฤษฎีบางอย่างอาจมีข้อจำกัดหรือเบี่ยงเบนตามสภาพแวดล้อมหรือสาเหตุที่ซ้อนเร้นที่ผู้ ศึกษาไม่ทราบ ดังนั้นหลังจากการตั้งสมมติฐานแล้ว ผู้ศึกษาจะต้องทำการแสวงหาข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ มา เพื่อสนับสนุนสมมติฐานที่ตั้งไว้ อาจทำได้หลายวิธีเช่น การสังเกต การสัมภาษณ์ การใช้แบบทดสอบต่าง ๆ เป็นต้น ซึ่งในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ทั้งหมดขึ้นตอนนี้ถือว่ามีความสำคัญมากที่สุด เนื่องจากผลวิเคราะห์ ที่ออกมามีความถูกต้องมากน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้วิธีการในการเก็บรวบรวมข้อมูล 4. การวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis and Testing Data) เมื่อรวบรวมข้อมูลได้มากพอที่จะสนับสนุนสมติฐานแล้ว จึงนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์เพื่อทำ
5 การทดสอบสมมติฐานดังกล่าว ทั้งนี้การวิเคราะห์ข้อมูลอาจทำได้โดยการหาค่าทางสถิติต่าง ๆ แล้วจึงนำค่า เหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับสมมติฐานที่กำหนดไว้ แล้วจึงแปลความจากค่าสถิติดังกล่าวอีกครั้งหนึ่ง 5. ประเมินผลและสรุป (Conclusion) หลังจากทำการวิเคราะห์ข้อมูลเสร็จสิ้น ควรมีการสรุปผลเพื่อให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจ 6. การนำไปใช้ (Applied Finding) เป็นการนำผลที่ได้จากขั้นตอนที่ 5 ไปใช้อธิบายพฤติกรรมหรือแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใน โอกาสต่อไป วิธีการรวบรวมข้อมูลที่นิยมใช้ในทางจิตวิทยา สามารถจำแนกออกได้ ดังนี้ 1) วิธีการสังเกต (Observation Method) เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการเฝ้าดูพฤติกรรมของบุคคลในสถานการณ์จริงอย่างมี จุดมุ่งหมาย และทำการบันทึกพฤติกรรมที่แสดงออกมาอย่างตรงไปตรงมา ไม่มีอคติ และอารมณ์ส่วนตัวโดย เด็ดขาด การสังเกตสามารถแบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ได้แก่ - การสังเกตอย่างมีแบบแผน (Formal Observation) นั่นคือ การสังเกตที่มีการเตรียมพร้อม ไว้ล่วงหน้า มีการวางแผน กำหนดเวลา สถานการณ์ สถานที่ พฤติกรรม และบุคคลที่จะสังเกตไว้อย่างครบถ้วน - การสังเกตอย่างไม่มีแบบแผน (Informal Observation) เป็นการสังเกตอย่างกระทันหัน ทันทีทันใด ไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า แต่อย่างไรก็ตาม ผู้สังเกตควรจะต้องมีจุดมุ่งหมายในการสังเกตด้วย 2) วิธีการทดลอง (Experimental Method) หมายถึง การจัดสร้างหรือเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ เพื่อ สังเกตผลที่เกิดขึ้นจากการสร้างหรือเปลี่ยนแปลงนั้น ๆ ซึ่งโดยมากแล้วจะกระทำกันในห้องปฏิบัติการ (Laboratory Experiment) โดยในการทดลองนี้มักจะแบ่งกลุ่มการทดลองออก 3) วิธีการสำรวจ (Survey) เป็นวิธีการอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เพราะเป็นวิธีการ ที่ใช้ช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่มากนัก แต่ทั้งนี้สิ่งที่ต้องคำนึงนั่นคือ หากกลุ่มประชากรมีจำนวนที่มากเกินการสำรวจได้ อย่างทั่วถึง จะต้องมีวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการคัดเลือกกลุ่มตัวอย่าง (Sample Group) จากกลุ่มประชากร เพื่อนำมาเป็นตัวแทนของประชากรทั้งหมด วิธีการในการสำรวจ อาทิ แบบสอบถาม สัมภาษณ์ เป็นต้น 4) การทดสอบ (Testing) เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยมใช้ในการศึกษาทางจิตวิทยา เนื่องจากการทดสอบจะ ใช้แบบทดสอบมาตรฐาน (Standardized test) ที่นักจิตวิทยาสร้างขึ้นเพื่อวัดหรือประเมินลักษณะทาง พฤติกรรม 5) การสัมภาษณ์ (Interview) เป็นวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้การสนทนาระหว่างบุคคล เพื่อให้ เกิดความเข้าใจที่ละเอียดและลึกมากยิ่งขึ้น แต่ทั้งนี้จะต้องมีการวางแผนล่วงหน้าอย่างดี โดยเฉพาะการสื่อ
6 ความหมายที่ต้องเน้นให้เหมาะสม ในการสัมภาษณ์นั้นจะต้องใช้วิธีการสังเกตในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทั้งนี้ เพื่อดูพฤติกรรมระหว่างการสัมภาษณ์อีกด้วย 6) วิธีการทางคลินิก (Clinical Methods)เป็นเทคนิคการเก็บรวบรวมข้อมูลรายบุคคล (Individual Case) ซึ่งจะใช้เฉพาะบุคคลที่มีอาการทางจิตเท่านั้น 7) การสืบประวัติ (Case History) เป็นการรวบรวมข้อมูลเพื่อหาเหตุแห่งพฤติกรรมที่เป็นปัญหาใน ปัจจุบัน โดยการศึกษาถึงประวัติย้อนหลังซึ่งอาจมาจากบันทึก คำบอกเล่าของผู้ถูกศึกษา ญาติพี่น้อง รวมทั้ง บุคคลใกล้ชิด แต่ทั้งนี้ เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนที่อาจเกิดขึ้นได้ในวิธีการนี้ จึงอาจต้องใช้วิธีการอื่น ๆ ประกอบร่วมด้วย 8) การตรวจสอบจิตตนเอง (Introspection Method) เป็นวิธีการรวบรวมข้อมูลโดยให้มีการสำรวจ ทบทวนตนเองในช่วงเวลาเกิดปัญหาที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้จะต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ที่ถูกศึกษาอย่างจริงจัง ด้วย มิฉะนั้นข้อมูลที่ได้อาจเกิดการคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงได้มาก แนวความคิดของนักจิตวิทยาในกลุ่มต่าง ๆ 1. ทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์(Thorndike’s Classical Connectionism) ธอร์นไดค์(ค.ศ.1814- 1949) เชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ซึ่งมีหลายรูปแบบบุคคลจะมีการ ลองผิดลองถูก(trial and error)ปรับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบรูปแบบการตอบสนองที่สามารถให้ผลที่พึง พอใจมากที่สุด เมื่อเกิดการเรียนรู้แล้ว บุคคลจะใช้รูปแบบการตอบสนองที่เหมาะสมเพียงรูปแบบเดียว และจะ พยายามใช้รูปแบบนั้นเชื่อมโยงกับสิ่งเร้าในการเรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ 2. ทฤษฎีการวางเงื่อนไข(Conditioning Theory) ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบอัตโนมัติ(Classical conditioning)ของพาฟลอฟ พาฟลอฟ(Pavlov)ได้ทำ การทดลองให้สุนัขนํ้าลายไหลด้วยเสียงกระดิ่ง การเรียนรู้ของสุนัขเกิดจากการรู้จักเชื่อมโยงระหว่างเสียง กระดิ่ง ผงเนื้อบดและพฤติกรรมนํ้าลายไหล ทฤษฎีการวางเงื่อนไขของวัตสัน(Watson) วัตสัน(Watson)ได้ทำการทดลองโดยให้เด็กคนหนึ่งเล่นกับ หนูขาว ก็ทำเสียงดังจนเด็กตกใจร้องไห้ หลังจากนั้นเด็กก็จะกลัวและร้องไห้เมื่อเห็นหนูขาว ต่อมาทดลองให้นำ หนูขาวมาให้เด็กดูโดยแม่จะกอดเด็กไว้จากนั้นเด็กก็จะค่อยๆหายกลัวหนูขาว ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบต่อเนื่อง(Contiguous Conditioning)ของกัทธรีกัทธรีได้ทำการทดลองโดย ปล่อยแมวที่หิวจัดเข้าไปในกล่องปัญหา มีเสาเล็กๆตรงกลาง มีกระจกที่ประตูทางออก มีปลาแซลมอนวางไว้ นอกกล่อง เสาในกล่องเป็นกลไกเปิดประตู แมวบางตัวใช้แบบแผนการกระทำหลายแบบเพื่อจะออกจากกล่อง แมวบางตัวใช้วิธีเดียว
7 ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอร์แรนต์(Operant Conditioning)ของสกินเนอร์(Skinner)สกินเนอร์ (Skinner)ได้ทำการทดลองโดยนำหนูที่หิวจัดใส่กล่อง ภายในมีคานบังคับให้อาหารตกลงไปในกล่องได้ ตอน แรกหนูจะวิ่งชนโน่นชนนี่ เมื่อชนคานจะมีอาหารตกมาให้กิน ทำหลายๆครั้งพบว่า หนูจะกดคานทำให้อาหาร ตกลงไปได้เร็วขึ้น 3.ทฤษฎีการเรียนรู้ของฮัลล์(Hull’s Systematic Behavior Theory) ฮัลล์(Hull)ได้ทำการทดลองโดยฝึกหนูให้กดคาน โดยแบ่งหนูเป็นกลุ่มๆแต่ละกลุ่มอดอาหาร 24 ชั่วโมง และแต่ละกลุ่มมีแบบแผนในการเสริมแรงแบบตายตัวต่างกัน บางกลุ่มกดคาน 5 ครั้ง จึงได้อาหารไปจนถึงกลุ่ม ที่กด 90 ครั้ง จึงได้อาหารและอีกพวกหนึ่งทดลองแบบเดียวกัน แต่อดอาหารเพียง 3 ชั่วโมง ผลปรากฏว่า ยิ่ง อดอาหารมาก คือ มีแรงขับมาก จะมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความเข้มของนิสัย กล่าวคือ จะทำให้การ เชื่อมโยงระหว่างอวัยวะรับสัมผัส receptor)กับอวัยวะแสดงออก(effector)เข้มแข็งขึ้น ดังนั้นเมื่อหนูหิวมาก จึงมีพฤติกรรมกดคานเร็วขึ้น สรุป ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม คือ มองธรรมชาติของมนุษย์ใน ลักษณะที่เป็นกลาง คือ ไม่ดี – ไม่เลว การกระทำต่างของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า(stimulus response) การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยง ระหว่างสิ่งเร้าและการตอบสนอง กลุ่มพฤติกรรมนิยมให้ความสนใจกับพฤติกรรมมากเพราะพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ เห็นได้ชัด สามารถวัดและทดสอบได้มีทฤษฎีที่สำคัญอยู่ 3 กลุ่มคือ - ทฤษฎีการเชื่อมโยงของธอร์นไดค์ (Thorndike’s Classical Connectionism) - ทฤษฎีการวางเงื่อนไข(Conditioning Theory) - ทฤษฎีการ เรียนรู้ของฮัลล์(Hull’s Systematic Behavior Theory) 4.กลุ่มจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis) กลุ่มจิตวิทยากลุ่มนี้เน้นความสำคัญของ“จิตไร้สำนึก”(uncoscious mind)ว่า มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม กลุ่มนี้จัดเป็นกลุ่ม “พลังที่หนึ่ง”(The first force)ที่แหวกวงล้อมจากจิตวิทยายุคเดิม นักจิตวิทยาในกลุ่มจิต วิเคราะห์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ได้แก่ ฟรอยด์(Sigmund Freud,1856-1939)และส่วนใหญ่แนวคิดใน กลุ่มจิตวิเคราะห์นี้เป็นของฟรอยด์ซึ่งเป็นจิตแพทย์ ชาวออสเตรีย เป็นผู้ที่สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic Theory) ซึ่งเป็นทฤษฎีทางด้านการพัฒนาPsychosexualโดยเชื่อว่าเพศหรือกามารมณ์ (sex)เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาของมนุษย์ แนวคิดดังกล่าวเกิดจากการสนใจศึกษาและสังเกตผู้ป่วยโรค ประสาท ด้วยการให้ผู้ป่วยนอนบนเก้าอี้นอนในอิริยาบถที่สบายที่สุด จากนั้นให้ผู้ป่วยเล่าเรื่องราวของตนเองไป เรื่อยๆ ผู้รักษาจะนั่งอยู่ด้านศีรษะของผู้ป่วย คอยกระตุ้นให้ผู้ป่วยได้พูดเล่าต่อไปเรื่อยๆเท่าที่จำได้ และคอย บันทึกสิ่งที่ผู้ป่วยเล่าอย่างละเอียด โดยไม่มีการขัดจังหวะ แสดงความคิดเห็น หรือตำหนิผู้ป่วย ซึ่งพบว่าการ กระทำดังกล่าวเป็นวิธีการที่ช่วยให้ผู้รักษาได้ข้อมูลที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของผู้ป่วย และจากการรักษาด้วยวิธีนี้เอง จึงทำให้ฟรอยด์เป็นคนแรกที่สร้างทฤษฎีจิตวิเคราะห์ เขาอธิบายว่า จิตของคนเรามี 3 ส่วน คือ จิตสำนึก (conscious mind)จิตกึ่งรู้สำนึก(preconscious mind)และจิตไร้สำนึก (unconscious mind)ซึ่งมีลักษณะ
8 ดังนี้ เชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์ส่วนมากกำหนดขึ้นโดยสัญชาตญาณ ซึ่งมีมาตั้งแต่กำเนิด สัญชาตญาณเหล่านี้ ส่วนมากจะอยู่ในระดับจิตไร้สำนึก เขาเชื่อว่าการทำงานของจิตแบ่งเป็น 3 ระดับ เปรียบเสมือนก้อนนํ้าแข็ง ลอยอยู่ในทะเล คือ 1.จิตรู้สำนึก(Conscious mind)เป็นส่วนที่โผล่ผิวนํ้าขึ้นมา ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก เป็นสภาพที่รู้ตัวว่าคือ ใคร อยู่ที่ไหน ต้องการอะไร หรือกำลังรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งใด เมื่อแสดงพฤติกรรมอะไรออกไปก็แสดงออกไปตาม หลักเหตุและผล แสดงตามแรงผลักดันจากภายนอก สอดคล้องกับหลักแห่งความเป็นจริง(principle of reality) 2.จิตกึ่งรู้สำนึก(Preconscious mind)เป็นส่วนที่อยู่ใกล้ๆผิวนํ้า เป็นจิตที่เก็บสะสมข้อมูลประสบการณ์ ไว้มากมาย มิได้รู้ตัวในขณะนั้นแต่พร้อมให้ดึงออกมาใช้ พร้อมเข้ามา อยู่ในระดับจิตสำนึก เช่น เดินสวนกับคน รู้จัก เดินผ่านเลยมาแล้วนึกขึ้นได้รีบกลับไปทักทายใหม่ เป็นต้น และอาจถือได้ว่าประสบการณ์ต่างๆที่เก็บไว้ใน รูปของความจำก็เป็นส่วนของจิตกึ่งรู้สำนึกด้วย เช่น ความขมขื่นในอดีต ถ้าไม่คิดถึงก็ไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้านั่ง ทบทวนเหตุการณ์ทีไรก็ทำให้เศร้าได้ทุกครั้ง เป็นต้น 3.จิตไร้สำนึก(Unconscious mind)เป็นส่วนใหญ่ของก้อนนํ้าแข็งที่อยู่ใต้นํ้า ฟรอยด์เชื่อว่า จิตส่วนนี้มี อิทธิพลมากต่อพฤติกรรมของมนุษย์ กระบวนการจิตไร้สำนึกนี้ หมายถึง ความคิด ความกลัว และความ ปรารถนาของมนุษย์ ซึ่งผู้เป็นเจ้าของเก็บกดไว้โดยไม่รู้ตัวแต่มี อิทธิพลต่อเขา พลังของจิตไร้สำนึกอาจจะปรากฏขึ้นในรูปของความฝัน การพลั้งปากหรือการแสดงออกมาเป็น กิริยาอาการที่บุคคลทำโดยไม่รู้ตัว เป็นต้น ฟรอยด์ เชื่อว่า มนุษย์มีสัญชาตญาณติดตัวมาแต่กำเนิด พฤติกรรมของบุคคลเป็นผลมาจากแรงจูงใจ หรือแรงขับพื้นฐานที่กระตุ้นให้บุคคลมีพฤติกรรม คือ สัญชาตญาณทางเพศ (sexual instinct) 2 ลักษณะคือ 1.สัญชาตญาณเพื่อการดำรงชีวิต(eros = life instinct) 2.สัญชาตญาณเพื่อความตาย(thanatos = death instinct) โครงสร้างบุคลิกภาพ (The personality structure) ฟรอยด์ เชื่อว่าโครงสร้างบุคลิกภาพของบุคคลมี 3 ประการ คือ 1.ตนเบื้องต้น(id) คือ ตนที่อยู่ในจิตไร้สำนึก เป็นพลังที่ติดตัวมาแต่กำเนิด มุ่งแสวงหา ความพึงพอใจ (pleasure seeking principles)และเป็นไปเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น โดยไม่คำนึงถึง เหตุผล ความถูกต้อง และความเหมาะสม ประกอบด้วย ความต้องการทางเพศและความก้าวร้าว เป็น โครงสร้างเบื้องต้นของจิตใจ และเป็นพลังผลักดันให้ ego ทำในสิ่งต่างๆ ตามที่ id ต้องการ 2.ตนปัจจุบัน(ego)คือ พลังแห่งการใช้หลักของเหตุและผลตามความเป็นจริง(reality principle)เป็น ส่วนของความคิดและสติปัญญา ตนปัจจุบัน จะอยู่ในโครงสร้างของจิตใจทั้ง 3 ระดับ
9 3.ตนในคุณธรรม(superego)คือ ส่วนที่ควบคุมการแสดงออกของบุคคลในด้านคุณธรรม ความดี ความชั่ว ความถูกผิด มโนธรรม และจริยธรรมที่สร้างโดยจิตใต้สำนึกของบุคคลนั้น ซึ่งเป็นผลที่ได้รับจากการ เรียนรู้ในสังคมและวัฒนธรรมนั้นๆ ตนในคุณธรรมจะทำงานอยู่ในโครงสร้างของจิตใจทั้ง 3 ระดับ การทำงานของตนทั้ง 3 ประการ จะพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลให้เด่นไปด้านใดด้านหนึ่งของทั้ง 3 ประการนี้ แต่บุคลิกภาพที่พึงประสงค์ คือ การที่บุคคลสามารถใช้พลังอีโก้เป็นตัวควบคุมพลังอิด และซูเปอร์อี โก้ให้อยู่ในภาวะที่สมดุลได้ นอกจากนี้ฟรอยด์ใช้วิธีการวิเคราะห์ความฝันของผู้มีปัญหา เขาเชื่อว่า ความฝันมี ความสัมพันธ์กับสิ่งที่ได้ประสบมาในชีวิตจริงปัญหาต่างๆที่แก้ไม่ได้อาจจะไปแสดงออกในความฝัน เพื่อเป็น การระบายออกของพฤติกรรมอีกทางหนึ่ง 5.กลุ่มเกสตัลท์(Gestalt Psychology) นักจิตวิทยาคนสำคัญกลุ่มนี้ได้แก่ Max Werthimer,Kurt Koffka และWolfgang Kohlerทั้งหมด เป็นชาวเยอรมันเชื้อสายยิว กลุ่มนี้เชื่อว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นเพียงหน่วยรับสิ่งเร้าที่อยู่นิ่งเฉยเท่านั้น แต่จิตมีการ สร้างกระบวนการประมวลข้อมูลที่รับเข้ามาและส่งผลออกไปเป็นข้อมูลใหม่หรือสารสนเทศชนิดใหม่ นักจิตวิทยากลุ่มนี้ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของกลุ่มพฤติกรรมนิยม กลุ่มนี้เน้นอธิบายว่า การเรียนรู้เกิดจากการ รับรู้เป็นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อยรวมกัน เพราะคนเราจะรับรู้สิ่งต่างๆในลักษณะรวมๆได้ดีกว่ารับรู้ส่วน ปลีกย่อย กลุ่มนี้เห็นว่า การเรียนรู้จะเกิดขึ้น เมื่อมีการรับรู้เป็นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อยรวมกัน มนุษย์จะรับ ในสิ่งที่ตนเองสนใจเท่านั้น สิ่งใดที่สนใจรับรู้จะเป็นภาพ สิ่งใดที่ไม่ได้สนใจรับรู้จะเป็นพื้น ดังเช่น รูปภาพ ข้างบนถ้าสนใจมองที่สีขาว เราจะมองเห็นเป็นแก้ว แต่ถ้าเราสนใจมองสีดำเราจะเห็นเป็น รูปคนสองคนกำลัง หันหน้าเข้าหากัน คำว่า เกสตัลท์(Gestalt)เป็นภาษาเยอรมัน ความหมายเดิมแปลว่า แบบหรือรูปร่าง (Gestalt = form or Pattern) ต่อมาปัจจุบัน แปลว่า ส่วนรวมหรือส่วนประกอบทั้งหมด(Gestalt =The wholeness) กลุ่มเกสตัลท์ มีแนวคิดว่าการเรียนรู้เกิดจากการจัดสิ่งเร้าต่าง มารวมกัน เริ่มต้นด้วยการรับรู้โดย ส่วนรวมก่อนแล้ว จึงจะสามารถวิเคราะห์เรื่องการเรียนรู้ส่วนย่อยทีละส่วนต่อไป ต่อมาเลวิน ได้นำเอาทฤษฎี เกสตัลท์มาปรับปรุงเป็นทฤษฎีสนาม(Field theory โดยนำความรู้ทางคณิตศาสตร์และฟิสิกส์มาอธิบายทฤษฎี ของเขาแต่ก็ยังคงใช้หลักการเดียวกัน นั่นคือการเรียนรู้ของบุคคลจะเป็นไปได้ด้วยดีและสร้างสรรค์ถ้าเขาได้มี โอกาสเห็นภาพรวมทั้งหมดของสิ่งที่จะเรียนเสียก่อน เมื่อเกิดภาพรวมทั้งหมดแล้วก็เป็นการง่ายที่บุคคลนั้นจะ เรียนสิ่งที่ละเอียดปลีกย่อยต่อไป ปัจจุบันได้มีผู้นำเอาวิธีการเรียนรู้ของกลุ่มเกสตัลท์มาใช้อย่างกว้างขวางโดย เหตุที่เขา เชื่อในผลการศึกษาค้นคว้าที่พบว่า ถ้าให้เยาวชนได้เรียนรู้โดยหลักของเกสตัลท์แล้วเขาเหล่านั้นจะมี สติปัญญา ความคิดสร้างสรรค์ และความรวดเร็วในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น
10 หลักการเรียนรู้ของกลุ่มเกสตัลท์ กลุ่มเกสตัลท์ เชื่อว่า การเรียนรู้ที่เห็นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อยนั้น จะต้องเกิดจากประสบการณ์ เดิม และการเรียนรู้ย่อมเกิดขึ้น 2 ลักษณะ คือ 1.การรับรู้(Perception)การรับรู้ หมายถึง การแปลความหมายหรือการตีความต่อสิ่งเร้าของ อวัยวะรับสัมผัสส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งห้าส่วน ได้แก่ หู ตา จมูก ลิ้น และผิวหนัง การตีความนี้ มักอาศัย ประสบการณ์เดิม ดังนั้นแต่ละคนอาจรับรู้ในสิ่งเร้าเดียวกันแตกต่างกันได้ แล้วแต่ประสบการณ์ เช่น นางสาว ก. เห็นสีแดงแล้วนึกถึงเลือด แต่นางสาว ข.เห็นสีแดงอาจนึกถึงดอกกุหลาบสีแดงก็ได้ 2.การหยั่งเห็น(Insight) การหยั่งเห็น หมายถึง การเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยจะเกิดแนวความคิดใน การเรียนรู้หรือการแก้ปัญหาขึ้นอย่างฉับพลันทันทีทันใด(เกิดความคิดแวบขึ้นมาในสมองทันที)มองเห็น แนวทางการแก้ปัญหาตั้งแต่จุดเริ่มต้นเป็นขั้นตอนจนถึงจุดสุดท้ายที่สามารถจะแก้ปัญหาได้ เช่น การร้อง ออกมาว่ายูเรก้าของอาร์คีเมดิสเพราะเกิดการหยั่งเห็น(Insight)ในการแก้ปัญหาการหาปริมาตรของมงกุฎ ทองคำด้วยวิธีการแทนที่นํ้า ว่าปริมาตรของมงกุฎที่จมอยู่ในนํ้าจะเท่ากับปริมาตรของนํ้าที่ล้นออกมา แล้วใช้ วิธีการนี้หาปริมาตรของวัตถุที่มีรูปทรงไม่เป็นเรขาคณิตมาจนถึงบัดนี้ การเรียนรู้ของกลุ่มเกสตัลท์ที่เน้น “การรับรู้เป็นส่วนรวมมากกว่าส่วนย่อย”นั้น ได้สรุปเป็นกฎการ เรียนรู้ของทั้งกลุ่ม 4 กฎ เรียกว่า กฎการจัดระเบียบเข้าด้วยกัน(The Laws of Organization) ดังนี้ 1.กฎแห่งความแน่นอนหรือชัดเจน(Law of Pregnant) 2.กฎแห่งความคล้ายคลึง(Law of Similarity) 3.กฎแห่งความใกล้ชิด(Law of Proximity) 4.กฎแห่งการสิ้นสุด(Law of Closure) โดยกำหนดFigureและBackground แต่ในที่นี้ขอเสนอพอสังเขป ดังนี้ แนวความคิดของนักจิตวิทยากลุ่มนี้ คือ การพิจารณาพฤติกรรมหรือประสบการณ์ของคนเป็น ส่วนรวม ซึ่งส่วนรวมนั้นมีค่ามากกว่าผลบวกของส่วนย่อยต่างๆ มารวมกัน เช่น คนนั้นมีค่ามากกว่าผลบวกของ ส่วนย่อยต่างๆมารวมตัวกันเป็นคน ได้แก่ แขน ขา ลำตัว สมองฯลฯ จิตวิทยากลุ่มเกสตัลท์นิยม จึงหมายถึง จิตวิทยาที่ยึดถือเอาส่วนรวมทั้งหมดเป็นสำคัญ นักจิตวิทยา กลุ่มนี้ยังมีความเห็นอีกว่า การศึกษาทางจิตวิทยานั้นจะต้องศึกษาพฤติกรรมทางจิตเป็นส่วนรวมจะแยกศึกษา ที่ละส่วนไม่ได้ กลุ่มGESTALISM เห็นว่าวิธีการของ BEHAVIORISM ที่พยายามจะแยกพฤติกรรมออกมาเป็น หน่วยย่อย เช่น เป็นสิ่งเร้าและการตอบสนองนั้นเป็นวิธีการไม่ใช่เรื่องของจิตวิทยา น่าจะเป็นเรื่องของเคมีหรือ ศาสตร์บริสุทธิ์แขนงอื่นๆ ดังนั้นกลุ่ม GESTALISM จึงไม่พยายามแยกพฤติกรรมออกเป็นส่วนๆ แล้วศึกษา รายละเอียดของแต่ละส่วนเหมือนกลุ่มอื่นๆ แต่ตรงกันข้ามจะพิจารณาพฤติกรรมหรือการกระทำของมนุษย์
11 ทุกๆอย่างเป็นส่วนรวม เน้นในเรื่องส่วนรวม(WHOLE)มากกว่าส่วนย่อย เพ่งเล็งถึงส่วนทั้งหมดในลักษณะที่เป็น อันหนึ่งอันเดียวกัน(UNIQUE) 6.กลุ่มมนุษยนิยม(Humanistic Perspective) แนวคิดกลุ่มมนุษย์นิยม(The Humanistic Perspective) เชื่อว่า มนุษย์มีอิสระทางความคิดที่สามารถเลือก แสดงพฤติกรรมได้ การแสดงพฤติกรรมใดๆ จึงเป็นทางเลือกของบุคคล ซึ่งทุกคนมีศักยภาพในการเจริญงอก งาม หรือพัฒนา นักจิตวิทยากลุ่มนี้ ได้แก่ มาสโลว์(Abraham Maslow)และคาร์ล โรเจอส์(Carl Rogers) มาสโลว์(Maslow) กล่าวถึง ทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการไว้ 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1.ความต้องการทางกายภาพ(Physiological Needs) เป็นความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์เป็น สิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ได้แก่ อาหาร อากาศ ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ความต้องการพักผ่อน และความต้องการทางเพศ เป็นต้น 2.ความต้องการความมั่นคงและปลอดภัย(Safety Needs and Needs for Security) ถ้าต้องการ ความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตทั้งในปัจจุบันและอนาคต ต้องการความเป็นธรรมในการทำงาน ความปลอดภัยใน เงินเดือนและการถูกไล่ออก สวัสดิการด้านที่อยู่อาศัย และการรักษาพยาบาล รวมทั้งความเชื่อในศาสนาและ เชื่อมั่นในปรัชญา ซึ่งจะช่วยให้บุคคลอยู่ในโลกของความเชื่อของตนเองและรู้สึกมีความปลอดภัย 3.ความต้องการมีส่วนร่วมในสังคม(Social Belonging Needs)เมื่อความต้องการทางด้านร่างกา และความปลอดภัยได้รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการทางด้านสังคมก็จะเริ่มเป็นสิ่งจูงใจที่สำคัญต่อ พฤติกรรมของบุคคล เป็นความต้องการที่จะให้สังคมยอมรับตนเป็น สมาชิก ต้องการได้รับการยอมรับจากคนอื่นๆ ได้รับความเป็นมิตรและความรักจากเพื่อนร่วมงาน 4.ความต้องการยกย่องนับถือ(Esteem Needs) ความต้องการด้านนี้ เป็นความต้องการระดับสูงที่ เกี่ยวกับความอยากเด่นในสังคม ต้องการให้บุคคลอื่นยกย่องสรรเสริญ รวมถึงความเชื่อมั่นในตนเองในเรื่อง ความรู้ความสามารถ ความเป็นอิสระ และเสรีภาพ 5.ความต้องการบรรลุในสิ่งที่ตั้งใจ(Need for Self Actualization) เป็นความต้องการระดับสูงสุด ซึ่งเป็นความต้องการที่อยากจะให้เกิดความสำเร็จในทุกสิ่งทุกอย่างตามความนึกคิดของตนเอง เป็นความ ต้องการที่ยากแก่การได้มา 1.)มนุษย์ทุกคนมีความต้องการ ความต้องการที่มนุษย์นี้จะอยู่ในตัวมนุษย์ตลอดไป ไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อ สนใจในความต้องการหนึ่งแล้ว ก็ยังต้องการในระดับที่สูงขึ้น 2.)อิทธิพลใดๆ ที่จะมีผลต่อความต้องการของมนุษย์อยู่ในความต้องการลำดับขั้นนั้นๆ เท่านั้น หาก ความต้องการลำดับขั้นนั้นได้รับการสนองให้พอใจแล้วความต้องการนั้นก็จะหมดอิทธิพลไป 3)ความต้องการของมนุษย์จะมีลำดับขั้นจากตํ่าไปหาสูง เมื่อความต้องการขั้นตํ่าได้รับการตอบสนอง เป็นที่พอใจแล้ว ความต้องการลำดับสูงขึ้นไปก็ตามมา
12 คาร์ล โรเจอร์ส(CarlRogers)มีความเห็นว่า ธรรมชาติของมนุษย์เป็นสิ่งที่ดีและมีความสำคัญมาก โดยมีความพยายามที่จะพัฒนาร่างกายให้มีความเจริญเติบโตอย่างมีศักยภาพสูงสุด โรเจอร์สตั้งทฤษฏีขึ้นมา จากการศึกษาปัญหาพฤติกรรมของคนไข้จากคลินิกของเขา และได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับบุคลิกภาพที่เกิดจาก สุขภาพเป็นอย่างมาก ทฤษฏีของโรเจอร์เน้นถึงเกียรติของบุคคล ซึ่งบุคคลมีความสามารถที่จะทำการปรับปรุง ชีวิตของตนเองเมื่อมีโอกาสเข้ามิใช่จะเป็นเพียงแต่เหยื่อ ในขณะที่มีประสบการณ์ในสมัยที่เป็นเด็กหรือจากแรง ขับของจิตใต้สำนึก แต่ละบุคคลจะรู้จักการสังเกตสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเรา โดยมีแนวทางเฉพาะของบุคคล กล่าวได้ว่า เป็นการรับรู้สภาพสิ่งแวดล้อมซึ่งมีความสำคัญมาก โรเจอร์เชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีตัวตน 3 แบบ 1.ตนที่ตนมองเห็น(Self Concept) ภาพที่ตนเห็นเองว่าตนเป็นอย่างไร มีความรู้ความสามารถ ลักษณะเพราะตนอย่างไร เช่น สวย รวย เก่ง ตํ่าต้อย ขี้อายฯลฯ การมองเห็นอาจจะไม่ตรงกับข้อเท็จจริงหรือ ภาพที่คนอื่นเห็น 2.ตนตามที่เป็นจริง (Real Self) ตัวตนตามข้อเท็จจริง แต่บ่อยครั้งที่ตนมองไม่เห็นข้อเท็จจริง เพราะ อาจเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกเสียใจ ไม่เท่าเทียมกับบุคคลอื่น เป็นต้น 3.ตนตามอุดมคติ(Ideal Self) ตัวตนที่อยากมีอยากเป็น แต่ยังไม่มี ไม่เป็นในสภาวะปัจจุบัน เช่น ชอบเก็บตัวแต่อยากเก่งเข้าสังคม เป็นต้น ถ้าตัวตนทั้ง 3 ลักษณะ ค่อนข้างตรงกันมากจะทำให้มีบุคลิกภาพมั่นคง แต่ถ้าแตกต่างกันสูง จะมี ความสับสนและอ่อนแอด้านบุคลิกภาพ โรเจอร์ วางหลักไว้ว่า บุคคลถูกกระตุ้นโดยความต้องการสำหรับการยอมรับนับถือทางบวก นั่นคือความ ต้องการความรัก การยอมรับและความมีคุณค่า บุคคลเกิดมาพร้อมกับความต้องการ การยอมรับนับถือใน ทางบวก และจะได้รับการยอมรับนับถือโดยอาศัยการศึกษาจากการดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของบุคคลอื่น ทฤษฏีของโรเจอร์ กล่าวว่า “ตนเอง”(Self) คือ การรวมกันของรูปแบบ ค่านิยม เจตคติ การรับรู้ และความรู้สึก ซึ่งแต่ละบุคคลมีอยู่และเชื่อว่า เป็นลักษณะเฉพาะของเขาเอง ตนเอง หมายถึง ฉัน และตัวฉัน เป็นศูนย์กลางที่รวมประสบการณ์ทั้งหมดของแต่ละบุคคล ภาพพจน์นี้เกิดจากการที่แต่ละบุคคลมีการเรียนรู้ ตั้งแต่วัยเริ่มแรกชีวิต ภาพพจน์นั่นเอง สำหรับบุคคลที่มีการปรับตัวดีก็จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างคงที่ และมี การปรับตัวตามประสบการณ์ที่แต่ละคนมีอยู่การสังเกตและการรับรู้ เป็นเรื่องของตนเองที่ปรับให้เข้ากับสภาพ สิ่งแวดล้อมในการทำงาน เช่น พนักงานบางคนมีการตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพต่อสภาพสิ่งแวดล้อมใน การทำงานและการเป็นผู้นำ 7.กลุ่มปัญญานิยม(Cognitive Psychology) ผู้นำกลุ่มคนสำคัญ คือ เพียเจต์ บรูเนอร์ และวายเนอร์ หลังปีค.ศ.1960 กลุ่มแนวคิดปัญญานิยม ได้รับความสนใจอย่างมาก
13 แนวคิดกลุ่มปัญญานิยม สนใจศึกษาเรื่องกระบวนการทางจิต ซึ่งเป็น พฤติกรรมภายในที่ไม่สามารถสังเกตได้ โดยตรง ได้แก่ การรับรู้ การจำ การคิด และความเข้าใจ เช่น ขณะที่เราอ่านหนังสือ เราจะทราบความสำคัญ ของข้อความ คำต่างๆ เนื้อหาของเรื่องมากกว่าการรับรู้ตัวอักษร นักวิจัยในกลุ่มปัญญานิยมสนใจศึกษากระบวนการทางจิต ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่มองไม่เห็นภายในตัว บุคคลด้วยวิธีการวัดแบบวิทยาศาสตร์ แนวความคิดของกลุ่มนี้เชื่อว่า มนุษย์จะเป็นผู้กระทำต่อสิ่งแวดล้อม มากกว่าทำตามสิ่งแวดล้อม เพราะจากความรู้ ความเชื่อ และความมีปัญญาของมนุษย์ จะทำให้มนุษย์สามารถ จัดการกับข้อมูลข่าวสารที่เข้ามาในสมองมนุษย์ได้ เช่น ยูริค ไนเซอร์(Ulric Neisser) กล่าวว่า บุคคลต้องแปล ผลสิ่งที่รับรู้มาเพื่อให้เข้าใจโลกรอบตัวของเขาได้ ดังนั้นเป้าหมายของนักจิตวิทยากลุ่มนี้คือ สามารถระบุ เจาะจงได้ว่า กระบวนการของจิตเกี่ยวข้องกับการแปลความหมายสิ่งที่บุคคลรับเข้ามา แล้วส่งต่อให้หน่วยรับ ข้อมูล เพื่อแปลผลอีกครั้งหนึ่งว่า มีกลไกอย่างไรบ้างที่ช่วยจัดระบบระเบียบการจำและเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่ เราได้พบเห็นได้ด้วยวิธีใด การทำงานของระบบความจำ และการใช้ความคิดในการแก้ไขปัญหา วิธีการศึกษาของนักจิตวิทยากลุ่มปัญญานิยม จะเน้นวิธีการทดลองเป็นส่วนใหญ่ เช่น การทดลองให้ผู้รับการ ทดลองตั้งเทียนไขให้ขนานกับแนวฝาผนังโดยไม่มีอุปกรณ์ให้ ผู้รับการทดลองต้องใช้วิธีการอย่างไรก็ได้ ซึ่ง มักจะประสบความยุ่งยากในการแก้ปัญหา และต้องคิดค้นวิธีการใหม่ๆจากการใช้อุปกรณ์ที่มี จากการทดลองนี้ วิธีคิดแบบเก่าๆ จะมีผลสกัดกั้นความคิดใหม่ๆได้ เพราะฉะนั้นบุคคลจะมีวิธีการเอาชนะวิธีคิดที่ตนเองคุ้นเคย ได้อย่างไร และบุคคลจะสร้างสรรค์แนวคิดใหม่ๆเพื่อแก้ปัญหาได้อย่างไร จิตวิทยาส าหรับครู จิตวิทยาสําหรับครู เปนศาสตรที่ศึกษาเพื่อใหผูสอนมีความรูความเขาใจความแตกตางและความตอง การของผูเรียน ในอันที่จะสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผูเรียนไปสูแนวทางอันพึงประสงคได โดยผู สอนควรมีความรูความเขาใจ ดังนี้ ความพรอมของผูเรียน 1. ความพรอมทางดานรางกาย ซึ่งหมายถึงความพรอมอันเกิดจากความเปนปกติทางรางกาย เชน ไมอด นอน ไมหิวโหย ไมเจ็บปวย ไมรอนหรือหนาวจนเกินไป เปนตน 2. ความพรอมทางดานจิตใจและดานอารมณ เรื่องนี้ครู อาจารยมีความเกี่ยวของมากขึ้น แตอีกสวนหนึ่งก็เป นความรับผิดชอบของนิสิตนักศึกษาอยูเหมือนเดิม สวนที่เกิดมากจากนิสิตนักศึกษาเอง 3. ความพรอมทางดานสติปญญา หมายถึงการมีพื้นฐานทางวิชาการเพียงพอที่จะเรียนรูหรือรับรูสิ่งใหม ๆ ทางวิชาการ
14 หลักการส าคัญของการเรียนรู 1.ผูเรียนควรจะมีสวนรวมในการเรียนรูอยางจริงจัง (Active Participation) 2.ผูเรียนควรจะไดเรียนรูทีละขั้นทีละตอนจากงายไปสูยากและจากไมซับซอนไปสูรูปที่ซับซอน (Gradual approximation) 3.ใหนักเรียนไดรับขอมูลยอนกลับที่เหมาะสมและไมเนิ่นนานจนเกินไป (Immediate feedback) 4. การเสริมแรงหรือใหกําลังใจที่เหมาะสม (Appropriate Reinforcement) ความส าคัญของจิตวิทยาส าหรับครู(ผู้ช่วยศาสตราจารย์เขียน วันทนียตระกูล) จะเห็นว่าการเป็นครูที่ดีนั้นจะต้องเป็นด้วยจิตวิญาณมีความเข้าใจหลักการสอนกระบวนการสอน ตามหลักวิชาการแล้วยังไม่พอครูจะต้องรู้เกี่ยวกับจิตวิทยาเพราะครูทุกคนมีวิถีชีวิตอยู่กับคนแทบจะตลอดเวลา จึงจำเป็นจะต้องรู้ชีวิตจิตใจของมนุษย์ว่าเขาเหล่านั้นมีความต้องการอะไร ดังมีกล่าวว่าคนเป็นครูจะต้องรู้ จิตวิทยาเพราะว่าจิตวิทยาช่วยครูได้ดังที่สุรางค์ โค้วตระกูล. 2544 กล่าวไว้ดังต่อไปนี้ 1. ช่วยครูให้รู้จักลักษณะนิสัย (Characteristics) ของนักเรียนที่ครูต้องสอนโดยทราบหลักพัฒนาการทั้งทาง ร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ สังคม และบุคลิกภาพเป็นส่วนรวม 2. ช่วยให้ครูมีความเข้าใจพัฒนาการทางบุคลิกภาพบางประการของนักเรียน เช่น อัตมโนทัศน์ (Self concept) ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และเรียนรู้ถึงบทบาทของครูในการที่จะช่วยนักเรียนให้มี อัตมโนทัศน์ ที่ดีและ ถูกต้องได้อย่างไร 3. ช่วยครูให้มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล เพื่อจะได้ช่วยนักเรียนเป็นรายบุคคลให้ พัฒนาตามศักยภาพของแต่ละบุคคล 4. ช่วยให้ครูรู้วิธีจัดสภาพแวดล้อมของห้องเรียนให้เหมาะสมแก่วัย และขั้นพัฒนาการของนักเรียน เพื่อจูงใจให้นักเรียนมีความสนใจและอยากจะเรียนรู้ 5. ช่วยให้ครูทราบถึงตัวแปรต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน เช่น แรงจูงใจ อัตมโน ทัศน์ และการตั้งความคาดหวังของครูที่มีต่อนักเรียน ประโยชน์ของจิตวิทยาส าหรับครู 1.ช่วยให้ครูเข้าใจธรรมชาติ ความเจริญเติบโตของเด็กและสามารถนำความรู้ที่ได้มาจัดการเรียนการสอนได้ อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับธรรมชาติ ความต้องการ ความสนใจของเด็กแต่ละวัย 2.ช่วยให้ครูสามารถเตรียมบทเรียน วิธีสอน จัดกิจกรรม ตลอดจนใช้วิธีการวัดและประเมินผลการศึกษา ได้สอดคล้องกับวัย ซึ่งเป็นการช่วยให้จัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ
15 3.ช่วยให้ครูสามารถจัดกิจกรรมได้อย่างสนุกสนานด้วยบรรยากาศของความเข้าใจ การให้ความร่วมมือ และให้การยอมรับซึ่งกันและกัน 4.ช่วยสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครู ผู้ปกครองและเด็ก ทำให้ปกครองเด็กง่ายขึ้นและสามารถทำงาน กับเด็กได้อย่างราบรื่น 5.ช่วยให้ครูป้องกันและหาทางแก้ไข ตลอดจนพัฒนาบุคลิกภาพของเด็กได้อย่างเหมาะสม 6.ช่วยให้ผู้บริหารการศึกษาวางแนวทางการศึกษา จัดหลักสูตร อุปกรณ์การสอนและการบริหารงานได้ เหมาะสม 7.ช่วยให้ผู้เรียนเข้ากับสังคมได้ดี ปรับตัวเข้ากับผู้อื่นได้ดี ขอบข่ายของจิตวิทยาส าหรับครู 1.จิตวิทยาทั่วไป (General Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมทั่วไปของมนุษย์การรับรู้ การ เรียนรู้ อารมณ์ ความรู้สึก สติปัญญา ประสาทสัมผัส เป็นต้น จิตวิทยาสาขาพื้นฐานของการเรียนจิตวิทยาสาขา อื่นต่อไป 2.จิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับลำดับขั้นตอนของพัฒนาการ เจริญเติบโตในแต่ละวัยต่างๆ ของมนุษย์ ตั้งแต่ปฏิสนธิจนถึงวัยชรา 3.จิตวิทยาสังคม (Social Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับบทบาทความสัมพันธ์และพฤติกรรมของบุคคล ในกลุ่มสังคม ปฏิกิริยาตอบสนองของบุคคลที่อยู่รวมกัน เจตคติและความคิดเห็นของกลุ่มชน 4.จิตวิทยาการทดลอง (ExperimentalPsychology) ศึกษาเกี่ยวกับระบบประสาทและพฤติกรรม ของมนุษย์และสัตว์ในห้องทดลอง 5.จิตวิทยาการแนะแนว(Guidance Psychology) นักจิตวิทยาแนะแนวทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ให้ แนวทาง และให้คำปรึกษาสถานศึกษากับนักเรียน นักศึกษา เพื่อให้ความช่วยเหลือผู้มีปัญหาด้านการปรับตัว ปัญหาการเรียน และปัญหาส่วนตัวอื่นๆ 6.จิตวิทยาคลีนิค (Clinical Psychology) นักจิตวิทยาคลินิกทำงานในโรงพยาบาลที่มีคนไข้โรคจิต สถาบันเลี้ยงเด็กปัญญาอ่อน หรืออาจเปิดเป็นคลินิกส่วนตัวก็ได้ 7.จิตวิทยาประยุกต์ (Applied Psychology) เป็นการนำหลักการทางจิตวิทยามาใช้ประโยชน์ในสาขา วิชาชีพต่างๆ เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรม การแพทย์ การทหาร เป็นต้น 8.จิตวิทยาอุตสาหกรรม (Industrial Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการทำงาน ผลกระทบของสิ่งแวดล้อมที่มีต่อการทำงาน แรรงจูงใจในการทำงาน การคัดเลือกคนงาน การประเมินผลงาน 9.จิตวิทยาการศึกษา (Educational Psychology) ศึกษาสิ่งที่เกี่ยวกับงานด้านการเรียนการสอน การ เรียนรู้ของผู้เรียนเป็นวิชาที่สำคัญสำหรับครูและนักการศึกษา
16 10.จิตวิทยาการทดลอง (ExperimentalPsychology) มีการศึกษาโดยการทดลองกับมนุษย์และสัตว์ ทั้งในสภาพแวดล้อมทั่วไปและในห้องปฏิบัติการ วิธีการศึกษาส่วนใหญ่ใช้การสังเกต ทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์ก ประวัติของโคลเบิร์ก ลอเรนส์ โคลเบิร์ก (Lawrence Kohlberg) ผู้สนใจความประพฤติ ถูก-ผิด-ดี-ชั่วของมนุษย์ ทฤษฎีของโคลเบิร์กได้ชื่อทฤษฎีพัฒนาการทางจริยธรรม (Moral Development Theory) โคลเบิร์ก (Lawrence Kohlberg) ได้ ศึกษาวิจัยพัฒนาการทางจริยธรรมตามแนวทฤษฎี ของพีอาเจต์ แต่โคลเบิรก์ได้ปรับปรุงวิธีวิจัย การวิเคราะห์ผลรวมและได้วิจัยอย่างกว้างขวางในประเทศอื่นที่มี วัฒนธรรมต่าง ไป โคลเบิร์ก ได้ศึกษาการใช้เหตุผลเชิงจริยธรรมของเยาวชนอเมริกัน อายุ 10 -16 ปี และได้ แบ่งพัฒนาการทางจริยธรรมออกเป็น 3 ระดับ (Levels) แต่ละระดับแบ่งออกเป็น 2 ขั้น (Stages) ดังนั้น พัฒนาการทางจริยธรรมของโคลเบิร์กมีทั้งหมด 6 ขั้น ระดับที่ 1 ระดับก่อนกฏเกณฑ์สังคม จะพบในเด็ก 2-10 ปี ขั้นที่ 1 การถูกลงโทษและการเชื่อฟัง ขั้นที่ 2 กฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของตน ระดับที่ 2 ระดับจริยธรรมตามกฎเกณฑ์สังคม จะพบในวัยรุ่นอายุ 10 -16 ปี ขั้นที่ 3 การยอมรับของกลุ่มหรือสังคม ขั้นที่ 4 กฎและระเบียบของสังคม ระดับที่ 3 ระดับจริยธรรมอย่างมีวิจารณญาณ ขั้นที่ 5 สัญญาสังคมหรือหลักการทำตามคำมั่นสัญญา ขั้นที่ 6 หลักการคุณธรรมสากล โคลเบิร์ก ได้ทำการวิเคราะห์เหตุผลเชิงจริยธรรม โดยทำการวิเคราะห์คำตอบของเยาวชน อเมริกันอายุ ๑๐-๑๖ปี และแบ่งประเภทเหตุผลเชิงจริยธรรมใว้ ๖ ประเภทคือ ขั้นที่ 1 การถูกลงโทษและการเชื่อฟัง ในขั้นนี้เด็กจะใช้ผลตามของพฤติกรรมเป็นเครื่องชี้ว่า พฤติกรรมของตน “ถูก” หรือ “ผิด” ถ้าเด็กถูกทำโทษก็จะคิดว่าสิ่งที่ตนทำ “ผิด” พฤติกรรมใดที่มีผลตามด้วยรางวัลหรือคำชม เด็กก็จะคิดว่าสิ่งที่ ตนทำ “ถูก” ขั้นที่ 2 กฎเกณฑ์เป็นเครื่องมือเพื่อประโยชน์ของตน ในขั้นนี้เด็กจะสนใจทำตามกฎข้อบังคับ เพื่อประโยชน์หรือความพอใจของตนเอง
17 ขั้นที่ 3 การยอมรับของกลุ่มหรือสังคม ใช้เหตุผลเลือกทำในสิ่งที่กลุ่มยอมรับโดยเฉพาะเพื่อน เพื่อเป็นที่ชื่นชอบและยอมรับของ เพื่อน ไม่เป็นตัวของตัวเอง คล้อยตามการชักจูงของผู้อื่น เพื่อต้องการรักษาสัมพันธภาพที่ดี ขั้นที่ 4 กฎและระเบียบของสังคม จะใช้หลักทำตามหน้าที่ของสังคม โดยปฏิบัติตามระเบียบของสังคมอย่างเคร่งครัด เรียนรู้ การเป็นหน่วยหนึ่งของสังคม ปฏิบัติตามหน้าที่ของสังคมเพื่อดำรงไว้ซึ่งกฎเกณฑ์ในสังคม ขั้นที่ 5 สัญญาสังคมหรือหลักการทำตามคำมั่นสัญญา ขั้นนี้เน้นถึงความสำคัญของมาตรฐานทางจริยธรรมที่ทุกคนหรือคนส่วนใหญ่ในสังคมยอมรับ ว่าเป็นสิ่งที่ถูกสมควรที่จะปฏิบัติตาม ขั้นที่ 6 หลักการคุณธรรมสากล ในขั้นนี้สิ่งที่ “ถูก” และ “ผิด” เป็นสิ่งที่ขึ้นมโนธรรมของแต่ละบุคคลที่เลือกยึดถือสิ่งนั้น พัฒนาการทางจริยธรรมจะมีความเกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางด้านความคิดเป็นเหตุเป็นผล บุคคลจะมี พัฒนาการทางจริยธรรมเป็นไปตามลำดับ ไม่มีการข้ามขั้น ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ของฟรอยด์ ประวัติของซิกมันต์ฟรอยด์ ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เป็นนายแพทย์ จิตแพทย์ และนักจิตวิทยาชาวออสเตรีย เกิดเมื่อวันที่ 06 พฤษภาคม ค.ศ. 1856และเสียชีวิตเมื่อวันที 23 กันยายน ค.ศ. 1939 เป็นผู้สร้างทฤษฎีจิต วิเคราะห์ซึ่งเป็นทฤษฎีทางด้านการพัฒนา Psychosexual ฟรอยด์เชื่อว่า บุคลิกภาพ ของผู้ใหญ่ที่แตกต่างกันก็เนื่องจากประสบการณ์ของแต่ละคนใน วัยเด็ก และขึ้นอยูกับเด็กแต่ละคนแก้ปัญหาของความขัดเเย้งของแต่ละวัยอย่างไร โดยอายุ 0-6 ปี มี ความสำคัญมาก ฟรอยด์ยังแบ่งกระบวนการคิด ออกเป็น 2 ลักษณะ 1. Secondary Process เป็นกระบวนการคิดที่เราคุ้นเคยและใช้กันอยู่ ในระดับจิตสำนึก และจิตก่อนสำนึกมีกระบวนการคิดเช่นนี้ เป็นการคิดที่ยึดเหตุผล มองสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง (reality principle) เช่น คนเราบางครั้งผิดหวังและบางครั้งก็มีสมหวัง หรือสิ่งที่ต้องการบางอย่างอาจต้องรอคอยบ้าง 2. Primary Process เป็นกระบวนการคิดในระดับจิตไร้สำนึก วิธีคิดเป็นแบบเด็ก ๆ ไม่เป็น
18 เหตุเป็นผล ไม่สนใจเรื่องเวลาหรือสถานที่ สิ่งที่ต้องการคือความสุข ความสมหวัง ซึ่งหากต้องการก็จะต้องได้รับ การตอบสนองทันทีจึงจะพอใจ โดยไม่คำนึงว่าผลตามมาจะเป็นอย่างไร (pleasure principle) ตัวอย่างที่เห็นชัดได้แก่การฝัน ซึ่งเหตุการณ์ทุกอย่างสามารถเกิดขึ้นได้ สิ่งที่อยู่คนละมิติ คน ละเวลากัน สามารถมาอยู่ด้วยกันได้ หากนึกถึงอะไรก็จะได้สิ่งนั้นฟรอยด์ได้แบ่งขั้นพัฒนาการทางเพศไว้ 5 ขั้นตอน คือ 1.ขั้นความสุขความพอใจบริเวณปาก (oral stage) อายุ 0-2 ปี ความพึงพอใจของวัยนี้จะอยู่ ที่บริเวณช่องปาก ทารกพึงพอใจกับการใช้ปากทำกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความสุข เช่น การดูด กลืน 2.ขั้นความสุขความพอใจบริเวณทวารหนัก (anal stage) อายุอยู่ในช่วง 18 เดือน ถึง 3 ปี วัยนี้จะได้รับความพึงพอใจจากการขับถ่าย 3.ขั้นความพอใจบริเวณอวัยวะเพศ (phallic or oedipal stage) จะอยู่ในช่วงอายุระหว่าง 3 ถึง 5 ปี ความพึงพอใจของเด็กวัยนี้อยู่ที่อวัยวะสืบพันธุ์ เด็กจะสนใจอวัยวะเพศของตนและสนใจความความ แตกต่างระหว่างเพศหญิงและเพศชาย 4.ขั้นแฝงหรือขั้นก่อนวัยรุ่น (latency stage) มี อายุอยู่ในช่วง 6 ถึง 12 ปี ฟรอยด์กล่าวว่า เด็กวัยนี้จะมุ่งความสนใจไปที่พัฒนาการด้านสังคมและด้านสติ ปัญญา เป็นวัยที่พร้อมจะเรียนรู้การมีเหตุผล รู้ ผิดชอบชั่วดี สนใจสิ่งแวดล้อมรอบตัว 5.ขั้นสนใจเพศตรงข้ามหรือขั้นวัยรุ่น (genital stage) วัยนี้เป็นวัยรุ่นเริ่มตั้งแต่อายุ 13-18 ปี เด็กเริ่มสนใจเพศตรงข้าม มีแรงจูงใจที่จะรักผู้อื่น มีความต้องการทางเพศ ความเห็นแก่ตัวลดลงต้องการเป็น อิสระจากพ่อแม่ เป็นระยะเริ่มต้นของวัยผู้ใหญ่ โครงสร้างบุคลิกภาพ (The personality structure) ฟรอยด์มีความเชื่อว่า ลักษณะจิตใจของบุคคลสามารถแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ 1.อิด (Id) เป็นเสมือนแรงจูงใจที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นความต้องการของร่างกาย 2.อีโก้ (Ego ) เป็นสิ่งที่จะทำให้อิดบรรลุตามจุดมุ่งหมาย 3.ซุปเปอร์อีโก้ (Superego) เป็นส่วนที่เป็นมโนธรรมและศีลธรรม การ ทำงานของคนทั้ง 3 ประการจะพัฒนาบุคลิกภาพของบุคคลให้เด่นไปด้านใดด้านหนึ่ง ของทั้ง 3 ประการนี้ แต่บุคลิกภาพที่พึงประสงค์ คือ การที่บุคคลสามารถใช้พลังอีโก้เป็นตัวควบคุมพลังอิด และซูเปอร์อีโก้ให้อยู่ในภาวะที่สมดุลได้ กลไกในการป้องกันตัวเอง (Defense Mechanism) 1. การไม่ตัดสินใจเลือกข้างใดข้างหนึ่ง (Ambivalence) 2. ปฏิกิริยาการหลบหนี (Avoidance) 3. การหยุดนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง (Fixation)
19 4. การเลียนแบบ (Identification) 5. การกล่าวโทษผู้อื่นหรือการโยนความผิดให้แก่ผู้อื่น (Project) 6. การแสดงปฏิกิริยาตรงข้ามกับความปรารถนาที่แท้จริง (Reaction Formation) 7. การเก็บกด (Repression) 8. การขจัดความรู้สึก (Suppression) 9. การหาเหตุผลเข้าข้างตนเอง (Rationalization) 10. การชดเชยหรือการทดแทน (Substitution/Compensation) 11. การถดถอย (Regression) 12. การสร้างวิมานในอากาศ หรือการฝันกลางวัน (Fantasy / Day Dreaming) 13. การแยกตัว (Isolation) 14. การแทนที่ (Displacement) 15. การไม่ยอมรับความจริง (Denial of Reality) 16. การแสดงความก้าวร้าว (Aggression) กลไกในการป้องกันตัว (Defense Mechanism) จึงเป็นวิธีการปรับตัวในระดับจิตไร้สำนึก กลไกในการป้องกันตัวมักจะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปนำไปใช้ในชีวิตประจำวันของบุคคลปกติทุกวัย ตั้งแต่อนุบาล จนถึงวัยชรา เป็นวิธีการที่บุคคลใช้ในการปรับตัว เมื่อประสบปัญหาความคับข้องใจ การใช้กลไกป้องกันตัวจะ ช่วยยืดเวลาในการแก้ปัญหา เพราะจะช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด ความไม่สบายใจ ทำให้คิดหาเหตุผลหรือ แก้ไขปัญหาได้ในที่สุด ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ ประวัติของเพียเจต์ จอห์น เพียเจต์ (พ.ศ. 2439 - 2523) Jean Piaget (ค.ศ.1896 - 1980) ผู้สร้างทฤษฎี พัฒนาการเชาวน์ปัญญา ทฤษฎีเกี่ยวกับพัฒนาการเชาวน์ปัญญาที่ผู้เขียนเห็นว่ามีประโยชน์สำหรับครู คือ ทฤษฎีของ นักจิตวิทยาชาวสวิส ชื่อ เพียเจต์(Piaget) เพียเจต์ได้รับปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์สาขาสัตวิทยาที่มหาวิทยาลัยNeuchatelประเทศ สวิสเซอร์แลนด์ เพียเจต์ ( Piaget) ได้ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือ กระบวนการอย่างไร ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม
20 เพียเจต์ (Piaget) ได้ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการทางด้านความคิดของเด็กว่ามีขั้นตอนหรือ กระบวนการอย่างไร ทฤษฎีของเพียเจต์ตั้งอยู่บนรากฐานของทั้งองค์ประกอบที่เป็นพันธุกรรม และสิ่งแวดล้อม เขาอธิบายว่า การเรียนรู้ของเด็กเป็นไปตามพัฒนาการทางสติปัญญา ซึ่งจะมีพัฒนาการไปตามวัยต่าง ๆ เป็น ลำดับขั้น พัฒนาการเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ควรที่จะเร่งเด็กให้ข้ามจากพัฒนาการจากขั้นหนึ่งไปสู่อีก ขั้นหนึ่ง เพราะจะทำให้เกิดผลเสียแก่เด็ก แต่การจัดประสบการณ์ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กในช่วงที่เด็กกำลัง จะพัฒนาไปสู่ขั้นที่สูงกว่า สามารถช่วยให้เด็กพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม เพียเจต์เน้นความสำคัญของ การเข้าใจธรรมชาติและพัฒนาการของเด็กมากกว่าการกระตุ้นเด็กให้มีพัฒนาการเร็วขึ้น เพียเจต์สรุปว่า พัฒนาการของเด็กสามารถอธิบายได้โดยลำดับระยะพัฒนาทางชีววิทยาที่คงที่ แสดงให้ปรากฏโดยปฏิสัมพันธ์ ของเด็กกับสิ่งแวดล้อม ทฤษฎีการเรียนรู้ ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ มีสาระสรุปได้ดังนี้ (Lall and Lall, 1983:45-54) พัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลเป็นไปตามวัยต่าง ๆ เป็นลำดับขั้น ดังนี้ 1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensori-Motor Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 2 ปี พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวเป็นส่วนใหญ่ เช่น การไขว่คว้า การเคลื่อนไหว การมอง การดู ในวัยนี้เด็กแสดงออกทางด้านร่างกายให้เห็นว่ามีสติปัญญาด้วยการกระทำ เด็กสามารถแก้ปัญหาได้ แม้ว่าจะไม่สามารถอธิบายได้ด้วยคำพูด เด็กจะต้องมีโอกาสที่จะปะทะกับสิ่งแวดล้อมด้วยตนเอง ซึ่งถือว่าเป็น สิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการด้านสติปัญญาและความคิดในขั้นนี้ มีความคิดความเข้าใจของเด็กจะก้าวหน้าอย่าง รวดเร็ว เช่น สามารถประสานงานระหว่างกล้ามเนื้อมือ และสายตา เด็กในวัยนี้มักจะทำอะไรซ้ำบ่อยๆ เป็น การเลียนแบบ พยายามแก้ปัญหาแบบลองผิดลองถูก เมื่อสิ้นสุดระยะนี้เด็กจะมีการแสดงออกของพฤติกรรม อย่างมีจุดมุ่งหมายและสามารถแก้ปัญหาโดยการเปลี่ยนวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการแต่กิจกรรมการคิด ของเด็กวัยนี้ส่วนใหญ่ยังคงอยู่เฉพาะสิ่งที่สามารถสัมผัสได้เท่านั้น 2.ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage) ขั้นนี้เริ่มตั้งแต่อายุ 2-7 ปี แบ่งออกเป็น ขั้นย่อยอีก 2 ขั้น คือ ขั้นก่อนเกิดสังกัป (Preconceptual Thought) เป็นขั้นพัฒนาการของเด็กอายุ 2-4 ปี เป็น ช่วงที่เด็กเริ่มมีเหตุผลเบื้องต้น สามารถจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ หรือมากกว่ามา เป็นเหตุผลเกี่ยวโยงซึ่งกันและกัน แต่เหตุผลของเด็กวัยนี้ยังมีขอบเขตจำกัดอยู่ เพราะเด็กยังคงยึดตนเองเป็น ศูนย์กลาง คือถือความคิดตนเองเป็นใหญ่ และมองไม่เห็นเหตุผลของผู้อื่น ความคิดและเหตุผลของเด็กวัยนี้ จึง ไม่ค่อยถูกต้องตามความเป็นจริงนัก นอกจากนี้ความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆ ยังคงอยู่ในระดับเบื้องต้น เช่น เข้าใจว่า
21 เด็กหญิง 2 คน ชื่อเหมือนกัน จะมีทุกอย่างเหมือนกันหมด แสดงว่าความคิดรวบยอดของเด็กวัยนี้ยังไม่พัฒนา เต็มที่ แต่พัฒนาการทางภาษาของเด็กเจริญรวดเร็วมาก ขั้นการคิดแบบญาณหยั่งรู้ นึกออกเองโดยไม่ใช้เหตุผล (Intuitive Thought) เป็นขั้น พัฒนาการของเด็ก อายุ 4-7 ปี ขั้นนี้เด็กจะเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ รวมตัวดีขึ้น รู้จักแยก ประเภทและแยกชิ้นส่วนของวัตถุ เข้าใจความหมายของจำนวนเลข เริ่มมีพัฒนาการเกี่ยวกับการอนุรักษ์ แต่ไม่ แจ่มชัดนัก สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้โดยไม่คิดเตรียมล่วงหน้าไว้ก่อน รู้จักนำความรู้ในสิ่งหนึ่งไปอธิบาย หรือแก้ปัญหาอื่นและสามารถนำเหตุผลทั่วๆ ไปมาสรุปแก้ปัญหา โดยไม่วิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนเสียก่อนการคิด หาเหตุผลของเด็กยังขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนรับรู้ หรือสัมผัสจากภายนอก 3. ขั้นปฏิบัติการคิดด้านรูปธรรม (Concrete Operation Stage) ขั้นนี้จะเริ่มจากอายุ 7-11 ปี พัฒนาการทางด้านสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้สามารถสร้างกฎเกณฑ์และตั้งเกณฑ์ในการแบ่ง สิ่งแวดล้อมออกเป็นหมวดหมู่ได้ เด็กวัยนี้สามารถที่จะเข้าใจเหตุผล รู้จักการแก้ปัญหาสิ่งต่างๆ ที่เป็นรูปธรรม ได้ สามารถที่จะเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความคงตัวของสิ่งต่างๆ โดยที่เด็กเข้าใจว่าของแข็งหรือของเหลวจำนวน หนึ่งแม้ว่าจะเปลี่ยนรูปร่างไปก็ยังมีน้ำหนัก หรือปริมาตรเท่าเดิม สามารถที่จะเข้าใจความสัมพันธ์ของส่วนย่อย ส่วนรวม ลักษณะเด่นของเด็กวัยนี้คือ ความสามารถในการคิดย้อนกลับ นอกจากนั้นความสามารถในการจำ ของเด็กในช่วงนี้มีประสิทธิภาพขึ้น สามารถจัดกลุ่มหรือจัดการได้อย่างสมบูรณ์ สามารถสนทนากับบุคคลอื่น และเข้าใจความคิดของผู้อื่นได้ดี 4. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) นี้จะเริ่มจากอายุ 11-15 ปี ในขั้นนี้พัฒนาการทางสติปัญญาและความคิดของเด็กวัยนี้เป็นขั้นสุดยอด คือเด็กในวัยนี้จะเริ่มคิดแบบผู้ใหญ่ ความคิดแบบเด็กจะสิ้นสุดลง เด็กจะสามารถที่จะคิดหาเหตุผลนอกเหนือไปจากข้อมูลที่มีอยู่ สามารถที่จะคิด แบบนักวิทยาศาสตร์ สามารถที่จะตั้งสมมุติฐานและทฤษฎี และเห็นว่าความเป็นจริงที่เห็นด้วยการรับรู้ที่สำคัญ เท่ากับความคิดกับสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ เด็กวัยนี้มีความคิดนอกเหนือไปกว่าสิ่งปัจจุบัน สนใจที่จะสร้างทฤษฎี เกี่ยวกับทุกสิ่งทุกอย่างและมีความพอใจที่จะคิดพิจารณาเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีตัวตน หรือสิ่งที่เป็นนามธรรม พัฒนาการทางการรู้คิดของเด็กในช่วงอายุ 6 ปีแรกของชีวิต ซึ่งเพียเจต์ ได้ศึกษาไว้เป็นประสบการณ์ สำคัญที่ เด็กควรได้รับการส่งเสริม มี 6 ขั้น ได้แก่ 1. ขั้นความรู้แตกต่าง (Absolute Differences) เด็กเริ่มรับรู้ในความแตกต่างของสิ่งของที่ มองเห็น 2. ขั้นรู้สิ่งตรงกันข้าม (Opposition) ขั้นนี้เด็กรู้ว่าของต่างๆ มีลักษณะตรงกันข้ามเป็น 2 ด้าน เช่น มี-ไม่มี หรือ เล็ก-ใหญ่ 3. ขั้นรู้หลายระดับ (Discrete Degree) เด็กเริ่มรู้จักคิดสิ่งที่เกี่ยวกับลักษณะที่อยู่ตรงกลาง ระหว่างปลายสุดสองปลาย เช่น ปานกลาง น้อย
22 4. ขั้นความเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง (Variation) เด็กสามารถเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ของสิ่งต่างๆ เช่น บอกถึงความเจริญเติบโตของต้นไม้ 5. ขั้นรู้ผลของการกระทำ (Function) ในขั้นนี้เด็กจะเข้าใจถึงความสัมพันธ์ของการ เปลี่ยนแปลง 6. ขั้นการทดแทนอย่างลงตัว (Exact Compensation) เด็กจะรู้ว่าการกระทำให้ของสิ่งหนึ่ง เปลี่ยนแปลงย่อมมีผลต่ออีกสิ่งหนึ่งอย่างทัดเทียมกัน ภาษาและกระบวนการคิดของเด็กแตกต่างจากผู้ใหญ่ กระบวนการทางสติปัญญามีลักษณะดังนี้ 1.การซึมซับหรือการดูดซึม (assimilation) เป็นกระบวนการทางสมองในการรับ ประสบการณ์ เรื่องราว และข้อมูลต่าง ๆ เข้ามาสะสมเก็บไว้เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป 2. การปรับและจัดระบบ (accommodation) คือ กระบวนการทางสมองในการปรับ ประสบการณ์เดิมและประสบการณ์ใหม่ให้เข้ากันเป็นระบบหรือเครือข่ายทางปัญญาที่ตนสามารถเข้าใจได้ เกิด เป็นโครงสร้างทางปัญญาใหม่ขึ้น 3. การเกิดความสมดุล (equilibration) เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นจากขั้นของการปรับ หาก การปรับเป็นไปอย่างผสมผสานกลมกลืนก็จะก่อให้เกิดสภาพที่มีความสมดุลขึ้น หากบุคคลไม่สามารถปรับ ประสบการณ์ใหม่และประสบการณ์เดิมให้เข้ากันได้ ก็จะเกิดภาวะความไม่สมดุลขึ้น ซึ่งจะก่อให้เกิดความ ขัดแย้งทางปัญญาขึ้นในตัวบุคคล การประยุกต์ใช้จิตวิทยาในชั้นเรียน การประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนของโคลเบิร์ก ห้องเรียนทุกห้องจำเป็นจะต้องมีระเบียบกฎเกณฑ์ที่นักเรียนทุกคนจะต้องทราบและ ปฏิบัติ เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของห้องเรียนถ้าครูอธิบายเหตุผลของการมีกฎเกณฑ์และพยายามให้ นักเรียนมีส่วนร่วมในกรเขียนระบบกฎเกณฑ์ของห้องแทนการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของโรงเรียน หาก เกรงว่าจะถูกทำโทษหรือประพฤติดี เพราะต้องการรางวัลจะช่วยส่งเสริมให้นักเรียนใช้เหตุผลทางจริยธรรมขั้น สูง นอกจากนี้ครูจะช่วยพัฒนาทางจริยธรรมของนักเรียนได้ ถ้าครูมีความสัมพันธ์กับนักเรียน ชี้แจงเหตุผลเวลา ทำโทษจะช่วยให้นักเรียนมีสติ มีความรับผิดชอบควบคุมความประพฤติของตนเอง (Self-Control) การประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนของฟรอยด์ ความพร้อมจะเกิดขึ้นได้โดยการที่ครูจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมให้กับเด็กครูควรจัด กิจกรรมส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ในช่วง 6 ปี แรก ไม่ต้องรอให้เด็กพร้อมก็เข้ารงเรียนได้โดยครูเป็นคนจัด
23 ประสบการณ์ให้เด็กเกิดความพร้อม ช่วงต่างๆของพัฒนาการไม่ใช่เป็นสิ่งที่บอกว่าเด็กควรอ่าน ควรพูดวิชา ต่างๆได้แล้วแต่เป็นสิ่งที่ครูจะต้องคิดว่าจะสอนอย่างไรให้สอดคล้องกับธรรมชาติของเด็กแต่ละคน ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจท์ เมื่อทำงานกับนักเรียน ผู้สอนควรคำนึงถึงพัฒนาการทางสติปํญญาของนักเรียนดังต่อไปนี้ นักเรียนที่มีอายุเท่ากันอาจมีขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ควรเปรียบเทียบเด็ก ควรให้ เด็กมีอิสระที่จะเรียนรู้และพัฒนาความสามารถของเขาไปตามระดับพัฒนาการของเขา นักเรียนแต่ละคนจะ ได้รับประสบการณ์ 2 แบบคือ 1.ประสบการณ์ทางกายภาพ (physical experiences) จะเกิดขึ้นเมื่อนักเรียนแต่ละคนได้ ปฏิสัมพันธ์กับวัตถุต่าง ในสภาพแวดล้อมโดยตรง 2. ประสบการณ์ทางตรรกศาสตร์ (Logicomathematical experiences) จะเกิดขึ้นเมื่อ นักเรียนได้พัฒนาโครงสร้างทางสติปัญญาให้ความคิดรวบยอดที่ เป็นนามธรรม หลักสูตรที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้คือ เน้นพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนโดยต้องเน้นให้นักเรียนใช้ศักยภาพของตนเองให้มาก ที่สุด เสนอการเรียนการเสนอที่ให้ผู้เรียนพบกับความแปลกใหม่ เน้นการเรียนรู้ต้องอาศัยกิจกรรมการค้นพบ เน้นกิจกรรมการสำรวจและการเพิ่มขยายความคิดในระหว่างการเรียนการสอน ใช้กิจกรรมขัดแย้ง (cognitive conflict activities) โดยการรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น นอกเหนือจากความคิดเห็นของตนเอง การสอนที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนควรดำเนินการดังต่อไปนี้ ถามคำถามมากกว่าการให้คำตอบ ครูผู้สอนควรจะพูดให้น้อยลง และฟังให้มากขึ้น ควรให้เสรีภาพแก่นักเรียนที่จะเลือกเรียนกิจกรรมต่าง ๆ เมื่อนักเรียนให้เหตุผลผิด ควรถามคำถามหรือจัดประสบการณ์ให้นักเรียนใหม่ เพื่อนักเรียน จะได้แก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตนเอง ชี้ระดับพัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรียนจากงานพัฒนาการทางสติปัญญาขั้นนามธรรม หรือจากงานการอนุรักษ์ เพื่อดูว่านักเรียนคิดอย่างไร ยอมรับความจริงที่ว่า นักเรียนแต่ละคนมีอัตราพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกัน ผู้สอนต้องเข้าใจว่านักเรียนมีความสามารถเพิ่มขึ้นในระดับความคิดขั้นต่อไป ตระหนักว่าการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเพราะจดจำมากกว่าที่จะเข้าใจ เป็นการเรียนรู้ที่ไม่แท้จริง
24 ในขั้นประเมินผล ควรดำเนินการสอนต่อไปนี้ มีการทดสอบแบบการให้เหตุผลของนักเรียน พยายามให้นักเรียนแสดงเหตุผลในการตอนคำถามนั้น ๆ ต้องช่วยเหลือนักเรียนทีมีพัฒนาการทางสติปัญญาต่ำกว่าเพื่อร่วมชั้น ในการจัดการเรียนรู้ให้วัยรุ่นควรจัดให้รู้จัดคิด ตัดสินใจ แก้ปัญหา เช่น การแก้ปัญหาโดยใช้หลักการ วิทยาศาสตร์ การสอนแบใช้ความคิดรวบยอด จิตวิทยาการศึกษา จิตวิทยาการศึกษา เป็นวิชาที่ว่าด้วย 1.การเจริญงอกงามด้านต่างๆของบุคคล 2.การปรับตัว 3.การขยายและเสริมสร้างประสบการณ์ 4.การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและการเรียนรู้ 5.พัฒนาการ ข้อจ ากัดของจิตวิทยาการศึกษา วิลเลียม เจมส์ นักจิตวิทยาการรุ่นบรมครูของสหรัฐกล่าวว่า วิชาจิตวิทยาเป้นวิทยาศาสตร์ การสอน เป็นศิลปะ เมื่อเราจะนำจิตวิทยามาช่วยในการสอน ก็จะต้องใช้การพิจารณาอย่างรอบคอบและประสบการณ์ เข้าช่วยอย่างมาก จะต้องนำเอาความรู้ทางจิตวิทยามาใช้ควบคู่กับการสอนให้เหมาะสม จิตวิทยาการศึกษากับการสอน มีส่วนช่วยในเรื่องการสอนดังนี้ คือ 1.ทางด้านแนะแนวทาง (Directional aspect) 2.ทางด้านสร้างแรงจูงใจ (Motivation aspect) 3.ทางด้านสร้างทัศนคติ (Attitude aspect) 4.ทางด้านเทคนิค (Technique aspect) จิตวิทยาการศึกษากับการปรับปรุงหลักสูตร 1.การปรับปรุงตำราเรียน 2.การปรับปรุงระดับความยากง่ายของวิชาให้เหมาะสมกับเด็ก
25 3.การส่งเสริมให้เด็กทำกิจกรรมเอง ส่งเสริมให้เด็กได้ทำเอง 4.การจัดเวลาเรียนให้เหมาะสมกับวัยและความตั้งใจ 5.พิจารณาถึงสุขภาพและสวัสดิการของเด็กมากขึ้น จิตวิทยาการศึกษากับการแนะแนว มีส่วนช่วยทางด้านแนะแนว ดังนี้ 1.เข้าใจปัญหาด้านจิตใจและร่างกายของเด็ก 2.เข้าใจถึงวิธีการแนะแนว 3.ช่วยในการศึกษาเด็กเป็นรายบุคคล จิตวิทยาการแนะแนวและการให้ค าปรึกษา จุดมุ่งหมายของการแนะแนว 1.เพื่อให้เด็กเข้าใจตนเอง สามารถตัดสินใจแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง 2.เพื่อช่วยให้เด็กแต่ละคนมีความสามารถในการปรับตัวให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อม 3.เพื่อช่วยให้เด็กมีความรู้และประสบการณ์อย่างกว้างขวาง 4.เพื่อรวบรวมข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับเด็กให้คณะครูเกิดความเข้าใจเด็กยิ่งขึ้น 5.เพื่อช่วยให้ผู้อำนวยการ อาจารย์ใหญ่ ผู้ปกครองเข้าใจเด็กดีขึ้น 6.เพื่อช่วยให้โรงเรียนมีข้อมูลเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน 7.เพื่อช่วยป้องกันหรือลดปัญหาเกี่ยวกับความศูนย์เปล่าทางการศึกษาที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก บริการแนะแนวที่ควรจัดในโรงเรียน 1.บริการรวบรวมข้อมูลนักเรียน 2.บริการสนเทศ 3.บริการให้คำปรึกษา 4.บริการจัดวางตัวบุคคล 5.บริการติดตามผลและประเมินผล ประเภทของการแนะแนว 1.การแนะแนวการศึกษา ช่วยให้นักเรียนรู้จักเลือกสายวิชาและวิชาเรียน
26 2.การแนะแนวอาชีพ ช่วยบุคคลในการเตรียมตัวเลือกอาชีพ และปรับตัวให้เข้ากับงานเพื่อ ก่อให้เกิดความก้าวหน้าในอาชีพ 3.การแนะแนวส่วนตัวและสังคม ช่วยให้บุคคลรู้จักดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขทั้ง กายและจิตใจ ปรัชญาการแนะแนว 1.บุคคลแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกันทั้งทางร่างกาย สังคม อารมณ์ สติปัญญา ความ สนใจ ความสามารถ ความถนัดและเจตคติ 2.บุคคลเป็นทรัพยากรที่มีค่าและมีศักยภาพแฝงอยู่ในตน 3.พฤติกรรมทุกอย่างของบุคคลย่อมมีสาเหตุ 4.คนทุกคนมีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคน 5.บุคคลทุกคนย่อมต้องการความช่วยเหลือไม่มากก็น้อย 6.บุคคลจะมีความสุขเมื่อมีโอกาสดีรับการศึกษาสูงตามกำลังสติปัญญาและความสามารถของ เขา บริการให้ค าปรึกษาในโรงเรียน เป็นบริการที่ให้ความช่วยเหลือนักเรียนในการวางแผนทางการศึกษาต่อ และการประกอบอาชีพ ในอนาคต โดยการช่วยเหลือให้นักเรียนสามารถตัดสินใจเลือกด้วยตนเองได้อย่างฉลาด เริ่มจากการเลือกวิชาที่ จะเรียนอันจะเป็นแนวทางที่จะนำไปสู่งานอาชีพที่ตน สนใจในอนาคต หรือที่จะนำไปสู่การเรียนใน มหาวิทยาลัยต่อไป นอกจากนี้ยังช่วยให้นักเรียนแก้ปัญหาด้านส่วนตัวและสังคม โดยเฉพาะปัญหาในเด็กวัยรุ่น จะเห็นได้ว่า การแนะแนวและการให้คำปรึกษานี้ มีลักษณะคล้ายคลึงและใกล้เคียงกันอยู่มาก ซึ่งทั้งนี้ การให้ คำปรึกษาก็เป็นหนึ่งในหลายบริการของการแนะแนวนั่นเอง และการให้คำปรึกษานี้ นับว่าเป็นหัวใจสำคัญของ การแนะแนวทีเดียว
27 การเป็นครูในศตวรรษที่ 21 นี้ เรียกได้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลยใช่ไหมคะ เพราะนอกจากความรู้ทางด้าน วิชาการที่ต้องแม่นยำแล้ว ยังต้องมีความรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของผู้เรียนที่แตกต่างจาก “นักเรียน” ใน แบบที่เราเคยเข้าใจมาในอดีตอีกด้วย เพราะผู้เรียนในปัจจุบันนี้ สามารถที่จะเข้าถึงองค์ความรู้ต่างๆ ได้จาก หลากหลายช่องทาง รวมถึงยังมีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้เป็นเพียงผู้รับหรือรอการถ่ายทอดจากครู เพียงทางเดียว นอกจากนี้ ความคาดหวังของทั้งผู้เรียนและผู้ปกครองที่มีต่อครูก็ยังแตกต่างจากเดิมด้วย เพราะสิ่งที่ เด็กๆ และผู้ปกครองต้องการจากครูนั้น มีสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเป็นครูไม่แพ้กันเลยก็คือ “ความ เข้าใจในความแตกต่างของผู้เรียน” ครูยุคใหม่จึงมิใช่ครูที่เรียนเก่งที่สุด ท่องจำได้ดีที่สุด ทำให้นักเรียนได้คะแนนสูงสุด หากแต่ว่าเป็นครูที่ สามารถสร้างแรงจูงใจให้กับผู้เรียนได้ สามารถรักษาความกระหายใคร่รู้ของเด็กๆ ไว้ได้ และเป็นผู้ที่มี ความสามารถในการสร้างบริบททางสังคมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ให้กับนักเรียนที่มีความแตกต่างหลากหลาย เครื่องมือสำคัญที่จะทำให้คุณครูสามารถพัฒนาตนเองให้เป็นครูยุคใหม่ที่สอดคล้องกับความต้องการ ของผู้เรียน และการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้ก็คือ เครื่องมือหรือองค์ความรู้ที่เรียกว่า “จิตวิทยาเด็ก” นั่นเอง จิตวิทยาเด็ก เป็นศาสตร์ที่ทำความเข้าใจพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กหรือผู้เรียน แบบองค์รวม ไม่ว่าจะเป็น พัฒนาการทางด้านร่างกาย สังคม อารมณ์ และเชาวน์ปัญญา รวมไปถึงหลักการในการสร้างเสริมและ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในเชิงบวกอีกด้วย ซึ่งหากสามารถนำมาปรับใช้ในห้องเรียนได้อย่างเหมาะสม ก็จะทำให้ เกิดประโยชน์กับทั้งครูผู้สอนและผู้เรียนเป็นอย่างมาก หลักการที่1 จิตวิทยาของคำพูด : ครูพูดเช่นไร เด็กเชื่อเช่นนั้น เมื่อการรับรู้ความสามารถในตัวเองของเด็กเป็นผลมาจากการแสดงออก ของครู หลักการข้อแรกที่เป็นเรื่องสำคัญอย่างมากต่อผู้เรียนก็คือ เรื่องของชุดความคิด หรือ Mindset ที่เด็กมี ต่อตนเองโดยทั่วไปแล้วความเชื่อหรือความคิดที่เด็กแต่ละคนมีต่อตนเองจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบคือ ความเชื่อแบบยึดติด (Fixed Mindset) ความเชื่อแบบเติบโต (Growth Mindset) ความเชื่อที่น่าเป็นห่วงสำหรับผู้เรียนก็คือความเชื่อแบบ Fixed Mindset หรือความคิดที่ว่า “ตนเอง เป็นเช่นนั้น ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาได้” ซึ่งผู้เรียนจะพัฒนาชุดความคิดไปในทิศทางใดนั้น ครูผู้สอน
28 มีส่วนสำคัญอย่างมาก หรือเรียกได้ว่า ครูคือผู้มีส่วนช่วยในการสร้างปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เรียกว่า “ความคาดหวังสร้างความเป็นจริง” ให้กับเด็กๆ หลักการที่ 2 จิตวิทยาพัฒนาการ : เมื่อเด็กแต่ละคนเติบโตไม่เท่ากัน ความคาดหวังและการวัดผลจึงต้องแตกต่าง พัฒนาการของเด็กแต่ละคน โดยเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ หรือเชาวน์ปัญญา เป็นสิ่งที่ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับอายุหรือขั้นพัฒนาการของเด็กเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหลายอย่างที่ส่งผลให้เด็ก แต่ละคนมีพัฒนาการที่แตกต่างกัน จริงอยู่ที่ศาสตร์ทางด้านจิตวิทยานั้น มีทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับขั้นพัฒนาการ เด็กอยู่หลายทฤษฎี แต่ทุกทฤษฎีล้วนกล่าวถึงข้อจำกัดเดียวกัน นั่นก็คือขั้นพัฒนาการในทฤษฎีต่างๆ นั้น อธิบายถึงพัฒนาการส่วนใหญ่ หรือพัฒนาการโดยทั่วๆ ไปของเด็กๆ ในช่วงวัยนั้น แต่มิได้หมายความว่าเด็กทุก คนจะสามารถทำได้ หรือมีพัฒนาการตามขั้นดังกล่าว อาจมีความเป็นไปได้ว่า เด็กบางคนสามารถพัฒนาได้ถึง ขั้นที่สูงกว่า ในขณะที่บางคนอาจจะยังพัฒนาไม่ถึงขั้นที่ควรจะเป็น และการทำความเข้าใจในความแตกต่างนี้ นี่เองค่ะ ที่จะทำให้ครูผู้สอนมีมุมมองต่อทั้งเด็กและตนเองในรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไป ประการแรก เมื่อครูเข้าใจว่าเด็กแต่ละคนมีพัฒนาการที่ไม่เท่ากัน ก็จะไม่ตัดสินตีตราว่าเด็กคนโง่ เด็ก คนใดฉลาด เพราะเด็กแต่ละคนอาจจะมีช่วงเวลาที่เข้าใจในสิ่งที่เราสอนช้าเร็วแตกต่างกันไป ประการที่สอง ความเข้าใจในความแตกต่างทางด้านพัฒนาการของเด็กแต่ละคนนี้ ทำให้ครูสามารถที่ จะจัดการวางแผนการเรียนการสอนล่วงหน้าได้ โดยคำนึงถึงความหลากหลายเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการ ออกแบบให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้หลายวิธี การจัดการเรียนการสอนให้เด็กได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือซึ่งกัน และกัน และการออกแบบระดับความยากง่ายให้แตกต่างกันไปด้วย ประการที่สาม เมื่อมีความแตกต่างตั้งแต่ต้น การวัดผลจึงควรแตกต่าง โดยวิธีการอย่างหนึ่งที่ครูยุค ใหม่สามารถปรับใช้ได้ก็คือ การวัดผลตามพัฒนาการของเด็กแต่ละคน หรือการมุ่งเน้นที่ความพยายามและ ระดับการพัฒนาเชิงบุคคลเป็นหลัก ซึ่งจะทำให้เด็กๆ รู้สึกกดดันน้อยลง มีความภาคภูมิใจในตนเองมากขึ้น และเป็นโอกาสที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นกับนักเรียนทุกๆ คน หลักการที่ 3 จิตวิทยาของบรรยากาศ : ไม่ใช่แค่ครูสอนอะไร แต่ครูสร้างบรรยากาศที่น่าเรียนได้หรือไม่ก็สำคัญ สิ่งหนึ่งที่ครูพิมให้ความสำคัญมาโดยตลอดนอกเหนือจากการเตรียมเนื้อหา ในทุกครั้งที่ได้ทำการเรียน การสอนหรือมีการบรรยายก็คือ การเตรียมความพร้อมของสภาพแวดล้อมในห้องเรียน หรือในพื้นที่บรรยาย ในฐานะนักจิตวิทยา เราทราบดีว่าสิ่งที่ส่งผลต่อการเรียนรู้และการตอบสนองของมนุษย์นั้นมี หลากหลายปัจจัยเหลือเกิน และหนึ่งในนั้นก็คือสภาพแวดล้อมในขณะนั้นๆ ไม่ว่าจะเป็นความร้อน ความเย็น เสียง แสงสว่าง เหล่านี้เป็นต้นอย่างไรก็ตาม คำว่าบรรยากาศในที่นี้ไม่ได้หมายถึงสิ่งที่สัมผัสหรือจับต้องได้แต่ เพียงอย่างเดียวเท่านั้น เพราะในหลายๆ สถานการณ์ ครูผู้สอนก็ไม่สามารถที่จะควบคุมสภาพแวดล้อมเหล่านั้น
29 ได้ทั้งหมด บรรยากาศในเชิงจิตวิทยาที่ครูพิมกำลังอยากจะเน้นย้ำนี้ จึงเป็นเรื่องที่พูดถึง “บรรยากาศทาง ความรู้สึก” วิธีการหนึ่งที่จะทำให้บรรยากาศในการเรียนการสอนนั้นเป็นไปในทางบวกได้อย่างรวดเร็ว คือการ เชื่อมโยงหรือมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนก่อนที่จะเริ่มทำการเรียนการสอน หรือเรียกว่าเป็นช่วง warm-up เพราะ โดยทั่วไปแล้ว เรามักเริ่มต้นคาบเรียนด้วยการกล่าวทำความเคารพโดยหัวหน้าห้อง ตามด้วยเสียงเอื่อยๆ ของ นักเรียนทั้งระดับชั้น ตามด้วยครูผู้สอนที่บอกถึงเนื้อหาคร่าวๆ ที่จะทำการเรียนการสอน หรือการทบทวนสิ่ง เดิมที่เคยสอนไปแล้ว รูปแบบเดิมๆ เหล่านี้ทำให้ผู้เรียนขาดช่วงเวลาที่จะเชื่อมโยงหรือเชื่อมต่อกับครูผู้สอน และทำให้ไม่เกิด บรรยากาศที่เป็นการชักชวนเข้าสู่บทเรียน และการปรับเปลี่ยนบรรยากาศในตอนต้นคาบด้วยรูปแบบใหม่ๆ นี่เอง ที่จะเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของการเรียนการสอนตลอดคาบได้ สำหรับเทคนิคในการปรับเปลี่ยนบรรยากาศด้วยการเชื่อมโยงกันนี้ก็สามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการเริ่มต้นด้วยเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับบทเรียนในรูปแบบเรื่องเล่า (ใครๆ ก็ชอบฟังเรื่องเล่ากัน ทั้งนั้น และสมองยังจดจำเรื่องเล่าได้ดีอีกด้วย) หรือจะเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์กับเด็กๆ ด้วยการทักแบบ สนุกสนานหรือน่าสนใจก็ได้เช่นกัน หลักการทั้ง 3 ข้อนี้แม้จะยังไม่ครอบคลุมสถานการณ์ทั้งหมดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในระหว่างการเรียน การสอน แต่ก็เพียงพอที่จะให้ครูผู้มีใจรักในการพัฒนาตนเองทุกท่านได้นำไปประยุกต์ใช้เพื่อสร้าง ความก้าวหน้าในสาขาอาชีพ และเพื่อให้ทุกท่านได้บรรลุเป้าหมายในการพัฒนานักเรียนที่น่ารักของเรา ให ้ เติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพของแต่ละคนตามที่พวกเขาควรจะเป็น สิ่งสำคัญก็คือ ครูยุคใหม่จะไม่ใช่ครูที่สร้างเด็กเก่งได้เท่านั้น แต่ยังเป็นครูที่สร้างเด็กที่สุขภาพจิตดี และมีคุณค่าต่อโลกนี้ รวบเทคนิคการใช้จิตวิทยาเด็ก 1.เด็กแต่ละคนมีพื้นฐานอารมณ์ที่แตกต่างกัน ถ้าครูเข้าใจธรรมชาติและมีจิตวิทยาที่ดี เราก็จะจัด กิจกรรมเสริมให้พวกเขาได้ดี 2.เด็กวัยนี้ต้องการความไว้วางใจต้องการความปลอดภัย ถ้าเขาอยู่กับครูที่เข้าใจ มีเมตตา หากเขาทำ แบบนี้ครูยังอดทนเขาจะไว้วางใจและรู้สึกปลอดภัย แล้วความรู้สึกเหล่านี้จะสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างครูกับ เด็ก และรับรองว่าเด็กรักที่จะมาโรงเรียน 3.เจอเด็กดื้อจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนดี เด็กที่มีพฤติกรรมเหล่านี้อาจไม่เป็นแบบที่เราคิดเสมอไป เด็ก ๆแค่ต้องการเวลาในการปรับและเตรียมตัว หากมองอย่างเข้าใจก็จะทำให้เข้าถึงเขาได้ง่ายขึ้น เพื่อให้เกิดความ มั่นคงทางอารมณ์ กล้าเปิดใจและยอมเชื่อฟังมากขึ้น
30 4.เด็กทุกคนต้องการเป็นที่รักของใครคนหนึ่ง เช่นในโรงเรียนก็คือครู ที่บ้านคือพ่อแม่ ถ้าครูมีหลัก จิตวิทยา เราจะพูดกับเด็กง่ายขึ้น 5.บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมรอบตัวเด็กเป็นสิ่งที่ต้องสร้างขึ้น ดูแล้วต้องปลอดภัย สดใส เป็นมิตร ครู ต้องอารมณ์ดียิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาไพเราะ เพื่อสนับสนุนให้เด็ก ๆ อยากไปโรงเรียน และสร้างความรู้สึกว่าเป็น บ้านหลังที่สอง เด็กก็จะสนุกที่จะมาโรงเรียนมากขึ้น จิตวิทยาเป็นเรื่องสำคัญมีไว้ให้เราจัดกระบวนการเรียนรู้ให้เด็กได้ถูกต้องเหมาะสมตามวัย เพราะเด็ก แต่ละคนมีพื้นฐานแตกต่างกัน การจะสอนให้ตอบโจทย์ผลการเรียนรู้ของเด็กได้ เราต้องสังเกตเด็กและมี เทคนิคปรับประยุกต์ให้เด็กทุกคนในห้องเรียนสามารถเรียนรู้ตามแผนที่เราวางไว้อย่างเหมาะสม ถ้าเด็กทำ ไม่ได้ เราต้องมาปรับแผนใหม่ เราต้องมองเด็กเป็นที่ตั้ง ถ้าเราเข้าใจเด็กเราจะวางแผนการสอนได้อย่าง เหมาะสม
31 บรรณานุกรม จิตวิทยา.(2567).{ออนไลน์}.เข้าถึงได้จาก http://you-know.50webs.com/gp1.html (วันที่สืบค้นข้อมูล : 29 กุมภาพันธ์ 2567). นาย ณัฐวุฒิ หนุพล.(2560). จิตวิทยาส าหรับครู. https://nattavut40.blogspot.com/ (วันที่สืบค้นข้อมูล : 29 กุมภาพันธ์ 2567). โรงเรียนมุสลีมีนศึกษา.(2565). จิตวิทยาการศึกษา. http://muslimeensongkhla.com/index.php?option=com_content&view=article&id=64&Itemid =14 (วันที่สืบค้นข้อมูล : 29 กุมภาพันธ์ 2567). รศ.มัณฑรา ธรรมบุศย์.(2019). จิตวิทยาเด็ก. https://www.aksorn.com/child-psychology (วันที่สืบค้น ข้อมูล : 29 กุมภาพันธ์ 2567).
32