The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แมรี โรช นักเขียนขายดีของ New York Times เจ้าของผลงาน “เก็บกระเป๋าไปดาวอังคาร” จะพาคุณกลับสู้โลกแล้วชวนมาสำรวจพื้นที่ใกล้ตัว เมื่อสัตว์โลกขนปุยบุกรุกพื้นที่ของมนุษย์ บางตัวอุกอาจถึงขั้นชิงทรัพย์ ลักพาตัว หรือกระทั่งฆาตกรรมต่อเนื่อง

เมื่อพรมแดนระหว่างพื้นที่ของสัตว์ป่าและเขตเมืองเลือนหายไป การบุกรุกของสัตว์เหล่านี้ยิ่งมากทวีคูณ ที่สำคัญคือทางออกของปัญหาเหล่านี้ควรจะเป็นอย่างไร ในเมื่อกฎธรรมชาติและกฎมนุษย์ต่างกันโดยสิ้นเชิง ผู้เขียนจึงขออาสาเป็นเจ้าหน้าที่สืบเสาะคดีที่มีจำเลยคือเพื่อร่วมโลกตาดำๆ พร้อมหาสาเหตุและเสนอทางแก้ปัญหาด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ที่ผสมผสานเข้ากับหลักนิติศาสตร์ได้อย่างสนุกและสร้างสรรค์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Saltread, 2024-03-11 02:38:14

ทดลองอ่าน ป่วนปุย (FUZZ: When Nature Breaks The Law)

แมรี โรช นักเขียนขายดีของ New York Times เจ้าของผลงาน “เก็บกระเป๋าไปดาวอังคาร” จะพาคุณกลับสู้โลกแล้วชวนมาสำรวจพื้นที่ใกล้ตัว เมื่อสัตว์โลกขนปุยบุกรุกพื้นที่ของมนุษย์ บางตัวอุกอาจถึงขั้นชิงทรัพย์ ลักพาตัว หรือกระทั่งฆาตกรรมต่อเนื่อง

เมื่อพรมแดนระหว่างพื้นที่ของสัตว์ป่าและเขตเมืองเลือนหายไป การบุกรุกของสัตว์เหล่านี้ยิ่งมากทวีคูณ ที่สำคัญคือทางออกของปัญหาเหล่านี้ควรจะเป็นอย่างไร ในเมื่อกฎธรรมชาติและกฎมนุษย์ต่างกันโดยสิ้นเชิง ผู้เขียนจึงขออาสาเป็นเจ้าหน้าที่สืบเสาะคดีที่มีจำเลยคือเพื่อร่วมโลกตาดำๆ พร้อมหาสาเหตุและเสนอทางแก้ปัญหาด้วยหลักวิทยาศาสตร์ ที่ผสมผสานเข้ากับหลักนิติศาสตร์ได้อย่างสนุกและสร้างสรรค์

Keywords: วิทยาศาสตร์,กฎหมาย

MARY ROACH เขียน แทนไท ประเสริฐกุล แปล ป่วนปุย เมื่อธรรมชาติ ท�ำผิดกฎมนุษย์ When Nature Breaks the Law FUZZ


ป่วนปุย แทนไท ประเสริฐกุล FUZZ MARY ROACH พิมพ์ครั้งแรก: ส�ำนักพิมพ์ Salt, มีนาคม 2567 ราคา 400 บาท ISBN 978-616-8266-46-5 คณะบรรณาธิการอ�ำนวยการ โตมร ศุขปรีชา ทีปกร วุฒิพิทยามงคล สฤณี อาชวานันทกุล สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์ แอลสิทธิ์ เวอร์การา สุธรรม ธรรมรงค์วิทย์ ผู้จัดการส�ำนักพิมพ์ ณภัทร ปัญกาญจน์ บรรณาธิการเล่ม พรกวินทร์ แสงสินชัย ออกแบบปก Wonderwhale รูปเล่ม สุปราณี อภัยแสน พิสูจน์อักษร จิดาภา เรืองอมรวิวัฒน์ จัดท�ำโดย บริษัท ซอลท์ พับลิชชิ่ง จ�ำกัด เลขที่ 63/168 ห้อง 534 ซอยวิภาวดี 16 แขวงจอมพล เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 e-mail: [email protected] Facebook: www.facebook.com/saltread Twitter: www.twitter.com/SaltRead Website: https://salt.co.th/ จัดจ�ำหน่าย บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จ�ำกัด (มหาชน) SE-EDUCATION PUBLIC COMPANY LIMITED อาคารอินเตอร์ลิงค์ ทาวเวอร์ ชั้น 19 เลขที่ 1858/87-90 ถนนเทพรัตน แขวงบางนาใต้ เขตบางนา กรุงเทพฯ 10260 โทรศัพท์ 0 2826 8000 โทรสาร 0 2826 8999 Website: https://www.se-ed.com/


ส�ำหรับหน่วยงานรัฐ องค์กร สถาบันการศึกษา หรือบุคคลทั่วไป ที่ต้องการสั่งซื้อหนังสือเป็นจ�ำนวนมาก สามารถสั่งซื้อได้ในราคาลดพิเศษ ติดต่อสั่งซื้อได้ที่หมายเลข 099 342 0558 หรือ e-mail: [email protected] ข้อมูลทางบรรณานุกรมของหอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data โรช, แมรี. ป่วนปุย. -- กรุงเทพฯ : ซอลท์, 2567. 376 หน้า. 1. สิ่งแวดล้อม -- กฎหมายและระเบียบข้อบังคับ. 2. สัตว์-- ธรรมชาติและความเป็นอยู่. I. แทนไท ประเสริฐกุล, ผู้แปล. II. ชื่อเรื่อง. 344.593046 ISBN 978-616-8266-46-5 FUZZ: WHEN NATURE BREAKS THE RULES MARY ROACH Copyright © 2021by Mary Roach. Thiseditionarranged with William Morris Endeavor Entertainment,LLC. through Andrew Nurnberg AssociatesInternationalLimited Thai language translation copyright © 2024 by Salt Publishing Co.,Ltd. ALL RIGHTS RESERVED.


แด่กัส บีน และวินนี สู่ดวงดาวอันไกลโพ้น


คำ�นำ�สั้นๆ313 1  สืบจากเขี้ยว กระบวนการพิสูจน์หลักฐานจากที่เกิดเหตุ ในกรณีที่ฆาตกรไม่ใช่มนุษย์....................................................19 2  ข้อหาบุกรุก ทำ�ลายทรัพย์สิน และหาของกิน เราจะจัดการกับหมีที่หิวโหยอย่างไร.........................................45 3  ช้างมันตัวโตไม่เบา โทษฐานฆ่าคนตายด้วยนํ้าหนัก ...............................................77 4  ออกลายมาเลย อะไรทำให้เสือดาวกลายเป็นเสือกินคน999 5  วานรสอนยาก ภารกิจคุมกำเนิดแก๊งลิง1121 6  สิงโตวับแวม เราจะนับสัตว์ที่เรามองไม่เห็นได้อย่างไร.................................147 7  ไม้แก่ตัดยาก ระวัง “ต้นไม้อันตราย” ...........................................................169 8  ถั่วมรณะ พืชตระกูลถั่วผู้สมรู้ร่วมคิดในคดีฆาตกรรม.............................185 สารบัญ


9  ระเบิดเถิดเทิง สงครามที่คนแพ้นก ..............................................................207 10 ไม่ดูตารถตาเครื่องบิน ปัญหานานาสัตว์ข้ามถนน .....................................................227 11 ปักษีจงหนีไป ศาสตร์และศิลป์แห่งการประดิษฐ์หุ่นไล่กา..............................251 12 นกนางนวลแห่งเซนต์ปีเตอร์ เมื่อวาติกันทดสอบแสงเลเซอร์...............................................267 13 คณะเยสุอิตกับหนู เคล็ดลับจัดการสัตว์ป่าจากสถาบันเพื่อชีวิตแห่งสันตะสำนัก2287 14 ฆ่าด้วยการุณย์ ใครกันจะเห็นใจสัตว์รังควาน..................................................301 15 น้องหนูที่หายไป เวทมนตร์อันน่าสะพรึงของยีนไดรฟ์.......................................329 กิตติกรรมประกาศ.......................................................................350 เมื่อเจอขนปุยมาป่วน: ข้อแนะนำสำหรับเจ้าของบ้าน5354 บรรณานุกรม ..............................................................................357


ป่วนปุย


คำ นำ สั้นๆ 26 มิถุนายน 1659 ตัวแทนจาก 5 เมืองในจังหวัดทางตอนเหนือของ อิตาลีได้ประชุมกันเพื่อพิจารณาคดีที่มีจำเลยเป็นหนอนผีเสื้อ คำร้องทุกข์ จากชาวบ้านระบุว่าพวกหนอนท้องถิ่นได้บุกรุกเข้าพื้นที่ส่วนบุคคลและ กระทำการลักทรัพย์จากสวนครัวและสวนผลไม้หลังจากนั้นที่ประชุม ได้ออกหมายเรียกตัวผู้ต้องหา ซึ่งถูกนำไปคัดสำเนา 5 ใบแล้วตอกตะปู ติดไว้ตามต้นไม้ในป่าใกล้เมืองแต่ละเมือง หมายนั้นสั่งให้หนอนผีเสื้อ เข้ามารายงานตัวที่ศาลวันที่ 28 มิถุนายน ตามเวลาที่กำหนด เพื่อรับการ แต่งตั้งตัวแทนทางกฎหมาย แน่นอน เมื่อถึงวันจริงปรากฏว่าไม่มีหนอนตัวไหนมาตามนัด แต่คดีความก็ดำเนินต่อไปอยู่ดีเอกสารฉบับหนึ่งที่หลงเหลือมาระบุว่า  ศาลยอมรับในสิทธิ์ของหนอนผีเสื้อที่จะใช้ชีวิตอย่างอิสรเสรีและมีความสุข อย่างไรก็ได้ตราบเท่าที่ไม่ไป “เบียดเบียนความสุขของมนุษย์...” ผู้พิพากษา ตัดสินให้จัดสรรที่ดินพิเศษจำนวน 1 แปลงให้หนอนผีเสื้อได้ใช้ประกอบ กิจกรรมยังชีพและพักผ่อนตามอัธยาศัย ซึ่งกว่ารายละเอียดต่างๆ จะ


14 ป่วนปุย ตรวจสอบและพิจารณาอนุมัติเสร็จสรรพ จำเลยก็เข้าสู่ระยะดักแด้พอดี และหยุดพฤติกรรมทำลายสวนไปโดยปริยาย ยังความพึงพอใจให้แก่ทุกฝ่าย ที่เกี่ยวข้องอย่างเท่าเทียมกัน คดีที่เล่ามานี้มีบันทึกไว้อย่างละเอียดในหนังสือไม่ธรรมดาเล่มหนึ่ง จากปี1906 ชื่อ The Criminal Prosecution and Capital Punishment  of Animals หรือ การดำเนินคดีทางอาญาและการตัดสินโทษประหารใน สัตว์ตอนแรกที่เปิดหนังสือเล่มนี้ดูผ่านๆ ฉันคลางแคลงใจมากว่าทั้งหมด อาจเป็นเรื่องที่บรรจงแต่งขึ้นมาเพื่อหลอกคน ในเล่มมีทั้งคดีหมีที่ถูก เนรเทศออกจากคริสตจักร คดีทากที่ได้รับหมายเตือนถึง 3 ครั้งให้เลิก สร้างความคันให้ชาวนา มิเช่นนั้นจะถูกลงโทษด้วยการ “ฟาดให้ดับ” แต่ ผู้เขียนซึ่งเป็นนักประวัติศาสตร์และนักภาษาศาสตร์ระดับครูบาอาจารย์ ก็ได้บรรยายรายละเอียดจากเอกสารต้นฉบับไว้อย่างเยอะและยิบ จน ฉันอ่านไปได้ไม่เท่าไรก็ต้องยอมเชื่อ ในภาคผนวกอันหนาเตอะถึงขั้น คัดต้นฉบับเอกสารภาษาดั้งเดิมมาลงไว้ด้วย 19 ฉบับ มีทั้งรายงานการ เบิกจ่ายงบประมาณของจ่าศาลชาวฝรั่งเศส ซึ่งยื่นไว้เมื่อปี1403 หลังจบ คดีฆาตกรรมที่มีหมูตัวหนึ่งเป็นผู้ต้องหา (“ค่าใช้จ่ายในการขังคุกนางสุกร ตกอยู่ที่ 6 โซลส์ปาริซิส”) มีหมายศาลขับไล่หนูออกจากที่ดิน ซึ่งถูกยื่น ให้โดยยัดเข้าไปในรูของมัน มีคำฟ้องร้องจากปี1545 โดยกลุ่มพ่อค้า เหล้าองุ่นที่ต้องการดำเนินคดีกับมอดสีเขียวชนิดหนึ่ง กรณีนี้เราไม่ได้มี แค่รายชื่อทนายผู้เกี่ยวข้อง แต่ยังมีตัวอย่างของกลยุทธ์ทางกฎหมาย ยุคแรกๆ ซึ่งอยู่ยงคงกระพันมาจนถึงทุกวันนี้ด้วย นั่นก็คือการถ่วงเวลา  เท่าที่ฉันจับความได้การพิจารณาคดีครั้งนั้นดำเนินไปอย่างยืดเยื้อถึง 8 หรือ 9 เดือน ซึ่งยังไงก็ยาวกว่าอายุขัยของมอดแน่นอน ฉันยกเรื่องราวทั้งหมดนี้มานำเสนอไม่ใช่เพื่อจะล้อเลียนระบบ กฎหมายโบราณว่าตลกขนาดไหน แต่เพื่อเป็นหลักฐานให้เห็นถึงความ ซับซ้อนอีนุงตุงนังของ “ปัญหาความขัดแย้งระหว่างคนกับสัตว์” นี่คือศัพท์


คำ�นำ�สั้นๆ 15 ที่ใช้กันในหมู่ผู้มีอาชีพเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ในยุคปัจจุบัน มันเป็นปัญหาที่ หาทางออกถูกใจทุกคนไม่ได้มานานหลายศตวรรษแล้ว และคำถามที่ยัง ค้างคาก็คือ อะไรคือวิธีตอบสนองที่เหมาะสมที่สุดเมื่อธรรมชาติทำผิด กฎหมายมนุษย์ แน่นอน การกระทำของบรรดาผู้มีอำนาจปกครองทั้งทางโลกและ ทางศาสนาย่อมแลดูไร้เหตุผลสิ้นดีในสายตาของหนูและมอด พวกมันเป็น สัตว์ซึ่งไม่มีทางเข้าใจกฎหมายกรรมสิทธิ์ที่ดิน และเราก็ไม่อาจคาดหวัง ให้พวกมันปฏิบัติตัวตามหลักศีลธรรมของอารยธรรมมนุษย์ได้อยู่แล้ว จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของคดีความพวกนี้คือการสร้างภาพอันน่าเกรงขาม และน่าประทับใจให้ประชาชนได้เห็น ประมาณว่า ดูก่อน เห็นไหม แม้แต่ ธรรมชาติยังต้องยอมสยบต่อกฎของเรา! และมันก็เป็นอะไรที่น่าประทับใจ จริงๆ ถ้ามองในแบบของมัน ผู้พิพากษาจากศตวรรษที่สิบหกที่ตัดสิน ผ่อนโทษให้ครอบครัวตุ่นซึ่งมีลูกเล็กๆ ไม่ได้ทำเพียงเพื่อโอ้อวดอำนาจ ของตนอย่างเดียว แต่เพื่อให้คนแซ่ซ้องด้วยว่าท่านช่างเป็นผู้ทรงคุณธรรม และเปี่ยมเมตตา ระหว่างที่เพลิดเพลินกับการค้นคว้าประวัติศาสตร์ยุคกลางและ ศตวรรษอื่นๆ ฉันก็สงสัยว่าแล้วยุคปัจจุบันเล่า มีแนวคิดตัดสินเกี่ยวกับ เรื่องพวกนี้อย่างไร หลังเห็นตัวอย่างคำพิพากษาพิสดารที่ว่าไปตาม กฎหมายและหลักศาสนาแล้ว ฉันก็อยากรู้ว่าวิทยาศาสตร์เข้ามามีบทบาท อย่างไรบ้าง และมันจะช่วยบอกแนวทางคำตอบอะไรให้เราในอนาคต คิดได้ดังนั้นฉันก็เพลิดเพลินค้นคว้าต่อ ไกด์นำทางของฉันประกอบไปด้วย บุคคลผู้มีชื่อตำแหน่งแปลกๆ เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านความขัดแย้งระหว่าง คนกับช้าง เจ้าหน้าที่จัดการหมีและนักระเบิดต้นไม้อันตราย ฉันเข้าไป คลุกคลีกับผู้เชี่ยวชาญด้านการจู่โจมของสัตว์นักล่า นักสืบนิติวิทยาศาสตร์ ผู้มีอาชีพวิเคราะห์คดีประเภทนี้โดยเฉพาะ เรื่อยไปจนถึงนักประดิษฐ์ ผู้สร้างหุ่นไล่กาเลเซอร์และนักทดสอบยาพิษผู้ต้องการหาฤทธิ์ที่โหดน้อยลง


16 ป่วนปุย ฉันเดินทางไปยังที่ที่เรียกได้ว่าเป็น “ฮอตสปอต” ของปัญหาสัตว์ป่าทั้งหลาย เช่น ตรอกซอยหลังร้านอาหารในเมืองแอสเพน รัฐโคโลราโด, หมู่บ้านเล็กๆ ที่ถูกเสือดาวคุกคามบนเทือกเขาหิมาลัยในอินเดีย, จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ ในคืนก่อนพิธีมิสซาวันอีสเตอร์ของสันตะปาปา ฉันปรึกษาหาองค์ความรู้ ทั้งจากสาขาอาชีพที่ทุกวันนี้ไม่มีแล้ว เช่น นักปักษีวิทยาเชิงเศรษฐกิจ และนักล่าหนูเรื่อยไปจนถึงศาสตร์ของผู้กำกุญแจแห่งอนาคตเอาไว้ อย่างนักพันธุศาสตร์เชิงอนุรักษ์นอกจากนี้ฉันยังลองชิมอาหารหนูที่ เอาไว้ล่อในกับดัก และโดนลิงตัวหนึ่งปล้นชิงทรัพย์มาแล้ว เนื้อหาหนังสือเล่มนี้ยังไม่อาจเรียกได้ว่าครอบคลุมรายละเอียด ทั้งหมด ทุกวินาทีที่โลกหมุนไป สัตว์2,000 ชนิดใน 200 ประเทศกำลัง ทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่สร้างปัญหาขัดแย้งกับมนุษย์อยู่ที่ไหนสักแห่ง ความ ขัดแย้งแต่ละกรณีต้องอาศัยทางแก้ที่เฉพาะเจาะจงสำหรับพื้นที่นั้นๆ สัตว์ ชนิดนั้นๆ ต้องชั่งนํ้าหนักข้อดีข้อเสียต่างๆ และต้องคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ ส่วนเสียทุกฝ่าย สิ่งที่คุณอ่านอยู่ตอนนี้ถือเป็นเพียงไฮไลต์จากช่วงเวลา  2 ปีแห่งการสำรวจของฉัน เป็นบันทึกการเดินทางผจญภัยในโลกที่ฉัน ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีอยู่ ครึ่งแรกของหนังสือจะกล่าวถึงคดีที่เป็นความผิดทางอาญาต่างๆ เช่น ฆาตกรรม ฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา ฆาตกรรมต่อเนื่อง ทำร้ายร่างกาย ขั้นสาหัส ปล้นและบุกรุกเคหสถาน ลักพาตัว ลักทรัพย์มูลค่าสูง (เมล็ด ทานตะวัน) จำเลยในคดีเหล่านี้มักเป็นผู้ต้องสงสัยที่เราเดาได้อยู่แล้ว เช่น สัตว์ตระกูลหมีและเสือ แต่บางครั้งก็เป็นอะไรที่ประหลาดกว่านั้น เช่น ลิง นกแบล็กเบิร์ด หรือต้นสนดักลาส ช่วงหลังๆ ของหนังสือจะพาคุณไป สำรวจการกระทำที่อุกฉกรรจ์น้อยลงแต่เจอได้แพร่หลายกว่า เช่น สัตว์กีบ ที่ไม่ยอมข้ามถนนบนทางม้าลาย แร้งและนกนางนวลที่ทำลายทรัพย์สิน สาธารณะอย่างไม่มีเหตุผล ห่านทิ้งขยะไม่เป็นที่ และสัตว์ฟันแทะที่บุกรุก อสังหาริมทรัพย์


คำ�นำ�สั้นๆ 17 แน่นอน ที่ว่ามาทั้งหมดนี้ไม่ใช่อาชญากรรมตามความหมายแบบ ตรงไปตรงมา สัตว์ทั้งหลายไม่สนใจเรื่องทำตามกฎหมายอยู่แล้ว พวกมัน แค่ทำตามสัญชาตญาณ แทบทุกกรณีของตัวอย่างในหนังสือเป็นเพียง สัตว์ตาดำๆ ที่ทำกิจกรรมตามประสาสัตว์ของมันไปเรื่อย ทั้งกิน ขี้สร้าง รัง ป้องกันตัวเอง หรือปกป้องลูก พวกมันแค่หลงมาทำกิจกรรมเหล่านี้ใน บ้านมนุษย์บนไร่นาที่มนุษย์เป็นเจ้าของ และแม้กระทั่งบนตัวมนุษย์เอง จะอย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างคนกับสัตว์เป็นปัญหาที่มีอยู่จริง และนำไปสู่สถานการณ์ที่ตัดสินใจยากสำหรับบรรดาผู้คนและหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนก่อความลำบากแก่ตัวสัตว์เอง รวมทั้งสร้างวัตถุดิบ สำหรับนักเขียนผู้ชอบสรรหาเรื่องไม่ธรรมดามาเล่าเป็นหนังสือด้วย เช่นกัน


เ กือบตลอดช่วงศตวรรษที่ผ่านมา โอกาสที่คุณจะถูกสิงโตภูเขาฆ่าตาย กับถูกตู้เก็บเอกสารฆ่าตายน่าจะอยู่ที่ระดับตํ่าพอๆ กัน พลั่วตักหิมะที่ แคนาดาก็ยังฆ่าคนมากกว่าหมีกริซซ์ลีถึง 2 เท่า อย่างไรก็ตาม กรณีที่ เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เช่น เมื่อมนุษย์ชาวอเมริกาเหนือถูกสัตว์ป่า อเมริกาเหนือฆ่าตาย ความรับผิดชอบสืบสวนคดีจะตกเป็นของเจ้าหน้าที่ และผู้ดูแลจากกรมการจับปลาและล่าสัตว์(Department of Fish and Game) ประจำรัฐหรือท้องถิ่นนั้นๆ (บางรัฐอย่างที่ฉันอยู่ก็เปลี่ยนชื่อเป็น กรมบริหารปลาและสัตว์ป่า หรือ Department of Fish and Wildlife เพื่อ สร้างภาพลักษณ์ให้ดูโหดน้อยลงหน่อย) ด้วยความที่เหตุพวกนี้เกิดขึ้น น้อยมากๆ จึงมีเจ้าหน้าที่ชายหญิงน้อยคนที่จะเคยมีประสบการณ์ตรง ในการสืบคดีส่วนใหญ่พวกเขามักคุ้นเคยกับกรณีคนลักลอบล่าสัตว์ เสียมากกว่า เมื่อสลับข้างกันเป็นสัตว์ลักลอบล่าคนบ้าง ศาสตร์ที่ต้องใช้ ในการระบุตัวผู้ต้องสงสัยและวิเคราะห์หลักฐานจากที่เกิดเหตุก็แตกต่างกัน ไปเลย 1 สืบจากเขี้ยว กระบวนการพิสูจน์หลักฐานจากที่เกิดเหตุ ในกรณีที่ฆาตกรไม่ใช่มนุษย์


20 ป่วนปุย หากไม่มีศาสตร์เฉพาะด้านประเภทนี้ความผิดพลาดก็อาจเกิดขึ้น ได้ยกตัวอย่างเช่น ปี1995 สิงโตภูเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นฆาตกรคร่าชีวิต ชายหนุ่มผู้หนึ่ง เพียงเพราะเหยื่อนอนตายอยู่ตรงทางเดินบนภูเขาและมี แผลที่คอลักษณะเป็นรูเหมือนโดนเขี้ยวเจาะ ท้ายที่สุดปรากฏว่าฆาตกร ตัวจริงเป็นมนุษย์นี่แหละ แถมยังหลบหนีลอยนวลไปได้อีกต่างหาก อีกตัวอย่างเมื่อปี2015 หมาป่าถูกกล่าวหาผิดๆ ว่าไปลากชายคนหนึ่ง ออกมาจากถุงนอนแล้วขยํ้าจนตาย กรณีเหล่านี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ เกิดหลักสูตรฝึกอบรม “วอร์ต” หรือ WHART ซึ่งย่อมาจาก WildlifeHuman Attack Response Training - การฝึกตอบสนองต่อภัยสัตว์ป่า จู่โจมมนุษย์(คนก่อตั้งเองก็ออกมายอมรับว่าตัวอักษรย่อภาษาอังกฤษนั้น เป็นชื่อที่แย่มาก WHART ออกเสียงเหมือน wart ที่แปลว่าหูด ) วอร์ต เป็นคอร์สฝึกอบรมซึ่งใช้เวลาเพียง 5 วัน โดยมีทั้งช่วงฟังบรรยายและ ช่วงฝึกภาคสนาม วิทยากรจากสำนักงานอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งรัฐบริติชโคลัมเบีย1 ถูกเชิญมาสอนเพราะมีประสบการณ์โชกโชนกว่าใคร บริติชโคลัมเบียเป็น รัฐที่มีสถิติคนถูกสิงโตภูเขาจู่โจมสูงสุดเมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ ในทวีป อเมริกาเหนือ ที่นั่นมีประชากรหมีดำ 150,000 ตัว (อะแลสกามีแค่ แสนเดียว) หมีกริซซ์ลีอีก 17,000 ตัว และมีผู้เชี่ยวชาญด้านการจู่โจมของ สัตว์นักล่าอยู่ถึง 60 คน 14 รายในจำนวนนั้น (หมายถึงผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่ หมี) ได้ขับรถลงมาจากแคนาดาเพื่อรับหน้าที่เป็นครูฝึกอบรมวอร์ต สัปดาห์นี้หลักสูตรวอร์ตประจำปี2018 จัดขึ้นโดยกรมจัดการสัตว์ป่าของ รัฐเนวาดา ซึ่งมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองรีโน ข้อมูลนี้ช่วยอธิบายได้ว่า ทำไมหลักสูตรฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ด้านป่าไม้ถึงจัดขึ้นในโรงแรมกาสิโน ซึ่งสิ่งที่ใกล้เคียงสัตว์ป่าที่สุดก็คือภาพตัวประหลาดขนฟูบนสล็อตแมชชีน 1 Conservation Officer Service เป็นหน่วยงานแคนาดาที่เทียบเท่ากับ “กรมการจับปลาและ ล่าสัตว์” ของสหรัฐอเมริกา


สืบจากเขี้ยว 21 รุ่นเบตตีเดอะเยติกับตัว “อันตรายทางชีวภาพ” อะไรสักอย่างที่ทาง โรงแรมไม่ได้ระบุแต่แค่บอกว่าสระว่ายนํ้าปิดให้บริการ 1 วันเพราะมัน สำหรับสัปดาห์นี้วอร์ตดูเหมือนจะเป็นคณะเดียวที่จองห้องจัดสัมมนาของ โรงแรมบูมทาวน์กาสิโนเอาไว้และระหว่างที่การอบรมดำเนินไป พนักงาน โรงแรมก็รวมกลุ่มกันนั่งเล่นบิงโกอยู่ในห้องข้างๆ นักเรียนหลักสูตรวอร์ตมีด้วยกันประมาณ 80 คน ทั้งหมดถูก แบ่งออกเป็นกลุ่มย่อยๆ โดยมีผู้เชี่ยวชาญด้านการจู่โจมของสัตว์นักล่า จากแคนาดาคอยเป็นพี่เลี้ยงกลุ่มละคน เช่นเดียวกับชาวแคนาดาจำนวน มาก เราอาจแยกแยะพวกเขาออกจากคนผิวขาวชาวอเมริกันได้โดย ฟังจากเสียง ฉันหมายถึงนิสัยอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวเหนือที่เวลาพูด ชอบลงท้ายด้วยประโยคคำถามเสียงเหน่อๆ หน่อย ปกตินี่เป็นพฤติกรรม อันมีเสน่ห์แต่พอมาอยู่ในบริบทของการอบรมครั้งนี้แล้วกลับฟังดู กระอักกระอ่วนพิลึก “ก็มีการบริโภคกับกินเนื้อไปพอสมควรอะเนอะ” “เหลือเอ็นห้อยต่องแต่งอยู่สองสามเส้นเองเนอะ เห็นมั้ย” ห้องสัมมนาของพวกเราชื่อห้องพอนเดอโรซา มันเป็นห้องประชุม มาตรฐานที่มีโพเดียมให้1 ตัวและจอด้านหลังสำหรับฉายสไลด์หรือวิดีโอ สิ่งที่ไม่มาตรฐานคือหัวกะโหลกสัตว์ขนาดใหญ่ 5 หัวที่วางเรียงเป็นแถว อยู่บนโต๊ะยาวตรงหน้าห้อง มองไปแล้วเหมือนวิทยากรผู้เข้าร่วมเสวนา บนเวทีบนจอด้านหลังกำลังฉายวิดีโอหมีกริซซ์ลีเข้าทำร้ายนายวิลฟ์ ลอยด์แห่งเมืองแครนบรุก รัฐบริติชโคลัมเบีย ฟุตเทจนี้เป็นส่วนหนึ่งของ พรีเซนเทชันหัวข้อ “กลยุทธ์การฆ่าคนอย่างมีประสิทธิภาพของสัตว์นักล่า” ครูฝึกกำลังบรรยายให้ฟังถึงอุปสรรคที่ลูกเขยของวิลฟ์ต้องเผชิญตอน พยายามจะยิงหมีโดยไม่ให้ถูกพ่อตา “สิ่งที่สายตาของเขาเห็นคือร่างหมี กับแขนหรือขาข้างหนึ่งก็ไม่รู้ของวิลฟ์ที่โผล่เด้งขึ้นมาเป็นระยะ” ท้ายที่สุด แล้วลูกเขยช่วยชีวิตวิลฟ์ได้สำเร็จ แต่ก็ยิงโดนขาเขาไป 1 นัด อุปสรรคอีกอย่างก็คือ ความแม่นยำในการยิงปืนมักลดลงภายใต้


22 ป่วนปุย อิทธิพลของอะดรีนาลิน การจะควบคุมไม่ให้มือสั่นเป็นเรื่องยากมาก สิ่งที่ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำคือ “ให้คุณวิ่งตรงเข้าไปหาสัตว์ตัวนั้น เอาด้านท้ายของ ปืนปักลงพื้น แล้วยิงใส่แบบเชิดขึ้น” ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ยิงโดนเหยื่อ ที่กำลังถูกขยํ้า ทว่าสิ่งที่ต้องระวังต่อจากนั้นก็คือตัวคุณเองอาจเสี่ยง โดน “เปลี่ยนเป้าหมายจู่โจม” ซึ่งเป็นศัพท์วิชาการเอาไว้อธิบายเรียบๆ ถึง สถานการณ์ที่สัตว์ตัดสินใจปล่อยเหยื่อเก่าแล้วหันมาเล่นงานคุณแทน วิดีโอถัดมาสาธิตให้เห็นถึงความสำคัญของลำดับการกระทำและ ความมีสติระหว่างเผชิญหน้าสัตว์ร้าย ในวิดีโอมีสิงโตเพศผู้วิ่งเข้าใส่พราน ซาฟารีคนหนึ่ง สมาชิกคณะล่าสัตว์คนอื่นๆ ที่มาด้วยกันต่างวิ่งหนี กระเจิดกระเจิงไปคนละทาง ผู้อบรมกดหยุดวิดีโอเป็นระยะๆ เพื่อให้ดู จังหวะที่ปืนไรเฟิลแต่ละกระบอกหันจ่อไปทางสิงโตและพรานด้านหลังมัน ในเวลาเดียวกัน “จงเกาะกลุ่มกันไว้แล้วสื่อสารกันดีๆ” คือคำแนะนำ ที่ผู้เชี่ยวชาญกำชับ เดี๋ยวเราจะได้ฝึกปฏิบัติเรื่องนี้กันทีหลัง ภายใต้ สถานการณ์สมมุติภาคสนามแบบสมจริง ซึ่งจะจัดขึ้นที่ป่าละเมาะใกล้ แม่นํ้าทรักกีเลยจากกาสิโนไปไม่ไกล ลูกศรบนจอเลื่อนไปกดปุ่มเพลย์อีกครั้ง แล้วสิงโตก็พุ่งจู่โจมต่อ ฉันเองเคยทำงานในสวนสัตว์แห่งหนึ่ง และเสียงคำรามที่ดังจากกรงสิงโต ช่วงให้อาหารนับได้ว่าเป็นเสียงที่ทรงพลังประดุจเสียงพระเจ้า ฉันได้ยิน แล้วรู้สึกท้องไส้ปั่นป่วน และนั่นเป็นแค่เสียงคุยกันระหว่างกินของพวกมัน เท่านั้น สิงโตในวิดีโอนี้กำลังขู่อย่างเอาจริงและเจตนาจะฆ่า ห้องข้างๆ ที่เล่นบิงโกอยู่คงสงสัยมากว่าในห้องพอนเดอโรซากำลังทำอะไรกัน หลังดูพรีเซนเทชันจบอีกเรื่องเราก็พักรับประทานอาหารเที่ยง แซนด์วิชที่สั่งไว้ถูกจัดรออยู่ที่โรงอาหารเล็กๆ ข้างในกาสิโน ภาพแถว รับแซนด์วิชของเราดึงดูดความสนใจได้ไม่น้อย ฉันคิดว่าคงไม่ใช่เรื่องปกติ ที่จะเห็นคนสวมเครื่องแบบผู้รักษากฎหมายมาชุมนุมกันเต็มสถานพนัน แบบนี้ฉันรับถุงอาหารมาแล้วก็เดินตามเจ้าหน้าที่อนุรักษ์กลุ่มเล็กๆ ซึ่ง


สืบจากเขี้ยว 23 กำลังมุ่งไปหาที่นั่งกินตรงสนามหญ้าด้านนอก รองเท้าบู๊ตหนังเดินป่าของ พวกเขาส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าดระหว่างก้าวเท้า “แล้วเธอก็เหลือบไปมอง กระจกหลัง” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกำลังเล่า “ปรากฏว่าภาพที่เห็นคือหมีตัวหนึ่ง นั่งกินป๊อปคอร์นอยู่บนเบาะหลัง” การรวมตัวกันของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ในงานสัมมนาแบบนี้ทำให้เกิดบทสนทนาที่สุดยอดมาก คืนก่อนหน้านั้น ฉันเดินเข้าลิฟต์ในจังหวะที่ชายคนหนึ่งกำลังถามเพื่อนพอดีว่า “เคยยิงปืน ช็อกไฟฟ้าใส่กวางเอลก์ไหม” ระหว่างที่พวกเราพักกินมื้อเที่ยง เหล่าครูฝึกก็ช่วยกันเก็บเก้าอี้ไปซ้อน ชิดผนังห้อง จากนั้นยกหุ่นจำลองมนุษย์ผู้ชายกับผู้หญิงเนื้อตัวนุ่มนิ่ม ออกมาวางนอนบนโต๊ะสำหรับแต่ละกลุ่ม กลุ่มละ 1 ตัว วิทยากรบางคนที่มี หัวทางศิลปะหน่อยใช้สีร่วมกับเลื่อยยนต์สร้างบาดแผลขึ้นบนเนื้อตัวหุ่น ให้ดูสมจริงที่สุด โดยอาศัยต้นแบบจากภาพถ่าย คำว่าบาดแผลในที่นี้ นับเป็นคำเบาๆ สำหรับผลงานที่เกิดจากคมเขี้ยวและกรงเล็บ หุ่นตัวที่กลุ่มของฉันได้เป็นหุ่นเพศหญิง แม้อันที่จริงจะดูออก ค่อนข้างยากจากซากใบหน้าเธอ หรือจากป้ายติดโต๊ะซึ่งเขียนว่า บัด ภายหลังระหว่างเดินไปเข้าห้องนํ้า ฉันผ่านหุ่นลาแบตต์ซึ่งอยู่ในสภาพ โดนทึ้งเละ และหุ่นมอลสันสภาพหัวขาด แทนที่จะใช้หมายเลขกำกับ โต๊ะศึกษาหุ่นแต่ละตัวกลับได้ชื่อเป็นยี่ห้อเบียร์ต่างๆ ฉันคิดว่าคงเป็น ความพยายามจะปรับบรรยากาศงานไม่ให้เคร่งเครียดเกินไปนัก และ พยายามได้สมกับเป็นหนุ่มชาวแคนาดามากๆ โจทย์แรกของพวกเราคือต้องใช้ความรู้ด้านการสืบจากศพที่เพิ่ง เรียนมาสดๆ ร้อนๆ วิเคราะห์หุ่นบนโต๊ะว่าถูกทำร้ายโดยสัตว์ชนิดใด ในนิติวิทยาศาสตร์แห่งการทำร้าย สิ่งที่เราดูอยู่นี้เรียกว่า “หลักฐานจาก เหยื่อ” ซึ่งก็คือลักษณะบาดแผลและเสื้อผ้านั่นเอง ความเสียหายหนักสุด


24 ป่วนปุย อยู่บริเวณเหนือบ่า (หุ่นเราเหลือบ่าอยู่แค่ข้างเดียว) ลำคอช่วงหนึ่งของ เธอถูกฉีกเปิด และหนังศีรษะก็โดนถลกห้อยลงมา เหมือนสีบนกำแพงที่ ลอกเป็นแผ่น หนังตา จมูก และริมฝีปากแหว่งหายไป เราทุกคนในกลุ่ม เห็นตรงกันว่านี่ไม่น่าใช่ฝีมือของโฮโมเซเปียนส์ฆาตกรมนุษย์มักไม่ค่อย กินเหยื่อที่ตัวเองฆ่า และหากพบอวัยวะขาดหาย ส่วนใหญ่ก็มักเป็นมือ กับหัว ซึ่งอาจถูกตัดทิ้งเพื่ออำพรางหลักฐานรอยนิ้วมือกับประวัติทันตกรรม จริงอยู่ ฆาตกรบางคนก็เฉือนชิ้นส่วนเหยื่อเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก แต่บ่า กับริมฝีปากนี่น่าจะเป็นตัวเลือกที่พิลึกเกินไป ทั้งกลุ่มเห็นพ้องต้องกันว่าหุ่นนางนี้น่าจะถูกหมีฆ่าตาย หมีมีเขี้ยว เป็นอาวุธหลัก และใบหน้าซึ่งเป็นส่วนที่มีขนปกคลุมน้อยคือจุดอ่อนของ พวกมัน เวลาเข้าทำร้ายคน พวกหมีจะใช้กลยุทธ์แบบเดียวกับเวลาสู้หมี ด้วยกัน “พวกมันจะเอาเขี้ยวชนเขี้ยวอะเนอะ เพราะงั้นสัญชาตญาณ ของมันก็คือจะพุ่งมาหาหน้าเราทันที” โจเอล ไคลน์วิทยากรของโต๊ะเรา ซึ่งเป็นหนุ่มพูดจาโต้งๆ ตรงๆ เคยมีประสบการณ์สืบคดีหมีทำร้ายคน มาแล้ว 10 คดี“มันจะพุ่งตรงเข้ามาหาคุณเลย แล้วคุณก็จะโดนกัดจน หน้าเหวอะก่อน” ใบหน้าของโจเอลเอง ซึ่งเป็นจุดสนใจหลักของพวกเรา ระหว่างฟังเขาพูด เป็นใบหน้าที่มีผิวใสกิ๊งและตาสีฟ้า ฉันฟังไปแล้วก็ พยายามสะกดใจไม่ให้นึกภาพว่าถ้าหน้านี้โดนหมีขยํ้าจะเป็นอย่างไร หมีเป็นนักฆ่าที่ลงมือแบบหยาบๆ ส่วนหนึ่งเพราะพวกมันเป็นสัตว์ ที่กินทั้งเนื้อและพืชเป็นอาหาร ปกติหมีไม่จำเป็นต้องฆ่าเพื่อดำรงชีพ และ วิวัฒนาการก็ติดอาวุธให้มันตามนิสัยการกินแบบนั้น หมีกินได้ทั้งถั่ว ผลไม้ลูกเบอร์รีหญ้า หรือกระทั่งคุ้ยขยะและกินซากสัตว์ถ้าเราไปดูสัตว์ นักล่าตัวจริง เช่น สิงโตภูเขา พวกมันจะยังชีพด้วยเนื้อจากสัตว์ที่มัน ฆ่าเองเท่านั้น และด้วยเหตุนี้วิธีฆ่าของพวกมันจึงมีประสิทธิภาพสูงกว่า  สิงโตภูเขาจะแอบซ่อนและย่องตามเหยื่อไปแบบไม่ให้รู้ตัว จากนั้น ก็กระโจนเข้าใส่จากด้านหลัง และ “งับเพื่อปลิดชีพ” ที่หลังลำคอ ฟันกราม


สืบจากเขี้ยว 25 ของพวกมันสบกันในแบบเดียวกับใบมีดของกรรไกร ทำให้ตัดเฉือนเนื้อ ได้สะอาดหมดจด ในทางตรงข้าม ปากหมีมีวิวัฒนาการมาสำหรับขบและ บด ฟันกรามของหมีมีหน้าตัดแบนราบ และเวลาเคี้ยว ขากรรไกรก็ขยับ ทั้งแนวนอนและแนวตั้ง ดังนั้นบาดแผลที่เกิดจากฟันหมีจึงมักเละกว่า และมีจำนวนแผลเยอะกว่าด้วย “หมีจะกัดแล้วกัดอีก กัดแล้วกัดอีก กัดแล้วกัดอีก” โจเอลชี้หุ่นของเราแล้วอธิบายว่านี่คือตัวอย่างปกติ“มันจะ เละเทะมาก” ฉันมองหุ่นตัวอื่นโดยรอบ แล้วสังเกตเห็นว่าไม่ได้มีแค่แผลโดนกัด หรือข่วน แต่มีแผลประเภทผิวหนังถูกถลกออกมาเป็นแผ่นด้วย ทั้งตาม ร่างกายและศีรษะ โจเอลอธิบายกลไกการเกิดของแผลประเภทนั้นว่า  กะโหลกมนุษย์เราใหญ่เกินกว่าที่หมีหรือสิงโตภูเขาจะง้างขากรรไกรงับ แล้วขบให้แตกหรือทะลุได้ดังนั้นเวลามันงับ เขี้ยวมักขูดไถลไปบน ผิวกะโหลกและดึงหนังจนฉีกขาด ลองนึกภาพเทียบกับเวลาเราพยายาม กัดลูกพลัมสุกๆ ลูกใหญ่ แล้วเปลือกมันถูกลอกออกมาด้วย กวางซึ่งเป็นเหยื่อโอชะของสิงโตภูเขามีคอที่ยาวและห่อหุ้มด้วย มัดกล้ามเนื้อหนากว่าของเรา เวลาสิงโตภูเขาพยายามกระโดดงับคอคน ด้วยท่าไม้ตายปลิดชีพ เขี้ยวของมันอาจกัดโดนกระดูกแทนที่จะเจาะเข้าไป ในกล้ามเนื้อเหมือนตอนงับคอกวาง “พวกมันพยายามฝังเขี้ยวแล้วขบฟัน เข้าหากัน จากนั้นก็กระชากเนื้อให้หลุดออกมาเป็นก้อน” เควิน แวน แดมม์ ผู้ร่วมก่อตั้งคนหนึ่งของวอร์ต อธิบายในช่วงบรรยายของเขาที่ชื่อว่า  “พฤติกรรมการจู่โจมของสิงโตภูเขา” แวน แดมม์มีบุคลิกท่าทางคล้าย นักบินอวกาศ และเสียงก็ดังก้องกังวานไปถึงหลังห้องพอนเดอโรซาโดย ไม่ต้องพึ่งพาไมโครโฟน ระหว่างนั่งฟังฉันลองเปิดแอปวัดระดับเดซิเบล ในโทรศัพท์ดูแล้วประทับใจมากกับตัวเลขเจ็ดสิบเก้าที่วัดได้นั่นคือดัง พอๆ กับเสียงเครื่องปั่นกำจัดเศษอาหาร ลักษณะรอยตะปบบนเหยื่อจำลองของกลุ่มเราทำให้ตัดผู้ต้องสงสัย


26 ป่วนปุย ที่เป็นสิงโตภูเขาออกไปได้เล็บสัตว์ตระกูลแมวนั้นต่างจากเล็บหมา เวลา ตะปบยึดเหยื่อให้มั่น เล็บจะทำให้เกิดรอยเจาะเป็นรูสามเหลี่ยมลึกลงไป ในเนื้อ ส่วนแผลจากเล็บหมีลักษณะมักจะเหมือนที่เราเห็นอยู่ตรงหน้า ตอนนี้คือเป็นรอยเส้นตรงหลายเส้นถากยาวขนานกันไป โจเอลเขยิบเข้ามาใกล้หัวหุ่นแล้วพูดว่า “ ’เค ไหนดูซิว่ามีร่องรอย อะไรอีก จมูกหาย ริมฝีปากหาย ถูกมั้ย งั้นหลังจากนี้แปลว่าเราควรไป มองหาดูใน…” “กระเพาะหมี” สมาชิกกลุ่มบางคนทายขึ้น “อาหารภายในกระเพาะ 2 ถูกต้อง เจ๋งเป้ง” โจเอลพูดคำว่า “เจ๋งเป้ง” บ่อยมาก ตอนนั่งเขียนบทนี้ฉันนึกออกว่ายังมี“บิงโก” อีกคำ แต่นั่นอาจ เป็นความทรงจำผิดเพี้ยนจากเสียงที่ดังทะลุมาจากห้องข้างๆ ก็ได้ ในบรรดาหุ่นจำลองทั่วห้อง ไม่มีช่วงท้องของตัวไหนถูกแหวะ เปิดออกเลย เราไม่เจอพฤติกรรมที่แวน แดมม์เรียกว่า “กินเครื่องใน” ตอนแรกฉันออกจะประหลาดใจกับเรื่องนี้ฉันรู้มาจากการค้นคว้าตอน เขียนหนังสือเล่มก่อนว่า พวกสัตว์กินเนื้อเวลาล่าเหยื่อได้สำเร็จ มักเล็ง ตรงไปที่ช่วงท้องทันทีเพื่อกินอวัยวะในนั้น เพราะเป็นส่วนที่มีคุณค่าทาง โภชนาการสูงสุด วิทยากรคนหนึ่งอธิบายว่า สาเหตุที่เราไม่ค่อยเจอร่องรอย 2สมัยก่อนเมื่อนานมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์จากแผนกปักษีวิทยาเชิงเศรษฐกิจเคยใช้ของที่ เจอในกระเพาะเป็นหลักฐานตัดสินเวลามีนกถูกกล่าวหาว่าไปบุกปล้นพืชผล แย่งเหยื่อที่ มนุษย์อยากล่า หรือจับสัตว์นาํ้ในบ่อเลี้ยงมากิน รายงานของกระทรวงเกษตรอเมริกาเมื่อปี 1936 มีตัวอย่างอยู่หลายกรณีทั้งเป็ดไอเดอร์ถูกกล่าวหาว่าทำลายฟาร์มหอยเชลล์นกแขวก หัวเหลืองโดนคนเลี้ยงกบยิงทั้งที่จริงๆ แล้วพวกมันกินแค่กุ้งเครย์ฟิชเป็นอาหาร นอกจากนี้ ยังมีพรานที่ฆ่าเหยี่ยวทุ่งทิ้งเพราะเข้าใจว่ามันแย่งล่านกกระทา ในแต่ละกรณีสุดท้ายแล้ว นกได้รับการพิสูจน์ความบริสุทธิ์โดยดูจากอาหารที่หลงเหลือในกระเพาะ ผลลัพธ์นำมาซึ่ง ความสุขสงบสำหรับทุกฝ่าย ยกเว้นแค่นกตัวที่เสียสละกระเพาะให้ตรวจเพื่อช่วยชีวิตเพื่อน ศูนย์วิจัยสัตว์ป่าพาทักเซนต์ของแมริแลนด์เคยสะสมขวดโหลบรรจุสิ่งที่พบจากกระเพาะนก ไว้นับพันๆ ขวด จนกระทั่งเมื่อขาดแคลนพื้นที่เก็บ จึงเกิดสถานการณ์ที่เหมือนนกพร้อมใจ กันอาเจียนลงถังขยะของศูนย์ในปริมาณมหาศาล


สืบจากเขี้ยว 27 แบบนี้ในเหยื่อมนุษย์อาจเป็นเพราะมนุษย์เราสวมเสื้อผ้า ทั้งหมีและ สิงโตภูเขามักหลีกเลี่ยงบริเวณที่ห่อหุ้มด้วยเสื้อผ้าเวลาเลือกกิน บางที พวกมันอาจไม่ชอบรสชาติหรือสัมผัสของผ้าในปาก หรือไม่พวกมันก็ ไม่รู้ว่าใต้ผ้านั้นมีเนื้อที่กินได้อยู่ โจเอลชี้บาดแผลต่างๆ บริเวณลำคอและบ่า “พวกเราพอเดาได้ไหม ว่านี่เกิดก่อนหรือหลังเหยื่อเสียชีวิต” กล่าวอีกอย่างคือ เหยื่อของเราตาย หรือยังตอนถูกทึ้งจนเยินขนาดนี้นี่เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องวิเคราะห์ให้ออก เพราะไม่อย่างนั้นหมีที่แค่บังเอิญผ่านมากินซากก็อาจโดนใส่ร้ายว่าเป็น ฆาตกรได้ในกรณีหุ่นจำลองตัวนี้ดูจากรอยฟกชํ้ารอบๆ ปากแผลแล้ว เราเดากันว่ารอยกัดน่าจะเกิดระหว่างที่เหยื่อยังมีชีวิต ศพไม่น่าจะชาํ้หรือ เลือดออกได้ซึ่งรอยชาํ้อันที่จริงก็คือสิ่งเดียวกับเลือดออกนั่นแหละ แต่แค่ เกิดขึ้นใต้ผิวหนัง ถ้าไม่มีหัวใจคอยสูบฉีด เลือดก็ย่อมไม่ไหล โจเอลเล่าให้เราฟังเรื่องศพร่างหนึ่งซึ่งมีร่องรอยถูกกัดกิน ศพนี้ นอนจมกองใบไม้อยู่ในป่าใกล้รถยนต์ของผู้ตายเอง รอยกัดดูเหมือน กระทำโดยหมีและก็มีหมีตัวหนึ่งถูกจับกุมได้ในละแวกใกล้เคียง แต่ ขณะเดียวกันก็พบรอยเลือดน้อยมากทั้งบนตัวชายผู้ตายและบริเวณรอบๆ เจ้าหน้าที่สืบสวนพบรอยเข็มทิ่มหลายรอยระหว่างง่ามนิ้วเท้าของศพ และ ยังพบเข็มฉีดยาใช้แล้วตกอยู่บนพื้นรถ ผลชันสูตรยืนยันว่าชายคนนี้ เสียชีวิตจากการเสพยาเกินขนาด ส่วนหมีนั้น โจเอลเล่าว่า “แค่ผ่านมา แล้วสบโอกาสที่จะได้บริโภคอาหารไขมันสูงและแคลอรีสูง” ก็เลยลากร่าง เขาลงจากรถมาแทะกินไปบางส่วน จากนั้นก็เอาใบไม้กลบซ่อนไว้เผื่อกลับ มากินต่อทีหลัง สรุปแล้วหมีได้รับการปล่อยตัวในฐานะผู้บริสุทธิ์ โจเอลพลิกหุ่นจำลองของกลุ่มเราให้นอนควา ่ํ เผยให้เห็นแผลฉกรรจ์ อีก 1 หรือ 2 แผลบนแผ่นหลังซึ่งน่าจะเกิดระหว่างยังมีชีวิตอยู่ ฉันชี้หลุม เล็กๆ 2 หลุมตามแนวกระดูกสันหลัง ซึ่งปราศจากรอยฟกชํ้าสีม่วงหรือ รอยเลือด ฉันลองเดาสุ่มโดยอาศัยความรู้จากสไลด์เมื่อวานที่สอนเรื่อง


28 ป่วนปุย ความเสียหายจากหนูหลังเสียชีวิต ฉันบอกไปว่าน่าจะมีสัตว์ตัวเล็กๆ อะไร สักชนิดในป่ามาแทะศพของเรา โจเอลหันไปมองเพื่อนสมาชิกในกลุ่ม คนหนึ่ง ซึ่งเป็นนักชีววิทยาสัตว์ป่าจากโคโลราโด แล้วส่งสายตาแบบรู้กัน “แมรีนั่นมันรูจากตอนฉีดพลาสติกเข้าเบ้า” เขาหมายถึงมันเป็น ส่วนหนึ่งของขั้นตอนการผลิตหุ่น ทั้งหมดจะน่าอับอายน้อยกว่านี้ถ้าฉัน ไม่ได้รับหน้าที่เป็นคนจดบันทึกของกลุ่มด้วย และในแบบฝึกหัดก่อนหน้า  ฉันก็เพิ่งเผลอจดขนาดรอยกัดโดยใช้ตัวย่อของเซนติเมตรแทนที่จะเป็น มิลลิเมตร ทำให้ได้ข้อมูลระยะห่างระหว่างรูเขี้ยวที่ไม่เคยมีใครพบเห็น มาก่อนตั้งแต่ยุคจูแรสซิก เราย้ายจากการวิเคราะห์หลักฐานจากเหยื่อไปดูหลักฐานจากสัตว์ กันบ้าง มันคือหลักฐานที่อยู่บนหรือในร่างกาย “ผู้ต้องสงสัย” ซึ่งถูกยิงหรือ ถูกจับได้ใกล้ที่เกิดเหตุยกตัวอย่างเช่น โจเอลบอกว่าเราอาจค้นหาชิ้นเนื้อ ของเหยื่อได้ในร่องเหงือกสัตว์ตัวนั้นๆ (ซึ่งวางยาสลบแล้ว) รู้สึกแปลก พิลึกเมื่อต้องนึกถึงหมีที่มีเนื้อคนติดฟัน แต่ก็นั่นแหละ ถ้าเป็นสิงโตภูเขา โจเอลเสริม บางครั้งเราก็พบเลือดหรือเนื้อ ของเหยื่อได้ในร่องที่เอาไว้เก็บเล็บ “เพราะงั้นเราต้องบีบอุ้งตีนมันให้เล็บ กางออกมาก่อน พวกเล็บที่ปกติหดอยู่น่ะ เสร็จแล้วเราอาจเจอหลักฐาน ติดอยู่ในนั้น ถูกมั้ย” กรงเล็บอาจทำให้เกิดความสับสนเรื่องขนาดอุ้งเท้าของผู้จู่โจมได้ เวลาสัตว์ทิ้งนํ้าหนักตัวลงบนเท้าข้างเดียว นิ้วจะถูกกดจนแผ่กางออก ทำให้ขนาดเท้าดูใหญ่กว่าความเป็นจริง เจ้าหน้าที่สืบสวนต้องระวังเวลา วัดขนาดรอยเล็บหรือรูเขี้ยวที่อยู่บนเสื้อผ้าด้วยเช่นกัน เพราะตอนผ้าถูก เจาะขาดมันอาจกำลังย่นหรือพับทบอยู่ก็เป็นได้ “ ’เค ไหนดูซิว่ามีหลักฐานอะไรให้เก็บอีก” “เลือดของเหยื่อบนขนสัตว์เกี่ยวไหม” ใครสักคนทาย “ใช่เลย เจ๋งเป้ง” โจเอลเตือนว่าถ้าหมีตัวนั้นถูกยิง ณ ที่เกิดเหตุ


สืบจากเขี้ยว 29 (แทนที่จะถูกจับได้ภายหลัง) เลือดของมันอาจปะปนกับเลือดเหยื่อและ ทำให้เกิดความสับสนตอนวิเคราะห์ดีเอ็นเอได้“แล้วเราจะป้องกันเรื่องนี้ ได้ยังไง” “อุดปากแผล!” และนี่คือสาเหตุว่าทำไมผู้ชายที่เป็นเจ้าหน้าที่ อนุรักษ์ของบริติชโคลัมเบียทุกคนถึงต้องมีกล่องใส่ผ้าอนามัยเก็บไว้ในรถ สิ่งที่เรากำลังตามหา เป้าหมายของการวิเคราะห์ทั้งหมด ก็คือเพื่อ หาจุดเชื่อม หรือหลักฐานจากที่เกิดเหตุซึ่งสามารถโยงฆาตกรเข้ากับเหยื่อ โจเอลเดินไปหยิบกะโหลกที่เรียงอยู่บนโต๊ะหน้าห้องมา 1 หัว เขาเอาฟันบน ของกะโหลกมาทาบกับรูตรงไหล่หุ่นจำลอง นี่คือวินาทีสวมรองเท้าแก้ว ของซินเดอเรลลา เขี้ยวและฟันบนจะประกบพอดีกับรอยกัดบนไหล่หุ่น หรือไม่และถ้าพอดีแล้วฟันล่างล่ะ ประกบกับรอยแผลที่อยู่อีกฝั่งของศพ ได้ด้วยไหม ตรงกันพอดีเป๊ะ “แรงกดและ...” โจเอลหาตำแหน่งประกบขากรรไกร ล่างเข้าไปในรูแผลที่อยู่ด้านหลังหุ่น “แรงดันต้าน นี่แหละหลักฐานมัดตัว” ตอนเริ่มต้นบท ฉันเอ่ยถึงชายคนหนึ่งซึ่งมีผู้พบนอนตายอยู่บน เส้นทางเดินป่าพร้อมรูแผลที่คอ เจ้าหน้าที่สืบสวนคดีนั้นสรุปไปเลยว่าโดน สิงโตภูเขาจู่โจม ทั้งที่ไม่มีรอยกัดบ่งบอกถึงฟันบนและฟันล่างที่ขบตรงกัน สุดท้ายแล้ว ผลปรากฏว่าแผลนั้นไม่ได้เกิดจากฟันของใครทั้งสิ้น แต่เกิด จากเหล็กเซาะนํ้าแข็ง ฆาตกรตัวจริงลอยนวลอยู่ 12 ปีจนกระทั่งเผลอ ไปโม้ให้เพื่อนนักโทษอีกคนฟังระหว่างติดคุกด้วยคดีอื่น นานทีปีหนเราก็จะพบกรณีตรงข้าม กล่าวคือศาลอาจตัดสินให้ใคร สักคนมีความผิดฐานลงมือฆ่า ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นผลงานสัตว์ป่าต่างหาก คดีดังสุดที่เข้าข่ายนี้คือคดีของลินดีเชมเบอร์เลน หญิงชาวออสเตรเลีย ผู้ไปออกทริปแคมปิงกับครอบครัวใกล้โขดหินแอร์สเมื่อปี1980 เธอ กรีดร้องโวยวายว่าเห็นลูกแบเบาะของตัวเองถูกหมาดิงโกคาบหนีไปกับตา  พวกเราฟังเรื่องคดีนี้จากการนำเสนอของวิทยากรชื่อเบน บีเทิลสโตน


30 ป่วนปุย ผู้เชี่ยวชาญด้านการจู่โจมของสัตว์นักล่า (และเป็นผู้รอดตายเองด้วย) ตอนนั้นเนื่องจากไม่พบทั้งศพเด็กและตัวหมาดิงโก เจ้าหน้าที่สืบสวน ออสเตรเลียจึงไม่มีโอกาสวิเคราะห์หลักฐานตามแบบที่เราทำกันวันนี้ พวกเขาไม่อาจโยงหลักฐานจากเหยื่อเข้ากับหลักฐานจากสัตว์ได้เมื่อ ปราศจากจุดเชื่อม คดีก็ได้แต่ดำเนินไปตามการคาดเดา (ยกตัวอย่างเช่น ดิงโกไม่มีทางคาบเด็กหนัก 4.5 กิโลกรัมไหวหรอก หรือถ้าไหวก็ไม่ใช่นิสัย ของมันตามปกติหรอก) รวมถึงความผิดพลาดของมนุษย์และกระแสสื่อ ที่คอยชี้นำความคิดเห็นสาธารณะ ผ่านไป 3 ปีหลังจากนางเชมเบอร์เลน ถูกตัดสินจำคุกไปแล้ว คณะอาสาสมัครซึ่งออกตามหาศพนักปีนเขาอีกคน บังเอิญไปเจอรังดิงโกพร้อมเศษเสื้อผ้าทารกอยู่ข้างใน เชมเบอร์เลนได้รับ การปล่อยตัวและตัดสินให้พ้นผิดจากข้อกล่าวหาทั้งหมด ดิงโกตัวนั้นกิน ลูกของเธอเข้าไปจริงๆ ทุกวันนี้จุดเชื่อมมักพบในรูปแบบของดีเอ็นเอที่ตรงกัน ดีเอ็นเอจาก ผู้ต้องสงสัยที่ถูกจับ (หรือถูกฆ่า) ตรงกับดีเอ็นเอจากเส้นขนหรือเศษ ผิวหนังที่พบในเล็บของเหยื่อหรือไม่ ดีเอ็นเอของสัตว์ตัวนั้นตรงกับดีเอ็นเอ จากนาํ้ลายบนร่างเหยื่อหรือไม่ ในกรณีที่โดนสัตว์จู่โจม พวกสัตว์กินซาก อาจทำให้กระบวนการวิเคราะห์หลักฐานพวกนี้ยุ่งยากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถึงแม้นาํ้ลายที่พบใกล้รอยเขี้ยวบนเสื้อแจ็กเกตอาจมาจากสัตว์ตัวที่จู่โจม แต่นํ้าลายบนผิวหนังเหยื่ออาจมาจากสัตว์อื่นที่คุ้ยศพกินทีหลังก็เป็นได้ ในป่าแคนาดามักมีหมีเพ่นพ่านอยู่มากมาย เพราะฉะนั้นแล้ว การหาจุดเชื่อมให้ถูกจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก แวน แดมม์เล่าถึงกรณีของ ผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งถูกหมีฆ่าตายในสวนหลังบ้านตัวเองที่เมืองลิลลูเอต รัฐบริติชโคลัมเบีย ทีมเขาวางกับดักและตรวจดีเอ็นเอ “หมีต้องสงสัย” 2 ตัว ก่อนที่สุดท้ายแล้วจะพบว่าดีเอ็นเอจากที่เกิดเหตุไปตรงกับหมี ตัวที่สาม หลังจากนั้นสองหมีผู้บริสุทธิ์จึงได้รับการปล่อยตัว


สืบจากเขี้ยว 31 ถึงชั่วโมงกินเบียร์(ศัพท์แคนาดาแปลว่าห้าโมงเย็น) เหล่าวิทยากร ช่วยกันเก็บโต๊ะและยกหุ่นจำลองไปนอนกองไว้บนพื้นใกล้โต๊ะเครื่องดื่ม หลังห้องสัมมนา ช่วงนี้ใครจะเดินไปเติมกาแฟถ้วยสุดท้ายก็ต้องข้ามศพ พวกนี้ไปก่อน ฉันดักรอเจอเพื่อนร่วมกลุ่มคนหนึ่งชื่อแอรอน คอสส์-ยัง จากสำนักอนุรักษ์ธรรมชาติแห่งยูคอน เพื่อจะขอสัมภาษณ์เพิ่มเติมเกี่ยวกับ หัวข้อที่วอร์ตไม่ได้ครอบคลุม กล่าวคือในสถานการณ์เข้าด้ายเข้าเข็ม ขณะสัตว์พุ่งเข้ามาจู่โจม เราควรทำตัวอย่างไร หรืออาจไม่ต้องจู่โจมก็ได้ แค่สมมุติเราโผล่ไปจ๊ะเอ๋กับมันซึ่งๆ หน้า เราควรทำอย่างไร แอรอนยินดี ให้คำตอบ เขาเป็นหนุ่มสไตล์ย้อนยุคแบบเดียวกับโจเอล หน้าขาวใส หุ่นบางและมีความเป็นสุภาพบุรุษคล้ายๆ กัน คุณอาจเคยได้ยินคำสอน “ถ้าเจอหมีสีดำ ให้สู้ถ้าเจอหมีสีนํ้าตาล ให้แกล้งตาย” นี่เป็นข้อแนะนำตามความเชื่อที่ว่าบรรดาหมีสีนํ้าตาล ซึ่ง รวมถึงหมีกริซซ์ลีมักไม่สนใจมนุษย์ที่ดูเหมือนตายแล้ว ปัญหาอันดับแรก เลยก็คือ หมีสีนํ้าตาลบางตัวก็ขนสีดำ ขณะเดียวกันหมีสีดำบางตัวก็ดู เป็นสีนาํ้ตาลได้วิธีจำแนกชนิดหมีที่แม่นกว่าคือดูความยาวและความโค้ง ของกรงเล็บ ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อคุณอยู่ในระยะประชิดพอจะแยกแยะได้แล้ว ความรู้นี้ก็ไม่ค่อยเหลือประโยชน์อะไรสักเท่าไร แอรอนบอกว่าสิ่งสำคัญ ที่สุดไม่ใช่การแยกแยะให้ออกว่าคุณกำลังเผชิญหน้าหมีชนิดไหน แต่เป็น การจู่โจมประเภทไหนมากกว่า จู่โจมเพื่อป้องกันตัวหรือจู่โจมเพื่อล่า  ส่วนใหญ่ที่หมีพุ่งเข้าใส่มักเพื่อป้องกันตัว และไม่ได้มุ่งทำร้ายจริงๆ ด้วย แต่เป็นแค่การขู่ คล้ายกับว่าคุณไปทำให้มันตกใจ คุณเข้าใกล้มันเกินไป และมันต้องการให้คุณถอยห่าง “มันจะตั้งท่าให้ดูตัวใหญ่น่าเกรงขาม หูจะ ชี้ขึ้น แทนที่จะลู่ไปข้างหลัง” แอรอนหยุดเพื่อสั่งนํ้ามูก เขากำลังเป็นหวัด ฤดูร้อนขั้นย่าํ แย่ “มันอาจเอาอุ้งตีนฟาดพื้นพร้อมพ่นลมหายใจฟืดฟาด” ประกอบกับกัดกรามหรือขบฟันเสียงดัง (แต่จะไม่อ้าปากคำรามหรือร้อง โฮกฮากลั่นป่า ส่วนใหญ่แล้วนั่นเป็นพฤติกรรมที่มีแต่ในหนัง)


32 ป่วนปุย แอรอนยัดทิชชูใช้แล้วใส่กระเป๋าเสื้อหนาว “มันแค่อยากขู่ให้คุณ กลัวจนฉี่ราดเท่านั้นเอง” เมื่อเทียบกับหมีดำแล้ว หมีกริซซ์ลีมีวิวัฒนาการ ขึ้นมาในป่าที่เปิดโล่งกว่า พวกมันไม่อาจวิ่งหายตัวเข้าไปในพงไม้ได้ เหมือนที่หมีดำทำ ด้วยเหตุนี้มันจึงใช้กลยุทธ์ไล่ให้คุณวิ่งหนีมันแทน วิธีตอบสนองที่แนะนำคือ ให้คุณทำตัวดูอันตรายน้อยที่สุดเท่าที่จะ ทำได้ค่อยๆ ถอยห่างจากมัน คุยกับมันด้วยเสียงสงบเย็น แล้วทุกอย่าง น่าจะผ่านไปด้วยดีเอง ถึงแม้ว่าหมีตัวนั้นจะเป็นหมีแม่ลูกอ่อนก็ตาม บริติชโคลัมเบียอาจขึ้นชื่อเรื่องหมีเยอะและหมีดุและไม่ว่าคุณจะได้ยิน คำราํ่ลือมาขนาดไหนเรื่องอันตรายจากแม่หมีผู้หวงลูก แต่จริงๆ แล้วรัฐนี้ ก็เคยมีรายงานคนถูกแม่หมีทำร้ายจนเสียชีวิตแค่ครั้งเดียว (เป็นหมี กริซซ์ลีส่วนหมีดำแม่ลูกอ่อนไม่เคยมีรายงานฆ่าคนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ในบริติชโคลัมเบีย) ส่วนถ้าหมีพุ่งเข้าจู่โจมแบบล่าเหยื่อ กลยุทธ์การเอาตัวรอดคราวนี้ ต้องทำตรงข้าม การจู่โจมแบบล่าเหยื่อพบได้ยาก มักเริ่มต้นด้วยการที่ หมีแอบซุ่มเงียบๆ และจับจ้องดูคุณอย่างมีสมาธิเราเจอกรณีเช่นนี้ใน หมีดำมากกว่าหมีกริซซ์ลีซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ค่อนข้างขัดแย้งกับความเชื่อ ของคน (อย่างไรก็ตาม ในหมีทั้ง 2 ชนิด พฤติกรรมล่ามนุษย์ก็ถือได้ว่า เกิดขึ้นน้อยมากๆ อยู่ดี) ถ้าหมีพุ่งเข้าหาคุณพร้อมทำหูลู่ไปข้างหลัง นั่นแหละคือกรณีที่คุณต้องพยายามทำตัวให้ดูน่าเกรงขามที่สุด อาจจะกาง เสื้อแจ็กเกตออกให้ดูตัวใหญ่ขึ้น หรือถ้าอยู่กันเป็นหมู่คณะ ก็ให้เกาะกลุ่ม แล้วช่วยกันร้องตะโกน จะได้ดูเหมือนสัตว์ยักษ์1 ตัวที่เสียงดังมาก “พยายามสื่อกับมันว่า ‘อย่านะ ถ้าขืนเข้ามาเราพร้อมสู้นะ เราจะไม่ยอม ถูกกินง่ายๆ นะ’” แอรอนกล่าว “จะกระทืบเท้า หรือเขวี้ยงหินด้วยก็ได้” กลยุทธ์เดียวกันใช้ได้ผลกับสิงโตภูเขา ลองฟังตัวอย่างเรื่องของ เอ็น.ซี. แฟนเชอร์นักบุกเบิกคนหนึ่งแห่งรัฐแคนซัส ฤดูใบไม้ผลิปี1871 ระหว่างเดินเข้าไปพิจารณาโครงกระดูกควาย เขาเหลือบเห็นว่ามีสิงโตภูเขา


สืบจากเขี้ยว 33 ตัวหนึ่งกำลังจ้องมองมา ตามบันทึกที่เล่าไว้ในหนังสือ Pioneer History  of Kansas แฟนเชอร์ได้เอาเขาควายมาสวมเป็นรองเท้า เอากระดูกต้นขา ควายมาฟาดกันเหนือหัวพร้อมกระโดดขึ้นลง อีกทั้งยัง “ตะเบ็งเสียง โหยหวนเยี่ยงคนจนตรอก” ผลที่ได้ปรากฏว่าเจ้าสิงโตภูเขาตกใจวิ่งหนีไป ซึ่งเห็นแบบนี้เป็นใครก็คงต้องหนีแหละ แต่ถ้าสุดท้ายแล้วสัตว์ไม่กลัวและยังคงพุ่งเข้าใส่เราอยู่ดีล่ะ “ถึง ตอนนั้นก็สู้กลับเท่าที่จะทำได้ละกัน” แอรอนตอบ ถ้าเป็นหมีให้จู่โจมที่ หน้ามัน แอรอนยกนิ้วขึ้นชี้จมูกตัวเองซึ่งตอนนี้แดงกํ่า “ห้ามแกล้งตาย เด็ดขาด” ถ้าแกล้งตายตอนนี้มีโอกาสสูงมากว่าอีกสักเดี๋ยวคุณจะไม่ต้อง แกล้งอีกต่อไป เมื่อสัตว์นักล่าตั้งท่าจะจู่โจมคุณ สิ่งที่แย่ที่สุดที่คุณจะทำได้ไม่ว่า สถานการณ์ใดๆ ก็คือหันหลังแล้ววิ่งหนีโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับนักล่า ที่เป็นสัตว์กินเนื้ออย่างสิงโตภูเขา เพราะการวิ่ง (หรือกระทั่งปั่นจักรยาน เสือภูเขาหนี) จะยิ่งไปกระตุ้นสัญชาตญาณไล่ล่าของมัน คล้ายๆ กับกด เปิดสวิตช์ซึ่งเมื่อเปิดติดแล้วก็จะค้างอยู่นานจนกระทั่งปลิดชีพเหยื่อได้ สำเร็จ วิทยากรวอร์ตคนที่ชื่อเบน บีเทิลสโตน เคยมีประสบการณ์พบเห็น ความมุ่งมั่นไม่ยอมลดละของสิงโตภูเขาที่เข้าสู่โหมดนักล่ามากับตัวเอง ในฐานะเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ประจำเขตเทือกเขาของภูมิภาคเวสต์คูตนีย์ รัฐบริติชโคลัมเบีย เขารับโทรศัพท์ฉุกเฉินจากคนถูกสัตว์ทำร้ายบ่อย พอสมควร ส่วนใหญ่มักเป็นกรณีเกี่ยวกับหมีและอาการบาดเจ็บก็แค่ เล็กน้อย แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อน เขารับสายฉุกเฉินที่ไม่ธรรมดาเลย สิงโตภูเขา ผอมโซตัวหนึ่งแอบเข้าไปซ่อนอยู่ในบริเวณบ้านของสามีภรรยาคู่หนึ่ง บีเทิลสโตนเล่าเรื่องนี้ตอนขึ้นบรรยายบนเวทีเมื่อวาน เขาเล่าว่าเขา ลงจากรถโดยไม่มีอาวุธ จากนั้นเดินไปเคาะประตูหน้าบ้าน โดยไม่ได้ รู้ตัวเลยว่าสิงโตภูเขากำลังแอบซุ่มดูคู่สามีภรรยาผ่านทางหน้าต่างอยู่


34 ป่วนปุย ณ จังหวะนั้น พอดี“ถ้าพ่อบ้านเดินจากห้องหนึ่งไปอีกห้อง” เขาบอก พวกเรา “สิงโตก็จะย่องตามไปที่หน้าต่างของอีกห้องด้วย” หน้าต่างรอบ บ้านหลังนั้นเต็มไปด้วยรอยประทับอุ้งเท้าสิงโต ทันใดนั้นเอง พ่อบ้านก็ปิดประตูปัง บีเทิลสโตนหันไปเห็นสิงโต ภูเขาอยู่ห่างเพียงเมตรครึ่ง มันทำท่าย่อตัว หูลู่แนบหัว และหางตวัด ส่ายไปมา “ผมรีบตะโกนโหวกเหวก ยกขาขึ้นเตะอากาศ ทำทุกอย่างที่เรา เคยสอนให้คนอื่นทำนั่นแหละ แต่ไม่มีอะไรได้ผลเลย” เจ้าสิงโตกระโจน เข้าใส่เขา เขาพยายามบีบคอมัน แต่มันก็ดิ้นหลุดไปได้จากนั้นแว้งกลับ มาฝังเขี้ยวทะลุรองเท้าบู๊ต เขาคว้าไม้กวาดที่พิงผนังบ้านอยู่มาหวดใส่แต่ มันก็ไม่ยอมปล่อย เขาหาทางทิ่มด้ามไม้กวาดเข้าไปในคอสิงโตจนได้ ระหว่างนั้นคู่สามีภรรยาในบ้านก็เฝ้าดูเหตุการณ์ผ่านทางหน้าต่าง ภาพที่ พวกเขาเห็นเป็นฉากบีเทิลสโตนปลุกปลาํ้ต่อสู้กับสิงโตภูเขาด้วยไม้กวาด สับปะรังเค 1 อัน พร้อมร้องตะโกน “เฮ่! เฮ่! ” เหมือนเรียกให้ช่วย “สุดท้ายพ่อบ้านสูงวัยก็เปิดประตูออกมาแล้วถามว่า ‘มีอะไร’ ผม เลยบอก ‘เอามีดมา!’” พ่อบ้านไปที่ครัวเพื่อควานหามีดเล่มหนึ่งซึ่งปรากฏ ว่าอยู่ในเครื่องล้างจาน ในที่สุดเขาก็เจอมันแล้วนำมาให้บีเทิลสโตน ผู้กระทำการ “เชือดสยอง” เจ้าสิงโตภูเขา (ผลชันสูตรเปิดเผยภายหลังว่า สิงโตตัวนั้นมีชิ้นส่วนรองเท้าวิ่งข้างหนึ่งติดค้างอยู่ในช่องท้อง อุดกั้น ทางเดินอาหารของมันจนทำให้กลายเป็นสิงโตหิวโซ) แก๊งบิงโกเริ่มแยกย้ายขณะฉันกับแอรอนเก็บข้าวของเดินออกจาก ห้องสัมมนา ผู้เล่นคนหนึ่ง ท่าทางแจ่มใสแต่ไหล่ห่อเล็กน้อย กำลังเดิน ตรงไปทางสุขาชายตอนเควิน แวน แดมม์หิ้วหุ่นร่างกึ่งเปลือยโชกเลือด เดินสวนมาพอดีแวน แดมม์เป็นชายร่างใหญ่น่าเกรงขาม และเวลาเดิน ก็ก้าวย่างอย่างมุ่งมั่น สมาชิกแก๊งบิงโกคนนั้นหยุดชะงัก “โทษครับ ขอทาง หน่อย” แวน แดมม์พูดแค่นี้แล้วเดินต่อโดยไม่อธิบายอะไร


สืบจากเขี้ยว 35 ปกติถนนจากกาสิโนบูมทาวน์ลงไปยังแม่นํ้าทรักกีจะมีรถวิ่งน้อยมาก แต่วันนี้ถ้าใครบังเอิญขับผ่านมาก็คงจะตื่นเต้นไม่น้อย เพราะหลายจุด ระหว่างทางมีเทปสีเหลืองของตำรวจคาดกั้นไว้เหมือนเป็นที่เกิดเหตุ อาชญากรรม ชายหญิงในเครื่องแบบสวมเสื้อกั๊กสีเขียวสะท้อนแสง เขียนว่า “หน่วยกู้ภัยสัตว์นักล่า” เดินเพ่นพ่านถือปืนไรเฟิลและถุงเก็บศพ อยู่เต็มบริเวณไปหมด นี่คือวันฝึกอบรมภาคสนามของหลักสูตรวอร์ต กลุ่มของฉันได้ที่เกิดเหตุแถวหลังราวกั้นถนนไล่ลงไปตามคันดิน ลาดชันซึ่งปกคลุมด้วยหินกรวด เมื่อคืนเราได้รับข้อความจำลองแจ้งเหตุ คนถูกทำร้าย ระบุว่าชายหนุ่มคนหนึ่งทะเลาะกับคู่หมั้น จากนั้นก็หอบหิ้ว ถุงนอนออกจากรถแคมปิงมานอนคนเดียวข้างนอก เวลาผ่านไปถึงตีสี่ นายอำเภอได้รับแจ้งคนหายจากหญิงคู่หมั้นและขับรถออกไปช่วยตามหา  เขาพบเพียงถุงนอนเปล่าๆ และเห็นหมาป่าตัวหนึ่งอยู่แถวนั้น จึงยิงปืน ใส่มันจนตาย จากนั้นมอบหน้าที่สืบสวนต่อให้หน่วยกู้ภัยสัตว์นักล่า ซึ่ง ก็คือพวกเรานั่นเอง โจทย์แรกของเราคือเคลียร์พื้นที่ให้ได้ก่อน ต้องตรวจดูให้มั่นใจ ว่าไม่มีสัตว์ใหญ่อะไรแอบซุ่มอยู่ในบริเวณ บางครั้งสิงโตภูเขาและหมี มีพฤติกรรมกลบซ่อนเหยื่อไว้ใต้เศษใบไม้หรือกิ่งไม้ตื้นๆ สำหรับกลับมา กินต่อทีหลัง นั่นทำให้“ที่เกิดเหตุ” อาจเป็นจุดอันตรายสำหรับเจ้าหน้าที่ ผู้เข้าปฏิบัติงาน หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้ามาหาผู้ชายในกลุ่มเราซึ่งรับบทเป็น หัวหน้าปฏิบัติการสืบสวน “พี่ชายฉันอยู่ไหน” เธอถาม “เกิดอะไรขึ้นหรือ” ฉันต้องใช้เวลาพักหนึ่งถึงเข้าใจว่าเธอกำลังเล่นบทบาทสมมุติผู้หญิง คนนั้นพูดบทโดยไม่มีวี่แววตื่นตกใจเลยแม้แต่น้อย อารมณ์เหมือนเดิน เข้ามาทักสบายๆ ว่า เฮ้ เป็นไง ขณะเดียวกัน ที่ฉากเกิดเหตุอีกแห่ง เลยขึ้นไปตามถนน เรามีนักแสดงเล่นใหญ่กำลังตะโกน “พวกคุณต้อง หาเขาให้เจอนะ! เขาเป็นแค่เด็กอายุสิบสองเท่านั้น!” การฝึกด้วย


36 ป่วนปุย สถานการณ์สมมุติมักเป็นประมาณนี้เราจะมีคนหนึ่งที่เป็นอัล ปาชิโน ส่วนที่เหลือสวมวิญญาณผู้สื่อข่าวจราจร หัวหน้าปฏิบัติการของเรายกมือขึ้นแตะไหล่คนเล่นเป็นน้องสาว “คืออย่างนี้ครับ เราได้รับรายงานว่ามีสัตว์ป่าอยู่ในพื้นที่” “สัตว์ชนิดไหนคะ” เธอถามเหมือนจะกลับไปเอากล้องส่องทางไกล ในรถมาช่วยส่องหา จากนั้นยกขาข้างหนึ่งก้าวข้ามเทปกั้นของตำรวจ เข้ามา “ฉันต้องลงไปช่วยตามหาพี่” หัวหน้ารั้งแขนเธอไว้เบาๆ “เดี๋ยวครับ เราให้คุณลงไปไม่ได้เดี๋ยว จะได้รับอันตราย ตอนนี้เรามีทีมยุทธวิธีปฏิบัติหน้าที่อยู่ข้างล่าง กำลัง ตรวจความปลอดภัยโดยปูพรมลาดตระเวนเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด” ก่อนหน้านี้เราได้ฝึกปูพรมลาดตระเวนเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด กันไปแล้ว โดยใช้คน 4 คนหันหลังเข้าหากัน แต่ละคนถืออาวุธพร้อม แล้ว เคลื่อนที่ไปด้วยกัน เหมือนรวมร่างเป็นมนุษย์ปลาหมึกถือปืน แต่ละคน สำรวจพื้นที่ที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง (เรียกชื่อตามทิศเข็มนาฬิกา คือ สิบสอง สาม หก และเก้า) แล้วคอยร้องว่า “ปลอดภัย” เมื่อไม่พบอันตราย หลังจากนั้นคนที่อยู่ทางขวาของคนแรกก็จะร้อง “ปลอดภัย” ต่อ ทำแบบนี้ วนไปเรื่อยๆ ด้วยวิธีดังกล่าว ไม่เพียงสิ่งแวดล้อมรอบบริเวณจะได้รับ การตรวจสอบครบทุกทิศ แต่มันยังช่วยตัดโอกาสที่คนจะเผลอยิงปืน ใส่กันเองด้วย ถ้าสมมุติมีใครเจออันตราย คนคนนั้นจะตะโกนบอก จากนั้นคนที่อยู่ 2 ข้างก็จะรีบรุดเข้าไปสมทบ ถึงตอนนี้เราจะมีปืนไรเฟิล 3 กระบอกเล็งไปทางเดียวกันพร้อมลงมือ ขณะที่อีกคนคอยระวังหลังให้ อยู่ ตอนเราฝึกแผนนี้กัน โจเอลรับบทเป็นสัตว์ร้าย ฉันแอบลุ้นว่าจะมีการ ทำท่าประกอบ หรือกระทั่งสวมชุดให้ดูสมจริงด้วยหรือไม่ แต่ปรากฏว่า เขาแค่เดินมาหยุดตรงหน้าพวกเราแล้วก็พูดว่า “ผมเป็นหมี” เพื่อนร่วมกลุ่มฉัน 4 คนเคลื่อนตัวผ่านสุมทุมพุ่มไม้เป็นขบวน รูปข้าวหลามตัด แอรอนปีนขึ้นไปบนโขดหินใหญ่เพื่อประจำตำแหน่ง


สืบจากเขี้ยว 37 “หอคอยยิงตาย” ภาพลักษณ์เอาเป็นเอาตายของเขาถูกทำให้อ่อนโยนลง เล็กน้อยด้วยกระดาษทิชชูซึ่งขยำยัดอยู่ในฝ่ามือข้างที่ประคองปืนไรเฟิล ส่วนฉันรับหน้าที่เป็นคนจดบันทึกอีกตามเคย (เพราะทุกคนบอกว่า “ก็คุณ เป็นนักเขียน”) “หมีสามนาฬิกา!” ครั้งนี้โจเอลไม่ได้เล่นเป็นหมีแล้ว แต่มีหุ่น จำลองหมีแบบสมจริง ทำจากโฟมแข็งๆ ซึ่งปกติเอาไว้ใช้เป็นเป้าซ้อมยิง สำหรับพรานธนูคนที่อยู่ตำแหน่งหกนาฬิกากับสิบสองนาฬิการีบเคลื่อน ไปสมทบขนาบข้างคนสามนาฬิกา เท้าลากข้ามพื้นที่เป็นหลุมบ่อโดยตา ยังมองตรงไปข้างหน้า พวกเขายกอาวุธขึ้นประทับพร้อมๆ กัน ดูแล้ว เหมือนการแสดงบัลเลต์บนเวทีหรือไม่ก็ระบำใต้นํ้าที่มียิงปืนไรเฟิลด้วย ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากให้มีกีฬานี้แข่งในโอลิมปิกจริงๆ สิ้นเสียงนับหนึ่งสองสามอย่างรวดเร็ว กระสุนในจินตนาการก็ถูก ระดมยิงใส่เจ้าหมีโฟม หลังจากนั้นก็มีคนตะโกนถามว่ามีใครมีผ้าอนามัย ไหม แล้วความตื่นเต้นของแบบฝึกหัดก็จบลง สรุปแล้ว หมาป่าที่นายอำเภอยิงเมื่อคืนเป็นตัวหลอกอย่างนั้นหรือ แท้จริงแล้วหมาป่าบริสุทธิ์ใช่หรือไม่ นั่นคือโจทย์ที่พวกเราต้องไขให้ออก นี่มันคดีฆาตกรรมปริศนาเวอร์ชันสัตว์ป่า ไม่ช้าเหยื่อของเรา ซึ่งรับบทโดยหุ่นจำลองตัวหนึ่งจากเมื่อวาน ก็ถูกพบในพุ่มไม้ที่ด้านล่างของเนิน ถัดลงไปจากตำแหน่งที่เจอถุงนอนเปล่า  สมาชิกกลุ่มคนหนึ่งแกล้งทำเป็นถ่ายภาพศพ ซึ่งก็ต้องรีบถ่ายเพราะ โจเอลผู้รับบทเป็นคนเก็บศพใจดีของเราอยากรีบย้ายมันให้เสร็จก่อนแดด เที่ยงจะร้อนเกินไป เดี๋ยวหลังจากนี้เรายังมีโอกาสอีกมากที่จะได้วิเคราะห์ สภาพศพอย่างถ้วนถี่ในห้องดับจิต (ห้องประชุมพอนเดอโรซา) เมื่อสถานที่เกิดเหตุปลอดภัยแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาเก็บรวบรวม หลักฐาน จากที่เคยดูละครสืบสวนสอบสวนทางโทรทัศน์มา เราจะรู้ว่า หลักฐานเหล่านี้เรียกว่า “ของกลาง” ไม่ว่าจะเป็นศพ ถุงนอน รอยเท้า 


38 ป่วนปุย รอยอุ้งตีน รอยลาก ทุกอย่างคือของกลางหมด หลักฐานที่ต้องส่งต่อไป ห้องปฏิบัติการจะถูกถ่ายรูปแล้วเก็บใส่ถุงพร้อมป้ายหมายเลขกำกับ จากนั้นก็ปักธงที่เขียนข้อมูลตรงกันไว้ณ จุดพบหลักฐานชิ้นนั้น หน้าที่ ของฉันคือเขียนบันทึกทั้งหมดนี้ลงใน “รายงานของกลาง” ประกอบด้วย คำบรรยายสั้นๆ ว่าวัตถุแต่ละชิ้นคืออะไร หมายเลขกำกับอะไร และ ตำแหน่งที่พบอยู่ตรงไหน ซึ่งฉันเขียนด้วยลายมือห่วยมาก และน่าจะจด ผิดหลายที่ด้วย เจ้าของรอยเท้าที่เจอบนพื้นปรากฏว่าเป็นหมีนี่ถือเป็นเรื่องดี เพราะพวกเราไม่เคยเรียนเรื่องหมาป่ากันมาเลย (สาเหตุเพราะเป็นกรณี ที่เกิดขึ้นน้อยมาก) ตอนนี้สมาชิกกลุ่มทุกคนคุกเข่าคลานสี่ขากันหมด เพราะกำลัง ส่องหาร่องรอยขนและเลือดสัตว์มันเป็นงานที่ทั้งเมื่อย ร้อน และเหนื่อย มาก แต่ขณะเดียวกันก็สำคัญ ลักษณะเลือดในที่เกิดเหตุบอกอะไรได้ หลายอย่าง ถ้าเจอหยดเลือดวงกลมๆ บนพื้นแปลว่าเป็น “รูปแบบจาก แรงโน้มถ่วง” กล่าวคือเลือดหยดด้วยนาํ้หนักของตัวมันเองล้วนๆ ถ้าหยด ที่พบเป็นวงรีหน่อยแสดงว่าเหยื่อกำลังวิ่งไปด้วยขณะเลือดหยด ส่วน “รูปแบบจากแรงกระทำ” แปลว่ามีแรงผลักให้เลือดพุ่งไป เช่น แรงตบของ อุ้งตีนสัตว์หรือแรงสูบฉีดจากเส้นเลือดใหญ่ ลักษณะรอยเลือดแบบนี้ จะเป็นทางยาว ทรงคล้ายๆ ดาวหาง เรียกว่าเลือดสาด ไม่ใช่เลือดหยด มีบางคนเจอรอยเลือดหยดเป็นทาง โจเอลบอกให้พวกเราสังเกต ขนาดของหยดให้ดีถ้ายิ่งตามรอยเลือดไปแล้วหยดยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ นั่น แปลว่าเลือดไม่น่าจะหยดมาจากปากแผล มันอาจหยดมาจากขนของสัตว์ หรือจากมีดของฆาตกรมากกว่า แต่ถ้าขนาดของหยดเท่าเดิมตลอดทาง เรียกว่า “รอยแบบมีการเติม” ก็แปลว่าน่าจะมาจาก “แผลที่ยังมีเลือดไหล” นอกจากนี้คราบเลือดที่เป็นรอยป้ายยังบ่งชี้ถึง “รูปแบบการสัมผัส” เช่น อาจบอกตำแหน่งที่เหยื่อล้มลงหรือเอามือเปื้อนเลือดยันพื้น


สืบจากเขี้ยว 39 เมื่อพวกเรามั่นใจว่าเจอเบาะแสครบทุกอย่างเท่าที่จะมีให้เจอแล้ว โจเอลก็ก้มลงพลิกหงายใบไม้ใบหนึ่งขึ้นมา เผยให้เห็นหยดเลือดเล็กจิ๋วอีก 1 หยดที่ติดอยู่ใต้ใบ เราพลาดรายละเอียดนี้ไป จริงๆ เราพลาดไปอีกเยอะ เลย ไหนจะเลือดบนก้อนหิน บนต้นไม้บนพื้น “รูปแบบการกระเด็นของ เลือดสินะ” ใครบางคนพูดขึ้นอย่างมีความรู้ โจเอลพยักหน้า แต่ก็ช่วยแก้เบาๆ ว่า “กระเซ็น ไม่ใช่กระเด็น” รอยเลือดและร่องรอยอื่นๆ บนพื้นดินช่วยกันบอกเล่าเรื่องราวของ การจู่โจมครั้งนี้เลือดที่หยดและไหลเปื้อนถุงนอนจากการกัดครั้งแรกๆ รอยลากและหยดเลือดขนาดคงที่ระหว่างชายคนนั้นถูกดึงออกจากถุงนอน เข้าไปในพุ่มไม้ร่องรอยการต่อสู้และเลือดบนดินขณะเขาพยายามจะหนี และจากนั้น รอยกระเซ็นของเลือดบนใบไม้และก้อนหิน บางทีอาจเกิด ตอนหมีสะบัดร่างเขาเพื่อให้หยุดดิ้น ถ้าศพนอนตายอยู่เป็นเวลานาน ประมาณหนึ่ง สารเคมีที่เกิดจากการเน่าเปื่อยก็จะทิ้งหลักฐานเพิ่มไว้ให้ เป็นชิ้นสุดท้าย นั่นคือบริเวณที่ต้นไม้ใบหญ้าถูกย้อมเป็นสีดำ เรียกว่า  “เกาะแห่งการเน่าสลาย” ซึ่งไม่มีหาดสวยๆ แน่นอน โจเอลบอกว่าลักษณะบาดแผลของเหยื่อเราถูกจำลองไว้บนร่างหุ่น ตัวหนึ่ง มันไม่ได้อยู่ในฉากที่เกิดเหตุตอนนี้แต่เราจะไปตรวจวิเคราะห์กัน ในห้องเรียนเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่อค้นหาจุดเชื่อม และแล้วชั่วโมงกินเบียร์ก็วนมาถึงอีกรอบ โจเอลเก็บอุปกรณ์ ประกอบฉาก ธงบอกตำแหน่งหลักฐาน ตลอดจนหุ่นหมีโฟม จากนั้น พวกเราทั้งหมดก็เคลื่อนพลกลับขึ้นสู่ถนนและเข้าห้องโรงแรมเพื่ออาบนาํ้ เปลี่ยนเสื้อผ้า กว่าฉันจะลงมาชั้นล่างอีกครั้ง สมาชิกกลุ่มก็รวมตัวกันอยู่ ที่บาร์เล็กๆ ด้านหลังโต๊ะเล่นแบล็กแจ็กเรียบร้อยแล้ว ทุกคนกำลังจดจ่อ อยู่กับเกมฮอกกี้ในทีวีทีมออยเลอรส์เจอกับทีมโทรอนโตเมเปิลลีฟส์ “นี่” ฉันลองถามขึ้น “ชื่อทีม Toronto Maple Leafs มันน่าจะสะกด ว่า Leaves มากกว่าไม่ใช่เหรอ” ทุกคนกริบ ในเมื่อสู้เกมฮอกกี้ไม่ได้ฉัน


40 ป่วนปุย ก็เลยออกไปเดินเล่นแทน สุดท้ายฉันเตร่เข้าไปในร้านขายชุดและอุปกรณ์ ล่าสัตว์คาเบลาส์ฉันไม่ได้ล่าสัตว์แต่ชอบเดินดูสัตว์สตัฟฟ์ในร้าน สาขานี้ จัดฉากภูเขาจำลองไว้สวยงามมาก พร้อมวัวมัสก์ขนยาวยืนเด่นเป็นสง่า อยู่ด้านบนของห้องลองชุด นอกจากนี้ยังมีห้องสมุดปืน ซึ่งฉันเข้าไปดูแล้ว ได้ค้นพบว่าเป็นแหล่งรวมปืนมือสองสารพัดรุ่น แต่ไม่มีหนังสือสักเล่ม ชายด้านหลังเคาน์เตอร์ทำท่าเหมือนรอให้ฉันถามอะไรบางอย่าง ฉันก็เลยถามว่าที่นี่มีทำบัตรสมาชิกห้องสมุดไหม “ปืนพวกนี้ไม่ได้มีไว้ให้ ยืม” เขาบอก “มีไว้ขาย” “ถ้างั้นก็ไม่เหมือนห้องสมุดสักเท่าไรสินะคะ” คิดไปคิดมาฉันว่าฉัน ควรกลับห้องไปนอนได้แล้วละ เช้าวันรุ่งขึ้น หุ่นจากฉากฆาตกรรมของเรามาพร้อมของแถมพิเศษ โจเอล เพิ่งเปิดถุงเทชิ้นส่วนจำลองสมจริงจากสิ่งที่เจอในกระเพาะหมีออกมาเต็ม โต๊ะ มีหู1 ข้าง ลูกตา 1 ลูก และหนังหัวอีก 1 แผ่นซึ่งมีผมทรงโมฮอว์ก แหว่งๆ ติดอยู่ด้วย วัตถุเหล่านี้ถูกส่งผ่านไปรอบวงให้สมาชิกในกลุ่มได้ พิจารณา นับว่าเช้าไปสักหน่อยสำหรับกิจกรรมดังกล่าว โดนัตที่ตั้งไว้ให้ ไม่มีใครแตะเลย ของในกระเพาะปรากฏว่าเทียบแล้วตรงกับอวัยวะที่หายไปจาก หัวหุ่นพอดีบ่งชี้ว่าจริงๆ แล้วผู้ร้ายคือหมีนี่แหละ ไม่ใช่หมาป่า ผมทรง โมฮอว์กนั่นตอนแรกฉันนึกว่าใส่มาเพื่อความสนุกเฉยๆ แต่โจเอลเฉลย ว่าฉากจำลองที่เราเล่นกันเมื่อวานสร้างมาจากเรื่องจริง หมีจริง คนจริง โมฮอว์กจริง โจเอลเป็นคนสืบคดีนี้เองเมื่อปี2015 และหุ่นจำลองทั้งหมด ในหลักสูตรวอร์ตก็เป็นตัวแทนของเหยื่อที่มีตัวตนจริง ไม่ใช่จำลองแค่แผล อย่างเดียว โจเอลนำรูปถ่ายจากที่เกิดเหตุของจริงมาให้ดูในรูปหนึ่ง เหยื่อ


สืบจากเขี้ยว 41 นอนควํ่า แผลขนาดใหญ่ที่สุดเป็นแผลสดที่ถูกกัดเนื้อแหว่งตรงก้น ชาย คนนั้นเข้านอนโดยสวมชุดลองจอห์นแบบชิ้นเดียว และผ้าตรงส่วนที่พับ เปิดได้บริเวณก้นน่าจะถูกดึงเปิดลงมาตอนหมีลากเขา “นั่นคือสาเหตุว่า ทำไมหมีถึงกินตรงนั้นก่อน” หลังจากครู่หนึ่ง โจเอลก็เสริม “พวกคุณเคย เห็นชุดรุ่นนี้ใช่ไหม ที่มีลายอุ้งตีนหมีอยู่ตรงแผ่นปิดก้น” ดูเหมือนว่านี่ จะเป็นของหาได้ทั่วไปในแคนาดา เพราะสมาชิกกลุ่มของฉันหลายคน พยักหน้ากันรัวๆ “นั่นแหละคือชุดที่เขาใส่คืนนั้น” ที่ไหล่ของหุ่นมีรอยกัดชัดเจนอีก 1 จุด จากตำแหน่งของรูเขี้ยว คู่บนและคู่ล่าง เราบอกได้เลยว่าชายคนนั้นอยู่ในท่านอนหงายตอนโดน ทำร้าย โจเอลสันนิษฐานว่าหมีน่าจะเดินผ่านมาเจอคนนอนหลับอยู่จากนั้น ก็เข้ามาเลียเกลือที่ผิวหนัง ชายคนนั้นคงตกใจตื่นแล้วส่งเสียงดัง “หมี เลยต้องตัดสินใจว่า เอาไงดี จะจัดการให้เสร็จ หรือจะหนีสุดท้ายหมีเลือก จัดการให้เสร็จ” ขณะเดียวกัน หากถามว่ามีอะไรอยู่ในกระเพาะผู้ต้องสงสัยอีกตัว ของเราบ้าง ในท้องหมาป่าตัวที่นายอำเภอยิงตายตอนไปถึงที่เกิดเหตุน่ะ ปรากฏว่าเจอแค่กระดาษห่อหมากฝรั่งกับเศษฟอยล์ไม่มีเนื้อเยื่อมนุษย์ หรือเสื้อผ้าสักชิ้น จบข่าว คดีนี้ปิดได้โดยไม่จำเป็นต้องตรวจดีเอ็นเอต่อ ด้วยซํ้า เมื่อกระบวนการพิสูจน์หลักฐานเสร็จสิ้นและระบุตัวผู้ร้ายได้แล้ว หลังจากนั้นเกิดอะไรต่อ ถ้าสมมุติหมีตัวนี้ไม่ได้ถูกยิงตายใกล้ที่เกิดเหตุ เราจะตัดสินชะตามันอย่างไร เควิน แวน แดมม์พูดถึงเรื่องนี้หลังบรรยาย เสร็จหัวข้อหนึ่ง เขาบอกว่าการจำคุกไม่ใช่ทางเลือก สวนสัตว์ในแคนาดา จะไม่รับเลี้ยงหมีที่อายุมากกว่า 3 เดือน เพราะพวกมันมักเอาแต่เดิน งุ่นง่าน และเพราะสวนสัตว์ต่างๆ ก็มีหมีมากพออยู่แล้ว ส่วนใหญ่โทษที่ หมีโดนจะเป็นโทษขั้นสูงสุด “ถ้าหมีสักตัวเริ่มมองคนเป็นอาหาร วันหลัง มันก็จะทำอีก” แวน แดมม์กล่าว “ผมมีประสบการณ์26 ปีในฐานะ


42 ป่วนปุย ผู้เชี่ยวชาญด้านการจู่โจมของสัตว์นักล่า ผมรู้ว่าบางคนไม่เห็นด้วยกับผม แต่ถ้าเมื่อไรมันทำร้ายมนุษย์เมื่อนั้นมันต้องตาย” ถ้าคุณไปถามนักอาชญวิทยาสักคน เขาจะบอกคุณว่าการป้องกัน ได้ผลดีกว่าลงโทษ วิธีที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับทั้งเราและหมีก็คือให้อยู่ แยกกัน อย่าเปิดโอกาสให้หมีได้เรียนรู้ว่ามนุษย์เป็นเหยื่อที่ล่าง่าย เราต้อง บังคับให้คนจัดการขยะให้เรียบร้อย โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีหมีเยอะ ต้องกำชับว่าอย่าให้อาหารนกและอย่าวางอาหารหมาไว้นอกชาน ชาย ในชุดลองจอห์นคนนั้นอาศัยอยู่เขตป่าซึ่งไม่มีรถเทศบาลมาคอยเก็บขยะ ขยะอาจกองสะสมหน้ารถบ้านของเขา ฟอยล์และห่อหมากฝรั่งที่เจอใน กระเพาะหมาป่าบ่งชี้ว่านี่เป็นพื้นที่ที่สัตว์ป่าเคยชินกับการออกมาคุ้ยหา เศษอาหาร ถึงที่สุดแล้ว ขยะนี่แหละคือฆาตกร


Click to View FlipBook Version