การสร้างคำ การสร้างคำ การสร้างคำ คือ การรวมหน่วยคำ ตั้งแต่ ๒ หน่วยขึ้นไปเข้าเป็นคำ คำ เดียว หน่วยคำ ที่นำ มารวมกันมีทั้งที่เป็น คำ คำ เดียวกันและต่างชนิดกัน ๑.คำ ที่สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำ ที่มีความหมายแตกต่างกัน เรียกว่าคำ ประสม ๒. คำ ที่สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำ เติม เรียกว่าคำ ประสาน ๓. คำ ที่สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำ ที่มีความหมายเหมือนกัน ใกล้เคียงกันหรือตรงกันข้ามกันเรียกว่าคำ ซ้อน ๔. คำ ที่สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำ ซ้ำ กันเรียกว่า คำ ซ้ำ ๕. คำ ที่สร้างขึ้นด้วยหน่วยคำ ภาษาบาลีและสันสกฤตเรียกว่า คำ สมาส พยางค์ พยางค์ คือ เสียงพูดที่เปล่งออกมาพร้อมกันทั้งเสียงสระ เสียงพยัญชนะและเสียงวรรณยุกต์ อาจมีความหมายหรือไม่มี ความหมายก็ได้ เช่น นา จุ ฬิ คำ คือ พยางค์ที่มีความหมาย เช่น พ่อ ไป ทำ งาน หนังสือ พยางค์เปิด คือ พยางค์ที่ประกอบด้วยเสียงพยัญชนะต้น เสียงสระ และเสียงวรรณยุกต์ เช่น แก ขา พยางค์ปิด คือ พยางค์ที่ประกอบด้วยเสียงพยัญชนะต้น เสียงสระ เสียงวรรณยุกต์ และ เสียง พยัญชนะสะกด เช่น เด็ก เล่น ซุกซน คำ มูล หมายถึง คำ คำ เดียวที่ไม่ได้ประสมกับคำ อื่น ซึ่งคำ มูลมีลักษณะดังนี้คือ ๑. มีความหมายสมบูรณ์ในตัว ๒. มีมาแต่เดิมในทุกภาษา ๓. อาจมีพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้ เช่น แม่ กรรม ฉัน เหนือ ว้าย ป้า แดง ดำ แบตเตอรี่ สับปะรด เป็นต้น
คำ ประสม คำ ประสม หมายถึงคำ ที่เกิดจากการนำ หน่วยคำ อิสระที่มีความหมายต่างกันอย่างน้อย ๒ หน่วยมารวมกัน เกิดเป็นคำ ใหม่คำ หนึ่ง มีความหมายใหม่ คำ ประสมมีลักษณะดังนี้ ๑. คำ ประสมเป็นคำ ที่มีความหมายใหม่ ต่างจากความหมายที่เป็นผลรวมของหน่วยคำ ที่มารวมกัน แต่มักมีเค้าความหมายของหน่วยคำ เดิมอยู่ เช่น น้ำ แข็ง เป็นคำ ประสมมีความหมายว่า“น้ำ ที่เป็นก้อนเพราะถูกความเย็นจัด”เป็นความหมายใหม่ที่มีเค้าความหมายเดิมของหน่วยคำ น้ำ และ แข็ง หนังสือพิมพ์ เป็นคำ ประสมมีความหมายว่า “สิ่งพิมพ์ที่เสนอข่าวสารและความเห็นแก่ประชาชนมักออกเป็นรายวัน” เป็นความหมายใหม่ที่มีเค้าความหมายเดิมของหน่วยคำ หนังสือ และพิมพ์ ๒. คำ ประสมจะแทรกคำ ใด ๆ ลงระหว่างหน่วยคำ ที่มารวมกันนั้นไม่ได้ ถ้าสามารถแทรกคำ อื่นลงไปได้ คำ ที่รวมกันนั้นจะไม่ใช่คำ ประสม เช่น คำ มูล หมายถึง คำ คำ เดียวที่ไม่ได้ประสมกับคำ อื่น ซึ่งคำ มูลมีลักษณะดังนี้คือ ๑. มีความหมายสมบูรณ์ในตัว ๒. มีมาแต่เดิมในทุกภาษา ๓. อาจมีพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์ก็ได้ เช่น แม่ กรรม ฉัน เหนือ ว้าย ป้า แดง ดำ แบตเตอรี่ สับปะรด เป็นต้น ข้อสังเกตเกี่ยวกับคำ มูล ๑. คำ มูลในภาษาไทยมักเป็นคำ พยางค์เดียวสะกดตรงตัวไม่มีคำ ควบกล้ำ หรือการันต์ ๒. คำ มูลหลายพยางค์ เมื่อแยกออกเป็นแต่ละพยางค์จะไม่มีความหมาย หรือความหมายไม่เกี่ยวข้องกับคำ มูลนั้น ๆ การสร้างคำ ในภาษาไทยจากคำ มูล มีอยู่ 3 แบบ คือ คำ ประสม คำ ซ้อน และคำ ซ้ำ ชนิดของคำ ที่นำ มาประสมจนเกิดคำ ใหม่ 1. คำ นามประสมกับคำ นาม เช่น ผีเสื้อ ปลาเสือ น้ำ ปลา พ่อตา รถไฟ 2. คำ นามประสมกับคำ กริยา เช่น รถเข็น ปลากัด ข้าวผัด นักวิ่ง ไก่ชน 3. คำ นามประสมกับคำ วิเศษณ์ เช่น น้ำ หวาน หัวหอม ใจดี ปากหวาน กล้วยหอม 4. คำ นามประสมกับคำ ลักษณะนาม เช่น วงเดือน ดวงใจ เพื่อนฝูง วงแหวน ใบสั่ง 5. คำ นามประสมกับคำ สรรพนาม เช่น คุณพ่อ คุณแม่ คุณหลวง ท้าวเธอ 6. คำ กริยาประสมกับคำ กริยา เช่น กันชน ตีพิมพ์ เดินเล่น กินรวบ 7. คำ กริยาประสมกับคำ วิเศษณ์ เช่น ยิ้มแป้น เดินทน ผัดเผ็ด 8. คำ วิเศษณ์ประสมกับคำ วิเศษณ์ เช่น หวานเย็น เปรี้ยวหวาน ดำ มืด คมกริบ ขาวปลอด
คำ ซ้อน คำ ซ้อนเป็นการประสมกันของคำ ที่มีความหมายเหมือนกัน คล้ายกัน หรือ ตรงข้ามกันมารวมกันเป็นคำ ใหม่ เพื่อให้มีความหมายชัดเจน หนักแน่นมากขึ้น ให้รายละเอียดมากขึ้นในคำ ที่เกิดใหม่ เช่น เสียดสี เกียจคร้าน รุ่งเรือง มุ่งหมาย ผลัดเปลี่ย 1. คำ ซ้อนมีลักษณะคล้ายคำ ประสม คือ คำ ซ้อนมาจากคำ ในภาษาใดก็ได้ เป็นคำ ชนิดใดก็ได้ ไม่ว่าจะเป็น คำ นาม สรรพนาม กริยา วิเศษณ์ 2 คำ ขึ้นไปมาประสมกัน โดยจะแตกต่างจากคำ ประสมตรงที่ คำ ซ้อนจะมาจากคำ มูลที่มีความหมายคล้ายกันหรือเกี่ยวข้องในเรื่องเดียวกัน โดยเป็นไปในทางเดียวกัน หรือ ทางตรงกันข้ามก็ได้ คำ ซ้อนที่มาจากคำ มูลที่มีความหมายคล้ายกัน เช่น ต่อสู้ ฆ่าฟัน ยากเข็ญ แพรวพราว แลกเปลี่ยน หลับไหล เรียบง่าย คำ ซ้อนที่มาจากคำ มูลที่มีความหมายตรงกันข้าม เช่น รบรา ตื้นลึก หนาบาง สูงต่ำ ดำ ขาว ชั่วดี ถี่ห่าง
คำ ซ้อนเพื่อเสียง เกิดจากการนำ คำ พยางค์เดียวหรือหลายพยางค์มาซ้อนกัน ความหมายอาจอยู่ที่พยางค์ใดพยางค์หนึ่ง หรือทุกพยางค์รวมกัน เน้นที่เสียงมากกว่าความหมาย ดังนั้นคำ ที่นำ มาซ้อนจะเป็นคำ ที่ไม่มีความหมายเลยก็ได้ เช่น งุ่มง่าม ลักลั่น เป็นต้น คำ ซ้อนเพื่อความหมาย เกิดจากการนำ คำ 2 คำ ที่มีความหมายเหมือนกัน ใกล้เคียงกัน หรือตรงข้ามกันมาซ้อนกัน เน้นที่ความหมายของคำ 1. ซ้อนแล้วความหมายเหมือนเดิมหรือชัดเจนมากขึ้น เช่น จิตใจ รูปร่าง ว่างเปล่า มากมาย สร้างสรรค์ บ้านเมือง 2. ซ้อนแล้วความหมายแคบหรือเฉพาะเจาะจงมากกว่าเดิม เช่น ขัดถู ใจคอ เชื่อมต่อ กุ้งหอยปูปลา 3. ซ้อนแล้วความหมายกว้างกว่าเดิม เช่น ถ้วยชาม ข้าวปลา ทุบตี พี่น้อง หลักฐาน 4. ซ้อนแล้วความหมายเปลี่ยนไปจากเดิม เช่น หนักแน่น อ่อนหวาน เดือดร้อน ตัดสิน 5. ซ้อนแล้วความหมายไม่แน่นอน เป็นคำ ซ้อนที่เกิดจากนำ คำ ที่ความหมายตรงกันข้ามมาซ้อนกั เช่น ชั่วดี ผิดถูก แพ้ชนะ ยากง่าย บุญกรรม วิธีสร้างคำ ซ้อนเพื่อความหมาย นำ คำ ที่มีความหมายสมบูรณ์ในภาษามาซ้อนเข้าด้วยกันให้เกิดเป็นความหมาย คำ ที่นำ มาซ้อนกัน สามารถเป็นได้ทั้งคำ ไทยกับคำ ไทย คำ ไทยกับคำ ต่างประเทศ หรือคำ จากต่างประเทศทั้งคู่เลยก็ได้
วิธีสร้างคำ ซ้อนเพื่อเสียง 1. นำ คำ ที่มีเสียงพยัญชนะต้นกับตัวสะกดเหมือนกัน แต่เสียงสระต่างกันมาซ้อนกัน เช่น งุ่มง่าม จริงจัง ตูมตาม อุบอิบ 2. นำ คำ ที่มีเสียงพยัญชนะต้นกับเสียงสระเหมือนกัน แต่ตัวสะกดต่างกันมาซ้อนกัน เช่น ลักลั่น ออดอ้อน รวบรวม 3. นำ คำ ที่มีเสียงพยัญชนะต้นต่างกัน แต่มีเสียงสระกับตัวสะกดเหมือนกันมาซ้อนกัน เช่น แร้นแค้น ราบคาบ จิ้มลิ้ม ลามปาม 4. นำ คำ ที่มีเสียงพยัญชนะต้นเหมือนกัน แต่เสียงสระกับตัวสะกดต่างกันมาซ้อนกัน เช่น แข็งขัน ขับขี่ ว่างเว้น เจิดจ้า 5. นำ คำ ที่ไม่มีความหมายมาซ้อนกับคำ ที่มีความหมาย มักใช้ภาษาพูด เช่น ตาเตอ ร้อนเริ้น บ้าบอ กินเกิน 6. เพิ่มพยางค์ลงไปในคำ ซ้อนเพื่อให้คำ หน้ากับคำ หลังสมดุลกัน เช่น กะหนุงกะหนิง พะรุงพะรัง อิหลักอิเหลื่อ 7. คำ ซ้อนที่มีหลายพยางค์ จะต้องมีเสียงสัมผัสภายในคำ ที่คล้องจองกัน นะโดยที่คำ นั้นจะมีความหมายหรือไม่จำ เป็นต้องมีความหมายก็ได้ เช่น อดตาหลับขับตานอน เทือกเถาเหล่ากอ ข้าเก่าเต่าเลี้ยง ขิงก็ราข่าก็แรง
คำ ซำ้ คําซ้ํา เป็นการสร้างคําขึ้นใหม่จากคํามูล โดยการนําคํามูลคําเดียวกันมากล่าวซ้ํา ความหมายของ คํา ซ้ําอาจเหมือนคํามูลเดิม หรืออาจมีน้ําหนักมากขึ้นหรือเบาลง หรือแสดงความเป็นพหูพจน ลักษณะของคําซ้ํา ๑. นําคํามากล่าวซ้ํากัน โดยใช้เครื่องหมาย ไม้ยมก (ๆ) เช่น ฉันมีเพื่อน ๆ เป็นคนต่างจังหวัด ฉันเห็นเธอพูด ๆ อยู่นั่นแหละ ๒. นําคําซ้ํากัน โดยเปลี่ยนเสียงวรรณยุกต์ เพื่อเน้นความหมาย เช่น ซ้วยสวย ดี๊ดี เจ็บใจเ๊จ็บ ใจ คุณแม่ของฉันใจดี๊ใจดี อยู่ๆ ก็โดนเทเจ็บใจ๊เจ็บใจ ชนิดของคําซ้ํา คํานาม คําสรรพนาม คํากริยา คําวิเศษณ์ คําบุพบท คําสันธาน คําอุทาน ความหมายของคําซ้ํา เช่น สาว ๆ เช่น เรา ๆ เช่น นั่ง ๆ เช่น แดง ๆ เช่น ใต้ ๆ เช่น ทั้ง ๆ ที่ เช่น โถ่ ๆ หลาน ๆ เด็ก ๆ เพื่อน ๆ ท่าน ๆ เขาๆ เธอ ๆ นอนๆ เดินๆ ดูๆ สูง ๆ หล่อ ๆ หวาน ๆ ไกล ๆ บน ๆ ข้างๆ ราว ๆ กับ เหมือน ๆ อย่างไร ๆ เฮ้ยๆ โฮๆ
ความหมายของคําซ้ํา ๑. บอกความหมายเป็นพหูพจน์ แสดงถึงจํานวนมากกว่าหนึ่ง เช่น เด็ก ๆ ไปโรงเรียน หนุ่มๆ กําลังเล่นฟุตบอล ๒. บอกความหมายแยกจํานวน แยกเป็นส่วน เช่น ทําให้เสร็จเป็นอย่าง ๆ ไป ครูตรวจการบ้านนักเรียนเป็นคน ๆ ๓. บอกความหมายเน้น เช่น ผ้าดี ๆ อย่างนี้หาซื้อไม่ได้ไข่เจียวจานนี้รสชาติเค้มเค็ม ๔. บอกความหมายเบาลง เช่นฉันไม่ได้ตั้งใจมอง รู้แต่ว่าเขาหน้าตาคล้ายๆ ดารา เขายังโกรธๆ ฉันอยู่กับเรื่องเมื่อวาน นี้ ๕. บอกความหมายไม่แน่นอน เช่น เธอมาหาฉันแต่เช้าๆ หน่อยเขาเดินอยู่แถวๆ โรงเรียน ๖. ซ้ําคําทําให้เกิดความหมายใหม่ เช่นอยู่ ๆ ก็ลุกขึ้นกระโดด (ไม่มีสาเหตุ) ของพื้น ๆ อย่างนี้ใครก็ทําได้ (ของธรรมดา) ยกเว้น คำ นานา จะจะ จะต้องใช้ไม้ยมกซำ้ ไม่ได้