The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ลอยกระทง

ลอยกระทง

ลอยกระทง เรอื พระราชพิธี

วฒั นธรรมน้ําร่วมราก

พพิ ฒั น์ กระแจะจนั ทร์

บรรณาธกิ าร

ผเู้ ขยี น:

สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ
ศริ วิ รรณ วรชยั ยทุ ธ

กติ ตพิ งศ์ บุญเกดิ
ศานติ ภกั ดคี าํ

สทิ ธพิ ร เนตรนิยม
พพิ ฒั น์ กระแจะจนั ทร์

ธรี ะวฒั น์ แสนคาํ
สพุ จน์ นาครนิ ทร์
รงุ่ โรจน์ ภริ มยอ์ นุกลู

จดั โดย ฝ่ายวชิ าการ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์
รว่ มกบั สาํ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร



 

ลอยกระทง เรอื พระราชพิธี

วฒั นธรรมน้ํารว่ มราก

โครงการศลิ ป์ เสวนาพเิ ศษ ลอยกระทง เรอื พระราชพธิ ี วฒั นธรรมน้ํารว่ มราก
จดั เสวนาวนั พธุ ท่ี ๒๕ พฤศจกิ ายน พ.ศ.๒๕๕๘ เวลา ๑๓.๐๐-๑๖.๓๐ น.
ณ หอ้ งประชมุ รมิ น้ํา คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ทา่ พระจนั ทร์

ลขิ สทิ ธเิ ์ป็นของผเู้ ขยี น, คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์
และสาํ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

บรรณาธกิ าร : พพิ ฒั น์ กระแจะจนั ทร์

ผเู้ ขยี น : สจุ ติ ต์ วงษ์เทศ, ศริ วิ รรณ วรชยั ยทุ ธ, กติ ตพิ งศ์ บุญเกดิ ,
ศานติ ภกั ดคี าํ , สทิ ธพิ ร เนตรนิยม, พพิ ฒั น์ กระแจะจนั ทร,์
ธรี ะวฒั น์ แสนคาํ , สพุ จน์ นาครนิ ทร,์ รงุ่ โรจน์ ภริ มยอ์ นุกลู

คณะทาํ งาน นายการณุ สกุลประดษิ ฐ์

เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน

นายบญุ รกั ษ์ ยอดเพชร

ผชู้ ว่ ยเลขาธกิ ารคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ทฐ่ี าน

นางสกุ ญั ญา งามบรรจง

ผอู้ าํ นวยการสาํ นกั วชิ าการและมาตรฐานการศกึ ษา

นายเฉลมิ ชยั พนั ธเ์ ลศิ

ผอู้ าํ นวยการกลุม่ สถาบนั สงั คมศกึ ษา

ออกแบบปกและรปู เลม่ : พพิ ฒั น์ กระแจะจนั ทร,์ ชชั พร อุตสาหพงษ์

พมิ พค์ รงั้ แรก : พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘
จาํ นวนพมิ พ์ : ๑,๐๐๐ เลม่

จดั พมิ พโ์ ดย : สาํ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
รว่ มกบั ฝ่ายวชิ าการ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์

พมิ พท์ ่ี : ห.จ.ก. โรงพมิ พอ์ กั ษรไทย



 

คาํ นํา

วนั ลอยกระทง ทถ่ี อื เป็นวนั สําคญั ท่เี กดิ ขน้ึ เป็นประจําทุกปี มคี วามทรงจําร่วมชุด
หน่ึงทเ่ี กย่ี วกบั ประเพณกี ารลอยกระทง นกั เรยี นอาจจาํ เหตุการณ์ของวนั เพญ็ เดอื นสบิ สอง มี
การลอยกระทงรอ้ งเพลงวนั ลอยกระทง ชมการประกวดกระทงและนางนพมาศ และงานร่นื
เรงิ แหง่ ค่าํ คนื แหง่ ความสขุ น้ี อกี มมุ หน่ึงในวนั ลอยกระทงและเรอ่ื งราวทอ่ี ยเู่ บอ้ื งหลงั วนั สาํ คญั
น้ี กย็ งั คงมพี รมแดนความรูอ้ ่นื ๆ ทช่ี วนใหค้ ดิ และสบื คน้ ต่อไปไดอ้ กี มาก จงึ อาจกล่าวไดว้ ่า
เหตุการณ์ “วนั ลอยกระทง” เป็นสอ่ื การเรยี นรทู้ ท่ี รงพลงั ทจ่ี ะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นไดเ้ รยี นรูเ้ กย่ี วกบั
เรอ่ื งวนั ลอยกระทงทล่ี กึ ซง้ึ มากขน้ึ มากกวา่ มองเป็นเพยี งงานรน่ื เรงิ หน่ึง ปล่อยใหผ้ า่ นเลยไป
แลว้ รอคอยใหห้ มนุ เวยี นกลบั มาใหมใ่ นอกี รอบปี โดยมไิ ดเ้ รยี นรอู้ ะไรกบั เหตุการณ์ทเ่ี กดิ ขน้ึ

วนั ลอยกระทง ปี ๒๕๕๘ น้ี ตรงกบั วนั พุธท่ี ๒๕ พฤศจกิ ายน พ.ศ.๒๕๕๘ คณะ
ศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ ไดจ้ ดั ทาํ โครงการศลิ ป์ เสวนาพเิ ศษ เรอ่ื ง “ลอยกระทง
เรอื พระราชพธิ ี วฒั นธรรมน้ําร่วมราก” เพอ่ื เป็นการสง่ เสรมิ วฒั นธรรมไทยและประเทศเพอ่ื น
บา้ นเน่ืองในวนั ลอยกระทง สาํ นักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน ไดพ้ จิ ารณาเหน็
ว่าจะเป็นโอกาสในการมสี ่วนร่วมเผยแพร่ความรู้ด้านประวตั ิศาสตร์แก่ผู้ท่สี นใจทางด้าน
ประวตั ศิ าสตร์ และนกั เรยี นในสงั กดั สาํ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน ทงั้ ทศิ ทาง
การทํางานยงั สอดคลอ้ งกบั นโยบายของรฐั บาลในการส่งเสรมิ การเรยี นรูป้ ระวตั ศิ าสตร์ไทย
การเตรยี มความพรอ้ มเขา้ สกู่ ารเป็นประชาคมอาเซยี น และนโยบาย “ลดเวลาเรยี น เพม่ิ เวลา
รู”้ ทใ่ี หม้ กี ารลงมอื ปฏบิ ตั ิ สบื คน้ ทางดา้ นประวตั ศิ าสตร์ ใหผ้ ูเ้ รยี นไดม้ โี อกาสเรยี นรูใ้ นโลก
ของความเป็นจรงิ โดยไดเ้ รยี นรจู้ ากเหตุการณ์ตา่ งๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ

สาํ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน จงึ ไดส้ นับสนุนการจดั พมิ พห์ นังสอื
“ลอยกระทง เรือพระราชพิธี วฒั นธรรมน้ําร่วมราก” สาํ หรบั ใชใ้ นโครงการศลิ ป์ เสวนา
พิเศษ และส่วนหน่ึงจะส่งให้แก่สถานศึกษาในสังกัดและสถานศึกษาอ่ืนๆ เพ่ือใช้เป็ น
เอกสารอา้ งองิ เอกสารเสรมิ ความรดู้ า้ นประวตั ศิ าสตรส์ าํ หรบั ครผู สู้ อน และจุดประกายใหเ้ กดิ
การศกึ ษาเรอ่ื งราวทางดา้ นประวตั ศิ าสตรใ์ นมติ ขิ องทอ้ งถน่ิ กลมุ่ ชาตพิ นั ธุ์ ประเทศเพอ่ื นบา้ น
ทเ่ี ชอ่ื มโยงกนั ในลกั ษณะของการเรยี นรแู้ บบสหสาขาวทิ ยาการ

เน้ือหาในเอกสารประกอบด้วยบทความและภาพประกอบท่นี ่าสนใจ จํานวน ๙
เร่อื ง ประกอบดว้ ย ๑) ลอยกระทง, เห่เรอื มาจากไหน? ๒) ปลอยโคม-ลอยกระทงในแบบ
วฒั นธรรมจนี ๓) เทศกาลทปี าวลี และเทวทปี าวลขี องอนิ เดยี ๔) ประเพณีลอยกระทงกรุง
กมั พชู า ๕) “ตะซาวงไ์ ดง”์ จุดไฟตามประทปี ในพมา่ ๖) ลอยสะเปา ลอยประทปี ยเ่ี ป็งลา้ นนา
๗) เรอื ไฟ ลอยกระทงอสี าน เรอ่ื งเล่าจากความทรงจาํ ๘) ลอยกระทงสโุ ขทยั จากคาํ บอกเล่า



 

ของชาวสุโขทยั และ ๙) เรอื สง่ วญิ ญาณ เรอื พระราชพธิ ี จากอดตี ถงึ ปัจจุบนั ซ่งึ เป็นเอกสาร
รวมบทความทเ่ี ขยี นโดยนกั วชิ าการ และคณาจารยผ์ มู้ ปี ระสบการณ์ดา้ นประวตั ศิ าสตร์ ทม่ี า
รวมตวั กนั สรา้ งสรรคผ์ ลงานใหเ้ ป็นตน้ ทุนความรู้ สาํ หรบั ใชใ้ นการเรยี นรตู้ ่อไป

การเปิดเล่มดว้ ยคาํ ถามสาํ คญั ทว่ี า่ “ลอยกระทง, เห่เรอื มาจากไหน?” ของสุจติ ต์
วงษเ์ ทศ เป็นการตงั้ คาํ ถามใหเ้ กดิ กระหายใครร่ ู้ ใหส้ บื คน้ เอกสารหลกั ฐานต่างๆ มาเชอ่ื มรอ้ ย
เขา้ ดว้ ยกนั ดว้ ยการตงั้ ประเดน็ ขอ้ เสนอ ใหเ้ กดิ การถกเถยี งและสบื คน้ ต่อไป เรยี กวา่ เป็นจุด
ตงั้ ตน้ กระบวนการเรยี นรูแ้ ละการคดิ แบบนักประวตั ศิ าสตร์ ทค่ี รูและผเู้ รยี นระดบั การศกึ ษา
ขนั้ พน้ื ฐาน สมควรไดต้ ดิ ตงั้ คณุ สมบตั เิ ชน่ น้ี ทงั้ การเป็นนกั คดิ นักตงั้ คาํ ถาม นกั เสาะแสวงหา
ความรูท้ ใ่ี หเ้ กดิ ขน้ึ ในตน ซ่งึ จะเป็นเคร่อื งมอื สาํ คญั ทจ่ี ะตดิ ตวั ไปสําหรบั เรยี น โลกกวา้ งและ
เร่ืองอ่ืนๆ ได้อย่างหลากหลาย ซ่ึงอาจกล่าวได้ว่าเป็นการพฒั นา “สมรรถนะและทกั ษะ
ศตวรรษท่ี ๒๑” ก็ย่อมได้ ซ่ึงประเด็นน้ีอาจกล่าวได้ว่าเป็ นมิติใหม่ของการศึกษา
ประวตั ศิ าสตร์ สําหรบั การศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์ของการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน ท่ยี งั มคี นจํานวน
หน่ึงเข้าใจคลาดเคล่อื นว่า การเรยี นวชิ าประวตั ิศาสตร์เป็นแต่เพยี งการเรยี นเน้ือหาและ
เร่อื งราวจํานวนมาก การจดจําขอ้ มูลท่เี ตม็ ไปดว้ ยรายช่อื ผูค้ น และวนั เวลาในอดตี และไม่
สามารถนําไปประยกุ ตห์ รอื ปรบั ใชไ้ ดเ้ ลย

สําหรับบทอ่ืนๆ นัน้ นับว่าเป็ นการรวบรวมผู้มีความชํานาญและเต็มไปด้วย
ประสบการณ์ในสาขานัน้ ๆ มาเขยี นในหวั เร่ืองเดียวกัน ผ่านจุดร่วมท่ีเรียกว่า “วนั ลอย
กระทง” ซ่ึงถือเป็นแบบอย่างท่ดี ีในสงั คมประชาธิปไตย ท่ีแต่ละบุคคลต่างพฒั นาความรู้
ความสามารถของตนใหล้ กึ ซ้งึ กวา้ งขวาง และนําความรูค้ วามสามารถนัน้ มารวมกนั ใหเ้ กดิ
พลงั ในการขบั เคล่อื นการเรยี นรู้ให้แก่สงั คมในวงกว้างได้ การเรียนรู้ธรรมเนียมการลอย
กระทงทัง้ ของล้านนา อีสาน พม่า เขมร จีน อินเดีย ทัง้ ท่ีเป็นวัฒนธรรมราษฎร์ และ
วฒั นธรรมหลวง เป็นการเปิดพน้ื ทก่ี ารเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรใ์ หก้ วา้ งขวางขน้ึ หลายมติ ิ หลาย
ระดับ รวมทงั้ ข้ามขอบเขตพรมแดนเส้นแบ่งประเทศ ให้เข้าใจความเป็นพ่ีน้องร่วมท่ีมี
วฒั นธรรมร่วมกัน จะเรียกว่าเป็น “ความหลากหลายทางวฒั นธรรม” หรือ “ความเป็น
ประชาคมอาเซยี น” กย็ อ่ มได้

ในนามของสาํ นักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน ขอขอบคุณคณะผเู้ ขยี น
ทุกท่านท่ีเปิดพรมแดนความรู้เก่ียวกับการลอยกระทง และธรรมเนียมท่ีเก่ียวข้องกับ
วฒั นธรรมของผูค้ นทอ่ี าศยั ในดนิ แดนลุ่มน้ําต่างๆ ในภูมภิ าคอาเซยี นและเอเชยี ซ่งึ เป็นการ
ต่อยอดความรคู้ วามเขา้ ใจของผคู้ นใหล้ กึ ซง้ึ มากขน้ึ

ขอขอบคุณ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ท่ีให้เกียรติสํานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน ได้มีส่วนร่วมในการจุดประกายความรู้ให้แก่สงั คม
โดยรวม ด้วยการมสี ่วนร่วมในการจดั พิมพ์หนังสือฉบบั น้ี ซ่ึงจะเป็นพลงั ช่วยขบั เคล่ือน



 

คุณภาพการเรยี นรู้ด้านประวตั ิศาสตร์ของสถานศึกษาในสงั กดั สํานักงานคณะกรรมการ
การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน ทม่ี หี น้าทพ่ี ฒั นาคุณภาพนกั เรยี นใหเ้ ป็นพลเมอื งของประเทศ

หวงั เป็นอย่างยง่ิ ว่า หนังสอื “ลอยกระทง เรือพระราชพิธี วฒั นธรรมน้ําร่วม
ราก” จะเกดิ คุณูปการแก่การศกึ ษาดา้ นประวตั ศิ าสตรโ์ ดยรวม และจะเป็นการเรม่ิ ตน้ ทาํ งาน
เรยี นรดู้ า้ นประวตั ศิ าสตรใ์ นเรอ่ื งอ่นื ๆ ต่อไป

(นายการณุ สกุลประดษิ ฐ)์
เลขาธกิ ารคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน



 

คาํ นําบรรณาธิการ

ประเทศไทยไม่ได้เป็นประเทศเดยี วท่ีมปี ระเพณีลอยกระทง แต่มีด้วยกนั หลาย
ประเทศ หลายวฒั นธรรม ในบางวฒั นธรรมไมไ่ ดล้ อยกระทง แต่บชู าไฟตามประทปี บา้ งลอย
เรอื ไฟ ดงั นัน้ หนังสอื รวมบทความเล่มน้ีเป็นการรวบรวมขอ้ มลู ประเพณตี ่างๆ ทส่ี มั พนั ธก์ บั
ประเพณีลอยกระทงของไทย ทงั้ ในประเทศอนิ เดยี จนี กมั พชู า พมา่ รวมถงึ ในประเทศไทย
เอง ไดแ้ ก่ ทางภาคเหนือ (ลา้ นนา) ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ (อสี าน) และสโุ ขทยั ดว้ ย

หลกั การค้นคว้าแต่ละบทความใช้ทงั้ วธิ กี ารศกึ ษาจากเอกสารทางประวตั ิศาสตร์
ประสบการณ์ของผู้เขียนเองซ่ึงคลุกคลีอยู่ในวัฒนธรรมนัน้ ๆ และใช้วิธีการทางด้าน
ประวตั ศิ าสตรบ์ อกเลา่ ซง่ึ ทาํ ใหเ้ ราเหน็ ถงึ ความหลากหลายของประเพณีลอยกระทงในแต่ละ
ท้องท่มี ากขน้ึ และต้องการช้ใี ห้เหน็ ว่าคําบอกเล่านัน้ ก็เป็นหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตร์ท่มี ี
คุณคา่ ประวตั ศิ าสตรไ์ มจ่ าํ เป็นตอ้ งเป็นเรอ่ื งของคนตวั ใหญ่เทา่ นนั้ แตป่ ระวตั ศิ าสตรเ์ ป็นเรอ่ื ง
ทม่ี าจากคนตวั เลก็ ในสงั คมไดเ้ ช่นกนั ในเม่อื ทุกคนเป็นเจา้ ของชาติ ทุกคนย่อมเป็นเจา้ ของ
ประวตั ศิ าสตร์ไดเ้ ช่นเดยี วกนั หนังสอื เล่มน้ีจงึ มที งั้ เร่อื งของวฒั นธรรมหลวงและราษฎร์อยู่
ดว้ ยกนั

อย่างไรกต็ าม เม่อื พูดถงึ ประเพณีลอยกระทง หลายท่านมกั นึกถงึ เฉพาะการลอย
กระทงและโคมไฟเป็นส่วนใหญ่ ตามภาพทเ่ี หน็ กนั ไดท้ วั่ ไปในส่อื ท่องเทย่ี ว แต่ในความจรงิ
แล้ว สาเหตุท่หี ลายวฒั นธรรมมปี ระเพณีใหญ่ในช่วงเวลาน้ีก็เพราะถอื เป็นช่วงการเปล่ยี น
ผ่านของฤดูกาลจากฤดูฝนเขา้ ส่ฤู ดูแลง้ อกี ทงั้ เป็นปลายฤดูการเกบ็ เกย่ี ว ขา้ วออกรวง หรอื
เป็นระยะก่อนการขน้ึ ปีใหม่ ดงั นัน้ จะพบวา่ ในบางวฒั นธรรม การลอยกระทงทาํ ขน้ึ เพ่อื อุทศิ
อาหารใหก้ บั บรรพบุรุษหรอื ผี บา้ งใชข้ า้ วใหม่ลอยกระทง บา้ งเป็นการบูชาสง่ิ ศกั ดสิ์ ทิ ธติ์ าม
ความเชอ่ื ทางศาสนา เป็นตน้

ในพธิ กี รรมของการบชู าแมน่ ้ําทถ่ี อื วา่ มคี วามศกั ดสิ์ ทิ ธิ์ เพราะชนบางกลุม่ เชอ่ื วา่ เป็น
เสน้ ทางผา่ นไปสโู่ ลกบาดาล ทําใหเ้ กดิ ประเพณีในการลอยเรอื ขน้ึ เช่นทางลา้ นนามกี ารลอย
เรอื สะเปา (สาํ เภา) ขนาดเลก็ ใหญ่ในวนั ลอยกระทง โดยภายในเรอื สะเปาจะมกี ารใส่อาหาร
และเครอ่ื งใชเ้ พอ่ื ใหท้ าน ถา้ เลก็ หน่อยกใ็ สเ่ พยี งขา้ วกบั อาหาร แนวคดิ ในการใชเ้ รอื เพอ่ื นําพา
เครอ่ื งเซ่นไปยงั โลกหน้าน้ีสามารถยอ้ นกลบั ไปไดถ้ งึ สมยั ก่อนประวตั ศิ าสตร์ และในทา้ ยทส่ี ุด
ไดพ้ ฒั นามาเป็นเรอื พระราชพธิ ที พ่ี บทงั้ ไทยและกมั พชู า ดงั นัน้ ในกมั พชู าจะพบวา่ มพี ระราช
พธิ ีพายเรือ และลอยประทีปด้วยเรือ ประเพณีลอยกระทงและลอยเรือทงั้ สองอย่างจึงมี
ความสมั พนั ธก์ นั อยา่ งน่าสนใจ



 

แต่ถา้ ใหส้ รุปสนั้ ๆ ในตอนน้ีคอื ทงั้ ลอยกระทง ลอยประทปี และลอยเรอื คอื พธิ กี รรม
บูชาแม่น้ํา บูชาผี และสมั พนั ธ์กบั ความคดิ เร่อื งดนิ แดนหลงั ความตาย ต่อเม่อื ได้มกี ารรบั
ศาสนาจากอนิ เดยี เขา้ มาจงึ มกี ารอธบิ ายดว้ ยความเชอ่ื ทางศาสนาจากภายนอกแทน แต่กย็ งั
จะไดเ้ หน็ ร่องรอยท้งิ ไวเ้ ช่นทางลา้ นนายงั คงเช่อื ว่าการลอยกระทงคอื การส่งเคราะห์และให้
ทานกบั ผี เป็นตน้

ไมว่ า่ อยา่ งไรลอยกระทงไทยมาจากไหนยงั ไมม่ ใี ครทราบแน่ชดั ดงั นนั้ หนังสอื เลม่ น้ี
จงึ ใหข้ อ้ มูลจากวฒั นธรรมต่างๆ ในเขตประเทศอาเซยี นและนอกอาเซยี น เช่น อนิ เดยี และ
จนี ทม่ี กั อา้ งกนั วา่ เป็นตน้ เคา้ ของประเพณลี อยกระทง และยงั ใหภ้ าพกวา้ งของขอ้ มลู ในจาก
ประเทศต่างๆ ซ่งึ กค็ งขน้ึ อยู่กบั ดุลยพนิ ิจของผูอ้ ่านว่าจะตคี วามกนั อย่างไร ทว่าธรรมชาติ
อย่างหน่ึงของวชิ าประวตั ศิ าสตร์โบราณคดคี อื ความรู้ย่อมสามารถเปล่ยี นแปลงได้หากมี
ข้อมูลใหม่หรือแนวคดิ ใหม่ท่ีช่วยวเิ คราะห์ แต่การจะตีความทางประวตั ิศาสตร์ใดๆ นัน้
จําเป็นตอ้ งยนื อยู่บนพ้นื ฐานของหลกั ฐานท่นี ่าเช่อื ถอื พสิ ูจน์ได้ ดงั นัน้ การคาดการณ์โดย
ขาดหลกั ฐาน บา้ งเช่อื ต่อๆ กนั มาอาจดว้ ยเพราะถูกสงั คมกล่อมเกลามาร่วมรอ้ ยปี จงึ เป็น
เรอ่ื งทต่ี อ้ งคดิ ทบทวน หากเขา้ ใจไมถ่ ูกตอ้ งกค็ วรตอ้ งรเิ รม่ิ แกไ้ ข หรอื เราจะปลอ่ ยใหผ้ ดิ ต่อไป
แลว้ อนาคตจะเป็นเช่นไรในเม่อื อดตี กบั ปัจจุบนั สร้างพนั ธะลูกโซ่ท่เี ป็นปัญหา ส่งผลทําให้
สงั คมไทยไมส่ ามารถขยายพรมแดนความรไู้ ดโ้ ดยงา่ ย

สุดทา้ ยน้ี ในฐานะของผรู้ บั ผดิ ชอบโครงการศลิ ป์ เสวนาพเิ ศษ: ลอยกระทง เรอื พระ
ราชพิธี วัฒนธรรมน้ําร่วมราก ขอขอบพระคุณนายการุณ สกุลประดิษฐ์ เลขาธิการ
คณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน นายบุญรกั ษ์ ยอดเพชร ผชู้ ว่ ยเลขาธกิ ารคณะกรรมการ
การศกึ ษาขนั้ พน้ื ทฐ่ี าน นางสุกญั ญา งามบรรจง ผูอ้ ํานวยการสํานักวชิ าการและมาตรฐาน
การศกึ ษา และนายเฉลมิ ชยั พนั ธเ์ ลศิ ผอู้ ํานวยการกลุ่มสถาบนั สงั คมศกึ ษา ทส่ี าํ คญั ดว้ ยคอื
อาจารย์ ดร.ภาสพงศ์ ศรพี จิ ารณ์ รองคณบดฝี ่ ายวชิ าการ คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั
ธรรมศาสตร์ ทส่ี นบั สนุนโครงการน้ี

พพิ ฒั น์ กระแจะจนั ทร์

อาจารยป์ ระจาํ ภาควชิ าประวตั ศิ าสตร์ คณะศลิ ปศาสตร์
๑๘ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๘ รมิ น้ําทา่ จนี



 



 

สารบญั ๓

คาํ นํา ๙
คาํ นําบรรณาธกิ าร ๑๑
สารบญั
๒๙
ลอยกระทง, เห่เรือ มาจากไหน?
สจุ ติ ต์ วงษ์เทศ ๓๙

ลอยโคม-ลอยกระทงในแบบวฒั นธรรมจีน ๔๙
ศริ วิ รรณ วรชยั ยทุ ธ
๕๗
เทศกาลทีปาวลี และเทวทีปาวลีของอินเดีย
กติ ตพิ งศ์ บญุ เกดิ ๖๕

ประเพณีลอยกระทงกรงุ กมั พชู า ๘๕
ศานติ ภกั ดคี าํ
๙๓
“ตะซาวงไ์ ดง”์ จดุ ไฟตามประทีปในพม่า
สทิ ธพิ ร เนตรนิยม ๙๙

ลอยสะเปา ลอยประทีป ยี่เป็งล้านนา
พพิ ฒั น์ กระแจะจนั ทร์

เรือไฟ ลอยกระทงอีสาน เรื่องเล่าจากความทรงจาํ
ธรี ะวฒั น์ แสนคาํ

ลอยกระทงสโุ ขทยั จากคาํ บอกเล่าของชาวสโุ ขทยั
สพุ จน์ นาครนิ ทร์

เรอื ส่งวิญญาณ เรือพระราชพิธี จากอดีตถึงปัจจบุ นั
รงุ่ โรจน์ ภริ มยอ์ นุกลู



 

๑๐

 

ลอยกระทง, เห่เรือ มาจากไหน?

 
 

สจุ ิตต์ วงษ์เทศ

มตชิ น

ประเพณีพธิ กี รรมประดษิ ฐ์ใหม่ หรอื สรา้ งใหม่ได้เร่อื ยๆ ตามต้องการของรฐั และ
ชมุ ชน แต่ละยุคสมยั ของตน

ถ้าไม่เป็นท่นี ิยมยกย่อง แล้วไม่มใี ครทําตาม ก็เลกิ ราลม้ หายไปเอง จนกว่าจะมี
สง่ิ ประดษิ ฐใ์ หมม่ าแทน

แต่ตอ้ งบอกความจรงิ ต่อสงั คมว่าเป็นประเพณีประดษิ ฐ์ เป็นสง่ิ สรา้ งใหม่ โดยไม่
หลอกใหเ้ ชอ่ื วา่ เป็นสงิ่ มมี าเก่าแก่แต่ดงั้ เดมิ โดยพระเจา้ แผน่ ดนิ ยคุ โน้นน้ีนนั้

๑. ลอยกระทง เริ่มมีครงั้ แรก สมยั ร.๓

ลอยกระทงทท่ี าํ สบื เน่ืองถงึ ทุกวนั น้ี เป็นประเพณีประดษิ ฐห์ รอื สรา้ งใหม่ เรม่ิ มคี รงั้
แรกสมยั ร.๓ ยุคตน้ กรุงรตั นโกสนิ ทร์ (ผูร้ ูป้ ระเพณีจนี เชอ่ื ว่าไดแ้ นวคดิ จากจนี แต่ยงั
ไมไ่ ดแ้ สดงหลกั ฐาน)

แลว้ สรา้ งคาํ อธบิ ายใหมใ่ หด้ สู มจรงิ โดยอา้ งองิ ยอ้ นยุคถงึ สโุ ขทยั ๓ เรอ่ื ง ดงั น้ี
๑. นางนพมาศ รเิ รม่ิ ประดษิ ฐก์ ระทงทาํ จากใบตอง (กลว้ ย) กอ่ นหน้านนั้ ไมม่ ี
๒. พระรว่ งเจา้ กรุงสโุ ขทยั ทรงลอยกระทงครงั้ แรก กอ่ นหน้านนั้ ไมม่ ี
๓. ลอยกระทง เน่ืองในศาสนาพุทธ เพอ่ื อุทศิ บชู าพระพุทธบาทซง่ึ ประดษิ ฐานยงั
นมั มทานที
หลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีไม่สนับสนุ นคําอธิบายทัง้ ๓ เร่ืองนั้น
[รายละเอยี ดมใี นหนงั สอื ไมม่ นี างนพมาศ ไมม่ ลี อยกระทง สมยั สโุ ขทยั (สุจติ ต์ วงษ์เทศ
บรรณาธกิ าร) สาํ นกั พมิ พม์ ตชิ น พมิ พค์ รงั้ ทส่ี าม พ.ศ.๒๕๔๕] จะสรปุ มาดงั น้ี
๑. นางนพมาศเป็นหนงั สอื มนี ิยายแต่งใหมส่ มยั ร.๓ เป็นคมู่ อื ลกู สาวผดู้ ที ถ่ี วายตวั
เขา้ รบั ราชการในวงั เป็นสนมนางบาํ เรอ
๒. ลอยกระทง สมยั กรุงเทพฯ สืบจากลอยโคมในน้ําไหล สมัยอยุธยา ซ่ึงมี
พฒั นาการจากพธิ กี รรมขอขมาน้ําและดนิ ยคุ ดกึ ดาํ บรรพ์

๑๑

 

๓. ลอยกระทง มรี ากเหงา้ เน่ืองในศาสนาผี ไม่พุทธ แต่สมยั หลงั โยงให้เก่ยี วกบั
พทุ ธ

สมุดไทยดําเรอื่ งนางนพมาศ ซึง่ กรมพระ
สมมตอมรพนั ธุ์ รบั สงั่ ว่าเป็นลายพระหตั ถ์
ร.๓ (เจ้าพระยารัตนบดินทร์ มอบให้หอ
พระสมดุ วชริ ญาณ)

“หนังสือเรือ่ งนางนพมาศ ซึง่ ฉันเข้าใจว่าพระบาทสมเดจ็ พระนัง่ เกล้า
เจา้ อยหู่ วั ทรงพระราชนิ พนธ”์

(สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดาํ รงราชานุภาพ ทรงมลี ายพระหตั ถ์ จาก Cinnamon Hall
ท่ี Penang เม่อื วนั ท่ี ๒๘ มนี าคม พ.ศ.๒๔๗๙ ถงึ พระยาอนุมานราชธน ในหนังสอื ให้
พระยาอนุมาน : มลู นิธเิ สฐยี รโกเศศ-นาคะประทปี จดั พมิ พ์ เม่อื ๑๔ ธนั วาคม ๒๕๒๑
หน้า ๕๖)

สระนํ้าในเมืองเก่าสโุ ขทยั ไมข่ ดุ ไว้ลอยกระทง

สโุ ขทยั เมอื งแลง้ น้ํา ตงั้ บนทด่ี อนเชงิ เขา จงึ ตอ้ งขดุ ตระพงั เกบ็ น้ํา
ตระพงั ในเมอื งเก่าสุโขทยั เป็นสระน้ําศกั ดสิ ์ ทิ ธปิ ์ ระจําวดั กบั วงั เพ่อื กกั เกบ็ น้ําไว้
ใชใ้ นชวี ติ ประจาํ วนั ไมไ่ ดข้ ดุ ไวล้ อยกระทง หรอื เผาเทยี นเลน่ ไฟ
ลอยกระทง เป็นประเพณีของบรเิ วณทร่ี าบลมุ่ มนี ้ําไหล
“การเสริมสร้างประเพณีใหม่ๆ ข้นึ ณ แหล่งโบราณสถาน เพ่ือวัตถุประสงค์
ทางการทอ่ งเทย่ี ว เชน่ การจดั ลอยกระทงทส่ี โุ ขทยั มใิ ชค่ วามผดิ -------
แต่ทุกฝ่ ายท่เี ก่ียวขอ้ งควรได้ตระหนักถึงความจรงิ ทางประวตั ิศาสตร์ท่เี ราต้อง
รบั ผดิ ชอบส่งต่อให้สาธารณชน ว่าประเพณีน้ีทส่ี ุโขทยั เป็นของปรุงแต่งขน้ึ ในปัจจุบนั น้ี
เทา่ นนั้
ไม่เคยมหี ลกั ฐานใดๆในประวตั ิศาสตร์สุโขทยั ว่าการลอยกระทงเป็นประเพณี
รน่ื เรงิ ของชุมชนซง่ึ ตงั้ หลกั แหล่งอยู่ในทแ่ี ลง้ น้ําโดยธรรมชาติ จนตอ้ งจดั ระบบหาทางนํา
น้ํามาใช้ ซ่ึงเราได้เห็นประจกั ษ์พยานจากสง่ิ ก่อสร้างบนผิวดนิ อันปรากฏร่องรอยอยู่

๑๒

 

ชดั เจน” (ธดิ า สาระยา: การอนุรกั ษ์สุโขทยั ฯ ในวารสารเมอื งโบราณ ปีที่ ๑๓ ฉบบั ที่ ๓
กรกฎาคม-กนั ยายน ๒๕๓๐ หน้า ๒๒)

ฝงู นางนพมาศลอยกระทงลงในตระพงั (สระน้ํา) และเผาเทยี น เล่นไฟ ประเพณีประดษิ ฐท์ อ่ี ุทยาน
ประวตั ศิ าสตรส์ โุ ขทยั กรมศลิ ปากรเรมิ่ จดั ครงั้ แรกราว พ.ศ. ๒๕๒๐

ขอขมาธรรมชาติ ในศาสนาผี

ลอยกระทง มตี ้นทางจากประเพณีพธิ กี รรมประจําฤดูน้ําหลากท่วมท้น เน่ืองใน
ศาสนาผี ราว ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว เพ่อื ขอขมาเจ้าแม่ท่ีสงิ อยู่ในน้ําและดนิ (ก็คอื ขอขมา
ธรรมชาต)ิ ปีละครงั้

ยุคดงั้ เดมิ พธิ ขี อขมาเรม่ิ เม่อื น้ําหลากท่วมราวกลางเดอื น ๑๑ ต่อเน่ืองถงึ เดอื น
๑๒ แลว้ สน้ิ สดุ พธิ เี มอ่ื น้ําคอ่ ยๆ ลดเมอ่ื เดอื นอา้ ย (เดอื น ๑)

ต่อมาเปล่ียนไปเริ่มก่อนกลางเดือน ๑๒ ไม่มีกําหนดเลิกเม่ือไร? แต่ปัจจุบัน
กาํ หนดตายตวั วนั เดยี วคอื กลางเดอื น ๑๒

เหตุทต่ี อ้ งขอขมากเ็ พราะคนเราเชอ่ื วา่ ไดล้ ่วงเกนิ เจา้ แม่และด่มื กนิ ขา้ วปลาอาหาร
เลย้ี งชวี ติ ตลอดปีจากน้ําและดนิ

เจ้าแม่ คอื ผนี ้ํา ผดี นิ ท่สี งิ อยู่ในน้ําและดนิ บางทเี รยี กว่าผเี ช้อื แต่คนบางกลุ่ม
ออกเสยี งเป็นผเี สอ้ื (คาํ วา่ เชอ้ื ออกเสยี งเป็น เสอ้ื )

๑๓

 

มรี อ่ งรอยอย่ใู นคาํ สอนของพวกไทดาํ (ในเวยี ดนาม) ไวว้ า่ “กนิ ขา้ วอยา่ ลมื เสอ้ื นา
กนิ ปลาอยา่ ลมื เสอื น้ํา”

“กนิ ขา้ ว อย่าลมื เส้อื นา” หมายความว่าเม่อื กนิ ขา้ วอย่าลมื ผเี จ้าแม่ทส่ี งิ อยู่ในท้อง
นา ซง่ึ ปลกู ขา้ วเตบิ โตออกรวงมเี มลด็ ใหค้ นกนิ

“กนิ ปลา อยา่ ลมื เส้อื น้ํา” หมายความวา่ เมอ่ื กนิ ปลากอ็ ย่าลมื ผเี จา้ แมท่ ส่ี งิ อยใู่ นน้ํา

ภาพสลกั ขอขมาธรรมชาติ บนผนงั ระเบยี งดา้ นนอก บรเิ วณมุมผนงั ดา้ นทศิ ใตม้ มุ ตะวนั ออกของปราสาทบายน
(ถ่ายภาพโดย วรรณิภา สเุ นตต์ า)

กมั พชู ามีก่อนนานแล้ว

พิธีกรรมขอขมาธรรมชาติในศาสนาผี ด้วยเคร่ืองเซ่นใส่ภาชนะลอยน้ําจาก
ธรรมชาติ เชน่ หยวกกลว้ ย, กระบอกไมไ้ ผ่, กะลามะพรา้ ว ฯลฯ มกั ทําในน้ําไหลบรเิ วณ
ทล่ี มุ่ น้ําทว่ มถงึ เชน่ แมน่ ้ําลาํ คลอง ฯลฯ

มีในราชสํานักกัมพูชามาก่อนนานแล้ว (ก่อนยุคสุโขทัย) บริเวณโตนเลสาบ
(ทะเลสาบ) ซง่ึ เป็นทร่ี าบลมุ่ น้ําขนาดมหมึ า

๑๔

 

หลกั ฐานอยู่ในภาพสลกั ปราสาทบายน ราว พ.ศ.๑๗๕๐ เป็นรปู เจา้ นาย, ขนุ นาง,
และนางใน ฯลฯ ลงเรือทําพธิ ีกรรมขอขมา มีภาชนะอย่างหน่ึงคล้ายกระทง ทําจาก
ใบตองหรอื หยวกกลว้ ยบรรจุเครอ่ื งเซ่น

ลอยกระทงเขมรเก่ากว่านางนพมาศ สโุ ขทยั ? พธิ กี รรมขอขมาธรรมชาติ เจา้ แมข่ องน้ําและดนิ เป็นแบบแผน
ศกั ดสิ ์ ทิ ธมิ ์ ใี นราชสาํ นกั กมั พชู า ตงั้ แต่ก่อน พ.ศ.๑๗๕๐ ก่อนยคุ สโุ ขทยั (ลายเสน้ จาํ ลองจากภาพสลกั ท่ี
ปราสาทบายน โดย ธชั ชยั ยอดพชิ ยั )

เปลี่ยนฤดกู าล, เปลี่ยนปี นักษตั ร

ขอขมาธรรมชาตดิ ว้ ยลอยกระทง เป็นประเพณีคาบเกย่ี วช่วงเวลาระหว่างเดอื น
๑๑, เดอื น ๑๒ (สน้ิ ฤดกู าลเก่า) กบั เดอื นอา้ ย, เดอื นย่ี (ขน้ึ ฤดูกาลใหม่) ดงั มกี ลอนเพลง
เก่าๆ สนั้ ๆ บอกวา่

เดอื นสบิ เอด็ น้ํานอง เดอื นสบิ สองน้ําทรง
เดอื นอา้ ยเดอื นยี่ น้ํากร็ ไี่ หลลง
ดงั นัน้ ลอยกระทงจะว่าเป็นประเพณีสน้ิ ฤดูกาลเก่ากไ็ ด้ หรอื จะว่าขน้ึ ฤดูกาลใหม่
ก็ได้ เพราะเปล่ยี นปีนักษัตร (ชวด, ฉลู, ขาล, เถาะ ฯลฯ) ในช่วงเวลาน้ี ยงั มบี อกใน
ปฏทิ นิ หลวงจนปัจจุบนั

๑๕

 

[โดยทวั ่ ไปเขา้ ใจวา่ เปลย่ี นปีนกั ษตั รตอนสงกรานต์ อนั เป็นประเพณีเปลย่ี นราศใี น
วฒั นธรรมจากอนิ เดยี แต่ในอนิ เดยี ไมม่ ปี ีนักษตั ร เพราะเป็นประเพณีเปอรเ์ ซยี (อหิ รา่ น)
ผา่ นจนี ถงึ อุษาคเนย์ ปีนกั ษตั รจงึ ไมเ่ กย่ี วกบั สงกรานต]์

จะเทยี บวา่ ปีเก่า, ปีใหม่ กไ็ ด้ แต่ไม่ควรยดึ ถอื จรงิ จงั ว่าปีเก่า, ปีใหม่ เพราะเป็นคาํ
ในวฒั นธรรมสงั คมสมยั ใหมต่ ามแบบแผนตะวนั ตก ซง่ึ ไมม่ ใี นสงั คมตะวนั ออกยุคก่อนๆ

ฤดกู าลเก่ากบั ฤดกู าลใหม่ ไมแ่ บง่ เป็นเสน้ ตรงตายตวั เหมอื นขดี ดว้ ยไมบ้ รรทดั
แต่เป็นท่ีรบั รู้จากความเปล่ียนแปลงทางธรรมชาติของน้ํา ตัง้ แต่เดือนสบิ เอ็ด
เดอื นสบิ สอง ต่อเน่ืองถงึ เดอื นอา้ ย เดอื นย่ี (เดอื นทห่ี น่ึง เดอื นทส่ี อง) ดงั มกี ลอนเพลง (ท่ี
ยกมาขา้ งตน้ ) ของชาวบา้ นดงั้ เดมิ รอ้ งเล่นทวั ่ ไป

๒. เห่เรือ มีครงั้ แรก สมยั ร.๔

เห่เรอื ทุกวนั น้ีหมายถงึ ขบั ลํานําเป็นทํานองอย่างหน่ึงในกระบวนเรอื พระราชพธิ ี
พยุหยาตราทางชลมารค มตี น้ เสยี งเห่นํา แลว้ มลี กู คู่เห่ตาม เป็นประเพณีประดษิ ฐ์ทเ่ี พง่ิ
สรา้ งใหมใ่ นยคุ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์

พบร่องรอยเก่าสุดสมยั ร.๔ โดยไม่ให้ความสําคญั นักเม่อื เทยี บอย่างอ่นื ในพระ
ราชพธิ ลี อยพระประทปี (ลอยกระทง) ว่า “เรอื พระทนี่ ัง่ นัน้ พายรอ้ งเห่ล่องลงไปตามลํา
น้ํา” [พระราชพธิ เี ดอื นสบิ สอง ในหนงั สอื พระราชพธิ สี บิ สองเดอื น พระราชนิพนธ์ ร.๕]

แตไ่ มม่ บี อก “รอ้ งเห”่ วา่ รอ้ งอะไร? อยา่ งไร?
จนสมยั ร.๕ จงึ พบเห่เรอื ในงานสรา้ งสรรคเ์ พลงดนตรแี ละละครของสมเดจ็ ฯ เจ้า
ฟ้ากรมพระยานรศิ รานุวดั ตวิ งศ์ แลว้ ถอื เป็นแบบแผนสบื เน่ืองจนปัจจุบนั
[รายละเอียดมใี นหนังสอื เรอื พระราชพธิ ี และเห่เรือ มาจากไหน? ของ สุจิตต์
วงษ์เทศ โพสต์ พบั ลชิ ชงิ พมิ พค์ รงั้ แรก พ.ศ.๒๕๕๔]
เห่เรอื เป็นพระราชพธิ ีขนาดใหญ่โตในปัจจุบนั ถ้ามจี รงิ ในอดีตก็ควรมเี อกสาร
บนั ทกึ เหมอื นเรอ่ื งอน่ื ๆ แต่กลบั ไมพ่ บ
สมยั ร.๓ โปรดเล่นลอยกระทง แล้วมปี ระกวดกระทงเป็นท่คี รกึ คร้นื สนุกสนาน
ใหญ่โต (มรี ายละเอียดพรรณนาไว้ในพระราชพงศาวดาร ร.๓ ฉบบั เจ้าพระยาทพิ ากร
วงศ์ ตอนว่าดว้ ยพธิ จี องเปรยี ง ลอยกระทง) แต่ไม่บนั ทกึ ว่ามเี ห่เรอื ในพธิ ที อดกฐนิ และ
ลอยกระทง
เสมยี นมี กวสี มยั ร.๓ แต่งนิราศเดอื น ก็ไม่มพี ูดถึงเห่เรอื เม่อื พรรณนาความ
ตน่ื เตน้ สนุกสนานพธิ ที อดกฐนิ เดอื น ๑๑ กบั ลอยกระทง เดอื น ๑๒

๑๖

 

กาพยเ์ ห่เรือ ไม่ใช้เห่เรือ

มกั กล่าวกนั ทวั ่ ไปว่ากาพย์เห่เรอื ของเจ้าฟ้ากุ้ง และกาพย์เห่ชมเคร่อื งคาวหวาน
ของ ร.๒ ใชเ้ หเ่ รอื พระทน่ี งั ่ และเรอื ผา้ ไตรพระกฐนิ

แต่สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรงชว้ี ่า “ไม่ใช่เป็ นบททีแ่ ต่งสาํ หรบั
เห่เรอื พระทีน่ ัง่ หรอื สาํ หรบั แห่พระกฐิน” แลว้ ทรงย้าํ วา่ “ไม่ปรากฏมีเห่เรือเวลาแห่
พยหุ ยาตราพระกฐินเมือ่ ในรชั กาลที่ ๓”

[คํานําหนังสอื ลลิ ติ แห่พระกฐนิ กระบวนพยุหยาตรา พมิ พแ์ จกในงานศพ พระยา
สุนทรสงคราม (ถม ณ มหาชยั ) พ.ศ.๒๔๕๘ อ้างจากหนังสอื ลลิ ติ กระบวนพยุหยาตรา
พระนิพนธส์ มเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระปรมานุชติ ชโิ นรส พมิ พป์ ระกาศพระเกยี รติ
คณุ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ ธนั วาคม ๒๕๓๙ หน้า ๑๗-๒๕]

[ขอ้ มูลหลายอย่างเก่ยี วกบั เห่เรอื ได้รบั ความกรุณาช่วยคน้ มาให้จาก อ.รุ่งโรจน์
ภริ มยอ์ นุกลู คณะมนุษยศาสตร์ ม.รามคาํ แหง]

ยคุ อยธุ ยา ไม่พบเห่เรือพระท่ีนัง่

ยุคอยุธยาไมพ่ บหลกั ฐานวา่ มเี ห่เรอื ในขบวนเรอื พระทน่ี ัง่ สว่ นกาพยเ์ หเ่ รอื ของเจา้
ฟ้ากุง้ ไมพ่ บหลกั ฐานวา่ ยุคอยุธยาเคยใชเ้ หเ่ รอื

ถา้ พจิ ารณาตามเน้ือหาแลว้ กาพยเ์ หเ่ รอื ของเจา้ ฟ้ากุง้ เป็นบทกวนี ิพนธเ์ ชงิ สงั วาส
โดยใชฉ้ ันทลกั ษณ์เป็นโคลงสแ่ี ละกาพย์ยานี แต่มาสมมุตเิ รยี กภายหลงั ว่ากาพย์เห่เรอื
เพราะเขา้ ใจไปเองวา่ ใชเ้ หเ่ รอื ตงั้ แต่แผน่ ดนิ พระเจา้ บรมโกศ ยุคอยธุ ยา

เห่เรอื เมอ่ื จอดกลางน้ํา

เห่เรอื ยุคอยุธยา ถ้าจะมกี ม็ ใี นพธิ ไี ล่เรอื หรอื ไล่น้ํา บรเิ วณตําบลบางขดาน เพ่อื
ออ้ นวอนวงิ วอนรอ้ งขอเจา้ แมแ่ ห่งน้ําบนั ดาลใหน้ ้ําลดเรว็ ๆ มบี อกไวใ้ นโคลงทวาทศมาส

บางขดาน มเี อกสารเก่าระบุว่าอยู่ใต้ขนอนหลวงวดั โปรดสตั ว์ (บ้านขนอนหลวง
ต.ขนอนหลวง อ.บางปะอนิ จ.พระนครศรอี ยุธยา)

เพราะบรเิ วณน้ีเป็น “ดนิ สะดอื ” (ในกําสรวลสมุทรเขยี นว่า “จากมามาแกล่ใกล้
บางขดาน”, “ขดานราบคอื ขดานดอื ดอกไม”้ ) หมายถงึ มนี ้ําวนเป็นเกลยี วลกึ ลงไป ถอื
เป็นเขตศกั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ องแมน่ ้ํา เป็นทางลงบาดาลของนาค

ต้องทําพธิ กี รรมเห่กล่อมอ้อนวอนวงิ วอนร้องขอต่อผี คอื นาคท่บี นั ดาลให้มนี ้ํา
โปรดรบั น้ําคนื ลงบาดาล จะไดน้ ้ําลดเรว็ ๆ

โคลงทวาทศมาส ยคุ ตน้ อยธุ ยา บอกวา่ “ดลฤดสู งั ่ ล้าํ ไลช่ ล”

๑๗

 

ทว่ี ่า “สงั ่ ล้ํา ไล่ชล” มนี ัยยะถงึ สถานการณ์เห่กล่อมโดยตรง ขณะเรอื จอดอยู่กลาง

น้ํา ตรงบรเิ วณทเ่ี รยี กดนิ สะดอื ดงั น้ี

๏ ชลธปี ละปลงั่ คา้ ง ทางสนิ ธุ์

นาเวศนาวาวาง วาดน้ํา

ตกบางขดานดนิ สดอื แม่

ดลฤดสู งั่ ล้าํ ไลช่ ล ฯ

เห่ หมายถงึ ทํานองขบั ลาํ นําเพ่อื วงิ วอนรอ้ งขอ หรอื ทําใหเ้ พลนิ ใจแลว้ เคลบิ เคล้มิ

ถงึ หลบั ไปกไ็ ด้

บางทกี ใ็ ชค้ วบคกู่ บั กล่อม เชน่ เหก่ ลอ่ มพระบรรทมถวายเจา้ นายเมอ่ื จะบรรทม

กล่อม หมายถงึ รอ้ งเป็นทาํ นองเพอ่ื เลา้ โลมใจ เชน่ กล่อมเดก็ คอื รอ้ งลาํ นํากลอ่ ม

ใหเ้ ดก็ เพลนิ จนนอนหลบั , กล่อมหอ ขบั รอ้ งหรอื เล่นดนตรบี นเรอื นหอเพ่อื ใหร้ ่นื เรงิ ใน

พธิ แี ต่งงาน ฯลฯ

ในกฎมณเฑยี รบาล ยุคต้นอยุธยา ไม่มกี ล่าวถงึ เห่เรอื แต่ในพธิ พี ราหมณ์สยาม

มพี ธิ กี ล่อมหงส์ เป็นทํานองอย่างหน่ึงเรยี กช้าเจ้าหงส์ คอื เอาเทวดาลงเปลแล้วไกว

พรอ้ มกลอ่ มเจา้ หงส์ เป็นตน้

เรอื พระทน่ี งั ่ อนนั ตนาคราชในการพระราชพธิ ที อดพระกฐนิ สมยั ร.๔ พ.ศ. ๒๔๐๘
(ถ่ายโดยจอหน์ ทอมป์ สนั )

เรือพระราชพิธี

เรอื พระราชพธิ มี รี ากเหงา้ และพฒั นาการจากเรอื ศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์ ราว ๒,๕๐๐ ปีมาแลว้
ใชใ้ นพธิ กี รรมขอขมาดนิ และน้ํา เพอ่ื ความอุดมสมบรู ณ์ของราชอาณาจกั ร และพธิ ศี พ

หลงั รบั ศาสนาจากอนิ เดยี จงึ แกไ้ ขหวั เรอื เป็นรปู สตั ว์ สญั ลกั ษณ์พาหนะศกั ดสิ ์ ทิ ธิ ์
ของมหาเทพ

๑๘

 

มกั อธบิ ายว่าเรอื พระราชพธิ มี าจากเรอื รบทใ่ี ชใ้ นแมน่ ้ําลําคลองและออกทอ้ งทะเล
ครนั้ การรบทพั จบั ศกึ ในแม่น้ําลําคลองหมดสน้ิ ความสาํ คญั ไปทลี ะน้อย เรอื รบเหล่าน้ีตก
ทอดมาเป็นเรอื พระราชพธิ ี

แต่ไม่เป็นความจรงิ เพราะเรอื รูปสตั ว์ไม่เคยใชใ้ นการรบ แต่ใช้เฉพาะพธิ กี รรม
เทา่ นนั้

ตน้ แบบเรอื พระราชพธิ ี คอื เรอื ศกั ดสิ ์ ทิ ธสิ ์ วุ รรณภูมิ ราว ๓,๐๐๐ ปีมาแลว้ ลายสลกั ขา้ งกลองทองมโหระทกึ
(ซา้ ย) พบทบ่ี า้ นนายเสมอ อม่ิ ทะสาร ต.วงั กระแจะ อ. เมอื ง จ. ตราด (ขวา) พบทว่ี ดั ตลงิ่ พงั (ครี วี งการาม)
ต. ตลง่ิ งาม อ. เกาะสมุย จ. สรุ าษฎรธ์ านี (ภาพจากหนงั สอื กลองมโหระทกึ ในประเทศไทย. เมธนิ ี จริ ะวฒั นา.

สาํ นกั พพิ ธิ ภรั ฑสถานแหง่ ชาติ กรมศลิ ปากร, ๒๕๔๖)

วิงวอนเจ้าแม่ ให้น้ําลด

เพอ่ื บนั ดาลใหน้ ้ําลดลงเรว็ ๆ ชาวนาตอ้ งมพี ธิ อี อ้ นวอนวงิ วอนรอ้ งขอต่อเจา้ แมผ่ ูม้ ี
อํานาจเหนือธรรมชาติ (หมายถงึ ผที ส่ี งิ อยู่ในน้ําและดนิ ) เช่น ไหลเรอื (หรอื ส่วงเฮอื ),
ชกั วา่ วขอลม ฯลฯ อาจมอี ยา่ งอ่นื อกี แตย่ งั ไมพ่ บหลกั ฐาน หรอื รอ่ งรอยพธิ กี รรม

เหตุเพราะเป็ นช่วงเปล่ียนฤดูกาล หลังน้ําข้ึนสูงสุดช่วงพระจันทร์วันเพ็ญ
กลางเดอื น ๑๒ (เฉลย่ี ราวกลางพฤศจกิ ายน) พูดอกี อย่างกไ็ ดว้ ่าส้ินสุดปี นักษตั รเก่า
ข้ึนปี นักษตั รใหม่ เรียกเดือนอ้าย (เดอื น ๑)

นับแต่น้ีไป ขา้ วเตม็ รวงในนามเี มลด็ ขา้ วค่อยๆ แก่เตม็ ทจ่ี นสุกเตม็ รวง พรอ้ มให้
เกบ็ เกย่ี ว

ขณะนัน้ ระดบั น้ําสูงมากในท้องท่ภี าคกลาง น้ําต้องค่อยๆลดลงจนแห้งหายจาก
ทอ้ งนา เพอ่ื ชาวนาเขา้ เกบ็ เกย่ี วขา้ วในนา

ถา้ น้ําไมล่ ด หรอื ลดชา้ ชาวนาเขา้ เกบ็ เกย่ี วไมไ่ ด้ เมอ่ื ปลอ่ ยจมน้ําไวน้ านขา้ วกเ็ น่า
น้ํา อาจไมม่ ขี า้ วกนิ ในปีนนั้

๑๙

 

พธิ ไี หลเรอื หรอื สว่ งเฮอื ในแมน่ ้ําโขง ลายเสน้ ฝีมอื ชา่ งในคณะสาํ รวจชาวยโุ รปทเ่ี ดนิ ทางเขา้ มาสาํ รวจแม่น้ําโขง ระหว่าง
พ.ศ. ๒๔๐๙-๒๔๑๑ เมอ่ื ปลายแผน่ ดนิ ร.๔ ถงึ ตน้ แผน่ ดนิ ร.๕ (ภาพจาก A Pictorial Journey on the Old Mekong

Cambodia, Laos and Yunnan. Louis Delaporte and Francis Garnier. White Lotus, ๑๙๙๘.)

ไหลเรือ

ไหลเรอื คําลาวเรยี ก ส่วงเฮอื หมายถงึ แขง่ เรอื เพ่อื เบกิ ทางผลกั ดนั ใหน้ ้ําไหลลด
เรว็ ๆ ของชมุ ชนบรเิ วณลุ่มน้ําโขง

สว่ ง แปลวา่ แขง่ เช่น แขง่ เรอื , หลกี ไป, หลบไป เชน่ ไล่สตั วป์ ่ าใหห้ ลกี หรอื หลบ
ไปทางใดทางหน่ึง [สรุปจาก สารานุกรมภาษาอสี านฯ โดย ปรชี า พณิ ทอง พ.ศ. ๒๕๓๒
หน้า ๗๕๔]

ไล่เรือ

ไล่เรอื ของชุมชนบรเิ วณลุ่มน้ําเจ้าพระยา มคี วามหมายอย่างเดยี วกบั ไล่น้ํา เป็น
พธิ กี รรมอยา่ งเดยี วกบั ไหลเรอื หรอื สว่ งเฮอื ทางลุม่ น้ําโขง

น่าเชอ่ื วา่ ไหลเป็นคาํ ทางลมุ่ น้ําโขง เมอ่ื เคลอ่ื นลงไปลมุ่ น้ําเจา้ พระยาเรยี กวา่ ไล่
ยุคตน้ อยุธยาราวเรอื น พ.ศ. ๒๐๐๐ มใี นกฎมณเฑยี รบาลว่า พระราชพิธีไล่เรือ
แลว้ มใี นโคลงทวาทศมาสวา่ ไล่ชล แปลวา่ ไลน่ ้ํา

๒๐

 

ฟันนํ้า

ฟันน้ําเป็นพระราชพธิ ที พ่ี ระเจา้ แผ่นดนิ เสดจ็ ลงประทบั เรอื พระทน่ี ัง่ ไปกลางแม่น้ํา
แลว้ ทรงใชพ้ ระแสงฟันลงไปในน้ํา (หวงั ใหน้ ้ําขาดจากกนั ) เพอ่ื ใหน้ ้ําลดโดยเรว็

มคี ําบอกเล่าลกั ษณะตํานานและนิทานจดไว้เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร ในคําให้การ
ขนุ หลวงหาวดั วา่ พระนารายณ์ทรงมบี ุญญาภนิ ิหารและอทิ ธฤิ ทธมิ ์ าก “วนั หน่ึงเสดจ็ ทรง
เรอื พระทน่ี ัง่ เอกชยั ในเวลาน้ําขน้ึ รบั สงั ่ วา่ ใหน้ ้ําลด แลว้ ทรงพระแสงฟันลงไป น้ํากล็ ดลง
ตามพระราชประสงค”์

สมเดจ็ พระนารายณ์ “เสดจ็ ไปประกอบพระราชพธิ ฟี ันน้ําเพ่อื มใิ หน้ ้ําท่วมมากขน้ึ ”
มบี อกไวใ้ นบนั ทกึ ของนิโคลาส แชรแ์ วส ชาวฝรงั ่ เศส

พธิ กี รรมฟันน้ําน้ีมไิ ดแ้ สดงความอ่อนน้อมวงิ วอนรอ้ งขอแต่เพยี งดา้ นเดยี ว แต่ยงั
แฝงไวด้ ว้ ยลกั ษณะ “แกมบงั คบั ” หรอื “บงการ” อยา่ งแขง็ กรา้ ว

พิธีไมป่ ระจาํ

พธิ ีไล่เรอื ไล่น้ํา และฟันน้ํา มิได้ทําทุกปี และมไิ ด้มีกําหนดเวลาแน่นอน หาก
ขน้ึ อยกู่ บั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และความตกลงของชมุ ชนวา่ พรอ้ มจะมเี มอ่ื ไร?

ถา้ ปีไหนน้ําไม่ท่วมนานกไ็ ม่ตอ้ งทําพธิ ี ต่อปีไหนมนี ้ํามากเกนิ ไปแลว้ ท่วมนานจงึ
ทาํ เรยี กวา่ เป็นพธิ จี ร เพราะไมไ่ ดท้ าํ ประจาํ

แต่ปัจจุบนั ทาํ ประจาํ เพอ่ื รายไดจ้ ากการทอ่ งเทย่ี ว

๓. นาฏกรรมแห่งรฐั

พระราชาไม่มีอํานาจจริง จึงต้องอ้างอิงพิธีกรรมตามประเพณี ๑๒ เดือนของ
ประชาชน ทค่ี นทงั้ หลายในชุมชนทอ้ งถน่ิ ทํามาก่อนแลว้ นับพนั ๆ ปี กบั รบั แบบแผนจาก
ตา่ งประเทศมาประสมประสานใหด้ ศู กั ดสิ ์ ทิ ธขิ ์ น้ึ แลว้ เรยี กพระราชพธิ ี ๑๒ เดอื น

ในพิธีกรรม พระราชาต้องแสดงพระองค์เป็ นแถน หรือเทพผู้มีอํานาจบงการ
เหนือกวา่ ฝ่ายตรงขา้ ม (ทางการเมอื งภายใน)

พระราชพิธี

พระราชาของบ้านเมอื งต่างๆ บนสุวรรณภูมใิ นอุษาคเนย์ ต้องทําพธิ กี รรมตาม
ประเพณี ๑๒ เดือน ของราษฎร

ทงั้ น้ีเพ่อื ความมนั ่ ใจของราษฎรในการทํามาหากนิ ปลกู พชื พนั ธุธ์ ญั ญาหาร วา่ อยู่
รอดปลอดภยั จากการกระทาํ ของผี ผมู้ อี าํ นาจเหนือธรรมชาติ

๒๑

 

พธิ กี รรมประจําเดอื นในรอบปีท่พี ระราชาทําขน้ึ น้ี มชี ่อื เรยี กโดยเฉพาะว่า พระ
ราชพิธี ๑๒ เดือน ปรบั ปรุงจากประเพณี ๑๒ เดอื นของราษฎร โดยเพม่ิ พธิ พี ราหมณ์
กบั พทุ ธเคลอื บไว้ ไมข่ ดั กบั ผี

ถ้าพระราชาละเว้นไม่ทําตามประเพณี ย่อมมอี นั เป็นไป ไม่สงบสุข แล้วมกั เกิด
ปัญหาเปลย่ี นแปลงทางการเมอื งภายในราชสาํ นกั

รฐั นาฏกรรม

รฐั นาฏกรรม (หรอื รฐั ละคร) มพี ระราชาและเจา้ นายเป็นผูส้ รา้ งและผูแ้ สดง โดยมี
นกั บวช เชน่ พราหมณ์, พระสงฆ์ เป็นผกู้ าํ กบั สว่ นราษฎรเป็นตวั ประกอบและผดู้ ู

พิธีกรรมเหล่าน้ีต้องลงทุนสูงอันเป็ นหน้าท่ีของรฐั ต้องจัดให้ยิ่งใหญ่ แสดงว่า
อาํ นาจรบั ใชน้ าฏกรรมทโ่ี อ่อา่ ไมใ่ ชน่ าฏกรรมโอ่อ่ารบั ใชอ้ าํ นาจ

[สรุปและดดั แปลงจากหนังสอื วฒั นธรรมคือความหมาย ทฤษฎี และวธิ กี าร
ของ คลฟิ ฟอรด์ เกยี รซ์ โดย อคนิ รพพี ฒั น์ ศนู ยม์ านุษยวทิ ยาสริ นิ ธร (องคก์ ารมหาชน)
พมิ พค์ รงั้ แรก พ.ศ.๒๕๕๑ หน้า ๑๘๘]

นาฏกรรมคืออาํ นาจ

นาฏกรรมเข้ามาแทนท่ีอํานาจท่ีเป็นจริง นิธิ เอียวศรีวงศ์ อธิบาย (มติชนสุด
สปั ดาห์ ฉบบั วนั ท่ี ๑-๗ มถิ ุนายน ๒๕๕๕ หน้า ๓๐) จะสรปุ ยอ่ มาดงั ต่อไปน้ี

พระราชาของรฐั โบราณในอุษาคเนย์ ไม่มอี ํานาจมากล้นจรงิ จงั เพราะข้าราช
บรพิ ารท่ีปฏบิ ตั ิราชการตามพระราชโองการ มกั เป็นลูกท่านหลานเธอ หรอื ผู้มาจาก
ตระกลู ทม่ี อี าํ นาจในตวั เองทพ่ี ระราชาตอ้ งประนีประนอมดว้ ย

ดงั นัน้ ระบบราชการจงึ เป็นหอกขา้ งแคร่ของพระราชาเสมอ ไม่มกี ไ็ ม่ได้ เม่อื มกี ็
ตอ้ งระวงั ตวั ทุกฝีกา้ ว

สรุปว่า พระราชาไม่มีเครือ่ งมือแห่งอาํ นาจของรฐั อย่างทีจ่ ะทาํ ให้พระองค์
มีอาํ นาจจริงๆ สกั อย่าง

อาํ นาจจงึ ตอ้ งตงั้ อยบู่ นการแสดง หรอื เป็นอาํ นาจเชงิ สญั ลกั ษณ์
หน่ึงในการแสดงทส่ี าํ คญั คอื พระราชพธิ ตี ่างๆ ซง่ึ รฐั ตอ้ งทาํ ใหไ้ ดช้ มกนั เป็นประจาํ
เกอื บทกุ เดอื น (ดงั มใี นกฎมณเฑยี รบาล)
ขบวนแห่ เป็นสง่ิ หน่ึงทแ่ี ทบจะขาดไมไ่ ดใ้ นพระราชพธิ ตี ่างๆ

๒๒

 

ภาพเขยี นฝาผนังในพระอุโบสถวดั พระแก้ว คอื ภาพขบวนเสดจ็ พยุหยาตราทาง
ชลมารคและสถลมารค เหมือนหน่ึงเป็นตํารา (แปลว่าท่ี “ตรา” เอาไว้) สําหรบั เป็น
แบบอยา่ งทถ่ี กู ตอ้ งตลอดไป

ขบวนแห่เป็น “ละคร” หรอื นาฏกรรมทใ่ี หส้ ารสาํ คญั บางอย่าง จงึ ตอ้ งเคร่งครดั กบั
แบบธรรมเนียม สารทว่ี า่ นนั้ มดี งั ต่อไปน้ี

๑. ความมงั ่ คงั ่ หรหู ราอุดมสมบรู ณ์ เพราะทุกคนแต่ง “เตม็ ยศ” แมแ้ ต่ไพร่เลวทถ่ี ูก
เกณฑเ์ ขา้ ขบวนกย็ งั สวมเสอ้ื สตี ่างๆ อนั เป็นหน้าทข่ี องคลงั ศภุ รตั น์ตอ้ งจดั หาให้

๒. สถานภาพอนั สงู สดุ ของพระราชา หรอื บุคคลทพ่ี ระราชามอบหมายใหท้ าํ หน้าท่ี
แทน หรอื พระโกศ พระราชยานทป่ี ระทบั ตงั้ อยู่กง่ึ กลางขบวนค่อนไปขา้ งหน้า แวดลอ้ ม
ดว้ ยไพรพ่ ลหน้าหลงั มเี ครอ่ื งยศนบั ตงั้ แตบ่ งั สรู ยแ์ ละอน่ื ๆ ลอ้ มหน้าหลงั

๓. การแสดงช่วงชนั้ ทางสงั คม ขุนน้ําขุนนางหรอื แมแ้ ต่พระบรมวงศานุวงศ์ จะ
เดนิ ในขบวนแห่ตรงไหน ใกล้ไกลจากพระราชาเท่าไร ไม่ใช่เป็นเร่อื งท่คี ดิ เอาเอง หรอื
แทรกลงไปในทว่ี า่ งตามใจชอบ แตต่ อ้ งจดั ขน้ึ ใหต้ รงกบั สถานภาพทแ่ี ทจ้ รงิ ของแต่ละคน

สารของ “ละคร” ตรงน้ี ช่วยตอกย้ําระเบยี บทางสงั คมของรฐั โบราณเหล่าน้ี คอื
ความไมเ่ สมอภาคเป็นระเบยี บทข่ี าดไมไ่ ดใ้ นสงั คมทส่ี งบสุข

อาจท้วงว่าในเมืองไทยโบราณเขาห้ามประชาชนเงยหน้าข้นึ ดูพระราชา ต้อง
หมอบก้มหน้าอยู่กบั พน้ื เท่านัน้ “ละคร” จงึ แสดงโดยไม่มคี นดู และไม่มผี ลในทางสงั คม
และการเมอื งอยา่ งไร

ประชาชนผูห้ มอบกม้ หน้าบนหนทางเสดจ็ พระราชดําเนินนัน้ เป็นฉาก “ละคร” ท่ี
ขาดไม่ได้ของขบวนแห่ เม่อื พระราชยานท่ีประทบั ผ่านไปแล้ว ก็ย่อมเงยหน้าข้นึ ชม
ขบวนแหไ่ ด้ และหลงั รชั กาลท่ี ๔ กไ็ มไ่ ดห้ า้ มชมพระบารมอี กี แลว้

สรปุ กค็ อื นาฏกรรมเข้ามาแทนทีอ่ าํ นาจทีเ่ ป็นจริง

๒๓

 

บทผนวก

กาพยเ์ ห่เรือ
พระนิพนธ์ เจา้ ฟ้าก้งุ (เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร)

เห่ชมเรอื กระบวน

โคลง ชลาลยั
๏ ปางเสดจ็ ประเวศดา้ ว กง่ิ แกว้
ทรงรตั นพมิ านชยั แหนแห่
พรงั ่ พรอ้ มพวกพลไกร เพรศิ พรง้ิ พายทอง ฯ
เรอื กระบวนตน้ แพรว้
ทรงเรอื ตน้ งามเฉิดฉาย
กาพย์ พายอ่อนหยบั จบั งามงอน
๏ พระเสดจ็ โดยแดนชล ลว้ นรปู สตั วแ์ สนยากร
กง่ิ แกว้ แพรว้ พรรณราย สาครลนั ่ ครนั ่ ครน้ื ฟอง
๏ นาวาแน่นเป็นขนดั ลว่ิ ลอยมาพาผนั ผยอง
เรอื รว้ิ ทวิ ธงสลอน รอ้ งโหเ่ หโ่ อเ้ หม่ า
๏ เรอื ครฑุ ยุดนาคหว้ิ เพยี งพมิ านผา่ นเมฆา
พลพายกรายพายทอง หลงั คาแดงแย่งมงั กร
๏ สรมขุ มขุ สด่ี า้ น แสงแวววบั จบั สาคร
มา่ นกรองทองรจนา ดงั ่ รอ่ นฟ้ามาแดนดนิ
๏ สมรรถชยั ไกรกาบแกว้ งามชดชอ้ ยลอยหลงั สนิ ธุ์
เรยี บเรยี งเคยี งคจู่ ร ลนิ ลาศเลอ่ื นเตอื นตาชม
๏ สวุ รรณหงสท์ รงพหู่ อ้ ย รวดเรว็ จรงิ ยงิ่ อยา่ งลม
เพยี งหงสท์ รงพรหมนิ ทร์ หม่ ทา้ ยเยนิ่ เดนิ คกู่ นั ฯ
๏ เรอื ชยั ไววอ่ งวง่ิ
เสยี งเสา้ เรา้ ระดม

๒๔

 

เห่เรอื่ งกากี กากี
สงู่ ว้ิ
โคลง เป็นเหยอ่ื
๏ กางกรอุม้ โอบแกว้ สไู่ มร้ งั เรยี ง ฯ
ปีกกระพอื พาศรี
ฉวยฉาบคาบนาคี เจา้ งามแพรว้ สบสรรพางค์
หางกระหวดั รดั หว้ิ พลางคลงึ เคลา้ เตา้ จรจรลั
เป็นภกั ษาพาผกผนั
กาพย์ ดนั้ เมฆามาสมิ พลี
๏ กางกรอุม้ โอบแกว้ เกลยี วกลมสวาทนาฎกากี
ปีกปกอกเอวนาง ปรดี าแนบแอบองิ องค์
๏ ฉวบฉาบคาบนาคา พลางคลงึ เคลา้ เตา้ บุษบง
หางกระหวดั รงึ รดั พนั ปลงสวาทชมสมเสพยส์ มร
๏ ดลสถานพมิ านมาศ อภิวาทประนมกร
เหมิ หวลยวลกามี ซอนซบหน้าตาเมียงมนั
๏ เรงิ รน่ื ชน่ื เชยปราง ภิรมยเ์ ปรมเกษมสนั ต์
กอดเกอ้ื เน้ือนวลหง ผนั ยวั ่ เย้าเคล้าคลึงชม
๏ กากีแน่งน้อยนาฎ แสนสดุ สวาทสองส่สู ม
ก้มเกล้ากล่าวชอ้อน กลมเกลียวช้สู ่สู มสอง
๏ ปักษีกรีฑาชม สาภิรมยส์ มจิตปอง
กลมเกลียวเกีย่ วกรพนั ในห้องแก้วแพรวพรรณราย
๏ สองสขุ สองสงั วาส ฟ้าลนั ่ เลอ่ื นแลบแสงพราย
สองสนิ ทนิ ทรารมณ์ สายสนิ ธนุ์ องทอ้ งธารา
๏ แยม้ ย้ิมพร้ิมพรกั ตรา วา่ ยเคลา้ คลน่ื หน่ื หรรษา
แสนสนุกสขุ สมพอง เป็นผาสขุ ทกุ นิรนั ดร์ ฯ
๏ ลมพดั กลดั เมฆเกล่อื น
วลาหกตกโปรยปราย
๏ เหรารา่ เรงิ รน่ื
สองสมกลมกรฑี า

๒๕

 

ไม่มีเห่เรือ
ในนิราศเดือน ของ เสมียนมี กวีสมยั ร.๓

ทอดกฐิน เดือน ๑๑

เดือนสิบเอด็ เสรจ็ ธรุ ะพระวสา ชาวพาราเซง็ แซ่แห่กฐิน

ลงเรือเพียบพายยกเหมอื นนกบิน กระแสสินธส์ุ าดปรายกระจายฟอง

สนุกสนานขานยาวฉาวสนัน่ บา้ งแข่งกนั ขนั ส้เู ป็นค่สู อง

แพ้ชนะปะตาพดู จาลอง ตามทาํ นองเล่นกฐินส้ินทกุ ปี

ไปชว่ ยแหแ่ ลกนั กระสนั สวาท นุชนาฏพายใสเ่ สอ้ื สี

จนเปียกชมุ่ ตมู ตงั้ อลงั ่ ดี เสน้ เกษโี ศกสรอ้ ยกพ็ ลอยยบั

เหมอื นตกแสกแบกโศกไวส้ กั พอ้ ม ดมู วั มอมหน้าตาเมอ่ื ขากลบั

ถงึ บา้ นหอบบอบอ่อนลงนอนพบั ตานนั้ หลบั ใจตรกึ นึกถงึ พาย

บา้ งวา่ กนั วนั น้ีพค่ี นนนนั้ ชา่ งดฉู นั น่ีกระไรน่าใจหาย

บา้ งแกลง้ พดู ดงั ดงั วา่ ชงั ชาย เบอ่ื จะตายไปกฐนิ เขานินทา

ไดย้ นิ พดู เชน่ น้ีกม็ มี าก พดู แตป่ ากใจรนเทย่ี วซนหา

การโลกยี ม์ ที วั ่ ทงั้ โลกา ใครบน่ บา้ วา่ เบอ่ื ไมเ่ ชอ่ื เลย

ถงึ ตวั เราน้ีเลา่ กเ็ รา่ รอ้ น แสนอาวรณ์วญิ ญาณ์นิจจาเอ๋ย

ไมว่ า่ เลน่ เป็นบา้ หลงั ดว้ ยหวงั เชย ยง่ิ เคยเคยกย็ งิ่ คดิ เป็นนิจกาล

ทุกค่าํ รงุ่ มงุ่ มาดปรารถนา จะพรรณนาสดุ คดิ ใหว้ ติ ถาร

ในเลห่ ก์ ลโลกาหา้ ประการ ฉนั ราํ คาญสดุ ทจ่ี ะชแ้ี จง

๒๖

 

ลอยกระทง เดือน ๑๒ ชนทงั้ ปวงเลยตามอร่ามแสง
ทงั้ พลแุ รงตึงตงั ดงั สะท้าน
เดือนสิบสองล่องลอยกระทงหลวง เสียงหวอหวือเฮฮาอย่หู น้าฉาน
ดอกไมไ้ ฟโชติช่วงเป็นดวงแดง อลหม่านนาวาในสาคร
เสียงนกบินพราดพรวดกรวดอ้ายต้ือ มีเรอื ชกั เซง็ แซ่แลสลอน
ล้วนผคู้ นล้นหลามตามสะพาน อรชรราํ รา่ อย่หู น้าเรอื
บา้ งกแ็ ห่ผา้ ป่ าพฤกษาปัก ลกู ค่รู บั พร้อมเพราะเสนาะเหลือ
ขบั ประโคมดนตรีมีละคร เป็นใยเยอื่ จบั ในน้ําใจชาย
บา้ งกร็ ้องสกั รวาใส่หน้าทบั
ฟังสาํ เนียงสตรีไมม่ ีเครอื แลว้ หวนราํ ลกึ ถงึ นุชทส่ี ดุ หมาย
เฝ้าฟูมฟายชลนาทุกราตรี
ฟังสาํ เนียงเสยี งนางทก่ี ลางน้ํา จนั ทรก์ ระจา่ งแจ่มฟ้าในราศี
กลบั มานอนอ่อนทอดระทวยกาย ยุพนิ พอ่ี ยไู่ กลนยั นา
นอนไมห่ ลบั กลบั ลกุ เปิดหน้าต่าง แสนรญั จวนมไิ ดส้ น้ิ ถวลิ หา
เหน็ ดวงเดอื นเหมอื นลกั ษณ์ภคั คนิ ี ชาวพาราออ้ื องึ คะนึงดงั
พน่ี งั ่ คอยนอนคอยละหอ้ ยหวน ระฆงั ฆอ้ งกลองแซ่ทงั้ แตรสงั ข์
เหน็ ราหจู จู่ บั พระจนั ทรา มที กุ ครงั้ ดงั ทกุ คราวฉาวทกุ ที
พลิ กึ ลนั ่ ครนั ่ ครกึ เสยี งกกึ กอ้ ง ไมผ่ ุดผอ่ งเผอื ดอบั พยบั สี
ประดงั เสยี งเพยี งพน้ื พภิ พพงั มนี าทปี ลอ่ ยปละสละกนั
โอว้ า่ ดวงจนั ทรเ์ จา้ ดเู ศรา้ หมอง ทุกวนั คอื เฝ้าวโิ ยคดว้ ยโศกศลั ย์
อยใู่ นปากราหอู สรุ ี พช่ี มจนั ทรต์ ่างเจา้ เยาวมาลย์
แต่ตวั พม่ี ไิ ดม้ นี าทชี น่ื ไดเ้ หน็ นาฏนุชนงคย์ อดสงสาร
ครวญคะนึงถงึ มติ รทต่ี ดิ พนั ชชั วาลยแ์ จม่ แจง้ ดว้ ยแสงเทยี น
เมอ่ื วนั ทเ่ี ทศนามหาชาติ เทย่ี วเมยี งมองเลย้ี วลดั ฉวดั เฉวยี น
สปั ปรุ ษุ คบั คงั ่ ฟังกุมาร กว็ นเวยี นมาบา้ นราํ คาญใจ
พฟ่ี ังธรรมเทศน์จบไมพ่ บน้อง
ไมพ่ บพกั ตรเ์ ยาวมาลยใ์ นการเปรยี ญ

๒๗

 

๒๘

 

ลอยโคม-ลอยกระทงในแบบวฒั นธรรมจีน

อาจารย์ ดร.ศิริวรรณ วรชยั ยทุ ธ

ภาควชิ าภาษาจนี คณะศลิ ปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์

วฒั นธรรมจนี กม็ ปี ระเพณลี อยกระทง แตช่ าวจนี จะเรยี กวา่ “ลอยโคม” หรอื ออกเสยี ง
ในภาษาจนี ว่า “ฟัง่ เหอเตงิ ”(放河灯)ถงึ จะเรยี กต่างกนั แต่มรี ูปแบบของกระทงคลา้ ยกนั
มาก อย่างไรกต็ าม ลอยโคมของจนี ต่างจากลอยกระทงของไทยตรงท่ี คนไทยลอยกระทง
เพ่อื ขอขมาพระแม่คงคา แต่คนจนี ลอยโคมเพ่อื อุทศิ ส่วนกุศลใหก้ บั บรรพบุรุษ ซ่ึงมคี วาม
เป็นมาอย่างยาวนานและแตกต่างกนั ไปในแต่ละภูมภิ าคของจนี ซ่งึ เป็นประเทศทก่ี วา้ งใหญ่
ไพศาล

จีนลอยโคม

ตามหลกั ภาษาจนี ไม่เรยี กว่า “ลอยกระทง” แต่เรยี กว่า “ลอยโคม” โดยในภาษาจนี
ออกเสยี งวา่ “ฟัง่ เหอเตงิ ”(放河灯)แปลว่า ลอยโคมประทปี ซ่งึ คนไทยอาจจะเคยพบเหน็
ประเพณนี ้ีของชาวไทยเชอ้ื สายจนี อยบู่ า้ งในชว่ งเทศกาลกนิ เจเดอื นเกา้ เป็นประเพณที จ่ี ดั ขน้ึ
ในวนั ๗ ค่ําของเทศกาลโดยทางศาลเจ้าหรอื โรงเจท่จี ดั พธิ ีกนิ เจจะกําหนดให้เป็นวนั ลอย
กระทง

ประเพณีน้ีมเี ป้าหมายเพ่อื อุทศิ สว่ นกุศลแก่บรรดาวญิ ญาณในทางน้ําและยงั ถอื เป็น
การบอกกลา่ วแก่ดวงวญิ ญาณทงั้ หลายใหม้ ารบั สว่ นกุศลในพธิ ที ง้ิ กระจาดทท่ี างศาลเจา้ จะจดั
ขน้ึ ในวนั รุ่งขน้ึ ดว้ ย (ธนสั ถ์ สวุ ฒั นมหาตม,์ ๒๕๕๑: ๕๗) แต่ตามตํานานเทศกาลจนี นัน้ “การ
ลอยกระทง” (放河灯)จะเป็นกิจกรรมท่มี ขี ้นึ ในเทศกาลจงหยวน(中元节)ท่คี นไทย
คนุ้ เคยกนั ในชอ่ื “เทศกาลสารทจนี ” ในวนั ขน้ึ ๑๕ ค่าํ เดอื นเจด็

กระทงหรอื โคมท่ใี ชล้ อยจะต้องมเี ทยี นหรอื ประทปี อนั เป็นส่วนสําคญั ทส่ี ุด รูปทรง
โคมอาจเป็นรปู ดอกบวั โคมไฟ บา้ นหลงั เลก็ ๆ หรอื ลกั ษณะอ่นื ขา้ งในมเี ทยี นหรอื ประทปี อ่นื
จุดไฟสวา่ งไสว

๒๙

 

ประเพณลี อยโคมในแมน่ ้ําของจนี (ทม่ี า: http://www.chinabz.org/bzwh/zgszwh/1989.html)

พทุ ธ เต๋า ลอยโคม

ทม่ี าของการลอยโคมตําราบางเล่มวา่ พุทธศาสนานํามาจากอนิ เดยี สมยั ราชวงศถ์ งั
แต่ตําราบางเล่มวา่ น่าจะเกดิ จากศาสนาเต๋าทม่ี ปี ระเพณีชกั โคมบชู าดาว และเทพเทยี นกวน
(天官)ในวนั เทศกาลหยวนเซยี วกลางเดอื นอา้ ยมาก่อน กลางเดอื นเจด็ เป็นการบูชาเทพ
เจา้ ตก้ี วน(地官)จงึ จุดโคมบชู าทา่ นบา้ ง แตล่ อยน้ําแทนเพอ่ื สอ่ งทางใหผ้ ขี น้ึ มาสโู่ ลกมนุษย์
รบั เครอ่ื งเซ่นสงั เวยและการอภยั โทษจากเทพตก้ี วน

ทงั้ พุทธ เต๋า เช่อื ว่าน้ําเป็นทางเช่อื มหรอื แดนต่อระหว่างยมโลกกบั มนุษยโลก ใน
คมั ภรี พ์ ทุ ธกลา่ ววา่ มแี มน่ ้ําชอ่ื “ไน่เหอ” (奈何 / สดุ วสิ ยั )” กนั้ ระหวา่ งโลกมนุษยก์ บั ยมโลก ใน
“พธิ อี ุลลมั พนะสงั ฆทาน”(盂兰盆会)จงึ ได้มกี ารลอยโคมเพ่อื ส่องทางให้ผขี า้ มแม่น้ําไน่
เหอดว้ ย (ถาวร สกิ ขโกศล, ๒๕๕๗: ๓๘๒)

๓๐

 

พธิ อี ุลลมั พนะสงั ฆทาน คอื พธิ ที ง้ิ กระจาด เป็นการบรจิ าคทานแก่วญิ ญาณไรญ้ าติ
ในทางพทุ ธศาสนาเรยี กเทศกาลน้ีในภาษาจนี วา่ “อว้ี ห์ ลนั เผนิ เจยี๋ ”(盂兰盆会)ซง่ึ หมายถงึ
วนั “เทศกาลอุลลมั พนะสงั ฆทาน”

คาํ วา่ “อว้ี ห์ ลนั ”เป็นคาํ ทบั ศพั ทส์ นั สกฤตวา่ “อุลลมั พนะ” (ullambana) แปลวา่ ยกขน้ึ
มาจากการถูกแขวนหอ้ ยหวั ลง “เผนิ ” เป็นภาษาจนี แปลวา่ “อ่าง” ในทน่ี ้ีหมายถงึ ภาชนะทใ่ี ส่
ของถวายสงั ฆทาน เทยี บไดก้ บั กระจาดหรอื ถงั สงั ฆทานในปัจจุบนั อ้วี ห์ ลนั เผนิ จงึ แปลตาม
ตวั อกั ษรไดว้ า่ “อ่างสงั ฆทาน เพอ่ื โปรดผที ต่ี อ้ งโทษแขวนหอ้ ยหวั ลง” (โจวเซย่ี วเทยี น เขยี น
ถาวร สกิ ขโกศล แปล, ๒๕๕๕: ๘๙) ดงั นนั้ ประเพณนี ้ีจงึ ทาํ ขน้ึ เพอ่ื อุทศิ ใหก้ บั ผี

ลอยโคมในเทศกาลจงหยวน

การลอยกระทง หรอื การลอยโคมในวนั สารทจนี คงมมี าแต่สมยั ราชวงศถ์ งั โดยปกติ
จะจดั ในช่วงเทศกาลจงหยวน เป็นกจิ กรรมหน่ึงของวฒั นธรรมโบราณของชาวจนี ฮนั่ ถงึ สมยั
ราชวงศซ์ ่งใตไ้ ดม้ บี นั ทกึ วา่ “ราชสาํ นักสง่ ขนั ทไี ปลอยโคมนบั หมน่ื ดวง” ในวนั น้ี สมยั ราชวงศ์
หยวนการลอยโคมแพร่หลายไปทวั่ ประเทศจนี มบี นั ทกึ ของคนร่วมสมยั กล่าวถงึ ประเพณีใน
เมอื งหลวงว่า “เดอื นเจด็ วนั ๑๕ ค่ํา วดั ต่างๆ จดั งานพธิ อี ุลลมั พนะสงั ฆทาน ตอนค่ําลอย
โคมลงแมน่ ้ํา เรยี กวา่ ลอยคงคาประทปี ” (ถาวร สกิ ขโกศล, ๒๕๕๗: ๓๘๓)

“เถียนยู่เฉิง”(田汝成)ข้าราชการฝ่ ายพิธีการสมยั ราชวงศ์หมิงได้ไปพบเห็น
ประเพณีลอยโคมในเมอื งหางโจวสมยั ราชวงศ์หมงิ “วนั ๑๕ ค่ําเดอื นเจด็ เรยี กว่าเทศกาล
จงหยวน เล่าสบื กนั มาว่าเป็นวนั ทเ่ี ทพต้กี วนประทานอภยั โทษใหก้ บั คนตาย ผคู้ นจะถอื ศลี
กนิ เจ สวดมนตอ์ ุทศิ สว่ นกุศลใหบ้ รรพชนผลู้ ่วงลบั และผที งั้ หลายใหพ้ น้ โทษภยั พระสงฆจ์ ะจดั
งานอุลลมั พนะสงั ฆทานด้วยการลอยโคมในทะเลสาบซีหูและท่เี จดยี ์แม่น้ํา เรยี กว่า “ส่อง
ยมโลก”นับแต่นัน้ มาการลอยโคมกไ็ ดก้ ลายเป็นส่วนหน่ึงของพธิ กี รรมทางศาสนา การลอย
โคมจงึ กลายเป็นสว่ นหน่ึงของการประกอบพธิ อี ุลลมั พนะสงั ฆทานนับแต่นัน้ มาและสบื ต่อมา
นบั พนั ปี

ตาํ นานม่เู หลียนช่วยมารดา

พธิ อี ุลลมั พนะสงั ฆทาน ทจ่ี ดั ขน้ึ นนั้ ยงั มเี รอ่ื งเลา่ ต่อกนั มาอกี ตํานานหน่ึงคอื ตํานานท่ี
มชี ่อื ว่า“มู่เหลยี นช่วยมารดา”(目连救母)กล่าวคอื มชี ายหนุ่มนามวา่ “ม่เู หลยี น” ซ่งึ ต่อมา
ไดก้ ลายเป็น พระกษติ คิ รรภโ์ พธสิ ตั ว์ ชาวจนี เรยี กวา่ “พระตจ้ี งั้ หวงั ผซู่ ่า” หรอื ทางฝ่ายนิกาย
เถรวาทคอื “พระโมคคลั ลาห์” เป็นอคั รสาวกเบอ้ื งซา้ ยของพระพุทธเจา้ เป็นเลศิ ทางมฤี ทธิ์
แตม่ ารดามบี าปหนกั รบั ทณั ฑท์ รมานและอดอยากหวิ โหยอยใู่ นนรก

๓๑

 

พระโมคคลั ลาหใ์ ชฤ้ ทธติ์ ามหาจนพบแลว้ เอาบาตรซง่ึ มอี าหารเตม็ ส่งใหโ้ ยมมารดา
แต่กถ็ ูกสตั ว์นรกทงั้ หลายแย่งอาหารไปสน้ิ ท่านจงึ กลบั มาทูลถามวธิ แี กไ้ ข พระพุทธเจา้ ได้
ประทานคมั ภรี ์อุลลมั พนะสตู ร แนะใหจ้ ดั เคร่อื งไทยทานและอาหารใส่ภาชนะถวายเป็นมหา
สงั ฆทานแด่พระสงฆ์จากทุกสารทิศ ด้วยบุญฤทธิแ์ ห่งเหล่าสงฆ์ผู้รักษาศีลบริสุทธิแ์ ละ
อานิสงสข์ องมหาสงั ฆทานมอี านุภาพชว่ ยสตั วน์ รกทถ่ี ูกฑณั ฑท์ รมานใหพ้ น้ ทุกขไ์ ดจ้ งึ เรยี กวา่
“อว้ี ห์ ลนั เผนิ ฮยุ่ ” (盂兰盆会) ทาํ ใหโ้ ยมมารดาของพระโมคคลั ลาน์พน้ จากนรกในบดั ดล

นับแต่นัน้ มาคนจงึ นิยมทําอุลลมั พนะสงั ฆทานในวนั ๑๕ค่าํ เดอื นเจด็ เพอ่ื โปรดสตั ว์
นรกใหพ้ น้ จากอบายภูมิ เป็นทม่ี าของเทศกาลสารทจนี และงานทง้ิ กระจาด (โจวเซ่ยี วเทยี น
เขยี น ถาวร สกิ ขโกศล แปล, ๒๕๕๕: ๘๙)

ภาพวาดตาํ นานมเู่ หลยี นชว่ ยมารดา (ทม่ี า: http://www.chinabz.org/bzwh/zgszwh/1989.html)

ต่อมาเม่อื ถงึ ราชวงศเ์ หนือใต้ (南北朝)จกั รพรรดเิ หลยี งอู่(梁武帝 ค.ศ.๔๖๔-
๕๔๙)จงึ จดั ใหม้ พี ธิ อี ุลลมั พนะสงั ฆทาน เพ่อื รําลกึ ความกตญั ญูของพระโมคคลั ลาห์โปรด
มารดาพธิ อี ุลลมั พนะสงั ฆทานและการลอยโคมจงึ ไดร้ วมเป็นประเพณเี ดยี วกนั

ในสมยั ราชวงศ์หมงิ และชงิ การลอยโคมเป็นทงั้ งานบุญและงานร่นื เรงิ สนุกสนาน
หนังสอื “จงิ โตวเฟิงสูจอ้ื ”(京都风俗志)หรอื แปลเป็นไทยว่า “บนั ทกึ ประเพณีเมอื งหลวง”
กล่าวว่า “วนั ๑๕ ค่ําเดอื นเจด็ เป็นเทศกาลจงหยวน เล่าสบื กนั มาว่าเป็นวนั ท่เี ทพต้ีกวน
ประทานอภยั โทษ ผคู้ นไปเซ่นไหวบ้ รรพชนทส่ี ุสานเหมอื นวนั เชง็ เมง้ พระสงฆส์ วดมนต์ทํา

๓๒

 

พธิ กี รรม เผาเรอื กระดาษเรยี กว่า สง่ ธรรมนาวา เช่อื ว่าจะชว่ ยรบั ผไี ม่มญี าตอิ อกจากยมโลก
ในตลาดขายโคมนานาชนิดทท่ี ําเป็นรูปดอกบวั เรยี กว่าประทุมมาลย์ประทปี ทท่ี ําเป็นรูปใบ
บวั เรยี กวา่ ปทุมบรรณประทปี ตกค่าํ เดก็ ๆ รวมกนั เป็นกลุม่ ๆ ตา่ งถอื โคมดอกบวั โคมดอกบวั
โคมใบบวั เดนิ ไปเดนิ มาตามถนนตรอกซอกซอยรอ้ งว่า โคมดอกบวั โคมดอกบวั จุดวนั น้ี
พรุง่ น้ีโยน บา้ งกเ็ อาผลไมม้ าปักธปู เทยี นทวั่ ทงั้ ลกู เรยี กวา่ โคมธปู เทยี น และใชไ้ มย้ าวปักธปู
เทยี นเป็นรูปตน้ ไม้ โคมพวกน้ีทําใหท้ ม่ี ดื มแี สงระยบิ ระยบั ราวหง่ิ หอ้ ยนับหม่นื เหมอื นแสงผี
ทวั่ พนั ล้ี น่าชมยง่ิ นกั ” (ถาวร สกิ ขโกศล, ๒๕๕๗: ๓๘๓)

ภาพการลอยประทปี ของจนี (ทม่ี า: http://history.sina.com.cn/cul/zl/2014-08-11/110597426.shtml)

๓๓

 

การลอยคงคาประทีปการลอยชลประทีป

ประเทศจนี เป็นประเทศทม่ี แี มน่ ้ํามากมาย และผคู้ นมคี วามสมั พนั ธท์ างวฒั นธรรมใน
วงกวา้ งจงึ ทําใหป้ ระเพณีลอยกระทงไดร้ บั การสบื ทอดต่อมาในหลายพน้ื ท่ี ถงึ แมว้ ่าจะมชี ่อื
เรยี ก และมรี ายละเอยี ดของการเฉลมิ ฉลองทแ่ี ตกตา่ งกนั ไปบา้ งกต็ าม เชน่ ทางตอนเหนือของ
จนี เรยี กว่า “การลอยคงคาประทีป”(放河灯) ทางตอนใต้ของจีนเรยี กว่า “การลอยชล
ประทปี ” (放水灯)เป็นตน้

ในสมยั โบราณเทศกาลจงหยวน ไม่เพยี งแต่เป็นเทศกาลแห่งการเซ่นไหวบ้ รรพชน
และทํากุศลใหแ้ ก่วญิ ญาณผยู้ ากไรเ้ ท่านัน้ แต่ยงั แฝงนัยยะของการเฉลมิ ฉลองการเกบ็ เกย่ี ว
พชื พรรณธญั ญาหารอกี ดว้ ย

กระทงรปู บา้ นในเทศกาลจงหยวนของชาวจนี ไตห้ วนั (ทม่ี า: http://ihakka.org/8mon/content.php)

จากวนั เวลาทเ่ี ปลย่ี นไปประเพณีการจุดโคมประทปี สว่างไสวไปทวั่ นอกจากจะเพ่อื
เซ่นสรวงบรรพชนทาํ หน้าทเ่ี ป็นเครอ่ื งมอื ในการแสดงความระลกึ ถงึ ผทู้ จ่ี ากไปเท่านนั้ แต่การ
ลอยโคมยงั เตม็ ไปดว้ ยความหมายทางวฒั นธรรมและความร่นื เรงิ การลอยโคมนอกจากจะ
เป็นเคร่อื งมอื ในการช่วยทางดา้ นจติ ใจ ผูล้ อยโคมตงั้ จติ อธษิ ฐานใหส้ มปรารถนาขอใหพ้ ชื
พรรณธญั ญาหารอุดมสมบูรณ์แลว้ ยงั ไดก้ ลายเป็นสงิ่ มงคลในการขอพรใหพ้ บกบั ความสุข

๓๔

 

ป้องกนั จากสง่ิ ชวั่ รา้ ย และหายจากโรคภยั ไขเ้ จบ็ ดงั่ ในอดตี ผคู้ นเมอื งกวางตุง้ กไ็ ดผ้ กู โยงเอา
การลอยโคม และความเชอ่ื ในการขอลกู เขา้ ไวด้ ว้ ยกนั

นอกจากน้ียงั มเี ป้าหมายเพ่อื บูชาพระกษติ คิ รรภโพธสิ ์ ตั วผ์ มู้ มี หาปณิธานโปรดสตั ว์
ใหพ้ น้ บาปหมดไปจากนรก ขอใหท้ ่านช่วยโปรดวญิ ญาณบรรพชนและเปรตชนทงั้ หลายให้
พน้ นรก และอาํ นวยความสขุ แกค่ นทย่ี งั มชี วี ติ อยู่

สงิ่ ของเซ่นไหวพ้ ธิ ที ง้ิ กระจาดในเทศกาลจงหยวน (ทม่ี า: http://www.chendaygaang.url.tw)

การลอยโคมไมเ่ พยี งแต่จะลอยทแ่ี มน่ ้ํา ประเทศจนี ยงั มกี ารลอยโคมทางทะเลอกี ดว้ ย
เป็นการลอยเพอ่ื ขอพรใหก้ ารทาํ ประมงของชาวประมงในปีนัน้ ๆ ไดผ้ ลดรี าบร่นื ในอดตี จะจดั
ในวนั ๑๓ ค่าํ เดอื นอา้ ย แต่ในภายหลงั ไดเ้ ปลย่ี นมาจดั ในวนั ๑๕ ค่าํ เดอื นเจด็ เช่นเดยี วกบั
ประเพณลี อยโคมในพน้ื ทอ่ี น่ื ๆ ของจนี

โคมทใ่ี ชล้ อยในทะเลจะทําจากผา้ แต่ส่วนใหญ่จะทําจากกระดาษและไมไ้ ผ่ รปู ทรง
ของโคมมที งั้ รูปกุง้ ปลา ปู ดอกบวั สเ่ี หลย่ี ม แปดเหลย่ี มเป็นตน้ ไม่ไดก้ ําหนดแน่ชดั ว่าตอ้ ง
เป็นลกั ษณะใด สสี นั จะเป็นเชน่ ใดกไ็ ดข้ อแคใ่ หม้ คี วามสวยงามกพ็ อ

ปัจจุบนั ประเพณีการลอยโคมทจ่ี ดั อยา่ งยงิ่ ใหญ่จะพบไดใ้ นหลายภูมภิ าคของจนี แต่
ในบรเิ วณซ่งึ มชี ุมชนชาวจนี เช้อื สายหมน่ิ หนาน(闽南)หรอื ฮกเก้ยี นอาศยั อยู่ และมกี าร
สบื ทอดประเพณวี ฒั นธรรมฮกเกย้ี นอยา่ งเขม้ ขน้ ไมว่ า่ จะเป็นทจ่ี นี แผน่ ดนิ ใหญ่ ไตห้ วนั โดย

๓๕

 

เฉพาะทเ่ี มอื งจห้ี ลงอหี๋ ลนั ของไตห้ วนั จะจดั เป็นงานเฉลมิ ฉลองยง่ิ ใหญ่ทุกปี และมกี ารจดั พธิ ี
อุลลมั พนะสงั ฆทานอย่างยง่ิ ใหญ่ โดยท่ีไต้หวนั เรียกพธิ ีท้ิงกระจาดน้ีว่า “ผู่ตู้” (普度)
แปลวา่ “การโปรดสตั ว”์

การลอยโคมในอดตี มที ําตงั้ แต่วนั ๑๓-๑๕ ค่ํา ในไตห้ วนั นิยมลอยวนั ๑๔ ค่ํา เพ่อื
สอ่ งทางใหผ้ ขี น้ึ มารบั การเซ่นไหวใ้ นวนั ๑๕ ค่าํ ในจนี บางแห่งลอย ๑๕ ค่าํ มคี ําอธบิ ายวา่
เม่อื ผไี ดร้ บั การเซ่นไหวแ้ ละกุศลพน้ จากบาป แต่หาทางไปผุดไปเกดิ ไม่เจอ แสงโคมจากพธิ ี
ลอยโคมจะนําทางทําใหผ้ เี หน็ ภพภูมทิ จ่ี ะไปเกดิ ได้ ความเช่อื น้ีเกดิ ขน้ึ ทหี ลงั อาจสรุปไดว้ ่า
การลอยโคมเป็นการสอ่ งทางใหผ้ แี ละคนไดค้ วามสนุกสนานไปพรอ้ มกนั ดว้ ย

การลอยโคมในแมน่ ้ําของจนี (ทม่ี า: http://www.ys8.com/zixun/8453_all.html)

การลอยโคมกบั “เทศกาลสารทจีน”

ตามคตคิ วามเชอ่ื ของจนี เดอื นเจด็ เป็นเดอื นพเิ ศษเดอื นหน่ึง กลา่ วคอื เป็นช่วงเวลาท่ี
ยมโลกกบั มนุษยโลกเช่อื มต่อกนั ดงั นนั้ จงึ มชี ่อื เรยี กวา่ “เดอื นผ”ี เทศกาลจงหยวน ทม่ี ขี น้ึ ใน
วนั ๑๗ค่ํา เดอื นเจ็ด หรอื ท่คี นไทยรู้จกั กนั ในช่อื เรยี กว่า “วนั สารทจนี ” จงึ มอี กี ช่อื หน่ึงว่า

๓๖

 

“เทศกาลผ”ี (鬼节) ซง่ึ เช่อื กนั วา่ ในหน่ึงปีจะเป็นวนั ทป่ี ระตูนรกเปิดปลอ่ ยให้ “ผ”ี วญิ ญาณ
ทงั้ หลายเป็นอสิ ระถกู ปลดจากพนั ธนาการสามารถออกมารบั กุศลผลบุญได้

ดงั นัน้ ในหลายพ้นื ท่จี งึ จดั พธิ เี ซ่นไหวใ้ ห้กบั ผเี หล่าน้ีกิจกรรมในเทศกาลสารทจนี
ประกอบดว้ ย ช่วงเชา้ เซ่นไหวบ้ รรพบุรุษ ช่วงบ่ายเซ่นไหวผ้ ที งั้ ปวง ซ่งึ จะจดั ทบ่ี รเิ วณนอก
บา้ น อาจคุน้ หวู า่ “ไหวฮ้ อ่ เฮยี ต”ี๋ (好兄弟)และในวดั หรอื ศาลเจา้ จะมกี ารจดั งานอุลลมั พนะ
สงั ฆทาน ซง่ึ กค็ อื งานทง้ิ กระจาดนนั่ เอง

เทศกาลจงหยวน หรอื สารทจนี ประกอบดว้ ยความเชอ่ื ทางพทุ ธศาสนา มพี ธิ กี รรมท่ี
ทําเพ่ือบรรพชน และญาติมิตรท่ีล่วงลับ ในทางเต๋าเพ่ือช่วยเหลือปลดปล่อยเปรตชน
วญิ ญาณเร่ร่อน จากตํานานและพธิ กี รรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การลอยโคมนัน้ อาจกล่าวไดว้ ่าการ
ลอยกระทงหรอื การลอยโคมของจนี มคี วามเช่อื มโยงทางความเช่อื ทางศาสนา และเกย่ี วขอ้ ง
กบั พธิ กี รรมทางศาสนาเป็นสาํ คญั

รายการอ้างอิง

โจวเซย่ี วเทยี น เขยี น ถาวร สกิ ขโกศล แปล. เปิ ดตาํ นานเทศกาลจีน. กรงุ เทพ: มตชิ น, ๒๕๕๕.
ธนัสถ์สุวฒั นมหาตม.์ เทศกาลกินเจในเดือนเก้า และปิ ตุมาตาอนันตคุณทรกตเวทิตาสูตร.

กรงุ เทพ: สาํ นกั พมิ พส์ อ่ งสยาม, ๒๕๕๑.
ถาวร สกิ ขโกศล. เทศกาลจีนและการเซ่นไหว้. กรงุ เทพ: มตชิ น, ๒๕๕๗.
李秀娥 2015《民俗节庆》(เทศกาลพน้ื บา้ น). 初版.台中市:晨星出版社。
李露露 2005《中国节》(เทศกาลจนี ). 福建:福建人民出版社。
林云,聂达 2005《祭拜趣谈》(คุยสนุกเรอ่ื งเซ่นไหว)้ .上海:上海古籍出版社。

๓๗

 

๓๘

 

เทศกาลทีปาวลี และเทวทีปาวลีของอินเดีย

อาจารย์ กิตติพงศ์ บญุ เกิด

สาขาวชิ าภาษาเอเชยี ใต้ คณะอกั ษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั

เทศกาลลอยกระทงของไทยมกั ถูกนําไปเปรยี บเทยี บกบั เทศกาลทปี าวลขี องอนิ เดยี
ดว้ ยรปู แบบ และบรรยากาศการเฉลมิ ฉลองทค่ี ลา้ ยคลงึ กนั ทงั้ ยงั มชี ่วงเวลาทใ่ี กลเ้ คยี งกนั อกี
ดว้ ย จงึ ทาํ ใหเ้ กดิ ขอ้ สนั นิษฐานวา่ “ทปี าวล”ี ในอนิ เดยี อาจเป็นทม่ี าของลอยกระทงไทย

บทความฉบบั น้ีมไิ ดม้ เี จตนาจะยนื ยนั สนับสนุน หรอื คดั คา้ นขอ้ สนั นิษฐานดงั กล่าว
ผเู้ ขยี นเพยี งตอ้ งการนําเสนอขอ้ มลู ความรใู้ นเร่อื งเทศกาลทปี าวลขี องอนิ เดยี ใหเ้ ป็นทเ่ี ขา้ ใจ
และรจู้ กั แพรห่ ลายในสงั คมไทยเทา่ นนั้

ชาวอนิ เดยี กาํ ลงั จดุ ดวงประทปี ในเทศกาลทปี าวลี (ทม่ี า: http://www.happydiwalifestivals.com/)

ทีปาวลี สายของดวงประทีป

ทปี าวลี (दीपावली / Deepavali) หรอื ดวิ าลี กเ็ รยี ก แปลวา่ สายของดวงประทปี เป็น
เทศกาลทย่ี ง่ิ ใหญ่และสาํ คญั มากทส่ี ดุ ในอนิ เดยี ปัจจบุ นั

๓๙

 

แมว้ า่ อนิ เดยี จะพน้ื ทอ่ี นั กวา้ งใหญ่ไพศาล และมคี วามหลายหลายของกลุ่มชาตพิ นั ธุ์
ศาสนา และลทั ธคิ วามเช่อื ทแ่ี ตกต่างกนั มากกต็ าม แต่เทศกาลทปี าวลนี ้ีกไ็ ดร้ บั ความนิยม
เฉลมิ ฉลองทวั่ ประเทศ แมว้ า่ ตน้ กาํ เนิดของเทศกาลจะเรม่ิ มาจากทางฮนิ ดกู ต็ าม แต่พบวา่ ใน
ปัจจุบนั ทงั้ ชาวซกิ ข์ เชน พุทธ และมุสลมิ ต่างร่วมเฉลมิ ฉลองเทศกาลทปี าวลนี ้ี โดยอา้ งถงึ
เหตุการณ์สําคัญท่ีเก่ียวข้องกับศาสนาของตนได้เกิดข้นึ ในวนั น้ี (ในบทความฉบบั น้ีจะ
กลา่ วถงึ การเฉลมิ ฉลองทปี าวลขี องชาวฮนิ ดเู ท่านนั้ ซง่ึ เป็นทน่ี ิยมแพรห่ ลายอยา่ งกวา้ งขวาง
ทวั่ ประเทศอนิ เดยี )

อย่างไรก็ตามโดยทวั่ ไปแลว้ ถอื ว่า ทปี าวลคี อื เทศกาลแห่งแสงสว่าง เทศกาลแห่ง
ความสขุ พวกเขาจงึ ตอ้ นรบั และรว่ มฉลองเทศกาลน้ีโดยถอื เสมอื นวา่ เป็นเทศกาลปีใหมข่ อง
อนิ เดยี ซง่ึ ญาตพิ น่ี ้องจะกลบั มารวมตวั กนั ทบ่ี า้ นเกดิ เพอ่ื บชู าเทพเจา้ รบั ประทานอาหาร สง่
บตั รอวยพร และมอบของขวญั ใหแ้ ก่กนั และกนั

ชาวอนิ เดยี กาํ ลงั จดุ ดวงประทปี ในตะเกยี งดนิ เผารอบบา้ น (ทม่ี า: http://www.happydiwalifestivals.com/)

ทีปาวลีจดั เมื่อไหร่

ทปี าวลี ตรงกบั วนั อมาวสั ยา หรอื วนั เดอื นดบั ในเดือนการตกิ ะ คอื เดอื น ๘ ตาม
ระบบปฏทิ นิ ฮนิ ดู หากเทยี บกบั ปฏทิ นิ สากลจะอยู่ในราวๆ เดอื นตุลาคม-พฤศจกิ ายน การ
เฉลมิ ฉลองเทศกาลทปี าวลจี ะเรมิ่ ขน้ึ กอ่ นหน้าวนั ทปี าวลี ๒ วนั และต่อเน่ืองเลยวนั ทปี าวลไี ป

๔๐

 

อกี ๒ วนั กล่าวคอื ตงั้ แต่วนั แรม ๑๓ ค่ําเดอื นอาศวนิ ถึงวนั ข้นึ ๒ ค่ํา เดอื นการติกะ รวม
ทงั้ สน้ิ ๕ วนั

แต่หากพจิ ารณาในเร่อื งช่วงเวลาของเทศกาลแลว้ จะพบว่า ระหว่างเดอื นตุลาคม-
พฤศจกิ ายนคอื ปลายฝนตน้ หนาว คอื ระยะเวลาทฤ่ี ดูฝนกําลงั ผ่านพน้ ไปและฤดูหนาวกําลงั
เรม่ิ ขน้ึ ทปี าวลจี งึ เป็นเทศกาลทอ่ี ยรู่ ะหวา่ งการเปลย่ี นแปลงฤดู หากนึกถงึ สภาพชนบทของ
อนิ เดยี ในหน้าฝนถนนหนทางมกั จะเละเป็นโคลน สถานทต่ี ่างๆ กเ็ ลอะเทอะเปรอะเป้ือน
พชื พรรณแมจ้ ะเขยี วขจดี ี แต่ตน้ หญา้ และวชั พชื ทงั้ หลายกเ็ ตบิ โตขน้ึ จนรกทางอยทู่ วั่ ไป เมอ่ื
ฤดฝู นผา่ นไปแลว้ ดนิ กเ็ รมิ่ แหง้ หญ้าและวชั พชื เรม่ิ เฉาลงไป จงึ ถงึ เวลาของการปัดกวาดทํา
ความสะอาดบา้ นเรอื น และถนนหนทาง ในช่วงเวลาเดยี วกนั น้ีขา้ วในนาซ่งึ เปรยี บเสมอื น
ทรพั ยข์ องชาวนากก็ าํ ลงั เจรญิ เตบิ โตงอกงาม

ตาํ นานของทีปาวลี

โดยส่วนใหญ่มคี วามเช่อื ทวั่ ไปว่าเทศกาลทปี าวลคี อื การจุดประทปี ประดบั ประดา
เมอื งเพ่อื เฉลมิ ฉลองการนิวตั นิ ครอโยธยาของพระรามและพระนางสดี า หลงั จากทต่ี อ้ งรอน
แรมไปในป่าเป็นเวลา ๑๔ ปี

เมอ่ื พระรามและเหลา่ เสนาวานรไดป้ ราบสงั หารอสรู ทศกณั ฐล์ งแลว้ กน็ ําพระนางสดี า
กลบั คนื พระนคร รบั พธิ บี รมราชาภเิ ษกขน้ึ เป็นกษตั รยิ แ์ ห่งอโยธยารามราชย์ ชาวเมอื งต่าง
พากนั ดใี จจงึ จุดประทปี ต้อนรบั และเฉลมิ ฉลอง อกี คตหิ น่ึงถอื ว่าเป็นเทศกาลบูชาพระเทวี
ลกั ษมี เทวแี หง่ ความร่าํ รวย ความสขุ สมบรู ณ์ และโชคลาภ

ดว้ ยเหตุน้ี บรรดาพอ่ คา้ นกั ธุรกจิ จงึ ใหค้ วามสาํ คญั กบั เทศกาลทปี าวลมี ากเป็นพเิ ศษ
เพราะเป็นเทศกาลตอ้ นรบั โชคลาภและความร่าํ รวย

วนั ต่างๆ ในเทศกาลทีปาวลี

ดงั ทไ่ี ดก้ ล่าวตอนตน้ วา่ เทศกาลทปี าวลเี ฉลมิ ฉลองต่อเน่ืองกนั ถงึ ๕ วนั ในแต่ละวนั
มชี อ่ื เรยี ก และมรี ายละเอยี ดดงั น้ี

วนั แรก เรยี กว่า “ธนั เตรสั ” (धनतेरस / Dhanateras ) หรอื อกี ช่อื หน่ึงวา่ ธนั วนั ตริ
ตระโยทศี (ध व तिर त्रयोदशी / Dhanvantari trayodashi) โดยช่อื น้ีมที ม่ี าจากเร่อื งการกวน
เกษยี รสมุทรของเหล่าเทวดาและอสรู ซ่งึ ก่อใหเ้ กดิ รตั นะ ๑๔ ประการ รตั นะลําดบั สุดทา้ ยท่ี
ไดจ้ ากการกวนเกษยี รสมทุ รคอื หมอ้ น้ําอมฤต ซง่ึ เทพช่อื ธนั วนั ตริ เทพเจา้ แห่งวชิ าอายุรเวท
และการมสี ุขภาพดเี ป็นผอู้ ญั เชญิ หมอ้ น้ําอมฤตขน้ึ มา ประเดน็ น้ีมนี ัยยะสาํ คญั ซ่อนอย่ทู ช่ี าว
ฮนิ ดเู ชอ่ื ถอื กค็ อื การใสใ่ จดแู ลรกั ษาสขุ ภาพกเ็ หมอื นการไดด้ ่มื น้ําอมฤต ความพากเพยี รของ

๔๑

 

เหล่าเทวดาและอสรู ทาํ ใหไ้ ดร้ บั หมอ้ น้ําอมฤตฉนั ใด ความพากเพยี รพยายามของมนุษย์ ไม่
เพยี งแต่ทําใหไ้ ด้มาซ่ึงทรพั ย์สนิ สงิ่ มคี ่าเท่านัน้ แมแ้ ต่ความเป็นอมตะก็อาจได้รบั เช่นกนั

)(एस.पी.उपा याय, ๑๙๗๘: ๓๗

วนั ธนั เตรสั อาจเปรยี บไดก้ บั วนั จ่ายในเทศกาลตรุษจนี กล่าวคอื ในวนั น้ีผูค้ นนิยม
ออกมาจบั จ่ายซ้อื ของ นอกจากอาหาร และสง่ิ ของเคร่อื งใชท้ จ่ี ะตอ้ งเตรยี มไวส้ าํ หรบั วนั ทปี า
วลที ก่ี ําลงั มาถงึ แลว้ ยงั นิยมซ้อื สนิ คา้ ช้นิ ใหม่ๆ ใหก้ บั ตนเอง และครอบครวั ในลกั ษณะของ
การสงั่ สมทรพั ยส์ นิ เช่น เคร่อื งประดบั ทท่ี ําจากเงนิ หรอื ทอง เคร่อื งใชไ้ ฟฟ้า เสอ้ื ผา้ ชุดใหม่
โดยเฉพาะอย่างยง่ิ มคี วามนิยมซ้อื ภาชนะเคร่อื งครวั ใหมๆ่ เขา้ บา้ นในวนั น้ีดว้ ย ในวนั น้ีตาม
ตลาดรา้ นรวงจงึ คกึ คกั เป็นพเิ ศษ

การจดุ ตะเกยี งดนิ เผาหรอื “ดยี า” เฉลมิ ฉลองในเทศกาลทปี าวลี (ทม่ี า: http://livehdwallpaper.com)

วนั ท่ีสอง เรยี กวา่ “นรกะจตุรทศ”ี (नरक चतुरदशी / Naraka Chaturdashi ) เป็นวนั
สะสางทาํ ความสะอาดครงั้ ใหญ่ทงั้ ในบา้ นเรอื น รา้ นคา้ และบรษิ ทั หา้ งรา้ นต่างๆ เมอ่ื พลบค่าํ
กจ็ ะจุดตะเกยี งดนิ เผาทม่ี นี ้ํามนั เนยเป็นเช้อื ไปวางไวต้ ามแนวท่อระบายน้ํา และสถานทท่ี ้งิ

ขยะ ประเพณนี ้ีเรยี กวา่ “การจดุ ตะเกยี งของพระยม” (एस.पी.उपा याय, ๑๙๗๘: ๓๘)

นัยยะของกจิ กรรมในวนั ทส่ี องน้ีอาจพจิ ารณาไดว้ ่า พระยมผูเ้ ป็นเทพเจา้ แห่งความ
ตายไดอ้ อกจากบา้ นเรอื นและชุมชนุ ของผคู้ นทงั้ หลายไปแลว้ พรอ้ มๆ กบั ขยะปฏกิ ลู และความ
สกปรกอนั เป็นสาเหตุแหง่ โรคไดถ้ กู ขจดั ออกไป

๔๒

 

วนั ท่ีสาม เรยี กวา่ “ทปี าวล”ี (दीपावली / Deepavali) หรอื วนั “ลกั ษมบี ชู า” (ल मी
पूजा / Lakshmi puja) ถอื เป็นวนั สาํ คญั ทส่ี ุดของเทศกาล โดยตลอดทงั้ วนั ผคู้ นจะยุ่งอย่กู บั
การตระเตรยี มงานฉลองในตอนเยน็ ทงั้ การประดบั ตกแต่งสถานท่ี เตรยี มอาหารคาวหวาน
จดั สถานท่บี ูชา เป็นตน้ นิยมนุ่งห่มเสอ้ื ผา้ ใหม่ในวนั น้ีดว้ ย เม่อื เรม่ิ สนธยาจะจุดตะเกยี งดนิ
เผาแบบโบราณซ่งึ ใชน้ ้ํามนั เนยเป็นเชอ้ื ทเ่ี รยี กว่า “ดยี า” (दीया / Diya) แลว้ นําไปวางประดบั
ไวต้ ามจดุ ต่างๆ ของบา้ นเพอ่ื ตอ้ นรบั พระลกั ษมี นิยมวางทพ่ี น้ื ตรงกรอบประตูทางเขา้ ทงั้ สอง
ขา้ ง ทต่ี น้ กระเพรา (ซ่งึ ชาวฮนิ ดนู ิยมปลูกไวเ้ ป็นไมม้ งคลประจาํ บา้ น) ทห่ี ง้ิ บชู าเทพเจา้ บน
ตเู้ ซฟหรอื สถานทท่ี ใ่ี ชเ้ กบ็ เงนิ ของครอบครวั และนิยมวางตะเกยี งอกี หน่ึงดวงไวต้ รงสถานท่ี
ทง้ิ ขยะดว้ ย

การทาํ รงั โคลหี รอื การวาดภาพดอกไมแ้ ละเรขาคณติ ดว้ ยผงสี
(ทม่ี า: http://www.dw.com/image/๐,,17202822_302,00.jpg)

ดว้ ยเหตุน้ีเอง ในคนื ทปี าวลคี นื เดอื นดบั ปราศจากแสงจนั ทร์กก็ ลบั สว่างไสวไปทงั้
เมอื งดว้ ยแสงตะเกยี งดยี า และหลอดไฟฟ้ากระพรบิ หลากสที แ่ี ขวนประดบั ไวต้ ามบา้ นเรอื น
การตกแต่งท่สี ําคญั อกี ประการหน่ึงในเทศกาลทปี าวลคี อื การทํารงั โคลี (रंगोली / Rangoli)
หรอื การนําผงแป้งทม่ี สี สี นั สวยงาม และดอกไมส้ ดนานาชนิดมาจดั เรยี งเป็นรปู ทรงเรขาคณิต
หรอื สญั ลกั ษณ์มงคลตา่ งๆ ประดบั บนพน้ื บรเิ วณประตทู างเขา้ บา้ นโดยถอื เป็นเครอ่ื งบชู าและ
ตอ้ นรบั พระลกั ษมที จ่ี ะเสดจ็ มาประทานพรในราตรนี ้ี อน่ึง มธี รรมเนียมนิยมใหส้ ตรเี ป็นผทู้ ํา
รงั โคลแี ละจุดตะเกยี งดยี าอกี ดว้ ย (Sadhu Mukundcharandas, ๒๐๑๐:๑๘๒)

๔๓

 

ในตอนพลบค่ําตามบ้านของฮนิ ดูนิยมประกอบพธิ บี ูชาพระลกั ษมี เทวแี ห่งความ
ร่าํ รวย ค่กู นั กบั พระสรสั วตเี ทวแี ห่งสตปิ ัญญา พระคเณศ เทพเจา้ แห่งความสาํ เรจ็ ผูข้ จดั ปัด
เป่าอุปสรรค โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ กลุ่มพอ่ คา้ นักธุรกจิ จะใหค้ วามสาํ คญั กบั พธิ บี ชู าน้ีเป็นอยา่ ง
มาก ถอื วา่ วนั ทปี าวลเี ป็นวนั ปิดสมุดบญั ชรี บั จ่ายเล่มเก่าและขน้ึ สมุดบญั ชรี บั จา่ ยเลม่ ใหม่ ขอ
พรมงคลจากพระลกั ษมี พระสรสั วตี และพระคเณศใหม้ คี วามร่าํ รวย ประสบแต่โชคดี มสี ติ
ปัญญา และประสบความสาํ เรจ็ แคลว้ คลาดจากอุปสรรคทงั้ ปวง

พระลกั ษมี พระสรสั วดี และพระคเณศ เทพสาํ คญั ในเทศกาลทปี าวลี (ทม่ี า: http://www.dollsofindia.com/)

สาํ หรบั ชาวนาในชนบทจะนิยมวางตะเกยี งประดบั ไวต้ ามแนวคนั นา ตน้ ขา้ วทก่ี ําลงั
งอกงามอยใู่ นทุ่งนัน้ กค็ อื พระลกั ษมขี องชาวนานัน่ เอง ยงั มคี วามเช่อื อกี ดว้ ยวา่ ในคนื ทปี าวลี
พระลกั ษมจี ะลงมาตรวจเย่ยี ม และประทานพรให้กบั บ้านท่สี ะอาดเรยี บร้อย และมคี นดๆี
อาศยั อยู่

ชาวฮนิ ดสู ายไวษณพนิกายบางกลุม่ อาจเน้นความสาํ คญั ของพธิ บี ชู าในวนั ทปี าวลไี ป
ยงั พระราม อวตารภาคท่ี ๗ ของพระวษิ ณุ โดยถอื ว่าเป็นวนั ทพ่ี ระรามเสดจ็ กลบั มายงั นคร
อโยธยาดงั ทไ่ี ดก้ ล่าวแลว้ ขา้ งตน้ บา้ งกจ็ ดั การแสดงรามลลี า หรอื ละครประวตั พิ ระรามเปิดให้

๔๔

 

ชมในทส่ี าธารณะ บา้ งกจ็ ดั พธิ สี วดสาธยายเรอ่ื งประวตั พิ ระรามจากคมั ภรี ร์ ามายณะของมหา
ฤษวี าลมกิ ิ รามจรติ มานสั ของกวตี ุลสที าส เป็นตน้

เม่อื เสรจ็ พธิ บี ชู าเทพเจา้ และหลงั จากรบั ประทานอาหารร่วมกนั พรอ้ มหน้าพรอ้ มตา
ทงั้ ครอบครวั แลว้ จะนิยมจุดพลเุ ลน่ ดอกไมไ้ ฟอยา่ งสนุกสนานกนั ไปทวั่ ทงั้ เมอื ง คนื ทปี าวลจี งึ
มแี สง สี เสยี งงดงามตระการตาทส่ี ดุ ทวั่ ทงั้ ประเทศอนิ เดยี

วนั ที่ส่ี เรยี กวา่ “โควรรธนะบชู า” (गोवधन्र पजू ा / Govardhan Puja) โควรรธนะ เป็น
นามหน่ึงของพระกฤษณะดว้ ย และหมายถงึ ช่อื ภูเขาลกู หน่ึงดว้ ย โควรรธนะบชู าคอื การบชู า
เพ่อื ระลกึ ถงึ เหตุการณ์ท่พี ระกฤษณะไดใ้ ชเ้ พยี งน้ิวกอ้ ยเพยี งน้ิวเดยี วยกเขาโควรรธนะขน้ึ
เป็นฉตั รใหญ่ปกป้องชาวนครมถุราใหพ้ น้ ภยั จากสายฝนทก่ี ระหน่ําเทลงมาอยา่ งหนักเพราะ
ความโกรธเกร้ยี วของพระอนิ ทร์ ในวนั น้ีชาวฮนิ ดูนิยมบูชาพระกฤษณะในเทวาลยั โดยนํา
เมลด็ ธญั พชื อาหาร ขนม ผกั และผลไมต้ ่างๆ มาจดั วางไวร้ วมกนั เป็นกองใหญ่ภูเขายอ่ มๆ
แลว้ แจกจา่ ยแบง่ ปันใหแ้ ก่กนั และกนั

ตะเกยี งดยี าแสนดวงทเ่ี มอื งพาราณสี
(ทม่ี า: http://www.kashikatha.com/wp-content/uploads/2014/11/Devdeepavali8.0.jpg)

วันท่ีห้า เป็ นวันสุดท้ายของเทศกาลทีปาวลีเรียกว่า “ไภยาทูช” (भैयादूज /
Bhaiyaduj) มคี วามเช่อื วา่ พระยมไดก้ ลบั มาพบกบั เทวยี มุนา ซง่ึ เป็นน้องสาวของตนในวนั น้ี

๔๕

 

หลงั จากทไ่ี ด้พลดั พรากกนั ไปนาน จงึ มปี ระเพณีว่าพช่ี ายจะเดนิ ทางไปเย่ยี มบ้านน้องสาว
น้องสาวจะต้อนรบั พ่ีชายเป็นอย่างดี ป้อนอาหารและขนมให้รบั ประทานด้วยมือตนเอง
จากนัน้ พช่ี ายกจ็ ะอวยพร และมอบเงนิ ส่วนหน่ึงทไ่ี ดจ้ ากน้ําพกั น้ําแรงของตนใหแ้ ก่น้องสาว
ถอื ไดว้ า่ ประเพณีไภยาทชู น้ีเป็นกุศโลบายใหค้ รอบครวั เขม้ แขง็ ทาํ ใหส้ ายสมั พนั ธร์ ะหว่างพ่ี
น้องยงั เหนียวแน่นแมว้ า่ ตา่ งคนต่างไดอ้ อกเรอื นไปแลว้ กต็ าม

กระทงประทปี ลอยในแมน่ ้ําคงคาในเทศกาลทปี าวลี
(ทม่ี า: http://www.kashikatha.com/wp-content/uploads/2014/11/Ganga-Mahotsav-9.jpg)

วนั ไภยาทูชน้ีจะตรงกบั วนั ขน้ึ ๒ ค่ําเดอื นการตกิ ะ เทยี บไดก้ บั ขน้ึ ๒ ค่ําเดอื น ๑๒
ของไทย หลงั จากวนั น้ีไปอกี ๑๓ วนั หรอื หลงั จากเทศกาลทปี าวลขี องมนุษยไ์ ดผ้ ่านพน้ ไป
แล้ว วันทีปาวลีของทวยเทพก็จะมาถึง เรียกว่า วันเทวทีปาวลี (देव दीपावली / Dev
Deepavali) หรอื เรยี กวา่ “การตกิ ะ ปรู ณมิ า” (काितक्र पूणि्र णमा / Kartika Purnima) โดยวนั น้ี
เป็นวนั พระจนั ทรเ์ ตม็ ดวงในเดอื นการตกิ ะ ซง่ึ จะตรงกบั วนั เพญ็ เดอื น ๑๒ หรอื วนั ลอยกระทง
ของไทยนัน่ เอง ชาวฮนิ ดูมคี วามเช่อื ว่าเหล่าทวยเทพจุดประทปี ในคนื เทวทปี าวลเี พ่อื ฉลอง
ชยั ชนะทพ่ี ระศวิ ะสามารถปราบอสรู ชอ่ื ตรปิ รุ ะลงไดส้ าํ เรจ็ ทาํ ใหค้ วามผาสุกกลบั คนื มาสเู่ หล่า
เทวดาอกี ครงั้ (www.kashikatha.com/देवदीपावली)

เมืองพาราณสี ตะเกียงดียาแสนดวง

น่าประหลาดใจว่าความนิยมเฉลมิ ฉลองเทศกาลเทวทปี าวลมี อี ยู่เพยี งแต่ในเมอื ง
พาราณสแี ห่งเดยี วเท่านัน้ ไม่พบความนิยมในทอ่ี ่นื ๆ อกี เทวทปี าวลถี อื เป็นเทศกาลใหญ่
และมชี อ่ื เสยี งมากทส่ี ดุ เทศกาลหน่ึงประจาํ เมอื งพาราณสี

๔๖

 

ในเวลากลางคนื ชาวเมอื งพาราณสจี ะตอ้ นรบั เหล่าทวยเทพทก่ี ําลงั มาเยย่ี มเยอื น
เมอื งพาราณสใี นคนื เทวทปี าวลโี ดยการจุดตะเกียงดยี าจํานวนเป็นแสนๆ ดวงประดบั บน
“ฆาฏ” (घाट / Ghat) หรอื ท่าน้ําทม่ี ลี กั ษณะเป็นขนั้ บนั ไดรมิ ฝัง่ แมน่ ้ําคงคา ท่าน้ํานัน้ มจี าํ นวน
มากกว่า ๘๐ ทา่ บางคนจะจุดประทปี ใสล่ งไปในกระทงเลก็ ๆ ทท่ี าํ จากใบไมแ้ หง้ ซง่ึ เรยี กวา่
โดนา (दोना / Dona) ในกระทงประดบั ดว้ ยดอกกุหลาบและดาวเรอื งอยา่ งเรยี บงา่ ยลอยลงไป
ในแมน่ ้ําคงคาโดยถอื เป็นเครอ่ื งสกั การะบชู าเทพเจา้

อย่างไรกต็ ามการลอยกระทงในแม่น้ําคงคาในเทศกาลเทวทปี าวลนี ้ีกม็ ใิ ช่ประเพณี
เฉพาะแต่อยา่ งใด ตลอดทงั้ ปีผทู้ เ่ี ดนิ ทางมาแสวงบุญยงั ทา่ น้ําคงคาเมอื งพาราณสโี ดยทวั่ ไป
กน็ ิยมบชู าแมน่ ้ําคงคาดว้ ยวธิ ลี อยกระทงแบบน้ีอยแู่ ลว้

สรปุ

ด้วยความคล้ายคลงึ กนั ของบรรยากาศการเฉลิมฉลอง และความตรงกนั ของวนั
เทศกาล ทําใหอ้ าจสนั นิษฐานไดถ้ งึ ความสมั พนั ธป์ ระการใดประการหน่ึงทม่ี รี ะหวา่ งเทศกาล
ทปี าวลี-เทวทปี าวลขี องอินเดยี กบั ลอยกระทงของไทย แต่ไม่ควรด่วนสรุปเสยี ทีเดยี วว่า
ประเพณีลอยกระทงนัน้ มที ม่ี าจากทปี าวล-ี เทวทปี าวลี สมควรศกึ ษาคน้ ควา้ ใหก้ วา้ งและลกึ
กนั ต่อไปเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความรคู้ วามเขา้ ใจทถ่ี ูกตอ้ ง

รายการอ้างอิง

एस.पी.उपा याय.भारतीय पवर् और योहार. िद ली : सािह य प्रचारक, 1978.
Sadhu Mukundcharandas. Hindu Festivals. Delhi : Swaminarayan Aksharpith, 2010.
www.kashikatha.com/देवदीपावली/

๔๗

 

๔๘

 


Click to View FlipBook Version