ความผิด
เกี่ยวกับเอกสาร
นางสาวศรีสกุล อุ่นน้อย รหัสนิสิต 631081292
นำ เ ส น อ
อาจารย์ วีณา สุวรรณโณ
รายวิชา กฎหมายอาญา 2
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2564
หลักสูตร นิติศาสตร์ ภาคปกติ ระดับปริญญาตรีปีที่2
คำนำ
รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา กฎหมายอาญา : ภาค
ความผิด ระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 2 เพื่อให้ศึกษาหาความรู้ในเรื่อง ความผิดเกี่ยวกับ
เอกสาร ทั้งนี้ได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อนำเอาความรู้ที่เป็นประโยชน์ให้แก่ทุกคนไม่
มากก็น้อย
ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่าน หรือนักศึกษาที่สนใจ
กำลังหาข้อมูล เกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อเสนอแนะหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้
จัดทำขอน้อมรับไว้ และขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
นางสาว ศรีสกุล อุ่นน้อย
ผู้จัดทำ
สารบัญ หน้า
เรื่อง 1
2
บทที่ 1 : คำอธิบายเชิงโครงสร้างความรับผิดทางอาญา 4
ความผิดเกี่ยวกับเอกสาร 5
เอกสารปลอม 6
เอกสารเท็จ
สรุปข้อแตกต่าง ระหว่างเอกสารปลอมกับเอกสารเท็จ 14
19
บทที่ 2 : คำอธิบายจากบรรทัดฐานคำพิพากษาฎีกา 20
กรณีที่ไม่น่าจะเกิดความเสียหาย
21
บทที่ 3 : สรุปเนื้อหาและข้อเสนอแนะ
บรรณานุกรม
1
บ ท ที่ 1
คำ อ ธิ บ า ย เ ชิ ง โ ค ร ง ส ร้ า ง ค ว า ม รั บ ผิ ด ท า ง อ า ญ า
โครงสร้างรับผิดทางอาญา
1.การกระทำครบ “องค์ประกอบ” ที่กฎหมายบัญญัติหมายความว่า
(1) ผู้กระทำจะต้องมี “การกระทำ”
(2) การกระทำนั้นจะต้องครบ “องค์ประกอบภายนอก” ที่กฎหมายบัญญัติไว้
(3) การกระทำจะต้องครบ “องค์ประกอบภายใน” ที่กฎหมายบัญญัติไว้
(4) ผลของการกระทำจะต้องสัมพันธ์กับการกระทำตามหลักในเรื่องความ
สัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
การกระทำครบองค์ประกอบที่กฎหมายบัญญัติ หมายความว่า ผู้กระทำมี
การกระทำ การกระทำนั้นครบองค์ประกอบภายนอกของความผิดในเรื่องนั้นๆ การกระ
ทำนั้นครบองค์ประกอบภายในของความผิดในเรื่องนั้นๆ และผลกระทบของการกระทำ
สัมพันธ์กับการกระทำตามหลักในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างการกระทำและผล
2.การกระทำที่ครบตามหลักเกณฑ์ข้างต้นทั้ง 4 ประการนั้นจะต้องไม่มีกฎหมาย
ยกเว้นความผิด
การกระทำที่ไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด หมายความว่า ผู้กระทำไม่มีอำนาจ
ตามกฎหมายที่จะกระทำการซึ่งครบองค์ประกอบที่กฎหมายบัญญัติไว้ ซึ่งเมื่อไม่มี
กฎหมายยกเว้นความผิด ผู้กระทำก็มีความผิด แต่ถ้ามีกฎหมายยกเว้นความผิด ผู้กระทำ
ก็ไม่มีความผิด กฎหมายที่ยกเว้นความผิดอาจจะบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา
เช่น เรื่องป้องกันตัว ตาม ปอ. มาตรา 68 หรือไม่ได้บัญญัติไว้โดยตรง
3.การกระทำที่ไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิดจะต้องไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษด้วย
การกระทำไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ หมายความว่า การกระทำซึ่งครบองค์
ประกอบที่กฎหมายบัญญัติซึ่งไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิดนั้น ไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษ
ให้แก่ผู้กระทำเช่นกัน แต่ถ้ามีกฎหมายยกเว้นโทษแล้ว ผู้กระทำก็ไม่ต้องรับผิดในทาง
อาญา (บันดาลโทสะ, พยายาม, ยับยั้ง-กลับใจ, ตัวการ-ผู้ใช้-ผู้สนับสนุน)
2
ค ว า ม ผิ ด เ กี่ ย ว กั บ เ อ ก ส า ร
เอกสารที่เป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิดนี้ ต้องมีลักษณะที่จะใช้สื่อความ
หมายตามมาตรา1(7)คือ การแสดงออกซึ่งเจตนาอย่างหนึ่งอย่างใดที่มีเนื้อหาสาระ เช่น
อาจใช้เป็นหลักฐานหรือการแสดงสิทธิ์อย่างหนึ่งอย่างใดโดยต้องแสดงถึงผู้ออมหรือผู้นำ
เอกสารนั้นๆด้วย
ความหมายของเอกสาร ตามมาตรา1(7)
เอกสาร หมายความว่ากระดาษหรือวัตถุอื่นใดซึ่งได้ทำให้ปรากฏความหมาย
ด้วยตัวอักษรตัวเลขผังหรือแผนแบบอย่างอื่นจะเป็นโดยวิธีพิมพ์ถ่ายภาพหรือวิธีอื่นอัน
เป็นหลักฐานแห่งความหมายนั้น
ตามปกติแล้วเอกสารมักจะเป็นกระดาษ แต่จะทำไว้บนวัตถุอื่นใดก็ได้ เช่น
เครื่องหมายตัวอักษรและเลขที่พานท้ายปืนแสดงถึงลำดับของปืนที่มาขึ้นทะเบียนว่าปืน
ได้ขึ้นทะเบียนที่จังหวัดใด อำเภอใด และเป็นลำดับปืนกระบอกที่เท่าใดตัวอักษรและเลข
ดังกล่าวทำให้ปรากฏความหมาย ดังนั้น ตังอักษรและเลขที่พานท้ายปืนจึงเป็นเอกสาร
(คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1269/2503) หรือเครื่องหมายตัวอักษรและเลขที่ปรากฏบนท่อน
ซุง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 701/2470) หรือที่ปรากฏอยู่บนโลหะ เช่น ป้ายทะเบียน
รถยนต์และเลขหมายที่เครื่องยนต์ (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1141/2523) เหล่านี้จึงเป็น
เอกสารเนื่องจากได้ทำให้ปรากฏความหมายด้วยตัวอักษร ตัวเลข ผัง หรือแผนแบบอย่าง
อื่น บนวัตถุนั้นๆ
แม้ภาพถ่ายจะไม่ใช่เอกสาร แต่เมื่อนำไปปิดลงในหนังสือเดินทางดังกล่าว
ย่อมทำให้ความหมายที่แท้จริงของหนังสือเดินทางเปลี่ยนแปลงไป ภาพถ่ายของ
จำเลยที่ไม่เป็นเอกสารจึงเกิดเป็นเอกสาร
3
เอกสารประกอบด้วยสาระสำคัญ คือ
1) เป็นสิ่งที่มีรูปร่าง ควันไฟ รหัสเสียง สัญญาณ ธงสัญญาณไฟ หรือข้อมูลใน
คอมพิวเตอร์ไม่มีรูปร่างไม่ใช่เอกสาร
2) มุ่งแสดงความหมาย สื่อความคิดของผู้ทำแม่ผู้อื่นไม่เข้าใจก็ตามเช่นรอยขีดจด
คะแนนเป็นเอกสารแต่รอยขีดทดลองปากกาไม่เป็นทำศิลาจารึกเพื่อเป็นวัตถุโบราณไม่
มุ่งหมายแสดงข้อความไม่ใช่เอกสาร
3) ประสงค์จะให้เป็นหลักฐาน แห่งความหมายนั้นนั้น เช่น ภาพถ่ายในฟิล์มไม่เป็น
เอกสารตามมาตรา 1(7) สัญญาณรหัสมอส สัญญาณธง สัญญาณไฟ แม้จะสื่อความ
หมายได้ แต่ไม่เป็นหลักฐานแห่งความหมาย จึงไม่ใช่เอกสาร อย่างไรก็ตาม หากนำ
ภาพถ่ายบุคคลมาปิด ทับภาพถ่ายของผู้อื่นในบัตรประจำตัวประชาชนที่มีวันเดือนปีเกิด
และพูมิลำเนาของผู้อื่นนั้นเป็นการกระทำหลักฐานแห่งความหมาย จึงเป็นการปลอม
เอกสารหมายเลขเครื่องยนต์และเลขตัวถังในเอกสาร อักษรและเลขหมายที่ผ่านท้ายปืน
อันเป็นเครื่องหมายทะเบียนอาวุธของเจ้าพนักงานนั้นไม่ใช่รอยตราของเจ้าพนักงานตาม
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 251 แต่เป็นเอกสารตามมาตรา 1(7)
หากเป็นเพียงภาพถ่ายห้องเครื่องใช้ในของอื่นๆเป็นเพียงภาพจำลองของห้องเครื่อง
ใช้เท่านั้นไม่ได้แสดงความหมายอย่างใดใดจึงไม่เป็นเอกสาร หรือ ข. วาดภาพเลียนแบบ
ภาพที่ ก. วาด แล้วนำไปขาย ก็ไม่ใช่เอกสารเพราะภาพเขียนดังกล่าวไม่ใช้สีให้ปรากฏ แต่
ถ้าเป็นภาพถ่ายข้อความที่มีความหมายและเป็นหลักฐานแห่งความหมาย ภาพถ่ายดัง
กล่าวก็เป็นเอกสาร แบบพิมพ์เช็คที่ยังไม่ได้กรอกรายการเท่ากับ ยังไม่ปรากฏเป็นหลัก
ฐานแห่งความหมาย ยังไม่เป็นเอกสาร
4
เอกสารปลอม คือ
“เอกสารที่ปรากฎข้อมูลว่าใครเป็นผู้ทำ แต่บุคคลดังกล่าว ไม่ได้เป็นผู้ทำจริง หรือ
เอกสารที่ทำขึ้นโดยผู้ทำเอกสารไม่มีอำนาจทำ แต่แอบอ้างว่าตนเองมีอำนาจ”
สรุปแล้วเอกสารปลอม เป็นการลวงให้ผู้อื่น หลงเข้าใจผิดใน “ตัวบุคคลผู้ทำเอกสาร” ดัง
นั้นเอกสารปลอม คือเอกสารที่ทำขึ้น เพื่อ
1.หลอกให้ผู้อื่นที่เห็นเอกสารหลงเชื่อว่า ผู้ที่ทำเอกสารคือใคร โดยที่ผู้นั้นไม่ได้
จัดทำเอกสารขึ้นจริงๆ และไม่ได้มอบอำนาจให้ผู้อื่นทำ
2.หรือหลอกว่าผู้จัดทำเอกสารนั้นมีอำนาจทำเอกสารดังกล่าว โดยที่ผู้นั้นไม่มี
อำนาจจัดทำจริง
ถ้าเข้าลักษณะใดลักษณะหนึ่งข้างต้น ถึงแม้เนื้อหานั้นจะถูกต้องกับความจริง ก็ถือเป็น
เอกสารปลอม
ถ้าผู้ทำเอกสารนั้น ทำเอกสารดังกล่าวด้วยตนเองจริง และผู้ทำมีอำนาจทำ
เอกสารดังกล่าว แม้เนื้อหาในเอกสารนั้นเป็นเท็จ ก็ไม่ใช่เอกสารปลอม
แต่ถ้าผู้ทำเอกสารนั้น ไม่ได้ทำหรือไม่มีอำนาจทำเอกสารดังกล่าว แม้เนื้อหาใน
เอกสารนั้นเป็นความจริง ก็ถือเป็นเอกสารปลอม
ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเนื้อหาในเอกสารปลอมจะต้องเป็นจริงเสมอไป เนื้อหา
ในเอกสารปลอม อาจจะเป็นความจริงหรือความเท็จก็ได้
แต่ประเด็นก็คือ เนื้อหาของเอกสารไม่ใช่ข้อตัดสินว่า เอกสารดังกล่าวจะเป็นเอกสาร
ปลอมหรือไม่ เพราะต้องตัดสินที่“ตัวผู้ทำเอกสาร” ถ้าบุคคลที่มีชื่อในเอกสาร เป็นผู้ทำ
เอกสารจริง และบุคคลผู้นั้นมีอำนาจทำเอกสารได้ เอกสารนั้นก็ไม่ใช่เอกสารปลอม แม้
เนื้อหาในเอกสารจะเป็นความเท็จ
5
เอกสารเท็จ คือ
“เอกสารที่ทำขึ้นโดยปรากฎข้อมูลว่าบุคคลใดเป็นผู้ทำ และบุคคลนั้นจัดทำเอกสาร
จริง และบุคคลดังกล่าวมีอำนาจจัดทำเอกสาร แต่เนื้อหาในเอกสารไม่ตรงกับความ
เป็นจริง”
ลักษณะของเอกสารเท็จ จึงเป็นการลวงให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในเนื้อหาที่ปรากฎในเอกสารนั้น
แต่ไม่ได้ลวงให้ผู้อื่นเข้าใจผิดในตัวผู้ทำเอกสาร
หรือที่ อาจารย์หยุด แสงอุทัย นิยามเอกสารเท็จว่าเป็น “หนังสือโกหก” หรืออีกนัยหนึ่ง
เอกสารเท็จมีเจตนาในการ“หลอกในเนื้อหา”
ดังนั้นถ้าผู้จัดทำเอกสารมีอำนาจในการจัดทำเอกสารดังกล่าว ถึงแม้เนื้อหาใน
เอกสารดังกล่าวจะเป็นความเท็จ ก็ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
6
สรุปข้อแตกต่าง ระหว่างเอกสารปลอมกับเอกสารเท็จ
1.เร่ืองเนื้อหา
เนื้อหาในเอกสารปลอม อาจจะเป็นความจริงหรืออาจจะเป็นความเท็จก็ได้
เนื้อหาในเอกสารเท็จ จะต้องเป็นความเท็จเท่านั้น
2.เรื่องอำนาจในการทำเอกสาร
เอกสารปลอมจะต้องจัดทำโดย บุคคลอื่นที่ไม่ได้ปรากฎในเอกสาร หรือผู้จัดทำไม่มี
อำนาจทำเอกสารดังกล่าว
เอกสารเท็จจะต้องจัดทำโดย บุคคลซึ่งมีอำนาจในการทำเอกสารดังกล่าว
3.ประเด็นที่หลอก
เอกสารปลอม จะต้องจัดทำขึ้นเพื่อให้เชื่อว่าบุคคลใดเป็นคนทำเอกสาร หรือเพื่อให้เชื่อ
ว่าผู้จัดทำเอกสารมีอำนาจทำเอกสารดังกล่าวได้
เอกสารเท็จ จัดทำขึ้นเพื่อให้เชื่อว่าเนื้อหาในเอกสารดังกล่าวเป็นความจริง
7
มาตรา 264
บัญญัติว่า ผู้ใดทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือแต่ส่วนหนึ่งส่วนใด เติมหรือตัดทอน
ข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใดๆ ในเอกสารที่แท้จริง หรือประทับตราปลอมหรือลง
ลายมือชื่อปลอมในเอกสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
ถ้าได้กระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง ผู้นั้นกระทำความผิดฐาน
ปลอมเอกสาร ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ
ผู้ใดกรอกข้อความลงในแผ่นกระดาษหรือวัตถุอื่นใดซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่นโดยไม่ได้
รับความยินยอม หรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อื่นนั้น ถ้าได้กระทำเพื่อนำเอาเอกสารนั้นไป
ใช้ในกิจการที่อาจเกิดเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชนให้ถือว่าผู้นั้นปลอมเอกสาร
ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
1.ความผิดฐานปลอมเอกสารทั่วไป
มีด้วยกัน 2 ความผิดคือ
ความผิดที่1 (มาตรา264วรรคแรก) มีการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดต่อไปนี้
องค์ประกอบภายนอก
(1) ทำเอกสารปลอมขึ้นทั้งฉบับหรือส่วนหนึ่งส่วนใด
(2) เติมหรือตัดทอนข้อความ หรือแก้ไขด้วยประการใดๆในเอกสารอันแท้จริง
(3) ประทับตราปลอมหรือลงลายมือชื่อปลอม
องค์ประกอบภายใน
(1) เจตนาธรรมดา
(2) มูลเหตุชักจูงใจเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
การปลอมเอกสารนี้ต่างจากการปลอมเงินตรา โดยการทำเอกสารปลอมไม่
จำเป็นต้องมีเอกสารที่แท้จริงเพราะเป็นการทำขึ้นมาใหม่เพื่อแสดงว่าเป็นเอกสารของผู้
อื่น ไม่ใช่ของผู้ที่ทำ ถ้าเป็นเอกสารที่ผู้นั้นทำขึ้นเองแม้เป็นเท็จก็ไม่ใช่เอกสารปลอม การ
ปลอมอาจปลอมบางส่วนก็ได้หรืออาจเติมหรือตัดข้อความออกหรือแก้ไขใดๆในเอกสาร
ที่แท้จริง
การประทับตราและลงลายมือชื่อคนที่ไม่มีตัวตนในใบรับรองหรือเช็ค เป็นการ
ไปทำเอกสารปลอมเพราะเป็นการกระทำให้เข้าใจว่าเป็นเอกสารของผู้อื่น หรือไม่ใช่ครู
ใหญ่แต่ลงลายมือชื่อใบสุทธิในตำแหน่งครูใหญ่โดยไม่มีอำนาจรับรองสำเนาเอกสารแม้
ความจริงต้นฉบับไม่มีแบบลองขึ้นให้เห็นว่าคัดมาจากต้นฉบับ ทำสำเนาใบรับรองเงินไม่
ตรงกับต้นฉบับ เหล่านี้เป็นการปลอมเอกสารเปลี่ยนรูปถ่ายในบัตรขับขี่รถยนต์เป็นลูกคน
อื่น แก้ชื่อและอายุเป็นปลอมเอกสาร
แม้จะเป็นการแก้ไขให้ตรงกับความจริงก็เป็นการปลอมเอกสารได้เพราะ
เอกสารที่แท้จริงอาจมีข้อความเท็จเอกสารปลอมอาจมีข้อความจริงก็ได้เป็นคนละเรื่อง
กันแม้ตนเองเป็นผู้ทำเอกสารนั้นแต่ไม่มีอำนาจแก้แล้ว
8
ความผิดที่2 (มาตรา 264 วรรค2)
องค์ประกอบภายนอก
(1) กรอกข้อความ
(2) ลงในกระดาษหรือวัตถุอื่นใด ซึ่งมีลายมือชื่อของผู้อื่น
(3) โดยไม่ได้รับความยินยอมหรือโดยฝ่าฝืนคำสั่งของผู้อื่น
องค์ประกอบภายใน
(1) เจตนาธรรมดา
(2) มูลเหตุชักจุงใจเพื่อนำเอาเอกสารนั้นไปใช้ในกิจการที่อาจเกิดความเสียหายแก่
ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน
กรณีนี้ไม่ใช่การปลอมเอกสารโดยแท้ เพราะเจ้าของลายมืออ่านมอบอำนาจให้
กรอกข้อความลงได้ถ้าโกรกตามที่ได้ตกลงกันย่อมทำได้แต่ถ้ากลัวเกินความจริงไปก็เป็น
ความผิดตามมาตรานี้ ความในวรรคนี้หมายถึงว่ามีลายมือชื่อที่แท้จริงอยู่บนเอกสารตาม
ความผิดที่1ไม่ใช่ตามความผิดที่2นี้
ถ้าไม่ได้ทำโดยมีมูลเหตุชักจูงใจเพื่อนำเอาเอกสารดังกล่าวไปใช้ในกิจการอัน
อาจเกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือประชาชน ไม่เป็นการปลอมเอกสาร
การทำลายเอกสารนั้นไม่ใช่การปลอมเอกสารแต่เป็นความผิดฐานทำลาย
เอกสารตามมาตรา 142 มาตรา 185 หรือมาตรา 188 แล้วเเต่กรณี
9
มาตรา265
บัญญัติว่า ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิ หรือเอกสารราชการต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หก
เดือนถึงห้าปี และปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท
2.ความผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ
องค์ประกอบภายนอก
(1) ปลอม
(2) เอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ
องค์ประกอบภายใน
(1) เจตนาธรรมดา
(2) มูลเหตุชักจูงใจ เพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
เอกสารสิทธิ เอกสารที่เป็นหลักฐานแห่งการก่อเปลี่ยนแปลง โอนสงวน หรือ
ระงับซึ่งสิทธิ เช่นสัญญาซื้อขายเช็ค สมุดคู่ฝากบัญชีออมทรัพย์เป็นหลักฐานก่อตั้งสิทธิ
ถอนเงินสัญญากู้ ใบเสร็จรับเงินแสดงว่าหนี้ชำระแล้ว เป็นต้น
เอกสารราชการ เอกสารที่เจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือได้รับรองในหน้าที่ เช่น ใบ
อนุญาตขับขี่รถยนต์ ป้ายทะเบียนรถ บัตรประจำตัวประชาชน เป็นต้น แก้ไขคะแนน
ข้อสอบในคอมพิวเตอร์พิมพ์ส่งให้กรรมการตรวจสอบข้อสอบไปดำเนินการต่อเป็นการ
ปลอม และใช้หรืออ้างเอกสารราชการปลอมสำเนาทะเบียนประวัติอาชญากรที่เจ้าหน้าที่
รับรองเป็นเอกสารราชการ แต่ภาพถ่ายสำเนาที่เจ้าพนักงานยังไม่ได้รับรองอีกชั้นหนึ่ง
เป็นเอกสารธรรมดาไม่ใช่เอกสารราชการ
10
มาตรา266
บัญญัติว่า ผู้ใดปลอมเอกสารดังต่อไปนี้
(๑) เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ
(๒) พินัยกรรม
(๓) ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ หรือใบสำคัญของใบหุ้นหรือใบหุ้นกู้
(๔) ตั๋วเงิน หรือ
(๕) บัตรเงินฝาก
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี และปรับตั้งแต่สองหมื่นบาทถึงสองแสนบาท
3.ความผิดฐานปลอมเอกสารบางชนิด
องค์ประกอบภายนอก
(1) ปลอม
(2) เอกสารดังต่อไปนี้
-เอกสารสิทธิ์อันเป็นเอกสารราชการ
-พินัยกรรม
-ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ หรือใบสำคัญของใบหุ้นหรือใบหุ้นกู้
-ตั๋วเงิน
-บัตรเงินฝาก
องค์ประกอบภายใน
(1) เจตนาธรรมดา
(2) มูลเหตุเพื่อชักจูงใจให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง
ผู้ใดปลอมเอกสารต่อไปนี้ ต้องระวังโทษหนักขึ้น
(1) เอกสารสิทธิ์อันเป็นเอกสารราชการ ได้แก่ โฉนดที่ดิน สัญญาที่จะจด
ทะเบียนต่างๆตัวพิมพ์รูปพรรณสัตว์พาหนะ เหล่านี้เป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสาร
ราชการตามองค์ประกอบข้อนี้ถ้าไม่เป็นทั้งสองอย่างอาจผิดตามมาตรา 265 ไม่ใช่มาตรา
นี้
(2) พินัยกรรม ที่ทำขึ้นอย่างสมบูรณ์ตามกฏหมาย ถ้าปลอมพินัยกรรมแต่ทำผิด
แบบ เช่น พยานลงชื่อไม่ครบก็เป็นเพียงการปลอมเอกสารธรรมดา ถ้าทำถูกต้องตาม
แบบแต่ปลอมลายมือชื่อผู้ทำพินัยกรรมหรือปลอมลายพิมพ์นิ้วมือ โดยมีพยาน
รับรอง2คน ผิดตามมาตรานี้ได้
(3) ใบหุ้น ใบหุ้นกู้ หรือใบสำคัญของใบหุ้นหรือใบหุ้นกู้
(4) ตั๋วเงิน ได้แก่ ตัวแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงินและเช็ค ปลอมเช็คจึงเป็นการ
ปลอมตั๋วเงิน
(5) บัตรเงินฝาก ได้แก่ บัตรเงินฝากของธนาคารประเภทต่างๆทั้งนี้หากบัตรดัง
กล่าวมีลักษณะเป็น บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ด้วยผู้กระทำมีความผิดตามมาตรา 269 / 1 อีก
บทหนึ่ง
11
มาตรา267
บัญญัติว่า ผู้ใดแจ้งให้เจ้าพนักงาน ผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงใน
เอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐานโดย
ประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน
สามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
4.ความผิดฐานแจ้งให้จดข้อความเท็จ
องค์ประกอบภายนอก
(1) แจ้งเจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่
(2) ให้จดข้อความ
(3) อันเป็นเท็จ
(4) ลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ
(5) ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน
(6) โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
องค์ประกอบภายใน เจตนาธรรมดา
การกระทำ ได้แก่ การแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำตามหน้าที่จดข้อความอัน
เป็นเท็จลงในเอกสารมหาชนหรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยาน
หลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน เจ้าพนักงานตาม
มาตรานี้ คือ เจ้าพนักงานทั่วๆ ไปไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าพนักงานสอบสวนหรือเจ้า
พนักงานผู้มีอำนาจสอบสวนคดีอาญา เป็นเจ้าพนักงานประเภทใดก็ได้ เช่น ผู้ว่าราชการ
จังหวัด" และเจ้าพนักงานผู้รับแจ้งต้องกระทำการตามหนำที่ถ้าเจ้าพนักงานไม่มีหน้าที่ใน
การรับแจ้ง ผู้แจ้งก็ไม่มีความผิดตามมาตรานี้ การจดข้อความอันเป็นเท็จ เจ้าพนักงานไม่
จำเป็นต้องจดข้อความด้วยตนเองก็เป็นความผิดตามมาตรานี้" และข้อความที่แจ้งนั้น
ต้องเป็นข้อเท็จจริงไม่ใช่ข้อกฎหมาย
คำว่า "เอกสารมหาชน" หมายถึง เอกสารที่ป็นหลักฐานแก่ประชาชน เช่น
สมรส ตั๋วพิมพ์รูปพรรณสัตว์พาหนะ ทะเบียนสำมะโนครัว เป็นตัน เอกสารราชการ
หมายความว่าสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่และให้หมายความรวมถึง
สำเนาตามนิยามศัพท์ในมาตรา1 (8) ประมวลาฎหมายอาญา เช่น สมุดรายงานประจำวัน
บันทึกข้อความที่จำเลยแจ้งให้จดข้อความนเป็นเท็จ" นอกจากนี้เอกสารมหาชนหรือ
เอกสารราชการดังกล่าว
ขึ้นโดยวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยผู้กระทำมีเจตนาแจ้ง
ข้อความอันเป็นเท็จให้เต้าพนักงานจด เช่นคนต่างด้าวให้ลงทะเบียนสำมะโนครัวว่าเป็น
ไทยย้ายมาจากที่อื่นแจ้งความต่อเจ้าพนักงานที่ดินในการสอบสวนรับรองบัญชีเครือญาติ
ที่เป็นเท็จ แต่การเบิกความเป็นพยานเท็จให้ศาลจดไว้ไม่ให้เป็นความผิดตามมาตรานี้
เพราะคำให้การต่างหากที่เป็นหลักฐานเอกสารที่ศาลจดไม่ใช่เอกสารเป็นหลักฐานเหมือน
กับทะเบียนที่ดินหรือทะเบียนสำมะโนครัว
12
มาตรา268
บัญญัติว่า ผู้ใดใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตามมาตรา 264 มาตรา
265 มาตรา 266 หรือมาตรา 267 ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือ
ประชาชน ต้องระวางโทษดังที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้น ๆ ถ้าผู้กระทำความผิดตามวรรค
แรกเป็นผู้ปลอมเอกสารนั้น หรือเป็นผู้แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความนั้นเองให้ลงโทษ
ตามมาตรานี้แต่กระทงเดียว
5.ความผิด ฐานใช้เอกสารปลอม
องค์ประกอบภายนอก
(1) ใช้หรืออ้าง
(2) เอกสารอันเกิดจากการกระทำผิดตามมาตรา 264 มาตรา 265 มาตรา 266
หรือมาตรา 267
(3) ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
องค์ประกอบภายใน เจตนาธรรมดา
การกระทำ ได้แก่ การใช้หรืออ้างเอกสารอันเกิดจากการกระทำความผิดตาม
มาตรา 264(ปลอมเอกสาร) มาตรา 265 (เอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการปลอม) มาตรา
266 (เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ ใบหุ้น ตั๋วเงินหรือบัตรเงินฝาก) หรือมาตรา
267 (เอกสารอันมีการแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ) ในประการที่น่าจะเกิด
ความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จ ใน
ประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนหมายความว่าผู้กระทำมีเจตนา
ใช้หรืออ้างเอกสารดังกล่าวโดยรู้ว่าเป็นของปลอม แต่ผู้กระทำไม่จำเป็นต้องรู้ว่าจะเกิด
ความเสียหายแก่ผู้ใดจริงๆ หรือไม่เช่น เอาปืนที่มีหมายเลขทะเบียนปลอมที่พานท้ายปืน
ออกแสดงแก่เจ้าพนักงานเอาไปแต่งตั้งทนายที่ลงลายมือชื่อปลอมไปให้ทนายเพื่อยื่นต่อ
ศาลนำสลากการกุศลปลอมไปขอรับรางวัลการนำเอกสารปลอมออกจำหน่ายก็เป็นการ
ใช้อย่างหนึ่ง หรือนำประกาศนียบัตรปลอมออกให้ดูเพื่อเป็นด้วยอย่างที่จะขายต่อไปถือ
เป็นการใช้ เอกสารปลอมเอาป้ายวงกลมทะเบียนรถปลอมออกแสดงแกตำรวจ เป็นความ
ผิดตามมาตรานี้เป็นต้น ดังนั้นการใช้หรืออ้างเอกสารปลอมดังกล่าวจึงไม่จำเป็นต้องใช้
หรืออ้างอย่างเอกสารที่แท้จริง การใช้อย่างเอกสารปลอม ถ้าหากใช้ในประการที่น่าจะ
เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนก็เป็นความผิดตามมาตรานี้ได้
อย่างไรก็ตามมาตรา 268 วรรคสองถ้าผู้ที่ใช้หรืออ้างเอกสารปลอมหรือเอกสาร
มหาชนหรือเอกสารราชการอันเป็นเท็จดังกล่าว เป็นผู้ที่ปลอมเอกสารนั้นเองหรือเป็นผู้ที่
แจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จนั้นเอง กฎหมายให้ลงโทษผู้กระทำฐานเป็นผู้
ใช้หรืออ้างเอกสารนั้นแต่เพียงกระทงเดียว ถ้าปลอมเอกสารหลายฉบับและนำแต่ละฉบับ
ไปใช้แยกกันเป็นการปลอมและใช้หลายกระทง ก็ลงโทษตามมาตรา 268 เป็นหลาย
กระทง
13
มาตรา269
บัญญัติว่า ผู้ใดในการประกอบการงานในวิชาแพทย์ กฎหมาย บัญชีหรือวิชาชีพอื่นใด ทำ
คำรับรองเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือ
ประชาชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้ง
ปรับ
ผู้ใดโดยทุจริตใช้หรืออ้างคำรับรองอันเกิดจากการกระทำความผิดตามวรรคแรก
ต้องระวางโทษเช่นเดียวกัน
6.ความผิดฐานทำคำรับรองอันเป็นเท็จ
มีความผิด 2 ความผิดคือ
ความผิดที่1(มาตรา 269 วรรค1)
องค์ประกอบภายนอก
(1) ในการประกอบการงานในวิชาแพทย์ กฎหมาย บัญชี หรือวิชาอื่นใด
(2) ทำคำรับรองเอกสาร
(3) อันเป็นเท็จ
(4) โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
องค์ประกอบภายใน เจตนาธรรมดา
คำว่า “วิชาชีพ” หมายถึง อาชีพที่ต้องใช้ความรู้พิเศษผู้กระทำความผิดคือผู้ที่
ต้องใช้ความรู้พิเศษในการประกอบอาชีพซึ่งนอกจากแพทย์ นักกฎหมาย นักบัญชีแล้ว
ยังรวมถึงสถาปนิก หรือวิศวกรด้วยเป็นต้น การรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ เช่นแพทย์ออก
ใบรับรองว่าไม่ป่วยความจริงป่วยอยู่รับรองว่าป่วยแท้จริงไม่ป่วย เป็นต้น แต่ต้อง
พยายามฟ้องให้เห็นว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพดังกล่าว
ความผิดที่2(มาตรา 269 วรรค2)
องค์ประกอบภายนอก
(1) ใช้หรืออ้าง
(2) คำรับรองอันเกิดจากการกระทำความผิดตามวรรคแรก
องค์ประกอบภายใน
(1) เจตนาธรรมดา
(2) มูลเหตุชักจูงใจโดยทุจริต
ผู้กระทำความผิด ได้แก่ ผู้ใช้หรืออ้างคำรับรองอันเป็นความเท็จนั้น เช่นนำ
ใบรับรองแพทย์ว่าป่วยมาใช้ในการลาหยุด หรือนำใบรับรองแบบของวิศวกรไปขอ
อนุญาตก่อสร้าง เป็นต้น
ทั้งนี้ผู้กระทำต้องมีมูลเหตุชักจูงใจโดยทุจริตด้วย
ความผิดแรกคือ ผู้ที่ทำคำรับรอง ความผิดที่สองคือ ผู้นำไปใช้
14
บทที่2
คำอธิบายบรรทัดฐานคำพิพากษาศาลฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 658/2513
ป.อ. มาตรา 264, 268
ป.วิ.อ. มาตรา 2(4)
ผู้เสียหายได้รู้เห็นยินยอมให้ผู้อื่นเซ็นชื่อแทนในใบแต่งทนาย เมื่อมีผู้นำใบแต่ง
ทนายนั้นไปให้ทนายทำคำร้องยื่นต่อศาล ความเสียหายที่จะมีแก่ผู้เสียหาย จึงไม่มีผู้เสีย
หาย จึงไม่เป็นผู้เสียหายตามกฎหมาย
เมื่อจำเลยนำคำร้องที่มีลายเซ็นชื่อผู้เสียหายปลอมโดยให้ผู้อื่นเซ็นชื่อแทนมา
ยื่นต่อศาลย่อมจะเห็นได้ว่าน่าจะเสียหายแก่ศาลในการรับคำร้องนั้นไว้พิจารณา จำเลย
จึงมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา268 ประกอบด้วย
มาตรา 264
เพียงแต่ "ลงลายมือชื่อปลอม" เท่านั้น ก็เป็นปลอมเอกสารแล้ว
ตัวอย่าง
นายแดง ขโมยบัตรเครดิตของนายดำ และนำไปใช้ชำระราคาสินค้าโดยแสดง
บัตรเครดิตนั้นแก่พนักงานขายของร้านค้า โดยนายแดงลงลายมือชื่อปลอมของนายดำ
ลงในใบบันทึกการขาย (แผ่นสลิป) ในช่องลายมือชื่อผู้ถือบัตร และส่งมอบใบบันทึกการ
ขายดังกล่าว ให้แก่พนักงานขายของร้านค้า นายแดงผิดฐานปลอมเอกสารสิทธิ และใช้
เอกสารสิทธิปลอม (ฎีกาที่ 2766/2546)
โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนเป็นองค์ประกอบ
ภายนอก ซึ่งมิใช่ "ข้อเท็จจริง" เป็น "พฤติการณ์ประกอบการกระทำ" ซึ่งหมายความว่า
ถ้าไม่น่าจะเกิดความเสียหาย ก็ไม่ผิด แม้พยายามก็ไม่ผิด เป็นสิ่งที่ต้องวินิจฉัยโดยระดับ
ความรู้ของวิญญูชนทั่วไป หากวิญญูชนเห็นว่าเสียหาย ก็ถือว่าเสียหาย แม้ผู้กระทำจะ
ไม่รู้ว่าจะทำให้เสียหายก็ตาม ฎีกาที่ 769/2540 วินิจฉัยว่า ถ้อยคำดังกล่าวเป็น
"พฤติการณ์ที่ประกอบการกระทำ" ที่น่าจะเกิดความเสียหายได้ แม้จะไม่เกิดความเสีย
หายขึ้นจริง ก็พิจารณาได้จากความคิดธรรมดาของบุคคลทั่วไป
ข้อสังเกต
เพียงแต่น่าจะเกิดความเสียหาย ก็เป็นความผิดสำเร็จแล้ว หากครบเงื่อนไขอื่นๆ ของ
มาตรา 264 ไม่จำต้องเกิดความเสียหายขึ้นจริง (ฎีกาที่ 1281-1282/2538)
15
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ : 769 / 2540
จำเลยเป็นผู้ทำสัญญากู้ยืมเงิน รวมทั้งลายมือชื่อ ส.ผู้ให้สัญญาด้วยตนเอง
เมื่อปี 2536 ภายหลังที่ ส.ถึงแก่ความตายไปแล้วในปี 2533 และลงวันที่ย้อนหลังไปว่าได้
ทำสัญญาดังกล่าวขึ้นเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2531 ทำให้เห็นว่าสัญญาดังกล่าวทำขึ้น
ระหว่าง ส.กับจำเลยในขณะที่ ส.ยังมีชีวิตอยู่ และใจความของสัญญาดังกล่าวที่ว่า ส.กู้ยืม
เงินจำเลย100,000บาท ถ้าส.ไม่คืนเงินจำนวนดังกล่าวส.ยอมโอนที่ดินสวนยางพารา
เนื้อที่ 14 ไร่ 1 งานแก่จำเลยนั้น นอกจากไม่เป็นความจริงแล้ว ยังน่าจะเกิดความเสียหาย
แก่ทายาทของ ส.อีกด้วย และเหตุที่จำเลยทำเอกสารดังกล่าวขึ้นเพื่อจะใช้อ้างกับ ด.ว่าที่
ดินของ ส.เป็นของจำเลย และจะได้เรียกร้องค่าเสียหายต่อไป ซึ่งทำให้เห็นได้ว่าการที่
จำเลยกระทำดังกล่าวเพื่อให้ ด.หลงเชื่อว่าเอกสารสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวเป็นเอกสาร
ที่แท้จริงดังนั้นการกระทำของจำเลยจึงเป็นการปลอมเอกสารสิทธิตามป.อ.มาตรา 265
ข้อความที่ว่า "โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน"
ตาม ป.อ.มาตรา 264 นั้น ไม่ใช่การกระทำโดยแท้ และไม่ใช่เจตนาพิเศษ จึงไม่เกี่ยวกับ
เจตนา แต่เป็นพฤติการณ์ที่ประกอบการกระทำที่น่าจะเกิดความเสียหายได้ แม้จะไม่เกิด
ความเสียหายขึ้นจริงก็เป็นองค์ประกอบความผิดที่พิจารณาได้จากความคิดธรรมดาของ
บุคคลทั่วไปในลักษณะเดียวกับจำเลยส่วนคำว่าผู้หนึ่งผู้ใดในข้อความที่ว่า"ได้กระทำเพื่อ
ให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง" นั้น แสดงว่านอกจากเป็นการกระทำโดย
เจตนาแล้วยังต้องมีเจตนาพิเศษในการกระทำเพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสาร
ที่แท้จริงด้วย โดยมิได้เจาะจงผู้ที่ถูกกระทำให้หลงเชื่อไว้โดยเฉพาะว่าจะต้องเป็นผู้ใด ดัง
นั้นการที่จำเลยเจตนากระทำเอกสารปลอมขึ้นเพื่อให้ ด.หลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงก็
เป็นความผิดแล้ว แม้จำเลยยังมิได้นำเอกสารดังกล่าวไปใช้แสดงต่อ ด.ก็ตาม ทั้งบุคคลที่
จะถูกทำให้หลงเชื่อนี้กฎหมายมิได้กำหนดว่าจำต้องเกี่ยวโยงเป็นบุคคลกลุ่มเดียวกับ
บุคคลที่น่าจะเกิดความเสียหายเพราะการกระทำของจำเลย คือทายาทของ ส. แต่อย่าง
ใดแต่อาจเป็นบุคคลใดบุคคลหนึ่งก็ได้
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตาม ป.อ.มาตรา 265 แล้ว กรณีไม่จำ
ต้องปรับบทด้วย ป.อ. มาตรา 264 อีก
16
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1761/2552
ฎีกาของโจทก์มิได้มีข้อความตอนใดโต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ในส่วนที่วินิจฉัยว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยร่วมกระทำความผิด
ฐานปลอมตั๋วเงิน เพราะข้อความในฎีกาของโจทก์ล้วนแต่ยกเหตุผลโต้แย้งว่าจำเลยร่วม
กระทำผิดฐานใช้ตั๋วเงินปลอม แต่มีข้อความตอนท้ายฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานร่วมกับ
พวกปลอมตั๋วเงิน ฎีกาของโจทก์ในข้อหาความผิดฐานร่วมกันปลอมตั๋วเงินเป็นฎีกาไม่ชัด
แจ้ง ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง
จำเลยนำเช็คซึ่งเป็นตั๋วเงินปลอมเข้าบัญชีจำเลยเพื่อเรียกเก็บเงินแทนนาง
ยุพาโดยไม่ทราบว่าเป็นตั๋วเงินปลอม
การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำโดยไม่รู้ข้อเท็จจริงอันเป็นองค์
ประกอบความผิด เป็นการขาดเจตนากระทำความผิดฐานใช้ตั๋วเงินปลอมตาม ป.อ.
มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (4) และมาตรา 59 วรรคสาม วรรคสอง และ
วรรคหนึ่ง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานร่วมกับพวกใช้ตั๋วเงินปลอ
17
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 961/2559
แม้ข้อความที่จำเลยแจ้งจะเป็นความเท็จเพราะความจริงโฉนดที่ดินอยู่ที่ ภ.
และจำเลยนำรายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานที่เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็น
เท็จไปใช้อ้างเพื่อขอให้ออกใบแทนโฉนดที่ดินก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องที่จำเลยกระทำต่อพัน
ตำรวจโท บ.เจ้าพนักงาน ธ. และ พ. เจ้าพนักงานที่ดิน มิได้กล่าวพาดพิงไปถึง ภ. หรือนำ
รายงานประจำวันรับแจ้งเป็นหลักฐานที่เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็นเท็จไปใช้อ้างต่อ
ภ. อันจะถือว่า ภ. ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลย อีกทั้งจำเลย
มอบให้มารดานำโฉนดที่ดินทั้งสองฉบับไปเป็นหลักประกันการกู้ยืมเงินกับภ. เท่านั้น ซึ่ง
ภ. ไม่มีสิทธิที่จะบังคับเอากับโฉนดที่ดินดังกล่าวได้ตามกฎหมาย
ภ. จึงมิใช่ผู้เสียหายในความผิดฐานแจ้งให้เจ้าพนักงานจดข้อความอันเป็น
เท็จลงในเอกสารราชการและใช้หรืออ้างเอกสารราชการซึ่งแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำ
การตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าว ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) และไม่มีสิทธิยื่น
คำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 30 การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ ภ. เข้าร่วม
เป็นโจทก์จึงเป็นการไม่ชอบ เมื่อ ภ. มิใช่คู่ความในคดีจึงไม่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ขอให้ไม่รอ
การลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยได้ ดังนี้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยอุทธรณ์ของ ภ. จึง
เป็นการไม่ชอบเช่นกัน
18
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9557/2558
ใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.ท.บ. 5) ไม่ใช่เอกสารที่แสดงว่าผู้ชำระค่าภาษีมี
สิทธิในที่ดิน คือ สิทธิครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เพราะเอกสารที่แสดงถึงสิทธิ
ครอบครองหรือกรรมสิทธิ์ในที่ดินย่อมเป็นไปตาม ป.ที่ดิน มาตรา 1 คือ หนังสือรับรอง
การทำประโยชน์หรือโฉนดที่ดิน การกระทำการเกี่ยวกับใบภาษีบำรุงท้องที่ของจำเลยที่
1 ดังกล่าวจึงไม่กระทบถึงการที่โจทก์ยึดถือที่ดินซึ่งไม่มีเอกสารสิทธิที่จำเลยทั้งหกมอบ
ให้ไว้เป็นหลักประกันเมื่อเข้าร่วมโครงการปลูกพืชพลังงานทดแทนกับโจทก์ ทั้งโจทก์ก็ไม่
เคยมีเจตนาจะชำระค่าภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งต้องนำใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ (ภ.ท.บ. 5)
ท่อนที่มอบให้เจ้าของที่ดินนี้มาแสดงด้วยเมื่อมาติดต่อขอชำระภาษีบำรุงท้องที่ การที่
จำเลยที่1 ไปแจ้งความว่าใบเสียภาษีบำรุงท้องที่ที่มอบให้โจทก์ยึดถือไว้หาย แล้วไปขอ
อกใบแทนใหม่ จึงไม่ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหา
19
กรณีที่ไม่น่าจะเกิดความเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1568/2521 แก้ตัวเลขในสลากกินแบ่ง 1 ตัว ให้เป็น
หมายเลขที่ถูกรางวัลเพื่อให้เพื่อนเลี้ยงอาหารจำเลยก่อน แล้วจำเลยทิ้งสลากกินแบ่งใน
ถังขยะในบ้าน มีผู้เก็บสลากกินแบ่งนั้นไปขอรับรางวัลนอกความรู้เห็นของจำเลย การ
หลอกให้เลี้ยงอาหารเป็นการล้อเล่นระหว่างเพื่อนซึ่งทำอยู่เป็นปกติ ไม่เป็นความเสียหาย
แก่ประชาชนหรือเพื่อนของจำเลย ไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสาร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1126/2505 ทำสัญญากู้เงินกันไว้โดยถูกต้องตาม
กฎหมาย แต่ไม่ได้ลงนามพยานในสัญญา ต่อมาผู้ให้กู้จึงให้ผู้อื่นลงนามเป็นพยานในท้าย
สัญญา โดยผู้กู้มิได้รู้เห็นด้วยแล้วผู้ให้กู้นำสัญญานั้นมาฟ้องต่อศาล ดั่งนี้ ผู้ให้กู้หามีผิด
ฐานปลอมเอกสารไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5932/2538 การที่โจทก์แก้ไขจำนวนเงินในสัญญากู้โดย
การขีดฆ่าตัวเลขและตัวอักษรจากจำนวน 25,700 บาท เป็นจำนวน20,200 บาท และ
ลงชื่อกำกับไว้เพื่อให้ตรงกับความเป็นจริงไม่น่าจะเกิดความเสียหายแก่จำเลย และคดีนี้
โจทก์แก้ไขจำนวนเงินที่กู้ให้ลดลงจากเดิม กลับจะเป็นประโยชน์แก่จำเลย สัญญากู้จึงไม่
เป็นเอกสารปลอม และเป็นเอกสารที่สมบูรณ์รับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2539 การที่จำเลยนำเอาภาพถ่ายของจำเลยเองมา
ปิดทับลงในสำเนาภาพถ่ายใบอนุญาตขับรถของจำเลย ถึงแม้จะกระทำไปเพื่อให้เจ้า
พนักงานตำรวจและบุคคลทั่วไปหลงเชื่อว่าเป็นต้นฉบับเอกสารที่แท้จริง แต่ในเมื่อเป็น
ภาพถ่ายของจำเลยและเป็นสำเนาภาพถ่ายใบอนุญาตขับรถของจำเลยเอง การกระทำ
ของจำเลยย่อมไม่ก่อให้เกิดความเสียหายใด ๆ แก่ผู้อื่นหรือประชาชน จึงไม่เป็นความผิด
ฐานปลอมเอกสาร แม้จำเลยจะนำไปใช้ก็ไม่ทำให้จำเลยมีความผิดฐานใช้เอกสารปลอม
ตามที่โจทก์ฟ้องไปได้
19
บทที่ 3
สรุปเนื้อหา
สรุป
โครงสร้างความรับผิดทางอาญา
1.การกระทำครบ “องค์ประกอบ” ที่กฎหมายบัญญัติหมายความว่า
(1) “การกระทำ”
(2) ครบ “องค์ประกอบภายนอก”
(3) ครบ “องค์ประกอบภายใน”
(4) ผลของการกระทำ
2.การกระทำต้องไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิด
3.การกระทำต้องไม่มีกฎหมายยกเว้นโทษด้วย
เอกสารที่เป็นวัตถุแห่งการกระทำความผิดนี้ ต้องมีลักษณะที่จะใช้สื่อความหมายตาม
มาตรา1(7)คือ การแสดงออกซึ่งเจตนาอย่างหนึ่งอย่างใดที่มีเนื้อหาสาระ เช่น อาจใช้เป็น
หลักฐานหรือการแสดงสิทธิ์อย่างหนึ่งอย่างใดโดยต้องแสดงถึงผู้ออมหรือผู้นำเอกสา
รนั้นๆด้วย
ความหมายของเอกสารตามมาตรา1(7)
เอกสาร หมายความว่า กระดาษหรือวัตถุอื่นใดซึ่งได้ทำให้ปรากฏความหมายด้วยตัว
อักษรตัวเลขผังหรือแผนแบบอย่างอื่นจะเป็นโดยวิธีพิมพ์ถ่ายภาพหรือวิธีอื่นอันเป็นหลัก
ฐานแห่งความหมายนั้น
เอกสารประกอบด้วยสาระสำคัญ คือ
1) เป็นสิ่งที่มีรูปร่าง ควันไฟ รหัสเสียง สัญญาณ ธงสัญญาณไฟ หรือข้อมูลใน
คอมพิวเตอร์ไม่มีรูปร่างไม่ใช่เอกสาร
2) มุ่งแสดงความหมาย สื่อความคิดของผู้ทำแม่ผู้อื่นไม่เข้าใจก็ตามเช่นรอยขีด
จดคะแนนเป็นเอกสารแต่รอยขีดทดลองปากกาไม่เป็นทำศิลาจารึกเพื่อเป็นวัตถุโบราณ
ไม่มุ่งหมายแสดงข้อความไม่ใช่เอกสาร
3) ประสงค์จะให้เป็นหลักฐาน
21
บรรณานุกรม
หนังสือ
ศาสตราจารย์ ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ. คำอธิบายกฏหมายอาญา ภาคความผิด
เเละลหุโทษ./พิมพ์ครั้งที่ 18
แก้ไขเพิ่มเติม
สหรัฐ กิติ ศุภการ. หลักและคำพิพากษา : กฎหมายอาญาหลักและคำพิพากษา. พิมพ์ครั้ง
ที่11.
กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์,2564
ทีมทนาย Thai Law Consultสหรัฐ กิติ ศุภการ. กฎหมายอาญา : คำพิพากษาศาลฎีกา
และหลักกฎมาย. พิมพ์ครั้งที่1.
กรุงเทพมหานคร : อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,2564
สื่ออิเล็กทรอนิกส์
ทีมทนาย Thai Law Consult. ประทับตราปลอม ลงลายมือชื่อปลอม ในเอกสาร ข้อ
สังเกตจากพี่ตุ๊กตา1.สืบค้น9กันยายน2564
http://www.thailawconsult.com/TLC/crime26.html
นาวิน ขำแป้น. ประมวลกฎหมายอาญา. สืบค้นเมื่อ 9 กันยายน 2564.
https://www.keybookme.com/criminal-law/get-dd?matra=265&a2=active
วาคิน ยังช่วย. ประมวลกฎหมายอาญา. สืบค้นเมื่อ 15 กันยายน 2564. http://thai-
crime-code.blogspot.com/2010/03/blog-post_2313.html