The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

นาย ชัยพร นานคงแนบ ม.4/4 เลขที่ 17

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nanubzeedna, 2022-01-22 13:26:10

พระราชกรณียกิจ ของกษัตริย์ไทย

นาย ชัยพร นานคงแนบ ม.4/4 เลขที่ 17

Keywords: พระราชกรณียกิจ ของกษัตริย์ไทย

พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ พ ร ะ ส ม เ ด็ จ พ ร ะ เ จ้ า ต า ก สิ น
จุ ล จ อ ม เ ก ล้ า เ จ้ า อ ยู่ หั ว มหาราช




พระราชกรณียกิจ
ของกษัตริย์ไทย

นาย ชัยพร นานคงแนบ เลขที่ 17
มัธยมศึกษาปี 4 ห้อง 4

พระราชกรณียกิจ
ของกษัตริย์ไทย

นาย ชัยพร นานคงแนบ เลขที่ 17
มัธยมศึกษาปี 4 ห้อง 4

คำนำ ก

หนังสือ E-Book เล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาประวัติศาสตร์
ส31104 เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทยเพื่อให้ผู้
ศึกษาผู้ที่สนใจ ได้อ่านและศึกษาเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจและมี
ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น

พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทย มีความสำคัญเป็น
ประวัติศาสตร์พระปรีชาสามารถต่างๆ ผู้จัดทำจึงได้รวบรวมข้อมูลที่
เกี่ยวข้องจากแหล่งต่างๆ เพื่อให้ผู้ศึกษาที่สนใจได้รับความรู้มาก
ที่สุด

นาย ชัยพร นานคงแนบ

สารบัญ ข

เรื่อง หน้า
คำนำ ก
สารบัญ ข
อาณาจักรกรุงธนบุรี 1
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช 2
5
- พระราชกรณียกิจ 18
อาณาจักรรัตนโกสินทร์ 19
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า 20
28
- พระราชกรณียกิจ
บรรณานุกรม

1

อาณาจักรกรุงธนบุรี

อาณาจักรธนบุรี เป็นอาณาจักรที่มีระยะเวลาสั้นที่สุดของไทย คือ
ระหว่าง พ.ศ. 2310–2325 ระยะเวลา 15 ปี มี พระมหากษัตริย์
ปกครองเพียงพระองค์เดียว คือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ภายหลัง
อาณาจักรอยุธยา ล่มสลายไปพร้อมกับ การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่
สอง ทว่า ในเวลาต่อมา สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้
ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ และทรงย้ายเมืองหลวงไปยัง
ฝั่ งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา คือ กรุงเทพมหานคร ในปัจจุบัน

2

สมเด็จพระเจ้าตากสิน
มหาราช

พระราชประวัติ 3

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระราชสมภพ เมื่อวันอาทิตย์
เดือน ๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีขาล ฉศก จุลศักราช ๑๐๙๖ ตรงกับวันที่ ๑๗
เมษายน พ.ศ.๒๒๗๗ ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศพระ
มหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา มีพระนามเดิมว่า สิน พระราชบิดา
เป็นชาวจีนชื่อนายไหฮอง หรือ หยง แซ่แต้ เป็นนายอากรบ่อนเบี้ย มี
บรรดาศักดิ์เป็นขุนพัฒน์ พระราชชนนีชื่อ นางนกเอี้ยง (ภายหลัง
ได้รับการสถาปนาเป็น กรมพระเทพามาตย์) ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้กับ
จวนเจ้าพระยาจักรีที่สมุหนายก เมื่อยังทรง พระเยาว์เจ้าพระยาจักรี
ได้ขอสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชไปเลี้ยงเป็น บุตรบุญธรรม และ
ได้ตั้งชื่อพระองค์ท่านว่า สิน พอนายสินอายุได้ ๙ ขวบ เจ้าพระยา
จักรีก็นำไปฝากให้เล่าเรียนหนังสืออยู่ในสำนักของพระอาจารย์ทอง
ดี วัดโกษาวาส ครั้นอายุได้ ๑๓ ปี เจ้าพระยาจักรีได้นำนายสินเข้า
ถวายตัวรับราชการเป็นมหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวบรมโกศ
ตามประเพณีของการรับราชการในสมัยนั้น ในระหว่างรับราชการ
เป็นมหาดเล็กนายสินได้พยายามศึกษาหาความรู้ทางด้านภาษาต่าง
ประเทศหลายภาษา มีภาษาจีน ภาษาญวน และภาษาแขก จน
สามารถพูดได้สามภาษาอย่างชำนิชำนาญ ครั้นนายสินอายุได้ ๒๑
ปี เจ้าพระยาจักรีได้ประกอบการอุปสมบทนายสินเป็นพระภิกษุสงฆ์
อยู่ในสำนักอาจารย์ทองดี ณ วัดโกษาวาส(ปัจจุบันคือวัดเชิงท่า )
นายสินอุปสมบทอยู่ ๓ พรรษา แล้วก็ลาสิกขาบทกลับมาเข้ารับ
ราชการตามเดิม เนื่องจากนายสินเป็นผู้ฉลาดรอบรู้ขนบธรรมเนียม
ราชกิจต่าง ๆ โดยมาก จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าโปรด
กระหม่อมให้นายสินเป็นมหาดเล็กรายงานด้วยราชการทั้งหลาย
ในกรมมหาดไทย และกรมวังศาลหลวง พ.ศ. ๒๓๐๑ สมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศเสด็จสวรรคต สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอุทุมพร
เสด็จเสวยราชสมบัติได้ ๓ เดือนเศษ

ก็ถวายสิริราชสมบัติแก่สมเด็จพระบรมราชาที่ ๓ และได้ทรงพระ 4
กรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้นายสินมหาดเล็กรายงานเป็นข้าหลวงเชิญ

ท้องตราพระราชสีห์ขึ้นไปชำระความหัวเมืองฝ่ายเหนือ ซึ่งนายสินได้

ปฏิบัติราชการด้วยความวิริยะอุตสาหะและมีความดีความชอบมาก

จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองตาก

ช่วยราชการอยู่กับพระยาตาก ครั้นเมื่อพระยาตากถึงแก่กรรมลง ก็

ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนหลวงยกกระบัตร (สิน) เป็นพระยาตาก

ปกครองเมืองตากแทน พ.ศ. ๒๓๐๘ พระยาตาก (สิน) ได้รับพระ

กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้ามาช่วยราชการสงครามเพื่อป้องกันพม่าใน

กรุงศรีอยุธยา พระยาตาก (สิน) มีฝีมือการรบป้องกัน พระนครอย่าง

เข้มแข็งมีความดีความชอบมาก จึงได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้

เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นพระยาวชิรปราการ (สิน) สำเร็จราชการเมือง

กำแพงเพชรแทนเจ้าเมืองเดิมที่ถึงแก่กรรม พ.ศ. ๒๓๑๐ กรุง

ศรีอยุธยาเสียแก่พม่าในเดือนเมษายน พระยาตาก ก็สามารถกอบกู้

กรุงศรีอยุธยากลับคืนได้ แล้วก็คิดจะปฏิสังขรณ์กรุงศรีอยุธยาขึ้น

เป็นราชธานีใหม่ แต่เมื่อได้ตรวจความเสียหายแล้วเห็นว่ากรุง

ศรีอยุธยาได้รับความเสียหายเป็นอันมาก ยากที่จะบูรณะให้เหมือน

ดังเดิมได้ และประกอบกับรี้พลของเจ้าตากมีไม่พอที่จะรักษากรุง

ศรีอยุธยาที่เป็นเมือง ใหญ่ได้ จึงเลือกเมืองธนบุรีเป็นราชธานี และ

ได้อพยพผู้คนลงมาตั้งมั่นที่เมืองธนบุรี เจ้าตากทรงทำพิธี

ปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ครองกรุงธนบุรี เมื่อวันพุธ เดือนอ้าย แรม

๔ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๓๐ ปีชวด สัมฤทธิศก ตรงกับวันที่ ๒๘ เดือน

ธันวาคม พ.ศ. ๒๓๑๑ ขณะมีพระชนมายุได้ ๓๔ พรรษา ทรงนามว่า

สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ แต่

ประชาชนทั่วไปยังนิยมขนานพระนามพระองค์ว่า สมเด็จพระเจ้า

กรุงธนบุรี หรือสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงมีพระราชโอรสและพระราช
ธิดากับสมเด็จพระอัครมเหษี กรมหลวงบาทบริจา และกรมบริจา
ภักดีศรีสุดารักษ์ รวมทั้งพระสนมต่าง ๆ รวมทั้งสิน ๒๙ พระองค์

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เสด็จสวรรคต เมื่อวันเสาร์ 5

เดือน ๕ แรม ๙ ค่ำ จ.ศ. ๑๑๔๔ ปีขาล ตรงกับวันที่ ๖ เมษายน ๒๓๒๕

พระชนมายุ ๔๘ พรรษา รวมสิริราชสมบัติ ๑๕ ปี

พระราชกรณียกิจ

ด้านการปกครอง ยังคงใช้ระบบการปกครองแบบกรุง
ศรีอยุธยา ส่วนด้านกฎหมาย เมื่อครั้งกรุงแตก กฎหมายบ้านเมือง
กระจัดกระจายหายสูญไปมาก จึงโปรดให้ทำการสืบเสาะค้นหามา
รวบรวมไว้ได้ประมาณ ๑ ใน ๑๐ และโปรดให้ชำระกฎหมายเหล่านั้น
ฉบับใด ยังเหมาะแก่กาลสมัยก็โปรดให้คงไว้ และเป็นการแก้ไขเพื่อ
ให้ราษฎรได้รับผลประโยชน์มากขึ้น เช่น โปรดให้แก้ไขกฎหมายว่า
ด้วยการพนัน ให้อำนาจการตัดสินลงโทษขึ้นแก่ศาลแทนนายตรา
สิทธิขาด และยังห้ามนายตรา นายบ่อนออกเงินทดรองให้ผู้เล่นเกาะ
กุม ผูกมัด จำจอง เร่งรัดผู้เล่น กฎหมายพิกัดภาษีอากรเกือบไม่มี
เพราะผลประโยชน์แผ่นดินได้จากการค้าสำเภามากพอแล้ว
กฎหมายว่าด้วยการจุกช่องล้อมวง ก็ยังไม่ตราขึ้น เปิดโอกาสให้
ราษฎรได้เฝ้าตามรายทาง โดยไม่ต้องมีพนักงานตำรวจแม่นปืนคอย
ยิงราษฎร ซึ่งแม้แต่ชาวต่างประเทศก็ยังชื่นชมในพระราชอัธยาศัยนี้
ในชั้นศาล ก็ไม่โปรดให้อรรถคดีคั่งค้าง แม้ยามศึก หากคู่ความไม่ได้
เข้ากองทัพหรือประจำราชการต่างเมือง ก็โปรดให้ดำเนินการ
พิจารณาคดีไปตามปกติ ทั้งในการฟ้องร้อง ยังโปรดให้โจทย์หาหมอ
ความแต่งฟ้องได้เช่นเดียวกับปัจจุบันอีกด้วย วิธีพิจารณาคดีในสมัย
นั้นสะท้อนให้เห็นได้แจ่มชัด ในบทละครรามเกียรติ์ตอนท้าว มาลีว
ราชพิพากษาความ พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าตากสิน
กรุงธนบุรี

ด้านการทหาร ทรงรวบรวมคนไทยที่แบ่งเป็นก๊กเป็นเหล่า ๕ 6

ก๊ก และปราบปรามก๊กต่าง ๆ ทำสงครามกับพม่า ขยายพระราช

อาณาเขตไปยังหลวงพระบาง เวียงจันทน์ และกัมพูชา

ด้านเศรษฐกิจ เนื่องในสมัยกรุงธนบุรี เป็นระยะเวลาที่สร้างบ้าน

เมืองกันใหม่ การค้าเจริญรุ่งเรืองทั้งของหลวงและของราษฎร

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทำนุบำรุงการค้าขายทางเรือ

อย่างเต็มที่ ทรงแต่งสำเภาหลวงออกไปค้าขายทางด้านตะวันออก

ไปถึงเมืองจีน ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือถึงอินเดียตอนใต้ ผล

ประโยชน์ที่ได้รับจากการค้าของหลวงช่วยบรรเทาภาระภาษีของ

ราษฎรไปได้มาก สมเด็จ พระเจ้าตากสิน ฯ ทรงส่งเสริมการนำสินค้า

พื้นเมืองไปขายทางเรือ ซึ่งอำนวยผลประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อ

งานสร้างชาติ ทำให้ราษฎรมีงานทำ มีรายได้ ทั้งยังฝึกให้คนไทย

เชี่ยวชาญการค้าขาย ป้องกันมิให้การค้าตกไปอยู่ในมือต่างชาติ

ด้านการคมนาคม ใน ยามว่างจากศึกสงคราม จะโปรดให้

ตัดถนนและขุดคลองมากขึ้น เพื่อประโยชน์ในทางค้าขาย ทรง

ยกเลิกความคิดแนวเก่าที่ว่าหากถนนหนทาง การคมนาคมมีมาก

แล้ว จะเป็นการอำนวยความสะดวกให้ข้าศึกศัตรู และพวกก่อการ

จลาจล แต่กลับทรงเห็นประโยชน์ในทางค้าขายมากกว่า ดังนั้นใน

ฤดูหนาวหากว่างจากศึกสงคราม ก็จะโปรดให้ตัดถนน และขุดคลอง

จะเห็นได้จากแนวถนนเก่า ๆ ในเขตธนบุรี ซึ่งมีอยู่มากสาย ส่วนการ

ขุดชำระคลองมักมีวัตถุประสงค์เบื้องต้นเพื่อประโยชน์ทาง

ยุทธศาสตร์ เช่น คลองท่าขามจากนครศรีธรรมราชไปออกทะเล

เป็นต้น

ด้านศิลปกรรม ใน สมัยนี้ แม้สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรีจะ

มีการงานศึกสงครามแทบจะมิได้ว่างเว้นก็ ตาม แต่ก็ทรงหาโอกาส

ฟื้ นฟู และบำรุงศิลปกรรมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทางด้านนาฏ

ดุริยางค์ และวรรณกรรม

ด้านนาฏดุริยางค์โปรดให้ฟื้ นฟูอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างบรรยากาศที่ 7
รื่นเริงครึกครื้นเหมือนครั้งกรุงเก่านับเป็นวิธี บำรุงขวัญที่ใกล้ตัว
ราษฎรที่สุด พระราชทานโอกาสให้ประชาชนทั่วไป เปิดการสอนและ
ออกโรงเล่นได้โดยอิสระ เครื่องแต่งกายไม่ว่าจะเป็นเครื่องต้นเครื่อง
ทรงก็แต่งกันได้ตามลักษณะเรื่อง แม้สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเองก็
คงจะทรงสนพระทัยในกิจการด้านนี้มิใช่น้อย ด้วยมักจะโปรดให้มี
ละครและการละเล่นอย่างมโหฬารในงานสมโภชอยู่เนือง ๆ
สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี ทรงพระราชนิพนธ์บทละคร
รามเกียรติ์ไว้ ๔ เล่ม สมุดไทยแบ่งเป็นตอนไว้ ๔ ตอน คือ

เล่ม ๑ ตอนพระมงกุฎ

เล่ม ๒ ตอนหนุมานเกี้ยววานรินจนท้าวมาลีวราชมา

เล่ม ๓ ตอนท้าวมาลีวราชพิพากษา จนทศกรรฐ์เข้าเมือง

เล่ม ๔ ตอนทศกรรฐ์ตั้งพิธีทรายกรด, พระลักษณ์ต้องหอกกบิล
พัสตร์ จนผูกผมทศกรรฐ์กับนางมณโฑ

การที่พระมหากษัตริย์ทรงใฝ่พระทัยในกวีนิพนธ์ถึงกับพระราช
นิพนธ์ทั้ง ๆ ที่แทบจะมิได้ว่างเว้นจากราชการทัพเช่นนี้ เท่ากับเป็น
แรงบันดาลใจให้ผู้ที่มีความสามารถทางกวีนิพนธ์ในยุคนั้นสร้าง
สรรค์งานขึ้นมาได้บ้าง แม้เหตุการณ์ของบ้านเมืองจะยังมิได้คืนสู่
สภาพปกติสุขดีนัก และสมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี ก็ทรงให้
ความอุปถัมภ์กวีในราชสำนักเป็นอย่างดี

ด้านการช่าง โปรดให้รวบรวมช่างฝีมือ และให้ฝึกงานช่างทุก 8
แผนกเท่าที่มีครูสอน เช่น ช่างต่อเรือ ช่างก่อสร้าง ช่างรัก ช่าง
ประดับ ช่างเขียน เป็นต้น สำหรับงานช่างต่อเรือได้รับความนิยม
มากที่สุด เพราะเป็นยุคที่มีการต่อเรือรบ และเรือสำเภาค้าขายเป็น
จำนวนมากมาย ช่างสมัยกรุงธนบุรีนี้อาจจะไม่มีเวลาทันสร้างผล
งานดีเด่นเฉพาะสมัย แต่ก็ได้เป็นผู้สืบทอดศิลปกรรมแบบอยุธยาไป
สู่แบบรัตนโกสินทร์ ด้านการศึกษา ในสมัยนั้นวัดเป็นแหล่งที่ให้การ
ศึกษา จึงโปรดให้บำรุงการศึกษาตามวัดต่างๆ และโปรดให้ตั้งหอ
หนังสือหลวงขึ้นเช่นเดียวกันกับสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งคงจะเทียบได้
กับหอพระสมุดในระยะหลัง ส่วนตำรับตำราที่กระจัดกระจายไปเมื่อ
คราวกรุงแตก ก็โปรดให้สืบเสาะหามาจำลองไว้เป็นแบบฉบับ
สำหรับผู้สนใจอาศัยคัดลอกกันต่อ ๆ ไป และที่แต่งใหม่ก็มี

ด้านการศาสนา โปรด ให้ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่าง ๆ ที่รกร้าง
ปรักหักพังตั้งแต่ครั้งพม่าเข้าเผาผลาญทำลายและกวาดต้อน
ทรัพย์สิน ไปพม่า แล้วโปรดให้อาราธนาพระภิกษุสงฆ์เข้าจำวัดต่าง
ๆ ส่วนพระไตรปิฎกยังเหลือตกค้างอยู่ที่ใด ก็โปรดให้คัดลอกสร้าง
เป็นฉบับหลวง แล้วส่งคืนกลับไปที่เดิม เรื่องสังฆมณฑล โปรดให้
ดำเนินตามธรรมเนียมการปกครองคณะสงฆ์ที่มีมาแต่ก่อน โดยแยก
เป็นฝ่ายคันถธุระและฝ่ายวิปัสสนาธุระ ฝ่ายคันถธุระดำเนินการ
ศึกษาพระปริยัติธรรมให้เจริญ ส่งเสริมการสอนภาษาบาลี เพื่อช่วย
การอ่านพระไตรปิฎก ฝ่ายวิปัสนาธุระ โปรดให้กวดขันการปฏิบัติ
พระธรรมวินัยเป็นขั้น ๆ ไปตามภูมิปฏิบัติส่วน ลัทธิอื่น ๆ ในชั้นต้น
สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี พระราชทานเสรีภาพในการนับถือ
ศาสนา แต่ต่อมาข้าหลวงที่เข้ารีต ได้พยายามห้ามปรามชาวไทย
ปฏิบัติพิธีการทางศาสนา เช่น พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ความขัด
แย้งมีมากขึ้นเรื่อย ถึงกับจับพวกบาทหลวงกุมขังก็มี ในที่สุด
พระองค์จำต้องขอให้บาทหลวงไปจากพระราชอาณาเขต แล้วห้าม
ชาวไทยนับถือศาสนาคริสต์ ตั้งแต่วันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๒๒

ด้านการศึกสงคราม ขณะ ที่พระยาตากได้รับพระกรุณาโปรด 9

เกล้า ฯ ให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นพระยาวชิรปราการ (สิน) สำเร็จ
ราชการเมืองกำแพงเพชรแทนเจ้าเมืองเดิมที่ถึงแก่กรรม แต่ก็ยังมิได้
ไปครองเมืองกำแพงเพชร เพราะต้องต่อสู้กับข้าศึกในการป้องกัน
พระนคร เมื่อพระยาวชิรปราการ (สิน) เล็งเห็นว่าถึงแม้จะอยู่ช่วย
รักษาพระนครต่อไป ก็คงไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด พม่าก็ตั้งล้อม
พระนครกระชั้นเข้ามาทุกขณะจนถึงคูพระนครแล้ว กรุงศรีอยุธยา
คงไม่พ้นเงื้อมมือพม่าเป็นแน่แท้ ไพร่ฟ้าข้าทหารในพระนครก็อิดโรย
ลงมาก เนื่องจากขัดสนเสบียงอาหาร ทหารไม่มีกำลังใจจะสู้รบ ดัง
นั้นพระยาวชิรปราการ (สิน) จึงตัดสินใจร่วมกับพระยาพิชัยอาสา
พระเชียงเงิน หลวงพรหมเสนา หลวงราชเสน่หา ขุนอภัยภักดี และ
พรรคพวก รวม ๕๐๐ คน ยกกำลังออกจากค่ายวัดพิชัย ตีฝ่าพม่าไป
ทางทิศตะวันออก เวลาค่ำในวันเสาร์ เดือนยี่ ขึ้น ๔ ค่ำ ปีจอ พ.ศ.
๒๓๐๙ ตรงกับวันที่ ๓ มกราคม พ.ศ. ๒๓๐๙ ทัพพม่าได้ส่งทหารไล่
ติดตามพระยาวชิรปราการ (สิน) และพรรคพวกมาทันกันในวันรุ่งขึ้น
ที่ บ้านโพธิ์สังหาร พระยาวชิรปราการ (สิน) ได้นำพลทหารไทยจีน
เข้ารบกับทหารพม่าเป็นสามารถจนทหารพม่าแตกพ่ายไป และยังได้
ยึดเครื่องศาสตราวุธอีกเป็นจำนวนมาก แล้วออกเดินทางไปตั้งพักที่
บ้านพรานนก เพื่อหาเสบียงอาหาร ระหว่างที่ทหารพระยาวชิร
ปราการ (สิน) หาเสบียงอาหารอยู่นั้น ได้พบทัพพม่าจำนวนพลขี่ม้า
ประมาณ ๓๐ ม้า พลเดินเท้าประมาณ ๒,๐๐๐ คน ยกทัพมาจากบาง
คาง แขวงเมืองปราจีนบุรี เพื่อเข้ารวมพลเข้าตีกรุงศรีอยุธยาใน
โอกาสต่อไป ทหารพระยาวชิรปราการ (สิน) จึงหนีกลับมาที่บ้าน
พรานนก โดยมีทหารพม่าไล่ติดตามมาอย่างกระชั้นชิดและชะล่าใจ
พระยาวชิรปราการ (สิน) จึงให้ทหารซึ่งเป็นพลเดินเท้าแยกออกเป็น
ปีกกาเข้าตีโอบพวกพม่าทั้งสองข้าง ส่วนพระยาวชิรปราการ (สิน)
กับทหารอีก ๔ คน ก็ขี่ม้าตรงเข้าไล่ฟันทหารม้าพม่าซึ่งนำทัพมา
อย่างไม่ทันรู้ตัวก็แตกร่นไป ถึงพลเดินเท้า พวกทหารพระยาวชิร
ปราการได้ทีเข้ารุกไล่ฆ่าฟันทหารพม่าจนแตกพ่ายไป การชนะใน
ครั้งนี้ช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้ทหารพระยาวชิรปราการ (สิน)
เป็นอย่างมากในโอกาสสู้รบกับพม่าในโอกาสต่อไป

9

พวกราษฏรที่หลบซ่อนเร้นพม่าอยู่ได้ทราบกิตติศัพท์การรบชนะ
ของพระยาวชิรปราการ (สิน) ต่อทหารพม่าต่างก็มาขอเข้าเป็นพวก
และได้เป็นกำลังสำคัญในการเกลี้ยกล่อมผู้ที่ตั้งตัวเป็นหัวหน้า นาย
ซ่องต่าง ๆ มาอ่อนน้อมขุนชำนาญไพรสนฑ์ และนายกองช้างเมือง
นครนายก มีจิตสวามิภักดิ์ได้นำเสบียงอาหารและช้างม้ามาให้เป็น
กำลังเพิ่มขึ้น ส่วนนายซ่องใหญ่ซึ่งมีค่ายคูยังทะนงตนไม่ยอม
อ่อนน้อม พระยาวชิรปราการ (สิน) ก็คุมทหารไปปราบจนได้ชัยชนะ
แล้วจึงยกทัพผ่านเมืองนครนายกข้ามลำน้ำเมือง ปราจีนบุรีไปตั้ง
พักที่ชายดงศรีมหาโพธิ์ข้างฟากตะวันตก ทหารพม่าเมื่อแตกพ่ายไป
จากบ้านพรานนกแล้วก็กลับไปรายงานนายทัพที่ตั้งค่าย ณ ปากน้ำ
เจ้าโล้ เมืองฉะเชิงเทรา ซึ่งกองทัพพม่ากองสุดท้ายที่รวบรวมกำลัง
กันทั้งทัพบกทัพเรือไปรอดัก พระยาวชิรปราการ (สิน) อยู่ ณ ที่นั้น
และตามทัพพระยาวชิรปราการ (สิน) ทันกันที่ชายทุ่ง พระยาวชิร
ปราการ (สิน) เห็นว่าจะต่อสู้กับข้าศึก ซึ่ง ๆ หน้าไม่ได้ อีกทั้งมีกำลัง
น้อยกว่ายากที่จะเอาชัยชนะแก่พม่าได้ จึงเลือกเอาชัยภูมิพงแขม
เป็นกำบังแทนแนวค่าย และแอบตั้งปืนใหญ่น้อยรายไว้หมายเฉพาะ
ทาง ที่จะล่อพม่าเดินเข้ามา

แล้วพระยาวชิรปราการ (สิน) ก็นำทหารประมาณ ๑๐๐ คนเศษ คอย 10

รบพม่าที่ท้องทุ่ง ครั้นเมื่อรบกันสักพักหนึ่งก็แกล้งทำเป็นถอยหนีไป
ทางช่องพงแขมที่ตั้งปืนใหญ่เตรียมไว้ ทหารพม่าหลงกลอุบายรุกไล่
ตามเข้าไปก็ถูกทหารไทยระดมยิงและตีกระหนาบเข้ามา ทางด้าน
หน้า ขวา และซ้าย จนทหารพม่าไม่มีทางจะต่อสู้ได้ต่อไปทำให้ทหาร
พม่าล้มตายเป็นจำนวนมาก ที่รอดตายต่างถอยหนีอย่างไม่เป็นกระ
บวนก็ถูกพระยาวชิรปราการ (สิน) นำทหารไล่ติดตามฆ่าฟันล้มตาย
อีก นับตั้งแต่นั้นมาทหารพม่าก็ไม่กล้าจะติดตามพระยาวชิรปราการ
(สิน) อีกต่อไป เมื่อพระยาวชิรปราการ (สิน) ได้ชัยชนะพม่าแล้วได้
ยกทัพผ่านบ้านทองหลาง พานทอง บางปลาสร้อย บ้านนาเกลือ เขต
เมืองชลบุรี ต่างก็มีผู้คนเข้าร่วมสมทบมากขึ้นจนมีรี้พลเป็นกองทัพ
จากนั้นพระยาวชิรปราการ (สิน) ก็เดินทางไปเมืองระยอง โดยหมาย
จะเอาเมืองระยองเป็นที่ตั้งมั่นต่อไป ครั้นถึงเมืองระยอง พระยา
ระยองชื่อบุญ เห็นกำลังพลของ พระยาวชิรปราการมีจำนวน
มากมายที่จะต้านทานได้จึงพากันออกมา ต้อนรับ พระยาวชิร
ปราการ (สิน) จึงตั้งค่ายที่ชานเมืองระยอง ขณะนั้นมีพวกกรม
การเมืองระยองหลายคนแข็งข้อคิดจะสู้รบ จึงได้ยกกำลังเข้าปล้น
ค่ายในคืนวันที่สองที่หยุดพัก แต่พระยา วชิรปราการ (สิน) รู้ตัวก่อน
จึงได้ดับไฟในค่ายเสียและมิให้โห่ร้องหรือยิงปืนตอบ รอจนพวกกรม
การเมืองเข้ามาได้ระยะทางปืน พระยาวชิรปราการ (สิน) ก็สั่งยิงปืน
ไปยังพวกที่จะแหกค่ายด้านวัดเนิน พวกที่ตามหลังมาต่างก็ตกใจ
และถอยหนี พระยาวชิรปราการ (สิน) คุมทหารติดตามไปเผาค่าย
และยึดเมืองระยองได้ในคืนนั้น การที่พระยาวชิรปราการ (สิน) เข้าตี
เมืองระยองได้และกรุงศรีอยุธยายังมิได้เสียทีแก่พม่าแต่ประการใด
จึงถือเสมือนเป็นผู้ละเมิดกฎหมายบ้านเมือง ดังนั้น พระยาวชิร
ปราการ (สิน) ก็ระวังตนมิได้คิดตั้งตัวเป็นกบฏ และให้เรียกคำสั่งว่า
พระประศาสน์อย่างเจ้าเมืองเอก

พวกบริวารจึงเรียกว่า เจ้าตาก ตั้งแต่นั้นมา เมื่อเจ้าตากตั้งตัวเป็น 11

อิสระที่เมืองระยอง ส่วนเมืองอื่น ๆ ทางหัวเมืองชายทะเลตะวันออก
นับตั้งแต่เมืองบางละมุง เมืองชลบุรี เมืองจันทบุรี เมืองตราด ต่างก็
ยังเป็นอิสระ เจ้าตากจึงมีความคิดที่จะรวบรวมเมืองต่าง ๆ เหล่านี้ไว้
เป็นพวกเดียวกันเพื่อช่วยกันปราบปรามพม่าที่ล้อมกรุงศรีอยุธยา
และเล็งเห็นว่าเมืองจันทบุรีเป็นเมืองใหญ่กว่าหัวเมืองอื่น มีเจ้า
ปกครองอยู่เป็นปกติมีกำลังคนและอาหารบริบูรณ์ ชัยภูมิก็เหมาะที่
จะใช้เป็นที่ตั้งมั่นยิ่งกว่าหัวเมืองใกล้เคียงทั้งหลาย จึงแต่งทูตให้ถือ
ศุภอักษรไปชักชวนพระยาจันทบุรีช่วยกันปราบปรามข้าศึก ในครั้ง
แรกได้ตอบรับทูตโดยดีและรับว่าจะมาปรึกษาหารือกับเจ้าตากเกรง
จะถูก ชิงเมืองจึงไม่ยอมไปพบ ครั้นถึงเดือน ๕ ปีกุน พ.ศ. ๒๓๑๐
ข่าวกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่าเมื่อวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ แล้ว
ก็มีคนไทยที่มีสมัครพรรคพวกมากต่างก็ตั้งตัวเป็นใหญ่พระยา
จันทบุรียังไม่ยอมเป็นไมตรีกับเจ้าตาก ส่วนขุนรามหมื่นซ่อง กรม
การเมืองระยองผู้หนึ่งที่เคยปล้นค่ายเจ้าตากก็ไปซ่องสุมผู้คนอยู่ที่
เมืองแกลง ซึ่งขณะนั้นขึ้นกับเมืองจันทบุรีและคอยปล้นชิงช้างม้า
พาหนะของเจ้าตาก เจ้าตากจึงยกกำลังไปปราบ ขุนรามหมื่นซ่องสู้
ไม่ได้หนีไปอยู่กับพระยาจันทบุรี ครั้นเจ้าตากจะยกพลติดตามไปก็
พอดีได้ข่าวว่าทางเมืองชลบุรี นายทองอยู่นกเล็กตั้งตัวเป็นใหญ่ ผู้
ใดจะเข้ากับเจ้าตาก นายทองอยู่นกเล็กก็จะยึดเอาไว้เสีย เจ้าตากจึง
รีบยกทัพไปเมืองชลบุรีแล้วส่งเพื่อนฝูงของนายทองอยู่นกเล็กเกลี้ย
กล่อม นายทองอยู่นกเล็กเห็นจะสู้รบไม่ไหวจึงยอมอ่อนน้อม เจ้า
ตากจึงตั้งนายทองอยู่นกเล็กเป็นพระยาอนุราฐบุรี ตำแหน่ง ผู้ว่า
ราชการเมืองชลบุรี แล้วก็เลิกทัพกลับ ฝ่ายพระยาจันทบุรีได้ปรึกษา
กับขุนรามหมื่นซ่องเห็นว่าจะรบพุ่งเอาชนะเจ้าตากซึ่งหน้าคงจะชนะ
ยาก ด้วยเจ้าตากมีฝีมือเข้มแข็งทั้งรี้พลก็ชำนาญศึก จึงคิดกลอุบาย
จะโจมตีกองทัพเจ้าตากขณะกำลังข้ามน้ำเข้าเมืองจันทบุรี

โดยนิมนต์พระสงฆ์ ๔ รูป เป็นทูตมาเชิญเจ้าตากไปตั้งที่เมืองจันทบุรี 12

แต่ในระหว่างเจ้าตากเดินทางจะข้ามน้ำเข้าเมืองจันทบุรีอยู่นั้นได้มีผู้
มาบอกให้เจ้าตากทราบกลอุบายนี้เสียก่อน เจ้าตากจึงให้เลี้ยว
กระบวนทัพไปตั้งที่ชายเมืองด้านเหนือบริเวณวัดแก้ว ห่างประตู
ท่าช้างเมืองจันทบุรีประมาณ ๕ เส้น แล้วเชิญพระยาจันทบุรีออกมา
หาเจ้าตากก่อนที่จะเข้าเมือง แต่พระยาจันทบุรีไม่ยอมออกมา
ต้อนรับพร้อมกับระดมคนประจำรักษาหน้าที่ เชิงเทิน เจ้าตากได้
ทบทวนถึงสถานการณ์ต่าง ๆ แล้ว เห็นว่าแม้ข้าศึกจะครั่นคร้ามฝีมือ
ไม่กล้าโจมตีซึ่งหน้าก็ตาม แต่ฝ่ายพระยาจันทบุรีมีจำนวนมากกว่า
ถ้าเจ้าตากล่าถอยไปเมื่อใด ทัพจันทบุรีก็จะล้อมไล่ตีได้หลายทาง
เพราะไม่มีเสบียงอาหาร เจ้าตากจึงตัดสินใจจะต้องเข้าตีเมือง
จันทบุรีในค่ำวันนี้ให้ได้ และแสดงออกถึงน้ำใจอันเด็ดเดี่ยวโดยสั่ง
นายทัพนายกองว่า

“เราจะตีเมืองจันทบุรีในค่ำ วันนี้ เมื่อกองทัพหุงข้าวเย็นกินเสร็จ
แล้วทั้งนายไพร่ให้เททิ้งอาหารที่เหลือและ ต่อยหม้อเสียให้หมด
หมายไปกินข้าวเช้าด้วยกันที่ในเมืองเอาพรุ่งนี้ ถ้าตีเอาเมืองไม่ได้
ในค่ำวันนี้ก็จะได้ตายเสียด้วยกันให้หมดทีเดียว”

ครั้นได้ฤกษ์เวลา ๓ นาฬิกา เจ้าตากพร้อมด้วยทหารไทยจีนเข้า 13
โจมตีเมืองจันทบุรีอย่างเข้มแข็งและเด็ด เดี่ยวโดยเจ้าตากขี่ช้างพัง
คีรีบัญชรเข้าพังประตูเมืองได้สำเร็จ พวกทหารก็กรูกันเข้าเมืองได้
ชาวเมืองต่างก็เสียขวัญละทิ้งหน้าที่แตกหนีไป ส่วนพระยาจันทบุรี
พาครอบครัวลงเรือหนีไปเมืองบันทายมาศ เมื่อเจ้าตากจัดเมือง
จันทบุรีเรียบร้อยแล้ว ก็ยกทัพบกทัพเรือลงไปเมืองตราด พวกกรม
การเมืองและราษฎรต่างยอมอ่อนน้อมโดยดี แต่ยังมีพ่อค้าในสำเภา
ที่จอดอยู่ปากน้ำเมืองตราดหลายลำไม่ยอมอ่อนน้อม เจ้าตากได้ยก
ทัพเรือโจมตีสำเภาจีนได้ทั้งหมดในครึ่งวัน และสามารถยึดทรัพย์
สิ่งของได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถนำมาจัดเตรียมกองทัพเข้า กู้
เอกราช เจ้าตากได้จัดการเมืองตราดเรียบร้อยก็ย่างเข้าสู่ฤดูฝน
พอดี จึงยกกองทัพกลับเมืองจันทบุรี เพื่อตระเตรียมกำลังคน สะสม
เสบียงอาหาร อาวุธยุทธภัณฑ์ และต่อเรือรบได้ถึง ๑๐๐ ลำ รวบรวม
กำลังคนเพิ่มได้อีกเป็นคนไทยจีน ประมาณ ๕,๐๐๐ คนเศษ กับมี
ข้าราชการในกรุงศรีอยุธยาได้หลบหนีพม่ามาร่วมด้วยอีกหลายคน
และที่สำคัญก็คือ หลวงศักดิ์นายเวรมหาดเล็ก นายสุดจินดาหุ้มแพร
มหาดเล็ก พอถึงเดือน ๑๑ พ.ศ.๒๓๑๐ หลังสิ้นฤดูมรสุมแล้ว เจ้าตาก
ก็ยกกองทัพเรือจากเมืองจันทบุรีเพื่อมากอบกู้เอกราช ระหว่างทาง
ได้หยุดชำระความพระยาอนุราฐบุรีที่เมืองชลบุรี ซึ่งประพฤติตัว
เยี่ยงโจรเข้าตีปล้นเรือลูกค้า ชำระได้ความเป็นสัตย์จริง จึงให้
ประหารชีวิตพระยาอนุราฐบุรีเสีย แล้วยกทัพเรือเข้าปากแม่น้ำ
เจ้าพระยาในเดือน ๑๒ กองทัพเรือภายใต้การบังคับบัญชาของเจ้า
ตากได้เข้าโจมตีเมืองธนบุรีเป็นครั้งแรก มีนายทองอินคนไทยที่พม่า
ให้รักษาเมืองอยู่ พอนายทองอินทราบข่าวว่าเจ้าตากยกกองทัพเรือ
เข้ามาทางปากน้ำเจ้าพระยา ก็ให้คนรีบขึ้นไปบอกข่าวแก่สุกี้
พระนายกองแม่ทัพพม่าที่ค่ายโพธิ์สามต้น แล้วเรียกระดมพลขึ้น
รักษาป้อมวิชเยนทร์ และหน้าแท่นเชิงเทิน ครั้นกองทัพเรือเจ้าตาก
เดินทางมาถึง รี้พลที่รักษาเมืองธนบุรี

กลับไม่มีใจสู้รบเพราะเห็นเป็นคนไทยด้วยกันเอง ดังนั้นกองทัพเรือ 14
ของเจ้าตากเข้ารบพุ่งเพียงเล็กน้อยก็สามารถตีเมืองธนบุรี ได้ เจ้า
ตากให้ประหารชีวิตนายทองอินเสียแล้วเร่งยกกองทัพเรือไปตีกรุง
ศรีอยุธยา สุกี้แม่ทัพพม่าได้ข่าวเจ้าตากตีเมืองธนบุรีได้แล้ว ก็ส่ง
มองญ่านายทัพรองคุมพลซึ่งเป็นมอญและไทยยกกองทัพเรือไป
สกัดกองทัพเรือเจ้าตากอยู่ที่เพนียด เจ้าตากยกกองทัพเรือขึ้นไปถึง
กรุงศรีอยุธยาเป็นเวลาค่ำสืบทราบว่ามีกองทัพ ข้าศึกยกมาตั้งรับ
คอยอยู่ที่เพนียดไม่ทราบว่ามีกำลังเท่าใด ฝ่ายพวกคนไทยที่ถูก
เกณฑ์มาในกองทัพมองญ่ารู้ว่ากองทัพเรือที่ยกมานั้นเป็นคน ไทย
ด้วยกัน ก็คิดจะหลบหนีบ้าง จะหาโอกาสเข้าร่วมกับเจ้าตากบ้างม
องญ่าเห็นพวกคนไทยไม่เป็นอันจะต่อสู้เกรงว่าจะพากันกบฏขึ้น จึง
รีบหนีกลับไปค่ายโพธิ์สามต้นในคืนนั้น เจ้าตากทราบจากพวกคน
ไทยที่หนีพม่ามาเข้าด้วยว่า พม่าถอยหนีจากเพนียดหมดแล้ว ก็รีบ
ยกกองทัพขึ้นไป ตีค่ายพม่าที่โพธิ์สามต้น ๒ ค่าย พร้อมกันในตอน
เช้า สู้รบกันจนเที่ยง เจ้าตากก็เข้าค่ายพม่าได้ สุกี้ตายในที่รบ จึง
ถือว่า เจ้าตากได้กอบกู้เอกราชชาติไทยกลับคืนมาได้แล้ว หลังจากที่
ไทยต้องสูญเสียเอกราชในครั้งนี้เพียง ๗ เดือน ภายหลังที่พระเจ้า
ตากมีชัยชนะกับพม่าแล้ว ทรงทำพิธีปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์ครอง
กรุงธนบุรี ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ชาติบ้านเมืองเพิ่งเป็นอิสระจากพม่า
จิตใจของประชาราษฎรยังระส่ำระสาย ประกอบกับสภาพบ้านเมือง
ที่ถูกข้าศึกเผาผลาญทำลายปรากฎให้เห็นอยู่ทั่วไป ก็ยิ่งก่อให้เกิด
ความเศร้าโศกสะเทือนใจจนยากที่จะหาสิ่งใดมาลบล้างความรู้สึก
สลดหดหู่นั้นได้ บ้านเมืองยังต้องการความสมัครสมานสามัคคีของ
คนในชาติจะต้องเรียกขวัญและกำลังใจของประชาชนให้กลับคืน อยู่
ในสภาพปกติโดยเร็วที่สุด ไหนจะต้องป้องกันศัตรูจากภายนอก
ประเทศที่คอยหาโอกาสจะเข้ารุกราน จึงต้องรวบรวมคนไทยที่แบ่ง
เป็นก๊กเป็นเหล่าถึง ๕ ก๊ก คือ

ก๊กที่ ๑ เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ตั้งตัวเป็นเจ้าที่เมือง 15
พิษณุโลก

ก๊กที่ ๒ เจ้าพระฝาง (เรือน) อยู่ที่วัดพระฝาง เมืองสวางคบุรี ตั้ง
ตัวเป็นเจ้าทั้งที่ยังเป็นพระ

ก๊กที่ ๓ เจ้านคร (หนู) เดิมเป็นปลัดผู้รั้งเมืองนครศรีธรรมราช

ก๊กที่ ๔ กรมหมื่นเทพพิพิธ ตั้งตัวเป็นใหญ่ที่เมืองพิมาย

ก๊กที่ ๕ คือก๊กพระยาตาก ตั้งตัวเป็นใหญ่ที่เมืองจันทบุรี

ซึ่งก๊กต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นพระราชภาระที่สมเด็จ
พระเจ้าตากสินมหาราชจะต้องทรงกระทำโดยเร็ว ดังจะได้จำแนก
พระราชกรณียกิจของพระองค์ออกเป็น ๒ ด้านคือ การสร้างชาติให้
เป็นปึกแผ่นมั่นคง และการฟื้ นฟูบ้านเมืองทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม
ของชาติ

การสร้างชาติให้เป็นปึกแผ่นมั่นคง
ทรงกระทำตลอดรัชกาลของพระองค์ นับตั้งแต่การปราบปราม

ชาวไทยที่แบ่งเป็นก๊กต่าง ๆ การปราบปรามหัวเมืองที่กระด้าง

กระเดื่อง ตลอดจนการทำสงครามกับพม่าทำให้พม่าลบคำดูหมิ่น
ไทย เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจแก่ชาวไทยที่ยังไม่หายครั่น
คร้ามพม่า ได้มีกำลังใจดีขึ้น ดังนี้

๑. การปราบปรามก๊กต่าง ๆ
พ.ศ.๒๓๑๑ ยกกองทัพไปปราบกรมหมื่นเทพพิพิธได้สำเร็จ แล้ว

สำเร็จโทษกรมหมื่นเทพพิพิธด้วยท่อนจันทน์ ตามประเพณี

พ.ศ.๒๓๑๒ ยกทัพบกและทัพเรือไปปราบเจ้านครศรีธรรมราชได้ 16

สำเร็จ เมืองตานี และไทรบุรี ขอยอมเข้ารวมเป็นขัณฑสีมาด้วยกัน

พ.ศ.๒๓๑๓ ยกกองทัพไปตีเมืองสวางคบุรี ขณะที่เจ้าพระฝางตี
ได้เมืองพิษณุโลกแล้วจึงยกกองทัพเข้าล้อมเมืองพิษณุโลก เจ้าพระ
ฝางฝ่าแนวล้อมหนีรอดไปได้

๒ . การทำสงครามกับพม่า
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงทำศึกกับพม่า ถึง ๙ ครั้ง

แต่ละครั้งแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์ทางด้าน
ยุทธศาสตร์อย่างดี เยี่ยม พร้อมด้วยน้ำพระทัยที่เด็ดเดี่ยวฉับไว การ
ทำสงครามกับพม่าดังกล่าว ได้แก่
สงครามครั้งที่ ๑ รบพม่าที่บางกุ้ง พ.ศ.๒๓๑๐
สงครามครั้งที่ ๒ พม่าตีเมืองสวรรคโลก พ.ศ.๒๓๑๓
สงครามครั้งที่ ๓ ไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งแรก พ.ศ.๒๓๑๓ - ๒๓๑๔
สงครามครั้งที่ ๔ พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ ๑ พ.ศ.๒๓๑๕
สงครามครั้งที่ ๕ พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๖
สงครามครั้งที่ ๖ ไทยตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๓๑๗
สงครามครั้งที่ ๗ รบพม่าที่บางแก้วเมืองราชบุรี พ.ศ.๒๓๑๗
สงครามครั้งที่ ๘ อะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมืองเหนือ พ.ศ.๒๓๑๘
สงครามครั้งที่ ๙ พม่าตีเมืองเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๓๑๙

สำหรับสงครามรบพม่าที่บางแก้วเมืองราชบุรี พ.ศ. ๒๓๑๗ เป็น
สงครามที่ทำให้พม่าครั่นคร้าม และเข็ดหลาบไม่กล้ามารุกรานไทย
อีกต่อไป

๓. การขยายพระราชอาณาเขตไปยังหลวงพระบางและ 17

เวียงจันทน์

พ.ศ.๒๓๒๑ พระเจ้านครหลวงพระบางขอสวามิภักดิ์เข้ารวมใน

พระราชอาณาจักร ส่วนนครเวียงจันทน์ซึ่งตกเป็นเมืองขึ้นพม่าตั้งแต่

พ.ศ.๒๓๑๗ ได้กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยเดินทัพเข้า

มาในพระราชอาณาเขต เพื่อกำจัดพระวอเสนาบดีเมืองเวียงจันทน์

ซึ่งได้เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร สมเด็จพระเจ้าตากสินกรุงธนบุรี

จึงโปรดให้กองทัพไทยยกไปตีเมืองเวียงจันทน์ ได้ เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๒

โปรดให้พระยาสุโภอยู่รักษาเมือง เมื่อเสร็จสงคราม

สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตน

ปฎิมากร (พระแก้วมรกต) และพระบาง จากเวียงจันทน์ มา

ประดิษฐาน ณ กรุงธนบุรีด้วย

๔. การขยายพระราชอาณาเขตไปยังกัมพูชา
พ.ศ.๒๓๑๒ ทรงโปรดให้ยกกองทัพไปตีกรุงกัมพูชา เนื่องจาก

เจ้าเมืองกัมพูชาไม่ยอมส่งเครื่องราชบรรณาการดอกไม้เงิน ดอกไม้
ทอง ตามราชประเพณีที่เคยปฏิบัติมา ทัพไทยตีได้เมืองเสียมราฐ
และพระตะบอง

พ.ศ. ๒๓๑๔ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกกองทัพไปตี
กัมพูชาได้สำเร็จ สาเหตุจากขณะไทยทำศึกกับพม่าอยู่ที่เมือง
เชียงใหม่ สมเด็จพระนารายณ์ราชากษัตริย์กรุงกัมพูชาได้ถือโอกาส
มาตีเมืองตราด และเมือง จันทบุรี เมื่อตีกัมพูชาได้แล้วทรงมอบให้
นักองค์นนท์ปกครองต่อไป

พ.ศ.๒๓๒๓ กัมพูชาเกิดจลาจลแย่งชิงราชสมบัติกันเอง จึงเหลือ
นักองค์เอง ที่มีพระชนม์เพียง ๔ พรรษา ปกครองโดยมีฟ้าทะละหะ
(มู) ว่าราชการแทน และเอาใจออกห่างฝักใฝ่ญวน สมเด็จ
พระเจ้าตากสินมหาราช ทรงโปรดให้สมเด็จเจ้าพระยาม

18

อาณาจักรรัตนโกสินทร์

อาณาจักรรัตนโกสินทร์ เป็นราชอาณาจักรที่สี่ในยุคประวัติศาสตร์
ของไทย เริ่มตั้งแต่การย้ายเมืองหลวงจากฝั่ งกรุงธนบุรี มายัง
กรุงเทพมหานคร ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่ง
ราชวงศ์จักรี เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.
2325
ครึ่งแรกของสมัยนี้เป็นการเพิ่มพูนอำนาจของอาณาจักร ถูก
ขัดจังหวะด้วยความขัดแย้งเป็นระยะกับพม่า เวียดนามและลาว
ส่วนครึ่งหลังนั้นเป็นการเผชิญกับประเทศเจ้าอาณานิคม อังกฤษ
และฝรั่งเศส จนทำให้ไทยเป็นเพียงประเทศเดียวในเอเชียตะวันออก
เฉียงใต้ที่ไม่ตกเป็นอาณานิคมของตะวันตก ผลกระทบจากภัย
คุกคามนั้น นำให้อาณาจักรพัฒนาไปสู่รัฐชาติ สมัยใหม่ที่รวม
อำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง โดยมีพรมแดนที่กำหนดร่วมกับชาติตะวันตก
สมัยนี้มีพัฒนาการทางเศรษฐกิจและสังคมที่สำคัญ ด้วยการเพิ่ม
การค้ากับต่างประเทศ การเลิกทาส และการขยายการศึกษาแก่
ชนชั้นกลางที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีการปฏิรูปทางการเมือง
อย่างแท้จริงกระทั่งระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชถูกแทนที่ด้วย
ระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ในการปฏิวัติสยาม พ.ศ.
2475

พระบาทสมเด็จ 19
พระจุลจอมเกล้า

พระราชประวัติ 20

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระนามเดิมว่า

สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ พระบรมราชสมภพ เมื่อวันที่ 20 กันยายน

พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่

หัว และพระนางเจ้าฟ้ารำเพยภมราภิรมย์ เสด็จขึ้นครองราชย์เมื่อวัน

ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411 และบรมราชาภิเษกครั้งแรกเมื่อวันที่ 11

พฤศจิกายน พ.ศ. 2411 ทรงพระนามว่า "พระบาทสมเด็จพระปรมินท

รมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว"

พระราชกรณียกิจ

การปกครอง
เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นไปของโลก และด้วยทรงตระหนัก

ถึงภยันตรายของลัทธิแสวงหาอาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตกที่
กำลังแผ่เข้ามาในเวลานั้น จึงทรงพยายาม ปรับปรุงระบบการ
ปกครองให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดการปฏิรูประเบียบวิธี
การปกครองให้ทันสมัยขึ้นหลายอย่าง โดยทรงเปลี่ยนแปลงรูปแบบ
การปกครองทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้เหมาะสมกับยุคสมัย
หลายประการ อาทิเช่น

ทรงตั้งสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินและสภาองคมนตรีเป็นที่
ปรึกษาราชการแผ่นดินในปี พ.ศ. 2417

ทรงประกาศตั้งกระทรวง 12 กระทรวง ในปี พ.ศ. 2435
ทรงยกเลิกการจัดเมืองเป็นชั้นเอก โท ตรี จัตวา เป็นการปกครอง
แบบเทศาภิบาลคือรวมหัวเมืองเข้าเป็นมณฑล
มีการตราพระราชบัญญัติปกครองท้องที่ทีละมณฑลภายใต้การ
กำกับดูแลของข้าหลวงเทศาภิบาลที่ส่งไปจากส่วนกลาง โดยเริ่ม
ตั้งแต่ พ.ศ. 2437
โปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกระบบไพร่ ระบบทาส เพื่อปลดปล่อย
ประชาชนพลเมืองให้พ้นจากพันธะอันรัดตัวต่าง ๆ ทำให้ประชาชน
ทั้งชาติมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน

การศาล 21
ทรงปฏิรูประบบกฎหมายและการศาลให้ทันสมัย และขจัด

สิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่ไทยต้องเสียเปรียบแก่ชาวต่างชาติ โดย
ปรับปรุงระเบียบการศาลให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั่วราช
อาณาจักร มีกระทรวงยุติธรรมรับผิดชอบอย่างแท้จริง โปรดเกล้าฯ
ให้ตั้งกรรมการตรวจชำระและร่างกฎหมาย ได้ทรงประกาศใช้
กฎหมายลักษณะอาญาซึ่งถือเป็นประมวลกฎหมายฉบับแรกของ
ไทย และทรงจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายเพื่อผลิตนักกฎหมายให้พอแก่
ความต้องการ ทำให้การพิจารณาคดีและการลงโทษแบบเก่าหมด
ไป

การทหารและตำรวจ
โปรดเกล้าฯ ให้จัดการทหารตามแบบยุโรป และวางกำหนดการ

เกณฑ์คนเข้าเป็นทหารแทนการใช้แรงงานบังคับไพร่ตามประเพณี
เดิม โดยประกาศพระราชบัญญัติเกณฑ์ทหาร ร.ศ. 124 เป็นครั้งแรก
อีกทั้งทรงจัดตั้งโรงเรียนการทหาร คือ โรงเรียนนายร้อยพระ
จุลจอมเกล้า กับจัดตั้งตำรวจภูธร ตำรวจนครบาลเพื่อให้ดูแลบ้าน
เมืองและปราบปรามโจรผู้ร้ายโดยทั่วถึง

การเลิกทาส
พระราชกรณียกิจที่สำคัญยิ่ง คือ การเลิกทาส ซึ่งทรงดำเนินการ

ด้วยความสุขุมคัมภีรภาพนับแต่ปี พ.ศ. 2417 จนถึง พ.ศ. 2448 รวม
เวลายาวนานกว่า 30 ปี จึงสำเร็จเสร็จสิ้นโดยไม่มีความขัดแย้ง
รุนแรงถึงลงมือรบพุ่งดังที่เกิดขึ้นในบางประเทศ ทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้ประกาศ "พระราชบัญญัติพิกัดเกษียณลูกทาสลูก
ไทย" เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2417 แก้พิกัดค่าตัวทาสใหม่ ให้ลด
ค่าตัวทาสลงตั้งแต่อายุ 8 ขวบ จนกระทั่งหมดค่าตัวเมื่ออายุ 20 ปี
ครั้นอายุได้ 21 ปี ทาสผู้นั้นก็จะเป็นอิสระ พระราชบัญญัตินี้มีผลกับ
ทาสที่เกิดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2411 เป็นต้นไป

ทั้งห้ามมิให้มีการซื้อขายบุคคลที่มีอายุมากกว่า 20 ปีเป็นทาสอีก 22
และโปรดเกล้าฯ ให้ออก "พระราชบัญญัติเลิกทาส ร.ศ. 124" ให้ลูก
ทาสทุกคนเป็นไท เมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2448 ส่วนทาสประเภท
อื่นที่มิใช่ทาสในเรือนเบี้ย ทรงให้ลดค่าตัวลงเดือนละ 4 บาท นับ
ตั้งแต่เดือนเมษายน พ.ศ. 2448 นอกจากนี้ยังมีบทบัญญัติป้องกันมิ
ให้คนที่เป็นไทแล้วกลับไปเป็นทาสอีก และเมื่อทาสจะเปลี่ยนเจ้าเงิน
ใหม่ ห้ามมิให้ขึ้นค่าตัว ทั้งยังเตรียมการให้ผู้ที่พ้นจากความเป็นทาส
ได้มีความรู้ และมีเครื่องมือทำมาหากินเลี้ยงตัวเองได้อีกด้วย

การศึกษา
ด้วยทรงตระหนักดีว่าการศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างคน

และประเทศ จึงทรงขยายการศึกษาออกไปสู่ราษฎรทุกระดับ ได้
พระราชทานพระตำหนักสวนกุหลาบให้เป็นโรงเรียน และมีการตั้ง
โรงเรียนสำหรับราษฎรแห่งแรกที่วัดมหรรณพาราม โปรดเกล้าฯ ให้
จัดตั้งกรมศึกษาธิการซึ่งต่อมาเข้าสังกัดกระทรวงธรรมการเพื่อ
บังคับบัญชาเกี่ยวกับการศึกษาให้เป็นระเบียบ นอกจากนั้น ยังส่ง
พระราชโอรสไปทรงศึกษาในยุโรปด้วยทรงมีพระราชดำริว่า ผู้จะ
ปกครองบ้านเมืองต้องรู้จักโลกกว้างขวางจึงจะแก้ไขปัญหาได้ทัน
การณ์ ทั้งยังเป็นสื่อเจริญพระราชไมตรีได้เป็นอย่างดี สำหรับ
นักเรียนทั่วไป โปรดเกล้าฯ ให้มีการสอบชิงทุนเล่าเรียนหลวง “คิงสก
อลาชิป” ตั้งแต่ พ.ศ. 2440 เพื่อส่งนักเรียนที่เรียนดีไปศึกษายังต่าง
ประเทศหลายรุ่น

เศรษฐกิจ 23
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครอง

ราชย์ ทรงเริ่มปฏิรูปการคลังโดยทรงวางเศรษฐกิจรูปแบบใหม่
ปรับปรุงการภาษีอากรและระเบียบการเก็บภาษีอากร

โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง หอรัษฎากรพิพัฒน์ ขึ้นใน พ.ศ. 2416 และ
ยกฐานะขึ้นเป็นกระทรวงการคลังเมื่อ พ.ศ. 2435 เพื่อทำหน้าที่เก็บ
ภาษีอากรของแผ่นดินมารวมไว้แห่งเดียว และเพื่อให้การรับจ่ายเงิน
ของแผ่นดินเป็นไปอย่างรัดกุม

โปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดทำงบประมาณแผ่นดินขึ้นเป็นครั้งแรก
เมื่อพ.ศ. 2439 เป็นการกำหนดรายจ่ายมิให้เกินกำลังของเงินรายได้
เพื่อรักษาดุลยภาพและความมั่นคงของฐานะการคลัง ในการจัดทำ
งบประมาณครั้งนี้ ยังโปรดเกล้าฯ ให้แยกการเงินส่วนแผ่นดินและ
ส่วนพระองค์ออกจากกันอย่างเด็ดขาด นับเป็นพระมหากษัตริย์ใน
ระบบอบสมบูรณาญาสิทธิราชพระองค์เดียวในโลกที่ออกกฎหมาย
จำกัดอำนาจการใช้เงินของพระองค์เอง และเนื่องจากการค้าขายใน
พระราชอาณาจักรเริ่มเจริญขึ้น จึงได้ทรงจัดระบบเงินตราใหม่ โดย
ยกเลิกระบบเงินพดด้วงและหน่วยเงินแบบเดิมมาใช้หน่วยเงินเป็น
บาท สลึง สตางค์ และโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิมพ์ธนบัตรขึ้นใช้แทน
ธนบัตรแบบแรกอย่างเป็นทางการของไทยได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 7
กันยายน พ.ศ. 2445

ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ตั้ง “บุคคลัภย์” (BookClub) ซึ่งเป็น
สถาบันการเงินแห่งแรกของชาวสยามขึ้นเป็นธนาคารในนาม
“บริษัท แบงก์สยาม กัมมาจล ทุนจำกัด” เมื่อ พ.ศ. 2449 ประกอบ
ธุรกิจธนาคารพาณิชย์อย่างเป็นทางการ นับเป็นธนาคารแห่งแรกที่
ตั้งขึ้นด้วยเงินทุนของคนไทย ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ธนาคาร
ไทยพาณิชย์” และยังโปรดเกล้าฯ ให้มีการออกพันธบัตรเพื่อนำเงิน
มาปรับปรุงสาธารณูปโภคพื้นฐานและพัฒนาประเทศให้ทันสมัย

การที่ไทยประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก และมีข้าวเป็นสินค้า 24

ออกสำคัญ การขยายพื้นที่ทำนา และน้ำย่อมเป็นปัจจัยสำคัญ

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงตั้งพระทัยที่จะ
พัฒนาการเกษตร มีการขุดคลองเพื่อขยายพื้นที่นา ตั้งโรงเรียนการ
คลอง โรงเรียนวิชาการเพาะปลูก และกระทรวงเกษตราธิการ

นอกจากนั้นยังมีการจัดตั้งกรมคลอง เพื่อดูแลเรื่องการชลประทาน
มีการออกหนังสือรับรองกรรมสิทธิ์ที่ดินหรือโฉนดที่ดินซึ่งต่อมาได้มี
การเดินสวนเดินนาออกโฉนดที่ดินไปทั่วประเทศ ทั้งยังโปรดเกล้าฯ
ให้มีการสำรวจป่าไม้และจัดตั้งกรมป่าไม้ กรมโลหกิจและภูมิวิทยา
และกรมช่างไหมขึ้นอีกด้วย

ศิลปะ วรรณกรรม และการศาสนา
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงรอบรู้และเอา

พระทัยใส่ในศิลปะวิทยาการต่าง ๆ และทรงฝากฝีพระหัตถ์ไว้หลาย
ด้าน ที่เด่นชัด คือการถ่ายภาพและวรรณกรรม
ในด้านการถ่ายภาพนั้น ไม่ว่าเสด็จประพาสที่ใดจะทรงติดกล้องถ่าย
รูปไปด้วยเสมอ ดังนั้น ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์จึงกลายเป็นหลักฐาน
สำคัญทางประวัติศาสตร์ ด้วยแสดงให้เห็นสภาพบ้านเมืองและผู้คน
ในรัชสมัยได้อย่างดียิ่ง

ส่วนในด้านวรรณกรรมนั้น ทรงเป็นทั้งกวีและนักแต่งหนังสือที่มี
ความรู้ลึกซึ้ง ทรงสามารถแเต่งโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน บทละคร
ตลอดจนร้อยแก้วต่าง ๆ ได้อย่างดียิ่ง ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือไว้
มากมายหลายประเภททั้งทางด้านประวัติศาสตร์ ประเพณี
วรรณคดีและอื่น ๆ ซึ่งล้วนแต่มีคุณค่าเป็นที่ยอมรับและได้รับการ
ยกย่องในวงวิชาการวรรณกรรมไทยทั้งสิ้น นอกจากนั้น ยังทรงจัด
ตั้งหอพระสมุดสำหรับพระนครขึ้น และให้มีคณะกรรมการออก
หนังสือของหอพระสมุดติดต่อกันหลายเล่มในชื่อ วชิรญาณ และวชิร
ญาณวิเศษ ทั้งยังมีการตราพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ขึ้นเป็นครั้งแรก
อีกด้วย

ในทางศาสนา ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกทุกศาสนา ทรง 25
สร้างวัดหลายแห่ง ได้แก่ วัดราชบพิตร ซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาล วัด
เทพศิรินทราวาส วัดนิเวศธรรมประวัติ และวัดเบญจมบพิตร ในปี
พ.ศ. 2431 ทรงอาราธนาพระเถรานุเถระมาประชุมชำระพระไตร
ปิฏกและตีพิมพ์เป็นภาษาไทยพระราชทานไปยังพระอารามต่าง ๆ
รวมทั้งสิ้น 1,000 ชุด เรียกว่าพระไตรปิฏกฉบับสยามรัฐ และในปี
พ.ศ. 2445 โปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติลักษณะปกครอง
คณะสงฆ์เพื่อจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ให้ดียิ่งขึ้น กำหนดให้
สมเด็จพระสังฆราชเป็นประมุขและผู้บังคับบัญชาสูงสุดฝ่ายสงฆ์
กำหนดให้มีมหาเถรสมาคม เป็นองค์การปกครองสูงสุดของสงฆ์ นับ
เป็นพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ฉบับแรกของไทย

การคมนาคมและการสาธารณูปโภค

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น
ยวดยานพาหนะสมัยใหม่ค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ จึงโปรดเกล้าฯ
ให้ตัดถนนใหม่หลายสาย สายที่สำคัญยิ่ง คือ ถนนราชดำเนิน ซึ่ง
ทอดยาวตั้งแต่ลานพระบรมรูปทรงม้าจนถึงพระบรมมหาราชวัง
และยังมีถนนสายอื่น ๆ เช่น ถนนพาหุรัด ถนนเยาวราช เป็นต้น ทั้ง
ยังโปรดเกล้าฯ ให้ขุดคลองสายต่างๆ ขึ้นอีก เช่น คลองเปรม

ประชากร คลองประเวศบุรีรมย์ และนับจาก พ.ศ.2437 เป็นต้นมา

ทรงบริจาคเงินสร้างสะพานใหม่ในการเฉลิมพระชนมพรรษาทุกปี

โดยชื่อของสะพานทั้งหมดเหล่านี้จะขึ้นต้นด้วยคำว่า “เฉลิม”
นอกจากนั้น ยังโปรดเกล้าฯ ให้บริษัทรถรางไทยจัดการเดินรถราง
ขึ้นในพระนครเมื่อ พ.ศ. 2430

ส่วนการคมนาคมกับต่างจังหวัด โปรดเกล้าฯ ให้สร้างทางรถไฟ 26
ระหว่างกรุงเทพฯ กับนครราชสีมาเป็นสายแรก เมื่อ พ.ศ. 2433 หลัง
จากนั้นจึงมีการสร้างทางรถไฟไปยังภาคต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง

ในด้านการสื่อสาร ได้โปรดเกล้าฯ ให้ติดตั้งเครื่องโทรเลข
โทรศัพท์ ตามด้วยการรับส่งจดหมายอย่างเป็นระบบ และสามารถ
ตั้งกรมไปรษณีย์โทรเลขได้ในพ.ศ.2426 นอกจากการนั้น
สาธารณูปโภคพื้นฐานอันได้แก่ ไฟฟ้า และน้ำประปา ก็เกิดขึ้นรัช
สมัยของพระองค์ท่านด้วยเช่นเดียวกัน

การสาธารณสุข
ในด้านการสาธารณสุข โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งสภาอุณาโลมแดง

อันเป็นต้นกำเนิดของสภากาชาดไทยในปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ.2436 และ
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงพยาบาลวังหลัง ซึ่ง ต่อมาได้พระราชทาน
นามใหม่ว่า “โรงพยาบาลศิริราช” สำหรับรักษาผู้ป่วยอย่างเป็น
ทางการ นับเป็นโรงพยาบาลหลวงแห่งแรกของเมืองไทย

การต่างประเทศ
ในด้านการต่างประเทศนั้น ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์

แรกที่เสด็จประพาสนอกพระราชอาณาจักร และทรงเป็นพระมหา
กษัตริย์จากบูรพาทิศพระองค์แรกที่เสด็จยุโรป โดยทรงเริ่มจากการ
เสด็จเยือนประเทศใกล้เคียงก่อน เช่น มลายู ชวา อินเดีย ฯลฯ จน
เมื่อ พ.ศ. 2440 จึงเสด็จถึงยุโรปเป็นครั้งแรก ครั้งนั้น ได้เสด็จเยือน
ประเทศต่าง ๆ ในยุโรปรวม 15 ประเทศ ด้วยทรงมีพระราชประสงค์
ให้ไทยเป็นที่รู้จักในสังคมยุโรป เพื่อกระชับไมตรีอันจะยังประโยชน์
แก่บ้านเมือง เพื่อทอดพระเนตรการบริหารประเทศในด้านต่าง ๆ
รวมทั้งเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดทางการเมือง หลังจากนั้นได้
เสด็จไปเยือนอีกครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2450 การเสด็จไปยุโรปทั้งสอง
คราวนี้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเข้ากับราช
สำนักยุโรปได้อย่างสง่างามยิ่ง และก่อให้เกิดผลดีสมพระราช
ประสงค์ทั้งทางการทูตและการเมือง

ประเพณีและวัฒนธรรม 27
ด้านการแต่งกาย ทรงปรับปรุงการแต่งกายและทรงผมตั้งแต่ช่วง

ต้นรัชกาล โดยฝ่ายชาย เปลี่ยนจากผมทรงมหาดไทยเป็นตัดแบบ
ฝรั่ง ข้าราชสำนักนุ่งผ้าม่วงโจงกระเบนแทนผ้าสมปักเก่า สวมเสื้อ
แพรตามสีกระทรวงแทนเสื้อกระบอกแบบเก่า ทรงออกแบบเสื้อ
ราชปะแตน โปรดเกล้าฯ ให้ทหารนุ่งกางเกง พัฒนาเครื่องแบบให้
รัดกุม ส่วนฝ่ายหญิง โปรดเกล้าฯให้เจ้าคุณพระประยูรวงศ์ (แพ
บุนนาค) พระสนมเอกไว้ผมยาวแทนผมปีกแบบเก่า

ทรงยกเลิกประเพณีหมอบคลาน เมื่อ พ.ศ. 2416 ในวันพระราช
พิธีราชาภิเษก โดยให้ยืนเข้าเฝ้าและถวายคำนับแบบตะวันตก เมื่อ
โปรดเกล้าฯ ให้นั่งก็มีเก้าอี้ให้นั่งเฝ้า แต่หากเป็นการเข้าเฝ้าแบบไทย
ในหมู่คนไทยด้วยกันเอง คงใช้ประเพณีคลานและหมอบเฝ้าดังเคย
ปฏิบัติกันมา

บรรณานุกรม 28

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.//(2565).//อาณาจักรธนบุรี.//สืบค้นเมื่อ
23 มกราคม 2565,/จาก/shorturl.at/vzBY5

วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี.//(2565).//อาณาจักรรัตนโกสินทร์ (สมัย
สมบูรณาญาสิทธิราชย์).//สืบค้นเมื่อ 23 มกราคม 2565,/
จาก/shorturl.at/iyFO7

กองทัพเรือภาคที่ 2.//(2563).//พระราชประวัติ วันสมเด็จ
พระเจ้าตากสินมหาราช “๒๘ ธันวาคม”
.//สืบค้นเมื่อ 23 มกราคม 2565,/จาก/shorturl.at/jB245

จุฬาลงกรณ์ราชบรรณาลัย คลังข้อมูลดิจิทัลเฉลิมพระเกียรติ
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว//(2565).//พพระบาท
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
.//สืบค้นเมื่อ 23 มกราคม 2565,/
จาก/https://kingchulalongkorn.car.chula.ac.th/th/history/
rama5_bio


Click to View FlipBook Version