44 ผลการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ก่อน เรียนและหลังเรียน การเปรียบเทียบผลการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) ผู้วิจัยได้นำคะแนนเฉลี่ยก่อน เรียนและหลังเรียนจากการทดสอบการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาวิเคราะห์เปรียบเทียบโดย การทดสอบ t-test for Dependent Sample ผลการวิเคราะห์ข้อมูลแสดงผลดังตารางที่ 4 ตารางที่ 4.2 ผลการเปรียบเทียบทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการ จัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) ก่อนเรียนและหลังเรียน การทดสอบ นักเรียน คะแนนเฉลี่ย S.D. ร้อยละ t-test Sig ก่อนเรียน 25 4.20 1.0408 42.00 13.876 .000* หลังเรียน 25 8.00 1.6329 80.00 * มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 จากตารางที่ 4.2 ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการเปรียบเทียบคะแนนการพัฒนาทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 4.20 คิดเป็น ร้อยละ 42.00 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 8.00 คิดเป็นร้อยละ 80.00 ซึ่งคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 แสดงว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) เรื่องกายเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ มีการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
45 บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ การวิจัย เรื่องการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดย การจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) เรื่องการเปลี่ยนแปลง เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการ พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จากการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลสามารถสรุปผล อภิปรายผล และให้ข้อเสนอแนะ ดังรายละเอียดต่อไปนี้ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยการจัดการ เรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) สมมติฐานของการวิจัย 1. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยการ จัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต และอธิบาย(POE) เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ หลังพัฒนาไม่น้อยกว่า ระดับดี 2. นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต และอธิบาย (POE) มีการใช้ทักษะ กระบวนการวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ขอบเขตของการวิจัย 1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 1.1 ประชากร ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ทั้งหมด 353 คน จาก 8 ห้องเรียน 1.2 กลุ่มตัวอย่าง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 25 คน ซึ่งได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง ( Purposive sampling ) 2. ตัวแปรที่ศึกษา 2.1 ตัวแปรต้น ได้แก่ การจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) 2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่ การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
46 3. เนื้อหาที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยใช้เนื้อหาจากหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง 2560) รายวิชา ว15101 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สาระ กายภาพ ที่ 2 อธิบายการเปลี่ยนสถานะของสสาร เมื่อทำให้สสารร้อนขึ้นหรือเย็นลง การละลายของสารในน้ำ โดยใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ประกอบไปด้วยเนื้อหาย่อยดังนี้ 3.1 การเปลี่ยนสถานะของสสาร 3.2 การระเหิดและการระเหิดกลับ 3.3 การละลายในน้ำ 4. ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ทำการศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โดยใช้เวลาในการ ทดลอง 8 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 4 สัปดาห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) จำนวน 3แผน แผนละ 2 ชั่วโมง 2 แผน และแผนละ 4 ชั่วโมง 1 แผน รวมจำนวนทั้งสิ้น 8 ชั่วโมง โดยมีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของแผน ระหว่าง 0.67 – 1.00 2. แบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาตสร์ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เป็นแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 10 ข้อ มีค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) อยู่ระหว่าง 0.67 – 1.00 และเมื่อนำแบบทดสอบ ไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง มีค่าความยากง่าย (P) อยู่ระหว่าง 0.21 -0.7 ค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.29 – 1.00 และค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.83 การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. ก่อนการทดลอง ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เพื่อนำ คะแนนมาวิเคราะห์เป็นคะแนนก่อนเรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยแบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) 2. ผู้วิจัยดำเนินการสอนนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) จำนวน 4 แผน รวม 8 ชั่วโมง รวมทั้งหมด 4 สัปดาห์ 3. เมื่อสิ้นสุดการทดลอง ทำการทดลองหลังเรียน โดยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาตสร์ ชุดเดิมกับทดสอบก่อนเรียน เพื่อนำคะแนนมาวิเคราะห์เป็นคะแนนหลังเรียน
47 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยได้นำผลการทดสอบการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เรื่องการเปลี่ยนแปลง ทางกายภาพ ก่อนเรียนและหลังเรียน มาคิดคะแนนเป็นร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D) แล้วนำคะแนนทั้งสองมาเปรียบเทียบโดยใช้สถิติ t-test Dependent สรุปผลการวิจัย ผลการศึกษาและเปรียบเทียบพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) พบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียน เท่ากับ 4.20 คิดเป็นร้อยละ 42.00 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 8.00 คิดเป็นร้อยละ 80.00 ซึ่งเป็นไป ตามสมมติฐานที่กำหนดไว้ และเมื่อเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า นักเรียนมีคะแนนหลัง เรียนสูงกว่าก่อนเรียน อภิปรายผล ในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยมีประเด็นที่จะอภิปรายผลการวิจัยดังนี้ นักเรียนที่เรียนด้วยการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ มีคะแนนเฉลี่ยการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีค่าสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้ ทั้งนี้อาจจะเป็นผลเนื่องมาจาก การจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) เทคนิคที่มีประสิทธิภาพที่จะส่งเสริมให้นักเรียนได้ แสดงความคิดเห็นและอภิปรายเกี่ยวกับแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เป็นขั้นตอน การนำเสนอสถานการณ์และให้ นักเรียนทำนายว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีการเปลี่ยนแปลงหลังจากนักเรียนทำนายแล้วให้นักเรียนสังเกต สถานการณ์ดังกล่าว โดยให้นักเรียนลงมือทดลองสังเกต หรือหาวิธีพิสูจน์เพื่อให้นักเรียนหาคำตอบจาก สถานการณ์ที่ครูสร้างขึ้นหลังจากนั้นให้นักเรียนบอกสิ่งที่นักเรียนสังเกตได้จากการสืบเสาะหาความรู้ด้วยตัว นักเรียนเอง และขั้นสุดท้ายนักเรียนจะต้องอธิบายถึงความแตกต่างระหว่างสิ่งที่ได้จากการทำนาย และการ สังเกต หรือผลการทดลองที่ได้ซึ่งการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย ผู้วิจัยได้จัดตาม รูปแบบของแนวทางการจัดการเรียนรู้ของ เฮย์ซัม และโบเวน (Haysom & Bowen, 2010) 8 ขั้นตอน โดย ขยายความในแต่ละขั้นของ POE ให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ประกอบด้วย 8 ขั้น ได้แก่ 1. การนำเข้าสู่บทเรียนและสร้างแรงจูงใจ เป็นขั้นตอนที่นำสู่บทเรียนโดยใช้คำถามที่ท้าทาย ร่วมกับร่วมกันอภิปรายเพื่อสะท้อนประสบการณ์หรือความรู้ก่อนหน้าในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับบทเรียน 2. การนำเข้าสู่กิจกรรมหรือการทดลอง เป็นขั้นที่แนะนำการทดลองหรือกิจกรรมโดยมีการ เชื่อมโยงกิจกรรมกับเรื่องที่อธิบาย 3. การทำนาย เป็นขั้นที่ล้วงประสบการณ์หรือความรู้เดิม ระบุผลการทำนายที่จะเกิดขึ้นพร้อมทั้ง แสดงเหตุผลประกอบการทำนาย
48 4. การอภิปรายสิ่งที่ทำนาย เป็นขั้นที่ร่วมกันอภิปรายภายในกลุ่มย่อยและทั้งชั้นเรียนถึงการ ทำนายผลการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น และร่วมกันเลือกคำทำนายที่มีน่าจะเป็นไปได้มากที่สุดพร้อมทั้งแสดง เหตุผลมารองรับ 5. การสังเกต เป็นขั้นที่ร่วมกันสังเกตปรากฏการณ์ต่าง ๆ และบันทึกสิ่งที่สังเกตจากการทดลอง หรือกิจกรรมพยายามรวบรวมข้อมูลที่ได้จากกิจกรรมให้มากที่สุดโดยแสดงหลักฐานและเหตุผลประกอบ 6. การอธิบาย เป็นขั้นที่จัดระบบความคิดของตนเองผ่านการพูดคุยและการเขียนอภิปรายสิ่งที่ได้ จากการสังเกตซึ่งอาจเป็น เป็นกลุ่มพร้อมทั้งระบุเหตุผลที่สนับสนุนคำตอบที่อภิปรายร่วมกัน 7. การให้คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ เป็นขั้นที่ร่วมกันสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์จาก หลักฐานที่ได้จากการสำรวจตรวจสอบเปรียบเทียบและตรวจสอบความสอดคล้องของคำอธิบายทาง วิทยาศาสตร์ที่สร้างกันกับเพื่อนร่วมชั้นและคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ของนักวิทยาศาสตร์จากบทเรียน 8. การติดตามผล เป็นขั้นที่แสดงข้อมูลป้อนกลับในเรื่องการเขียนคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์และ ประยุกต์ความรู้เพื่อนำไปใช้ในการอธิบายปรากฎการณ์ต่าง ๆ จะเห็นได้ว่าการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) เป็นยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวกับการ ทำนายผล การสาธิตและอภิปรายผลที่นักเรียนทำนาย สังเกต และการอธิบายผลที่สอดคล้องตรงกัน ระหว่าง การทำนายผล การสังเกตอาจแสดงให้เห็นความรู้เดิม และแปลความหมายใหม่กับสิ่งที่นักเรียน ได้สังเกต เป็น การเปิดโอกาสให้นักเรียน มีการเปลี่ยนแปลงและการเจรจาต่อรอง (Negotiate) ในการแปลความหมายใหม่ ของนักเรียนช่วยให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียน โดยผู้เรียนนั้นเป็นผู้ลงมือปฏิบัติและประโยชน์ของ แต่ละขั้นตอนของ เทคนิคการสอนทำนาย สังเกต อธิบาย สรุปดังนี้ 1. การที่ผู้เรียนทำนายสิ่งที่เกิดขึ้นประกอบกับการให้เหตุผล จะทำให้ผู้สอนเข้าใจความคิดเดิมก่อน เรียนของผู้เรียน เป็นการสำรวจความรู้เกิดได้อีกทางหนึ่ง 2. การสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นและจดบันทึก เป็นการฝึกทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 3. การอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นว่าแตกต่างจากสิ่งที่ทำนายไว้อย่างไร ทำให้ผู้เรียนตระหนักว่าตนเองมี ความรู้เดิมอย่างไร และเรียนรู้อะไรเพิ่มจากการทำกิจกรรมบ้าง สรุปได้ว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) คือ ทำให้ผู้เรียน ทำนายสิ่งที่เกิดขึ้นประกอบกับการให้เหตุผล จะทำให้ผู้สอนเข้าใจความคิดเดิมก่อนเรียน ซึ่งเป็นการฝึกทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และช่วยให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนว่าตนเองมีความรู้เดิมอย่างไร และเรียนรู้อะไรเพิ่มจากการทำกิจกรรม
49 ข้อเสนอแนะ ข้อเสนอแนะในการนำผลวิจัยไปใช้ประโยชน์ 1. กระบวนการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) เป็นกระบวนการสอนที่ต้องใช้เวลาใน การทำกิจกรรม ผู้สอนจึงควรมีการยึดหยุ่นในการจัดกิจกรรมการเรียนในแต่ละขั้น ให้มีความ เหมาะสม เนื่องจากนักเรียนมีความสามารถในการเรียนรู้ต่างกัน 2. ผู้สอนสำรวจความรู้เดิมและความสนใจของนักเรียนก่อนจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อจะได้จัด กิจกรรมที่เหมาะสมกับความรู้เดิมและความสนใจของนักเรียน ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 1. ควรนำการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) ไปใช้ในการพัฒนาทักษะ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ในเนื้อหาอื่นๆ ที่อยู่ในสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ 2. ควรนำการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) ไปปรับใช้ในวิชาวิทยาศาสตร์ ใน ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อความต่อเนื่อง
50 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. (2560). ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ (ฉบับปรับปรุง 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 กฤตกร สภาสันติกุล. (2558). ผลของกลวิธีการสอนเคมีโดยใช้การทำนาย สังเกต การอธิบาย อย่างมี ขั้นตอนที่มีต่อความสามารถในการสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์และความมีเหตุผลของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ครุศาสตร์มหาบัณฑิตสาขาวิชาหลักสูตรและการ สอน, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วรรัตน์ พรมเด่น. (2561). การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์พื้นฐานโดยการสอนแบบ สาธิตการปฏิบัติการ เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ปิยาภรณ์, และคณะ. (2564). ผลการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ ร่วมกับเทคนิค POE เรื่อง แรง การเคลื่อนที่และพลังงาน ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเจตคติต่อวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย อุรารัตน์ และ น้ำเพชร (2566). การจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) เรื่อง สมบัติทาง กายภาพของวัสดุ ที่ส่งเสริมสมรรถนะการอธิบายปรากฏการณ์ในเชิงวิทยาศาสตร์สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สรัญญา และ กัญญาวดี (2566). การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานโดยการ จัดการเรียนรู้แบบสืบ เสาะหาความรู้ 5 ขั้นร่วมกับการใช้เกมสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 5 ชนินันท์ พฤกษ์ประมูล. (2012). เอกสารประกอบการสอนรายวิชา วษ 652 การประเมินเพื่อการเรียน รู้วิทยาศาสตร์. ศูนย์วิทยาศาสตรศึกษา, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ชวาล แพรัตกุล. (2552). เทคนิคการวัดผล. (พิมพ์ครั้งที่ 7). มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. กรุงเทพฯ. พิชิต ฤทธิ์จรูญ. (2555). หลักการวัดและประเมินผลการศึกษา. กรุงเทพฯ: เฮ้าส์ ออฟ เดอร์มิสท์. ธนภรณ์ ก้องเสียง. (2561). การพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยใช้กิจกรรมการ ทดลองทางวิทยาศาสตร์เสริมการเรียนรู้ : กรณีศึกษาโรงเรียนปราโมทวิทยา รามอินทรา ปณิกา ยิ้มพงษ์. (2563) การศึกษาผลการจัดการเรียนรู้ทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) ร่วมกับการใช้ คำถามมีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ชะลอ เอี่ยมสะอาด. (2550). แผนพัฒนาศักยภาพศึกษานิเทศก์ วัตกรรมการเรียนรู้ สพท นครปฐม 2. [ม.ป.ท.].
51 สมเกียรติ พรพิสุทธิมาศ. (2551). การสอนวิทยาศาสตร์ที่เน้นทักษะกระบวนการ. วารสารก้าวทันโลก วิทยาศาสตร์, 8(2). Wu H. & Hsieh,C. (2006). Developing sixth grades' inquiry skills to construct explanations in inquiry-based learning environment. International Journal of Science Education, 28(11), 1289-1313. สุดารัตน์ หอมไกรลาศ. (2556). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ และความพึงพอใจต่อการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่องไฟฟ้า ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างการจัดการเรียนการสอนแบบทำนาย-สังเกต-การอธิบาย (POE) และการจัดการเรียนการ สอนแบบวัฏจักร 7 ขั้น (7E), วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและนวัตกรรม การจัดการเรียนรู้, มหาวิทยาลัยนครพนม. ลำพูน สิงห์ขา. (2555). การพัฒนาการคิดอย่างมีวิจารณญาณและมโนมติทางวิทยาศาสตร์ เรื่องอัตรา การเกิดปฏิกิริยาเคมื ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ศึกษา,มหาวิทยาลัยขอนแก่น. Wu H. & Hsieh,C. (2006). Developing sixth grades' inquiry skills to construct explanations in inquiry-based learning environment. International Journal of Science Education, 28(11), 1289-1313. Zuziwe. (2012). Using the Predict-Observe-Explain technique to enhance the students’ understanding of chemical reactions (Short report on pilot study). Master’s thesis University of Natal King George V Natal.
52 ภาคผนวก
53 ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญในการตรวจประเมินเครื่องมือวิจัย
54 รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ผู้เชี่ยวชาญด้านการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่ประเมินแผนการจัดการเรียนรู้และแบบทดสอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ มีรายนามดังต่อไปนี้ 1. นางกัลยานี แพงจันทร์ ตำแหน่งครู วิทยาฐานะ ชำนาญการพิเศษ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนบ้านหมากแข้ง 2. นางชไมพร คงเพ็ชร์ ตำแหน่งครู วิทยาฐานะ ชำนาญการพิเศษ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนบ้านหมากแข้ง 3. นางวันเพ็ญ พิเสฎศลาศัย ตำแหน่งครู วิทยาฐานะ ชำนาญการพิเศษ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนบ้านหมากแข้ง
55 ภาคผนวก ข ค่าดัชนีความสอดคล้อง(IOC) ของแผนการจัดการเรียนรู้และ แบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
56 แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) แผนการจัดการการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่5 โดยผู้เชี่ยวชาญ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสาร ที่ รายการประเมิน ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ∑R IOC คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1. สาระสำคัญ 1.1 เขียนได้ใจความสำคัญของเรื่อง +1 +1 +1 3 1 1.2 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ถูกต้องครอบคลุมเนื้อหา +1 +1 +1 3 1 2.2 สามารถวัดและประเมินได้ +1 +1 +1 3 1 3. สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 4. กระบวนการจัดการเรียนรู้ 4.1 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นไปตามการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) +1 +1 +1 3 1 4.2 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และ เนื้อหา/สาระการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 4.3 กิจกรรมเหมาะสมกับระดับของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.4 กิจกรรมสนับสนุนให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง +1 +1 +1 3 1 4.5 กิจกรรมส่งเสริมผลการเรียนรู้ด้านความรู้ของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.6 กิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.7 กิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดงความคิด และนำเสนอผลงาน +1 +1 +1 3 1 4.7 เวลาที่ใช้เพียงพอต่อกิจกรรมการเรียนรู้ +1 +1 0 2 0.67 5. สื่อการเรียนรู้เหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 6. การวัดและประเมินผล 6.1 การวัดและประเมินผลมีความหลากหลาย +1 +1 +1 3 1 6.2 วิธีวัดและเครื่องมือวัด สามารถวัดได้ +1 +1 +1 3 1 6.3 ตรงและครบถ้วนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1
57 แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) แผนการจัดการการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยผู้เชี่ยวชาญ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง การระเหิดและการระเหิดกลับ ที่ รายการประเมิน ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ∑R IOC คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1. สาระสำคัญ 1.1 เขียนได้ใจความสำคัญของเรื่อง +1 +1 +1 3 1 1.2 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ถูกต้องครอบคลุมเนื้อหา +1 +1 +1 3 1 2.2 สามารถวัดและประเมินได้ +1 +1 +1 3 1 3. สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 4. กระบวนการจัดการเรียนรู้ 4.1 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นไปตามการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) +1 +1 +1 3 1 4.2 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และ เนื้อหา/สาระการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 4.3 กิจกรรมเหมาะสมกับระดับของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.4 กิจกรรมสนับสนุนให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง +1 +1 +1 3 1 4.5 กิจกรรมส่งเสริมผลการเรียนรู้ด้านความรู้ของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.6 กิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.7 กิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดงความคิด และนำเสนอผลงาน +1 +1 +1 3 1 4.7 เวลาที่ใช้เพียงพอต่อกิจกรรมการเรียนรู้ +1 +1 0 2 0.67 5. สื่อการเรียนรู้เหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 6. การวัดและประเมินผล 6.1 การวัดและประเมินผลมีความหลากหลาย +1 +1 +1 3 1 6.2 วิธีวัดและเครื่องมือวัด สามารถวัดได้ +1 +1 +1 3 1 6.3 ตรงและครบถ้วนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1
58 แบบประเมินความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) แผนการจัดการการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่5 โดยผู้เชี่ยวชาญ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 3 เรื่อง การละลายของสารในน้ำ ที่ รายการประเมิน ความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ ∑R IOC คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1. สาระสำคัญ 1.1 เขียนได้ใจความสำคัญของเรื่อง +1 +1 +1 3 1 1.2 สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ถูกต้องครอบคลุมเนื้อหา +1 +1 +1 3 1 2.2 สามารถวัดและประเมินได้ +1 +1 +1 3 1 3. สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 4. กระบวนการจัดการเรียนรู้ 4.1 การจัดกิจกรรมการเรียนรู้เป็นไปตามการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) +1 +1 +1 3 1 4.2 กิจกรรมการเรียนรู้สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และ เนื้อหา/สาระการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 4.3 กิจกรรมเหมาะสมกับระดับของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.4 กิจกรรมสนับสนุนให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติกิจกรรมด้วยตนเอง +1 +1 +1 3 1 4.5 กิจกรรมส่งเสริมผลการเรียนรู้ด้านความรู้ของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.6 กิจกรรมส่งเสริมทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ของผู้เรียน +1 +1 +1 3 1 4.7 กิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนได้แสดงความคิด และนำเสนอผลงาน +1 +1 +1 3 1 4.7 เวลาที่ใช้เพียงพอต่อกิจกรรมการเรียนรู้ +1 +1 0 2 0.67 5. สื่อการเรียนรู้เหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1 6. การวัดและประเมินผล 6.1 การวัดและประเมินผลมีความหลากหลาย +1 +1 +1 3 1 6.2 วิธีวัดและเครื่องมือวัด สามารถวัดได้ +1 +1 +1 3 1 6.3 ตรงและครบถ้วนตามจุดประสงค์การเรียนรู้ +1 +1 +1 3 1
59 ตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือของผู้เชี่ยวชาญ การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของแบบทดสอบวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (Index of Item Objective Congruence: IOC) เรื่อง การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โดยผู้เชี่ยวชาญ ข้อที่ คะแนนของผู้เชี่ยวชาญ รวม ค่า IOC แปลผล หมายเหตุ คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 1 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 2 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 3 0 +1 +1 3 0.67 ใช้ได้ 4 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 5 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 6 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 7 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 8 +1 0 +1 3 0.67 ใช้ได้ 9 +1 +1 +1 3 1 ใช้ได้ 10 +1 +1 0 3 0.67 ใช้ได้
60 ภาคผนวก ค ค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก และค่าความเชื่อมั่น ของแบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
61 ค่าความยากง่าย ค่าอำนาจจำแนก และค่าความเชื่อมั่น ของแบบสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ตารางค่าความยากง่าย (p) ค่าอำนาจจำแนก (r) ข้อสอบข้อที่ ค่าความยากง่าย (p) ค่าอำนาจจำแนก (r) 1 .56 .35 2 .40 .38 3 .60 .38 4 .48 .34 5 .36 .58 6 .40 .50 7 .52 .35 8 .36 .50 9 .36 .50 10 .44 .35 ค่าความเชื่อมั่นสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Reliability Cronbach’s Alpha Coefficient) = .83
62 ภาคผนวก ง ตัวอย่างแผนจัดการเรียนรู้
63 แผนจัดการเรียนรู้ รายวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การเปลี่ยนแปลง บทที่ 1 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสสาร กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เวลา 4 ชั่วโมง ผู้สอน นายทินกร โพธิวงษ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสาร กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง สถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด สสารที่อยู่รอบตัวเรามีหลายชนิด สสารแต่ละชนิดที่พบในชีวิตประจำวันอาจมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส ซึ่งสสารอาจเปลี่ยนจากสถานะหนึ่งไปเป็นอีกสถานะหนึ่งได้ โดยอาศัยการเพิ่มหรือลด ความร้อนให้แก่สสารไปจนถึงระดับหนึ่ง เรียกว่า การเปลี่ยนสถานะ การหลอมเหลว เป็นการเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว โดยเมื่อเพิ่มความร้อนให้กับสสาร ที่อยู่ในสถานะของแข็งจนถึงระดับหนึ่งจะทำให้สสารนั้นเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว การกลายเป็นไอ เป็นการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นแก๊ส โดยเมื่อเพิ่มความร้อนให้กับสสารที่ อยู่ในสถานะของเหลวจนถึงระดับหนึ่งจะทำให้สสารนั้นเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นสถานะแก๊ส เรียกว่าการกลายเป็นไอ ซึ่งแบ่งได้ 2 กระบวนการ ได้แก่ การระเหย เป็นการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวที่ อยู่บริเวณผิวหน้าไปเป็นแก๊ส และการเดือด เป็นการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวโดยเพิ่มความร้อนจนถึงจุด เดือดจนเป็นแก๊ส การควบแน่น เป็นการเปลี่ยนสถานะจากแก๊สเป็นของเหลว โดยเมื่อลดความร้อนให้กับสสารที่อยู่ใน สถานะแก๊สจนถึงระดับหนึ่งจะทำให้สสารนั้นเปลี่ยนสถานะจากแก๊สเป็นของเหลว การแข็งตัว เป็นการเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นของแข็ง โดยเมื่อลดความร้อนให้กับสสารที่อยู่ใน สถานะของเหลวจนถึงระดับหนึ่งจะทำให้สสารนั้นเปลี่ยนสถานะจากของเหลวเป็นของแข็ง 3. สาระการเรียนรู้ การเปลี่ยนสถานะของสสารเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เมื่อเพิ่มความร้อนให้กับสสารถึงระดับ หนึ่งจะทำให้สสารที่เป็นของแข็งเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรียกว่า การหลอมเหลว และเมื่อเพิ่มความ ร้อนต่อไปจนถึงอีกระดับหนึ่งของเหลวจะเปลี่ยนเป็นแก๊ส เรียกว่า การกลายเป็นไอ แต่เมื่อลดความร้อนถึง ระดับหนึ่งแก๊สจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลว เรียกว่า การควบแน่น และถ้าลดความร้อนต่อไปอีกจนถึง ระดับหนึ่งของเหลวจะเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง เรียกว่า การแข็งตัว
64 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารเมื่อเพิ่มหรือลดความร้อนให้สสารได้ (K) 2. ปฏิบัติกิจกรรมการเปลี่ยนสถานะของสสารได้อย่างถูกต้องและเป็นลำดับขั้นตอน (P) 3. มีความใฝ่เรียนรู้และให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมกลุ่ม (A) 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการสังเกต 2) ทักษะการทดลอง 3) ทักษะการตั้งสมมติฐาน 4) ทักษะการทำงานร่วมกัน 5) ทักษะการพยากรณ์หรือการคาดคะเน 6) ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป 7) ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปซกับเวลา 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. ซื่อสัตย์ สุจริต 4. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) ชั่วโมงที่ 1-2 ขั้นที่ 1 การนำเข้าสู่บทเรียนและสร้างแรงจูงใจ 1. ครูทักทายกับนักเรียน แล้วแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ให้นักเรียนทราบ 2. นักเรียนอ่านสาระสำคัญและดูภาพ หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การเปลี่ยนแปลง จากหนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 จากนั้นครูตั้งประเด็นคำถามว่า “การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ของสสาร และการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของสาร เหมือนหรือต่างกันอย่างไร” แล้วให้นักเรียน แต่ละคนร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระโดยไม่มีการเฉลยว่าถูกหรือผิด (แนวตอบ : ต่างกัน โดยการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสสาร จะไม่ทำให้เกิดสารใหม่ และทำให้ สารนั้นกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ ส่วนการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของสาร จะทำให้เกิดสารใหม่ และ ทำให้กับมาเป็นสารเดิมได้ยากหรือไม่ได้)
65 3. นักเรียนดูภาพในบทที่ 1 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 จากนั้นครูถามคำถามสำคัญประจำบทว่า “การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสสารที่พบเห็นได้ ในชีวิตประจำวันมีอะไรบ้าง” โดยให้นักเรียนแต่ละคนร่วมกันอภิปรายเพื่อหาคำตอบ (แนวตอบ : น้ำเดือดจนกลายเป็นไอ การควบแน่นของไอน้ำจนกลายเป็นหยดน้ำ เป็นต้น) 4. นักเรียนเรียนรู้คำศัพท์ที่เกี่ยวข้องกับการเรียนในบทที่ 1 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 โดยครูขออาสาสมัครนักเรียน จำนวน 1 คน ให้เป็นผู้อ่านนำ และให้นักเรียนที่อยู่ในชั้นเรียนเป็นผู้อ่านตามทีละคำ ดังนี้ 5. นักเรียนทำกิจกรรมนำสู่การเรียน โดยอ่านสถานการณ์ จากนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 หน้าที่ 4 แล้วครูสุ่มถามนักเรียนให้ตอบคำถามจากสถานการณ์ (แนวตอบ : นักเรียนตอบตามความเข้าใจ ไม่ตัดสินว่าถูกหรือผิด เพื่อดูว่านักเรียนมีความรู้เดิมากน้อย เพียงใด) ขั้นที่ 2 การนำเข้าสู่กิจกรรมหรือการทดลอง 1. ครูเปิดวีดิทัศน์เกี่ยวกับการเกิดฝน ให้นักเรียนดู โดยให้นักเรียนแต่ละคนสังเกตกระบวน การเกิดฝนจากวีดิทัศน์ จากนั้นครูตั้งประเด็นคำถามกระตุ้นความคิดนักเรียนว่า “จากวีดิทัศน์ นักเรียนสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของน้ำ ในลักษณะใดบ้าง” โดยให้นักเรียนแต่ละคนร่วมกัน อภิปรายแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระโดยไม่มีการเฉลยว่าถูกหรือผิด (แนวตอบ : ขึ้นอยู่กับสิ่งที่นักเรียนสังเกตเห็น เช่น น้ำจากทะเล/มหาสมุทรระเหยเป็นไอน้ำ, ไอน้ำในอากาศรวมตัวกันเป็นเมฆและควบแน่นเป็นฝน) 2. ครูตั้งประเด็นคำถามกระตุ้นความสนใจนักเรียนว่า “ถ้าเราตั้งน้ำแข็งก้อนทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง น้ำแข็งก้อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะหรือไม่ อย่างไร” โดยให้แต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปราย เพื่อหาคำตอบ (แนวตอบ : น้ำแข็งก้อนเกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะ โดยเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว) 3. ครูถามคำถามนักเรียนเพิ่มเติมว่า นักเรียนคิดว่า สสารชนิดใดที่สามารถเกิดการเปลี่ยนสถานะได้ จากนั้นให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ โดยครูแจ้งให้นักเรียนนทราบว่า นักเนรียนจะได้ คำตอบจาการทำกิจกรรมที่ 1 เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสสาร 4. ครูแบ่งกลุ่มให้นักเรียน โดยแบ่งออกเป็นทั้งหมด 8 กลุ่มกลุ่มละเท่าๆกัน โดยแบ่งให้นักเรียนคละ กันทั้งเพศและความสามารถ (เก่ง ปานกลาง อ่อน) Physical Change (‘ฟิซิคัล เชนจ) การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ Vaporisation (‘เวเพอไรเซชัน) การกลายเป็นไอ Condensation (คอนเด็น ‘เซชัน) การควบแน่น
66 5. ครูจัดเตรียมวัสดุ-อุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมที่ 1 การเปลี่ยนสถานะของสสาร จากหนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 มาวางไว้หน้าชั้นเรียน ดังนี้ - ชาม 1 ใบ - น้ำแข็งก้อน 5-6 ก้อน - หลอดทดลอง 1 หลอด - ตะแกรงวางหลอดทดลอง 1 อัน - บีกเกอร์ขนาด 250 มิลลิลิตร 1 ใบ - เกลือ 1 ถุง - กระจกนาฬิกา 1 อัน - น้ำแข็งป่น 3/4 ของชาม - ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์ 1 ชุด 6. นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันศึกษาขั้นตอนการทำการกิจกรรมที่ 1 เรื่องการเปลลี่ยนสถานะของสสาร โดยศึกษาขั้นตอนกาทำกิจกรรม จากหนังสือเรียนหน้า 6-7 ขั้นที่ 3 การทำนาย 1. ก่อนทำกิจกรรม ครูตั้งคำถาม(ระบุปัญหา) ของกิจกรรมนี้ว่า การเพิ่มหรือลดความร้อนมีผลต่อ น้ำแข็งก้อนอย่างไร 2. ครูให้นักเรียนแต่ละคนลองทำนายผลการทำกิจกรรมนี้ว่า ผลที่จะเกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร ทำไมถึง เป็นเช่นนั้น โดยครูจะสุ่มถามนักเรียน 4-5 คน 3. จากนั้นครูจะถามว่า มีใครมีผลการทำนายเหมือนกันหรือคล้ายกับเพื่อนบ้าง ขั้นที่ 4 อภิปรายสิ่งที่ทำนาย 1. ครูให้นักเรียนแลกเปลี่ยนการผลการทำนายเพื่อทำการอภิปรายทั้งห้อง โดยครูจะเขียนคำทำนาย ของนักเรียนไว้บนกระดาษ 2. ครูจะให้นักเรียนนำเสนอผลการทำนายและเหตุผลที่ใช้การทำนายดังกล่าว ว่าทำไมถึงคิดว่าผล กิจกรรมจะเป็นเช่นนั้น และให้นักเรียนคนอื่นช่วยกันแสดงความคิดเห็น (ในขั้นตอนนี้ครูจะต้องกระตุ้นให้กิดแรงผลักดันในการส่งเเสริมการให้ข้อมูลของนักเรียน และไม่ ทำให้ผู้เรียนเกิดความวิตก หรือรู้สึกว่าคำทำนายของตนเองนั้น ด้อยค่า หรือผิด) 3. ครูให้นักเรียนลงความคิดเห็นกันและเลือกคำทำนายที่ดีที่สุด โดยการให้นักเรียนทุกคนทำการ โหวตว่าคำทำนายไหนดีที่สุด และให้นักเรียนเขียนคำทำนายที่เลือกลงในแบบฝึกหัดของตนเอง ขั้นที่ 5 การสังเกต 1. นักเรียนร่วมกันปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนให้ครบถ้วนและถูกต้องทุกขั้นตอน โดยมีครูคอยดูแล และคอยให้คำแนะนำในการปฏิบัติกิจกรรม 2. จากนั้นร่วมกันสังเกตการเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนสถานะของน้ำแข็งที่ได้ทำการเพิ่มและลดความร้อน ว่ามีผลการเปลี่ยนแปลงอย่างไร และบันทึกผลการทำกิจกรรมลงในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2
67 ชั่วโมงที่ 3-4 ขั้นที่ 6 การอธิบาย 1. ครูให้นักเรียนของแต่ละกลุ่ม นำผลการสังเกตจากกิจกรรมมาทำการอภิปราย พูดคุย แสดงความ คิดเห็นร่วมกันเกี่ยวกับสิ่งที่สังเกตได้จากการทำกิจกรรม ว่าตรงกับการทำนายที่นักเรียนได้ ทำนายกับคำถามข้างต้น(สมมติฐาน)ไว้หรือไม่อย่างไร โดยทำการบันทึกผลการอภิปรายลงในสมุด ประจำตัวของนักเรียน 2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน เพื่อแลกเปลี่ยน ความคิดจนครบทุกกลุ่ม 3. ครูให้นักเรียนทั้งหมดทำการอภิปรายลงความคิดเห็นร่วมกัน เกี่ยวกับผลการทำกิจกรรมเรื่อง การ เปลี่ยนแปลงสถานะของสาร เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม ขั้นที่ 7 การใช้คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ 1. นักเรียนและครูร่วมกันนสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์จากหลักฐานที่ได้จากการตรวจสอบ เปรียบเทียบและตรวจสอบความสอดคล้องความรู้ที่ได้จาการทำกิจกรรมที่ 1 การเปลี่ยนสถานะ ของสสาร ซึ่งจะให้นักเรียนเป็นผู้สร้างคำอธิบายร่วมกันโดยมีครูคอยเสริมในส่วนที่บกพร่อง ขั้นที่ 8 การติดตามผล 1. ครูสุ่มนักเรียน จำนวน 4 คน ให้ยกตัวอย่างการเปลี่ยนสถานะของสารในชีวิตประจำวันคนละ 1 ตัวอย่าง ดังนี้ • คนที่ 1 ให้ยกตัวอย่างการเปลี่ยนสถานะของสสารโดยการหลอมเหลว • คนที่ 2 ให้ยกตัวอย่างการเปลี่ยนสถานะของสสารโดยการกลายเป็นไอ • คนที่ 3 ให้ยกตัวอย่างการเปลี่ยนสถานะของสสารโดยการควบแน่น • คนที่ 4 ให้ยกตัวอย่างการเปลี่ยนสถานะของสสารโดยการแข็งตัว 2. นักเรียนและครูร่วมกัสรุปเเกี่ยวกับการเปลี่ยนสถานะของสสาร ซึ่งได้ข้อสรุปร่วมกันว่า “สถานะ ของสสารมีด้วยกัน 3 สถานะ ได้แก่ ของแข็ง ของเหลว แก๊ส ซึ่งการเปลี่ยนแปลงสถานะทาง กายภาพของสสาร จะต้องอาศัยความร้อนเป็นปัจจัยสำคัญ โดยกระบวนการเปลี่ยนแปลงสถานะ ของสสารมีด้วยกัน หลายกระบวนการได้แก่ การหลอมเหลว การกลายเป็นไอ การควบแน่น และ การแข็งตัว”
68 8. สื่อ อุปกรณ์และแหล่งเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การเปลี่ยนแปลง 2) แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การเปลี่ยนแปลง 3) วัสดุ-อุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมที่ 1 การเปลี่ยนสถานะของสสาร 4) PowerPoint เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสสาร 5) วีดิทัศน์เกี่ยวกับการเกิดฝน จากhttps://www.youtube.com/watch?v=g5Et-Ec-BSE 6) สมุดประจำตัวนักเรียน 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องเรียน 9. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ รายการวัดและประเมินผล การวัดผล เกณฑ์การประเมิน K 1. อธิบายการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารเมือเพิ่ม หรือลดความร้อนให้สสารได้ - การถามตอบ - การนำเสนอหน้าชั้นเรียน 1. ระดับคุณภาพ ดี ขึ้นไป P 2. ปฏิบัติกิจกรรมการเปลี่ยนสถานะของสสารได้อย่าง ถูกต้องและเป็นลำดับขั้นตอน - แบบสังเกตพฤติกรรมการ ทำงานรายบุคคล - แบบบันทึกผลการทำ กิจกรรมการทดลอง 2. ระดับคุณภาพ ดี ขึ้นไป A 3. มีความใฝ่เรียนรู้และให้ความร่วมมือในการทำ กิจกรรมกลุ่ม - แบบสังเกตพฤติกรรมการ ทำงานกลุ่ม 3. ระดับคุณภาพ ดี ขึ้นไป
69 แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานรายบุคคล คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ลำดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ำใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน ............/.................../................ เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ำกว่า 8 ปรับปรุง
70 แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนน ลำดับที่ ชื่อ–สกุล ของนักเรียน การแสดง ความ คิดเห็น การยอมรับ ฟังคนอื่น การทำงาน ตามที่ได้รับ มอบหมาย ความมี น้ำใจ การมี ส่วนร่วมใน การ ปรับปรุง ผลงานกลุ่ม รวม 15 คะแนน 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 ลงชื่อ ................................................... ผู้ประเมิน ............./.................../............... เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 14–15 ดีมาก 11–13 ดี 8–10 พอใช้ ต่ำกว่า 8 ปรับปรุง
71 ชื่อ……………………………………………………………………………… เลขที่ ……………… ชั้น ……………… กลุ่มที่ ………… คำชี้แจง ให้ผู้ประเมินเขียนเครื่องหมาย ✓ ลงในช่องคุณภาพ รายการละ 1 ระดับ ที่ ทักษะ ระดับคุณภาพ 1 2 3 1 การสังเกต 2 การวัด 3 การจำแนกประเภท 4 การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา 5 การคำนวณ 6 การจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล 7 การลงความเห็นจากข้อมูล 8 การพยากรณ์ รวม เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 21–24 ดีมาก 16–20 ดี 12–15 พอใช้ ต่ำกว่า 12 ปรับปรุง แบบบันทึกผลการประเมินด้านทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
72 เกณฑ์การให้คะแนน 1. ทักษะการสังเกต 1 คะแนน ใช้ประสาทสัมผัสในการสังเกต และบรรยายผลการสังเกตโดยใช้ ความรู้สึกส่วนตัว หรือความเห็น หรือ ความรู้เดิมประกอบเป็นส่วนใหญ่ 2 คะแนน ใช้ประสาทสัมผัสในการสังเกต และบรรยายผลการสังเกตโดยใช้ ความรู้สึกส่วนตัว หรือความเห็น หรือ ความรู้เดิมประกอบบางส่วน 3 คะแนน ใช้ประสาทสัมผัสในการสังเกต และบรรยายผลการสังเกตโดยไม่ใช้ ความรู้สึกส่วนตัว หรือความเห็น หรือ ความรู้เดิมประกอบ 2. ทักษะการวัด 1 คะแนน เลือกและใช้เครื่องมือวัดได้ไม่ถูกต้อง ทำการวัดเพียงครั้งเดียว ใส่หน่วย ไม่ถูกต้องส่วนใหญ่ 2 คะแนน เลือกและใช้เครื่องมือวัดได้ถูกต้อง แต่ ทำการวัดเพียงครั้งเดียว หรือ ใส่ หน่วยไม่ถูกต้องบางส่วน 3 คะแนน เลือกและใช้เครื่องมือวัดได้ถูกต้อง ทำการวัดอย่างน้อย 3 ครั้ง และ ใช้ หน่วยได้ถูกต้อง 3. ทักษะการจำแนกประเภท 1 คะแนน จัดแบ่ง หรือ เรียงลำดับสิ่งที่สนใจศึกษา ได้ไม่สอดคล้องกับเกณฑ์ที่ใช้ ส่วนใหญ่ 2 คะแนน จัดแบ่ง หรือ เรียงลำดับสิ่งที่สนใจศึกษา ได้ไม่สอดคล้องกับเกณฑ์ที่ใช้ บางส่วน 3 คะแนน จัดแบ่ง หรือ เรียงลำดับสิ่งที่สนใจศึกษา ได้สอดคล้องกับเกณฑ์ที่ใช้ ครบถ้วน สมบูรณ์ 4. ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหวางสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา 1 คะแนน ระบุความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งหนึ่งกับอีกตำแหน่งที่เปลี่ยนไปของ วัตถุ หรือ ระหว่างตำแหน่งของวัตถุกับเวลาที่เปลี่ยนไป เมื่อมีปัจจัยภายนอก กระทำกับวัตถุ ได้อย่างถูกต้องบางส่วน 2 คะแนน ระบุความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งหนึ่งกับอีกตำแหน่งที่เปลี่ยนไปของ วัตถุ หรือ ระหว่างตำแหน่งของวัตถุกับเวลาที่เปลี่ยนไป เมื่อมีปัจจัยภายนอก กระทำกับวัตถุ ได้อย่างถูกต้องส่วนใหญ่
73 3 คะแนน ระบุความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งหนึ่ง กับ อีกตำแหน่งที่เปลี่ยนไปของ วัตถุ หรือ ระหว่างตำแหน่งของวัตถุกับเวลาที่เปลี่ยนไป เมื่อมีปัจจัยภายนอก กระทำกับวัตถุ ได้อย่างถูกต้องทั้งหมด 5. ทักษะการคำนวณ 1 คะแนน คำนวณหาค่าที่ต้องการโดยใช้วิธีการทางการคำนวณ เช่น การหา ค่าเฉลี่ย อัตราส่วน ได้ถูกต้องบางส่วน 2 คะแนน คำนวณหาค่าที่ต้องการโดยใช้วิธีการทางการคำนวณ เช่น การหา ค่าเฉลี่ย อัตราส่วน ได้ถูกต้องส่วนใหญ่ 3 คะแนน คำนวณหาค่าที่ต้องการโดยใช้วิธีการทางการคำนวณ เช่น การหา ค่าเฉลี่ย อัตราส่วน ได้ถูกต้องทั้งหมด 6. ทักษะการจัดกระทำและสื่อความหมายข้อมูล 1 คะแนน มีการนำผลการสังเกต วัด หรือ ทดลอง มาจัดกระทำ เช่น หาความถี่ เรียงลำดับ จัดแยกประเภท หรือ คำนวณค่าใหม่ ได้ถูกต้องบางส่วน 2 คะแนน มีการนำผลการสังเกต วัด หรือ ทดลอง มาจัดกระทำ เช่น หาความถี่ เรียงลำดับ จัดแยกประเภท หรือ คำนวณค่าใหม่ ได้ถูกต้อง แต่ยังไม่ชัดเจน หรือ ไม่สมบูรณ์ 3 คะแนน มีการนำผลการสังเกต วัด หรือ ทดลอง มาจัดกระทำ เช่น หาความถี่ เรียงลำดับ จัดแยกประเภท หรือ คำนวณค่าใหม่ ที่ถูกต้อง ชัดเจน และ สมบูรณ์ 7. ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล 1 คะแนน ลงความเห็นโดยอาศัยหลักฐานที่ได้จากการสังเกต หรือ ที่ได้จากการทำ กิจกรรม บางส่วน 2 คะแนน ลงความเห็นโดยอาศัยหลักฐานที่ได้จากการสังเกต หรือ ที่ได้จากการทำ กิจกรรม ส่วนใหญ่ 3 คะแนน ลงความเห็นโดยอาศัยหลักฐานที่ได้จากการสังเกต หรือ ที่ได้จากการทำ กิจกรรมครบถ้วน 8. ทักษะการพยากรณ์ 1 คะแนน สรุปคำตอบล่วงหน้า โดยอาศัยประสบการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ หลักการ กฎ หรือ ทฤษฎีที่มีอยู่แล้วมาช่วยในการสรุป บางส่วน
74 2 คะแนน สรุปคำตอบล่วงหน้า โดยอาศัยประสบการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ หลักการ กฎ หรือ ทฤษฎีที่มีอยู่แล้วมาช่วยในการสรุป ส่วนใหญ่ 3 คะแนน สรุปคำตอบล่วงหน้า โดยอาศัยประสบการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ หลักการ กฎ หรือ ทฤษฎีที่มีอยู่แล้วมาช่วยในการสรุป ทั้งหมด
75 แผนจัดการเรียนรู้ รายวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การเปลี่ยนแปลง บทที่ 1 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เรื่อง การระเหิด กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เวลา 2 ชั่วโมง ผู้สอน นายทินกร โพธิวงษ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสาร กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของ สสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การระเหิด เป็นการเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นแก๊ส โดยเมื่อเพิ่มความร้อนให้กับสสารที่อยู่ใน สถานะของแข็งบางชนิดจนถึงระดับหนึ่งจะทำให้สสารนั้นเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นแก๊ส โดยไม่ ผ่านการเป็นของเหลว การระเหิดกลับ เป็นการเปลี่ยนสถานะจากของแก๊สเป็นของแข็ง โดยเมื่อลดความร้อนให้กับสสาร ที่อยู่ในสถานะแก๊สบางชนิดจนถึงระดับหนึ่งจะทำให้สสารนั้นเปลี่ยนสถานะจากของแก๊สเป็นของแข็ง โดยไม่ผ่านการเป็นของเหลว 3. สาระการเรียนรู้ สสารบางชนิดสามารถเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นแก๊สโดยไม่ผ่านการเป็นของเหลว เรียกว่า การระเหิด ส่วนแก๊สบางชนิดสามารถเปลี่ยนแปลงสถานะเป็นของแข็งโดยไม่ผ่านการเป็นของเหลว เรียกว่า การระเหิดกลับ 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายการระเหิดและระเหิดกลับของสสารได้ (K) 2. ปฏิบัติกิจกรรมการระเหิดและการระเหิดกลับได้อย่างถูกต้องและเป็นลำดับขั้นตอน (P) 3. มีความใฝ่เรียนรู้และให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมกลุ่ม (A) 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการสังเกต 2) ทักษะการทดลอง
76 3) ทักษะการตั้งสมมติฐาน 4) ทักษะการทำงานร่วมกัน 5) ทักษะการพยากรณ์หรือการคาดคะเน 6) ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป 7) ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปรซกับเวลา 8) ทักษะการวัด 3. ความสามารถในการแก้ปัญหา 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) ขั้นที่ 1 การนำเข้าสู่บทเรียนและสร้างแรงจูงใจ 1. ครูทักทายนักเรียน จากนั้นครูทบทวนความรู้เดิมเกี่ยวกับ เรื่อง การเปลี่ยนสถานะของสสาร โดยครูแจกกระดาษสี Post it ประกอบด้วย สีชมพู สีเหลือง สีเขียว และสีส้ม ให้นักเรียน คนละ 4 แผ่น คละสีกัน จากนั้นครูชี้แจงให้นักเรียนปฏิบัติ ดังนี้ • กระดาษสีชมพูให้นักเรียนเขียนตัวอย่างของสสารที่มีการเปลี่ยนแปลงโดยการหลอมเหลว • กระดาษสีเหลืองให้นักเรียนเขียนตัวอย่างของสสารที่มีการเปลี่ยนแปลงโดยการแข็งตัว • กระดาษสีเขียวให้นักเรียนเขียนตัวอย่างของสสารที่มีการเปลี่ยนแปลงโดยการกลายเป็นไอ • กระดาษสีส้มให้นักเรียนเขียนตัวอย่างของสสารที่มีการเปลี่ยนแปลงโดยการควบแน่น 2. ครูแบ่งพื้นที่บนกระดานหน้าชั้นเรียนออกเป็น 4 ส่วน จากนั้นครูเขียนคำว่า “การหลอมเหลว การกลายเป็นไอ การควบแน่น การแข็งตัว” ลงบนกระดาน 3. นักเรียนแต่ละคนเขียนตัวอย่างของสสารที่มีการเปลี่ยนแปลงสถานะ ลงในกระดาษสี Post it ที่ตนเองได้รับ เมื่อเขียนเสร็จ ครูสุ่มนักเรียน จำนวน 5 คน ให้มาแปะคำตอบที่เขียนลงในกระดาษ สี Post it หน้าชั้นเรียน โดยครูให้นักเรียนร่วมกันพิจารณาว่าคำตอบใดถูกต้อง จากนั้นครูเฉลย คำตอบที่ถูกต้องให้นักเรียน 4. ครูเปิดวีดิทัศน์เกี่ยวกับการระเหิดของน้ำแข็งแห้ง ให้นักเรียนดู จากนั้นครูตั้งประเด็นคำถาม กระตุ้นความคิดนักเรียนว่า “น้ำแข็งแห้งมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงของสสารอย่างไร เหมือนหรือ ต่างจากการเปลี่ยนแปลงสถานะของน้ำแข็งก้อนหรือไม่” โดยให้นักเรียนแต่ละคนร่วมกันอภิปราย แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระโดยไม่มีการเฉลยว่าถูกหรือผิด (แนวตอบ : น้ำแข็งแห้ง มีกระบวนการเปลี่ยนแปลงสถานะจากของแข็งเป็นแก๊ส ซึ่งต่างจาก น้ำแข็งก้อนที่เปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว)
77 ขั้นที่ 2 การนำเข้าสู่กิจกรรมหรือการทดลอง 1. ครูอธิบายเพิ่มเติมว่า “การเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร นอกจากกระบวนการหลอมเหลว การกลายเป็นไอ การแข็งตัว และการควบแน่น แล้วยังมีกระบวนการอื่นอีก ได้แก่ การระเหิด และการระเหิดกลับ” 2. ครูจัดเตรียมวัสดุ-อุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมที่ 2 การระเหิดและการระเหิดกลับ จากหนังสือ เรียนวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 มาวางไว้หน้าชั้นเรียน ดังนี้ - ช้อนตวง 2 อัน - เกลือแกง 2 ช้อน - นาฬิกาจับเวลา 1 เรือน - ที่จับหลอดทดลอง 1 อัน - ชุดตะเกียงแอลกอฮอล์ 1 ชุด - ตะแกรงวางหลอดทดลอง 1 อัน - หลอดทดลองขนาดใหญ่ 2 หลอด - ขาตั้งและที่จับหลอดทดลอง 1 ชุด - จุกยาง 2 อัน - ไม้ขีดไฟ 1 กลัก - เกล็ดไอโอดีน 2 ช้อน - น้ำอุณหภูมิห้อง 150 มิลลิลิตร 1 ใบ - บีกเกอร์ใส่น้ำผสมน้ำแข็ง 1 ใบ - บีกเกอร์ขนาด 250 มิลลิลิตร 1 ใบ - กระบอกตวงขนาด 150 มิลลิลิตร 1 ใบ 3. นักเรียนแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็น 8 กลุ่ม จากนั้นครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มจัดเตรียม อุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมที่ 2 การระเหิดและการระเหิดกลับ จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 4. ครูแจ้งจุดประสงค์ของกิจกรรมที่ 2 การระเหิดและการระเหิดกลับ ให้นักเรียนทราบ เพื่อเป็นแนว ทางการปฏิบัติกิจกรรมที่ถูกต้อง 5. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันปฏิบัติกิจกรรมที่ 2 การระเหิดและการระเหิดกลับ โดยปฏิบัติกิจกรรม ดังนี้ • ศึกษาขั้นตอนการปฏิบัติกิจกรรมจากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 อย่างละเอียด หากมีข้อสงสัยให้สอบถามครู ขั้นที่ 3 การทำนาย 1. นักเรียนช่วยกันตั้งสมมติฐานว่า เมื่อเพิ่มหรือลดความร้อนให้กับเกล็ดไอโอดีนและเกลือแกงจะทำ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร แล้วบันทึกผล 2. ครูให้แต่ละกลุ่มร่วมกันพยากรณ์และบันทึกผลว่า เมื่อนำเกร็ดไอโอดีนและเกลือแกงใส่หลอด ทดลองที่ 1 และ 2 ตามลำดับ จากนั้นนำไปแช่ในน้ำเดือด แล้วต่อด้วยไปแช่ในน้ำเย็น จะเกิดการ เปลี่ยนแปลงอย่างไร
78 ขั้นที่ 4 อภิปรายสิ่งที่ทำนาย 1. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันพยากรณ์ผลที่จะเกิดขึ้นในกลุ่มของตนเอง โดนในขั้นตอนนี้ครูจะทำ หน้าที่เป็นคนกระตุ้นให้นักเรีนเกิดการแลกเปลี่ยนกันภายนกลุ่มโดยจะเดินถามทีละกลุ่มว่าแต่ละ คนมีผลการพยากรณ์อย่างไรบ้าง และทำไมถึงคิดว่าเป็นเช่นนั้น 2. ครูให้แต่ละกลุ่มเลือกคำพยากรณ์ของเพื่อนภายในกลุ่มมา 1 คน เพื่อเป็นตัวแทนกลุ่มในการ นำเสนอเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนกลุ่มอื่นๆภายในห้อง 3. ครูให้นักเรียนทุกคน ทำการลงความคิดเห็นร่วมกันว่าการพยากรณ์ไหนน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด พร้อมกับให้นักเรียนร่วมกันแสดงเห็นผลประกอบว่าทำไมถึงคิดเช่นนั้น ขั้นที่ 5 การสังเกต 1. นักเรียนร่วมกันปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนให้ครบถ้วนและถูกต้องทุกขั้นตอน โดยมีครูคอยดูแล และคอยให้คำแนะนำในการปฏิบัติกิจกรรม 2. จากนั้นร่วมกันสังเกตการเปลี่ยนสถานะของเกล็ดไอโอดีนและเกลือแกง ที่ได้ทำการเพิ่มและลด ความร้อน ว่ามีผลการเปลี่ยนแปลงอย่างไร และบันทึกผลการทำกิจกรรมลงในแบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 ขั้นที่ 6 การอธิบาย 1. ครูให้นักเรียนของแต่ละกลุ่ม นำผลการสังเกตจากกิจกรรมมาทำการอภิปราย พูดคุย แสดงความ คิดเห็นร่วมกันเกี่ยวกับสิ่งที่สังเกตได้จากการทำกิจกรรม ว่าตรงกับการทำนายที่นักเรียนได้ ทำนายกับคำถามข้างต้น(สมมติฐาน)ไว้หรือไม่อย่างไร โดยทำการบันทึกผลการอภิปรายลงใน สมุดประจำตัวของนักเรียน 2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน โดยการสุ่ม เพื่อ แลกเปลี่ยนความคิดจนครบทุกกลุ่ม 3. ครูให้นักเรียนทั้งหมดทำการอภิปรายลงความคิดเห็นร่วมกัน เกี่ยวกับผลการทำกิจกรรมเรื่อง การ เปลี่ยนแปลงสถานะของสาร เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม ขั้นที่ 7 การใช้คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ 1. นักเรียนและครูร่วมกันนสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ จากหลักฐานที่ได้จากการตรวจสอบ เปรียบเทียบและตรวจสอบความสอดคล้องความรู้ที่ได้จาการทำกิจกรรมที่ 2 การระเหิดและการ ระเหิดกลับ ซึ่งจะให้นักเรียนเป็นผู้สร้างคำอธิบายร่วมกัน โดยมีครูคอยเสริมในส่วนที่บกพร่อง
79 ขั้นที่ 8 การติดตาม 1. ครูถามคำถามนักเรียนเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน โดยมีคำถามต่อไปนี้ • ลุงโชคมักแขวนถุงที่บรรจุพิมสนไว้ในรถยนต์ เพราะพิมเสนเป็นของแข็งที่ช่วยปรับอากาศ ที่มีกลิ่นหอมสดชื่น เมื่อเวลาผ่านไป พิมเสนในถุงที่ลุงโชคแขวนไว้ปริมาณน้อยลงเรื่อยๆ เพราะเหตุใด พิมเสนที่ลุงโชคแขวนไว้จึงมีปริมาณน้อยลงเรื่อยๆ (แนวตอบเพราะพิมเสนที่อยู่ในถุงเกิดการระเหิดเปลี่ยนสถานะจากของแข็งกลายเป็น แก๊ส และลอยไปในอากาศ) 2. ครูให้นักเรียนทำใบกิจกรรม เรื่อง การระเหิดและการระเหิดกลับ เพื่อเป็นการติดตามผลการ เรียนรู้ของนักเรียน 8. สื่อ อุปกรณ์และแหล่งเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การเปลี่ยนแปลง 2) แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การเปลี่ยนแปลง 3) ใบงานที่ 5.2.1 เรื่อง การระเหิดและการระเหิดกลับ 4) วัสดุ-อุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมที่ 2 การระเหิดและการระเหิดกลับ 5) PowerPoint เรื่อง การระเหิด 6) กระดาษสี Post it ประกอบด้วย สีชมพู สีเหลือง สีเขียว และสีส้ม 7) วีดีทัศน์เกี่ยวกับการระเหิดของน้ำแข็งแห้ง จากhttps://www.youtube.com/watch?v=A96L1z8L2nU 8) สมุดประจำตัวนักเรียน 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องเรียน
80 9. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ รายการวัดและประเมินผล การวัดผล เกณฑ์การประเมิน K 1. อธิบายการระเหิดและระเหิดกลับของสสารได้ - การถามตอบ - การนำเสนอหน้าชั้นเรียน 1. ระดับคุณภาพ ดี ขึ้นไป P 2. ปฏิบัติกิจกรรมการระเหิดและการระเหิดกลับได้ อย่างถูกต้องและความร้อนได้ - แบบสังเกตพฤติกรรมการ ทำงานรายบุคคล - แบบบันทึกกิจกรรมการ ทดลอง เรื่องการระเหิด และระเหิดกลับของสสาร 2. ระดับคุณภาพ ดี ขึ้นไป A 3. มีความใฝ่เรียนรู้และให้ความร่วมมือในการทำ กิจกรรมกลุ่ม - แบบสังเกตพฤติกรรมการ ทำงานกลุ่ม 3. ระดับคุณภาพ ดี ขึ้นไป
81 ใบงานที่ 5.2.1 เรื่อง การระเหิดและการระเหิดกลับ คำชี้แจง : ให้นักเรียนใช้คำในสี่เหลี่ยมด้านล่างนี้ เติมลงในช่องว่างที่กำหนด การหลอมเหลว การกลายเป็นไอ การระเหิด การแข็งตัว การควบแน่น การระเหิดกลับ ปรากฏการณ์ที่อุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้น ซึ่งเรียกว่า ภาวะโลกร้อน (Global Warming) นั้น นักเรียนคิดว่าส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสสารอย่างไร ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ...................................................................................................................................................... ของแข็ง ของเหลว แก๊ส............................. .............................
82 เฉลย ใบงานที่ 5.2.1 เรื่อง การระเหิดและการระเหิดกลับ คำชี้แจง : ให้นักเรียนใช้คำในสี่เหลี่ยมด้านล่างนี้ เติมลงในช่องว่างที่กำหนด การหลอมเหลว การกลายเป็นไอ การระเหิด การแข็งตัว การควบแน่น การระเหิดกลับ ของแข็ง ของเหลว การระเหิด การระเหิดกลับ
83 แผนจัดการเรียนรู้ รายวิชา วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การเปลี่ยนแปลง บทที่ 1 การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เรื่อง การละลายของสารในน้ำ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เวลา 2 ชั่วโมง ผู้สอน นายทินกร โพธิวงษ์ 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสาร กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของ สสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี 2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การละลายเป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของสารที่เกิดขึ้นจากการนำสารใส่ลงในน้ำ แล้ว สารนั้นผสมรวมกับน้ำอย่างกลมกลืนจนมองเห็นเป็นเนื้อเดียวกันทุกส่วนโดยสารที่ได้ยังคงเป็นสารเดิม เรียกว่า สารละลาย โดยสารต่างๆ อาจอยู่ในสถานะของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส ซึ่งสารบางชนิด ล ะ ล า ย น ้ ำ ไ ด้ ส่วนสารบางชนิดไม่สามารถละลายน้ำได้ แต่สามารถละลายในสารละลายอื่นได้แทน การละลายของสารในน้ำทำให้เกิดสารสะลาย ซึ่งเป็นสารเนื้อเดียว โดยในสารละลายจะมี องค์ประกอบ 2 ส่วน คือ ตัวทำละลายและตัวละลาย โดยสารที่มีปริมาณมากกว่าและมีสถานะ เดียวกับสารละลาย เรียกว่า ตัวทำละลาย และสารที่มีปริมาณน้อยกว่า เรียกว่า ตัวละลาย 3. สาระการเรียนรู้ เมื่อใส่สารลงในน้ำแล้วสารนั้นรวมเป็นเนื้อเดียวกับน้ำทั่วทุกส่วน แสดงว่าสารเกิดการละลาย เรียกสารผสมที่ได้ว่าสารละลาย 4. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1. อธิบายการการละลายของสารที่เป็นของแข็ง ของเหลว และแก๊สในน้ำได้ (K) 2. ปฏิบัติกิจกรรมการละลายของสารในน้ำได้อย่างถูกต้องและเป็นลำดับขั้นตอน (P) 3. มีความใฝ่เรียนรู้และให้ความร่วมมือในการทำกิจกรรมกลุ่ม (A) 5. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 1. ความสามารถในการสื่อสาร 2. ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการสังเกต 2) ทักษะการทดลอง
84 3) ทักษะการตั้งสมมติฐาน 4) ทักษะการทำงานร่วมกัน 5) ทักษะการพยากรณ์หรือการคาดคะเน 6) ทักษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรุป 7) ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปรซกับเวลา 8) ทักษะการวัด 3. ความสามารถในการใช้ทักษะ 4. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี 6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย รับผิดชอบ 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. ซื่อสัตย์ สุจริต 4. มุ่งมั่นในการทำงาน 7. กระบวนการจัดการเรียนรู้แบบทำนาย สังเกต อธิบาย (POE) ขั้นที่ 1 การนำเข้าสู่บทเรียนและสร้างแรงจูงใจ 1. ครูทักทายกับนักเรียน จากนั้นครูนำน้ำตาลทรายแดง และน้ำเปล่าที่บรรจุในแก้วใส มาให้นักเรียนสังเกตสถานะของสสารทั้ง 2 อย่างที่ครูเตรียมมา ครูนำน้ำตาลทรายแดง ใส่ลงใน น้ำเปล่า และคนสสารทั้ง 2 ชนิดอย่างช้า ๆ ประมาณ 5 นาที แล้วตั้งทิ้งไว้ และให้นักเรียนสังเกต การเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารทั้ง 2 ชนิด 2. ครูตั้งประเด็นคำถามกระตุ้นความคิดนักเรียนว่า “น้ำตาลทรายแดง และน้ำเปล่า มีสถานของสสาร เป็นอย่างไร และเมื่อทำการคนสสารทั้ง 2 ชนิด แล้วตั้งทิ้งไว้ จะได้ผลเป็นอย่างไร” โดยให้แต่ละคนร่วมกันอภิปรายแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระโดยไม่มีการเฉลยว่าถูกหรือผิด (แนวตอบ : น้ำตาลทรายแดง มีสถานะเป็นของแข็ง ส่วนน้ำเปล่าในแก้ว มีสถานะเป็นของเหลว ซึ่งเมื่อคนสสารทั้ง 2 ชนิดประมาณ 5 นาทีแล้วตั้งทิ้งไว้ พบว่าน้ำตาลทรายแดงจะละลายเป็น เนื้อเดียวกับน้ำเปล่า ได้เป็นของเหลวเหมือนน้ำ และมีสีน้ำตาลเหมือนน้ำตาลทรายแดง) 3. นักเรียนเล่นเกมจับกลุ่ม เพื่อแบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 5 คน โดยเตรียมบัตรคำ มาตราตัวสะกด มาให้นักเรียน ในบัตรคำมาตราตัวสะกด จะประกอบไปด้วย ตัวสะกด จำนวน 4 ตัวได้แก่ ล ย ะ า 4. จากนั้นให้นักเรียนแต่ละคนสุ่มหยิบบัตรคำคนละ 1 ใบ แล้วจับกลุ่มกัน กลุ่มละ 5 คน โดยจะต้อง รวมตัวสะกดตามบัตรคำที่หยิบได้ให้เป็นคำว่า “ล ะ ล า ย” 5. นักเรียนและครูร่วมกันศึกษาเกี่ยวกับ เรื่อง การละลายของสาร จาก PowerPoint ที่ครูเตรียมไว้
85 ขั้นที่ 2 การนำเข้าสู่กิจกรรมหรือการทดลอง 1. ครูตั้งประเด็นคำถามกระตุ้นความสนใจนักเรียนว่า “สารละลายคืออะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร” โดยให้แต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายเพื่อหาคำตอบ (แนวตอบ : สารละลาย คือ สารที่ผสมรวมตัวกับน้ำอย่างกลมกลืนและมองเห็นเป็นเนื้อเดียวกัน โดยที่สารนั้นยังคงคุณสมบัติของสารเป็นสารเดิม ซึ่งสารละลายเกิดจากการที่สารสามารถละลาย รวมตัวกับน้ำได้) 2. ครูจัดเตรียมวัสดุ-อุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมที่ 3 การละลายของสารในน้ำ จากหนังสือเรียน วิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 มาวางไว้หน้าชั้นเรียน ดังนี้ - ดินร่วน 1 ถุง - แป้งมัน 1 ถุง - เกลือป่น 1 ถุง - น้ำมันพืช 1 ขวด - ช้อนตักสาร 6 อัน - แท่งแก้วคนสาร 6 อัน - น้ำส้มสายชู 1 ขวด - น้ำปริมาตร 600 มิลลิลิตร - สีผสมอาหารชนิดน้ำ 1 ขวด - ตะแกรงวางหลอดทดลอง 1 อัน - หลอดทดลองขนาดใหญ่ 6 หลอด 3. ครูแจ้งจุดประสงค์ของกิจกรรมที่ 3 การละลายของสารในน้ำ ให้นักเรียนทราบ เพื่อเป็นแนว ทางการปฏิบัติกิจกรรมที่ถูกต้อง 4. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันปฏิบัติกิจกรรมที่ 3 การละลายของสารในน้ำ โดยปฏิบัติกิจกรรม ดังนี้ 1) ศึกษาขั้นตอนการปฏิบัติกิจกรรมจากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 หน้า 16-17 อย่างละเอียด หากมีข้อสงสัยให้สอบถามครู ขั้นที่ 3 การทำนาย 1. ก่อนทำกิจกรรม ครูตั้งคำถาม(ระบุปัญหา)เพื่อให้นักเรียนเกิดข้อสงสัยโดยมีคำถามดังนี้ นักเรียน คิดว่าเมื่อสารต่างๆ ผสมกับน้ำจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันตั้งสมมติฐานเกี่ยวกับการทดลองการละลายของสารที่มีสถานะต่างกัน ในน้ำ ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ขั้นที่ 4 อภิปรายสิ่งที่ทำนาย 1. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทนให้ออกมานำเสนอสมมติฐานของกลุ่มตัวเองหน้าชั้นเรียน 2. ครูเขียนข้อสมมติฐานของแต่ละกลุ่มไว้บนหน้ากระดาน เพื่อให้นักเรียนได้รู้ว่าสมมติฐานของแต่ ละกลุ่มคืออะไร
86 3. นักเรียนร่วมกันอภิปรายข้อสมมติฐานร่วมกัน ว่าสมมติฐานไหนน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด จากนั้น ครูจะถามว่า นักเรียนใช้เหตุผลหรือมีเหตุผลอะไร มาใช้ในการตัดสินใจเลือกสมติฐานนี้(เพื่อล้วง เอาความคิดของนักเรียนออกมาและตรวจสอบว่านักเรียนมีความรู้เดิมมากน้อยเพียงใด) ขั้นที่ 5 การสังเกต 1. นักเรียนร่วมกันปฏิบัติกิจกรรมตามขั้นตอนให้ครบถ้วนและถูกต้องทุกขั้นตอน โดยมีครูคอยดูแล และคอยให้คำแนะนำในการปฏิบัติกิจกรรม 2. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันสังเกตการเปลี่ยนแปลงของสารแต่ละชนิดว่ามีผลการเปลี่ยนแปลง อย่างไรเมื่อเติมน้ำลงสารในสารแต่ละชนิด และบันทึกผลการทำกิจกรรมลงในแบบฝึกหัด วิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 ขั้นที่ 6 การอธิบาย 1. ครูให้นักเรียนของแต่ละกลุ่ม นำผลการสังเกตจากกิจกรรมมาทำการอภิปราย พูดคุย แสดงความ คิดเห็นร่วมกันเกี่ยวกับสิ่งที่สังเกตได้จากการทำกิจกรรม ว่าตรงกับที่นักเรียนได้ตั้งสมมติฐานไว้ หรือไม่อย่างไร โดยทำการบันทึกผลการอภิปรายลงในสมุดประจำตัวของนักเรียน 2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน โดยการสุ่ม เพื่อ แลกเปลี่ยนความคิดจนครบทุกกลุ่ม 3. ครูให้นักเรียนทั้งหมดทำการอภิปรายลงความคิดเห็นร่วมกัน เกี่ยวกับผลการทำกิจกรรมเรื่อง การ ละลายของสารในน้ำ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม ขั้นที่ 7 การใช้คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ 1. นักเรียนและครูร่วมกันนสร้างคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ จากหลักฐานที่ได้จากการตรวจสอบ เปรียบเทียบและตรวจสอบความสอดคล้องความรู้ที่ได้จาการทำกิจกรรมที่ 3 การละลายของสาร ในน้ำ ซึ่งจะให้นักเรียนเป็นผู้สร้างคำอธิบายร่วมกัน โดยมีครูคอยเสริมในส่วนที่บกพร่อง 2. ครูสุ่มนักเรียนออกมาสรุปผลการทดลองหน้าชั้นเรียน โดยขออาสาสมัคร (หากไม่มีนักเรียนสมัคร ใจออกมา ครูจะทำการสุ่ม) ออกมาทำการสรุป โดยมีครูและนักเรียนคนอื่นเป็นผู้เสริมในส่วนที่ ขาดและพกพร่อง เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนร่วมกัน ซึ่งได้ข้อสรุปร่วมกันว่า “การละลายของสาร ในน้ำ คือ การที่สารชนิดหนึ่งสามารถผสมรวมตัวกับน้ำอย่างกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันเรียกว่า สารละลาย โดยสารละลายที่ได้ยังคงมีคุณสมบัติเช่นเดียวกับสารเดิม” 3. ครูอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับการละลายของสารในน้ำว่า “การละลายของสารใน น้ำคือ การนำสารชนิดหนึ่งซึ่งมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส มาผสมกับน้ำ แล้วสาร
87 ชนิดนั้น สามารถผสมรวมเป็นสารเนื้อเดียวกันกับน้ำได้ทุกส่วน โดยเราเรียกสารผสมที่เกิดขึ้นว่า สารละลาย โดยมีน้ำเป็นตัวทำละลาย และสารที่นำมาผสมกับน้ำเป็นตัวละลาย” ขั้นที่ 8 การติดตามผล 1. ครูสุ่มนักเรียน จำนวน 3 คน ให้ยกตัวอย่างการละลายในน้ำของสารที่อยู่ในสถานะต่าง ๆ คนละ 1 ตัวอย่าง ดังนี้ • คนที่ 1 ให้ยกตัวอย่างการละลายในน้ำของสารที่อยู่ในสถานะของแข็ง • คนที่ 2 ให้ยกตัวอย่างการละลายในน้ำของสารที่อยู่ในสถานะของเหลว • คนที่ 3 ให้ยกตัวอย่างการละลายในน้ำของสารที่อยู่ในสถานะแก๊ส 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจเกี่ยวกับการละลายของสารในน้ำว่า “การละลายของสารใน น้ำคือ การนำสารชนิดหนึ่งซึ่งมีสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส มาผสมกับน้ำ แล้วสาร ชนิดนั้น สามารถผสมรวมเป็นสารเนื้อเดียวกันกับน้ำได้ทุกส่วน โดยเราเรียกสารผสมที่เกิดขึ้นว่า สารละลาย โดยมีน้ำเป็นตัวทำละลาย และสารที่นำมาผสมกับน้ำเป็นตัวละลาย” 3. นักเรียนทำใบงาน เรื่อง การละลายของสารในน้ำ เพื่อเป็นการตรวจสอบความรู้ของนักเรียนที่มี ต่อการเรียนในวันนี้ 8. สื่อ อุปกรณ์และแหล่งเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การเปลี่ยนแปลง 2) แบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.5 เล่ม 2 หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 การเปลี่ยนแปลง 3) ใบงานที่ 5.3.1 เรื่อง การละลายของสารในน้ำ 4) วัสดุ-อุปกรณ์ที่ใช้ในกิจกรรมที่ 3 การละลายของสารในน้ำ 5) PowerPoint เรื่อง การละลายของสารในน้ำ 6) บัตรคำมาตราตัวสะกด 7) น้ำตาลทรายแดง และน้เปล่าท่ี่บรรจุในแก้วใส 8) สมุดประจำตัวนักเรียน 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องเรียน
88 9. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ รายการวัดและประเมินผล การวัดผล เกณฑ์การประเมิน K 1. อธิบายการการละลายของสารที่เป็นของแข็ง ของเหลว และแก๊สในน้ำได้ - การถามตอบ - การนำเสนอหน้าชั้นเรียน 1. ระดับคุณภาพ ดี ขึ้นไป P 2. ปฏิบัติกิจกรรมการละลายของสารในน้ำได้อย่าง ถูกต้องและเป็นลำดับขั้นตอน - แบบสังเกตพฤติกรรมการ ทำงานรายบุคคล 2. ระดับคุณภาพ ดี ขึ้นไป A 3. มีความใฝ่เรียนรู้และให้ความร่วมมือในการทำ กิจกรรมกลุ่ม - แบบสังเกตพฤติกรรมการ ทำงานกลุ่ม 3. ระดับคุณภาพ ดี ขึ้นไป
89 ใบงานที่ 5.3.1 เรื่อง การละลายของสารในน้ำ คำชี้แจง : เติมข้อความที่เกี่ยวข้องกับการละลายของสารในน้ำลงในช่องว่างให้ถูกต้อง การละลายของสารในน้ำ หมายถึงอะไร ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................... สารตัวอย่างด้านล่างนี้ สามารถละลายในน้ำได้หรือไม่ • เกลือ ....................................................................................... • เกล็ดด่างทับทิม ....................................................................................... • น้ำตาลทรายแดง ....................................................................................... • แอลกอฮอล์ ....................................................................................... • แก๊สออกซิเจน ....................................................................................... • ลูกเหม็น ....................................................................................... • ผงตะไบเหล็ก ....................................................................................... • แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ....................................................................................... • สีผสมอาหาร ....................................................................................... • ทราย .......................................................................................
90 ใบงานที่ 5.3.1 เฉลย เรื่อง การละลายของสารในน้ำ คำชี้แจง : เติมข้อความที่เกี่ยวข้องกับการละลายของสารในน้ำลงในช่องว่างให้ถูกต้อง การละลายของสารในน้ำ หมายถึงอะไร การละลายของสารในน้ำ หมายถึง กระบวนการที่สารชนิดหนึ่งผสมรวมตัวกับน้ำอย่าง กลมกลืน มองเห็นเป็นเนื้อเดียวกันทุกส่วน แต่ยังคงมีคุณสมบัติเดิมของสารนั้น สารตัวอย่างด้านล่างนี้ สามารถละลายในน้ำได้หรือไม่ • เกลือ สามารถละลายน้ำได้ • เกล็ดด่างทับทิม สามารถละลายน้ำได้ • น้ำตาลทรายแดง สามารถละลายน้ำได้ • แอลกอฮอล์ สามารถละลายน้ำได้ • แก๊สออกซิเจน สามารถละลายน้ำได้ • ลูกเหม็น ไม่สามารถละลายน้ำได้ • ผงตะไบเหล็ก ไม่สามารถละลายน้ำได้ • แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ สามารถละลายน้ำได้ • สีผสมอาหาร สามารถละลายน้ำได้ • ทราย ไม่สามารถละลายน้ำได้
91 ล ย ะ า บัตรคำมาตราตัวสะกด
92 แบบทดสอบทักษะกระบวนการทางวิทยาศาตสร์ เรื่องการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนบ้านหมากแข้ง จังหวัดอุดรธานี รายวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รหัสวิชา ว 15101 ประถมศึกษาปีที่ 5 คำชี้แจง : ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. ถ้าเราตั้งน้ำแข็งก้อนทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง น้ำแข็งก้อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะหรือไม่ อย่างไร ก. เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะ เนื่องจากน้ำแข็งก้อนได้รับความร้อน เปลี่ยนจากของแข็งเป็น ของเหลว เรียกว่าการหลอมเหลว ข. เกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะ เนื่องจากน้ำแข็งก้อนได้รับความร้อน เปลี่ยนจากของแข็งเป็นแก๊ส เรียกว่าการหลอมเหลว ค. ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากน้ำแข็งก้อนไม่ได้รับความร้อน ง. ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากน้ำแข็งก้อนมีความเย็นมากจึงไม่เปลี่ยนแปลง 2. จากภาพ การเปลี่ยนแปลง A และ D คือการเปลี่ยนแปลงสถานะใด ตามลำดับ ก. การหลอมเหลวและการระเหิด ข. การระเหิดและการแข็งตัว ค. การกลายเป็นไอและการหลอมเหลว ง. การแข็งตัวและการหลอมเหลว 3. จากภาพในข้อ 2 การระเหิดกลับของสสารคืออักษรใด ก. A ข. C ค. B ง. F
93 4. จากภาพ การที่มีหยดน้ำเกาะอยู่รอบๆของแก้วน้ำที่มีความเย็น เป็นผลมาจากอะไร และเรียกกระบวนการ นี้ว่าอะไร ก. เป็นผลมาจากการลดความร้อนให้กับสสารที่อยู่ในสถานแก๊สจนถึงระดับหนึ่งทำให้เปลี่ยนสถานะ จากแก๊สเป็นของเหลว เรียกว่า การควบแน่น ข. เป็นผลมาจากการเพิ่มความร้อนให้กับสสารที่อยู่ในสถานแก๊สจนถึงระดับหนึ่งทำให้เปลี่ยนสถานะ จากแก๊สเป็นของเหลว เรียกว่า การควบแน่น ค. เป็นผลมาจากการลดความร้อนให้กับสสารที่อยู่ในสถานแก๊สจนถึงระดับหนึ่งทำให้เปลี่ยนสถานะ จากแก๊สเป็นของเหลว เรียกว่า การแข็งตัว ง. เป็นผลมาจากการเพิ่มความร้อนให้กับสสารที่อยู่ในสถานแก๊สจนถึงระดับหนึ่งทำให้เปลี่ยนสถานะ จากแก๊สเป็นของเหลว เรียกว่า การแข็งตัว 5. “ทรายต้มน้ำเพื่อจะต้มไข่ เมื่อน้ำเดือด น้ำกลายเป็นไอน้ำ และทำให้น้ำในหม้อต้มมีปริมาณลดน้อยลง กว่าเดิม” จากข้อมูล ข้อใดกล่าวเกี่ยวกับการเปลี่ยนจากน้ำเป็นไอน้ำได้ถูกต้อง ก. เป็นการละลายของสารในน้ำ ข. เป็นการเปลี่ยนแปลงทางเคมี ค. เป็นการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ ง. เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ผันกลับไม่ได้ 6. จากภาพ ข้อใดเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานะ ก. การเกิดสนิมเหล็ก ข. การทอดไก่ ค. น้ำเดือดเป็นไอ ง. การเผาถ่าน