JOE KEOHANE เขียน สุวิชชา จันทร แปล พลัง ของคนแปลกหน้า The Benefits of Connecting in a Suspicious World ประโยชน์์ของการสานสััมพัันธ์์ในโลกอัันไม่่น่่าไว้้ใจ The POWER of STRANGERS
พลังของคนแปลกหน้า ประโยชน์ของการสานสัมพันธในโลกอันไม่น่าไว ใจ สุุวิิชชา จัันทร แปล THE POWER OF STRANGERS JOE KEOHANE พิิมพ์์ครั้้�งแรก: สำนัักพิิมพ์์ Salt, มีีนาคม 2568 ราคา 450 บาท ISBN 978-616-8266-51-9 คณะบรรณาธิการอำ�ำนวยการ โตมร ศุขปรีชา ทีปกร วุฒิพิทยามงคล สฤณี อาชวานันทกุล สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ แอลสิทธิ์ เวอร์การา สุธรรม ธรรมรงค์วิทย์ ผู้จัดการสำ�ำนักพิมพ์ ณภัทร ปัญกาญจน์ ธุรการสำ�ำนักพิมพ์ พิิทวััส ปานแก้้ว บรรณาธิการเล่ม ปัญญลักษณ์ มณีงาม ไพค์ ออกแบบปก Wonderwhale รูปเล่ม สุปราณี อภัยแสน พิสูจน์อักษร จิดาภา เรืองอมรวิวัฒน์ จัดทำ�ำโดย บริษัท ซอลท์ พับลิชชิ่ง จำ�ำกัด เลขที่ 63/168 ห้อง 534 ซอยวิภาวดี 16 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 E-mail: [email protected] Website: https://salt.co.th/ Facebook: www.facebook.com/saltread Follow us: www.twitter.com/SaltRead https://linktr.ee/saltread จัดจำ�ำหน่าย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำ�ำกัด (มหาชน) SE-EDUCATION PUBLIC COMPANY LIMITED อาคารอินเตอร์ลิงค์ ทาวเวอร์ ชั้น 19 เลขที่ 1858/87-90 ถนนเทพรัตน แขวงบางนาใต้ เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260 โทรศัพท์ 0 2826 8000 โทรสาร 0 2826 8999 Website: https://www.se-ed.com/
สำ�ำหรับหน่วยงานรัฐ องค์กร สถาบันการศึกษา หรือบุคคลทั่วไป ที่่ต้้องการสั่่งซื้้อหนัังสืือเป็็นจำนวนมาก สามารถสั่่งซื้้อได้้ในราคาลดพิิเศษ ติิดต่่อสั่่งซื้้อได้้ที่่หมายเลข 09 9342 0558 หรืือ E-mail: [email protected] ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data โคเฮน, โจ. พลัังของคนแปลกหน้้า : ประโยชน์์ของการสานสััมพัันธ์์ในโลกอัันไม่่น่่าไว้้ใจ -- กรุุงเทพฯ : ซอลท์์ พัับลิิชชิ่่ง, 2568. 448 หน้้า. 1. ความสััมพัันธ์์ระหว่่างบุุคคล. I. สุุวิิชชา จัันทร, ผู้้แปล. II. ชื่่อเรื่่อง. 158.2 ISBN 978-616-8266-51-9 THE POWER OF STRANGERS JOE KEOHANE Copyright © 2021 by Joe Keohane. Published by arrangement with Aevitas Creative Management, through The Grayhawk Agency Ltd. Thai language translation copyright © 2025 by Salt Publishing Co.,Ltd. ALL RIGHTS RESERVED.
แด่ จูน
การเดินทางเพื่อค้นพบที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียว นํ้าพุแห่งความ เยาว์วัยนิรันดร์เพียงหนึ่งเดียว คงไม่ใช่การไปเยือนดินแดนแปลกใหม่ แต่เป็นการได้ครอบครองดวงตาของผู้อื่น เพื่อมองเอกภพผ่านสายตาของ ผู้อื่น ของคนอีกนับร้อย เพื่อได้เห็นเอกภพอีกนับร้อยที่แต่ละคนมองเห็น ที่แต่ละคนเป็นอยู่ — มาร์เซล พรูสต์ ประสบการณ์สอนข้าพเจ้าว่า คนแปลกหน้าที่พบกันโดยบังเอิญ อาจสร้างความประทับใจที่ยากเกินต้านทาน ซึ่งพลิกมุมมองที่เคยชินไป โดยสิ้นเชิง เฉกเช่นสายลมแรงที่อาจพัดฉากบนเวทีให้ล้มครืนลงมา สิ่งที่ ดูเหมือนอยู่ใกล้กลับกลายเป็นห่างไกลสุดสายตา และสิ่งที่ดูเหมือนอยู่ ห่างไกลกลับดูจะใกล้แค่เอื้อมมือคว้า — กาเบรียล มาร์เซล ผู้คนดูแปลกตาเมื่อเราเป็นคนแปลกหน้า — จิม มอร์ริสัน
อารัมภบท: คนแปลกหน้าในรถแท็กซี่่ 11 ภาคหนึ่ง: เกิดอะไรขึ้นเมื่อเราพูดคุย กับคนแปลกหน้า บทที่ 1: คนแปลกหน้าในห้องเรียน 27 บทที่ 2: แหล่งกำเนิดความสุขใกล้ตัวที่เรามักมองข้าม 37 บทที่ 3: ทักทายกันผ่านประตูสวัสดี 67 บทที่ 4: เมื่อมนุษย์หาเพื่อน 75 บทที่ 5: วิธีคุยกับคนแปลกหน้าพร้อมกันครึ่งโหล 107 บทที่ 6: การพูดคุยกับคนแปลกหน้าฉบับมนุษย์ยุคหิน 117 บทที่ 7: เผชิญหน้ากับฆาตกรและชายจากต่างมิติ 131 บทที่ 8: มนุษย์หันมาพึ่งพาความใจดีของคนแปลกหน้าได้อย่างไร 143 บทที่ 9: วิธีรับฟังคนแปลกหน้า 161 สารบัญ
10 พลังของคนแปลกหน้า ภาคสอง: ทำ ไมเราไม่คุยกับคนแปลกหน้า บทที่ 10: พระเจ้าของคนแปลกหน้า 181 บทที่ 11: คนแปลกหน้าในเมืองใหญ่ 209 บทที่ 12: ทำไมเราถึงกลัวคนแปลกหน้ามาก 233 บทที่ 13: ความกลัวคนแปลกหน้าทำให้เราเป็นมิตรได้อย่างไร 249 บทที่ 14: วิธีสร้างสิ่งใหม่ร่วมกับคนแปลกหน้าในฟินแลนด์ 273 ภาคสาม: วิธีพูดคุยกับคนแปลกหน้า บทที่ 15: เอาละ แล้วเราคุยกับคนแปลกหน้าได้ตอนไหนบ้าง 295 บทที่ 16: วิธีพูดคุยกับคนแปลกหน้า 309 บทที่ 17: การพูดคุยกับคนแปลกหน้าในภาคสนาม 329 บทที่ 18: การพูดคุยกับคนกลุ่มอื่น 349 บทที่ 19: วิธีพูดคุยกับคนแปลกหน้าที่ไม่เป็นมิตร 375 บทที่ 20: เมื่อพบกับคนแปลกหน้า 405 บทที่ 21: ยุคใหม่เพื่อการฟื้นฟูสังคม 413 กิตติกรรมประกาศ 433 บันทึกท้ายเล่มว่าด้วยแหล่งข้อมูล 439 เกี่ยวกับผู้เขียน 440 เกี่ยวกับผู้แปล 442 รู้จักกับ SALT 444
อารัมภบท คนแปลกหน้าในรถแท็กซี่ ผมมีเรื่องราวมาเล่าให้คุณฟัง มันเกี่ยวกับคนแปลกหน้า เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ผมโชคดีจนน่าเกลียดที่ได้ใช้เวลา 2 สัปดาห์ บนเกาะแนนทักเกตในฐานะส่วนหนึ่งของทุนโครงการเพื่อนักเขียน บทภาพยนตร์มีผมและนักเขียนอีก 3 คนพักอาศัยอยู่ในเรือนหลัง เดียวกัน ฝึกฝนทักษะ และพบปะผู้คนในอุตสาหกรรม พร้อมกับไปงานเลี้ยง สังสรรค์และดื่มกินสุราอาหารของเจ้าภาพอย่างมีชั้นเชิง เช้าตรู่วันหนึ่ง หลังงานเลี้ยง เราทั้ง 4 คนยืนอยู่ข้างนอกในความมืดเพื่อรอแท็กซี่ ผมเล่า ให้พวกเขาฟังว่าแม้วิชาชีพหนังสือพิมพ์ที่เป็นงานหลักของผมอาจกำลัง ดิ่งลงเหวและพรากเอาสิ่งต่างๆ มากมายไปด้วย เช่น โอกาส ความหวัง และความฝันของผม แต่ผมจะไม่แลกประสบการณ์นี้กับสิ่งอื่นใด เพราะ อาชีพนี้ให้โอกาสผมในการทำมาหากินด้วยการพูดคุยกับคนแปลกหน้า ผมบอกกับพวกเขาว่า เมื่อคุณพูดคุยกับคนที่ไม่รู้จัก คุณจะเรียนรู้ว่า ทุกคนมีสิ่งลํ้าค่าซุกซ่อนอยู่ ทุกคนล้วนมีอย่างน้อยสิ่งหนึ่งที่จะทำให้ คุณประหลาดใจ ทำให้คุณสนุกสนาน ทำให้คุณขนลุก และสอนใจคุณ พวกเขาจะเล่าสิ่งต่างๆ ให้คุณฟังโดยมักไม่ต้องเค้นถาม บางครั้งเรื่องราว เหล่าน ั้ นยังอาจซึมลึกเข้าไปในตัวคุณ และกระตุ้นให้คุณได้รับรู้ความ รุ่มรวย ความงดงาม และแม้กระทั่งความเจ็บปวดจากประสบการณ์ของ
12 พลังของคนแปลกหน้า มนุษย์ พวกเขาแสดงตัวราวกับเป็นโลกที่ตั้งอยู่อย่างอิสระ เมื่อคุณได้รับ อนุญาตให้เข้าไปข้างใน คุณจะสามารถซึมซับเอาเศษเสี้ยวบางส่วนของ คนคนน ั้ นไว้ได้และด้วยเหตุน ั้ น คุณจึงเติบโตขึ้นเล็กน้อย คุณจะเห็นอก เห็นใจคนอื่น มีปัญญา และความเข้าใจเพิ่มขึ้นอีกนิด ในที่สุดรถแท็กซี่ก็โผล่มา มีหญิงสูงวัยเป็นสารถีเรารีบกรูขึ้นรถ และผมตัดสินใจแสดงให้เพื่อนๆ เห็นว่าผมกำลังพูดถึงอะไร (แล้วคุณ จะได้เห็นว่าผมชอบคนขับแท็กซี่มากเป็นพิเศษ) ผมถามเธอเกี่ยวกับ การอยู่อาศัยบนเกาะแนนทักเกต เธอตอบ ผมถามเรื่องอื่นเพิ่ม เธอตอบ เธอเริ่มรู้สึกสบายใจขึ้นและตลอดระยะเวลา 20 นาทีที่ขับรถ เธอก็เล่า เรื่องราวเกี่ยวกับชีวิตของตัวเองให้เราฟัง เธอเกิดมาในครอบครัวคนมีเงิน ในย่านอัปเปอร์เวสต์ไซด์ของแมนแฮตตัน เมื่อเธอยังเด็ก พ่อแม่ของเธอ หลงใหลในแฟชั่นแปลกพิสดารของชนชั้นสูงที่นิยมรัดน่องของเด็ก เธอ อธิบายว่าการรัดน่องนี้มีไว้เพื่อไม่ให้พวกชนชั้นสูงดังกล่าวต้องอับอาย ขายขี้หน้าหากมีคนเห็นว่าอยู่กับเด็กที่เรียวขาไม่งดงาม ด้วยวิธีการน ี้ พ่อแม่เลยทำให้เธอขาเป๋ เธอเดินเหินไม่ค่อยถนัด ผมถามเธอว่าแล้วพวกเขาทำอย่างไรเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ พวกเขา ได้ปรึกษาหมอหรือนักกายภาพบำบัดหรือเปล่า พวกเขาหาทางเยียวยา ความเสียหายที่พวกเขาได้ก่อขึ้นและฟื้นฟูความสามารถในการเคลื่อนไหว ที่เหมาะสมให้ลูกสาวบ้างไหม พวกเขาได้ขอโทษเธอสักนิดบ้างหรือเปล่า ไม่เลย คนขับแท็กซี่บอก “แล้วพวกเขาทำยังไง” “พวกเขาส่งฉันไปเรียนเต้นรำ” “โอ้โฮ คุณพระช่วย” ผมเอ่ย “พวกเขาบังคับให้คุณไปเรียนเต้นรำ ทำไมกัน” “ก็เพราะพวกเขาต้องการสอนให้ฉันล้มสวยขึ้นน่ะสิ” เธอบอก คุณผู้อ่านครับ ผมเป็นหลานชาย ลูกชาย และน้องชายของสัปเหร่อ
อารัมภบท 13 ชาวไอริชคาทอลิกในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ พ ื้ นเพของผมได้ หล่อหลอมวิธีการมองโลก อารมณ์ขัน และความรู้สึกทั้งหมดของผม ดังน ั้ นโปรดเชื่อผมเถิดเมื่อผมบอกคุณว่าในชีวิตน ี้ ผมยังไม่เคยได้ยิน บทสรุปแบบไหนที่สะท้อนสภาพของมนุษย์ได้แจ่มแจ้งมากกว่าสิ่งที่ผม ได้ยินจากคนแปลกหน้าคนนน ั้ ในห้วงราตรีนน ั้ บนเกาะหรูหราเล็กๆ รูปร่าง เหมือนบูเมอแรงแห่งน ั้ นในมหาสมุทรแอตแลนติก หลังจากการสนทนาครั้งน ั้ น ผมเริ่มหมกหมุ่นกับการคิดถึงคนแปลกหน้า ผมสงสัยว่าทำ ไมเราไม่คุยกับคนแปลกหน้า เมื่อไรเราจะคุย และจะเกิด อะไรขึ้นเมื่อเราคุย เพราะความจริงแล้วผมไม่เคยได้คุยกับคนแปลกหน้า เลยนอกเหนือจากเวลาทำงานประจำ อย่างน้อยก็ไม่ได้พูดคุยกันตาม ธรรมชาติความต้องการที่คัดง้างกันระหว่างงานที่หนักหน่วงและลูกสาว วัยทารก หรือสิ่งที่เรียกว่าสมดุลระหว่างงานกับชีวิตที่รู้สึกราวกับสงคราม อันยุ่งยากและยืดเยื้อ ทำให้ผมแทบไม่มีเวลาไปเที่ยวเตร่ตามสถานที่ต่างๆ ที่ผู้คนได้พูดคุยกับคนแปลกหน้า และแทบไม่เหลือเรี่ยวแรงพอให้ทำ เช่นน ั้ นเลย แม้กระทั่งเวลาสักครึ่งชั่วโมงที่ผมพอจะหาได้เพื่อแวะเข้าไป ในบาร์หรือร้านกาแฟ ผมก็ไม่ได้คุยกับใคร แล้วเมื่อผมคุย ก็มักจะไม่เข้าท่า ผมคาดว่านี่อาจเป็นเพราะหัวของผมไม่ค่อยแล่นอีกต่อไปแล้ว เช่นเดียว กับที่พ่อแม่ทุกคนของเด็กแรกเกิดสามารถเป็นพยานได้ ผมรู้สึกว่าตัวเอง กำลังถอยห่างจากสังคม ไม่ว่าจะเป็นด้วยการอ่านหนังสือหรือที่น่าอาย กว่านน ั้ คือการจ้องโทรศัพท์และเสพ “สาระ” ที่ผ่านไป ไม่กี่นาทีผมก็มึนชา จนจำอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง แต่น ั่ นยังทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายโดย ไม่ทราบสาเหตุ นานวันเข้า ผมก็เลิกคุยกับทุกคน ผมแทบไม่สบตาใคร แม้แต่เรื่องน ั้ นก็ยังรู้สึกราวกับเป็นภาระ สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจคือการอยู่เงียบๆ คนเดียว กันตัวเองออก
14 พลังของคนแปลกหน้า ไปจากการมีปฏิสัมพันธ์กับคนส่วนใหญ่น ั้ นเป็นเรื่องที่ง่ายดายแค่ไหน ริชาร์ด เซนเนตต์ นักสังคมวิทยา เชิดชูแนวคิดเรื่องแรงเสียดทานในชีวิต แบบเรื่องเล็กน้อยที่สร้างความไม่สะดวกและบังคับให้คุณต้องมีปฏิสัมพนัธ์ กับคนแปลกหน้า เช่น การขอเคล็ดลับย่างเนื้อจากคนขายเนื้อ การถามทาง หรือแม้แต่การสั่งพิซซาทางโทรศัพท์เขาพูดถึงเรื่องนี้เอาไว้ในหนังสือชื่อ Building and Dwelling ที่เขาเขียนขึ้นในปี2018 เมื่อความเจริญก้าวหน้า ทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ปฏิสัมพันธ์เหล่าน ั้ นจึงกลายเป็น เรื่องที่ไม่จำเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ และผมสงสัยว่าน ั่ นกำลังกัดเซาะบ่อนทำลายทักษะทางสังคมของเรา ผมเองเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนในเรื่องน ี้ ทำไมผมถึงเลือกใช้ช่องชำระเงินด้วยตนเองเสมอที่ร้านขายยาซีวีเอส แม้จะไม่มีลูกค้าต่อแถวอยู่ที่เคาน์เตอร์คิดเงินเลยล่ะ ทำไมผมถึงหงุดหงิด กับพนักงานขายหน้าร้านเมื่อเขาถามผมว่าจะทำอะไรบ้างในวันนน ั้ ทำไม ผมถึงเลิกคุยกับคนแปลกหน้าแล้วหายตัวไปกับโทรศัพท์ในเมื่ออดีตสอน ผมว่าสิ่งที่พวกเขาจะเล่าให้ผมฟังน ั้ นมักจะน่าสนใจกว่าเรื่องแย่ๆ อะไร ก็ตามที่กำลังหลั่งไหลวนเวียนผ่านทวิตเตอร์ในตอนน ั้ น ไม่รู้สินะ แต่ผม ก็ทำ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สบายใจนักก็ตาม ถึงกระน ั้ น ยังมีหลายครั้ง เช่นเมื่อผมได้คุยกับคนแปลกหน้าโดย ไม่คาดคิดที่เกาะแนนทักเกต แล้วปรากฏว่าทุกอย่างราบรื่นและโลกใบเล็ก ก็เปิดออก ผมได้รับบางสิ่ง เช่น ความเข้าใจเชิงลึก เรื่องตลก วิธีคิด ที่แตกต่างออกไปเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ เรื่องราวดีๆ แต่ยิ่งไปกว่านน ั้ จะว่าไป ก็แปลกที่ผมรู้สึกปลดเปลื้อง และผมก็อยากเข้าใจว่าทำไม คำถามเหล่าน ั้ นเล็ดลอดเข้ามาในงานประจำของผม เมื่อผม สัมภาษณ์อลัน อัลดา นักแสดง เกี่ยวกับงานของเขาในการสอนทักษะการ สื่อสารให้นักวิทยาศาสตร์ ผมเอ่ยถึงความรู้สึกโล่งใจอันแสนประหลาดที่ ผมได้รับหลังจากพูดคุยกับคนแปลกหน้า เขายิ้มร่า “ความรู้สึกปลดเปลื้อง แบบนน ั้ เป็นสิ่งที่ผมสัมผัสได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียว” เขาว่า “มากเสียจน
อารัมภบท 15 ผมนึกสงสัยว่าทำไมการเชื่อมโยงกับคนอื่นถึงไม่ใช่การเติมพลังให้แก่กัน ทำไมเราไม่ทำเรื่องน ั้ นโดยสัญชาตญาณ” ทำไมเราถึงไม่ทำเช่นน ั้ นล่ะ แนน่อนอยู่แล้ว คนแปลกหน้ามักถูกมองในแง่ลบ เมิร์ล แฮ็กการ์ด นักร้องเพลงคันทรีผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ได้ตั้งชื่อวงดนตรีของเขาว่า The Strangers ซึ่งแปลว่าคนแปลกหน้า เพราะเขาต้องการให้เราเชื่อว่าพวกเขาเป็นพลเมือง ดีหรอก เขาทำเพราะเขาอยากให้เราเชื่อว่าพวกเขาอันตราย ภาพยนตร์ เรื่อง Strangers on a Train ของฮิตช์ค็อกไม่ได้เกี่ยวกับการพบคู่รัก ลูกค้า หรือเพื่อนใหม่บนรถไฟ และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเปิดใจของคุณ ให้กว้างขึ้นผ่านบทสนทนาเข้มข้นอะไรก็ตามที่ผู้คนอาจได้พบเจอระหว่าง การเดินทาง แต่เกี่ยวกับว่าหากคุณไม่ทันระวังตัว ก็อาจโดนคนโรคจิต เสน่ห์แรงวางกับดักให้คุณเข้าไปพัวพันกับแผนฆาตกรรมที่เกี่ยวข้องกับ ภรรยาของคุณและพ่อของเขาได้ส่วนหนังสือเรื่องวัยเยาว์อันสิ้นสูญ (Lord of the Flies) ของวิลเลียม โกลดิง แต่เดิมไม่ได้ใช้ชื่อว่า Strangers from Within เพราะบทพิสูจน์อันแสนเจ็บปวดของการถูกปล่อยทิ้งไว้บน เกาะร้างได้ดึงเอาด้านสว่างในตัวเด็กนักเรียนชายชาวอังกฤษออกมาหรอก และแนน่อนว่ามีคนแปลกหน้าที่โด่งดังสุดขีดอยู่ด้วย นวนิยายเรื่อง คนนอก (The Stranger) ของอัลแบร์กามูไม่ใช่เรื่องราวเกี่ยวกับชาย ชาวแอลจีเรียที่สร้างชีวิตดีๆ ในฝรั่งเศส และแนะนำให้ชาวบ้านได้รู้จัก กับธรรมเนียมอันรุ่มรวยของอาหารและวัฒนธรรมแอลจีเรีย แต่เป็นเรื่อง เกี่ยวกับชายคนหนึ่งที่รู้สึกแปลกแยกจากโลกมากเสียจนกลายเป็น คนแปลกหน้าแม้กับตัวเอง เช่น ไม่รู้สึกรู้สายามแม่ของเขาตาย ลงมือ ฆ่าชายคนหนึ่ง และคิดใคร่ครวญยามเผชิญหน้ากับตะแลงแกงว่าสิ่งเดียว ที่จะทำให้เขารู้สึกคลายความเหงาลงได้คือ ถ้ามี“ผู้ชมคลาคลํ่าในวันที่เขา ถูกประหารชีวิตและคนเหล่าน ั้ นตะโกนด่าทอเขาด้วยความเกลียดชัง” ซึ่งในทางปฏิบัติทำให้เขากลายเป็นเกรียนอินเทอร์เน็ตคนแรกของโลก
16 พลังของคนแปลกหน้า ความกลัวคนแปลกหน้า แม้กระทั่งคนที่ดูเป็นมิตร ว่าอาจเป็นตัวแทน ของความวุ่นวาย การทรยศหักหลัง และมลพิษทางศีลธรรมหรือแม้กระทั่ง ทางร่างกาย อยู่คู่กับเรามาช้านานตราบเท่าที่มีคนแปลกหน้าอยู่ ความ รู้สึกนี้มีมาตั้งแต่สมัยเรายังล่าสัตว์และเก็บของป่า เรื่อยมาจนถึงช่วงก่อตั้ง หมู่บ้าน เมือง และประเทศต่างๆ จนกระทั่งถึงความหวาดผวาอันตราย จากคนแปลกหน้าในช่วงทศวรรษ 1980 มาสู่การที่อีลอน มัสก์บอกว่า รถไฟใต้ดินคือ “แหล่งรวมคนแปลกหน้าที่พบเจอกันโดยบังเอิญ หนึ่ง ในน ั้ นอาจเป็นฆาตกรต่อเนื่อง” มาจนถึงการที่นายอำเภอเมืองแฮร์ริส เคาน์ตีรัฐจอร์เจีย ซึ่งเป็นถิ่นของคนรํ่ารวย ทำการติดตั้งป้ายในปี2018 พร้อมข้อความว่า “ยินดีต้อนรับสู่เมืองแฮร์ริสเคาน์ตีรัฐจอร์เจีย พลเมือง ของเราพกปืน หากคุณฆ่าใครสักคน เลือดอาจต้องล้างด้วยเลือด เรามีคุก หนึ่งห้องและมีสุสาน 356 แห่ง โปรดพักผ่อนตามอัธยาศัย!” ทุกวันน ี้ปัญหาของเรากับคนแปลกหน้ายังคงดำเนนิ ต่อไป ประเทศ ตะวันตกกำลังประสบกับความปั่นป่วนทางการเมืองอย่างแพร่หลาย ส่วนหนึ่งเกิดจากการอพยพเข้ามาของคนแปลกหน้าทางวัฒนธรรม เช่น ผู้ลี้ภัยสงคราม ความยากไร้และการปกครองแบบเผด็จการ เพื่อแสวงหา ความปลอดภัยและโอกาส สำหรับหลายคนที่อาศัยอยู่ในประเทศเจ้าบ้าน เรื่องนี้สร้างผลกระทบรุนแรงต่อความรู้สึกผูกพันและเป็นเจ้าของ และต่อ ความรู้สึกว่าเราเป็นใคร คนหน้าใหม่เหล่านี้ทำให้แนวโน้มหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่าง รุนแรงที่มีอยู่เดิมของเราทวีความรุนแรงขึ้น และปฏิกิริยาสะท้อนกลับนน ั้ รุนแรง ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดความเข้าใจ จากผลสำรวจหลายสำนัก ชาวตะวันตกแสดงให้เห็นว่าพวกเขาประเมินขนาดของการอพยพเกินจริง ไปมาก และประเมินระดับการปรับตัวให้กลมกลืนกับสังคมของผู้มาใหม่ ตํ่ากว่าที่ควรจะเป็น ในขณะเดียวกัน การแบ่งขั้วทางการเมือง การแบ่งแยกเชื้อชาติ
อารัมภบท 17 การเลือกปฏิบัติและความเหลื่อมลํ้าได้รวมหัวเปลี่ยนพลเมืองด้วยกันเอง ให้กลายเป็นคนแปลกหน้า ความจริงคือเราทนไม่ได้แม้กระทั่งการเห็น หน้ากัน อย่างน้อยก็ในอเมริกา ผลสำรวจของสำนักวิจัยพิวในปี2018 พบว่า ผู้สนับสนนพุรรคเดโมแครต 44 เปอร์เซ็นต์มีความคิดเห็นในแง่ลบ อย่างมากต่อผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน และผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกัน 45 เปอร์เซ็นต์มีความคิดเห็นในแง่ลบอย่างมากต่อผู้สนับสนนพุรรคเดโมแครต มีผู้สนับสนุนพรรครีพับลิกันเพียง 14 เปอร์เซ็นต์เท่าน ั้ นที่บอกว่า พวกเขามีเพื่อนฝูงมากมายในพรรคฝ่ายตรงข้าม และมีผู้สนับสนุนพรรค เดโมแครตเพียง 9 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นเช่นน ั้ น แต่ละฝ่ายต่างไม่เข้าใจกัน เพราะไม่มีใครพยายามทำความเข้าใจกัน ขั้วการเมืองแยกพวกเขาออก จากกันอยู่เสมอ ทำให้พวกเขาไม่เพียงไม่เต็มใจพูดคุยกันเท่าน ั้ น แต่ยัง ไม่เต็มใจลองคิดเลยสักนิดว่าฝ่ายตรงข้ามของพวกเขาเป็นมากกว่าสิ่งมี ชีวิตที่ไร้เหตุผล ปราศจากเจตจำนง ความเห็นอกเห็นใจ หรือแรงจูงใจที่ ซับซ้อน และเป็นคนโง่เขลาที่ร้ายกาจ เป็นเดนคน หากยังนับว่าพวกเขา เป็นคนนะ ถึงกระนน ั้ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในบรรยากาศทางการเมืองที่ถูกกำหนด โดยเสียงเรียกร้องไม่หยุดหย่อนให้มีความเป็นนํ้าหนึ่งใจเดียวกับพวก เดียวกัน เรายังกลายเป็นคนที่จมปลักอยู่กับความเหงาลึกลํ้าแสนอันตราย อีกด้วย การศึกษาหลายครั้งพบว่าการแพร่ระบาดของความเหงาทั้งใน สหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรอยู่ในระดับรุนแรง ส่งผลกระทบ ต่อทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มสาวที่มีรายงานระดับความเหงา สูงเกินกว่าของผู้สูงอายุเสียด้วยซํ้า ซึ่งถือเป็นพัฒนาการที่น่าจับตา และ นักวิจัยทางการแพทย์ได้ค้นพบว่า ความเหงาส่งผลร้ายต่อเราพอๆ กับ การสูบบุหรี่ ทำให้มันเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของส่วนรวมอย่างแท้จริง มูลเหตุแห่งความเหงานน ั้ ซับซ้อน เมื่อเทคโนโลยีขจัดความจำเป็น ในการพูดคุยกับคนแปลกหน้า ทักษะทางสังคมของเราก็เสื่อมถอย ความ
18 พลังของคนแปลกหน้า สามารถในการพบปะผู้คนใหม่ๆ ของเราตกตํ่าลง เมื่อคนอย่างเราย้ายเข้า มายังเมืองใหญ่เพิ่มขึ้น เราแลกเปลี่ยนเพื่อนฝูงที่คุ้นเคยและสมาชิกใน ครอบครัวกับคนแปลกหน้าที่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันเข้ามา จนอาจทำให้ เป็นเรื่องยากที่จะรู้สึกผูกพันกับเพื่อนบ้านของเราเอง เมื่อยุคโลกาภิวัตน์ ดำเนินไป เรามีโอกาสพูดคุยกับคนแปลกหน้าในอินเดียมากพอๆ กับคน ที่อาศัยอยู่ข้างบ้านของเราเอง เรื่องนี้ได้สร้างปรากฏการณ์ที่คริส รัมฟอร์ด นักรัฐศาสตร์เรียกว่าสิ่งผิดปกติ “เราอาจไม่ได้รู้สึกว่าสถานที่ที่คุ้นเคย อยู่ใกล้กับเราในชีวิตประจำวัน เป็น ‘ของเรา’ ทั้งหมดอีกต่อไป” เขาเขียน “ในชุมชนท้องถิ่นและละแวกบ้าน ของเรา เราสัมผัสได้ว่ากำลังอยู่ข้างเคียงกัน แต่ก็เหมือนอยู่ห่างไกลจาก ผู้คนที่เราคิดว่าอาจเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนท้องถิ่นของเรา…เราไม่แน่ใจ แล้วว่า ‘เรา’ เป็นใคร และพบว่าการบอกว่าใครอยู่ในกลุ่ม ‘ของเรา’ และ ใครมาจากภายนอกเป็นเรื่องยาก...อีกสิ่งหนึ่งที่ผิดปกติคือการที่เรา ต้องยอมรับอีกด้วยว่า ‘เรา’ อาจเป็นคนแปลกหน้า (สำหรับใครบางคน) เช่นเดียวกัน” แน่นอนอยู่แล้วที่เรื่องนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แต่ในเมืองใหญ่ สิ่งที่คล้าย กันนี้กำลังเกิดขึ้นในเมืองเล็กๆ ที่การเปลี่ยนแปลงของประชากรและ อำนาจทางสังคมและเศรษฐกิจอาจประสานกันเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง ที่ก่อความเสียหายอย่างรุนแรงจนอาจทำให้แม้แต่บ้านเกิดของเราแทบ ไม่เหลือเค้าเดิมเลย ด้วยเหตุนี้เราจึงกลายเป็นคนแปลกหน้าในถิ่นฐาน ของตัวเอง และเราจะได้เห็นต่อไปว่าเมื่ออาณาบริเวณต่างๆ มีความ หลากหลายเพิ่มขึ้น เราอาจเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับโอกาสที่จะได้ พูดคุยกับผู้มาใหม่เสียด้วยซํ้า ไม่ว่าความคิดเห็นทางการเมืองของเรา จะเป็นอย่างไร บางครั้งความวิตกกังวลนี้ทำให้เราหลีกเลี่ยงการติดต่อ ไม่เพียงกับคนที่ต่างจากเราเท่าน ั้ น แต่ยังรวมถึงคนแบบเดียวกับเรา อีกด้วย
อารัมภบท 19 ด้วยปัจจัยทั้งหมดน ี้เราจึงรู้สึกไร้รากและไม่ผูกพันกับโลกของเรา “เราได้เปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของเราอย่างรุนแรง” จอห์น คาชิออปโป นักประสาทวิทยาผู้ล่วงลับ ผู้ทุ่มเทอาชีพการงานในการศึกษาความเหงา เขียนเอาไว้“เมื่อรูปแบบอาชีพ รูปแบบที่อยู่อาศัย รูปแบบการตาย และ นโยบายทางสังคมเดินตามรอยเท้าทุนนิยมโลก โลกส่วนใหญ่ดูเหมือน จะตัดสินใจรับเอารูปแบบการดำเนินชีวิตแบบหนึ่งมาใช้ซึ่งจะทวีความ รุนแรงและตอกยํ้าความรู้สึกโดดเดี่ยวเรื้อรังที่ผู้คนนับล้านรู้สึกอยู่แล้ว” จะว่าไป เนื่องด้วยภาพลักษณ์อันเสื่อมเสียมากมายมหาศาลที่ คนแปลกหน้าได้รับตลอด 2 ล้านปีที่ผ่านมา จึงเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ ยังมีใครอยากพูดคุยกับพวกเขา ถึงกระน ั้ นเราก็คุยและจำเป็นต้องคุย เพราะเราคงจะไปไม่ถึงไหนหากปราศจากพวกเขา ชีวิตที่ผ่านมาของผม เป็นเครื่องพิสูจน์ ผมไม่ใช่คนที่เอาแต่มองโลกในแง่ดี ผมรู้และหนักใจกับ ความเสียหายที่มนุษย์กระทำต่อกัน และหลังจากใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบน ี้ มา 40 ปี ผมต้องตกใจสุดขีดอีกครั้งกับความไม่จำเป็น ไร้ประโยชน์และ สูญเปล่าของความเสียหายน ั้ น จากมุมที่ผมมอง โฮโมเซเปียนส์เป็น สิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสับสน ความขัดแย้ง และการทำลายล้างอย่าง น่าเกลียดน่ากลัวอยู่เสมอ ถึงกระนน ั้ ประสบการณ์บางอย่างที่หล่อหลอม ชีวิตของผมมากที่สุดก็ได้มาจากการพูดคุยกับคนแปลกหน้า สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผมเคยเล่นกีตาร์เบสอยู่ในร้านขายเครื่อง ดนตรีแห่งหนึ่งย่านชานเมืองฟิลาเดลเฟียเมื่อมีชายผิวสีวัยกลางคน สวมหมวกคาวบอยโผล่มา เขามองผมสลับกับมองกีตาร์เบส หันกลับมา มองผมอีกทีแล้วพูดเนิบๆ ว่า “ไอ้เวรเอ๊ย มึงแม่งโคตรเหมือนโคแนน โอ’ไบรอัน เลยว่ะ” เขาจ้างผมทันทีให้เล่นกับวงดนตรีแนวฟังก์12 ชิ้น ที่เขาก่อตั้งขึ้น ซึ่งนำไปสู่งานเล็กๆ ในคลับรอบฟิลาเดลเฟีย และต่อมา เป็นงานเล่นดนตรีแนวกอสเปลในโบสถ์แบปทิสต์ที่มักจะมีผมเป็นคน ผิวขาวเพียงคนเดียว สำหรับเด็กวัย 20 ปีจากย่านที่มีแต่คนผิวขาวเป็น
20 พลังของคนแปลกหน้า ส่วนใหญ่ ประสบการณ์น ั้ นนับตั้งแต่การเป็นศิษย์ของนักดนตรีที่แก่กว่า ไปจนถึงการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากผู้มาโบสถ์ซึ่งเผื่อแผ่ให้กับผู้บุกรุก ผิวเผือดคนน ี้มีอิทธิพลอย่างยิ่งยวดต่อตัวตนของผมและวิธีการที่ผมมอง โลก หลังจากสำเร็จการศึกษา ผมเจอแผ่นพับแปลกๆ คั่นอยู่ในหน้า หนังสือเล่มหนึ่งในร้านหนังสือ ซึ่งบอกว่ากำลังมองหานักเขียนสำหรับ สิ่งพิมพ์ฉบับใหม่ มีบางสิ่งบางอย่างดึงดูดใจผม ผมจึงส่งอีเมลถึงคน เขียนประกาศนน ั้ สิ่งพิมพน์น ั้ ไม่เคยเป็นรูปเป็นร่าง แต่บังเอิญว่าเขาเป็น ผู้จัดการฝ่ายจัดจำหน่ายของหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ฉบับเล็กๆ เรากลาย เป็นเพื่อนกัน ถัดจากน ั้ นก็เป็นเพื่อนร่วมห้อง เขาแนะนำให้ผมรู้จักกับ บรรณาธิการของหนังสือพิมพ์ฉบับน ั้ น ผมเริ่มเขียนบทความให้พวกเขา และอีกไม่กี่ปีต่อมาผมก็ได้ขึ้นเป็นผู้บริหาร นน ั่ คือจุดเริ่มต้นในอาชีพสื่อสาร มวลชนของผม การพูดคุยกับคนแปลกหน้าเป็นเรื่องที่ดีต่อธุรกิจ ดีต่อ อาชีพการงานของคุณ ถ้าไม่ใช่เพราะแผนพ่ ับแผนน่น ผ ั้ มคงไม่มีชีวิตแบบ ที่เป็นอยู่อย่างทุกวันน ี้ และผมคงผิดมหันต์หากไม่กล่าวถึงเพื่อนร่วมงานชาวไอริชคนที่ ราวๆ 1 ปีหลังจากน ั้ นลากผมไปงานเลี้ยงสังสรรค์ซึ่งผมได้พบกับ คนแปลกหน้าซึ่งต่อมากลายเป็นเพื่อนกัน และบังเอิญที่เขาทำงานกับ คนแปลกหน้าอีกคนหนึ่งที่กลายมาเป็นภรรยาของผมและแม่ของลูกสาว วัย 4 ขวบของเรา ผู้ที่ได้บอกกับผมเมื่อวันก่อนเมื่อเราคุยกันถึงเรื่อง อันตรายจากคนแปลกหน้าว่า “พ่อจ๋า บางคนอาจจะกลัวพ่อ แต่หนูไม่กลัว เลยนะ เพราะหนูรู้จักพ่อมานานแล้ว” ยิ่งไปกว่าน ั้ น พ่อแม่ของผม เอ็ดและโจน ยังเป็นแชมป์โลกในการ พูดคุยกับคนแปลกหน้าอีกด้วย ไม่ว่าพวกเขาจะไปที่ไหน พวกเขาก็หา เพื่อนได้เสมอ ทั้งที่บ้าน ตอนไปพักร้อน ในร้านอาหาร หรือบนท้องถนน มันเป็นการสะสมเพื่อนฝูงและคนรู้จักอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ในขณะที่ผู้สูงวัย
อารัมภบท 21 หลายคนนั่งเฉยๆ ปล่อยให้สังคมของตัวเองหดแคบลง พ่อแม่ของผมกลับ หาเพื่อนใหม่อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย สำหรับพวกท่านและเพื่อนๆ ของ ท่านอีกหลายคน การพูดคุยกับคนแปลกหน้าคือสิ่งที่แยกไม่ออกจากชีวิต ไม่ต้องสงสัยเลยว่าที่ผมเป็นแบบน ผ ี้ มทำแบบน ผ ี้ มคิดแบบน ี้ และ ผมอาศัยอยู่ที่น ี่ ก็เพราะคนแปลกหน้า แต่ถึงกระนน ั้ เวลานผ ี้ มกลับมานั่ง อยู่ในบาร์ห่างจากคนอื่นเพียงไม่กี่นิ้ว ก้มหน้าก้มตาและปิดปากเงียบ ใบหน้าของผมจมอยู่กับแสงสีฟ้าเย็นเยือกจากโทรศัพท์ของตัวเอง และผม ไม่ได้รู้สึกดีกับมันเลย ทำไมเราไม่คุยกับคนแปลกหน้า เมื่อไหร่เราจะคุย อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อเราคุย หนังสือเล่มนี้คือผลพวงจากภารกิจของผมในการตอบคำถามเหล่าน ี้ และสิ่งที่เกิดขึ้นคือเราจะกลายเป็นคนที่ดีขึ้น ฉลาดขึ้น และมีความสุข มากขึ้น และคนแปลกหน้าซึ่งหมายรวมถึงโลกใบนี้โดยปริยาย ก็จะน่ากลัว น้อยลงสำหรับเรา ผลการวิจัยใหม่ๆ มากมายพบว่าการพูดคุยกับ คนแปลกหน้าช่วยให้เราเติบโตข้ามขีดจำกัดของตนเอง เปิดโอกาส ความ สัมพนัธ์และมุมมองใหม่ๆ ให้กับเรา และยังสามารถช่วยคลายความเหงา ตลอดจนส่งเสริมความรู้สึกผูกพันกับสถานที่ที่เราอาศัยอยู่ให้มากขึ้น แม้ว่าสถานที่เหล่านน ั้ จะเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม การพูดคุยกับคนแปลกหน้า ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ลี้ภัยหรือปรปักษ์ทางการเมือง ยังสามารถลดอคติ ลดความร้อนแรงของการถือพวกพ้อง และช่วยเยียวยาสังคมที่แตกแยก ได้อีกด้วย ตามที่นักปรัชญานามควาเม แอนโทนีแอปเพียห์เขียนถึงการ แลกเปลี่ยนเหล่านี้เอาไว้ว่า “เมื่อคนแปลกหน้าไม่ใช่เรื่องสมมุติแต่มีตัวตน และอยู่ตรงหน้า ร่วมแบ่งปันชีวิตทางสังคมในฐานะมนุษย์คุณอาจชอบ หรือไม่ชอบเขาก็ได้คุณอาจจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับเขาก็ได้แต่ถ้า มันเป็นสิ่งที่คุณทั้งคู่ต้องการ คุณจะทำความเข้าใจกันและกันได้ในที่สุด”
22 พลังของคนแปลกหน้า ในขณะที่เราท่องไปด้วยกันผ่านหน้าหนังสือเล่มน ี้เราจะเริ่มเดินทาง จากเรื่องเล็กไปจนถึงเรื่องใหญ่ เราจะเริ่มต้นด้วยความรู้ความเข้าใจใหม่ๆ ที่นักจิตวิทยากำลังค้นพบเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเราโต้ตอบกับคน แปลกหน้าแม้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ จากนน ั้ เราจะเริ่มท่องไปให้กว้างขึ้นและ เจาะลึกยิ่งขึ้น ทำไมถึงรู้สึกดีเมื่อมีการโต้ตอบกับคนแปลกหน้าแม้เพียง ผิวเผน ิ เราจะมองยังจุดกำเนิดของมนุษยชาติและบรรพบุรุษวานรของเรา เพื่อค้นหาคำตอบ เราจะมาดูกันว่าเรากลายเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์เรียก ว่าเอปผู้พร้อมให้ความร่วมมือสุดตัว ซึ่งเป็นสัตว์ที่ทั้งกลัวและปรารถนา คนแปลกหน้าได้อย่างไร เราจะมาดูกันว่านักล่าสัตว์และเก็บของป่ารังสรรค์ วิธีการพูดคุยกับคนแปลกหน้าอย่างปลอดภัย เพื่อเป็นวิถีทางสู่ความอยู่ รอดได้อย่างไร เราจะมาดูกันว่าการต้อนรับคนแปลกหน้าด้วยมิตรไมตรี กลายเป็นรากฐานสำคัญของอารยธรรมได้อย่างไร เราจะได้เห็นว่าอัจฉริยะ ตัวจริงผู้สร้างความเปลี่ยนแปลงของศาสนามวลชนทำให้คนแปลกหน้า กลายเป็นคนคุ้นเคยโดยไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าค่าตากันเลยได้อย่างไร เรา จะได้เห็นว่าเมืองใหญ่ต่างๆ เจริญเติบโตขึ้นเพราะผู้คนต้องการอยู่ใกล้ชิด กับคนแปลกหน้ามากขึ้น ไม่ใช่น้อยลงได้อย่างไร เราจะได้เห็นว่าอารยธรรม ของมนุษย์เกิดขึ้นได้เพราะมนุษย์ค้นพบวิธีประนีประนอมกับความ หวาดกลัวที่คนแปลกหน้าก่อขึ้นกับโอกาสต่างๆ ที่คนเหล่าน ั้ นจะมอบให้ ได้อย่างไร และเราจะตรวจสอบปัจจัยทั้งหมดที่กีดกันเราจากการพูดคุย กับคนแปลกหน้า นับตั้งแต่เทคโนโลยีไปจนถึงการเมือง ไปจนถึงความ เป็นพลเมืองในประเทศที่ยอดเยี่ยมแม้จะเงียบสงัดอย่างฟินแลนด์ และแนน่อนว่าเราจะได้พบกับคนแปลกหน้ามากมาย ไม่ว่าจะเป็น คนที่เราเจอตามท้องถนน นักเคลื่อนไหว และนักวิจัยที่กำลังพยายาม ปลูกฝังวัฒนธรรมการพูดคุยกับคนแปลกหน้า เพื่อช่วยเยียวยาความ เสียหายจากปัญหาสังคมที่เร่งด่วนที่สุดบางอย่างของเรา เมื่อเราทำมัน เราจะได้รับบทเรียนที่เป็นประโยชน์ส่วนหนึ่งว่าด้วยวิธีการนำไปประยุกต์
อารัมภบท 23 ใช้ในชีวิตของเรา เทคนิคต่างๆ ที่ผมจะลองนำไปใช้ด้วยตัวเอง เมื่อผม ลองพัฒนาตัวเองใหม่ให้กลายเป็นคนที่เข้าสังคมได้เก่งขึ้น สุดท้ายน ี้ด้วยการย้อนเวลากลับไปราว 2 ล้านปีและจบลงที่ยุค ปัจจุบัน สิ่งที่ผมหวังว่าจะทำคือการโน้มน้าวให้เราพูดคุยกับคนแปลกหน้า เพื่อแสดงให้เห็นว่า อันที่จริงแล้วการพูดคุยกับคนแปลกหน้าค่อนข้าง ปลอดภัยกว่าการไม่พูดคุยกับพวกเขาเลย ซึ่งตรงกันข้ามกับคำเตือน เรื่องอันตรายของคนแปลกหน้าที่เราถูกป้อนมานานนับปีจากสื่อมวลชน นักการเมือง โรงเรียน ตำรวจ และอื่นๆ อีกมากมาย การพูดคุยกับคนแปลกหน้าไม่ใช่แค่หนทางในการดำเนินชีวิต แต่ มันคือหนทางสู่ความอยู่รอด
ภาคหนึ่ง เกิดอะไรขึ้นเมื่อเราพูดคุย กับคนแปลกหน้า
ในบทนี้้�ผมจะท่่องไปไกลถึึงลอนดอน เพื่่�อทบทวนบทเรีียน ง่่ายๆ ที่่�ควรเป็็นทัักษะพื้้�นฐานของมนุุษย์์แต่่กลัับถููกทำำให้้ รู้้สึึกอึึดอััด อัันเป็็นสััญญาณเตืือนถึึงสิ่่�งต่่างๆ ที่่�กำำลัังจะ เกิิดขึ้้�นตามมา การเดินทางของเราเริ่มต้นในวันอันสดใสในห้องเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ที่มหาวิทยาลัยรีเจนต์ในกรุงลอนดอน ผมนั่งพักบนเก้าอี้สิ้นกำลังจาก อาการเจตแล็ก มือกำกาแฟแก้วที่สามเอาไว้แน่น มีคนอื่นอีก 4 คนอยู่ ที่น ั่ นเช่นกัน โชคยังดีที่พวกเขาดูจะตื่นตัวและมีสติมากกว่าผม เราถ่อ มาถึงที่นี่เพื่อเรียนรู้วิธีพูดคุยกับคนแปลกหน้า ครูของเราในวันนี้เป็นคน วัย 29 ปีที่มีท่าทางกระฉับกระเฉงนามว่าจอร์จีไนทิงกอลล์จอร์จีเป็น ผู้ก่อตั้งทริกเกอร์คอนเวอร์เซชันส์(Trigger Conversations) ซึ่งเป็น “องค์กรด้านความสัมพนัธ์ของมนุษย์” ตั้งอยู่ในกรุงลอนดอน และจัดกิจกรรม ทางสังคมโดยมุ่งส่งเสริมการสนทนาที่มีความหมายระหว่างคนแปลกหน้า นักจิตวิทยาชื่อดังผู้หนึ่งที่เราจะได้พบในอีกไม่ช้าแนะนำให้ผมรู้จักกับจอร์จี ผมติดต่อไปหาเธอ และเมื่อเธอเล่าให้ผมฟังว่ากำลังวางแผนจัดงาน บทที่ 1 คนแปลกหน้าในห้องเรียน