The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หน่วยการเรียนรู้ที่-13

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tpeem32, 2021-03-18 09:59:15

หน่วยการเรียนรู้ที่-13

หน่วยการเรียนรู้ที่-13

กระเพาะอาหาร(Stomach) อยภู่ ายในชอ่ งทอ้ งดา้ นซา้ ย ใต้
กะบงั ลม ผนงั ของกระเพาะอาหารมีกลา้ มเน้ือทห่ี นา แข็งแรง
มาก และยดื หยนุ่ ไดด้ ี ผนงั ดา้ นในมลี กั ษณะเป็นรอยยน่
ประกอบดว้ ยเซลลห์ ลายชนิด

เกลอื นา้ ด(ี Bile salt) คอื
สว่ นประกอบของนา้ ดี ทาใหล้ ิพิด
แตกตวั เป็นหยดเลก็ ๆและ
แขวนลอยอยูใ่ นรูปอทิ ลั ชนั

เขม็ พษิ (Nematocyst) คือเซลลข์ องไฮดรา ทาหนา้ ท่ี
แทงเหยอ่ื ทาใหเ้ หยอื่ เป็ นอมั พาต

คอหอย(Pharynx) มลี กั ษณะเหมอื นทอ่ ยน่ื ออกมา
ตอ่ จากปากเป็นสว่ นหนึ่งของระบบทางเดนิ อาหารและระบบ
ทางเดนิ หายใจของสิง่ มีชวี ติ หลายชนิด เน่ืองจากทง้ั อาหาร
และอากาศตา่ งผา่ นเขา้ สคู่ อหอย

คารบ์ อกซเิ พปทเิ ดส(Carboxypeptidase) คอื
เอนไซมท์ จ่ี ะยอ่ ยโปรตีนและเพปไทดใ์ หเ้ ป็นกรดเอมโิ น

โคเอโนไซต์(Choanocyte) คอื เซลลช์ นิดหน่ึงที่
พบในฟองนา้ เป็นเซลลท์ ม่ี แี ฟกเจลลมั และมปี ลอก ซง่ึ จะ
ใชแ้ ฟลเจลลมั โบกพดั อาหารทมี่ ากบั นา้ แลว้ เขา้ ไปใน
ปลอก

เจจูนมั (Jejunum) คอื สว่ นของลาไสเ้ ลก็ ซง่ึ
อยถู่ ดั จากดูโอดนิ มั มีความยาวประมาณ 2.5 เมตร

ซกี มั (Caecum) คอื สว่ นแรกของลาไสใ้ หญ่ ทา
หนา้ ทร่ี บั กากอาหารจากลาไสเ้ ลก็ มสี ว่ นทยี่ นื่ ออกมาเรียกวา่
ไสต้ ่งิ (Appendix)

ดโู อดนิ มั (Duodenum) คอื สว่ นของลาไสเ้ ลก็
สว่ นตน้ ทต่ี อ่ จากกระเพาะอาหารแป็นทอ่ โคง้ รปู ตวั ยู
ยาวประมาณ 25 เซนตเิ มตร

ตบั อ่อน(Pancreas) ทาหนา้ ทเี่ ป็นทงั้ ตอ่ มไร้
ทอ่ และตอ่ มมีทอ่ โดยสว่ นทเ่ี ป็นตอ่ มไรท้ อ่ ทาหนา้ ท่ี
สรา้ งฮอรโ์ มนทเ่ี กยี่ วกบั การควบคมุ นา้ ตาลในเลือด
สว่ นทเ่ี ป็นตอ่ มมที อ่ ทาหนา้ ทสี่ รา้ งเอนไซมแ์ ลว้ สง่ ให้
ลาไสเ้ ล็ก

ทรปิ ซนิ (Trypsin) เป็นเอนไซมท์ จ่ี ะยอ่ ยโปรตีนให้
เป็นเพปไทด์ และเปลยี่ นไคโมทริปซโิ นเจนเป็นไคโมทริ
ปซนิ และเปลย่ี นโพรคารบ์ อกซเิ พปทเิ ดสใหเ้ ป็นคารบ์ อกซิ
เพปทเิ ดส

เทนทาเคิล(Tentacle) คอื อวยั วะสว่ นหนึ่งของไฮดรา
ทาหนา้ ทจ่ี บั เหยอ่ื เขา้ ปาก

นิวคลโี อซเิ ดส(Nucleosidase) คอื เอนไซม์
ทท่ี าหนา้ ทย่ี อ่ ยนิวคลีโอไซดเ์ ป็นนา้ ตาลเพนโทสและ
ไนโตรจนี สั เบส

เพปซนิ (Pepsin) คอื เอนไซมท์ เ่ี กดิ จากการ
เปลยี่ นเพปซโิ นเจนโดยกรดไฮโดรคลอริก สามารถสลาย
พนั ธะเพปไทดไ์ ดบ้ างพนั ธะ ดงั นนั้ โปรตีนทถ่ี กู เพปซนิ
ยอ่ ยจะไดเ้ พปไทดส์ ายทส่ี นั้ ลง

เพปซโิ นเจน(Pepsinogen) คอื เอนไซมท์ หี่ ลง่ั ในกระเพาะ
อาหาร ซง่ึ ไม่สามารถทางานได้ สามารถเปลย่ี นเป็นเพปซนิ ได้

วิลลสั (Villus) เป็นเซลลบ์ ุผวิ ชนั้ เดยี ว อยบู่ ริเวณผนงั
ดา้ นในของลาไสเ้ ลก็ คลา้ ยสว่ นยนื่ เล็กๆคลา้ ยน้ิว ภายในมี
หลอดเลอื ดฝอยและหลอดนา้ เหลอื งฝอย ซง่ึ จะรบั สารอาหารที่
ถกู ดดู ซมึ

ไสต้ ง่ิ (Appendix) เป็นสว่ นของซกี มั ทย่ี ่ืน
ออกมา ไม่ไดท้ าหนา้ ทเ่ี กยี่ วกบั การยอ่ ยอาหาร แตม่ ี
หนา้ ทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ภมู ิคมุ้ กนั และเป็นทอ่ี ยขู่ องจลุ นิ ทรยี ์
ทเี่ ป็นประโยชน์

หลอดอาหาร(Esophagus) มีความยาวประมาณ 25
เซนตเิ มตร ทาหนา้ ทนี่ าอาหารจากปากลงสกู่ ระเพาะอาหาร

อะไมเลส(Amylase) เป็นเอนไซมท์ ท่ี าหนา้ ทยี่ อ่ ย
แป้ งและไกลโคลเจนใหม้ โี มเลกุลเลก็ ลง สรา้ งจากตอ่ ม
นา้ ลาย

ไอเลยี ม(Ileum) เป็นสว่ นของลาไสเ้ ล็กสว่ น
สุดทา้ ย ยาวประมาณ 3.5 เมตร ซง่ึ ตอ่ กบั ลาไสใ้ หญ่

กระบวนการหายใจระดบั เซลล(์ Cellular
respiration) คอื กระบวนการสลายโมเลกุลของ
สารอาหาร ทส่ี ามารถสรา้ งสารพลงั งานสงู ได้
เชน่ ATP

การแลกเปลย่ี นแกส๊ (Gas exchange) เป็นการ
แลกเปล่ียนระหวา่ งแกส๊ ออกซเิ จนกบั แกส๊
คารบ์ อนไดออกไซด์ เพ่ือนาแกส๊ ออกซเิ จนมาใช้
กระบวนการหายใจระดบั เซลล์

การแลกเปลยี่ นแบบสวนทางกนั
(Countercurrent exchange) คอื การ
แลกเปลย่ี นแกส๊ ทท่ี ศิ ทางการไหลของเลอื ดในซี่
เหงือกจะสวนทางกบั ทศิ ทางการไหลของนา้ พบ
ในปลา

แขนงหลอดลม(Parabronchi) คอื โครงสรา้ งทใ่ี ชใ้ น
การแลกเปล่ียนแกส๊ ในปอดของสตั วป์ ีก

เครือ่ งสไปโรมิเตอร(์ Spirometer) คอื เครอ่ื งวดั
ปรมิ าตรของอากาศในปอดมนุษยข์ ณะหายใจเขา้ และออก

ช่องหายใจ(Spiracle) เป็นรูเลก็ ๆอยดู่ า้ นขา้ งลาตวั
ของแมลง เป็นชอ่ งทอี่ ากาศผา่ นเขา้ สูห่ ลอดลม

ถุงลม(Air sac(ในแมลง
,นก),Alvrolus(ในมนษุ ย)์ ) เป็นเน้ือเย่ือขนาด
เลก็ มากทเี่ ป็นสว่ นสาคญั ของเน้ือเยอ่ื ปอด มี
ลกั ษณะเป็นถุงทม่ี ผี นงั บางมาก เป็นบรเิ วณทมี่ ี
การแลกเปลี่ยนแกส๊ ในปอด ในปอดของนกจะ
เชอ่ื มตอ่ กบั ถงุ ลมเพื่อสารองอากาศไวใ้ ช้

ท่อลม(Trachea) ทาหนา้ ทนี่ าอากาศเขา้ สหู่ ลอดลม มี
เยื่อบุผวิ ทมี่ ซี เิ ลียและเมือกเพื่อคอยดกั จบั ส่ิงแปลกปลอมไม่ใหเ้ ขา้
สถู่ งุ ลม

ท่อลมฝอย(Tracheole) คอื ทอ่ ขนาดเลก็ และมี
ผนงั บางมาก แทรกไปตามสว่ นตา่ งๆของรา่ งกาย ซงึ่ O2
และ CO2 จะแพรร่ ะหวา่ งปลายทอ่ ลมฝอยกบั เซลลไ์ ด้
โดยตรง

โพรงจมูก(Nasal cavity) คอื ชอ่ งทอี่ ากาศผา่ นเขา้
ออกสรู่ จู มกู มเี ยอ่ื บุผิวทมี่ ีซเิ ลยี และเมือกเพื่อคอยดกั จบั สง่ิ
แปลกปลอมไม่ใหเ้ ขา้ สปู่ อด

รจู มูก(Nostril) คอื ชอ่ งทอ่ี ากาศผา่ นเขา้ ออกจาก
รา่ งกายรจู มูกทมี่ องเหน็ จากภายนอก เรยี กวา่ รูจมกู
ดา้ นหนา้ สว่ นรูจมูกภายในจะอยดู่ า้ นในศีรษะ เรยี กวา่
choanae แบ่งออกจากกนั โดยผนงั กน้ั โพรงจมกู

โรคถุงลมโป่ งพอง(Emphysema) เป็นโรคทผ่ี นงั ของถงุ ลม
ถกู ทาลายจนทะลุถึงกนั เป็นถงุ ขนาดใหญ่ เกดิ จากการสูดอากาศที่
เป็นพิษเป็นเวลานาน สง่ ผลใหพ้ ้ืนทผ่ี วิ ในการแลกเปล่ียนแกส๊ ลดลง
ผปู้ ่ วยจงึ มอี าการหายใจถ่ี และเหน่ือยหอบ

โรคปอดบวม(Pneumonia) เป็นโรคทเ่ี น้ือเยอ่ื
ปอดเกดิ การอกั เสบและบวม สว่ นใหญเ่ กดิ จากการตดิ
เช้อื แบคทเี รยี หรอื ไวรสั สง่ ผลใหห้ ลอดลมและถุงลมมี
ของเหลวเพิ่มข้ึน ทาใหพ้ ้ืนทผ่ี ิวในการแลกเปลีย่ นแกส๊
ลดลง ผูป้ ่ วยจะมีอาการไอ เหนื่อยงา่ ย หายใจเร็ว

โรคมะเรง็ ปอด(Lung cancer) เกดิ จากการแบง่ เซลล์
ของปอดทผี่ ดิ ปกติ เกดิ เป็นเน้ืองอกชนิดรา้ ยกระจายภายในปอด
ผปู้ ่ วยจะมีอาการไอเร้ือรงั แนน่ หนา้ อก เหน่ือยง่าย ซง่ึ ผปู้ ่ วย
โรคมะเร็งปอดสว่ นใหญเ่ ป็นผูท้ เี่ คยสบู บุหรี่และสดู ควนั พิษเป็น
เวลานาน

โรคหลอดลมอกั เสบ(Bronchitis) เกดิ จากการ
อกั เสบของเยอ่ื บุหลอดลม มีเสมหะในหลอดลม ทาให้
ผปู้ ่ วยมอี าการไอ มเี สมหะ และหายใจไม่สะดวก

สายเสยี ง(Vocal cord) เป็นแหล่งกาเนิดของเสียง
มีความยดื หยุน่ สามารถปรบั ใหห้ ยอ่ น ตงึ และเปลีย่ นรูปได้
ถา้ สายเสียงเกดิ ชารุดก็อาจจะทาใหไ้ มส่ ามารถพดู ได้

หลอดลม(Bronchi) เป็นเน้ือเย่อื ชนิดหนึ่งของ
ปอด โดยเป็นสว่ นทอี่ ยตู่ อ่ ลงมาจากทอ่ ลม มีรปู รา่ งเป็น
ทอ่ ยาว ผนงั เป็นกระดูกออ่ น ทาหนา้ ทน่ี าอากาศจากทอ่
ลมเขา้ สหู่ ลอดลมฝอย

หลอดลมฝอย(Bronchiole) เป็นแขนงยอ่ ยของ
หลอดลมของปอด ซง่ึ จะแตกแขนงไปเรอ่ื ยๆและมีผนงั บางลง
ตามลาดบั ปลายสุดจะเป็นถุงลม ทาหนา้ ทนี่ าอากาศเขา้ สถู่ ุงลม

เหงอื ก(Gill) คอื อวยั วะในการแลกเปลีย่ น
แกส๊ ของปลา เหงอื กทม่ี เี สน้ เหงือกเป็นซๆ่ี เรียงกนั
เป็นแผง ซงึ่ ชว่ ยเพ่ิมพ้ืนทผี่ ิวในการแลกเปลีย่ นแกส๊

ฮีโมโกลบนิ (Hemoglobin) เป็นโปรตนี ลาเลยี ง อยูใ่ นเซลล์
เม็ดเลือดแดง ทาหนา้ ทจี่ บั แกส๊ ออกซเิ จนและลาเลยี งไปยงั สว่ นตา่ งๆ
ของรา่ งกาย

กลา้ มเน้อื หวั ใจ(Cardiac muscle) เป็น
กลา้ มเน้ือลายชนิดหนึ่งทอ่ี ยนู่ อกอานาจจติ ใจ มี
เน้ือเยอื่ ทห่ี นา ทาหนา้ ทใ่ี นการสบู ฉดี โลหิตโดยการ
หดตวั ของกลา้ มเน้ือ

การแขง็ ตวั ของเลอื ด(Blood clotting) คอื
กระบวนการซง่ึ ทาใหเ้ ลอื ดกลายเป็นลิม่ เลือด เป็น
กลไกสาคญั ของการหา้ มเลือด

แกรนโู ลไซต(์ Granulocyte) คอื กลมุ่ ของเซลลเ์ มด็
เลอื ดขาวทม่ี แี กรนูลเฉพาะ เมอื่ นามายอ้ มสจี ะแบ่งเป็น3ชนิด
คอื อโี อซโิ นฟิล เบโซฟิล และนิวโทรฟิล

โกลบลู นิ (Globulin) คอื โปรตนี ทล่ี อ่ งลอยอยใู่ นพลาสมา
หรอื ในกระแสเลอื ด เป็นโดยมบี ทบาทในฐานะเป็นวตั ถดุ บิ พ้ืนฐาน
ใหร้ า่ งกายใชส้ รา้ งสารชวี โมเลกุลประเภทโปรตีน

คลน่ื ไฟฟ้ าหวั ใจ(Electrocardiogram;ECGหรือ
EKG) คอื เสน้ กราฟทบี่ นั ทกึ ไดจ้ ากการตรวจคล่ืนไฟฟ้ า
หวั ใจ ซง่ึ สามารถใชใ้ นการวนิ ิจฉยั ความผดิ ปกตขิ องการ
ทางานของหวั ใจได้

ความคนั ซสิ โทลกิ (Systolic pressure) คอื ความดนั เลือดสูงสุด
ขณะทกี่ ลา้ มเน้ือหวั ใจหดตวั

ความดนั ไดแอสโทลกิ (Diastolic pressure) คอื ความดนั
เลอื ดขณะทกี่ ลา้ มเน้ือหวั ใจคลายตวั

เครื่องกระตุน้ การเตน้ ของหวั ใจ(Artificial
pacemaker) คอื เครื่องทจ่ี ะทาใหเ้ กิดสญั ญาณไฟฟ้ าไป
กระตุน้ ใหก้ ลา้ มเน้ือหวั ใจทางานไดต้ ามปกติ ในกรณที ห่ี วั
ใจเตน้ ชา้ กวา่ ปกติและไมส่ มา่ เสมอ

เคร่ืองบนั ทกึ คลนื่ ไฟฟ้ าหวั ใจ
(Electrocardiograph) คอื เคร่ืองทว่ี ดั การทางานของ
หวั ใจ โดยการหดตวั และคลายตวั ของกลา้ มเน้ือหวั ใจเกดิ
จากการเปลย่ี นแปลงศกั ยไ์ ฟฟ้ าของกลา้ มเน้ือหวั ใจ

โคโรนารอี ารเ์ ทอร(ี Coronary artery) คือหลอด
เลอื ดทน่ี าเลือดมาเล้ยี งกลา้ มเน้ือหวั ใจ ซงึ่ มี2หลอด คอื
หลอดเลอื ดดา้ นซา้ ยและหลอดเลอื ดดา้ นขวา โดยจะแยก
ออกมาจากโคนของเอออรต์ าและแตกแขนงไปเล้ยี งทกุ
สว่ นของกลา้ มเน้ือหวั ใจ

เซลลเ์ มด็ เลอื ดขาว(Leukocyte) ทาหนา้ ทป่ี ้ องกนั และ
ทาลายเช้อื โรคหรือสง่ิ แปลกปลอมในระบบภมู คิ มุ้ กนั มจี านวน
นอ้ ยกวา่ เซลลเ์ มด็ เลอื ดแดง สรา้ งและเจรญิ ทไ่ี ขกระดูก มอี ายุ
ประมาณ2-3วนั

เซลลเ์ มด็ เลอื ดแดง(Erythrocyte) เป็น
สว่ นประกอบของเลือด ทาหนา้ ทลี่ าเลียงแกส๊ ออกซเิ จนและ
แกส๊ คารบ์ อนไดออกไซด์ รปู รา่ งกลมแบน ตรงกลางบุม๋ ไม่
มนี ิวเคลียสและไมโทคอนเดรยี

ต่อมนา้ เหลอื ง(Lymph node) คอื โครงสรา้ งหนงึ่ ของ
ระบบนา้ เหลอื ง ภายในมลี มิ โฟไซตอ์ ยูห่ นาแน่นทาหนา้ ทกี่ รอง
นา้ เหลืองและทาลายส่ิงแปลกปลอมทมี่ ากบั นา้ เหลือง

ถุงเยอื่ หุม้ หวั ใจ(Pericardium) เป็นเยอ่ื หุม้ สองชนั้ ทม่ี ลี กั ษณะ
เหนียวและมคี วามแข็งแรงทนทาน อยรู่ ะหวา่ งปอดทง้ั สองขา้ งคอ่ นไป
ทางซา้ ยเล็กนอ้ ย ภายในมีของเหลวทท่ี าหนา้ ทหี่ ลอ่ ล่นื และป้ องกนั การ
เสยี ดสีระหวา่ งหวั ใจกบั ปอด

นา้ เหลอื ง(Lymph) เป็นของเหลวทอ่ี ยูใ่ นหลอดนา้ เหลอื งและ
ตอ่ มนา้ เหลอื งโดยเกิดจากของเหลวทอี่ อกจากเสน้ เลอื ดฝอยมาอยู่
ระหวา่ งเซลลแ์ ละลาเลียงเขา้ สหู่ ลอดนา้ เหลอื งฝอย มีสว่ นประกอบคลา้ ย
พลาสมาแตโ่ ปรตนี นอ้ ยกวา่ สว่ นประกอบของนา้ เหลอื งแตกตา่ งกนั
ข้นึ อยกู่ บั วา่ นา้ เหลอื งอยูท่ อ่ี วยั วะใด

ลวิ คีเมยี (Leukemia) หรือโรคมะเร็งเซลลเ์ มด็
เลือดขาว คอื เซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาวเหลา่ น้ีไมส่ ามารถทางาน
ไดต้ ามปกติและสามารถแบ่งเซลลเ์ พ่ิมจานวนโดย
ปราศจากการควบคมุ ของรา่ งกาย ผปู้ ่ วยจะเกดิ อาการ
ผิดปกติตามชนิดของเซลลม์ ะเร็งทเี่ กดิ ข้ึน

สเตตโตสโคป(Stethoscope) คอื เครอ่ื งมอื ทส่ี ามารถวดั
อตั ราการเตน้ ของหวั ใจไดโ้ ดยการฟัง แนบทห่ี นา้ อกบรเิ วณหวั ใจ

หวั ใจเทียม(Pseudoheart) มลี กั ษณะเป็นหว่ ง
หลอดเลอื ดรอบบรเิ วณหลอดอาหารตดิ ตอ่ ระหวา่ งหลอด
เลอื ดดา้ นบนและดา้ นลา่ ง ทาหนา้ ทสี่ ูบฉีดเลอื ด อยู่
บริเวณสว่ นหวั ของไสเ้ ดอื นดนิ

อะแกรนโู ลไซต์(Agranulocyte) คอื กลุ่มเซลลเ์ มด็
เลือดขาวทไ่ี ม่มแี กรนูลเฉพาะเป็นเซลลท์ ม่ี ีนิวเคลยี สขนาดใหญ่
มี 2 ชนิด คอื โมโนไซตแ์ ละลิมโฟไซต์

แอนตเิ จน(Antigen) หมายถงึ สง่ิ แปลกปลอมทเี่ มื่อเขา้
สรู่ า่ งกายแลว้ จะกระตนุ้ ใหร้ า่ งกายสรา้ งแอนตบิ อดี โดยแอนติเจน
จะทาปฏิกริ ยิ าจาเพาะกบั แอนตบิ อดบี างชนิด ซง่ึ ใชใ้ นการจาแนก
เลอื ดหมู่ตา่ งๆในระบบABO

การอกั เสบ(Inflammation) เกดิ จากการ
ทางานของฟาโกไซต์ ซงึ่ การอกั เสบจะชว่ ยกาจดั สิ่ง
แปลกปลอมภายในรา่ งกาย

เซร่มุ ซรี มั (Serum) คอื แอนติบอดที ่ี
สกดั ไดจ้ ากเลอื ดสตั ว์ ซงึ่ การฉดี เซรมุ่ จะทาให้
รา่ งกายไดร้ บั แอนตบิ อดที จี่ าเพาะตอ่ แอนตเิ จน
โดยตรงสามารถกาจดั แอนตเิ จนนน้ั ไดท้ นั ที

เซลลค์ วามจา(Memory cell) เป็นเซลลท์ เี่ กดิ
จากการพฒั นาของเซลลบ์ ีและเซลลท์ สี ว่ นหนึ่ง มี
ความจาเพาะตอ่ แอนตเิ จนนนั้ ซง่ึ พรอ้ มทจ่ี ะตอบสนอง

เซลลท์ ี(T cell) คอื ลิมโฟไซตช์ นิดหนึ่ง มหี ลายชนิด เซลล์
ทที สี่ าคญั ในกลไกการตอ่ ตา้ นหรือทาลายสิ่งแปลกปลอมแบบ
จาเพาะ คอื เซลลท์ ผี ูช้ ว่ ยและเซลลท์ ที ที่ าลายเซลลแ์ ปลกปลอม

เซลลท์ ีทท่ี าลายเซลลแ์ ปลกปลอม(Cytotoxic
T cell) หรือเซลลท์ ชี นิด CD8 ทาหนา้ ทเ่ี ขา้ จบั อยา่ ง
จาเพาะกบั เซลลแ์ ปลกปลอมหรือเซลลท์ ต่ี ิดเช้อื ไวรสั
ซง่ึ จะปล่อยเอนไซมเ์ ขา้ ทาลายเซลลแ์ ปลกปลอม

เซลลท์ ผี ูช้ ว่ ย(Helper T cell) หรือเซลลท์ ชี นิดCD4 มี
บทบาทสาคญั ในการกระตนุ้ การทางานของเซลลอ์ น่ื ๆในระบบ
ภูมิคมุ้ กนั โดยจะมีการปล่อยไซโทไคนไ์ ปยงั เซลลอ์ นื่ ๆทาใหเ้ กดิ การ
ตอบสนอง

เซลลน์ าเสนอแอนตเิ จน(Antigen
presenting cell) คอื เซลลท์ จ่ี บั แอนติเจนทเี่ หลือ
จากการยอ่ ย ซง่ึ จะถูกนาเสนอบนโปรตีนผวิ ของ
แมโครฟาจ เพอ่ื กระตุน้ การทางานของลิมโฟไซตแ์ ละ
เซลลอ์ นื่ ๆในระบบภมู ิคมุ้ กนั ใหท้ างานประสานกนั

เซลลบ์ (ี B cell) คอื ลมิ โฟไซตช์ นิดหนึ่ง ซงึ่ เม่อื ถูก
กระตนุ้ ดว้ ยสารแปลกปลอมหรอื แอนตเิ จนจะพฒั นาเป็น
พลาสมาเซลลท์ มี่ หี นา้ ทห่ี ลง่ั แอนติบอดซี งึ่ มโี ครงสรา้ งและ
ความจาเพาะเหมอื นตวั รบั แอนตเิ จนบนผิวเซลลบ์ ี
สามารถจบั กบั แอนตเิ จนได้

เซลลพ์ ลาสมา(Plasma cell) เกดิ จากเซลลบ์ ีถกู
กระตุน้ ใหแ้ บ่งเซลลเ์ พิ่มจานวนและเซลลจ์ านวนหนึ่งพฒั นา
มีรปู รา่ งใหญข่ ้นึ มหี นา้ ทห่ี ลงั่ สารประเภทโปรตีนทเี่ รียกวา่
แอนตบิ อดี

เซลลแ์ มสต(์ Mast cell) เป็นเซลลท์ มี่ ีรปู รา่ งกลม
หรอื รี อยูใ่ นเน้ือเยื่อหรอื เบโซฟิลลใ์ นเลือด ทาหนา้ ทหี่ ลงั่
สารซง่ึ เป็นสญั ญาณเคมีไปกระตนุ้ หลอดเลอื ดฝอยบรเิ วณ
น้ีขยายตวั

เซลลโ์ ฮสต์(Host cell) คอื เซลลข์ องเหย่ือทไี่ วรสั
เขา้ ไปฝังตวั อยา่ งเช้อื HIV มเี ซลลโ์ ฮสตท์ เ่ี ป็นเป้ าหมาย
หลกั ของเช้อื คอื เซลลท์ ชี นิดCD4

ไซโทไคน(์ Cytokine) คอื โปรตีนขนาดเล็ก
สรา้ งจากเซลลเ์ มด็ เลือดขาวและเซลลต์ า่ งๆในรา่ งกาย
ทาหนา้ ทสี่ ่ือสารระหวา่ งเซลลต์ า่ งๆในระบบภมู ิคมุ้ กนั

บรเิ วณจบั แอนติเจน(Antigen binding site)
พบทปี่ ลายแขนของตวั รบั แอนตเิ จนบนผวิ เซลลท์ แี ละ
เซลลบ์ ี ซง่ึ สามารถจบั กบั ช้นิ สว่ นของแอนตเิ จนทถ่ี ูก
นาเสนอโดยเซลลน์ าเสนอแอนตเิ จนไดอ้ ยา่ งพอดี ใน
เซลลบ์ มี บี ริเวณจบั กบั แอนตเิ จน2ตาแหน่ง

ภมู ิคุม้ กนั ก่อเอง(Active immunization) เป็น
ภูมคิ มุ้ กนั ทเ่ี กิดเมอ่ื รา่ งกายไดร้ บั แอนติเจนเขา้ ไปแลว้
สรา้ งแอนติบอดี ขณะเดยี วกนั รา่ งกายมีการสรา้ งเซลล์
ความจาทม่ี ีความจาเพาะตอ่ แอนติเจนน้ีเตรยี มไว้ เม่ือ
ไดร้ บั แอนติเจนเดมิ เซลลบ์ ีจะสรา้ งแอนติบอดที จี่ าเพาะ
ตอ่ แอนติเจนเดมิ ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ เชน่ การฉดี วคั ซนี

ภูมิคมุ้ กนั รบั มา(Passive immunization)
เป็นวธิ ีทรี่ า่ งกายไดร้ บั แอนติบอดที ม่ี คี วามจาเพาะตอ่
แอนตเิ จนเขา้ ไป เพ่ือใหร้ า่ งกายตอบสนองตอ่
แอนตเิ จนนนั้ ไดท้ นั ที แต่จะอยใู่ นรา่ งกายไดไ้ ม่นาน
ข้นึ อยูก่ บั ปรมิ าณของแอนติบอดี เชน่ การไดร้ บั
ภมู ิคมุ้ กนั จากแมผ่ า่ นนา้ นม

แมโครฟาจ(Macrophage) เกดิ จากโมโนไซตแ์ ทรกตวั ออก
จากหลอดเลือดไปตามเน้ือเย่อื ซง่ึ จะเกดิ การเปลย่ี นแปลงและขยาย
ขนาดข้ึนเป็นเซลลข์ นาดใหญแ่ ละมปี ระสทิ ธิภาพสงู ในการดกั จบั และ
ทาลายเช้อื โรค

โรคภมู แิ พ(้ Allergy) เกดิ จากระบบภมู คิ มุ้ กนั มีการ
ตอบสนองแอนติเจนบางอยา่ งทไี่ ดร้ บั รุนแรงเกนิ ไป ซงึ่ จะทาใหเ้ กดิ
อาการตา่ งๆ เชน่ ไอ จาม นา้ มกู ไหล คนั จมูก คนั ตา กลา้ มเน้ือ
เรยี บหดตวั มีผน่ื ทผ่ี วิ หนงั เชน่ ผ่ืนแพ้ ลมพิษ คนั ตามผิวหนงั

โรคลูปัส(Lupus) หรอื โรคเอสแอลอี เกดิ จากรา่ งกาย
สรา้ งแอนติบอดที ที่ าใหเ้ กิดการอกั เสบในระบบตา่ งๆ สว่ นใหญพ่ บ
ในเพศหญิง มอี าการคอื มีผ่นื แดงทใี่ บหนา้ บริเวณดง้ั จมกู และ
โหนกแกม้ ทงั้ 2ขา้ ง ปวดตามกลา้ มเน้ือ ขอ้ ตอ่ ตา่ งๆ

สารก่อภมู แิ พ(้ Allergen) คอื แอนติเจนทที่ าใหเ้ กดิ
อาการแพ้ เชน่ เกสรดอกไม้ ฝ่ ุนละออง สารบางชนิดในอาหาร
ซง่ึ ทาใหเ้ กิดโรคภูมิแพ้

แอนตบิ อด(ี Antibody) คอื สารประเภทโปรตีน ซงึ่ มี
โครงสรา้ งและความจาเพาะเหมอื นกบั ตวั รบั แอนตเิ จนทอี่ ยบู่ น
ผวิ เซลลบ์ ี สามารถจบั กบั แอนตเิ จนได้

กรวยไต(Pelvis) มลี กั ษณะเป็นโพรงและตอ่ กบั
ทอ่ ไต มรี ูปรา่ งเป็นกรวย ทาหนา้ ทเ่ี ป็นตวั รบั ของเหลวท่ี
ไดจ้ ากการฟอกเลอื ด

กระเพาะปัสสาวะ(Urinary bladder) ทา
หนา้ ทเี่ ก็บปัสสาวะจากไตทผ่ี า่ นมาทางทอ่ ไต
เป็นอวยั ะยดื หยนุ่ และเป็นกลา้ มเน้ือแอง่ อยู่ ณ ฐาน
เชงิ กราน มีผนงั เป็นกลา้ มเน้ือเรยี บ

การดดู กลบั (Reabsorption) เป็น
การดูดกลบั สารทย่ี งั มปี ระโยชน์ เชน่
กลโู คส กรดแอมิโน โดยดูดผา่ น
ผนงั ทอ่ ขดสว่ นตน้ เขา้ สหู่ ลอดเลอื ดฝอยท่ี
ลอ้ มรอบอยูส่ ว่ นนา้ และไอออนตา่ งๆมีการ
ดดู กลบั ตลอดทอ่ หนว่ ยไต

คอนแทรก็ ไทลแ์ วควิ โอล(Contractile
vacuole) เป็นออรแ์ กเนลลข์ องอะมบี าและพารามี
เซยี ม ชว่ ยรกั ษาดลุ ยภาพของนา้ โดยขบั นา้ ทม่ี ากเกนิ
ออก ของเสียบางสว่ นก็ถกู ขบั ออกปนมากบั นา้ ดว้ ย

ต่อมใตส้ มองสว่ นหลงั (Posterior pituitary gland) เป็น
กลุ่มเซลลข์ องเน้ือเย่ือประสาทจากสมองสว่ นไฮโพทาลามสั ทา
หนา้ ทหี่ ลง่ั ฮอรโ์ มนแอนตไิ ดยูเรติก

ไต(Kidney) มีจานวน 1 คู่ อยูใ่ นชอ่ งทอ้ งบรเิ วณกระดูก
สนั หลงั สว่ นเอว ทาหนา้ ทข่ี บั ถ่ายของเสยี รกั ษาดลุ ยภาพของสาร
ตา่ งๆในของเหลวภายในรา่ งกาย ขบั สารแปลกปลอม

ท่อไต(Ureter) มีลกั ษณะเป็นทอ่ อกจากไต
ทง้ั สองขา้ งเชอ่ื มตอ่ กบั กระเพาะปัสสาวะ ทาหนา้ ที่
ลาเลยี งปัสสาวะไปทก่ี ระเพาะปัสสาวะ

ท่อปัสสาวะ(Urethra) เป็นทอ่ ทตี่ อ่ จาก
กระเพาะปัสสาวะไปสอู่ วยั วะเพศ ทาหนา้ ทล่ี าเลยี ง
ปัสสาวะออกจากรา่ งกาย

ท่อรวม(Collecting duct) เป็นทอ่ รบั ของเหลว
จากทอ่ หนว่ ยไตหลายๆทอ่ เพื่อสง่ ออกไปทางกรวยไต
อยูท่ ป่ี ลายของทอ่ ขดสว่ นปลาย

ท่อหน่วยไต(Nephron tubule) มลี กั ษณะเป็นทอ่ ยาวและ
ขดไปมา ถดั จากโบวแ์ มนสแ์ คปซลู แบ่งไดเ้ ป็น3สว่ น คอื ทอ่ ขด
สว่ นตน้ หว่ งเฮนเล และทอ่ ขดสว่ นปลาย มีหลอดเลือดฝอยมาพนั
โดยรอบ

น่วิ ในไต(Kidney stone) สว่ นใหญเ่ กดิ จากตะกอน
ของแคลเซยี มฟอสเฟตหรอื แคลเซยี มออกซาเลตและธาตุ
อน่ื ๆซง่ึ ไมล่ ะลายนา้ แลว้ จบั กกนั เป็นกอ้ นไปอดุ ตามสว่ น
ตา่ งๆของไตและทางเดนิ ปัสสาวะ ถา้ มีขนาดใหญจ่ ะเกดิ
แรงดนั ในทอ่ ไต ทาใหเ้ น้ือเยอื่ ไตเสยี หาย

โพรโทเนฟรเิ ดยี ม(Protonephridium) เป็นโครงสรา้ งทใี่ ช้
ขบั ถา่ ยในพลานาเรยี ประกอบดว้ ยทอ่ ปลายตนั สานเป็นรา่ งแห
กระจายอยู่ ทงั้ สองขา้ งของลาตวั

มลั พิเกยี นทวิ บูล(Malpighian tubule) เป็นอวยั วะ
ขบั ถ่ายของเสยี ของแมลง ประกอบดว้ ยทอ่ เลก็ ๆจานวนมาก
ทอ่ เหลา่ น้ีมีลกั ษณะคลา้ ยถุงยืน่ ออกมาจากทางเดนิ อาหารตรง
บริเวณรอยตอ่ ของทางเดนิ อาหารสว่ นกลางกบั สว่ นทา้ ย

เมดลั ลา(Medulla) คอื เน้ือไตสว่ นใน เมื่อผา่ ไตเป็นแนวยาว
สว่ นปลายของเมนดาลาจะย่ืนเขา้ ไปจรดกรวยไต มลี กั ษณะเป็นเสน้ ๆ
หรอื หลอดเลก็ ๆ รวมกนั เป็นกลุ่ม ๆ

เมทาเนฟรเิ ดยี ม(Metanephridium) คอื อวยั วะ
ขบั ถ่ายของเสยี ของไสเ้ ดอื นดนิ พบปลอ้ งละ1คู่ มลี กั ษณะเป็น
ทอ่ ขดไปมาขบั ของเสียพวกแอมโมเนีย ยูเรยี

หน่วยไต(Nephron) เป็นโครงสรา้ งพ้ืนฐานและหนว่ ยทางาน
พ้ืนฐานของไต ประกอบดว้ ยโกลเมอรูลสั โบวแ์ มนสแ์ คปซลู ทอ่ หน่วยไต
มีหนา้ ทหี่ ลกั คอื ควบคมุ สมดุลของสารนา้ และสารตา่ งๆ ในรา่ งกายดดู
กลบั สารทต่ี อ้ งการ และขบั สารทไ่ี มต่ อ้ งการท้งิ ผา่ นทางปัสสาวะ

หว่ งเฮนเล(Loop of Henle) เป็นสว่ นหนึ่งของทอ่
หนว่ ยไต เป็นหลอดโคง้ รปู ตวั ยู อยถู่ ดั จากทอ่ ขดสว่ นตน้
ย่นื เขา้ มาในเมดลั ลามหี นา้ ทปี่ รบั ของเหลวทก่ี รองไดท้ จี่ ะ
กลายเป็นปัสสาวะใหม้ ีความเขม้ ขน้ เจอื จางอยา่ งเหมาะสม
และดูดสารทเ่ี ป็นประโยชนก์ ลบั

แอลโดสเทอโรน(Aldosterone) คอื ฮอรโ์ มนทห่ี ลง่ั
จากตอ่ มหมวกไต เพ่ือชว่ ยรกั ษาดลุ ยภาพของธาตอุ าหาร
เชน่ โซเดยี ม โดยจะกระตนุ้ ทอ่ ขดสว่ นปลายและทอ่ รวมใหม้ ี
การดูดกลบั โซเดยี มไอออน

ฮอรโ์ มนแอนติไดยูเรตกิ (Antidiuretic
hormone;ADH) หลง่ั จากตอ่ มใตส้ มองสว่ นหลงั โดยจะไปมี
ผลทเ่ี ซลลข์ องทอ่ รวมเป็นสว่ นใหญแ่ ละทอ่ ขดสว่ นปลาย
เล็กนอ้ ย ทาใหเ้ กิดการดดู กลบั นา้ เขา้ สหู่ ลอดเลอื ดฝอยเพื่อ
ลดการสูญเสียนา้ ออกไปกบั ปัสสาวะ

ไฮโพทาลามสั (Hypothalamus) เป็นสว่ นทอี่ ยูด่ า้ นลา่ ง
ของสมองสว่ นหนา้ ทย่ี ื่นมาติดตอ่ กบั ตอ่ มใตส้ มอง
สว่ นมากทาหนา้ ทสี รา้ งฮอรโ์ มนประสาทหลายชนิด ซงึ่
ควบคมุ การสรา้ งฮอรโ์ มนจากตอ่ มใตส้ มอง เชน่ ควบคมุ
การหลงั่ ADHจากตอ่ มใตส้ มอง


Click to View FlipBook Version