สัญญาซื้อขาย
นางสาวศรีสกุล อุ่นน้อย รหัสนิสิต 631081292
นำ เ ส น อ
อาจารย์ วีณา สุวรรณโณ
รายวิชา เอกเทศสัญญา 1
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
หลักสูตร นิติศาสตร์ ภาคปกติ ระดับปริญญาตรีปีที่2
คำนำ
รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา เอกเทศสัญญา 1 ระดับ
ปริญญาตรีชั้นปีที่ 2 เพื่อให้ศึกษาหาความรู้ในเรื่อง สัญญาซื้อขาย ทั้งนี้ได้ศึกษาอย่าง
เข้าใจเพื่อนำเอาความรู้ที่เป็นประโยชน์ให้แก่ทุกคนไม่มากก็น้อย
ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน หรือนักศึกษาที่สนใจ
กำลังหาข้อมูล เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้
จัดทำขอน้อมรับไว้ และขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
นางสาว ศรีสกุล อุ่นน้อย
ผู้จัดทำ
สารบัญ
เรื่อง หน้า
บทที่ 1 : สัญญาซื้อขาย 1
ประเภทของสัญญาซื้อขาย 2
แบบของสัญญาซื้อขาย 5
หน้าที่ของผู้ขายหน้าที่ของผู้ซื้อและการรอนสิทธิ์ 6
หลักฐานที่จะฟ้องร้องในการบังคับคดีและอายุความในการฟ้องร้อง 7
บทที่ 2 : คำอธิบายคำพิพากษาฎีกาและตัวอย่าง 14
บทที่ 3 : สรุปเนื้อหา 22
บรรณานุกรม 23
1
บ ท ที่ 1
สั ญ ญ า ซื้ อ ข า ย
ความหมาย
ลักษณะสัญญาซื้อขาย คือสัญญาที่ผู้ขายจะโอนกรรมสิทธิ์ใน
ทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อและผู้ซื้อตกลงจะใช้ราคาทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้
ขาย
วิเคราะห์สัญญาซื้อขายจะเห็นว่ากฎหมายบัญญัติเรื่องผู้ขาย
และหน้าที่ของผู้ขาย ที่จะต้องโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่บุคคล
ฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้ซื้อ
ประเภทของสัญญาซื้อขายสัญญาซื้อขาย
แบ่งออกเป็น 5 ประเภทคือ
1.สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
2.สัญญาจะซื้อจะขาย
3.สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข
4.สัญญาซื้อขายมีเงินเวลา
5.คำมั่นว่าจะซื้อหรือจะขาย
2
1.สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
1) สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด หมายถึง สัญญาสำเร็จสำเร็จ
บริบูรณ์ ตามที่ระบุในมาตรา 455 ป.พ.พ. 5 เกิดขึ้นเมื่อ คำเสนอและ
คำสนอง ถูกต้องตรงกัน กล่าวคือ ผู้ซื้อและผู้ขายได้ตกลงทำสัญญา
ซื้อขายจนเป็นการแน่นอนแล้ว
2) สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด คือ สัญญาที่คู่สัญญาทำการ
ตกลงในสาระสำคัญของสัญญาซื้อขายเสร็จสมบูรณ์แล้วไม่ต้องการ
อะไรต่อไปอีกในภายภาคหน้า
3) ทรัพย์สินที่ซื้อขายมีตัวตนอยู่แน่นอน หมายความว่า
"ทรัพย์สินที่จะทำสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดกัน ต้องมีตัวตน
แน่นอนว่าเป็นทรัพย์สินชนิดใด และต้องมิใช่ทรัพย์สินในอนาคตหรือ
ทรัพย์สินที่ผู้ขายยังไม่มีีกรรมสิทธิ์ในขณะทำสัญญาซื้อขายกัน"
4) ผู้ขายมีสิทธิจะโอนกรรมสิทธิ์ไปยังผู้ซื้อได้ทันทีที่มีการ
ตกลงทำสัญญากันโดยถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมาย7 กล่าว
คือเมื่อสัญญานั้นเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดที่มีผลสมบูรณ์
5) กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินได้โอนไปแล้วหรือไม่นั้น มิใช่
ประเด็นที่จะนำมาพิจารณาว่าเป็นสัญญาซื้อขาดเสร็จเด็ดขาดหรือไม่
?ความสำคัญอยู่ตรงที่ว่าคู่กรณีได้ตกลงกันเสร็จเด็ดขาดแล้วหรือยัง
ถ้าตกลงกันเสร็จเด็ดขาดในสาระสำคัญของสัญญาซื้อขายแล้ว 8 แม้
กรรมสิทธิ์ยังไม่ได้โอนไปเพราะสัญญาตกเป็นโมฆะก็ดี หรือเพราะมี
เงื่อนไขหรือเงื่อนเวลาบังคับไว้ก็ดี แม้ผู้ซื้อจะยังไม่ได้ชำระราคา
ทรัพย์สินหรือชำระแต่ยังไม่ครบถ้วน และแม้ผู้ขายจะไม่ได้ส่งมอบ
ทรัพย์สินให้ผู้ซื้อ ก็เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดได้
3
2.สัญญาจะซ้ือจะขาย
หมายถึง สัญญาซื้อขายที่ผู้จะซื้อและผู้จะขาย ตกลงกันว่า
จะไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่กันในภายภาคหน้า ซึ่ง
สัญญาประเภทนี้ตามมาตรา 456 วรรคสอง ได้กำหนดให้ผู้จะซื้อและ
ผู้จะขายทำหลักฐานการซื้อขายให้ไว้แก่กัน หรือวางประจำ หรือชำระ
หนี้บสางส่วนให้แก่กันด้วย มิฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีแก่กันมิได้
ทั้งนี้ การทำสัญญาประเภทนี้จะทำกันได้แต่เฉพาะการซื้อขาย
อสังหาริมทรัพย์หรือสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษเท่านั้นที่
ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ เพราะเป็น
สัญญาที่มีข้อตกลงว่าจะไปทำการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่กัน
ในภายภาคหน้า
4
3.สัญญาซ้ือขายมีเงื่อนไข
หมายถึง สัญญาซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงนำเอา
เหตุการณ์ในอนาคตที่ไม่แน่นอนมาใช้เป็นเครื่องมือเหนี่ยวรั้งการโอน
กรรมสิทธิ์ทรัพย์สินตามสัญญาซื้อขาย เช่น ตกลงว่ากรรมสิทธิ์จะยัง
ไม่โอนจนกว่าผู้ซื้อจะชำระราคาให้เสร็จสิ้น
4.สัญญาซื้อขายมีเงื่อนเวลา
หมายถึง สัญญาซื้อขายที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงนำเอาระยะ
เวลาที่แน่นอนมาใช้เป็นเครื่องมือเหนี่ยวรั้ง การโอนกรรมสิทธิ์
ทรัพย์สินตามสัญญาซื้อขาย เช่น ตกลงว่ากรรมสิทธิ์จะโอนไปยังผู้ซื้อ
ภายในวันที่ 25 มกราคม 2559
5.คำมั่นว่าจะซื้อหรือจะขาย
หมายถึง การที่ผู้จะซื้อหรือผู้จะขายได้ให้คำมั่นต่ออีกฝ่าย
หนึ่งว่าจะทำการซื้อหรือขายทรัพย์สินที่ประสงค์จะทำการซื้อขาย ถ้า
ผู้รับคำมั่นได้สนองคำมั่นภายในเวลาที่กำหนดก็จะเกิดเป็นสัญญาซื้อ
ขาย โดยคำมั่นนั้น จะผูกพันผู้ให้คำมั่นแต่เพียงฝ่ายเดียว ผู้ให้คำมั่น
ไม่อาจถอนคำมั่นของตนภายในระยะเวลาที่กำหนด
แต่ถ้าผู้ให้คำมั่น มิได้กำหนดเวลาถอนคำมั่นไว้ ผู้ให้คำมั่นจะกำหนด
เวลาในภายหลังและถอนคำมั่นภายในเวลาที่กำหนดก็ได้ ทั้งนี้ การให้
คำมั่นนั้นตามมาตรา 456 วรรคสอง ได้กำหนดว่าจะต้องมีหลักฐาน
เป็นหนังสือหรือวางประจำ หรือชำระหนี้บางส่วนให้แก่กันด้วย มิ
ฉะนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีต่อกันไม่ได้
5
แ บ บ ข อ ง สั ญ ญ า ซ้ื อ ข า ย
สำหรับกฎหมายลักษณะซื้อขาย แบบของการทำสัญญามีแบบ
เดียวคือ การทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งทรัพย์สิน
ประเภทที่ต้องทำแบบ คือ
1. “อสังหาริมทรัพย์ หมายถึง ที่ดิน ทรัพย์อันติดกับที่ดิน หรือ
ประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน รวมทั้งสิทธิทั้งหลายอันเกี่ยวกับ
กรรมสิทธิ์ที่ดินด้วย” แบ่งอสังหาริมทรัพย์ออกได้ดังนี้
1.1) ที่ดิน หมายถึง พื้นดินทั่วไป รวมทั้งภูเขา ห้วย หนอง
คลอง บึง บาง ลำน้ำ ทะเลสาบ เกาะและที่ชายทะเลด้วย
1.2)ทรัพย์อันติดกับที่ดิน ได้แก่ ไม้ยืนต้น อาคาร โรงเรือน
หรือ สิ่งก่อสร้างบนที่ดิน เช่น บ้าน, ทาวน์เฮาส์, คอนโดมีเนียม
1.3) ทรัพย์ซึ่งประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน ได้แก่ แม่น้ำ
ลำคลอง แร่ธาตุ กรวด ทราย ที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หรือซึ่งมนุษย์นำ
มารวมไว้กับที่ดินจนกลายเป็นส่วนหนึ่งของพื้นดินตาม ธรรมชาติ”
2. “สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ คือ กฎหมายได้ถือว่าเป็น
สังหาริมทรัพย์ แต่มีบทพิเศษในส่วนของทรัพย์จำพวกนี้ ได้แก่”
“-เรือมีระวางตั้งแต่5ตันขึ้นไป
-แพ คือ แพที่เป็นที่อยู่อาศัยของคนเท่านั้น
-สัตว์พาหนะ ได้แก่ ช้าง ม้า โค กระบือ ล่อ และลา ที่ได้ทำเป็นตั๋วรูป
พรรณ”
6
ห น ้ า ที่ ข อ ง ผู้ ข า ย
“สำหรับหนี้หลักของผู้ขายที่มีต่อผู้ซื้อ คือ การโอนการครอบครอง
หรือการส่งมอบทรัพย์สินที่ขายให้แก่ผู้ซื้อ เหตุผลที่กฎหมายจำต้อง
กำหนดให้ผู้ขายมีหน้าที่ประการนี้ เพราะโดยหลักของสัญญาซื้อขาย
กรรมสิทธิ์ย่อมโอนไปยังผู้ซื้อทันทีที่ได้ทำสัญญาโดยไม่มีใครต้องรู้
เห็น”
ห น้ า ที่ ข อ ง ผู้ ซื้ อ
เมื่อผู้ขายมีหน้าที่ที่ต้องส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ ผู้ขาย
ย่อมมีสิทธิเรียกให้ผู้ซื้อรับมอบทรัพย์และชดใช้ราคาดังที่มาตรา 486
บัญญัติว่า ผู้ซื้อ จำต้องรับมอบ ทรัพย์สิน ที่ตน ได้รับซื้อ และ ใช้ราคา
ตามสัญญา ดังนั้นผู้ซื้อมีหน้าที่
-ต้องรับมอบทรัพย์สิน เว้นแต่กรณีที่อาจอ้างมูลมาตรา
กฎหมายได้เช่น ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินขาดตกบกพร่อง หรือล้ำ
จำนวน หรือระคนปนกับทรัพย์สินอื่น
-ต้องชำระราคา
-ผู้ซื้อมีสิทธิยึดหน่วง
ก า ร ร อ น สิ ท ธิ
“การรอนสิทธิ หมายถึง การที่ผู้ซื้อทรัพย์สินถูกบุคคลภายนอกมา
ก่อกวนขัดสิทธิในอันที่จะครองทรัพย์สินโดยปกติสุข”
7
ห ลั ก ฐ า น ที่ จ ะ ฟ้ อ ง ร้อ ง บั ง คั บ ค ดี
กฎหมายบังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อที่
ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือ ได้วางประจำ หรือ มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว
มีฉะนั้นจะฟ้องร้องมิได้ ได้แก่
1.สัญญาจะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
2. .สัญญาจะซื้อขายสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ
3.คำมั่นในการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์
4.คำมั่นในการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ
5.สัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ธรรมดาที่มีราคาตั้งแต่ 2หมื่นบาทหรือ
กว่านั้นขึ้นไป
สำหรับหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีแม้กฎหมายจะ
บัญญัติไว้3วิธี แต่ก็มิได้หมายความว่าจะต้องทำ3วิธี เพียงแต่ทำวิธีใดวิธี
หนึ่งก็สามารถฟ้องร้องคดีได้แล้ว
อ า ยุ ค ว า ม ใ น ก า ร ฟ้ อ ง ร้อ ง
1. ในกรณีที่ผู้ขายส่งมอบทรัพย์น้อยกว่าหรือมากกว่าที่ตกลง
ตามสัญญา ผู้ซื้อต้องฟ้องภายใน 1 ปี นับแต่วันส่งมอบทรัพย์สิน
2. ในกรณีที่ทรัพย์สินนั้นชำรุดบกพร่อง ผู้ซื้อต้องฟ้องภายใน
กำหนด 1 ปี นับแต่วันที่ ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่อง
3. ในกรณีที่เป็นการรอนสิทธิผู้ซื้อ ถ้าผู้ขายไม่ได้เป็นคู่ความใน
คดีเดิมหรือถ้าผู้ซื้อได้ ประนีประนอมยอมความกับบุคคลภายนอก หรือ
ยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียกร้อง ต้องฟ้อง คดีภายในอายุความ 3 เดือน
นับแต่วันที่คำพิพากษาในคดีเดิมถึงที่สุด หรือนับแต่วันที่มีการ
ประนีประนอมยอมความ หรือวันที่ผู้ซื้อยอมตามที่บุคคลภายนอกเรียก
ร้อง
4. ผู้ขายซึ่งเป็นพ่อค้าฟ้องเรียกค่าสินค้าจากผู้ซื้อ ต้องฟ้อง
ภายในกำหนดอายุความ 2 ปี นับแต่วันที่ส่งมอบ
8
มาตรา 453
“อันว่าซ้ือขายนั้น คือสัญญาซึ่งบุคคลฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้ขาย โอน
กรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่าผู้ซื้อ และผู้
ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคา ทรัพย์สินนั้นให้แก่ผู้ขาย”
สัญญาซื้อขาย คือ สัญญาซึ่งมีคู่สัญญา 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า "ผู้
ขาย" ได้ตกลงโอนกรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินให้แก่ อีกฝ่าหนึ่งเรียกว่า
"ผู้ซื้อ" และผู้ซื้อตกลงว่าจะใช้ราคาให้แก่ผู้ขาย
ดังนั้น หากทำสัญญากันโดยที่คู่สัญญาไม่มีเจตนาจะให้มีการโอน
กรรมสิทธิ์แห่งทรัพย์สินสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้แก่อีกฝ่าย ก็ไม่เข้าลักษณะ
สัญญาซื้อขาย แม้ในสัญญาจะระบุว่าเป็นสัญญาซื้อขายก็ตาม เช่น
สัญญาซื้อเวลาออกอากาศสถานีวิทยุโทรทัศน์ เป็นต้น
เมื่อสัญญาซื้อขายมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ การโอนกรรมสิทธิ์
ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ ดังนั้น ผู้ขายจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์แห่ง
ทรัพย์สินนั้น แต่หากเป็นสัญญาซื้อขายที่มีเงื่อนไขจะโอนกรรมสิทธิ์
ในภายหน้าหรือสัญญาจะซื้อจะขาย กรณีนี้ ผู้ขายอาจยังไม่มี
กรรมสิทธิ์ในขณะทำสัญญา โดยอาจนำทรัพย์สินที่ตนเองจะมี
กรรมสิทธิ์ในอนาคตภายหน้ามาทำสัญญาขายล่วงหน้าได้
อย่างไรก็ตาม กรณีที่นำทรัพย์สินของบุคคลอื่นมาขายโดยไม่มี
สิทธิ แม้ผู้ซื้อจะกระทำการโดยสุจริตก็ตาม ผู้ซื้อก็ไม่ได้รับความ
คุ้มครอง ตามหลัก "ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน"
9
มาตรา 454
“การที่คู่กรณีฝ่ายหนึ่งให้คำมั่นไว้ก่อนว่าจะซื้อหรือขายนั้น จะมีผล
เป็นการซื้อขายต่อเมื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้บอกกล่าวความจำนงว่าจะทำการ
ซื้อขายนั้นให้สำเร็จตลอดไป และคำบอกกล่าวเช่นนั้นได้ไปถึงบุคคลผู้
ให้คำมั่นแล้ว ถ้าในคำมั่นมิได้กำหนดเวลาไว้เพื่อการบอกกล่าวเช่นนั้น
ไซร้ ท่านว่าบุคคลผู้ให้ คำมั่นจะกำหนดเวลาพอสมควร และบอกกล่าว
ไปยังคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งให้ตอบมาเป็นแน่นอน ภายในเวลากำหนดนั้น
ก็ได้ ว่าจะทำการซื้อขายให้สำเร็จตลอดไปหรือไม่ ถ้าและไม่ตอบเป็น
แน่นอนภายในกำหนดเวลานั้นไซร้ คำมั่นซึ่งได้ให้ไว้ก่อนนั้นก็เป็นอันไร้
ผล”
ในการทำสัญญาซื้อขายกันนั้น ก่อนที่จะมีการซื้อขายอาจเป็น
กรณีทำสัญญาจะซื้อจะขาย หรือเป็นกรณีที่มีการให้คำมั่นว่าจะซื้อจะ
ขายก่อนก็ได้ ในเรื่องคำมั่นจะซื้อจะขายนี้ ในขั้นแรกบุคคลผู้ใดคำมั่นจะ
ซื้อเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายก็ได้เป็นผู้ให้คำมั่นฝ่ายเดียวว่าจะซื้อหรือจะขาย
ทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งในราคาที่แน่นอน เพิ่งคันแรกนี้ผู้ให้
คำมั่นแต่ฝ่ายเดียวเท่านั้นเป็นผู้ที่ผูกพัน ต่อเมื่อผู้รับคำมั่นได้แสดงความ
จำนงต่อผู้ให้คำมั่นว่าจะทำการซื้อหรือขายแล้ว และคำบอกกล่าวไป
ถึงที่ให้คำมั่น จึงมีผลทำให้เกิดสัญญาซื้อขายขึ้น โดยอาจเกิดเป็นสัญญา
จะซื้อจะขายหรือสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาดก็ได้
ในเรื่องคำมั่นจะซื้อจะขายนี้ ผู้ให้คำมั่นอาจจะกำหนดเวลาให้อีก
ฝ่ายสนองรับหรือไม่กำหนดเวลาไว้ก็ได้ ถ้าหากผู้ให้คำมั่นได้กำหนดเวลา
สนองรับไว้เป็นการแน่นอนแล้วจะถอนคำมั่นนี้ก่อนกำหนดระยะเวลาไม่
ได้
ถ้าเป็นกรณีที่ไม่ได้กำหนดเวลาสนองรับไว้ ผู้ให้คำมั่นก็ยังคงต้อง
ผูกพันอยู่ตลอดไป แต่ผู้ให้คำมั่นมีสิทธิ์ที่จะกำหนดเวลาพอสมควร และ
บอกกล่าวไปยังผู้รับคำมั่นให้ตอบมาเป็นการแน่นอนภายในกำหนดเวลา
นั้นก็ได้ซึ่งผู้รับคำมั่นจะต้องสนองตอบภายในเวลาอันนั้น ถ้าไม่ตอบ
เป็นการแน่นอนในเวลากำหนดดังกล่าวแล้ว คำมั่นเป็นอันไร้ผล
10
มาตรา 455
“เมื่อกล่าวต่อไปเบื้องหน้าถึงเวลาซื้อขาย ท่านหมายความว่าเวลาซึ่ง
ทำ สัญญาซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์”
หมายความว่า เป็นสัญญาซื้อขายที่เกิดขึ้นจากการตกลงกันของ
คู่กรณี โดยฝ่ายผู้ขายตกลงโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่ผู้ซื้อ และ
ผู้ซื้อตกลงชำระราคาทรัพย์สินให้แก่ผู้ขาย ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์
การส่งมอบทรัพย์ การชำระราคา อาจทำภายหลังได้เพราะเป็นการ
ปฏิบัติตามสัญญาของคู่กรณีซึ่งเกิดขึ้นภายหลงั จากที่ทำสัญญาซื้อ
ขายเกิดขึ้นแล้ว
11
มาตรา 456
“การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้เป็นหนังสือและจดทะเบียน ต่อ
พนักงานเจ้าหน้าที่ไซร้ ท่านว่าเป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือ
กำปั่ นหรือเรือมีระวางตั้งแต่ หกตันขึ้นไป เรือกลไฟหรือเรอื ยนต์มี
ระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไปทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย
อนึ่งสัญญาจะขายหรือจะซื้อทรัพย์สินอย่างใด ๆ ดังว่ามานี้ก็ดี คำมั่น
ในการซื้อขาย ทรัพย์สินเช่นว่านั้นก็ดี ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือ
อย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิด เป็นสำคัญ หรือได้
วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว ท่านว่าจะฟ้องร้องให้
บังคับคดี หาได้ไม่ บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ท่านให้ใช้
บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหา ริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาห้าร้อย
บาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย”
การซื้อขายที่ดินซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ ต้องทำเป็นหนังสือและ
จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ แต่ถึงจะเป็น
โมฆะ ถ้าหากผู้ซื้อได้เข้าครอบครองที่ดินโดยความสงบ และโดยเปิด
เผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาครบ 10 ปี ก็ย่อมได้กรรมสิทธิ์
เช่นกัน แต่เป็นการได้กรรมสิทธิ์มาโดยการครอบครองปรปักษ์ มิใช่ได้
กรรมสิทธิ์จากสัญญาซื้อขาย
แต่หากทำสัญญาซื้อขายบ้านหรือสิ่งปลูกสร้าง แม้จะถือเป็น
อสังหาริมทรัพย์ แต่ถ้าเจตนาในการทำสัญญาซื้อขายเพื่อรื้อถอนเอา
ไป ซึ่งเป็นการซื้อขายอย่างสังหาริมทรัพย์ ก็ไม่ต้องทำเป็นหนังสือ
และจดทะเบียนแต่อย่างใด
12
มาตรา 456 วรรคแรก
ใช้บังคับแต่เฉพาะเรื่องการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดต้องการให้มี
การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่ซื้อขายกัน ดังนั้นถ้าเป็นการซื้อขายเสร็จ
เด็ดขาดอสังหาริมทรัพย์ทุกชนิดต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ
พนักงานเจ้าหน้าที่ แต่ถ้าเป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดสังหาริมทรัพย์โดย
ทั่วๆไป ตามหลักแล้วไม่จำเป็นต้องมีแบบอะไรเลย คู่สัญญาตกลงกันแล้ว
ก็ใช้ได้ ยกเว้นเฉพาะในการซื้อขายสังหาริมทรัพย์บางประเภทซึ่งได้แก่
เรือกำปั่ นหรือเรือที่มีระหว่างตั้งแต่ 6 ตันขึ้นไปเรือกลไฟหรือเรือยนตร์มี
ระหว่างตั้งแต่ 5 ตันขึ้นไป ซื้อขายแพ แพในที่นี้หมายความเฉพาะแต่
แผนที่เป็นที่อยู่อาศัยของคนเท่านั้น ไม่ได้ กินความถึงแพซุงแพไม้รวก
หรือแพไม้ไผ่ สัตว์พาหนะได้แก่ ช้าง ม้า โค กระบือ ลา ฬ่อ ที่ใช้ในการ
ขับขี่ ลากเข็น และบรรทุก ซึ่งถ้าเป็นการขายเสร็จเด็ดขาดสังหาริมทรัพย์
เหล่านี้แล้ว กฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ
พนักงานเจ้าหน้าที่ ส่วนสังหาริมทรัพย์บางอย่างซึ่งเราถือว่าเป็น
สังหาริมทรัพย์ธรรมดาไม่ได้เข้าข้อยกเว้นแต่ในการใช้ทรัพย์เรานั้น
กฎหมายบังคับให้ต้องมีการจดทะเบียนซึ่งเป็นเรื่องที่บัญญัติไว้เพื่อความ
สะดวกทางราชการที่จะควบคุมใช้ทรัพย์เหล่านั้น
ข้อสังเกต
1.แบบนั้นเป็นแบบที่กฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งคู่สัญญาต้องปฏิบัติตาม
เป็นการบังคับให้ทำตามแบบที่กำหนดเพื่อความสมบูรณ์ของสัญญา
ไม่ทำให้ถูกแบบสัญญาก็เป็นอันว่าใช้ไม่ได้ ถือเป็นโมฆะ ซึ่งมีผล
เท่ากับว่าไม่ได้ทำอะไรไว้เลย
2. ใช้สำหรับสัญญาซื้ อขายเสร็จเด็ดขาดเท่านั้นไม่รวมถึงสัญญาซื้ อขาย
ประเภทอื่น
3.แบบที่กำหนดไว้คือ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน
เจ้าหน้าที่ ดังนั้นต้องทำทั้งสองประการการทำเป็นหนังสือนั้น
มาตรา9 กำหนดเอาไว้ว่า เมื่อมีกิจการอันใดซึ่งกฎหมายบังคับให้ทำ
เป็นหนังสือไซร้ท่านว่าบุคคลนั้นจะต้องทำเป็นหนังสือไม่จำเป็นต้อง
เขียนเองแต่ต้องลงลายมือชื่อ
13
มาตรา456 วรรคสอง
ไม่ได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือ แต่ว่าต้องมีหลักฐานเป็น
หนังสือแม้ว่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ กฎหมายก็ไม่ได้บอกว่าสัญญา
เป็นโมฆะ แต่ว่าถ้าจะฟ้องร้องบังคับคดีทำไม่ได้เท่านั้น ดังนั้นในวรรค
สองจึงไม่ใช่เรื่องแบบเพื่อความสมบูรณ์ของสัญญาดังวรรคหนึ่งและ
สัญญาที่ทำขึ้นโดยไม่มีหลักฐานตามบทบัญญัติในวรรคสองก็ไม่ได้
เป็นโมฆะ สัญญานั้นยังคงสมบูรณ์อยู่ขาดแต่อำนาจในการฟ้องร้อง
เท่านั้น
หลักฐานเป็นหนังสือ เป็นหลักฐานอะไรก็ได้ที่เขียนขึ้นมา
โดยมีข้อความเป็นที่เข้าใจได้ หลักฐานเป็นหนังสือนั้นไม่จำเป็นต้อง
ทำขึ้นขณะทำสัญญา จะทำขึ้นก่อนหรือภายหลังก็ใช้ได้ แต่ต้องทำไว้
ก่อนฟ้องคดีและประการสำคัญก็คือว่าหลักฐานเป็นหนังสือที่จะใช้ใน
การฟ้องร้องบังคับคดีนั้นจะต้องเป็นหลักฐานเป็นหนังสือที่ลงลายมือ
ชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ ดังนั้นหมายความว่าการลงชื่อจะลงชื่อ
ฝ่ายเดียวก็ได้หรือจะลงชื่อทั้งสองฝ่ายก็ได้ ถ้าลงชื่อทั้งสองฝ่ายก็อาจ
ฟ้องบังคับคดีซึ่งกันและกันได้แต่ถ้าลงชื่อฝ่ายเดียวฝ่ายที่ลงชื่อ
เท่านั้นที่อาจถูกบังคับคดีได้
มาตรา456 วรรคสาม ในการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลง
ซื้อขายกันเป็นราคา 500 บาทขึ้นไป ถ้าจะต้องมีการฟ้องร้องบังคับ
คดีกันจะต้องนำมาตรา 456 วรรคสอง มาบังคับ ใช้กฎคือจะต้องมี
หลักฐานอย่างหนึ่งอย่างใดในสามประการนี้ คือหลักฐานเป็นหนังสือ
ลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญหรือได้วางประจำไว้หรือได้
ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จึงจะฟ้องบังคับคดีได้โดยในมาตรา 456 วรรค
สาม ใช้คำว่าซื้อขายซึ่งหมายถึงสัญญาซื้อขายสำเร็จบริบูรณ์นั่นเอง
14
บทที่2
คำอธิบายบรรทัดฐานคำพิพากษาศาลฎีกา
มาตรา453
ตัวอย่าง
นาย ก. เจ้าของรถยนต์ ได้โอน กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ให้แก่นาย ข. โดย
นาย ข. ได้ชาระราคารถยนต์ให้แก่นาย ก. เป็นเงิน 100,000 บาท
สัญญาดังกล่าวเรียกว่า สัญญาซื้อขาย โดยนาย ก. เรียกว่าผู้ขาย และ
นาย ข. เรียกว่า ผู้ซื้อ
15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19413/2555
แม้การโอนที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และ
ที่ 4 ตามหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินและสารบัญจดทะเบียนโฉนด
ที่ดินพิพาทระบุว่าเป็นการขายก็ตาม แต่จำเลยที่ 3 และที่ 4 เบิก
ความทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 3 และที่ 4 รวบรวมเงินไปไถ่ถอน
จำนองที่ดินพิพาทจาก ม. จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงโอนขายที่ดินพิพาท
แก่จำเลยที่ 3 และที่ 4 ในวันเดียวกัน การโอนที่ดินพิพาทระหว่าง
จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 จึงมิใช่เป็นการซื้อขาย
เพราะมิได้มีการชำระราคากันจริง แต่ถือเป็นการให้โดยเสน่หา ส่วน
การที่จำเลยที่ 3 และที่ 4 หาเงินมาไถ่ถอนที่ดินพิพาทแทนจำเลยที่1
ย่อมเป็นการกระทำเพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ผู้เป็นมารดาของจำเลย
ที่ 4 จะถือเอาการที่ต้องไถ่ถอนจำนองเองเป็นค่าตอบแทนการโอนหา
ได้ไม่ เมื่อเป็นการโอนให้โดยเสน่หา แม้จำเลยที่ 1 จะเป็นผู้รู้ฝ่าย
เดียว โจทก์ก็ชอบที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนทรัพย์ดังกล่าว
ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้
16
มาตรา 454
ตัวอย่าง
ดำให้คำมั่นกับแดงว่าจะขายวิทยุให้ หนึ่งเครื่องใน ราคา
1000 บาทโดยไม่ได้กำหนดเวลาสนองรับไว้ต่อมาดำมีสิทธิ์ในการที่
จะบอกไปยังแดงว่าถ้าต้องการจะซื้อให้บอกมาภายใน5วันหรือ 10
วันซึ่งแดงไม่ตอบมาภายในเวลากำหนดดังกล่าว นั้นดำสิ้นความ
ผูกพัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5510/2542
สัญญาเช่าที่ดินระหว่างบริษัท ร. กับโจทก์กำหนดว่า ใน
ระหว่างอายุสัญญาเช่าถ้าผู้เช่า (โจทก์) มีความประสงค์จะซื้อ
ทรัพย์สินที่เช่า ผู้ให้เช่ายินยอมขายทรัพย์สินที่ให้เช่าให้ผู้เช่าหรือ
บุคคลที่ผู้เช่าระบุเป็นผู้ซื้อในราคาตามวิธีคำนวณที่กำหนดไว้ต่อท้าย
สัญญานั้นเป็นคำมั่นในการซื้อขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ มาตรา 454 วรรคแรก ซึ่งผู้ให้เช่าได้กำหนดเวลาให้ผู้เช่า
บอกกล่าวความจำนงในการซื้อไว้เป็นการแน่นอนแล้ว ผู้ให้เช่าจึง
ถอนคำมั่นก่อนเวลาที่ระบุไว้ไม่ได้ ทั้งได้กำหนดราคาซื้อขายที่ดินไว้
แน่นอนตามอัตราการเพิ่มมูลค่าของราคาที่ดินนั้นแต่ละปีจากราคา
ที่ดินที่ผู้ให้เช่าซื้อมา เมื่ออัตราค่าเช่าที่ดินกำหนดไว้ปีละ 9,176,620
บาท หากเช่าครบกำหนด 60 ปี จะเป็นจำนวนเงินถึง 550,597,200
บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินสูงมาก อาจเท่าหรือสูงกว่าราคาที่ดินที่เช่า
สัญญาเช่าดังกล่าวจึงมิใช่สัญญาเช่าตามปกติธรรมดาเพียงอย่าง
เดียว หากแต่เป็นสัญญาเช่าที่รวมถึงสิทธิที่จะซื้อที่ดินที่เช่าไว้ด้วย
การที่พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยนำค่าเช่าจำนวนดังกล่าวเป็นฐาน
ในการกำหนดค่ารายปีของที่ดินต่อเนื่องและโรงเรือนของโจทก์ จึง
เป็นการไม่ชอบ
17
มาตรา 455
ตัวอย่าง
ปลา ซื้อหนังสือกฎหมายธุรกิจจาก เต่า หนึ่งเล่มราคา 25
บาทเมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วสัญญาซื้อขายก็เกิดขึ้นเป็นสัญญาซื้อ
ขายเสร็จเด็ดขาด
18
มาตรา 456
ตัวอย่าง
นาง ออมสิน ตกลงซื้อรถยนต์จาก นาย ธนา ในราคา
150,000 บาท โดยได้ชาระราคาไปแล้ว 50,000บาท ต่อมานาย ธนา
กลับไม่ส่งมอบ รถยนต์ให้ กรณีดังกล่าว นาง ออมสิน สามารถฟ้อง
ศาลเพื่อบังคับให้นาย ธนา ส่งมอบรถยนต์และรับชำระเงินส่วนที่
เหลือได้ เนื่องจากนาง ออมสิน ได้มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว รวมถึง
นาง ออมสิน ยังอาจเรียกค่าเสียหายที่เกิดจากการที่ นาย ธนา ผิด
สัญญาได้ อีกด้วย
19
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1401/2553
เมื่อ จ. ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับโจทก์ทั้งสองในวันที่ 12
ตุลาคม 2539 และได้มอบที่ดินให้โจทก์ทั้งสองครอบครองแล้วในวัน
เดียวกัน ซึ่งนับถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว เมื่อการซื้อขายที่ดิน
ระหว่างโจทก์ทั้งสองกับ จ. มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จึง
ตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคหนึ่ง แต่เนื่องจากที่ดิน
เป็นที่ดินที่ยังไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ จ. จึงมีแต่สิทธิครอบ
ครอง การซื้อขายเมื่อได้ส่งมอบที่ดินให้โจทก์ทั้งสองไปแล้วก็ฟังได้ว่า
จ. สละการครอบครองไม่ยึดถือที่ดินอีกต่อไป โจทก์ทั้งสองย่อมได้ไป
ซึ่งสิทธิครอบครองตาม ป.พ.พ. มาตรา 1377, 1378 แล้ว การได้สิทธิ
ครอบครองที่ดินของโจทก์ทั้งสองจึงเป็นการได้มาด้วยการครอบครอง
ตามกฎหมาย มิใช่เป็นการได้มาตามสัญญาซื้อขายซึ่งตกเป็นโมฆะดัง
กล่าวแล้ว โจทก์ทั้งสองจะใช้สิทธิฟ้องร้องบังคับให้จำเลย ซึ่งเป็นผู้
จัดการมรดกของ จ. ส่งมอบหนังสือรับรองทำประโยชน์ (น.ส. 3) และ
จดทะเบียนคัดชื่อจำเลยออกแล้วใส่ชื่อโจทก์ทั้งสองเป็นผู้ถือสิทธิ
ครอบครองที่ดินเนื้อที่ 5 ไร่ แทนชื่อจำเลยในฐานะผู้จัดการมรดก อัน
เป็นการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ทั้งสองตามสัญญาซื้อขายหา
ได้ไม่ และเมื่อฟังว่าโจทก์ทั้งสองไม่อาจใช้สิทธิเรียกร้องดังกล่าวแก่
จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกของ จ. เจ้ามรดกแล้ว ก็ไม่จำต้อง
วินิจฉัยว่า คดีโจทก์ขาดอายุความ 1 ปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754
วรรคสาม หรือไม่อีกต่อไป แต่เนื่องจากโจทก์ทั้งสองได้สิทธิครอบ
ครองที่ดินแล้ว โจทก์ทั้งสองจึงชอบที่จะขอให้ห้ามจำเลยรบกวนการ
ครอบครองที่ดินได้
20
มาตรา 457
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6315/2549 ป.พ.พ. มาตรา 457
ใช้บังคับแก่คู่สัญญาในการทำสัญญาซื้อขาย ซึ่งเป็นเรื่องระหว่างผู้
ซื้อและผู้ขายเท่านั้น ส่วนค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
ที่ต้องชำระตาม ป.ที่ดินนั้น เป็นเงินที่รัฐเรียกเก็บจากราษฎรเป็นค่า
ตอบแทนที่รัฐให้บริการแก่ราษฎร ซึ่ง ป.ที่ดิน มาตรา 104 บัญญัติให้
ผู้ขอจดทะเบียนเป็นผู้เสียค่าธรรมเนียม อันเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นโดย
กฎหมายและมีลักษณะเป็นหนี้ที่จะแบ่งกันชำระมิได้ โดยไม่ต้อง
คำนึงว่าในระหว่างผู้ที่ยื่นคำขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมด้วยกัน
นั้นฝ่ายใดตกลงเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียม ดังนั้น โจทก์ย่อมมีสิทธิ
เรียกให้ผู้ซื้อหรือผู้ขายคนใดคนหนึ่งหรือทั้งสองคนชำระค่า
ธรรมเนียมที่ขาดอยู่ทั้งหมดได
21
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 457
ที่บัญญัติว่า ค่าฤชาธรรมเนียมทำสัญญาซื้อขายนั้น ผู้ซื้อผู้
ขายพึงออกใช้เท่ากันทั้งสองฝ่าย เป็นการกำหนดหน้าที่ตามกฎหมาย
ในการชำระค่าฤชาธรรมเนียมไว้ ซึ่งต้องใช้บังคับแก่คู่สัญญาทุกฝ่าย
และผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องในการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมด้วย
กรมที่ดินโจทก์จึงไม่มีอำนาจกำหนดให้ประชาชนต้องมีหน้าที่เกิน
กว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ ส่วนกฎกระทรวง ฉบับที่ 32 (พ.ศ.2522)
ออกตามความในพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน
พ.ศ.2497 ข้อ 2 (7) (ก) ที่ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมในการจด
ทะเบียนสิทธิและนิติกรรมมีทุนทรัพย์เรียกตามจำนวนทุนทรัพย์ร้อย
ละ 2 ซึ่งใช้อยู่ในขณะมีการจดทะเบียนโอนที่ดินตามฟ้องนั้น เป็น
เพียงให้อำนาจทางราชการที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจด
ทะเบียนสิทธิและนิติกรรมในอัตราเท่าใดเท่านั้น โจทก์จะนำมากล่า
วอ้างเพื่อให้คู่สัญญาแต่ละฝ่ายต้องมีหน้าที่เกินกว่าที่กฎหมาย
บัญญัติไว้มิได้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้ขายขายที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2
ผู้ซื้อ ตกลงเรื่องค่าธรรมเนียมให้ต่างฝ่ายต่างออกคนละครึ่ง จำเลยที่
1 และ 2 จึงมีหน้าที่ต้องรับผิดชำระค่าธรรมเนียมดังกล่าวคนละครึ่ง
22
บทที่ 3
สรุปเนื้อหา
สัญญาจะซื้อจะขายคือ
สัญญาจะซื้อจะขาย หรือ คำมั่นในการซื้อขาย คือ สัญญาซื้อขาย
ซึ่งคู่สัญญาตกลงทำกันไว้ในวันทำสัญญาโดยตกลงกันว่าจะไปทำการโอน
กรรมสิทธิ์หรือทำการซื้อขายตามแบบของกฎหมายอีกครั้งในอนาคต การทำ
สัญญาจะซื้อจะขายจึงเป็นสัญญาที่ไม่มีผลให้กรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อ ข้อ
สำคัญคือ เจตนาในการทำสัญญา คู่สัญญาต้องมีเจตนาที่จะไปทำการโอน
กรรมสิทธิ์กันในภายหน้า หากไม่มีเจตนาดังกล่าวนี้แล้วสัญญาที่ทำกันจะ
กลายเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด และเมื่อเป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ด
ขาดที่กฎหมายต้องการแบบที่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่
การมีเพียงสัญญาเป็นหนังสือจึงทำให้สัญญาซื้อขายนี้เป็นโมฆะ ไม่ทำให้
กรรมสิทธิ์โอนไปยังผู้ซื้อแม้ผู้ซื้อจะชำระราคาถูกต้องครบถ้วนแล้วก็ตาม
การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันซึ่งเป็นยุคที่ราคาสูงนั้น หลัง
จากเจอบ้านที่ถูกใจและตกลงราคา วันที่ต้องการโอนกรรมสิทธิ์กับผู้ขายแล้ว
ผู้ซื้อบางคนต้องการที่จะไปทำเรื่องกับธนาคารก่อน ดังนี้ กฎหมายจึงได้
บัญญัติสัญญาจะซื้อจะขายขึ้นมาเพื่อป้องกันสิทธิของผู้จะซื้อและผู้จะขาย
สัญญาจะซื้อจะขายคือ การให้คำมั่นแก่กันว่าจะทำการซื้อขายโอน
กรรมสิทธิ์กันในอนาคตเป็นการแน่นอน กฎหมายบัญญัติขึ้น เพื่อเป็นการ
ป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดแก่คู่สัญญาในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา
เช่น เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้จะขายนำทรัพย์สินตามสัญญาไปขายให้แก่บุคคลอื่น
เพื่อป้องกันผู้ซื้อไม่ชำระราคาทรัพย์สินให้แก่ผู้ขายและไม่ยอมรับโอนอันอาจ
ทำให้ผู้ขายเสียโอกาสในการขายให้แก่ผู้อื่น เป็นต้น
23
บรรณานุกรม
หนังสือ
รองศาสตราจารย์สมยศ เชื้อไทย. ความรู้กฎหมายทั่วไป คำอธิบายวิชากฎหมาย
แพ่ง./พิมพ์ครั้งที่ 18 แก้ไขเพิ่มเติม
สมยศ เชื้อไทย. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ : แก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2564 ฉบับ
ใช้เรียน. พิมพ์ครั้งที่20.กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์,2564
สื่ออิเล็กทรอนิกส์
รู้รอบขอบชิด.กฎหมายลักษณะซื้อขาย.สืบค้น9กันยายน2564.http://specific-law-
bung.blogspot.com/2011/08/blog-post_05.html
สำนักกฎหมาย ชมทรรศน์ สมบุตร. เอกเทศสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ . สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2564.
http://www.manoontham.com/page11.html
ทนายแมน. มาตรา 453 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์. สืบค้นเมื่อ 15 กันยายน
2564. https://lawman.in.th/7632/ปพพ-มาตรา-453/