The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงาน การสอนสังคมศึกษาในศตวรรษที่ 21

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sumet_20127, 2021-11-10 11:50:55

รายงาน การสอนสังคมศึกษาในศตวรรษที่ 21

รายงาน การสอนสังคมศึกษาในศตวรรษที่ 21

การสอนสังคมศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21

รายงาน
เรื่อง การสอนสงั คมศกึ ษาในศตวรรษที่ 21

จดั ทำโดย
นายสุเมธ ชลาลยั รหัสนกั ศกึ ษา 16115300
คณะครุศาสตร์ สาขาสงั คมศกึ ษา ช้ันปที ่ี4

เสนอ
วา่ ทร่ี อ้ ยตรพี ัสสกรณ์ วิวรรธมงคล
รายงานเล่มน้เี ป็นสว่ นหนึ่งของรายวชิ า1104401การเรียนร้ยู คุ โลกาภิวัตน์

ภาคเรยี นที่1/ปกี ารศึกษา2564
มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา

คำนำ

รายงานเลม่ นี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา1104401การเรียนรู้ยุคโลกาภิวัตน์ สร้างข้ึนเพ่ือมีวัตถปุ ระสงค์
เพอ่ื วเิ คราะหก์ ารสอนสงั คมศึกษาในศตวรรษที่ 21 เพื่อส่งเสรมิ ทกั ษะความคดิ สร้างสรรค์ ผลการศึกษาพบว่า
ครูจงึ ต้องออกแบบการเรียนรู้และ อำนวยความสะดวกในการเรยี นรู้ เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติ
เพื่อให้ผ้เู รียนเกิดทกั ษะ การดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 และโรงเรียนตอ้ งสง่ เสรมิ ความเขา้ ใจเน้อื หาวิชาการให้
อย่ใู น ระดับสงู ดว้ ยการสอดแทรกทักษะเพ่อื การดำรงชีวติ ในศตวรรษที่ 21 เขา้ ในวชิ าหลกั ทุกวิชา โดยครตู ้อง
ปรับบทบาทของตนเองจากการเปน็ ผู้ให้ความรูท้ ี่เน้นการสอนตามที่ระบุไว้ในหนังสือ มาเป็นต้นแบบในการ
ออกแบบกิจกรรมการสอน ให้มีความแปลกใหม่และน่าสนใจ ดังคำกล่าว ที่ว่า แบบอย่างที่ดมี ีค่ามากกว่าคำ
สอน เพื่อให้นักเรียนมองเห็นลกั ษณะของผู้มีความคิด สร้างสรรค์ และลักษณะของผลิตผลที่แสดงให้เห็นถึง
ความคดิ สร้างสรรค์อย่างเปน็ รปู ธรรม เพ่ือให้ผู้เรียนมโี อกาสพัฒนาทั้งความรูใ้ นเนอื้ หาวิชาและทกั ษะต่าง ๆ ที่
สอดคล้องกับบริบทจรงิ และสามารถนาไปใชใ้ นชีวติ จรงิ

ผูจ้ ดั ทำหวงั วา่ รายงานเลม่ นีจ้ ะเป็นประโยชนก์ ับผูอ้ า่ น หรือนกั เรยี น นกั ศึกษา ทกี่ ำลังหาข้อมูลเร่ืองน้ี
อยหู่ ากมีขอ้ แนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผจู้ ัดทำขอนอ้ มรับไวแ้ ละขออภยั มาณ ท่นี ้ดี ้วย

ผจู้ ดั ทำ

สเุ มธ ชลาลยั

สารบัญ หนา้

เรอ่ื ง 1-2
2-3
บทนำ 3
สังคมศึกษากับทักษะการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21 4
การจัดการเรยี นรู้ทเี่ นน้ ผูเ้ รยี นเปน็ สำคัญ 5
ปัญหาการจดั การศึกษา 5-6
ปรชั ญาการสร้างความรู้ด้วยตนเอง
การเรยี นร้แู บบลงมอื ปฏิบัติ 6-16
16
รูปแบบการจัดการเรยี นร้สู ังคมศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 17
บทสรปุ
อ้างองิ

1

บทนำ

หน้าที่ของครูที่สำคัญยิ่งคือการพัฒนาผู้เรียนของ ประเทศไทยใหเ้ ปน็ ทรัพยากรที่มีค่ามากทีส่ ุดให้บรรลุ
จุดหมาย 5 ประการของหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พ.ศ. 2551 (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2551) คอื
1) มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและ คา่ นยิ มทพี่ งึ ประสงค์ เห็นคณุ คา่ ของตนเอง มีวินัยและปฏบิ ตั ติ น ตามหลักธรรม
ของพระพุทธศาสนาหรอื ศาสนาทต่ี นนบั ถอื ยดึ หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง 2) มีความรู้ ความสามารถ
ในการสอื่ สาร การคิดการแกป้ ัญหา การใชเ้ ทคโนโลยีและมี ทกั ษะชีวิต 3) มีสขุ ภาพกายและสขุ ภาพจิตที่ดี มี
สขุ นิสยั และ รกั การออกกำลงั กาย 4) มีความรกั ชาติ มีจิตสำนึกในความเปน็ พลเมืองไทยและพลเมอื งโลก ยึด
มั่นในวถิ ีชวี ิตและการปกครอง ตามระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมุข 5) มจี ิตสำนึกใน
การอนรุ ักษ์วฒั นธรรมและภูมปิ ัญญาไทย การอนุรักษ์และพฒั นาสง่ิ แวดลอ้ ม มีจิตสาธารณะท่มี ุ่งทำ ประโยชน์
และสรา้ งสิ่งที่ดีงามในสังคมและอยู่ร่วมกันในสังคม อย่างมีความสุข จุดหมายน้ียังมีความทันสมัยในปจั จบุ นั
สอดคล้องกับทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (ปรเมธี วิมลศิริ, 2559) และโมเดล
ประเทศไทย 4.0 (สุวทิ ย์ เมษินทรยี ์, 2558)

จุดหมายของหลักสูตรเป็นเป้าหมายที่สำคัญที่สุดใน การจัดการเรียนรู้ในสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา
ศาสนาและ วัฒนธรรม ในบทความนผ้ี ู้เขียนจะเรยี กสนั้ ๆ วา่ “สงั คมศึกษา” เพราะเป็นสาระการเรียนรู้ท่ีเน้น
การอยู่ร่วมกันในสังคมไทยและ สังคมโลกอย่างสันติสุข การเป็นพลเมืองดี ศรัทธาในหลักธรรม ของศาสนา
การเหน็ คณุ คา่ ของทรัพยากรและสิง่ แวดล้อม ความ รกั ชาติ และภูมใิ จในความเปน็ ไทย (กระทรวงศึกษาธกิ าร,
2551) สังคมศึกษามี 5 สาระ ได้แก่ 1) ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม 2) หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการ
ดำเนินชีวิตในสังคม 3) เศรษฐศาสตร์ 4) ประวัติศาสตร์ และ 5) ภูมิศาสตร์ ซึ่งมี มาตรฐานที่ครอบคลุม
จดุ หมายของหลักสตู ร

ในศตวรรษที่ 21 ที่โลกเปลีย่ นแปลงไปเร็วมาก ครูต้อง เตรียมการเพื่อพัฒนาผู้เรียนตัง้ แต่ระดบั อนบุ าล
จนถึงระดับ มัธยมศึกษาตอนปลายที่เปน็ เจเนอเรชัน แซด (Generation Z) (คณะกรรมการส่งเสริมการจัด
สวสั ดิการสงั คมแหง่ ชาติ, 2548), (สวทช., 2560) ทมี่ คี วามรสู้ กึ ว่าตวั เองพเิ ศษมีความเช่ือมั่นสูง ทำอะไรก็ต้อง
ใหไ้ ดท้ นั ที มีเทคโนโลยเี ปน็ ส่วนสำคญั ในชีวิตและ ค่อนข้างติดสบายแตข่ ้อดขี องผเู้ รยี นยคุ น้ี คอื มจี ติ สาธารณะ
รักษาสิ่งแวดล้อม มีชีวิตที่มีแบบแผนเป็นระเบียบและมีความ เคารพกฎหมายมากกว่าคนยุคก่อนๆ เพราะ
ได้รับการปลูกฝงั มาดี (กุลวดี ทองไพบูลย์, 2557) ครูสังคมศกึ ษาจึงต้องนำขอ้ ดีของ ผู้เรียนรุ่นน้ีมาเป็นปัจจยั
สง่ เสรมิ ในการพฒั นาการเรยี นรู้

ครูสังคมศึกษาต้องเข้าใจภาวะเศรษฐกิจและแผนพัฒนา เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเป็นอย่างดี เพ่ือ
นำมาบูรณา การกับการจัดการเรยี นรสู้ งั คมศึกษาใหไ้ ปในทศิ ทางเดยี วกัน ธานินทร์ ผะเอม (2558) สรปุ ว่า การ
พัฒนาเศรษฐกิจไทยใน ช่วง 5 ทศวรรษที่ผ่านมาประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจ โครงสร้างการผลติ
เปลย่ี นผ่านจากภาคเกษตรไปสู่ภาค อุตสาหกรรมและบริการมากข้นึ มศี กั ยภาพทจี่ ะพัฒนาเพื่อ สร้างฐานการ
ผลติ สำหรบั ขบั เคลือ่ นเศรษฐกิจเข้าสูป่ ระเทศทีม่ ี รายได้สงู ในอนาคต

2

ดังนั้นการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาในศตวรรษที่ 21 จึงต้องส่งเสริมการพัฒนาประเทศไทยไปสู่โมเดล
ประเทศไทย 4.0 (สุวิทย์ เมษนิ ทรีย์, 2559) ที่มีเปา้ หมายจะพฒั นาประเทศให้ เป็นประเทศในโลกทีห่ นง่ึ ภายใน
ปี 2579 (สวุ ทิ ย์ เมษินทรีย์, 2558) เป็นประเทศใหม้ ีรายไดส้ งู และขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรม ด้วยการ
พัฒนาทส่ี มดลุ 4 มิติ ได้แก่ มคี วามสมดุลในความมั่งค่งั ทางเศรษฐกิจ การอนุรักษส์ ่ิงแวดลอ้ ม การมีสงั คมท่อี ยู่
ดีมีสุข และการเสริมสร้างภูมิปัญญามนุษย์ และต้องปรับระบบการ ศึกษาให้เป็น “การศึกษาไทย 4.0” ที่
จะต้องปรับปรุงตำราเรียนและเปลี่ยนระบบการประเมินให้สอดคล้องกับหลักสูตรเน้นการ คิดวิเคราะห์ให้
สอดคล้องกับทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 การสอนสังคมศึกษาในศตวรรษที่ 21 จึงจำเป็นต้องปรับ
เปลี่ยนกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจนเกิด ทักษะการเรียนรู้เพื่อให้บรรลุจุดหมายของ
หลกั สตู ร พรอ้ มท่ี จะเป็นพลเมืองของประเทศในการก้าวส่ปู ระเทศไทย 4.0 ซ่งึ ครสู ังคมศึกษาและผู้เรียนต้อง
ร่วมมอื กันจัดการเรียนรู้ท่ี สามารถนำประสบการณ์การเรียนรูไ้ ปใช้ในชีวติ จริงได้ ซึ่งจะ กล่าวในรายละเอียด
ต่อไป

สังคมศกึ ษากบั ทักษะการเรยี นร้ใู นศตวรรษท่ี 21

การจดั การเรยี นรู้สังคมศกึ ษาในบริบทท่มี กี ารเปลย่ี นแปลง อยา่ งรวดเร็ว ตอ้ งคำนึงถงึ ทักษะการเรียนรู้ใน
ศตวรรษที่ 21 ซึ่งเริ่มต้นในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีแนวคิดเรื่อง “ทักษะแห่ง อนาคตใหม่: การเรียนรู้ใน
ศตวรรษที่ 21” (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2557) พัฒนาโดยเครือข่ายองค์กรความร่วมมือเพ่ือทักษะการ เรียนรู้
ในศตวรรษที่ 21 (Partnership for 21st Century Skills: P21) ที่ต้องการเห็นเยาวชนมีทักษะ 3R
ประกอบดว้ ย Reading (การอ่าน) wRiting (การเขียน) และ aRithmetic (คณิตศาสตร)์ และ 7C ประกอบดว้ ย
Critical Thinking & Problem Solving (ทักษะด้านการคดิ อย่างมวี จิ ารณญาณ และทักษะในการ แก้ปญั หา)
Creativity & Innovation (ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม) Cross-Culture Understanding
(ทักษะด้าน ความเข้าใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์) Collaboration, Teamwork & Leadership
(ทักษะด้านความร่วมมือ การ ทำงานเป็นทีม และภาวะผู้นำ) Communications, Information & Media
Literacy (ทักษะด้านการสื่อสาร สารสนเทศ และ รู้เท่าทันสื่อ) Computing & ICT literacy (ทักษะด้าน
คอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร) Career & Learning Skills (ทักษะอาชีพ และทกั ษะ
การเรียนรู)้ สาระวิชาหลักและทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ ภาษาอังกฤษ การอ่าน ภาษา
ของโลก ศลิ ปะ คณิตศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภมู ศิ าสตร์ ประวตั ศิ าสตรก์ าร ปกครองและความเปน็
พลเมืองที่ดี โรงเรียนต้องสง่ เสริมความ เข้าใจเนือ้ หาวชิ าการให้อยู่ในระดับสูงด้วยการสอดแทรกทักษะ เพื่อ
การดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21 เข้าในวิชาหลักทุกวิชา ได้แก่ ความรู้เรื่องโลก ความรู้ด้านการเงิน เศรษฐกิจ
ธุรกิจและการ เป็นผู้ประกอบการ ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองที่ดี ความรู้ด้าน สุขภาพ และความรู้ด้าน
ส่ิงแวดลอ้ มซงึ่ สัมพันธ์กบั สาระของ สงั คมศกึ ษาทัง้ 5 สาระ ทีอ่ ิงมาตรฐานการเรยี นรู้ (กระทรวง ศึกษาธิการ,
2551) จะเห็นไดว้ ่าการสอนสงั คมศกึ ษาในศตวรรษท่ี 21 นัน้ ครู ต้องทำงานหนักในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
ใหบ้ รรลจุ ดุ หมาย ของหลกั สูตร ผู้เขยี นต้งั ใจนำเสนอเร่ืองการจัดการเรยี นรทู้ ี่เน้นผู้ เรยี นเป็นสำคัญ (student-
centered learning) ทค่ี รมู ีบทบาท ในการพฒั นาผู้เรียนให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ท่มี คี ุณภาพ เพ่ือการ พัฒนา
ประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ต่อไป

3

ครูสงั คมศกึ ษา เจเนอเรชนั ซี (Generation C) กบั ผู้เรียน เจเนอเรชนั แซด (Generation Z)

ผู้เรยี นในระดบั การศึกษาข้ันพื้นฐานในปัจจบุ ันเปน็ วัย ที่เรียกกันวา่ เจเนอเรชัน แซด (MTHAI, 2016) ซึง่
เกดิ ต้งั แต่ ปี พ.ศ. 2538 เป็นตน้ มาทมี่ ีลกั ษณะทคี่ รูควรทำความเขา้ ใจ และนำไปเป็นปจั จยั ส่งเสริมการเรียนรู้
ได้แก่ การมีสมาร์ทโฟน เป็นอวัยวะที่ 33 เป็นมนุษย์ข้อมูลท่ีห่วงอนาคต เชือ่ มโลก เชื่อมวัฒนธรรม มีความ
อดทนต่ำ มีแนวโนม้ เป็นมนุษย์ หลายงาน (มนัสนันท์ หัตถศักด์ิ, 2557) ต้องการความรักและความ ห่วงใย มี
ต้นแบบในวยั ใกล้เคียงกัน ตอ้ งการเหตผุ ลและหาความรู้ ไดท้ ุกที่ผ่านเทคโนโลยีสมยั ใหม่ ครสู ังคมศกึ ษายคุ น้จี งึ
ต้องให้ความสำคัญในการจัด ห้องเรียนที่นำเอาเทคโนโลยีมาเสริมกับกิจกรรมการเรียนรู้ ให้แรงจูงใจ มีการ
แขง่ ขัน มรี างวัล จะทำให้ผูเ้ รียนกระตือรือรน้ ในการเรียนรู้และครูตอ้ งปรบั ตัวให้เข้ากบั เจเนอเรชัน แซด โดย
การพฒั นาตนเองใหเ้ ปน็ เจเนอเรชนั ซี (มนสั นันท์ หัตถศักด์ิ, 2557; กระปกุ , 2556; สวทช., 2560) ท่สี ามารถ
ใชส้ มารท์ โฟน อนิ เทอร์เน็ต และโซเชียลมีเดีย เป็นผ้แู บง่ ปนั ความรูแ้ ละขอ้ มลู ข่าวสาร ดงั นนั้ ครเู จเนอเรชัน ซี
ของผู้เรียนเจเนอเรชัน แซด ต้องยึดหลักลดเวลาเรียนเพิ่มเวลารู้ (teach less, learn more) เพื่อมีเวลาให้
ผู้เรียนปฏิบัติมากขึ้น มีคุณลักษณะเป็น “ครู 9 E” (มนัสนันท์ หัตถศักดิ์, 2557) คือ มี Experience
(ประสบการณก์ ารเรยี นรผู้ ่านอินเทอร์เน็ต) Extended (มที กั ษะ การคน้ หาความรูด้ ้วยเทคโนโลยี) Expanded
(ขยายความรู้ ด้วยเทคโนโลยีสู่ผู้เรียน) Exploration (สามารถเลือกเนื้อหา ที่ทันสมัยส่งเสริมความคิด
สร้างสรรค)์ Evaluation (เปน็ นัก ประเมินท่ีด)ี End-User (เปน็ ผ้ใู ช้ปลายทางทีด่ ี) Engagement (แลกเปล่ยี น
ความเหน็ หาแนวรว่ มบนอินเทอรเ์ น็ต) และมี Efficient and Effective (ประสทิ ธิภาพและประสทิ ธผิ ลจะตอ้ ง
เปน็ ผใู้ ช้เทคโนโลยไี ด้อย่างคล่องแคล่ว)

การจัดการเรียนรู้ทเ่ี น้นผเู้ รยี นเป็นสำคัญ

หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พ.ศ. 2551 (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2551) ยึดหลักการวา่ ผู้เรยี นมี
ความสำคัญที่สุด จึงต้องจัดกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย ได้แก่ กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ
กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญ สถานการณ์และ
แก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์ จริง กระบวนการปฏิบัติลงมือทำจริง กระบวนการจัดการ
กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรูจ้ ากการเรียนรู้ของตนเอง กระบวนการพัฒนาลกั ษณะนิสัย และมีการ
ออกแบบการจัดการ เรียนรู้โดยเลือกใชว้ ิธสี อนและเทคนิคการสอน สื่อ/แหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผล
เพื่อให้ผู้เรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ ครูสังคมศึกษาควรใช้กระบวนการเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
(กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2551) โดยการศึกษาวิเคราะหผ์ ูเ้ รยี น เปน็ รายบุคคล กำหนดเป้าหมายท่ตี ้องการให้เกิด
ขึ้นกบั ผูเ้ รยี น ออกแบบการเรยี นรแู้ ละจดั การเรยี นรูท้ ่ีตอบสนองความแตก ตา่ งระหว่างบุคคล จดั บรรยากาศท่ี
เอ้ือต่อการเรียนรู้ จัดเตรียม และเลือกใชส้ ือ่ ใหเ้ หมาะสม การประเมินความกา้ วหน้าของ ผู้เรียนด้วยวิธีการท่ี
หลากหลาย และวิเคราะหผ์ ลการประเมนิ มาใช้ในการซ่อมเสรมิ และพัฒนาผเู้ รียน รวมทง้ั ปรบั ปรุงการ จัดการ
เรียนการสอนของตนเอง ในขณะเดียวกันครูต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนเปลี่ยนบทบาท เช่นกัน โดยผู้เรียนต้อง
กำหนดเปา้ หมาย วางแผนและรับผิดชอบ การเรียนรู้ของตนเอง เสาะแสวงหาความรู้ เข้าถึงแหล่งการเรยี นรู้
วิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อความรู้ ตั้งคำถาม คิดหาคำตอบหรือหา แนวทางแก้ปัญหาด้วยวิธีการต่างๆ ลงมือ
ปฏิบัติจริง สรุปสิ่งที่ได้ เรียนรู้ด้วยตนเอง และนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ ต่างๆ มีปฏิสัมพันธ์
ทำงาน ทำกิจกรรมร่วมกับกลุม่ และครู ประเมินและพัฒนากระบวนการเรียนร้ขู องตนเองอย่างต่อเนือ่ ง

4

ปญั หาการจัดการศกึ ษา

การจัดการศึกษาของไทยยังมีปัญหาอยู่หลายประการ ซึ่ง วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์ (2557) เอ็มมี นิชานันท์
(2557) ได้สรปุ ไว้วา่

1. คุณภาพการศึกษาพื้นฐานตกต่ำจากการจัดสอบ PISA (Programme for International Students
Assessment) ขององค์การความร่วมมือทางเศรษฐกจิ และการพฒั นา (OECD) พบว่า นักเรียนไทยท่ีมีความรู้
วิทยาศาสตร์อยู่ในระดับสูงมี เพียงร้อยละ 1 เท่านั้น และจากการจัดการทดสอบการศึกษา ขั้นพื้นฐาน (O-
Net) พบว่า ในปีการศกึ ษา 2558 ผู้เรยี นทง้ั ระดบั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 มัธยมศึกษาปีท่ี 3 และมัธยมศึกษาปีท่ี 6
มีคะแนนเฉลีย่ ของรายวิชาหลักไม่ถึงรอ้ ยละ 50 ดังน้ี ผู้เรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (สถาบันทดสอบทางการ
ศึกษาแหง่ ชาติ, 2559ก) ประมาณ 4.7 แสนคน สอบไดค้ ะแนน เฉล่ยี ภาษาไทย 48.39 คะแนน สงั คมศึกษาฯ
47.64 คะแนน ภาษาอังกฤษ 36.61 คะแนน คณิตศาสตร์ 41.76 คะแนน และ วิทยาศาสตร์ 41.55 คะแนน
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 (สถาบัน ทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ, 2559ข) ประมาณ 6.5 แสน คนสอบไดค้ ะแนน
เฉล่ียภาษาไทย 42.64 คะแนน สังคมศึกษาฯ 46.24 คะแนน ภาษาองั กฤษ 30.62 คะแนน คณิตศาสตร์ 32.40
คะแนน และวทิ ยาศาสตร์ 37.63 คะแนน ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 6 (สถาบนั ทดสอบทางการศึกษาแหง่ ชาติ, 2559
ค) ประมาณ 4.235 แสนคนสอบได้คะแนนเฉลี่ยภาษาไทย 49.36 คะแนน สังคมศึกษาฯ 39.70 คะแนน
ภาษาอังกฤษ 24.98 คะแนน คณติ ศาสตร์ 26.59 คะแนน และวิทยาศาสตร์ 33.40 คะแนน

2. ปัญหาของครูในประเทศไทยนิยมอาชีพแพทย์หรือ วิศวกรแม้จะผลิตครูประมาณ ปีละ 12,000 คน แต่
บรรจุครูใหม่ เพียงปีละ 3-4 พันคนเท่านั้น นอกจากน้ีเงนิ เดือนของครตู ำ่ จึงไมม่ ีแรงจูงใจให้คนเก่งมาเปน็ ครู
และปัญหาหนสี้ ินของครู

3. การผลิตบัณฑติ ไม่สอดคล้องกับความต้องการของ ประเทศในภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการผู้จบสายอาชีวะ
ประมาณ คร่ึงหน่ึงของผเู้ รยี น แต่มผี ูเ้ รยี นอาชีวะเพยี งร้อยละ 27 เท่านั้น

4. คณุ ภาพอุดมศกึ ษามหาวทิ ยาลยั หลายแห่งมีปญั หา เร่ืองการจดั การศกึ ษาทำใหป้ ระสบปัญหาเรอื่ งความคุ้ม
ทนุ จึงเน้นเปดิ สาขาทีม่ ีตน้ ทนุ ตำ่ ผลติ บณั ฑิตจนล้นตลาด สง่ ผลให้ ประเทศขาดแคลนบณั ฑิตในสาขาที่หายาก
5. ขาดวิการจัยและพัฒนา ขาดนวัตกรรม ในปี 2548 อาจารย์อุดมศึกษาประมาณ 50,000 คน ตีพิมพ์
ผลงานวิจัย ประมาณ 2,000 เรอื่ ง (สหรัฐอเมรกิ า ปลี ะ 200,000 เร่อื ง ญปี่ ่นุ 50,000 เรื่อง สหราชอาณาจักร
40,000 เร่อื ง จนี 12,000 เร่อื ง) จากขอ้ มูลของธนาคารโลก (ประเทศไทยอยตู่ รงไหน, 2555) รายงานจำนวน
นักวิจัยต่อประชากรหน่ึงล้านคน (2550) ดังนี้ สวีเดน 4,979 คน ญี่ปุ่น 5,409 คน, เกาหลี 4,672 คน,
สหรฐั อเมริกา 4,673 คน, สงิ คโปร์ 5,955 คน จนี 1,077 คน ในขณะทีป่ ระเทศไทยมีเพียง 316 คน ซ่ึงนับว่า
นอ้ ยมาก

6. ปัญหาของการจดั การศกึ ษา การใช้หลกั สูตรล้มเหลว ครไู มเ่ ข้าใจหลกั สูตร ซึง่ เปน็ ปัญหาทส่ี ง่ ผลกระทบต่อ
เยาวชนไทย ไม่สอดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการและความคาดหวังของผปู้ กครอง ดังนัน้ ปญั หาการจัดการศึกษาจึง
ตอ้ งแก้ไขอย่างเรง่ ดว่ น ท้งั รัฐบาล กระทรวงศกึ ษาธกิ าร นักการศึกษา ครู และบคุ ลากร ทางการศึกษา รวมท้ัง
ผ้ปู กครองตอ้ งร่วมมือกันแกไ้ ขโดยด่วน ผา่ นชอ่ งทางของสมาคมผปู้ กครอง โรงเรียน เขตพนื้ ท่กี ารศึกษา และ
เวทีประชุมสมั มนาต่างๆ โดยใชก้ ารวิจัยเป็นฐานในการแก้ ปญั หา

5

ปรัชญาการสรา้ งความรู้ดว้ ยตนเอง (Constructivism)

การสร้างความรู้ด้วยตนเอง เป็นปรัชญาการเรียนรู้ (Funderstanding, 2011) ที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติ
ของความ ASJ PSU 231 รู้ของมนษุ ย์ มีความหมายท้งั ในเชิงจติ วิทยาและเชงิ สงั คมวิทยา ทฤษฎดี า้ นจิตวิทยา
เร่ิมต้นจาก ฌอง เพยี เจต์ (Jean Piaget) เสนอว่า การเรียนรู้ของเดก็ เปน็ กระบวนการส่วนบุคคลมีความ เป็น
อัตนยั และไวก็อตสกี (Vygotsky) ได้ขยายขอบเขตการเรยี นรู้ ของแตล่ ะบุคคลว่า เกิดจากการสอื่ สารทางภาษา
กับบุคคลอื่น สำหรับด้านสังคมวิทยา อีมิล เดอร์ไคหม์ (Emile Durkheim) และคณะ เชื่อว่าสภาพแวดล้อม
ทางสงั คมมีผลต่อการเสรมิ สร้าง ความรู้ใหม่ (ทิศนา แขมมณี, 2554)

การเรียนรู้ตามแนวการสร้างความรู้ด้วยตนเอง จัดเป็น ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม (cognitive
psychology) มรี ากฐานมาจากผลงานของ ออซูเบล และ เพียเจต์ (Ausubel & Piaget) สรุปไดว้ ่า 1) ผเู้ รียน
เปน็ ผู้สร้าง (construct) ความรู้ จากความสมั พันธร์ ะหว่างส่ิงที่พบเหน็ กับความรูค้ วามเขา้ ใจทม่ี ี อยูเ่ ดมิ โดยใช้
กระบวนการทางปัญญา (cognitive apparatus) 2) โครงสร้างทางปัญญา เป็นผลของความพยายามทาง
ความคิด ผู้เรียนสร้างเสริมความรู้ผ่านกระบวนการทางจิตวิทยาด้วย ตนเอง ผู้สอนไม่สามารถปรับเปลี่ยน
โครงสร้างทางปัญญาของ ผู้เรียนได้ แต่สามารถช่วยผู้เรียนปรับเปลี่ยนโครงสร้างทาง ปัญญาได้โดยจัด
สภาพการณท์ ่ีทำให้เกิดภาวะไม่สมดลุ ขน้ึ

บทบาทของครูในการจดั การเรียนรู้

ครตู ้องเปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนสงั เกต สำรวจเพ่ือใหเ้ หน็ ปญั ญามีปฏิสัมพันธ์กับผูเ้ รียน เช่น แนะนำ ถามให้
คิด หรอื สร้าง ความรูไ้ ด้ดว้ ยตนเอง และการคดิ คน้ ตอ่ ไป การให้ทำงานเป็นกลมุ่ ประเมนิ ความคดิ รวบยอดของ
ผู้เรียน ตรวจสอบความคิดและ ทักษะการคิดต่างๆ การแก้ปัญหาและพัฒนาผู้เรียนให้เคารพ ความคิดและ
เหตุผลของผ้อู ื่น

บทบาทของผู้เรยี นในการเรียนรู้

ผเู้ รยี นเป็นผู้ปฏิบัตแิ ละสร้างความร้ไู ปพร้อมๆ กนั ดว้ ย ตนเอง บทบาททค่ี าดหวงั จากผู้เรยี น คือ มีความ
ยินดรี ว่ ม กิจกรรมดว้ ยความสมคั รใจเรียนรไู้ ดเ้ อง ร้จู ักแสวงหาความรู้ จากแหล่งความรู้ต่างๆ แกไ้ ขปญั หาอยา่ ง
มเี หตผุ ล มีความรสู้ ึก และความคิดเปน็ ของตนเอง วิเคราะห์พฤติกรรมของตนเอง และผ้อู ่ืนได้ มกี ารช่วยเหลือ
ซึ่งกันและกัน รบั ผดิ ชอบงานทไ่ี ด้รับ มอบหมายและนำสง่ิ ทีเ่ รยี นรู้ไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ติ จรงิ ได้

การเรยี นรู้แบบลงมอื ปฏบิ ัติ (Active Learning)

การเรยี นรู้แบบลงมือปฏบิ ตั ิ (ปานวาด อวยพร, 2557) เป็นกระบวนการจัดการเรียนรู้ทผ่ี ูเ้ รยี นลงมอื
กระทำและ ใช้กระบวนการคดิ เก่ยี วกบั สง่ิ ทไี่ ดก้ ระทำลงไป เปน็ การจัด กิจกรรมการเรยี นรูภ้ ายใตส้ มมติฐาน
พื้นฐาน 2 ประการ คอื การเรียนรูเ้ ป็นความพยายามโดยธรรมชาตขิ องมนษุ ยแ์ ละแต่ละ บุคคลมแี นวทางใน
การเรียนรทู้ ีแ่ ตกตา่ งกัน โดยผ้เู รยี นจะเปลย่ี น บทบาทจากผรู้ บั ความรไู้ ปสูก่ ารมสี ่วนรว่ มในการสรา้ งความรู้
สามารถเก็บความจำในระบบความจำระยะยาวทำใหผ้ ลการ เรียนรยู้ งั คงอยูไ่ ด้ในปรมิ าณท่มี ากกว่าและคงทน
กวา่ ดงั รปู กรวย แหง่ การเรียนรู้ซงึ่ แบง่ เป็น 2 กระบวนการ คอื

6

ทม่ี า http://www.sparkinsight.com/factlets
กระบวนการเรียนรู้แบบบรรยาย (passive learning) เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีทำให้ผลการเรียนรู้ของ

ผู้เรียนเพิ่มขึน้ เพียงร้อยละ 50 เท่านั้น ในขณะที่กระบวนการเรยี นรู้แบบลงมือ ปฏิบัติ (active learning) ที่
ผู้เรียนนำเสนองานทางวิชาการ การ เรียนรู้ในสถานการณ์จำลองทั้งมีการฝึกปฏิบัติ ในสภาพจริง มี การ
เชือ่ มโยงกบั สถานการณต์ ่างๆ จะทำใหผ้ ลการเรยี นรเู้ พ่ิมขึ้น ถงึ รอ้ ยละ 90

บทบาทของครูในการจดั การเรียนรู้ (ณชั นัน แก้วชัยเจรญิ กิจ, อ้างถงึ ใน สิรพิ ร ปาณาวงษ์, 2557) ครูจัด
กิจกรรมที่เน้น ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนการสอนเน้นการนำไป ใช้ประโยชน์ในชีวิตจริง สร้าง
บรรยากาศของการมีส่วนร่วม และการเจรจาโต้ตอบ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้สอนและเพื่อนใน ชั้นเรียนทุก
กิจกรรมจดั สภาพการเรยี นรูแ้ บบร่วมมอื ทที่ ้าทาย และหลากหลาย

บทบาทของผ้เู รียนในกระบวนการเรียนรู้ (ไชยยศ เรอื งสวุ รรณ, อ้างถงึ ใน สถาพร พฤฑฒิกุล, 2559) ท่ีมี
สว่ นร่วม ในการเรียนรสู้ ามารถสรา้ งองค์ความร้แู ละจัดระบบการเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง การสร้างองค์ความรู้และ
ร่วมมือกันมากกวา่ การ แข่งขันได้เรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน มีวินัยในการทำงาน เป็นกระบวนการสร้าง
สถานการณ์ให้ผูเ้ รยี นอ่าน พูด ฟัง คดิ เน้นทักษะการคดิ ขน้ั สงู

ครูสังคมศกึ ษาจงึ ตอ้ งวางแผนในจัดการเรยี นรทู้ ีเ่ น้น กระบวนการเรยี นรู้แบบลงมอื ปฏบิ ตั ิในทุกสาระ ทั้ง
สาระศาสนา หน้าทีพ่ ลเมือง เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ โดยการ ออกแบบกจิ กรรมอยา่ งชัดเจน
ที่สำคัญยงิ่ คอื ครูต้องใจกว้าง ยอมรับความสามารถในการแสดงออก และความคิดเหน็ ของ ผูเ้ รียน

รปู แบบการจัดการเรียนรสู้ งั คมศึกษาในศตวรรษที่ 21

ในบทความนี้ ผู้เขียนมีความตั้งใจที่จะยึดปรัชญาการเรียนรู้ การสร้างความรู้ด้วยตนเอง
(constructivism) และวิธีสอนแบบ การลงมือปฏิบัติ (active learning) มาประยุกต์ใช้ในการจัดการ เรียนรู้
สงั คมศกึ ษา 5 รูปแบบ ไดแ้ ก่
1. การจดั การเรยี นร้แู บบการใชป้ ญั หาเป็นฐาน (Problem-based learning)
2. การจัดการเรยี นรแู้ บบการใช้โครงงานเปน็ ฐาน (Project-based learning)
3. การจัดการเรียนรู้แบบการใช้ความคดิ สร้างสรรค์ เป็นฐาน (Creativity-based learning)

7

4. การจัดการเรยี นรูแ้ บบสะเตม็ ศึกษา (STEM education)

5. การศึกษาบทเรียนและวธิ ีการแบบเปดิ (Lesson study & open approach)

1. การเรียนรู้แบบการใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน (Problem–based learning) (ไพศาล สุวรรณน้อย, 2558)

จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) เป็นผูค้ ิดวธิ ีสอนแบบ แก้ปัญหาไดเ้ สนอแนวคดิ ว่าการเรยี นรู้เกดิ จากการปฏิบัติ
หรือ ได้ลงมือกระทำด้วยตนเองนำไปสู่แนวคิดของการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ปัญหาเป็นฐาน พัฒนาโดยคณะ
วิทยาศาสตร์สุขภาพ Mcmaster University ประเทศแคนาดา การเรียนรู้โดยใช้ ปัญหาเป็นฐานใช้ปัญหาที่
เกิดขึ้นจริงเป็นบริบทของการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะในการคิดที่หลากหลาย เช่น การคิด
วจิ ารณญาณ คดิ วิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคดิ สรา้ งสรรค์ ฯลฯ แมจ้ ะนยิ มใชใ้ นการเรียนวิทยาศาสตรแ์ ต่
ก็มคี วาม เหมาะสมอย่างยงิ่ ทีจ่ ะนำมาใชใ้ นการจัดการเรียนรูส้ งั คมศึกษา ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี

การจัดการเรียนรู้โดยใช้ปัญหาเป็นฐานมลี กั ษณะ สำคัญ ได้แก่ 1) ผู้เรียนเป็นศนู ย์กลางของการเรียนรู้
อยา่ งแท้จรงิ 2) จดั กล่มุ นกั เรยี นกลมุ่ ละประมาณ 5-8 คน 3) ครูทำหน้าที่ เป็นผู้อำนวยความสะดวกหรือผู้ให้
คำแนะนำ 4) ใชป้ ัญหาเปน็ ตัวกระตุ้น (สง่ิ เรา้ ) ให้เกดิ การเรียนรู้ 5) ปัญหาทนี่ ำมาใช้ตอ้ ง มลี กั ษณะคลมุ เครือ
ไม่ชดั เจนมีวิธแี กไ้ ขปญั หาไดอ้ ย่างหลาก หลาย อาจมีคำตอบไดห้ ลายคำตอบ 6) นกั เรยี นเป็นผแู้ ก้ปัญหา โดย
การแสวงหาข้อมูลใหม่ๆ ด้วยตนเอง และ 7) ประเมินผล จากสถานการณ์จริงในขณะทำกิจกรรมการเรียนรู้
(learning process) และผลงานจากการเรียนรู้ (learning product)

จากผลการวจิ ยั ทางด้านการเรียนรโู้ ดยใชป้ ญั หาเป็น ฐานพบวา่ มีข้ันตอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 7
ขัน้ ตอน (ไพศาล สวุ รรณน้อย, 2558) ประกอบด้วย 1) ทำความเขา้ ใจคำ ศัพทข์ อ้ ความท่ปี รากฏอยู่ในปัญหา
ใหช้ ัดเจน 2) ระบปุ ัญหาหรอื ขอ้ มูลสำคญั ร่วมกนั 3) ระดมสมองเพื่อวิเคราะหป์ ญั หาต่างๆ 4) วิเคราะหป์ ัญหา
เพ่ืออธิบายและตง้ั สมมตฐิ านท่ีเชอ่ื มโยงกัน กบั ปัญหาตามทีไ่ ดร้ ะดมสมอง 5) กำหนดวัตถปุ ระสงค์การเรียนรู้
เพื่อค้นหาขอ้ มูลทีจ่ ะอธิบายผลการวิเคราะห์ที่ตั้งไว้ 6) ค้นคว้า ด้วยตนเองจากส่ือและแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ
และพฒั นาทกั ษะ การเรียนรู้ 7) รายงานผลสรปุ เปน็ หลกั การและแนวทางเพือ่ นำไปใช้โอกาสตอ่ ไป

บทบาทของครู

ครูมีบทบาทในการใช้คำถาม “อย่างไร” ทุกครั้งท่ีผู้เรียน เสนอแนวคำตอบแนะนำให้เสนอความรู้แบบ
ตา่ งๆ เชน่ การ เชือ่ มโยงโมเดลอปุ มาอุปมยั แผนผงั ความคดิ เรอ่ื งท่ีคน้ พบได้ ASJ PSU 233 จากไหน ได้ข้อสรุป
อะไรบ้าง ใครได้รบั ประโยชน์จากเรื่องนี้ และไดอ้ ะไรการประเมินปฏิบัติการโดยประเมินการใช้ข้อมลู ร่วมกัน
การค้นหาและนยิ ามปัญหา การได้มาซึง่ ความรู้ การนำ ตนเองทกั ษะการเรียนแบบรว่ มมือและการแก้ปญั หาใช้
การ ประเมินตามสภาพจริง สร้างเกณฑ์การประเมิน เพื่อประเมิน การอภิปรายการเขียนอนุทินบันทึกการ
ทดลองการใหค้ ะแนน ตนเองและการสัมภาษณ์

ผลทเ่ี กดิ กับผ้เู รยี น

ผู้เรียนมีโอกาสพัฒนาทั้งความรู้ในเนื้อหาวิชาและ ทักษะต่างๆ ที่สอดคล้องกับบริบทจริงและสามารถ
นำไปใช้ใน ชีวิตจริง พัฒนาทักษะการคดิ เชิงวิพากย์ การคิดวิเคราะห์ การคิด อย่างเป็นเหตุเป็นผล การคิด

8

สงั เคราะห์ การคดิ สร้างสรรค์ และ นำไปสกู่ ารคิดแกป้ ัญหาการเรยี นร้ตู ลอดชีวิต สามารถทำงาน รว่ มกับผู้อื่น
ได้อยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ มีแรงจงู ใจในการเรียนรู้และ มคี วามคงทนของความรู้

วิชาสงั คมศึกษามปี ญั หามากมายทเ่ี ชอ่ื มโยงกบั ชีวิต จริงเหมาะกับการจดั การเรียนร้โู ดยใช้ปัญหาเป็นฐาน
เนื่องจาก ปัญหาสงั คม ปัญหาจริยธรรม ปัญหาเศรษฐกจิ ปัญหาการเมือง ปัญหาสิ่งแวดลอ้ ม และปัญหาภยั
พิบัติ ที่เกิดขนึ้ เปน็ เรือ่ งที่ กระทบกบั ทุกคน ดังน้นั การฝกึ ทกั ษะในการแก้ปัญหาจึง เปน็ การเตรียมความพร้อม
ให้ผ้เู รียนกอ่ นออกไปส่กู ารดำเนิน ชีวติ จริง เพ่ือใหม้ คี วามสุขและสามารถอย่รู ่วมกันอย่างสนั ตสิ ุข ในตารางที่ 1
ผเู้ ขยี นวเิ คราะหจ์ ากสาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวฒั นธรรม และกำหนดปัญหาเป็นตัวอยา่ งเพื่อใช้
สำหรับการเรยี นสงั คมศกึ ษา

ตารางที่ 1 ปญั หาสำหรบั การจดั การเรียนรโู้ ดยใช้ปญั หาเป็นฐาน

สาระ ปัญหาสำหรับการจัดการ ทกั ษะที่สามารถฝกึ ได้

ศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม เรียนรู้

หน้าท่ีพลเมอื ง วัฒนธรรม และ ปญั หาจรยิ ธรรม ปัญหาการ 3R Reading, wRiting,
การดำเนินชีวิตในสงั คม
เศรษฐศาสตร์ บดิ เบอื นคำสอน ปญั หาการ aRithmetics 7C Critical
ประวัตศิ าสตร์
แสวงหา ผลประโยชน์ทางศาสนา Thinking & Problem Solving,

Creativity & Innovation,

Cross-Cultural

Understanding,

Collaboration, Teamwork &

Leadership,

Communications,

Information & Media

Literacy, Computing & ICT

Literacy, Career & Learning

Skills

ปัญหาคอรปั ช่ัน ปญั หาการเล่ียง

ภาษี ปญั หามรรยาทในสังคม

ปญั หายาเสพตดิ ปัญหาการพนัน

ปญั หาอาชญากรรม

ปัญหาข้าวลน้ ตลาด การออมทรพั ย์

ปญั หาราคายางตกตำ่ เศรษฐกจิ

พอเพยี ง ปัญหาการว่างงาน

การทำลายโบราณสถาน ปัญหา

การขดุ ค้นทางโบราณคดี ความ

เป็นมาของชนชาตไิ ทย

9

ภูมิศาสตร์ ปญั หาภยั แลง้ ภาวะโลกรอ้ น การ
ประมงพื้นบ้าน ปัญหาปา่ ไมเ้ สอ่ื ม

โทรม ปญั หามลพิษทางน้ำ

2. การจดั การเรยี นรแู้ บบการใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน (Project-based learning)

การเรยี นรูแ้ บบการใช้โครงงานเป็นฐาน (Projectbased learning) เปน็ การส่งเสรมิ การเรียนรตู้ ลอดชีวิต
สอดคล้องกับปรัชญาการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (constructivism) และทฤษฎีการเรียนรู้แบบร่วมมือ
(cooperative learning) ซง่ึ ครเู ป็นผจู้ ัดประสบการณใ์ ห้แก่ผู้เรียนเหมอื นกบั ชีวติ จริงอยา่ งเป็นระบบ เพื่อให้
ผู้เรียนได้สร้างองคค์ วามรู้ด้วย ตนเองพัฒนาการคิดสร้างสรรค์ การคิดแก้ปัญหา และการคดิ ขั้นสูง (higher
order thinking) การทำงานร่วมกัน ฝึกภาวะ ผู้นำและผู้ตาม การจัดการเรียนรู้แบบการใช้โครงงานเป็นฐาน
แบ่งตามกิจกรรม 4 ประเภท ได้แก่ โครงงานเชิงสำรวจ (survey project) โครงงานเชิงค้นคว้าทดลอง
(experimental project) โครงงานเชิงพัฒนาหรือสรา้ งสิ่งประดิษฐ์ (development project) และโครงงาน
เชิงแนวคิดทฤษฎี (theoretical project)

มูลนธิ ิ Autodesk, California ได้กำหนดลกั ษณะของ การจดั การเรยี นรูแ้ บบการใช้โครงงานเป็นฐานดงั น้ี
(Thomas, 2000) 1) การมีส่วนร่วมและสร้างความสนใจให้ผู้เรียน 2) ให้มี ความหมายและบริบทที่แท้จริง
สำหรบั การเรยี นรู้ 3) ผู้เรยี น ดื่มด่ำในความซับซอ้ นของปัญหาในโลกแห่งความเปน็ จริง 4) อนุญาตให้ผู้เรียน
เลอื กและการตัดสินใจในสิ่งทีส่ ำคัญ 5) มีการเชือ่ มต่อระหว่างผู้เรียนกับทรพั ยากรของชุมชนและ ผู้เช่ียวชาญ
6) ต้องการพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้และทักษะ ที่สำคัญ 7) สามารถจัดการเรียนรู้ในหลายสาขาวิชาเพ่ือ
แก้ปญั หาและสรา้ งความเข้าใจทีล่ ึกซง้ึ 8) สามารถสรา้ งโอกาสใน การสะทอ้ นและการประเมนิ ตนเอง 9) ส่งผล
ใหเ้ กดิ ผลิตภณั ฑ์ ทม่ี ีประโยชน์ และ 10) มีการจัดนทิ รรศการทดี่ เี พอ่ื นำเสนอต่อ สาธารณะ

ข้นั ตอนการทำโครงงาน

การทำโครงงานมีขัน้ ตอนในการดำเนินงานดังน้ี (คณะบรหิ ารศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี, 2558)
1) ผู้เรียน คิดและเลือกหัวเร่ืองด้วยตนเอง 2) วางแผนเขียนเค้าโครงและนำ เสนอต่อครู 3) ดำเนินงานตาม
แผนงานที่วางไว้ 4) เขียนรายงาน 5) นำเสนอผลงาน และ 6) การประเมินผลโครงงาน เพื่อสะท้อน
ความสำเร็จของการจดั กิจกรรมการเรียนรโู้ ดยครูและผ้เู รียน

บทบาทของครู

ครูต้องเป็นผู้ให้ความรู้ด้านทฤษฎี หลักการ กระบวนการ วิธีการคิดและยุทธศาสตร์การคิดกระตุ้นให้
ผู้เรยี นคิดหัวข้อโครงงานและวธิ ีการเขียนโครงงานให้คำแนะนำ ชี้แนะแหล่งข้อมูล แหล่งความรู้ และวิธีการ
ดำเนินงานให้ความรู้ ทักษะและเทคนิคในการทำโครงงานจัดงบประมาณ อุปกรณ์ สนับสนุนแต่ละโครงงาน
และเป็นท่ปี รึกษาโครงงานประสานงาน กับอาจารย์และผูท้ ีเ่ กีย่ วข้องติดตามความก้าวหน้าในการปฏิบัติ งาน
เปน็ กรรมการตรวจสอบโครงงาน ประเมนิ โครงงานของ นักเรียนและการจัดนิทรรศการ

10

ผู้เรียนจะได้รับประโยชน์หลายประการ ได้แก่ การเรียนรู้เกี่ยวกับการทำงาน การประสานงาน การ
วางแผน การทำงาน กล้าแสดงออก รู้จักหนา้ ที่ และมีความรับผิดชอบ การทำงานเป็นหมู่คณะ การเป็นผู้นำ
และผูต้ ามท่ดี ี การพฒั นา ความคดิ รจู้ กั แบ่งเวลา และการตรงตอ่ เวลา สามารถแกป้ ญั หา เฉพาะหน้าที่สำคัญ
ที่สุด คือ เข้าใจชมุ ชน เข้าใจมนุษย์และ สามารถอยูร่ ่วมกันอย่างสันตสิ ุข ในตารางที่ 2 ผู้เขียนวิเคราะห์ จาก
สาระการเรียนรู้สังคมศกึ ษา ศาสนาและวัฒนธรรม และนำ เสนอชื่อโครงงานจากผู้เรยี นที่ลงมือปฏิบัติจริงมา
เป็นตวั อยา่ ง เพอื่ ใช้เป็นแนวทางในการจดั การเรยี นรูส้ งั คมศกึ ษาให้ผ้เู รยี น เกดิ ทักษะ 3R และ 7C

ตารางท่ี 2 ตวั อยา่ งชือ่ โครงงานสำหรบั จดั การเรยี นรสู้ ังคมศกึ ษาโดยใชป้ ัญหาเปน็ ฐาน

สาระสังคมศกึ ษา ประเภทโครงงาน

ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม โครงงานประเภทสำรวจ: การสำรวจทัศนคตขิ องวัยรุ่นตอ่ การเข้าวัด (พันธุ์
หนา้ ทีพ่ ลเมอื ง วัฒนธรรม และการ สธุ ี ภาศักดี, 2559)
ดำเนินชีวิตในสงั คม โครงงานประเภทศกึ ษาค้นควา้ ทดลอง: การฝกึ สมาธแิ บบอานาปานสติ
โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์: การแต่งเพลงธรรมะ โครงงานประเภท
เศรษฐศาสตร์ ทฤษฎี: การวิเคราะห์คำสอนเรือ่ งสมั มาอาชีวะ

ประวัติศาสตร์ โครงงานประเภทสำรวจ: การสำรวจความคิดเห็นเยาวชนไทยในการ
ภูมิศาสตร์ อนุรกั ษว์ ัฒนธรรมพน้ื บ้าน (พันธ์ุสธุ ี ภาศกั ดี, 2559)
โครงงานประเภทศึกษาคน้ ควา้ ทดลอง: ศาลจำลอง
โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์: การผลติ วดี ทิ ัศน์พหวุ ฒั นธรรม โครงงาน
ประเภททฤษฎี: เส้นทางประชาธปิ ไตยสอู่ นาคต (เบญญาภา เร่อื งศลิ ป์
(เบญญาภา เรื่องศิลป์, ธนพงศ์ เพชรรัตนรงั สี, พิษณุ สุวรรณกาล และคณะ
, 2551)

โครงงานประเภทสำรวจ: ตามรอยคำขวัญด้ามขวานของสยาม (ชนกนนั ท์
แซต่ ่ัน, สภุ าวดี ใจสมคม, และ ญาณกิ า ศรีธรรม, 2555)
โครงงานประเภทศกึ ษาคน้ ควา้ ทดลอง: การประยกุ ต์ใชห้ ลกั ปรัชญาของ
เศรษฐกจิ พอเพยี ง (โสรยา ไชยารตั น์, ศศิธร ฝอยทอง, และ วรัชยา พรหม
สวรรค์, 2557)
โครงงานประเภทสงิ่ ประดิษฐ์: “Handmade Reused” ตามวิถปี รัชญา
เศรษฐกจิ พอเพียง (โครงงานวิชาสงั คมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม,
2558) โครงงานประเภททฤษฎี: การออมทรพั ย์

โครงงานประเภทสำรวจ: ชุมชนชาวจีนในสมัยอยธุ ยา (ศุภกาญจน์ แซล่ มิ่
และ สทุ ญั ญา ผุดเผือก, 2554)
โครงงานประเภทศกึ ษาคน้ ควา้ ทดลอง: การศกึ ษาพฒั นาการของตวั
อกั ษรไทย โครงงานประเภทสงิ่ ประดิษฐ:์ เครอ่ื งมอื ในยุคหนิ
โครงงานประเภททฤษฎี: คนไทยมาจากไหน (พันธ์สุ ธุ ี ภาศกั ดี, 2559)

โครงงานประเภทสำรวจ: แหลงเรยี นรดู้ ้านการทองเทีย่ วของชมุ ชนชะอำ
ด้านเหนอื (ทศพร พนู ศักดิ์, พรนิภา ทพั นาคา และ นงลกั ษณ์ ใจประนพ,
2555)

11

โครงงานประเภทศึกษาคน้ คว้าทดลอง: การชะล้างหนา้ ดิน
โครงงานประเภทสง่ิ ประดษิ ฐ:์ แบบจำลองพ้นื ทลี่ ุม่ น้ำปัตตานี
โครงงานประเภททฤษฎ:ี สึนามิ วิกฤตการณด์ ้านทรพั ยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดลอ้ ม (พงศ์พล ลาวงศ์, ธวชั ชยั คำสงู เนนิ , ชวิศ เจียมสากล, พงศธร
ศริ วิ ัฒนสกลุ , และ วิศรุต ฉาวเกรียติคณุ , 2556)

3. การจัดการเรียน รแู้ บบสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-based learning)

วิรยิ ะ ฤาชยั พาณชิ ย์ (2557ก) พบว่า การจัดการเรียนรู้ แบบสรา้ งสรรค์เป็นฐานเป็นการวจิ ยั ตอ่ ยอดมา
จากการจัดการ เรยี นรโู้ ดยใช้ปัญหาเปน็ ฐานทผ่ี เู้ รยี นได้ฝกึ ทกั ษะต่างๆ แตย่ งั ขาดทกั ษะดา้ นความคิด
สรา้ งสรรค์ จากการวจิ ัยพบว่า ผู้เรียนท่ี เรยี นรู้แบบโดยใชป้ ญั หาเป็นฐานมคี วามคดิ สรา้ งสรรคก์ อ่ นเรยี น และ
หลงั เรียนแตกต่างกันนอ้ ยมาก จงึ นำเอาทฤษฎีความคิด สร้างสรรคม์ าใช้รว่ มกับการเรยี นรู้โดยใช้ปญั หาเปน็
ฐาน พบว่า ผเู้ รยี นสามารถพัฒนาทกั ษะการคดิ สรา้ งสรรคส์ งู ขน้ึ สนกุ กบั การเรยี น ได้รบั ความรู้ สามารถนำ
ความรูไ้ ปอธิบายปรากฏการณ์ หรือแกป้ ญั หาได้ และยังส่งเสริมทกั ษะการเรยี นร้ใู นศตวรรษที่ 21 อกี ด้วย

บทบาทของครู

ครูเป็นผู้สนับสนุนให้ผูเ้ รยี นเกิดการเรียนรู้ โดยการ จัดการเรยี นรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐานประกอบดว้ ย
กระบวนการ 8 ประการ และบรรยากาศ 9 ประการ ดงั น้ี (วิริยะ ฤาชัยพาณิชย์, 2557ข)

กระบวนการ 8 ประการ ประกอบด้วย 1) สร้างแรง บันดาลใจ กระตุ้นความอยากรู้ 2) เปิดโอกาสให้
ผู้เรยี นคน้ หา รวบรวมข้อมลู แยกแยะ และนำมาสรา้ งเปน็ ความรู้ 3) การสอน จะสอนเมือ่ มีคำถาม 4) ผู้เรียนมี
โอกาสหาทางแก้ปัญหา ด้วยตนเอง 5) ใช้เกมเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ 6) แบ่งกลุ่ม ทำโครงงาน 7) ให้
ผู้เรยี นนำเสนอผลงานแบบสร้างสรรค์ และ 8) ใช้การวดั ผลดา้ นตา่ งๆ ตามเป้าหมายที่ได้ออกแบบไว้

บรรยากาศ 9 ประการ ประกอบด้วย 1) ให้ผู้เรยี นมี เวลาศึกษาค้นคว้า อภิปราย และนำเสนอมากที่สดุ
2) หลีกเล่ยี ง การอธิบายอยา่ งละเอยี ด แตจ่ ะต้ังคำถามเพอ่ื ใหผ้ ู้เรียน สนใจตอ่ 3) ครตู อ้ งหลกี เลี่ยงการตัดสิน
แบบเด็ดขาด เชน่ ถกู -ผิด 4) ครูสนบั สนุนให้ผเู้ รียนคดิ 5) ใชเ้ รอื่ งที่ผู้เรียนสนใจเปน็ เน้อื หาสำหรับการศึกษา
ค้นคว้าและตามด้วยเนือ้ หาตามตำรา 6) ควรใช้เวลาเรียนมากกว่า 90 นาทีบูรณาการรายวิชาท่ี เกี่ยวโยงกบั
ปัญหาโดยมีกลุ่มครู 2-3 คน จัดการเรยี นรู้รว่ มกนั 7) เน้นให้ผูเ้ รียนสนใจพฒั นาการตนเอง และครวู ัดผลเพอ่ื
รายงานให้ผู้เรียนทราบการพัฒนาในแต่ละด้าน 8) ผู้เรียนต้อง เรียนรู้ด้วยความสมัครใจความสนใจและให้
ความรว่ มมือ ครคู วร หลีกเล่ยี งการลงโทษ และ 9) ครูเปน็ ผู้รบั ฟงั เร่ืองราวท่ีนกั เรยี น คดิ นำเสนอ และเรียนรไู้ ป
พร้อมๆ กัน ครคู วรใหก้ ำลงั ใจและ แสดงความคดิ เหน็ ในโอกาสที่เหมาะสม

ตวั อยา่ งการจดั การเรยี นรู้

ปญั หาทใี่ ช้สำหรับการจดั การเรียนรแู้ บบการใช้ความ คดิ สร้างสรรคเ์ ป็นฐานเหมอื นกบั การเรยี นรแู้ บบการ
ใชป้ ัญหา เปน็ ฐาน แตค่ รูตอ้ งสร้างบรรยากาศทสี่ ง่ เสรมิ ให้ผู้เรียนฝกึ ทักษะด้านความคดิ สรา้ งสรรคใ์ ห้มากทีส่ ุด
ตัวอย่างการจัดการ เรียนรู้แบบสร้างสรรค์เป็นฐาน เรื่อง “การอนุรักษ์แหล่งน้ำจืด” ควรมีขั้นตอนดังนี้ 1)

12

กระตุ้นความสนใจของผู้เรียนเรื่อง แหล่งน้ำจืด ปัญหามลพิษทางน้ำ จากหนังสือพิมพ์ ข่าวทาง โทรทัศน์
ผลงานวิจยั หรอื ปญั หาใกล้ตวั 2) ให้ผู้เรียนคิดตัง้ คำถามหรือหัวข้อเพ่ือค้นควา้ ในเร่อื งแหลง่ นำ้ จดื ปัญหาและ
เรอ่ื งทเ่ี กย่ี วขอ้ ง 3) แบง่ กลมุ่ ผู้เรียน ใหค้ ้นควา้ โดยใชเ้ ทคโนโลยี ที่หลากหลาย จากหลายๆ แหล่ง 4) ระหว่าง
การคน้ ควา้ ครู อาจเดินพดู คุยเพื่อกระตุ้นความสนใจหรืออธบิ ายตามทผี่ เู้ รียน ตอ้ งการ 5) วเิ คราะห์ สังเคราะห์
ขอ้ มลู เพ่อื การแก้ปัญหาอยา่ ง สรา้ งสรรคบ์ นพืน้ ฐานของความเป็นจรงิ และ 6) การนำเสนอ ผลงานของแต่ละ
กลมุ่ ตามที่คน้ คว้ามาอย่างสร้างสรรค์

4. การจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา (STEM education) (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี, 2558)

สะเต็มศึกษา เป็นการจัดการเรียนรู้ในวิชาวิทยาศาสตร์ ที่บูรณาการความรู้ 4 วิชาเข้าด้วยกัน คือ
วิทยาศาสตร์– เทคโนโลยี–วิศวกรรมศาสตร์–และคณิตศาสตร์ (Science–Technology-Engineering–
Mathematics: STEM) เน้น การนำความรไู้ ปใช้แกป้ ัญหาในชีวติ จรงิ รวมไปถงึ การพัฒนา “กระบวนการ” หรอื
“นวัตกรรม” ทีส่ ังคมโลกในศตวรรษท่ี 21 ต้องการกำลังคนที่มคี วามคิดสร้างสรรค์

สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น
พื้นฐาน (สพฐ.) กระทรวงศึกษาธิการ (แกมมาโค ประเทศไทย, 2557) ร่วมมือกันนำสะเต็มศึกษามาใช้เป็น
นวัตกรรมการจดั การ เรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีเพอื่ สรา้ งเยาวชนไทยให้มี ทกั ษะในการสร้างนวัตกรรม
ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความสามารถ ในการแข่งขันของประเทศนอกจากนี้ยังสามารถนำสะเต็ม ศึกษามา
ประยกุ ตใ์ ชใ้ นการสอนสงั คมศกึ ษาในสาระภมู ิศาสตร์ ประวตั ศิ าสตร์ (วศิณีส์ อิศรเสนา ณ อยธุ ยา, 2557) และ
เศรษฐศาสตรไ์ ด้เป็นอย่างดี เพื่อพฒั นาทักษะการแก้ปัญหา ทักษะการทำงานเป็นทีมทักษะการสื่อสาร/การ
นำเสนอทกั ษะ การใชเ้ คร่ืองมอื /เทคโนโลยคี วามคดิ สรา้ งสรรค์และนำไปส่กู าร สร้างนวตั กรรมในการดำรงชวี ติ

โครงงานเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้แบบสะเต็ม ศึกษา จึงต้องมีครูที่มีคุณภาพและเข้าใจการจัดการ
เรียนรู้แบบ สะเต็มศกึ ษาอย่างแท้จริง ส่วนผู้บริหารมีหน้าที่ในการประสาน งานสนับสนนุ ครูใหเ้ ข้าฝึกอบรม
และวางแผนการเรียนการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนมีพื้นฐานทางด้านวธิ ีหาเหตุผล (Inquiry-based) การทดลอง
(experiment) และประเมินผลตามมาตรฐานของ หลักสตู ร

เนื้อหาสังคมศึกษาที่เหมาะกบั การจัดการเรียนรู้ แบบสะเต็มศึกษา ผู้เขยี นบูรณาการศาสตร์การจดั การ
เรยี นรู้ แบบสะเตม็ ศึกษาในวิชาสังคมศกึ ษาขึ้นมาใหม่เปน็ S-STEM (Social Studies-STEM) หมายถึง การจดั
กิจกรรมการเรียนรู้วิชา สังคมศึกษาโดยการบูรณาการแบบสะเตม็ ศึกษา ในตารางที่ 3 ผู้เขียนวิเคราะห์สาระ
การเรียนรสู้ งั คมศกึ ษา ศาสนา และ วัฒนธรรม และเสนอแนะช่ือโครงงานและกระบวนการเรยี นรู้ เป็นตัวอย่าง
เพอ่ื ฝกึ ผเู้ รียนใหเ้ กดิ ทกั ษะทกั ษะ 3R และ 7C

13

ตารางท่ี 3 ช่ือโครงงานสำหรบั การจดั การเรียนรู้ S-STEM

สาระสังคมศกึ ษา ตวั อย่างโครงงาน S-STEM

ศาสนา ศลี ธรรม จรยิ ธรรม โครงงานคำสอนของพอ่ S - คำสอนของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั
ออนไลน์ รัชกาลท่ี 9
S - จำแนก วิเคราะหเ์ หตุ-ผล จัดหมวดหมขู่ องคำ
หน้าทพ่ี ลเมอื ง วฒั นธรรม โครงงานเรอื นจำอจั ฉรยิ ะ สอนของพอ่
และการดำเนินชวี ิตในสังคม T - สบื คน้ ดว้ ยอินเทอร์เน็ต/การเปิดเวบ็ ไซต์/การ
นำเสนอผลงาน
ประวตั ิศาสตร์ โครงงานรปู แบบการปกครอง E - ออกแบบ/พฒั นาเว็บไซตเ์ พอ่ื การเผยแพร่
สมัย สุโขทยั M - สรปุ จำนวน ประเภทของคำสอน และเกบ็ สถิตผิ ู้
เข้าชมเวบ็ ไซต์ Product/Innovation เวบ็ ไซตค์ ำ
ภูมิศาสตร์ โครงงานเครอ่ื งเทียบเวลาโลก
สอนของพอ่

S - การประกอบอาชญากรรมและการลงโทษ
ผู้ต้องขังในเรอื นจำ
S - วเิ คราะหป์ ระเภท สาเหตขุ องอาชญากรรม
นักโทษ และผลกระทบต่อสังคม
T - สบื ค้นด้วยอนิ เทอรเ์ นต็ การนำเสนอผลงาน
E - ออกแบบระบบเรือนจำท่มี ปี ระสทิ ธิภาพ
สามารถพฒั นา ผู้ตอ้ งขงั ใหเ้ ปน็ คนดี
M - การวัด การคำนวณแบบ สรุปจำนวน ประเภท

ของผู้ต้องขัง จำนวน/ประเภทเรอื นจำ
Product/Innovation รปู แบบเรือนจำอัจฉรยิ ะ
(พัฒนาผ้ตู ้องขังให้ เปน็ คนดกี อ่ นกลบั สูส่ งั คม)

S - หลกั การปกครองในสมัยสโุ ขทัย
S - วเิ คราะหก์ ารใชอ้ ำนาจในการปกครองหลกั ฐาน
ทางประวัตศิ าสตร์
T - สบื ค้นดว้ ยอินเทอรเ์ น็ต/การนำเสนอผลงาน
E - ออกแบบรปู แบบการปกครองสมัยสโุ ขทยั แบบ 3
มิติ เพ่ือง่ายต่อการเรียนรู้
M - การวัด เรขาคณิต การวิเคราะห์ตน้ ทนุ /กำไร
Product/Innovation แบบจำลองการปกครองสมยั
สุโขทัย

S - หลกั การของเวลาโลก GMT
S - วเิ คราะหค์ วามแตกตา่ งของเวลา/พ้นื ท่ี/การหมุน
ของโลก
T - สบื ค้นด้วยอินเทอร์เน็ต/การนำเสนอผลงาน
E - การออกแบบเครอื่ งเทยี บเวลาโลก

14

M - การวัด เรขาคณิต การคำนวณเวลาโลก การ
เปรียบเทียบเวลา Product/Innovation เครือ่ ง
เทยี บเวลาโลก

ขัน้ ตอนการจัดการเรยี นรแู้ บบ S-STEM

การจดั การเรียนร้วู ิชาสงั คมศึกษาแบบ S-STEM สาระภมู ิศาสตร์ เร่ือง โครงงานเครอื่ งเทียบเวลาโลกมขี นั้
ตอนดังนี้ 1) S-(สังคมศึกษา) การเทียบเวลามาตรฐาน GMT 2) S-(วิทยาศาสตร์) ใช้ความรู้ทางวทิ ยาศาสตร์
เช่น การหมุน ของโลก ละติจูด ลองจิจูด โซนเวลา เป็นต้น 3) T-(เทคโนโลยี) ใช้ความรู้และทักษะด้านการ
สืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต การนำเสนอผลงาน 4) E-(วิศวกรรมศาสตร์) ใช้ความรู้ทาง ด้านกระบวนการ
ออกแบบเชงิ วศิ วกรรม เชน่ การออกแบบ และการสรา้ งเครอ่ื งมือสำหรบั เทยี บเวลาที่สามารถใชไ้ ดจ้ รงิ 5) M-(
คณิตศาสตร์) ใช้ในเรื่องของการคำนวณ การวัด เรขาคณิต การคำนวณต้นทุนการผลิต S-STEM สามารถ
พัฒนาต่อเป็น S-STEAM โดยการเพิ่ม Art เขา้ ไป เพื่อสง่ เสริมให้ผู้เรียนออกแบบผลติ ภณั ฑ์ และผลิตช้ินงานที่
สวยงาม น่าสนใจ สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มและ ผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่อไปได้ 5. การศึกษาบทเรียน (Lesson
study) และวธิ กี าร แบบเปดิ (Open approach) (นภาพร วรเนตรสดุ าทพิ ย์ และคณะ, 2552)

การศึกษาบทเรียน

การศึกษาบทเรยี น เป็นแนวคดิ ที่ครูในประเทศ ญี่ปุ่นใช้เพื่อพัฒนาวชิ าชีพมามากกว่า 100 ปี ช่วยให้ครู
พัฒนาตนเองไปพรอ้ มๆ กับการพฒั นาการเรียนร้ขู องผู้เรยี น สตกิ เลอร์ และ ฮีเบิรต์ (Stickler & Hebert, อา้ ง
ถงึ ใน สลุ ัดดา ลอยฟา้ และ ไมตรี อินทร์ประสิทธ์ิ, 2547) ไดส้ ะทอ้ น ผลสาเร็จในการพฒั นาการศึกษาบทเรียน
ของครูญี่ปุ่นที่สามารถ ํ เปลี่ยนพฤติกรรมการจัดการเรียนรูใ้ นชั้นเรียนให้เป็นตาม เป้าหมายของการปฏิรูป
การศกึ ษาของญี่ปุ่นไดเ้ ปน็ อย่างมาก เป็นรูปแบบการพัฒนาอยา่ งตอ่ เนอื่ งรักษาเป้าหมายเพื่อการ เรียนรู้ของ
ผ้เู รยี น เน้นการจัดการเรยี นรใู้ นบริบทท่ีมีครูอยูใ่ น ช้ันเรยี นและเนน้ กระบวนการเรียนรู้รว่ มกนั ของกลุ่มครู ครู
ท่ี เข้าร่วมโครงการพัฒนาการศึกษาบทเรยี นได้เห็นบทบาทตัวเองมีส่วนสนับสนุนการพัฒนาองค์ความรูด้ ้าน
การสอนและ พฒั นาวชิ าชพี ของตนเองด้วยการศึกษาบทเรยี น มีข้นั ตอนดงั น้ี (วิจารณ์ พานชิ , 2557)

1) การกำหนดเป้าหมายและการวางแผนการจดั การ เรียนรู้ โดยกลมุ่ ครูรว่ มกนั กำหนดเป้าหมายและสรา้ งแผน
การจัดการเรยี นรู้ในเรอื่ งที่ต้องการพฒั นาผู้เรยี น 2. การนำแผนการจดั การเรียนรไู้ ปใชแ้ ละการสงั เกต การสอน
โดยมอบใหค้ รูคนหนึ่งเป็นผู้สอน ในขณะที่ครูคนอ่ืนๆ และผู้บริหารโรงเรียนทำหนา้ ที่สังเกตการสอน บันทึก
การสังเกต การสอนข้อมูลเกี่ยวกับการคิดกระบวนการเรียนรู้พฤติกรรม และเหตุการณ์อื่นๆ ที่เกิดขึ้นในช้นั
เรยี น

3. การสะท้อนผล เป็นการอภิปรายเกี่ยวกับการสอน การแลกเปลี่ยนและวิเคราะห์เกี่ยวกับการเรียนรู้ของ
ผเู้ รียน ร่วมกัน และบนั ทึกการเรียนรขู้ องครเู พอื่ สะท้อนผลวา่ ครไู ด้ เรยี นรู้อะไร เพื่อนำไปปรับแผนการจัดการ
เรียนรู้สำหรับการสอน ในปีการศึกษาถดั ไป

ในระยะแรกการศึกษาบทเรียนได้นำมาบรู ณาการกับ นวัตกรรมวธิ ีการแบบเปดิ ในรายวิชาคณิตศาสตร์
แต่ต่อมามี การนำไปประยกุ ต์ใชก้ ับรายวชิ าอ่นื ๆ ตามความเหมาะสม

15

การจดั การเรียนรูโ้ ดยวธิ กี ารแบบเปดิ

วิธีการแบบเปิด (วิจารณ์ พานิช, 2557) เป็นการจัด การเรียนรู้ที่ครูใช้โจทย์สถานการณ์ใช้ปัญหา
ปลายเปดิ ใน กระบวนการเรยี นรู้ โดยท่ีผู้เรียนแต่ละคนเป็นผูน้ ำเสนอวิธกี าร แกป้ ญั หามีการแลกเปล่ยี นเรียนรู้
ในชั้นเรียน เรยี นร้วู ธิ ีการคดิ และวธิ กี ารทำความเข้าใจท้ังของตนเองและของผ้อู ื่น ร่วมกัน ทฤษฎีท่ีสนับสนุน
กระบวนการจดั การเรียนรวู้ ิธีการแบบเปิด เป็นทฤษฎกี ารสร้างองคค์ วามรู้ด้วยตนเองท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียน เกิด
แรงบันดาลใจ ได้ลองผิดลองถูกจนสามารถสร้างความรู้ ขึ้นได้ด้วยตนเองสามารถยกระดับความรู้และการ
เรยี นร้รู ว่ มกัน จนเกิดการเรยี นร้ใู นระดบั สูงเกิดสมรรถนะฝงั ลึก สามารถ แกป้ ัญหาและสร้างสรรคใ์ นเร่อื งหรือ
ในเง่อื นไขทไ่ี ม่เคยรู้ มากอ่ นเกดิ การเปล่ยี นแปลงภายในตนเองร่วมกนั สามารถ พฒั นาอุปนสิ ยั และการเรียนรู้
ตลอดชวี ติ ทำใหค้ รเู ห็นศกั ยภาพ และสมรรถนะของผเู้ รยี นไดช้ ัดเจน สามารถนำไปปรบั ปรุง แผนการจัดการ
เรียนรู้ ปรับปรุงตัวครูและช่วยเหลือผู้เรียนได้ อย่างทั่วถึง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมกระบวนการศึกษาบทเรียนให้
ประสบความสำเรจ็

การนำการศึกษาบทเรยี นและการจดั การเรียนรวู้ ิธี การแบบเปิดมาใช้ในวิชาสังคมศึกษาสามารถพัฒนาทักษะ
การคิดของผู้เรียนให้ประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี ตัวอย่าง การจัดกระบวนการเรียนรูโ้ ดยวิธกี ารศึกษา
บทเรียนและการ จัดการเรยี นรวู้ ธิ ีการแบบเปิด เรอื่ ง มลพษิ ทางน้ำ มขี ้ันตอนดงั นี้ การศกึ ษาบทเรยี น มขี ้ันตอน
ดงั น้ี

1) การกำหนด เป้าหมายและการวางแผนการจัดการเรียนรู้ โดยกลุ่มครูและ สร้างแผนการจัดการเรียนรู้
ร่วมกนั เรื่อง มลพิษทางน้ำ

2) การนำ แผนการจดั การเรยี นร้ไู ปใชแ้ ละการสังเกตการสอน ครูผสู้ อน คนหน่งึ และครคู นอนื่ ๆ เปน็ ผู้สังเกต
การสอน

3) การสะทอ้ นผล เพือ่ อภปิ รายเก่ยี วกบั การสอน การแลกเปลยี่ น และวเิ คราะห์ เกยี่ วกบั การเรียนร้ขู องผเู้ รยี น
ร่วมกนั

การจดั การเรยี นรูว้ ิธเี ปดิ มีขนั้ ตอนดังนี้

1) ขัน้ นำ เสนอปัญหาตอ่ ช้นั เรียน สร้างสถานการณ์ท่นี ำไปสู่การแก้ปญั หา มลพิษทางน้ำ เชน่ “น้ำในคลองข้าง
โรงเรยี นเน่าเสียมปี ลาตาย เป็นจำนวนมาก”

2) ขั้นลงมือทำกิจกรรมและเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ผู้เรียนเกบ็ รวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการทีห่ ลากหลายด้วยตนเอง
ASJ PSU 239 เพื่อหาสาเหตุของปัญหา ผลกระทบ วิธีการป้องกันและการ แก้ปัญหา การอนุรักษ์แหล่งนำ้
ฯลฯ

3) ข้ันอภิปรายและเปรียบ เทยี บร่วมกันทง้ั ชัน้ เรียน ผู้เรยี นนำเสนอผลงานเพือ่ ให้เพือ่ นๆ ไดร้ ับทราบถึงวิธีการ
คดิ และครจู ะร่วมอภิปรายเพ่อื พฒั นาไป เปน็ ปญั หาใหมส่ ำหรบั นำมาพฒั นาแผนการจัดการเรียนรู้ต่อไป

16

4) ขนั้ สรุปบทเรยี นร่วมกัน จากการเชอื่ มโยงแนวคดิ ของผู้เรยี น ท่ีเกดิ ขึน้ ในช้นั เรียนผา่ นการเรยี นร้รู ว่ มกันเพ่ือ
หาขอ้ สรุปของ บทเรยี น เช่น หลกั การอนรุ กั ษ์แหลง่ นำ้ จดื การเชอื่ มโยงสชู่ ีวิต จริงเร่ืองการดูแลแหล่งน้ำใกล้
บา้ นของนักเรยี น

บทสรุป

การสอนสังคมศึกษาในศตวรรษที่ 21 เปน็ ความต้งั ใจของ ผู้เขยี นในการนำเสนอแนวคดิ สำหรบั ครูสังคมศึกษา
ให้ ตระหนักในการจัดการเรียนรู้ที่เนน้ ผู้เรียนเป็นสำคัญ (student-centered learning) และสามารถเลือก
วธิ ีการ จัดการเรยี นรโู้ ดยยดึ ปรชั ญาการสรา้ งความร้ดู ้วยตนเองและ วิธีการจดั การเรียนรู้แบบ active learning
ซึ่งในบทความได้ นำเสนอวิธีการจัดการเรียนรู้เพื่อเป็นตัวอย่างแนวคิดและ แนวทางสำหรับครู เพื่อพัฒนา
ผู้เรียนในวิชาสังคมศึกษาตาม หลัก 3R และ 7C เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะในการดำรงชีวิตใน ศตวรรษที่ 21
ประกอบด้วยวธิ กี ารจัดการเรยี นรทู้ ั้งหมด 5 วิธี คือ 1) การจดั การเรยี นร้แู บบการใช้ปญั หาเปน็ ฐาน (Problem-
based learning) 2) การจัดการเรียนรู้แบบการใช้โครงงานเป็นฐาน (Project-based learning) 3) การ
จัดการเรียนรู้แบบการใช้ ความคิดสร้างสรรค์เป็นฐาน (Creativity-based learning model) 4) การจัดการ
เรยี นรู้แบบสะเต็มศึกษา (STEM education) และ 5) การศกึ ษาบทเรียนและวิธกี ารแบบเปิด (lesson study
& open approach) ผู้เขียนหวังว่าบทความนี้จะเปน็ ประโยชน์ในการพัฒนาการศึกษาของประเทศไทยให้ดี
ยิ่งขึ้น โดยครูและผู้เรียนเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงบทบาทของตนเอง เพื่อพัฒนากระบวนการเรยี นรู้ให้บรรลุ
เปา้ หมายของหลักสตู ร เพือ่ สนองตอบตอ่ ยุทธศาสตรช์ าติตอ่ ไป

17

เอกสารอ้างองิ

- ก น ก จ ั น ท ร ์ ท อ ง Kanok Chanthong แ ก ้ ไ ข 10 เ ม ษ า ย น 2560 ว า ร ส า ร ว ิ ท ย บ ร ิ ก า ร
มหาวทิ ยาลัยสงขลานครนิ ทร์ (2560), 28(2), 227-241 DOI: 10.14456/asj-psu.2017.40

- กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. สืบค้นจาก
http://www.mengrai.ac.th/ ebooktrain/sara.doc

- (13 ต ุ ล า ค ม 2557). ก า ร เ ร ี ย น ร ู ้ ใ น ศ ต ว ร ร ษ ท ี ่ 21. ส ื บ ค ้ น จ า ก
http://www.moe.go.th/moe/th/news/detail.php? NewsID=38880&Key=news_research

- ก ร ะ ป ุ ก . ( 2556, ม ี น า คม 18). คน 8 เ จ เ น อ เ ร ชั ่ น คุ ณอ ย ู ่ ใ น ก ล ุ ่ ม ไห น น ะ ?. ส ื บ ค้ น จ า ก
http://hilight.kapook.com/view/83492

- กุลวดี ทองไพบูลย์. ( 2557). เข้าใจเด็กยุคใหม ่เพื ่อก ารเลี้ ยงลูก ให้ ดี ขึ้ น. สืบค้นจาก
https://th.theasianparent.com/เขา้ ใจเด็ก ยุคใหม่-generation-z-เพอ่ื การเล้ียงลูกดขี ้ึน แกมมาโค

- โครงงานวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม. (2558, มิถุนายน 19). โครงงาน เรื่อง “Handmade
Reused” ต า ม ว ิ ถ ี ป รั ช ญ า เ ศ ร ษ ฐ ก ิ จ พ อ เ พ ี ย ง . ส ื บ ค ้ น จ า ก https://www.facebook.com/
permalink.php?story_fbid=387485564776259&id=3707 68789781270

- พ ั น ธ ุ ์ ส ุ ธ ี ภ า ศ ั ก ด ี . ( 2559). ก า ร เ ร ี ย น ร ู ้ ป ร ะ ว ั ต ิ ศ า ส ต ร ์ ด ้ ว ย โ ค ร ง ง า น . ส ื บ ค ้ น จ า ก
https://sites.google.com/site/pansutee/ project-definition

- ิริพร ปาณาวงษ์. (2557, กรกฎาคม 22). Active Learning เทคนิค การเรียนการสอนในศตวรรษที 21.
สืบคน้ จาก http://edu. nsru.ac.th/2011/files/knowlage/17-14-19_22-07 -2014_2-1.pdf


Click to View FlipBook Version