วิชา ส32101
การเปิดเสรีทาง
เศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัตน์
ชั้นมัธยมศึ กษาปีที่ 5/7
19 กันยายน
จั ด ทำ โ ด ย
น.ส.ปภาวรินท์ สุรหมีน เลขที่ 11
นาย ธิติวัชฐ์ ไกรสินเดชสกุล เลขที่ 16
คำนำ
E-BOOK เล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนนึงของ
วิชาสังคมศึกษา ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เพื่อให้
ได้ศึกษาหาความรู้ เรื่อง การเปิดเสรีทาง
เศรษฐกิจในยุคโลกาภิวัตน์และได้ศึกษาอย่าง
เข้าใจเพื่ อเป็นประโยชน์กับการเรียนและการ
ศึกษาต่อ
ผู้จักทำหวังว่า E-BOOK จะเป็นประโยชน์กับผู้
อ่านหรือนักเขียน นักศึกษาที่กำลังหาข้อมูลเรื่อง
นี้อยู่ หากมีข้อแนะนำหรือผิดพลาดประการใด ผู้
จัดทำขอน้อมรับไว และขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
สารบัญ
เรื่อง หน้า
โลกาภิวัตน์คืออะไร 1
3
ความหมายของระบบเศรษฐ
กิจ 4
ผลกระทบที่มีต่อระบบเศรษฐกิจในยุค
กระแสโลกาภิวัตน์ 8
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษ
ฐกิจในยุค 9
10
กระแสโลกาภิวัตน์ 11
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจแบบผสม
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจแ
บบผสม
สรุป
โลกาภิวัตน์ คือ
โลกาภิวัตน์ (Globalization ) คำที่พวกเราทุก
คนคุ้นเคย แต่จะมีสักกี่คนที่จะเข้าใจความหมาย
จริง ๆ ของคำสั้น ๆ คำนี้ โลกาภิวัตน์ ซึ่งหมาย
ถึง ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกยุคใหม่ที่ตั้งอยู่
บนฐานของเทคโนโลยี อันนำไปสู่ความ
เปลี่ยนแปลงที่เร่งเร็วขึ้นในทุกระดับของสังคม
มนุษย์ แต่เริ่มเป็นที่นิยมใช้ในแวดวงวิชาการและ
สื่อสารมวลชน ยังครอบคลุมทั้งด้านการเมือง
เศรษฐศาสตร์ วัฒนธรรมและเทคโนโลยีการ
สื่อสาร รวมทั้งยังมีอิทธิพลต่อความคิด ความ
เชื่อของคนจำนวนมากในยุคสมัยใหม่ จากความ
หมายของโลกาภิวัตน์ในมุมมองของผู้เขียน ก่อให้
เกิดการเชื่อมโยงประสานใน 3 ด้านด้วยกันคือ
1. กระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโยงประสานกันทางเศรษฐกิจ
ระหว่างนานาประเทศ คือส่งผลให้มีการไหลเวียนของ
สินค้า บริการ เงินทุน ผู้คน และทรัพยากรที่ข้ามพ้น
กำแพงรัฐชาติ การปฏิสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ เชื่อมโยงกัน
จนเป็นอาณาบริเวณที่กว้างขวาง
2. กระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโย
งประสานทางแนวความคิด
ความเชื่อ และอุดมการณ์ อาทิ ความเป็นประชาธิปไตย
(Democratization หรือ กระบวนการทำให้เป็น
ประชาธิปไตย) สิทธิมนุษยชน (Human right) การจัด
การปกค | รองที่ดี (Good Governance) การ ค้าเสรี
(Free Trade) ตลอดจน วัฒนธรรมความทันสมัยแบบ
ตะวันตก เป็นต้น
3. กระตุ้นให้เกิดการเชื่อมโยง
ประสานโลกให้เป็นอันหนึ่งอัน
เดียวกันด้วยเทคโนโลยีสาร
สนเทศและการสื่อสาร เช่น
โทรทัศน์ผ่านดาวเทียมที่สามารถรายงานข่าวสาร สาระจาก
พื้นที่หนึ่งของโลก ให้กระจายไปทั่วโลกได้ทันที่ ผ่าน CNN,
BBC อินเตอร์เน็ตที่ถ่ายทอดความคิด ความเชื่อผ่านทาง
เว็บไซด์ต่าง ๆ ร่วมถึงการเผยแพร่วัฒนธรรมสื่อ เช่น ในรูป
แบบภาพยนตร์ผ่าน Hollywood ในรูปแบบแฟชั่น ดนตรี
เพลงผ่าน โทรทัศน์ช่อง MTV
ความหมายขอบระบบ
เศรษฐกิจ
ระบบเศรษฐกิจ หมายถึง การรวมตัวกันเป็นกลุ่มของหน่วย
เศรษฐกิจ ซึ่งประกอบด้วยบุคคลหรือสถาบันที่ทำหน้าที่เฉพาะ
อย่างในเศรษฐกิจ เพื่อกำหนดว่าผลิตอะไร ผลิตอย่างไร
จำนวนมากน้อยเท่าใด เมื่อผลิตแล้วจะจำหน่ายแจกจ่ายให้แก่
ใครจึงจะเกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งการจัด
หน่วยเศรษฐกิจแบบนี้ เป็นการจัดการหน้าที่ของหน่วย
เศรษฐกิจนั้น ๆ หน่วยเศรษฐกิจแบ่งเป็น 3 ระดับ ดังนี้
1. หน่วยครัวเรือน หมายถึง สมาชิกทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในครอบครัว
เดียวกันมีความรับผิดชอบเกี่ยวกับการเงินของครอบครัวในด้านการผลิต
การบริโภค และการบริการ
2. หน่วยธุรกิจ หมายถึง บริษัท ห้างร้าน โรงงานอุตสาหกรรม
ทั้งภาคเอกชนและรัฐบาล ทำหน้าที่เป็นผู้ผลิตและกระจาย
สินค้าไปยังผู้บริโภค
3. หน่วยรัฐบาล หมายถึง หน่วยงานรัฐและรัฐวิสาหกิจที่ทำเป็น
กิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่รัฐบาลและ
ประชาชน
รูปแบบของระบบเศรษฐกิจ
ผลกระทบที่มีต่อระบบเศรษฐกิจใน
ยุคกระแสโลกาภิวัตน์
1. ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของประชากร (The New
Demographics) ประชากรของโลกจะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเขต
เมืองมีแนวโน้มประชากรโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิง
โครงสร้างและพฤติกรรม โดยประชากรสูงอายุ (มากกว่า 50 ปี
ขึ้นไป) จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ในขณะที่ประชากรวัยหนุ่มสาว
(Young Generation) จะมีสัดส่วนลดลง โดยเฉพาะใน
ประเทศที่พัฒนาแล้ว ทั้งนี้ เนื่องจากอัตราการเกิดของประเทศ
พัฒนาแล้วตํ่าลง ประกอบกับคนจะมีสุขภาพดีและอายุยืนมากขึ้น
นอกจากนั้น ค่านิยม และพฤติกรรมของประชากรจะ
เปลี่ยนแปลงไปเร็วมากจนยากที่จะคาดเดา การเปลี่ยนแปลง
ลักษณะประชากรทั้งหมดดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลกระทบสำคัญ
คือ
1.1 การสิ้นสุดของตลาดเดียว (The End of Single Market) เดิม
ตลาดของประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีลักษณะ Homogeneous โดยมี
กลุ่มวัยรุ่นเป็นผู้ครอบครองตลาดส่วนใหญ่ แต่ต่อไปในอนาคต
ตลาดจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนอย่างชัดเจน คือ
1.2 ภาระงบประมาณรายจ่ายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกับประเทศกำลังพัฒนาซึ่ง
โครงสร้างของประชากรวัยสูงอายุที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาก จะมีผลต่อค่าใช้
จ่ายของรัฐบาลที่จะเพิ่มขึ้นจากเงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุ เบี้ยบำนาญ และค่าใช้
จ่ายในการรักษาพยาบาล เช่นเดียวกับประเทศกำลังพัฒนาที่แนวโน้ มดัง
กล่าวก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกันแต่ในอัตราที่ตํ่ากว่า
1.3 การเคลื่อนย้ายแรงงานจากประเทศกำลังพัฒนาไปสู่ประเทศพัฒนา
แล้ว(Mobility of Labour) โดยเฉพาะแรงงานฝีมือหรือแรงงานที่มีความรู้
(Skilled Labor/Knowledge Labor) ซึ่งเป็นที่ต้องการและมีบทบาทมาก
ในระบบเศรษฐกิจ ในทางตรงกันข้าม จะมีการเคลื่อนย้ายแรงงานที่มี
ทักษะตํ่าไปยังประเทศกำลังพัฒนาเพื่อลดจำนวนแรงงานในประเทศที่
พัฒนาแล้ว เศรษฐกิจโลกจะเป็นตัวซํ้าเติมให้เกิดความยุ่งเหยิงของ
โครงสร้างการทำ งานในสังคมที่กำลังพัฒนา โดยการสร้างให้เกิดการจ้าง
งานที่ขาดเสถียรภาพ งานที่ต้องการความชำนาญหลายอย่างอาจถูกลด
ระดับลง หรือถูกทดแทนด้วยแรงงานที่ตํ่ากว่าระดับจริง นอกจากนั้น จะ
ก่อให้เกิดปัญหาเมืองใหญ่ (Mega City) ที่ต้องมีการวางแผนการพัฒนา
เมืองที่ป้ องกันและจะไม่ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม ทางเศรษฐกิจ ทาง
โครงสร้างพื้นฐาน และทางด้านสิ่งแวดล้อม
1.4 การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว สาเหตุจากการ
เปลี่ยนแปลงในค่านิยม และพฤติกรรมของประชากรทำให้ตลาด
เปลี่ยนแปลงเร็ว จำเป็นที่ผู้ผลิตจะต้องมีความพร้อมรับกับการปรับ
เปลี่ยนโดยต้องพร้อมในการที่จะคิดค้นประดิษฐ์สิ่งใหม่ ๆ (Innovation)
และใช้ความรู้ที่เกิดจากการสั่งสมของประสบการณ์และภูมิปัญญา มาร
องรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
2. การเหลี่อมล้ำของความรู้ (Knowledge Divide) จะเกิดทั้งใน
ระดับระหว่างประเทศและในระดับประเทศ ซึ่งเกิดขึ้นจากความไม่เท่า
เทียมกันของความสามารถและความจริงจังในการพัฒนาองค์ความรู้
ที่เกิดจากการศึกษา (Education) ข้อมูลข่าวสาร (Information)
และการวิจัย (Research) ของประเทศหนึ่งเมื่อเทียบกับประเทศอื่น
ๆ และการพัฒนาองค์ความรู้ของคนในประเทศที่มีความแตกต่างกัน
ทำให้ประเทศที่มีการพัฒนาความรู้อย่างต่อเนื่องจะเกิดความได้
เปรียบทางการแข่งขัน (Competitive Advantage) ในสังคม
เศรษฐกิจการเมืองโลกที่อาศัยองค์ความรู้ในการพัฒนามากกว่า
ปัจจัยทางทรัพยากร (Comparative Advantage) ซึ่งก่อให้เกิด
ผลกระทบต่อประเทศต่าง ๆ ในลักษณะคือ
1. การศึกษาเรียนรู้อย่างต่อเนื่องทั้งในระบบและนอกระบบขยายตัวเพิ่มขึ้น
มากจากการเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge Economy) ซึ่ง
ความรู้มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว มีการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใน
ทุกส่วนของภาคการผลิต เพื่อลดต้นทุน เพื่อเพิ่มผลิตภาพ และเพื่อลดการ
พึ่งพิงแรงงานที่ขาดแคลน จำ เป็นที่ประชากรในทุกเพศ ทุกวัย ต้องปรับ
ตัวให้เข้ากับสถานการณ์ดังกล่าวโดยเฉพาะประชากรในวัยทำ งานที่ต้องมี
ความพร้อมและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานที่มี
ความต้องการทักษะและฝี มือ
2. การวิจัยและพัฒนาจะมีความสำคัญมากขึ้น ทั้งในแง่ของปริมาณ
และคุณภาพที่จะต้องเชื่อมโยงกับการพัฒนาในเชิงธุรกิจ โดย
เฉพาะในเรื่องของการรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอ ทันสมัยและ
กระจายอย่างทั่วถึง
3. กำลังการผลิตมากเกิน (Overcapacity) ในสินค้าและบริการ ซึ่งเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุด้วย
กัน ได้แก่ การเข้ามาใหม่ของประเทศกำ ลังพัฒนา เช่น จีน และเม็กซิโก เป็นต้น การหดตัวของ
ความต้องการ (Demand Contract) การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก
อันเนื่องมาจากความก้าวหน้ าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมทั้งการเพิ่มขึ้น
ในความรู้ ความสามารถและทักษะฝีมือแรงงาน ก่อให้เกิดผลกระทบสำคัญ 2 ประการคือ
1. ภาวะ “Global Deflation” ราคาสินค้าส่วนใหญ่ทั่วโลกมีราคาถูกลง โดยเฉพาะ
สินค้าที่สามารถผลิตได้ในประเทศกำ ลังพัฒนาที่มีค่าแรงงานถูก เช่น ประเทศจีน เป็นต้น การ
แข่งขันจึงอยู่ในลักษณะของการลดต้นทุนการผลิต โดยการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อเพิ่ม
ประสิทธิภาพการผลิต หรือการเป็นผู้นำ ในการคิดค้นประดิษฐ์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่าง
ต่อเนื่ อง
2. ภาวะ “Growth with Unemployment” อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกจะ
สูงขึ้น เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในช่วงปี 1960 และ 1970 อันเนื่องจากแรงกดดันทางการเมือง เพื่อ
ให้มีมาตรฐานการครองชีพดีขึ้น การมีนโยบายเศรษฐกิจที่ดีขึ้น การเพิ่มขึ้นในการค้าและการ
ลงทุนกับต่างประเทศ การกระจายตัวของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology: IT)
และภาคเอกชนมีพลวัตร(Dynamic) มากขึ้น
4. มีการพึ่งพาและร่วมมือร่วมใจระหว่างกันมากขึ้น (More Interdependent) ใน
ทุกระดับ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ได้แก่
การขยายตัวขององค์กรทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลกขนาดใหญ่ เช่น
WTO และ IMF เป็นต้น การปรับเปลี่ยนรูปแบบของขั้วอำนาจจาก Bipolar มาเป็น
Multipolar ปัญหาผู้ก่อการร้ายข้ามชาติ (Terrorism) ซึ่งทำ ให้ประเทศต่าง ๆ ต้อง
อยู่ภายใต้ข้อจำกัดมากขึ้น อันนำ ไปสู่ความต้องการที่เพิ่มขึ้นในการเจรจาต่อรอง
และการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศในรูปแบบที่หลากหลายทั้งในระดับ
ทวิภาคี (Bi-lateral) ในระดับภูมิภาค (Regional) และระดับโลกเพื่อสร้างความสม
ดุลย์ของอำนาจทางการเมืองและทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศและภูมิภาคทั้งที่มี
อยู่เดิมและที่เกิดขึ้นใหม่ในระดับประเทศ ถึงแม้รัฐจะเข้าไปมีบทบาทในเวทีโลก
มากขึ้น
สิ่งที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจใน
ยุคกระแสโลกาภิวัตน์
1. ทุน Capital เศรษฐกิจโลกจะต้องเป็นไปตามลัทธิทุนนิยม (Capitalism)
ภายใต้การแข่งขันในลักษณะเสรีนิยม (Liberalism) ซึ่งเป็นลักษณะเศรษฐกิจ
ของโลกตะวันตกที่มีเนื้อหาเน้นการสะสมทุนและการค้าเสรี โดยต่างก็จะให้มีการ
เปิดการค้าระหว่างประเทศให้เป็นการค้าที่ไร้พรมแดนแต่ภายใต้การค้าเสรีนี้
ความได้เปรียบของบริษัทข้ามชาติ ก็จะมีมากกว่าจึงเป็นความเสรีที่ไม่เท่าเทียม
กัน ทุนจะมีการเคลื่อนย้ายไปยังประเทศต่าง ๆ ของโลกที่ให้เงื่อนไขและผล
ประโยชน์ที่ได้กำไรสูงสุด
2. การครอบงำผ่านทางข้อมูล-ข่าวสาร (Dominant) การปฏิวัติทาง
เทคโนโลยีสารสนเทศทำให้มีการเชื่อมโยงสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็ว โลกถูก
เชื่อมด้วยข้อมูลข่าวสารและมักเป็นข้อมูลข่าวสารฝ่ายเดียวจากโลกตะวันตก
หรือจากประเทศซึ่งมีอำนาจเศรษฐกิจและการทหารที่เหนือกว่า โดยการ
ครอบงำและสร้างกระแสข่าวตามที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเมืองและเศรษฐกิจ
ของตะวันตก เป็นการครอบงำทางข่าวสาร
3. ค่านิยม (Value) โลกาภิวัตน์ ได้สร้างค่านิยมผ่านทางข้อมูลข่าวสาร
โดยแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ
ü ค่านิยมทางการเมือง ทุกประเทศในโลกต้องเป็นแนวประชาธิปไตยแบบ
ตะวันตก ซึ่งประเทศต่าง ๆ หากจะต้องมีรูปแบบการเมืองการปกครองใน
แบบเดียวกัน มิฉะนั้นก็จะถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ หรือใช้กำลังทหาร
เข้าไปปลดปล่อยให้เป็นประชาธิปไตย โดยไม่สนใจต่อความพร้อมหรือวิถี
ชีวิตของคนในประเทศเหล่านั้น ซึ่งการเมืองในระบบประชาธิปไตย เมื่อถูก
ผ่านการครอบงำผ่านทางข้อมูลข่าวสารจากโลกตะวันตก
ข้อดีของระบบเศรษฐกิจ
แบบผสม
เป็ นระบบเศรษฐกิจที่ค่อนข้างมีความคล่องตัว
กล่าวคือ มีการใช้กลไกรัฐร่วมกับกลไกราคาใน
การจัดสรรทรัพยากรของระบบ กิจการใดที่กลไก
ราคาสามารถทำหน้ าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐ
ก็จะปล่อยให้เอกชนเป็นผู้ดำเนินการ (ใช้ระบบ
ของการแข่งขัน) แต่ถ้ากิจการใดที่กลไกราคาไม่
สามารถทำหน้ าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพรัฐก็จะ
เข้ามาดำเนินการแทน จะเห็นได้ว่าระบบ
เศรษฐกิจแบบผสมเป็ นระบบเศรษฐกิจที่ผสม
ผสาน กล่าวคือ รวมข้อดีของทั้งระบบเศรษฐกิจ
แบบทุนนิยมและสังคมนิยมเข้าไว้ด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ระบบเศรษฐกิจดังกล่าวก็มีข้อเสีย
ด้วยเช่นกัน
ข้อเสียของระบบเศรษฐกิจ
แบบผสม
1. การมีกำไรและระบบกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินอาจก่อให้
เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางฐานะ และรายได้เช่นเดียว
กับระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
2. การที่รัฐสามารถเข้ามาแทรกแซงตลาดโดยใช้กลไก
รัฐอาจก่อให้เกิดปัญหาการฉ้ อราษฎร์บังหลวง ทำให้เกิด
การบิดเบือน การใช้ทรัพยากรของระบบ เศรษฐกิจเป็นไป
อย่างไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
3. ปัญหาเอกชนไม่กล้าลงทุนอย่างเต็มที่เนื่องจากไม่
แน่ใจในสถานการณ์ทางการเมือง และนโยบายของรัฐบาล
ซึ่งมีความผันผวนและแปรเปลี่ยนได้ง่าย อาจทำให้
เศรษฐกิจเกิดการหยุดชะงัก การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
เป็ นไปอย่างไม่ต่อเนื่ อง
สรุป
โลกาภิวัตน์ได้เชื่อมโยงหลอมรวมความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ของ
โลกให้เป็นอันหนึ่งอันเดียว และเนื่องจากความเจริญก้าวหน้ าทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้มีส่วน
ทำลายพรมแดนระหว่างรัฐที่เป็นอุปสรรคขว้างกั้น และเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมือง
เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม อย่างรวดเร็ว โดยมีผลต่อการเศรษฐกิจของโลก ซึ่งระบบ
เศรษฐกิจในความหมายของผู้เขียน ประกอบด้วย กลุ่มหรือหน่วยเศรษฐกิจ คือ ครัวเรือน ธุรกิจ
หรือบริษัทและองค์กรรัฐบาล โดยหน่วยต่าง ๆ มีความสัมพันธ์กัน เราเรียกว่า การหมุนเวียนใน
ระบบเศรษฐกิจ การรวมตัวของหน่วยเศรษฐกิจ จะกลายเป็นสถาบันเศรษฐกิจหรือเราเรียกว่า
ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งแบ่งออกเป็น 4 ลักษณะ คือ ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมหรือเสรีนิยม ระบบ
เศรษฐกิจแบบสังคมนิยม ระบบเศรษฐกิจแบบ ระบบเศรษฐกิจแบบผสม ซึ่งในระบบเศรษฐกิจที่
เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วนั้นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับระบบเศรษฐกิจในยุคกระแสโลกาภิวัตน์ ได้แก่ ทุน
Capital , การครอบงำผ่านทางข้อมูล-ข่าวสาร (Dominant) และค่านิยม (Value) โลกาภิวัฒน์ ได้
สร้างค่านิยมผ่านทางข้อมูลข่าวสาร โดยแบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ คือ ค่านิยมทางการเมือง, ค่านิยม
ทางเศรษฐกิจ และค่านิยมทางสังคม ดังนั้นผลกระทบที่มีต่อระบบเศรษฐกิจในยุคกระแสโลกาภิวัต
น์ ได้แก่ ลักษณะการเปลี่ยนแปลงของประชากร (The New Demographics) ประชากรของโลกจะ
เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเขตเมืองมีแนวโน้ มประชากรโลกจะมีการเปลี่ยนแปลงทั้งในเชิงโครงสร้าง
และพฤติกรรม โดยประชากรสูงอายุ (มากกว่า 50 ปีขึ้นไป) จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ในขณะที่ประชากร
วัยหนุ่มสาว (Young Generation) จะมีสัดส่วนลดลง โดยเฉพาะในประเทศที่พัฒนาแล้ว การเหลี่
อมล้ำของความรู้ (Knowledge Divide) จะเกิดทั้งในระดับระหว่างประเทศและในระดับประเทศ ซึ่ง
เกิดขึ้นจากความไม่เท่าเทียมกันของความสามารถและความจริงจังในการพัฒนาองค์ความรู้ที่เกิด
จากการศึกษา (Education) ข้อมูลข่าวสาร (Information) และการวิจัย (Research) ของประเทศ
หนึ่งเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ และการพัฒนาองค์ความรู้ของคนในประเทศที่มีความแตกต่างกัน
ทำการศึกษาเรียนรู้อย่างต่อเนื่ องทั้งในระบบและนอกระบบขยายตัวเพิ่มขึ้ นมากจากการเข้าสู่ระบบ
เศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge Economy) การวิจัยและพัฒนาจะมีความสำคัญมากขึ้น ทั้งใน
แง่ของปริมาณและคุณภาพที่จะต้องเชื่อมโยงกับการพัฒนาในเชิงธุรกิจ โดยเฉพาะในเรื่องของการ
รับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เพียงพอ ทันสมัยและกระจายอย่างทั่วถึง กำลังการผลิตมากเกิน
(Overcapacity) ในสินค้าและบริการ ซึ่งเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุด้วยกัน ได้แก่ การเข้ามาใหม่ของ
ประเทศกำ ลังพัฒนา เช่น จีน และเม็กซิโก เป็นต้น มีการพึ่งพาและร่วมมือร่วมใจระหว่างกันมาก
ขึ้น (More Interdependent) ในทุกระดับ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์
(Geopolitics) ได้แก่ การขยายตัวขององค์กรทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองระดับโลกขนาดใหญ่
เช่น WTO และ IMF เป็นต้น ในการสร้างความร่วมมือ เพื่อแสวงหาประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นใน
การเคลื่อนไหวของข้อมูล เทคโนโลยีสมัยใหม่ การอพยพ และอิทธิพลของภาคธุรกิจและองค์กรที่
ไม่แสวงหากำไร