ï ปจั ฉมิ กาล
ในคนื ท่จี ะมรณภาพท่านได้น่งั คยุ กับลกู ศิษย์รวม ๔ รูป และได้ให้ศษิ ย์
จดบันทึกสังฆกิจเพิ่มเติมจนกระทั่งเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น. ก็ได้เข้ากุฏิ
ปดิ ประตลู งกลอน และจำ� วดั โดยมอี าการปกตทิ กุ อยา่ ง รงุ่ เชา้ วนั ที่ ๒๖ เมษายน
พ.ศ. ๒๕๐๔ เหตุการณ์ท่ีไมค่ าดคิดกเ็ กิดข้นึ เมอ่ื เวลา ๑๑.๐๐ น. ไม่มีผ้ใู ดเหน็
ทา่ นพอ่ ลีเปิดประตูออกมา พระและสามเณรจึงไดเ้ ปิดหน้าตา่ งดู พบรา่ งท่าน
นอนแน่น่ิงหมดลมหายใจในอิริยาบถสีหไสยาสน์อันสงบประดุจการมรณภาพ
ตามแบบอรยิ สงฆ์สาวกผถู้ ึงพรอ้ มด้วยศลี ธรรม ท่านไมไ่ ด้ห่มจีวร สวมเพยี ง
องั สะและสบง ขาซา้ ยคขู้ นึ้ หนอ่ ยหนงึ่ เหมอื นลกั ษณะของพระ ๒๕ พทุ ธศตวรรษ
ทที่ ่านนยิ มสรา้ ง สิรอิ ายุ ๕๕ ปี ๒ เดอื น ๒๕ วัน ๓๔ พรรษา
หลงั จากทา่ นมรณภาพ สมเดจ็ พระมหาวรี วงศ์ หรอื สมเดจ็ พระสงั ฆราช
(จวน อุฏ€ฺ ายี) มพี ระบญั ชาให้เก็บสรรี ะของทา่ นไว้ ยังไม่ถวายเพลิงเอาอย่าง
พระมหากัสสปะเถระท่ีในอนาคตกาลพระศรีอริยเมตไตรยจะมาถวายเพลิง
สรีระของท่าน โดยนัยของท่านพ่อลีก็ขอให้เอาเยี่ยงอย่างน้ีเป็นอุทาหรณ์ว่า
“ผมู้ บี ญุ กรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ทา่ นในวนั ขา้ งหนา้ จะไดม้ าถวายเพลงิ สรรี ะของทา่ น
วดั อโศการาม 47
อย่างสมศักดิ์ศรี” และท่านมีพระบัญชาอีกว่า ให้บ�ำเพ็ญกุศลและสวดมนต์
อุทิศถวายท่านพ่อลีทุกคืน บรรดาบรรพชิตและคฤหัสถ์ซ่ึงเป็นคณะศิษย์ของ
ทา่ นพ่อลไี ด้ปฏิบตั ติ ามมาโดยตลอด
งานบำ� เพญ็ กศุ ลครบรอบวนั มรณภาพ พระสทุ ธธิ รรมรงั สคี มั ภรี เมธาจารย์
(ทา่ นพอ่ ลี ธมมฺ ธโร) ถอื ไดว้ า่ เปน็ งานประจำ� ปขี องวดั อโศการาม จดั ขน้ึ ชว่ งวนั ท่ี
๒๕-๒๖ เมษายนของทุกปี ในงานจะมีพิธีสวดพระอภิธรรมถวายท่านพ่อลี
มพี ธิ บี วชชี พราหมณ์ พราหมณี มกี ารแสดงธรรมอบรมสมาธิภาวนา ทงั้ ภาค
กลางวันและกลางคืน โดยพระเถระของวัดอโศการาม และพระอาจารย์ท่ี
มีชื่อเสียงจากจังหวัดต่าง ๆ ท่ีมาประชุมร่วมงานร�ำลึกถึงพระคุณท่านพ่อลี
นอกจากน้ียังมพี ระภกิ ษจุ ากวดั ตา่ ง ๆ รวมทั้งสาธชุ นจากทัว่ สารทศิ มาร่วมงาน
กันอยา่ งเนืองแน่น
นวกะ ๖๔
พิธบี ำ�เพญ็ กศุ ลอทุ ศิ ถวาย
ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ปที ่ี ๖๐
วดั อโศการาม 49
นวกะ ๖๔
ทำ�เนยี บเจา้ อาวาส วดั อโศการาม
พระสทุ ธธิ รรมรงั สคี มั ภีรเมธาจารย์ พระเทพโมลี (สำ�รอง คณุ วฑุ ฺโฒ)
(ทา่ นพอ่ ลี ธมมฺ ธโร) เจ้าอาวาสรปู ท่ี ๒
ปฐมเจ้าอาวาส
(พ.ศ. ๒๕๐๘ ถงึ พ.ศ. ๒๕๓๔)
(พ.ศ. ๒๔๙๙ ถึง ๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๐๔)
พระญาณวศิ ษิ ฏ์ (ทอง จนทฺ สริ ิ) พระอาจารย์มหาสามเรอื น ปญุ ฺเ สโก
เจ้าอาวาสรูปท่ี ๓ เจา้ อาวาสรปู ที่ ๔
(พ.ศ. ๒๕๓๔ ถงึ พ.ศ. ๒๕๕๙) (พ.ศ. ๒๕๖๐ ถงึ ปจั จบุ นั )
วัดอโศการาม 51
นวกะ ๖๔
ท่านพอ่ ลีสอนกรรมฐาน
ï แนวทางกรรมฐานเบอื้ งต้น
ผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรมมขี อ้ ควรแสวงหาอยมู่ ี ๒ ประการ เปน็ อปุ กรณภ์ ายนอก
ที่ใหค้ วามสะดวกแกผ่ ปู้ ฏิบัติใหม่ ไดแ้ ก่
๑. บคุ คลสปั ปายะ ใหเ้ ลอื กบคุ คลทคี่ บคา้ สมาคม ใหแ้ สวงหาแตบ่ คุ คล
ผมู้ คี วามสงบ จะเป็นหมู่คณะใด ๆ ก็ตาม ขอใหเ้ ป็นบุคคลท่ีเพ่งไปในแนวสงบ
ดว้ ยกัน เรยี กวา่ บุคคลสปั ปายะ
๒. เสนาสนะสปั ปายะ สถานทส่ี งบสงัด มอี ากาศบรสิ ุทธิ์ อยู่ห่างไกล
ชมุ นุมชน สถานทลี่ กั ษณะนย้ี อ่ มเปน็ ทีส่ ะดวกของผูฝ้ กึ หัด เรียกสถานทเ่ี ช่นนี้
ว่า กายวิเวก หมายถึง “ที่สงัดกาย” ในบาลีท่านแสดงไว้หลายแห่ง เช่น
ถ�้ำและคูหา เงื้อมผาและปา่ ดง สุญญาคารหรอื บา้ นว่างเปลา่ ซึง่ ไม่มีมนษุ ยไ์ ป
มาเกนิ ควร อาจเรยี กสถานทเี่ ช่นน้วี ่า เสนาสนะสปั ปายะ เป็นเคร่ืองมือที่ช่วย
ส่งเสริมการปฏิบัติของผู้เร่ิมปฏิบัติได้เป็นอย่างดี เม่ือไปอยู่ในสถานที่เช่นนี้
อยา่ ใหป้ ล่อยจิตใจไปตามอารมณท์ เ่ี ปน็ ศัตรแู หง่ ความสงบ เชน่ ใฝ่ใจไปในทาง
ดริ จั ฉานคาถาและไสยศาสตร์ ใหป้ รารภและปฏบิ ตั แิ ตธ่ รรมะทจ่ี ะใหค้ วามสบาย
แก่ตน เชน่
๒.๑ อปิจฉตา คือท�ำตนเป็นคนมกั นอ้ ยในปจั จยั ทงั้ ๔
๒.๒ วเิ วกะ คอื ม่งุ ต่อความวิเวกสงัดถ่ายเดยี ว
๒.๓ อสงั สคั คะ คอื ไมเ่ ปน็ ผู้จุกจกิ จจู ้คี ลกุ คลดี ว้ ยหมู่คณะ
๒.๔ วริ ยิ ารัมภะ คือต้งั ใจปรารภแต่ความพากเพยี รเพอ่ื ทำ� จติ
ของตนใหส้ งบถ่ายเดียว
๒.๕ สีลานสุ ติ คอื ตรวจดมู รรยาทความประพฤตขิ องตนว่าได้
ล่วงขอ้ ห้ามสิกขาบทหรอื ไม่ ใหร้ ีบชำ� ระเสียโดยเรว็ ด้วย
เจตนาของตนเอง
วดั อโศการาม 53
๒.๖ สมาธกิ ถา คอื ปรารภในเรอ่ื งสมาธิ อารมณ์ และกมั มฏั ฐาน
อนั เป็นเหตแุ ห่งความตั้งมัน่ แห่งจติ และปญั ญา ให้ปรารภ
แต่เรอ่ื งทก่ี ่อให้เกิดปญั ญา (วิปสั สนา) วิมตุ ติ ให้ยินดีใน
การทำ� ความหลดุ พ้นไปจากกเิ ลสท้งั ปวง
๒.๗ วมิ ุตติญาณทัสนะ คอื ปรารภตรกึ ตรองใคร่ครวญธรรมะ
ที่ทำ� ใหห้ ลดุ พน้ จากอาสวกิเลสทง้ั ปวง
ธรรมะเหล่าน้ีเป็นคู่มือของผู้ปฏิบัติทั่วไป จะท�ำให้จิตใจของผู้ปฏิบัติ
โน้มไปในทางพ้นทุกข์ อย่างไรก็ตามธรรมะเหล่าน้ีควรถือว่าเป็นปกิณกธรรม
เท่าน้ัน ผู้ปฏิบัติพึงกระท�ำให้เกิดมีในตนเองโดยก�ำลังของตนเองเรียกว่า
ปฏิบัติธรรม หากเพียงแต่ทราบไว้แต่ไม่ปฏิบัติก็เรียกว่าได้เพียงปริยัติธรรม
เทา่ นั้น การนำ� ธรรมะมาปฏิบัตจิ งึ เปน็ สงิ่ ส�ำคัญ กล่าวคือ การทำ� จิตให้สงบลง
จนเห็นถึงหลักธรรมชาติเป็นเองท่ีมีอยู่ในตน รู้และละด้วยตนเอง เรียกว่า
ปฏิบตั ิธรรม จงึ จะนำ� ตนเขา้ ถงึ ปฏเิ วธธรรมอนั เป็นรสของธรรมะจรงิ ๆ
ปริยัติธรรมทั้งหมดเป็นเพียงสะพานหรือเชือกท่ีผู้ปฏิบัติใช้สาวหรือ
เดนิ ข้ามฟากจนถงึ ฝ่งั ปฏเิ วธธรรม หากรอ้ื เอาสะพานหรอื เชอื กเหลา่ นนั้ ตดิ ตวั
ไปกไ็ มไ่ ดใ้ หป้ ระโยชนอ์ ะไรนอกจากความยากลำ� บากเทา่ นน้ั ฉะนน้ั ปรยิ ตั ทิ ง้ั หมด
ทจ่ี ดจำ� ไวน้ นั้ จะมปี ระโยชนห์ รอื ไมก่ ข็ นึ้ อยกู่ บั ตนเองทงั้ สน้ิ จะแพห้ รอื ชนะ จะละ
หรอื วางได้ กข็ นึ้ อยกู่ บั ภมู ธิ รรมทส่ี รา้ งขน้ึ ในจติ ของตน ฉะนน้ั ทา่ นจงึ สอนวา่ อยา่
ตดิ ตำ� ราหรอื สมมตุ บิ ญั ญตั ิ แตใ่ หป้ ฏบิ ตั ติ นใหบ้ รบิ รู ณเ์ พอื่ ความบรสิ ทุ ธส์ิ ะอาด
“อตตฺ าหิ อตตฺ โน นาโถ” อะไรจะเป็นส่งิ ท่มี าช่วยเหลือเราได้นอกจาก
ตนเองน้ันไม่มี นี่คือแนวทางที่ถูกต้องแห่งธรรมะทั้งหลาย พระพุทธองค์ได้
ทรงถงึ แลว้ ทั้งหมดจึงบญั ญัติทีหลัง มใิ ชว่ า่ บัญญัติแล้วจึงค่อยท�ำตาม เปรยี บ
เหมอื นโลกวทิ ยาศาสตรเ์ ขาคน้ พบแลว้ เขาจงึ เขยี นตำ� รา แตน่ กั ตำ� ราทร่ี เู้ รอื่ งราว
ทกุ อยา่ งอาจสรา้ งอะไรขนึ้ ใหมไ่ มไ่ ด้ เชน่ เครอื่ งบนิ นกั บนิ อาจรวู้ ธิ กี ารใชอ้ ปุ กรณ์
ต่าง ๆ แต่สร้างเคร่ืองบินเองไม่ได้ เป็นต้น ผู้สร้างกับผู้ใช้จึงไม่เหมือนกัน
ถ้าถือว่าการปฏิบัติธรรมหมายถึงการจดจ�ำธรรมะได้เท่าน้ันก็เท่ากับเป็นผู้ใช้
เราควรท�ำตนเป็นผู้สรา้ งใหค้ นอ่นื เขาใชบ้ า้ งจึงเป็นการสมควร
นวกะ ๖๔
การจะสร้างสรรคส์ งิ่ ตา่ ง ๆ ขนึ้ น้นั ต้องเป็นผรู้ ับผดิ ชอบตนเองจงึ จะ
ส�ำเรจ็ ได้ เม่อื ไม่ส�ำเรจ็ ในวธิ กี ารนนั้ ๆ ก็ให้ฉลาดในตนเองจงึ จะส�ำเร็จ มวั แต่เอา
ความฉลาดของคนอื่นมาเป็นของตนก็พ่ึงตนเองไม่ได้ เมื่อพึ่งตนเองไม่ได้แล้ว
จะทำ� ตนใหค้ นอน่ื เขามาพง่ึ เราไดอ้ ยา่ งไร ฉะนน้ั จงึ ไดเ้ ขยี นขอ้ ธรรมะทจ่ี ำ� เปน็ พอ
เปน็ แนวทางเบ้อื งตน้ ของผู้ปฏิบตั ิโดยสน้ั ๆ เพียงเทา่ นี้
ï วธิ ที �ำสมาธเิ บื้องตน้
ขอ้ ปฏิบตั ิในการท�ำสมาธิภาวนานัน้ มีข้นั ตอนตา่ ง ๆ ทีพ่ งึ กระทำ� ดว้ ย
ก่อนท่ีจะท�ำกิจเบ้ืองต้นนั้น ให้น่ังคุกเข่าประนมมือด้วยความตั้งใจ ระลึกถึง
พระรัตนตรัยแล้วเปล่งวาจาดังต่อไปน้ี
อรหํ สมมฺ าสมฺพทุ โฺ ธ ภควา,
พุทธฺ ํ ภควนตฺ ํ อภวิ าเทม.ิ
(กราบลงหนหนงึ่ น้ไี หว้พระพุทธ)
สฺวากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม, ธมมฺ ํ นมสสฺ ามิ
(กราบลงหนหนึ่ง นี้ไวพ้ ระธรรม)
สปุ ฏปิ นฺโน ภควโต สาวกสงโฺ ฆ, สงฆฺ ํ นมาม.ิ
(กราบลงหนหนึง่ นไี้ ว้พระสงฆ์)
กลา่ วจบแลว้ พงึ ตง้ั ใจปฏบิ ตั บิ ชู าดว้ ยกาย วาจา ใจ แลว้ กลา่ วคำ� นอบนอ้ ม
ตอ่ สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ วา่ นโม ตสสฺ ภควโต อรหโต สมมฺ าสมพฺ ทุ ธฺ สสฺ .
(กลา่ ว ๓ หน) แลว้ ปฏญิ าณตนวา่ จะถอื เอาพระรตั นตรยั เปน็ ทพ่ี งึ่ ทรี่ ะลกึ ของตน
ซง่ึ เรยี กว่า พระไตรสรณคมน์ ว่าตามบาลดี งั น้ี
พุทฺธํ สรณํ คจฺฉาม,ิ
ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม,ิ
สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ.
ทตุ ยิ มปฺ ิ พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม,ิ
ทุติยมปฺ ิ ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม,ิ
ทตุ ยิ มปฺ ิ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ.
วัดอโศการาม 55
ตตยิ มฺปิ พทุ ฺธํ สรณํ คจฉฺ าม,ิ
ตติยมฺปิ ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ,
ตตยิ มฺปิ สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ าม.ิ
จากนั้นให้อธิษฐานถึงพระไตรสรณคมน์ให้ม่ันว่า “ข้าพเจ้าขอถึง
พระพุทธเจา้ องค์อรหนั ตผ์ ู้ละกเิ ลสขาดจากสนั ดาน กบั พระธรรมเจ้า กล่าวคอื
คำ� สอนของพระองคเ์ ปน็ ปรยิ ตั ธิ รรม ปฏบิ ตั ธิ รรม ปฏเิ วธธรรม กบั พระสงั ฆเจา้
กล่าวคือ พระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคามี พระอรหันต์ ว่าเป็นสรณะ
ทพ่ี งึ่ ทรี่ ะลกึ นบั ถอื ของขา้ พเจา้ ตงั้ แตบ่ ดั นเี้ ปน็ ตน้ ไปตราบเทา่ ชวี ติ ของขา้ พเจา้ นแ้ี ล”
ด้วยค�ำกล่าวต่อไปน้ี
พทุ ฺธํ ชวี ติ ํ ยาว นพิ ฺพานํ สรณํ คจฉฺ ามิ.
ธมฺมํ ชีวิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฉฺ ามิ.
สงฺฆํ ชวี ิตํ ยาว นิพฺพานํ สรณํ คจฺฉาม.ิ
ต่อจากน้นั ให้เจตนาวริ ัตลิ ะเว้นในส่วนองค์ศีล ๕ ศีล ๘ ศลี ๑๐ หรอื
ศีล ๒๒๗ ตามภูมขิ องตนท่ตี นสามารถจะรกั ษาได้ แล้วกล่าวค�ำสมาทานรวม
ลงในทแี่ ห่งเดียวกันอีกวา่
อิมานิ ปญฺจ สิกฺขาปทานิ สมาทิยามิ (ศีล ๕)
แปลวา่ ข้าพเจา้ สมาทานเอาซงึ่ สิกขาบทท้ังหลาย ๕ คอื ปาณาฯ
ไม่ฆ่าสัตว์, อทินนาฯ ไม่ลักทรัพย์, กาเมฯ ไม่ประพฤติผิดในกาม, มุสาฯ
ไม่กล่าวคำ� เท็จ สุราฯ ไม่ด่มื สุราเมรยั (เป็น ๕ ข้อ)
อมิ านิ อฏ€ฺ สิกฺขาปทานิ สมาทิยามิ (ศลี ๘)
แปลวา่ ขา้ พเจา้ ขอสมาทานเอาซงึ่ สกิ ขาบททงั้ หลาย ๘ คอื ปาณาฯ
ไม่ฆ่าสตั ว,์ อทนิ นาฯ ไมล่ กั ทรพั ย์, อพรหมจรยิ าฯ ไม่ประพฤตริ ว่ มสงั วาสกับ
หญงิ ชายทงั้ ปวง, มุสาฯ ไม่พูดเทจ็ , สรุ าฯ ไม่ด่ืมสรุ าเมรยั , วกิ าลโภฯ ไมก่ นิ
อาหารในเวลาตะวนั บา่ ยไปแลว้ , นจั จคมี าลาฯ ไมด่ กู ารละเลน่ และตกแตง่ ประดบั
ประดาอตั ภาพร่างกายเพอ่ื ความสวยงามต่าง ๆ, อุจจาฯ ไม่นอนบนเตียงตง้ั ท่ี
สูงเกินประมาณและฟูกเบาะที่ยดั ดว้ ยนุ่นและสำ� ลี (เปน็ ๘ ขอ้ )
นวกะ ๖๔
อมิ านิ ทส สกิ ขฺ าปทานิ สมาทยิ ามิ (ศลี ๑๐ ใหก้ ลา่ ว ๓ หน)
แปลวา่ ขา้ พเจา้ สมาทานเอาซึ่งสกิ ขาบทท้ังหลาย ๑๐ คอื ปาณาฯ
อทนิ นาฯ อพรหมจรยิ าฯ มสุ าฯ สรุ าฯ วกิ าลโภฯ นจั จคฯี มาลาฯ อจุ จาฯ ชาตรปู ฯ
ไม่ใหร้ บั เงินทองใชส้ อยดว้ ยตนเอง (เปน็ ๑๐ ขอ้ )
ศลี พระภกิ ษุ (มจี �ำนวน ๒๒๗ ขอ้ ) ให้วา่ ดงั นี้
ปริสุทโฺ ธ อหํ ภนเฺ ต ปริสุทโฺ ธติ มํ พทุ โฺ ธ ธาเรตุ.
ปริสุทโธ อหํ ภนฺเต ปริสทุ ฺโธติ มํ ธมฺโม ธาเรต.ุ
ปรสิ ทุ โธ อหํ ภนฺเต ปริสทุ ฺโธติ มํ สงโฺ ฆ ธาเรต.ุ
เมอ่ื ทำ� ความบรสิ ุทธิ์ของตนดว้ ย กาย วาจา ใจ ตอ่ คุณพระพทุ ธเจา้
พระธรรมเจ้า พระสงฆเ์ จา้ แล้วกราบลง ๓ หนแลว้ จงึ น่ังราบลง ประนมมอื ไหว้
ทำ� ใจให้เท่ียง แลว้ เจรญิ พรหมวหิ าร ๔ ถา้ แผไ่ ปไม่เจาะจง เรยี กว่า อัปปมญั ญา
พรหมวหิ าร กลา่ วเปน็ คำ� บาลสี น้ั ๆ ให้สะดวกแกก่ ารจ�ำก่อน ดงั นี้
เมตตา คอื จติ คดิ เมตตารกั ใคร่ ปรารถนาใหต้ นและสตั วท์ ง้ั หลาย
เป็นสขุ ทั่วหนา้ กนั
กรุณา คือ จิตคดิ กรณุ าเอ็นดู สงสารตนและคนอื่น
มทุ ิตา คอื จิตอ่อนนอ้ ม พลอยยนิ ดใี นกุศลของตนและคนอน่ื
อเุ บกขา คือ จิตคิดวางเฉย ในส่งิ ที่ควรปล่อยวาง
กลา่ วจบแลว้ ใหน้ ง่ั ขดั สมาธิ วางขาขวาทบั ขาซา้ ย วางมอื ขวาทบั มอื ซา้ ย
ตัง้ กายใหต้ รง ดำ� รงสตใิ หม้ ั่น อย่าใหฟ้ น่ั เฟอื น ประนมมือไหวแ้ ล้วระลกึ ถึงคุณ
พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ ตัง้ อธิษฐานในใจวา่
พทุ ฺโธ เมนาโถ. พระพุทธเจ้าเปน็ ทพ่ี งึ่ ของข้าพเจ้า
ธมฺโม เมนาโถ. พระธรรมเปน็ ที่พ่งึ ของข้าพเจา้
สงฺโฆ เมนาโก. พระสงฆ์เป็นที่พงึ่ ของขา้ พเจา้
จากนั้นกล่าวซ้�ำอีกว่า พุทโธ ๆ ธัมโม ๆ สังโฆ ๆ แล้วปล่อยมือลงข้าง
หน้าบริกรรมภาวนา แต่คำ� เดยี วว่า พทุ โธ ๓ หน ต่อจากนีใ้ ห้นึกถึงลมหายใจ
เข้าออกคอื ใหน้ ับลมเป็นคู่ ๆ ดังนี้
วดั อโศการาม 57
๑. ก�ำหนดคำ� บรกิ รรม ลมเข้าภาวนา พทุ ลมออกภาวนา โธ อย่างน้ี
ไปจนครบ ๑๐ คร้ัง
๒. กำ� หนดตง้ั จติ ใหม่ คอื ลมเขา้ ภาวนา พทุ โธ หนหนง่ึ ลมออกภาวนา
พทุ โธ หนหนึ่ง ภาวนาอย่างน้ีไปจนถึง ๗ หน
๓. กำ� หนดต้ังจิตใหม่ คอื ลมเข้าลมออกครงั้ หนงึ่ ให้ภาวนา พทุ โธ
หนหนงึ่ ทำ� อยา่ งน้ไี ปจนถึง ๕ หน
๔. ก�ำหนดตั้งจิตใหม่ คือ ลมเข้าลมออกหนหน่ึง ให้ภาวนา พุทโธ
๓ ค�ำ ท�ำอย่างนี้จนครบ ๓ วาระ
๕. กำ� หนดคำ� บริกรรม พทุ โธ คำ� เดียว ไม่ต้องนบั ลมอกี ปลอ่ ยลม
ตามสบาย ทำ� ใจใหน้ ิง่ ๆ ไวท้ ่ีลมหายใจเขา้ ออกทีม่ ใี นช่องจมกู เม่ือลมออกอยา่
สง่ จติ ออกตามลม เมอื่ ลมเขา้ อยา่ สง่ จติ เขา้ ตามลม ทำ� ความรสู้ กึ อยา่ งกวา้ งขวาง
เบิกบาน แตอ่ ย่าสะกดจติ ใหม้ ากเกนิ ไป ให้ทำ� ใจสบาย ๆ เหมอื นเราหายใจออก
ไปในอากาศโปร่งฉะน้ัน ท�ำจิตให้น่ิงอยู่เหมือนเสาท่ีปักไว้ริมฝั่งทะเล น้�ำทะเล
ข้ึนเสาก็ไม่ขึ้นตาม น�้ำทะเลลงเสากไ็ มล่ งตาม
๖. เมื่อท�ำจิตน่ิงสงบได้ในข้ันน้ีแล้วให้หยุดค�ำภาวนา พุทโธ น้ันเสีย
ก�ำหนดความรสู้ กึ ไว้เฉพาะลมหายใจ แล้วค่อยขยบั จิตเล่ือนเข้าไปตามกองลม
คอื กองลมสำ� คญั อันจะทำ� ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ ต่าง ๆ เชน่ ทพิ พจกั ขุ(ตาทพิ ย)์ ,
ทิพพโสต(หูทิพย์), เจโตปริยญาณ(การรู้ใจคนอ่ืน), ปุพเพนิวาสานุสสติ
ญาณ(ระลกึ ชาตไิ ด)้ , จตุ ปู ปาตญาณ(รจู้ กั ความเกดิ ตายแหง่ สตั วต์ า่ ง ๆ) เปน็ ตน้
นานาธาตุวิชชา วิชชาความรู้ในเรื่องของธาตุต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวเนื่องถึงอัตภาพ
ร่างกายอันจะเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย ธาตุเหล่านี้ย่อมเกิดข้ึนจากฐานของ
ลมหายใจ
ฐานของลมหายใจมีหลายฐานแตกต่างกันไป ฐานท่ี ๑ ให้ตั้งจิตไว้ท่ี
จมกู แลว้ คอ่ ยเลอื่ นไปกลางหนา้ ผากอนั เปน็ ฐานท่ี ๒ ทำ� ความรสู้ กึ อยา่ งกวา้ งขวาง
ทำ� จิตให้นิ่งไว้ที่หน้าผากแล้วกลับมาทจี่ มูก ให้เพ่งข้ึนเพ่งลงในระหวา่ งจมกู กบั
หนา้ ผากราวกบั คนขน้ึ บนภเู ขากระนนั้ ทำ� ใหไ้ ดส้ กั ๗ เทยี่ ว แลว้ กน็ ง่ิ ไวท้ หี่ นา้ ผาก
นวกะ ๖๔
อย่าใหจ้ ิตลงมาทจ่ี มูกอีก ตอ่ นั้นให้ตามเข้าไปใน ฐานที่ ๓ คือกลางกระหมอ่ ม
ขา้ งนอกแลว้ หยดุ อยทู่ ก่ี ลางกระหมอ่ ม ทำ� ความรสู้ กึ อยา่ งกวา้ งขวาง สดู ลมใน
อากาศเขา้ ไปในศีรษะ กระจายลมครู่หนง่ึ จึงกลับลงมาทหี่ น้าผาก กลับไปกลับ
มาในระหว่างหน้าผากกับกลางกระหม่อมอยู่เช่นน้ีสักหนึ่งเท่ียว แล้วก็น่ิงอยู่
กลางกระหม่อมตามเขา้ ไปใน ฐานที่ ๔ อกี คอื ลงในสมองทีก่ ลางกะโหลกศีรษะ
ให้น่ิงอยู่สักครู่หน่ึง จึงเลื่อนจิตให้ออกไปท่ีกลางกระหม่อมข้างนอก กลับไป
กลับมาติดต่อกันในระหว่างกลางสมองกับกลางกระหม่อมข้างนอก แล้วก็นิ่ง
อยูท่ สี่ มอง ท�ำความรสู้ ึกให้กวา้ งขวาง กระจายลมอนั ละเอยี ดจากสมองใหล้ ง
ไปเบอ้ื งตำ�่ เมอื่ ทำ� จติ มาถงึ ตอนนแี้ ลว้ บางทจี ะเกดิ นมิ ติ ของลมขนึ้ เปน็ ตน้ วา่ รสู้ กึ
ข้นึ ในศรี ษะแลเห็นหรือรสู้ ึกให้เสยี ว ๆ ใหเ้ ยน็ ๆ รอ้ น ๆ ให้เปน็ ไอเปน็ หมอกสลวั
ๆ ขน้ึ บางทกี ม็ องเหน็ กะโหลกศรี ษะของตวั เองถงึ อยา่ งนน้ั กอ็ ยา่ ใหม้ คี วามหวนั่
ไหวไปตามนมิ ติ ทป่ี รากฏ ถา้ เราไมป่ รารถนาทจ่ี ะใหเ้ ปน็ เชน่ นนั้ กใ็ หส้ ดู ลมหายใจ
เขา้ ไปยาว ๆ ถึงหัวอก นิมติ เหล่านัน้ ก็จะหายไปทนั ที
เมื่อเห็นนิมิตอันใดอันหน่ึงเกิดข้ึนแล้ว ให้ต้ังสติรู้อยู่ท่ีนิมิตแต่ให้เอา
นมิ ิตเดียว สดุ แท้แต่นิมิตอันใดเป็นที่สบาย เม่อื จับนมิ ติ ได้แลว้ ใหข้ ยายนิมติ
นัน้ ออกไปให้โตเทา่ ศรี ษะ นิมติ ท่ขี าวสวา่ งนนั้ มีประโยชน์แกก่ ายและใจ คือ เปน็
ลมบริสุทธิ์สะอาด ลมบริสุทธิ์สะอาดน้ีย่อมเป็นเคร่ืองฟอกโลหิตในร่างกาย
ของทา่ นไดอ้ ยา่ งดี สามารถจะบรรเทาหรอื กำ� จดั ทกุ ขเวทนาทเี่ กดิ แกร่ า่ งกายได้
จากนน้ั ใหเ้ ลอื่ นลงไปตงั้ ไวใ้ น ฐานที่ ๕ คอื ทรวงอก แลว้ ใหน้ กึ เอานมิ ติ
แหง่ ลมไปตง้ั ไวข้ ยายออกใหเ้ ตม็ ทรวงอก ทำ� ลมอนั นน้ั ใหข้ าวใหส้ วา่ ง กระจายลม
กระจายแสงสวา่ งไปทว่ั ทกุ ขมุ ขนจนกวา่ จะมองเหน็ สว่ นตา่ ง ๆ ของรา่ งกายปรากฏ
เปน็ ภาพขนึ้ มาเอง ถา้ ไมต่ อ้ งการภาพอนั นนั้ กใ็ หส้ ดู ลมหายใจยาว ๆ เสยี ๒-๓ ครง้ั
ภาพนนั้ กจ็ ะหายไปทนั ที แลว้ กระทำ� จติ ใหน้ ง่ิ อยโู่ ดยกวา้ งขวาง แมจ้ ะมนี มิ ติ อะไร
ผา่ นมาในรศั มแี หง่ ลมกอ็ ยา่ เพงิ่ ไปจบั เอา อยา่ ทำ� จติ หวน่ั ไหวไปตามนมิ ติ ประคองจติ
ไว้ให้ดี ท�ำจิตให้เป็นหน่ึงพยายามต้ังจิตไว้ในอารมณ์อันเดียว คือ ลมหายใจ
อันละเอียดและขยายลมอันละเอียดนั้นให้กว้างขวางออกไปทั่วสรรพางค์กาย
วดั อโศการาม 59
เม่ือท�ำจิตถึงตอนน้ีจะค่อยเกิดวิชชาความรู้ข้ึนตามล�ำดับ กายของเราก็จะเบา
เหมือนปุยนุ่น ใจก็จะเอิบอิ่มน่ิมนวลวิเวกสงัดได้รับความสุขกายสบายจิตเป็น
อยา่ งยงิ่ เมอื่ ตอ้ งการวชิ ชาความรแู้ ลว้ ใหท้ ำ� อยา่ งนจ้ี นกวา่ จะชำ� นาญในการเขา้
การออก และการตั้งอยู่ เมอ่ื ทำ� ไดอ้ ยา่ งน้ีแลว้ นมิ ิตของลมคอื แสงสว่างขาว ๆ
เป็นกอ้ นเป็นกล่มุ เหล่านน้ั จะท�ำเมื่อไรกเ็ กิดได้ เม่ือต้องการวิชชาความรูต้ ่าง ๆ
กใ็ หท้ ำ� จติ นง่ิ วางอารมณท์ ง้ั หมดใหเ้ หลอื อยแู่ ตค่ วามสวา่ งความวา่ งอยา่ งเดยี ว
เม่ือประสงค์สิ่งใดในส่วนวิชาความรู้ภายในและภายนอกตนเองและผู้อื่น ก็ให้
นึกข้ึนในใจครั้งหนึ่งหรือสองคร้ังก็จะเกิดความรู้หรือนิมิตเป็นภาพปรากฏข้ึน
ทันที เรียกว่า มโนภาพ ถ้าจะให้ดีและช�ำนาญในสิ่งเหล่าน้ีให้ศึกษากับท่าน
ผู้เคยปฏิบัติในทางน้ีจะดีมาก เพราะวิชชาตอนน้ีเป็นวิชชาที่เกิดข้ึนจากสมาธิ
อย่างเดยี วเทา่ น้นั
วชิ ชาในเร่ืองสมาธินัน้ มอี ยู่ ๒ แผนก คือ เป็นไปด้วย โลกีย์ อยา่ งหน่ึง
เป็นไปดว้ ย โลกตุ ระ อย่างหน่ึง วิชชาโลกีย์ คอื ติดความรู้ความเหน็ ของตนเอง
น้หี นึ่ง ตดิ ส่ิงทัง้ หลายทมี่ าปรากฏให้เรารู้เราเหน็ นีอ้ ยา่ งหนึง่ วชิ ชาก็ดี สิง่ ท่ีให้
เรารเู้ ราเหน็ ด้วยอ�ำนาจแหง่ วชิ ชาก็ดี เปน็ ของจรงิ และของไม่จริงเจือปนอยดู่ ว้ ย
กันท้ังสิน้ แต่ของจรงิ ในทีน่ ้เี ป็นสว่ นสงั ขารธรรมท้งั สน้ิ ขน้ึ ชอ่ื ว่าสงั ขารแลว้ ยอ่ ม
ไม่เที่ยงไม่มัน่ คงถาวร ฉะนั้น เมือ่ ต้องการ โลกตุ ระ ต่อไป ใหร้ วมสิ่งทเ่ี รารเู้ รา
เห็นทั้งหมดเข้ามาเป็นจุดอันเดียว คือ เอกัคคตารมณ์ ให้เห็นเป็นสภาพอัน
เดียวกันทง้ั หมดเอาวิชชาความรู้ทง้ั หลายเหล่านนั้ เข้ามารวมอยู่ในจดุ อนั นั้นจน
ร้แู จ้งเหน็ จริงวา่ ส่ิงทั้งหลายเหล่าน้ีเกดิ ข้นึ แลว้ ยอ่ มดบั ไปเป็นธรรมดา แล้วอย่า
ยึดถือในส่ิงท่ีรู้ท่ีเห็นมาว่าเป็นของของตน อย่ายึดความรู้ความเห็นท่ีเกิดจาก
ตนมาเป็นของของตน ใหป้ ล่อยวางไปตามสภาพ ถ้าไปยดึ อารมณก์ ็เทา่ กบั ยดึ
ทุกข์ ยึดความรขู้ องตนจะเกดิ เปน็ เหตุแหง่ ทกุ ข์ คอื สมุทยั
ฉะนนั้ จติ ทน่ี ง่ิ เปน็ สมาธแิ ลว้ เกดิ วชิ ชา วชิ ชานนั้ เปน็ มรรคสงิ่ ทเ่ี รารตู้ า่ ง ๆ
ทผี่ า่ นไปผา่ นมาเปน็ ทกุ ข์ จติ เราอยา่ เขา้ ไปยดึ เอาวชิ ชา อยา่ เขา้ ไปยดึ เอาอารมณ์
ที่มาแสดงใหเ้ รารู้ ปล่อยวางไปตามสภาพ ทำ� จติ ใหส้ บาย ๆ ไม่ยดึ จติ ไมส่ มมุติ
นวกะ ๖๔
จติ ของตนเองวา่ เปน็ อยา่ งนนั้ อยา่ งนี้ ถา้ ยงั สมมตุ ติ นเองอยตู่ ราบใดกเ็ ปน็ อวชิ ชา
อยตู่ ราบน้นั เมอื่ รไู้ ด้โดยอาการอย่างน้กี จ็ ะกลายเป็นโลกตุ ระข้นึ ในตน จะเปน็
บญุ กศุ ลอยา่ งประเสรฐิ สงู สดุ ในฐานะทเี่ ปน็ มนษุ ยซ์ งึ่ เปน็ พทุ ธบรษิ ทั ของพระพทุ ธเจา้
ถา้ จะสรปุ ให้ส้นั เขา้ แล้ว หลักในการปฏิบตั ิก็มดี ังนี้ คอื
๑. ก�ำจัดอารมณ์ทีช่ ว่ั ออกจากจติ ใหห้ มด
๒. ทำ� จิตให้อยู่ในอารมณ์ท่ีดี
๓. อารมณท์ ดี่ ตี า่ ง ๆ ใหต้ อ้ นเขา้ ไปรวมอยใู่ นจดุ อนั เดยี วทเี่ รยี กวา่
เอกัคคตารมณ์
๔. พจิ ารณาอารมณห์ นง่ึ นน้ั ใหเ้ ปน็ อนจิ จงั ไมเ่ ทย่ี ง ทกุ ขงั เปน็ ทกุ ข์
อนตั ตาไมใ่ ช่ตัวตน สตั วบ์ ุคคล วา่ งเปล่า
๕. วางอารมณ์ท่ีดีและอารมณ์ที่ชั่วไปตามสภาพของอารมณ์
เพราะดีและช่ัวย่อมอยู่ด้วยกัน มีสภาพเสมอกัน วางจิตไว้ตามสภาพของจิต
รไู้ วต้ ามสภาพแหง่ รู้ รนู้ น้ั ไมร่ จู้ กั เกดิ ไมร่ จู้ กั ดบั นนั้ แลคอื สนั ตธิ รรม ดกี ร็ ู้ ดไี มใ่ ชร่ ู้
รู้ไมใ่ ช่ดี ชว่ั ก็รู้ ร้ไู ม่ใช่ชั่ว ชว่ั ไม่ใช่รู้ คอื รไู้ ม่ตดิ ความรู้ รู้ไม่ตดิ สงิ่ ท่รี ู้นน่ั แหละคอื
ธรรมชาติธาตุแทอ้ ันบรสิ ทุ ธิ์ผดุ ผอ่ งเหมอื นน้�ำท่อี ยูใ่ นใบบวั ฉะนน้ั จึงเรียกวา่
อสงั ขตธาตุ เปน็ ธาตแุ ท้ เมอื่ ใครทำ� ไดเ้ ชน่ นี้ กจ็ ะเหน็ ของดวี เิ ศษเกดิ ขนึ้ ในใจแหง่ ตน
จะเป็นกุศล วาสนา บารมีของท่าน ผู้ปฏิบัติในทางสมถกรรมฐาน วิปัสสนา
กรรมฐาน จะไดผ้ ล ๒ ประการดงั กลา่ วมา คอื โลกยิ ผล ทจี่ ะใหส้ ำ� เรจ็ ประโยชน์
อนามัยของร่างกายแห่งท่าน และคนอ่ืนท่ัว ๆ ไปในสากลโลกน้ีประการหน่ึง
ประการท่ี ๒ จะได้ โลกุตรผล อันเป็นประโยชน์อนามัยในด้านจิตใจของท่าน
มีความสุข ความเยือกเย็น และความราบรื่นชื่นบาน ก็จะถึงพระนิพพานเป็น
เบอ้ื งหนา้ ไม่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย อกี ตอ่ ไป
วดั อโศการาม 61
นวกะ ๖๔
ประวัติวัดอโศการาม
และ
ศาสนสถานสำ�คญั ของวัด
วดั อโศการาม 63
ประวตั ิวดั อโศการาม
วัดอโศการาม เป็นวัดสังกัดธรรมยุติกนิกาย
ตงั้ อยู่เลขท่ี ๑๓๖ หมู่ ๒ กิโลเมตรที่ ๓๑ ถนนสุขมุ วทิ
(สายเก่า) ต�ำบลท้ายบ้าน อ�ำเภอเมืองสมุทรปราการ
จังหวดั สมทุ รปราการ
นวกะ ๖๔
ï ประวตั คิ วามเปน็ มา
สืบเน่อื งมาจากคร้ังท่ี ท่านพ่อลี ธมมฺ ธโร ได้เดนิ ทางไป
เย่ียมดนิ แดนพทุ ธภมู ิ และนมสั การสังเวชนยี สถานต่าง ๆ ทาง
พระพทุ ธศาสนาในประเทศอินเดยี เมอ่ื พ.ศ. ๒๔๙๓ และได้อยู่
จำ� พรรษาทตี่ ำ� บลสารนาถ เมอื งพาราณสี (ปา่ อสิ ปิ ตนมฤคทายวนั )
ท่านได้เห็นพระเจดีย์และพระสถูปท่ีพระเจ้าอโศกมหาราชทรง
สรา้ งไวท้ รดุ โทรมลงมาก ทา่ นจงึ คดิ จะสรา้ งพระเจดยี เ์ พอื่ ทดแทน
ไว้สกั แห่งในประเทศไทย
ตอ่ มาประมาณเดอื นธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ทา่ นพ่อลี 65
ได้ไปนั่งสมาธิท่ีวัดเขาพระงาม จังหวัดลพบุรี โดยท่านได้เล่าว่า
“คืนน้ันนั่งสมาธติ ลอดสวา่ ง นั่งอย่ดู ว้ ยกนั ๖ รูป และได้ยินเสียง
แปลกประหลาดดังบนศีรษะห่าง ๆ คล้ายฝนตกสักครู่หน่ึงก็ได้
เหน็ พระรปู ตกลงมาใกล้ ๆ เปน็ แกว้ เจยี ระไนสเ่ี หลย่ี ม โตประมาณ
นิ้วหัวแม่มือ” พระรูปดังกล่าวคือพระรูปพระเจ้าอโศกมหาราช
วัดอโศการาม
ซง่ึ ทรงทะนบุ ำ� รงุ และอปุ ถมั ภค์ ำ�้ ชพู ระพทุ ธศาสนาใหเ้ จรญิ รงุ่ เรอื งตลอดพระชนมช์ พี
นอกจากนย้ี งั มพี ระราชด�ำรทิ ี่จะสงั คายนาพระไตรปิฎกคร้งั ที่ ๓ การสังคายนา
ครง้ั น้ีเกิดข้นึ ท่ีเมอื งปาฏลบี ตุ ร พระโมคคัลลีบุตรเปน็ องคป์ ระธาน พรอ้ มดว้ ย
พระภกิ ษอุ ีก ๑,๐๐๐ รปู ดว้ ยเหตนุ ้ีเม่อื ทา่ นพ่อลไี ด้รับบริจาคท่ดี นิ เพื่อสรา้ งวดั
ทา่ นพอ่ ลจี งึ ไดน้ ำ� พระนามของพระเจา้ อโศกมหาราช มาตง้ั เปน็ ชอ่ื วดั โดยใหช้ อื่ วา่
“วัดอโศการาม”
ทา่ นพอ่ ลไี ดป้ รารภถงึ ทม่ี าของชอ่ื วดั ไวด้ งั นี้ “การตง้ั ชอ่ื วดั อโศการามนี้
มิใช่คิดข้ึนในคราวท่ีต้ัง ได้คิดช่ือน้ีข้ึนต้ังแต่ปีท่ีจ�ำพรรษาอยู่ในต�ำบลสารนาถ
เมอื งพาราณสี ได้เอานามของท่านผู้มคี ุณวุฒิ เปน็ ฉายาลักษณข์ องผทู้ รงคุณ
ฉะนั้นจึงได้สร้างพระรูป (พระเจ้าอโศกมหาราช) น้ีข้ึนประกอบในนามของวัด
เพ่อื เป็นสวสั ดมิ งคลสืบต่อไป”
นวกะ ๖๔
บรเิ วณ “วัดอโศการาม” เดิมเรยี กว่า “นาแมข่ าว” นางกมิ หงษแ์ ละ
นายสเุ มธ ไกรกาญจน์ เปน็ ผถู้ วายทดี่ นิ แดท่ า่ นพอ่ ลเี พอื่ สรา้ งวดั เมอื่ วนั ท่ี ๑๗
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๗ ที่ดินดงั กล่าวมีเน้อื ที่ประมาณ ๕๓ ไร่ ทา่ นพ่อลี
จึงได้จดั ตัง้ เปน็ ส�ำนกั สงฆเ์ ม่อื พ.ศ. ๒๔๙๗ โดยใหล้ ูกศษิ ยค์ อื พระครใู บฎกี า
ทัศน์ มาดูแลสำ� นกั แทนพร้อมกบั พระลูกศษิ ยอ์ กี ๕ รปู ตอ่ มาได้รบั อนุญาต
จากหน่วยงานราชการให้สร้างวดั เมอ่ื วนั ที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๘ และใน
พ.ศ. ๒๔๙๙ เป็นปีแรกทท่ี ่านพ่อลไี ดเ้ ริ่มเข้ามาจำ� พรรษาอย่ดู ว้ ย มีพระภกิ ษุ
จำ� พรรษาจำ� นวน ๑๒ รปู และสามเณรอกี ๔ รปู ในปนี ไี้ ดร้ บั อนญุ าตใหย้ กฐานะวดั
ขนึ้ เปน็ สำ� นกั สงฆ์ ตามประกาศกระทรวงวฒั นธรรม เมอื่ วนั ที่ ๑๖ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๙๙
หลังจากท่านพ่อลีมรณภาพใน พ.ศ. ๒๕๐๔ วัดอโศการามก็ยังคง
ไดร้ บั การพฒั นาอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง มกี ารขยายพน้ื ทท่ี างทศิ เหนอื และทศิ ตะวนั ออก
นอกจากนย้ี งั ไดส้ รา้ งพระธตุ งั คเจดยี ซ์ ง่ึ ทา่ นพอ่ ลไี ดว้ างแบบเอาไวจ้ นสำ� เรจ็ ลลุ ว่ ง
พระเจดยี แ์ หง่ นเ้ี ปน็ ปชู นยี สถานประดษิ ฐานพระบรมสารรี กิ ธาตุ อฐั ธิ าตขุ องพระ
อรหนั ต์ ๒๘ องคส์ ำ� คญั ในยคุ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ไวเ้ ปน็ ทสี่ กั การะของเหลา่ เทวดา
และมนุษย์ท้ังหลาย เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานภาวนาตามแนวทางที่
ท่านพ่อลีได้วางรากฐานเอาไว้ โดยเหล่าศิษยานุศิษย์ได้ปฏิบัติตามแนวทางนี้
สบื ตอ่ กันมาจวบจนปจั จุบนั
วดั อโศการาม 67
ศาสนสถานสำ� คญั
ของวดั อโศการาม
พระธุตงั คเจดีย์
ï พลังจติ อธิษฐานในการสรา้ งพระธุตังคเจดีย์
ในเดอื นมนี าคม พ.ศ. ๒๔๙๒ ขณะทที่ า่ นพอ่ ลอี อกปฏบิ ตั บิ ำ� เพญ็ สมาธิ
ภาวนาทวี่ ดั เขาพระงาม จงั หวัดลพบรุ ี วนั นั้นเปน็ วนั มาฆบูชา ทา่ นไดอ้ ธิษฐาน
ปฏบิ ตั บิ ชู าพลกี ายถวายชวี ติ แดพ่ ระรตั นตรยั ดว้ ยการไมน่ อนตลอด ๓ วนั ๓ คนื
ขณะที่ท�ำสมาธิท่านนิมิตเห็นพสุธาภินทภาค เห็นซากอิฐหินพังทลายท่านได้
ระลกึ รใู้ นทนั ทวี า่ “สถานทแ่ี หง่ นเ้ี คยเปน็ ทต่ี งั้ ของพระบรมธาตเุ จดยี ์ แตพ่ งั พนิ าศ
จมดินไปเป็นเวลานานแล้ว” ท่านพ่อลีจึงพิจารณาต่อไปว่า หลังจัดงานฉลอง
สมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษส�ำเร็จ ท่านจะต้องสร้างพระมหาเจดีย์เพื่อบรรจุ
พระบรมสารีริกธาตอุ ยา่ งแนน่ อน
นวกะ ๖๔
ทา่ นระลกึ ชาตยิ อ้ นหลงั ไปวา่ “ในมธั ยมประเทศครง้ั กระโนน้ มเี หตกุ ารณ์
ส�ำคัญ คือ พระสงฆ์จำ� นวนมากมาชมุ นุมฉลองพระบรมธาตุ ตัวทา่ นมิอาจไป
ร่วมสมโภช เพ่อื นพระสงฆจ์ งึ ลงโทษไว้ว่า ตอ่ ไปในภายภาคหนา้ องค์ท่านจะ
ตอ้ งสถาปนาเจดียพ์ ระบรมธาตุ ณ ที่แหง่ ใดแห่งหน่งึ ซึง่ จะก่อเกิดประโยชน์
อย่างคณานับแก่พุทธบริษัทต่อไปจึงจะไถ่โทษนี้ได้” เม่ือได้นิมิตเช่นน้ันแล้ว
การด�ำริที่จะจัดงานสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษ ของท่านจึงมีความหมายอัน
ส�ำคญั ยงิ่ ในการจรรโลงพระพุทธศาสนา
ต่อมาวันหน่ึงเวลาใกล้ฟ้าสาง ท่านพ่อลีได้ตั้งจิตอธิษฐานในใจว่า
“ถ้าข้าพเจ้าจะท�ำการฉลองสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษ ณ วัดอโศการามให้
สำ� เรจ็ ดว้ ยดี ขอจงใหพ้ ระบรมสารรี กิ ธาตทุ มี่ อี ยใู่ นตวั นี้ จงบงั เกดิ มใี หค้ รบจำ� นวน
๘๐ องค์ เทา่ พระชนมายุขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจ้า” เมื่ออธิษฐาน
เสร็จก็เข้าท�ำสมาธิจนกระทั่งรุ่งเช้า เม่ือฉันภัตตาหารเรียบร้อยแล้วจึงได้
เปิดผอบดูปรากฏว่า มีพระบรมสารีริกธาตุเสด็จมาครบ ๘๐ องค์บริบูรณ์
เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นว่า ท่านพ่อลีเป็นพระสาวกที่มีบารมีเก่ียวเนื่องกับ
พระบรมธาตมุ าแต่อดีตชาติอย่างแนน่ อน
วัดอโศการาม 69
ï วางรากฐานพระธุตังคเจดียไ์ วก้ ่อนมรณภาพ
ใน พ.ศ. ๒๕๐๐ ท่านพ่อลไี ด้จัดงานฉลองสมโภช ๒๕ พุทธศตวรรษ
ทว่ี ดั อโศการาม เมอื่ จดั งานสมโภชสำ� เรจ็ ไปดว้ ยดี ทา่ นตง้ั วตั ถปุ ระสงคท์ จ่ี ะสรา้ ง
พระเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ บรรจุพระพุทธรูป บรรจุพระธรรม
อนั เป็นอรยิ สมบัติอันลำ้� ค่าไวเ้ ปน็ ท่ีระลึก
ใน พ.ศ. ๒๕๐๒ ได้มีการสร้างอุโบสถทางด้านทิศตะวันออก ท�ำให้
บรเิ วณทจ่ี ะสรา้ งพระเจดยี ์ มเี นอื้ ทนี่ อ้ ยลงไป ประจวบกบั นายกวเี หรยี นระวี และ
นางละเมียด ซ้ือท่ดี นิ ถวายวัดเพิม่ ขน้ึ
ใน พ.ศ. ๒๕๐๓ ท่านพอ่ ลีให้ยา้ ยรากฐานพระเจดียไ์ ปยงั บรเิ วณท่ีดนิ
แหง่ ใหมท่ างดา้ นทศิ ตะวนั ออกของอโุ บสถ และใหส้ รา้ งพระเจดยี ข์ นาดยอ่ มขนึ้
ซงึ่ เปน็ องคป์ ระธานแกนกลางของพระธตุ งั คเจดยี ์ ทา่ นไดบ้ รรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตุ
ทเี่ สดจ็ มาดว้ ยบญุ ญานภุ าพและแรงอธษิ ฐานของทา่ นไดส้ ำ� เรจ็ ตามความประสงค์
ก่อนทท่ี า่ นจะมรณภาพใน พ.ศ. ๒๕๐๔
จากนนั้ สมเดจ็ พระมหาวรี วงศ์ หรอื สมเดจ็ พระสงั ฆราช (จวน อฏุ €ฺ าย)ี
ได้ประกอบพิธวี างศิลาฤกษพ์ ระธุตังคเจดยี ์ เมื่อวันท่ี ๑๕ พฤศจิกายน พ.ศ.
๒๕๐๕ มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พล.ท. พงษ์ ปุณณกัณต์
เป็นประธานกรรมการก่อสร้างฝ่ายคฤหัสถ์ นายวัน แซ่ด่าน เป็นผู้รับเหมา
กอ่ สรา้ ง พรอ้ มคณะศษิ ยานศุ ษิ ยแ์ ละทายกทายกิ าผศู้ รทั ธารว่ มบรจิ าคเงนิ เพอื่
สร้างถวายทา่ นพอ่ ลี ธมมฺ ธโร โดยมีพระราชวรคณุ พระครสู วุ รรณธรรมโชติ
และพระครนู นั ทปญั ญาคณุ รว่ มดำ� เนนิ การกอ่ สรา้ งจนสำ� เรจ็ ลลุ ว่ งเมอื่ พ.ศ. ๒๕๐๙
โครงสรา้ งองคพ์ ระเจดยี เ์ ปน็ การก่อสร้างแบบกอ่ อิฐถอื ปนู ท�ำลกู กรง
โดยรอบท้ัง ๓ ช้ัน ก่อลกู กรงบนั ได ท�ำบวั ผนงั ฉาบปูนทเี่ สาเพดานใตพ้ ืน้ เจดยี ์
และบนั ไดปหู นิ ออ่ นสเี ทาขาวทง้ั หมด ๒๔ ขนั้ รวมทงั้ ตดิ ตง้ั โคมไฟ และสายลอ่ ฟา้
ทีพ่ ระเจดีย์องค์ประธาน
นวกะ ๖๔
ï ความหมายของพระธุตงั คเจดีย์
คำ� ว่า “พระธุตังคเจดยี ์” นี้ เปน็ ช่อื เจดีย์ทีท่ ่านพอ่ ลี ธมมฺ ธโร ตง้ั ขนึ้
เพอื่ ใหอ้ นชุ นไมล่ มื ธดุ งควตั ร ๑๓ ประการ อนั เปน็ ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ นการขดั เกลากเิ ลส
สถาปนกิ และคณะศิษยไ์ ดจ้ ดั สรา้ งขน้ึ ตามแบบที่ท่านพอ่ ลี ก�ำหนดไว้ มนี ัยยะ
แห่งธรรม ๑๑ ประการ คอื
๑. เปน็ พระเจดยี ห์ มู่ ๑๓ องคต์ ง้ั อยบู่ นพน้ื ทส่ี เ่ี หลย่ี ม เปน็ สญั ลกั ษณแ์ หง่
“ธุดงควัตร ๑๓ ขอ้ ” คือ
๑. ถอื ผา้ บังสุกลุ เป็นวตั ร
๒. ถือผ้าสามผนื เป็นวตั ร
๓. ถอื เทีย่ วบิณฑบาตเปน็ วตั ร
๔. ถอื การบณิ ฑบาตไปตามแถวเปน็ วตั ร
๕. ถอื ฉันอาสนะเดียว (ฉันมอ้ื เดยี ว) เปน็ วตั ร
๖. ถือฉนั ภาชนะอนั เดียว คือ ฉนั ในบาตรเปน็ วัตร
๗. ถือการไมร่ ับภตั ตาหารท่ีถวายภายหลงั เปน็ วัตร
๘. ถืออยปู่ ่าเป็นวตั ร
๙. ถืออยโู่ คนไม้เป็นวัตร
๑๐. ถอื อยู่ในท่ีแจ้งเป็นวตั ร
๑๑. ถอื อย่ปู า่ ชา้ เปน็ วตั ร
๑๒. ถือการอยเู่ สนาสนะท่ีเขาจัดใหเ้ ปน็ วตั ร
๑๓. ถอื การไมน่ อนเป็นวัตร
วดั อโศการาม 71
๒. ชนั้ บนตรงกลางเปน็ พระเจดยี อ์ งคใ์ หญซ่ งึ่ เปน็ องคป์ ระธาน มพี ระบรม
สารีริกธาตใุ นผอบทอง เงนิ นาค บรรจไุ ว้ หมายถงึ พระนิพพาน
๓. ล้อมรอบด้วยพระเจดีย์บริวาร ๓ ชั้น หมายถึง ญาณไตรปริวัฏ
(ภายในช้ัน ๒ ประดิษฐานพระอรหันตธาตุของพ่อแม่ครูอาจารย์องค์ส�ำคัญ
สายหลวงปมู่ ่ัน ภรู ิทตฺโต รวม ๒๘ องค์)
๔. พระเจดยี อ์ งคใ์ หญถ่ กู สรา้ งขนึ้ ครอบพระเจดยี อ์ งคเ์ ลก็ ทป่ี ระดษิ ฐาน
อยภู่ ายใน อนั เป็นใจกลางเจดีย์ หมายถงึ วมิ ตุ ติธรรมอนั เป็นธรรมลกึ ซึ้งบรรลุ
ได้ดว้ ยใจเพียงเท่าน้นั
นวกะ ๖๔
๕. เจดยี อ์ งคป์ ระธาน ๑ องค์ มเี จดยี บ์ รวิ าร ๑๒ องคล์ อ้ มรอบ อนั หมายถงึ
พทุ ธสาวกลอ้ มรอบเพอ่ื ฟงั ธรรมขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ อนั เปน็
ประดจุ ดาวลอ้ มเดอื น และทฐ่ี านพระเจดยี อ์ งคป์ ระธานมซี มุ้ สำ� หรบั ประดษิ ฐาน
พระพทุ ธรปู ประจ�ำทิศทั้ง ๔ ดังนี้
ทศิ เหนอื พระปางเปิดโลก (พระประจ�ำวนั พฤหัสบดี)
ทิศใต้ พระปางหา้ มญาติ (พระประจ�ำวนั จันทร์)
ทิศตะวันออก พระปางรำ� พงึ (พระประจ�ำวันศกุ ร)์
ทศิ ตะวนั ตก พระปางอมุ้ บาตร (พระประจำ� วนั พุธ)
วดั อโศการาม 73
๖. เจดียบ์ รวิ ารชัน้ ละ ๔ องค์ มคี วามหมายถึง อรยิ สัจ ๔ คอื ทุกข์
สมุทัย นิโรธ มรรค
๗. มฐี านจัตรุ ัส ๔ เหลี่ยม เปรยี บด้วยมหาสตปิ ฏั ฐาน ๔
๘. สูง ๒๕ เมตร หมายถึง สร้างเพ่ือร�ำลึกถึง ๒๕ พุทธศตวรรษ
(กงึ่ พทุ ธกาล)
๙. กว้าง ๔๐ เมตร หมายถึง กรรมฐาน ๔๐ ทัศ ประกอบด้วย
อนุสสติ ๑๐ อสภุ ะ ๑๐ กสิณ ๑๐ พรหมวหิ าร ๔ อรูปฌาณ ๔ ธาตุววตั ถาน
๑ อาหาเรปฏกิ ูลสญั ญา ๑
๑๐. เมอ่ื มองประสานตรง ๆ จะเหน็ พระเจดยี ใ์ นลกั ษณะล้อมวงเปน็ คู่
หมายถึง คแู่ หง่ พระธรรมวนิ ยั อนั เป็นหลกั ชยั ของพระพทุ ธศาสนา
๑๑. แต่ถ้านับเฉยี งจะไดพ้ ระเจดยี จ์ �ำนวน ๗ องค์ หมายถงึ โพชฌงค์
๗ ประการ คือ ๑. สติ ๒. ธัมมวิจยะ ๓. วริ ิยะ ๔. ปีติ ๕. ปัสสัทธิ ๖. สมาธิ
๗. อุเบกขา
นวกะ ๖๔
ปัจจบุ นั พระธตุ งั คเจดยี ไ์ ด้ปฏสิ ังขรณ์ขึน้ ใหมเ่ รมิ่ ต้ังแต่ พ.ศ. ๒๕๔๕
จนสำ� เรจ็ ลลุ ว่ งใน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดยมพี ระธรรมวสิ ทุ ธมิ งคล (หลวงตาพระมหาบวั
าณสมฺปนฺโน) เป็นผู้อุปถัมภ์การปฏิสังขรณ์ และได้มีการจัดงานฉลอง
พระธตุ งั คเจดียใ์ นงานครบรอบวนั มรณภาพปีที่ ๔๗ ของทา่ นพอ่ ลี เม่อื วนั ท่ี
๒๒ - ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑ โดย ศาสตราจารย์ ดร. สมเดจ็ พระเจา้ นอ้ งนางเธอ
เจา้ ฟา้ จฬุ าภรณวลยั ลกั ษณ์ อคั รราชกมุ ารี กรมพระศรสี วางควฒั น วรขตั ตยิ ราชนารี
ทรงเปน็ ประธานในการบรรจพุ ระบรมสารรี กิ ธาตใุ นพระเจดยี อ์ งคป์ ระธาน และ
พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว าณสมฺปนฺโน) เป็นผู้แสดง
พระธรรมเทศนา และรบั ผา้ ปา่ สงเคราะหโ์ ลก เมอ่ื วนั ที่ ๒๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๑
วัดอโศการาม 75
ศาลาหลวงพอ่ ทรงธรรม
ศาลาการเปรยี ญ หรอื ศาลาหลวงพอ่ ทรงธรรม สรา้ งขน้ึ เมอื่ พ.ศ. ๒๔๙๙
มขี นาดกวา้ ง ๒๔ เมตร ยาว ๒๕ เมตร สร้างข้นึ ในลักษณะเรือนทรงไทยพน้ื บ้าน
ภาคกลาง ไม่มีช่อฟ้าใบระกา หลังคามุงด้วยกระเบ้ืองเคลือบ ภายในศาลา
ประดษิ ฐาน “หลวงพอ่ ทรงธรรม” เปน็ พระประธานหลอ่ ดว้ ยทองเหลอื งปดิ ทอง
ปางมารวชิ ยั พทุ ธลกั ษณะแบบสโุ ขทยั มขี นาดหนา้ ตกั กวา้ ง ๔ ศอก นายธนบลู ย์
กมิ านนท์ สรา้ งถวายในราคา ๑๐๐,๕๐๐ บาท เดมิ เป็นสถานท่ีท�ำวตั รสวดมนต์
และอบรมสมาธิภาวนาของพระภกิ ษุสามเณร อุบาสก อบุ าสกิ า โดยมกี ารแสดง
พระธรรมเทศนาทกุ คนื รวมทงั้ ใชเ้ ปน็ สถานทฉ่ี นั ภตั ตาหารของพระภกิ ษสุ ามเณร
ทงั้ วดั และใชเ้ ปน็ ทป่ี ระดิษฐานสรีระทา่ นพอ่ ลีไวอ้ ีกด้วย
นวกะ ๖๔
ต่อมาศาลาหลังนี้มีสภาพทรุดโทรม ไม่สามารถปรับปรุงแก้ไขได้ จึงได้
ท�ำการร้ือถอนตัวอาคาร แต่ยังคงประดิษฐาน “หลวงพ่อทรงธรรม” ไว้ท่ีเดิม
และใน พ.ศ. ๒๕๓๕ ไดส้ รา้ งศาลาการเปรยี ญหลงั ใหม่ เปน็ ลกั ษณะทรงไทย ๒ ชนั้
ช้นั บนทำ� ดว้ ยไม้ สว่ นอาคารช้นั ล่างเปน็ คอนกรีตเสริมเหล็ก มมี ขุ ๓ มุข กว้าง
๒๕ เมตร ยาว ๓๕ เมตร สงู ๒๗.๕ เมตร การสร้างเสร็จส้นิ ใน พ.ศ. ๒๕๔๐
สิ้นคา่ ก่อสรา้ ง ๒๐,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ปจั จบุ นั ศาลาหลวงพอ่ ทรงธรรมใชเ้ ปน็ สถานทบี่ ำ� เพญ็ กศุ ลตามโอกาสตา่ ง ๆ
และเปน็ สถานทปี่ ฏบิ ตั ธิ รรมของพทุ ธศาสนกิ ชน โดยมกี ารแสดงพระธรรมเทศนา
จากพระเถระองคส์ ำ� คญั ทท่ี างวดั นมิ นตผ์ ลดั เปลย่ี นกนั มาแสดงธรรมทกุ วนั อาทติ ย์
วดั อโศการาม 77
อุโบสถ
อโุ บสถ กอ่ สรา้ งตามแบบของกรมศาสนา ตามแปลนของกรมศลิ ปากร
เมอ่ื วนั ท่ี ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๐๒ โดยมีผูว้ ่าราชการจังหวดั สมุทรปราการ
คือ นายนารถ มนตเสวี เป็นประธานในการก่อสร้าง ใช้งบประมาณในการ
ก่อสร้างประมาณ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท
ภายในอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปปางสมาธิ พุทธลักษณะแบบ
อินเดยี มีนามวา่ “หลวงพ่อศรีสมุทร” เปน็ พระพทุ ธรูปหลอ่ ด้วยทองเหลือง
ปิดทองทง้ั องค์ ขนาดหน้าตกั กว้าง ๓ ศอก ๑ คบื สรา้ งถวายโดยนายกวงฮ้ัว
แซเ่ หีย สว่ นอาคารอโุ บสถ มีความกว้าง ๑๐ เมตร ยาว ๑๖ เมตร หลังคา
ลดหลนั่ ๓ ชนั้ มปี ระตดู า้ นหนา้ ๒ บาน ประตดู า้ นหลงั ๒ บาน หนา้ ตา่ งซา้ ยขวา
ฝัง่ ละ ๕ ชอ่ ง
นวกะ ๖๔
ปัจจัยทใี่ ชก้ อ่ สรา้ งอุโบสถเป็นปจั จัยท่ีเหลือจากงานฉลองสมโภช ๒๕
พทุ ธศตวรรษ อุโบสถหลงั นี้สรา้ งเสร็จเมือ่ พ.ศ. ๒๕๐๓ ดงั น้นั ทา่ นพอ่ ลจี ึงได้
เปน็ ผู้จดั งานผกู พทั ธสีมาและฝงั ลกู นิมิตอุโบสถเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๒ กมุ ภาพนั ธ์
พ.ศ. ๒๕๐๓
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๓๒ พระเทพโมลีได้บรู ณะซอ่ มแซมอโุ บสถที่ชำ� รุด
ทรุดโทรมให้มีสภาพดีขึ้น โดยมีการบูรณะซ่อมแซมหน้าบันโบสถ์ทั้ง ๒ ด้าน
ซมุ้ ประตู และซมุ้ หนา้ ตา่ ง ซง่ึ มพี ระครสู วุ รรณธรรมโชติ พระครนู นั ทปญั ญาคณุ
และแมช่ ขี นั ทอง สายเจรญิ เปน็ ผดู้ แู ลดำ� เนนิ การจดั สรา้ ง ใชง้ บประมาณในการ
บรู ณะทัง้ ส้นิ ๔,๐๘๗,๕๕๙ บาท
วัดอโศการาม 79
วิหารสทุ ธิธรรมรงั สี
ใน พ.ศ. ๒๕๒๖ คณะสงฆ์มมี ติให้ดำ� เนนิ การกอ่ สร้างวหิ ารหลงั ใหม่
มพี ธิ ีวางศิลาฤกษแ์ ละตอกเสาเขม็ ในช่วง พ.ศ. ๒๕๒๗ ถงึ พ.ศ. ๒๕๓๐ ตอ่ มา
ไดม้ กี ารดดั แปลงจากแบบแปลนเดมิ ทเี่ สนอแบบโดย พล.อ.ท. ชู สทุ ธโชติ มาเปน็
แบบตึกจตุรมขุ ๓ ชนั้ กวา้ ง ๓๒ เมตร ยาว ๔๔ เมตร สงู ๔๘ เมตร หลงั คา
มุงกระเบ้ืองเคลือบ ยกยอดวิหารเป็นมณฑป ติดกระจกสีปิดทองค�ำบริสุทธ์ิ
เพอื่ ยกลวดลายใหเ้ ดน่ ชดั โดยพระชยั วฒั น์ ธปี ะนาวนิ สถาปนกิ เปน็ ผดู้ ดั แปลง
แก้ไขจากแบบแปลนเดิม ส้ินค่าก่อสร้างประมาณ ๒๕,๐๐๐,๐๐๐ บาท
คณะกรรมการได้จัดงานฉลองวิหารใหม่ ตรงกับงานบ�ำเพ็ญกุศลอุทิศถวาย
พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ ซ่ึงเป็นปีท่ี ๒๖ แห่งการมรณภาพของ
ทา่ นพอ่ ลี ธมฺมธโร
นวกะ ๖๔
ในการจดั งานคร้ังนน้ั สมเด็จพระกนษิ ฐาธริ าชเจา้ กรมสมเด็จพระเทพ
รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชด�ำเนินแทนพระองค์ในการ
ประกอบพธิ ีบรรจุพระบรมสารีรกิ ธาตุ ณ ยอดมณฑปวหิ ารหลงั ใหม่ เมอื่ วันที่
๒๖ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๐ เวลา ๑๕.๐๐ น.
ภายในพระวิหารท้งั ๓ ชั้น แบ่งประโยชน์ใชส้ อย ดงั นี้
ชั้นที่ ๑ (ทาน) ใชเ้ ป็นสถานทฉ่ี นั ภตั ตาหารของพระภกิ ษแุ ละสามเณร
ชั้นที่ ๒ (ศีล) ใช้เป็นสถานทบ่ี วชชีพราหมณ์ อบรมสมาธิภาวนาของ
อุบาสก อบุ าสกิ า
ทิศเหนือ เป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนท่านพ่อลีปางธุดงค์
พร้อมด้วยเคร่อื งอฐั บรขิ ารบางสว่ นทที่ า่ นเคยใช้ขณะทยี่ งั มีชวี ิตอยู่
ทศิ ใต้ เปน็ ทป่ี ระดษิ ฐานรปู เหมอื น พระอาจารยส์ งิ ห์ ขนตฺ ยาคโม
สมเด็จพระพทุ ธาจารย์ (โต พรฺ หมฺ รสํ )ี ทา่ นพ่อลี ธมมฺ ธโร และพระพทุ ธรปู
ปางตา่ ง ๆ รวมทงั้ เปน็ สถานทบี่ วชชพี ราหมณ์
วัดอโศการาม 81
ช้นั ที่ ๓ (ภาวนา) ใช้เปน็ สถานที่ทำ� วตั รสวดมนต์ อบรมสมาธิภาวนา
ของพระภิกษุสามเณร อบุ าสก อบุ าสกิ า
ทศิ ตะวนั ออก เปน็ ทปี่ ระดษิ ฐานพระประธาน คอื “พระพทุ ธชนิ ราชจำ� ลอง”
ทศิ เหนอื เปน็ ทปี่ ระดษิ ฐานสรรี สงั ขาร พระสทุ ธธิ รรมรงั สคี มั ภรี เมธาจารย์
(ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) ซึ่งบรรจุในหบี ทองพระราชทาน ต้งั อยู่บนแท่นประดบั มุก
อนั สวยงาม
ทศิ ใต้ เปน็ ทปี่ ระดษิ ฐานพระบรมสารรี กิ ธาตุ อฐั ธิ าตุ รวมถงึ รปู เหมอื นของ
พอ่ แม่ครอู าจารย์องคส์ �ำคัญ เชน่ พระอาจารยเ์ สาร์ กนฺตสีโล พระอาจารย์ม่ัน
ภรู ิทตโฺ ต หนุ่ ข้ีผ้งึ รูปเหมือนพระเทพโมลี ฯลฯ
นวกะ ๖๔
นอกจากนย้ี งั มจี ติ รกรรมฝาผนงั ทวี่ า่ ดว้ ยเรอื่ งพทุ ธประวตั ิ และประวตั ิ
ทา่ นพอ่ ลเี มอ่ื ครง้ั ทา่ นธดุ งคต์ ามสถานทต่ี า่ ง ๆ การสรา้ งวดั อโศการามและงาน
ฉลองสมโภชก่ึงพุทธกาล วิหารแห่งน้ีพระเทพโมลี(ส�ำรอง คุณวุฑฺโฒ)
เจา้ อาวาสรูปท่ี ๒ เป็นผู้อ�ำนวยการและควบคุมการกอ่ สร้าง โดยมแี มช่ ีขนั ทอง
สายเจริญ เป็นผู้มีบทบาทส�ำคัญในการจัดหาวัสดุก่อสร้าง มีนายช่างนาม
เจรญิ พร เป็นผู้รับเหมากอ่ สร้าง
วดั อโศการาม 83
วหิ ารหลวงพ่อเศยี ร
“หลวงพอ่ เศยี ร” เปน็ พระพทุ ธรปู เฉพาะสว่ นเศยี รทที่ า่ นพอ่ ลมี อบหมาย
ให้พระประยรู จิตฺตสนฺโต ปั้นขน้ึ เพื่อนำ� ไปประกอบกับองคพ์ ระซ่ึงได้จดั สรา้ งข้นึ
ที่วัดเวฬุวัน (วัดเขาจีนแล) จังหวัดลพบุรี เมื่อพระประยูรปั้นส่วนเศียรส�ำเร็จ
แลว้ ก็จะเคลอื่ นย้ายไปโดยใชร้ ถเครนยกขึน้ รถบรรทกุ แต่เกดิ ขดั ข้องนำ� ไปไมไ่ ด้
ทา่ นพอ่ ลจี งึ ปรารภวา่ “เมอ่ื หลวงพอ่ เศยี ร ตอ้ งการอยทู่ วี่ ดั อโศการามนี้ กใ็ หท้ า่ นอย”ู่
จงึ ไดจ้ ัดสร้างวหิ าร ไวเ้ ปน็ ทปี่ ระดิษฐานหลวงพอ่ เศยี รมาจวบจนปจั จบุ นั
วหิ ารหลวงพอ่ เศยี ร เปน็ อาคาร
คอนกรตี เสรมิ เหลก็ กวา้ ง ๔.๘ เมตร
ยาว ๖.๘ เมตร สรา้ งขน้ึ เพอื่ ประดษิ ฐาน
หลวงพ่อเศียรซึ่งเป็นพระพุทธรูปทม่ี ี
ความศกั ดสิ์ ทิ ธอิ์ งคห์ นง่ึ มพี ทุ ธบรษิ ทั
มาสกั การะกราบไหว้บชู าอยเู่ ปน็ นิจ
นวกะ ๖๔
อนสุ าวรยี ์พระเจา้ อโศกมหาราช
พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงเปน็ เอกอัครศาสนปู ถมั ภกท่ีส�ำคัญย่งิ ของ
พระพุทธศาสนา พระราชกรณียกิจส�ำคัญท่ีเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาใน
ประเทศไทยก็คือ การท่ีทรงส่งสมณทูตมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาท่ีดินแดน
สวุ รรณภมู ิ เปน็ ผลใหพ้ ระพทุ ธศาสนาธำ� รงตง้ั มน่ั ในดนิ แดนแหง่ นต้ี ลอดมาเปน็
เวลากว่าสองพันปี
ดงั นัน้ เมือ่ ทา่ นพ่อลีสร้างวดั ท่ชี ายทะเล ต�ำบลท้ายบา้ น อ�ำเภอเมือง
สมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงได้ต้ังชื่อวัดน้ีว่า
“วัดอโศการาม” อันเปน็ ช่อื เดียวกับอารามที่พระเจา้ อโศกมหาราชทรงสรา้ งไว้
ที่เมอื งปาฏลีบุตรซงึ่ เป็นราชธานีในสมัยของพระองค์
วดั อโศการาม 85
ตอ่ มาใน พ.ศ. ๒๕๓๘ คณะสงฆว์ ดั อโศการามพรอ้ มกบั คณะศษิ ยานศุ ษิ ย์
ของท่านพ่อลีมีความเห็นพ้องกันว่าสมควรจัดสร้างอนุสาวรีย์พระเจ้าอโศก
มหาราช ข้ึนใหม่ให้สมบูรณ์สง่างามเต็มองค์ เพื่อที่จะน�ำมาประดิษฐานไว้ท่ี
วัดอโศการาม โดยมีนายแพทยอ์ นวุ ัตร ผลบณุ ยรักษ์ เปน็ ผู้ดำ� เนนิ การ มพี ธิ ี
เททองหล่อพระบรมรูปในวันที่ ๒๕ เมษายน และอัญเชิญขึ้นประดิษฐานบน
พระแทน่ ในวันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๙ ทั้งน้มี ีวตั ถุประสงค์ คือ
๑. เพอื่ ประกาศพระเกยี รตคิ ณุ ของพระเจา้ อโศกมหาราชใหป้ รากฏเดน่ ชดั
และเปน็ การส�ำนึกในพระกรณุ าธิคุณท่ีมีตอ่ พระองค์
๒. เพอื่ สานตอ่ เจตนารมณข์ องทา่ นพอ่ ลี เดมิ ทา่ นไดส้ รา้ งพระรปู จำ� ลอง
ในลักษณะลอยตวั ครึ่งองค์ คณะศษิ ยานุศษิ ยจ์ งึ ได้สรา้ งอนุสาวรียใ์ นลกั ษณะ
ลอยตัวเตม็ องคป์ ระทบั นงั่ ขนาดใหญก่ วา่ องค์จรงิ ประมาณ ๒ เท่า
๓. เพื่อร่วมถวายพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติเน่ืองในมหามงคล
วโรกาสกาญจนาภิเษก ฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี แด่พระบาทสมเด็จ
พระบรมชนกาธเิ บศร มหาภมู พิ ลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพติ ร (รชั กาลท่ี ๙)
ï รายละเอียดอนุสาวรยี ์พระเจา้ อโศกมหาราช
พระเจ้าอโศกมหาราชมีรูปร่างสูงใหญ่ตามลักษณะชนชาติเชื้อสาย
อารยนั ลักษณะพระพักตร์ประมาณพระชนมายุ ๔๐-๔๕ พรรษา มโี หนกคิว้
เป็นสันนูน กล้ามเนื้อแข็งแรง ไว้พระมัสสุเพื่อให้มีความน่าเกรงขามประกอบ
ด้วยลักษณะของยอดนักรบ พระเนตรแสดงถึงพระอ�ำนาจอันน่าย�ำเกรง
แววพระเนตรเปย่ี มดว้ ย พระเมตตา สภาวะจติ สงบเยน็ จงึ ไมม่ ลี กั ษณะการขมวด
พระขนง พระโอษฐ์เมม้ เล็กน้อยแสดงถึงความตัง้ มั่น ไมห่ วัน่ ไหว
นอกจากนที้ รงสวมเกราะ และพระมาลาสำ� หรบั การสงคราม มลี กั ษณะ
เปน็ รปู นกยูงอันเป็นสญั ลักษณ์ของราชวงศโ์ มริยะ ซงึ่ เป็นราชวงศ์ของพระองค์
และการทพี่ ระองคเ์ ปน็ จอมจกั รพรรดริ าช ฉลองพระองค์ และเครอ่ื งประดบั ตา่ ง ๆ
จงึ โดดเดน่ กวา่ หมกู่ ษตั รยิ ท์ งั้ ปวง ฉลองพระองคป์ ระดบั ดว้ ยอญั มณลี ำ�้ คา่ และ
นวกะ ๖๔
เครอื่ งทองเครอ่ื งประดบั ดงั กลา่ วมลี วดลายงดงาม ลายเกราะรบ ลายฉลองพระองค์
ลายฉลองพระบาท และลายประดบั ตา่ ง ๆ ไดต้ น้ แบบจากลายประดบั บนเสาอโศก
และเสาประตทู ศี่ าญจีเจดยี ์ ประเทศอนิ เดีย
วัดอโศการาม 87
พระภษู าคลมุ ยาวลงมาตลอดพระปฤษฎางค์ ทรงพระสนบั เพลา สำ� หรบั
ฉลองพระบาททรงสวมบทู สงู เกอื บเตม็ พระชงฆ์ ทตี่ น้ พระพาหาและขอ้ พระหตั ถ์
ทรงสวมรัดพระกร พระบรมรูปนี้ประทับบนพระแท่น มีฐานทรงส่ีเหล่ียม
เฉยี งพระวรกายเล็กน้อย แสดงถึงความเปน็ ผู้ทรงพระราชอำ� นาจอันยงิ่ ใหญ่
รอบฐานพระแท่นทีป่ ระทับประกอบด้วยลวดลายแบบกรีก มรี ปู สิงโต
อา้ ปากคำ� รามกำ� ลงั กา้ วยา่ งไปขา้ งหนา้ ลกั ษณะสงิ โตเปน็ รปู ปน้ั นนู ตำ่� ตามแบบ
ศลิ ปะสมยั ราชวงศโ์ มรยิ ะ แสดงถงึ พระราชอำ� นาจทแี่ ผข่ ยาย ไปทว่ั ทงั้ ชมพทู วปี
และทวีปใกลเ้ คียง
พระหัตถ์ขวาทรงถือพระคัมภีร์พุทธธรรมอย่างสง่างาม ส่ือถึงความ
เป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกท่ีส�ำคัญย่ิงของพระพุทธศาสนา ผู้ทรงท�ำนุบ�ำรุง
คุ้มครอง และส่งเสริมการเผยแผ่พระพุทธศาสนา พระแสงดาบวางข้าง
พระวรกายเบ้อื งขวา สอ่ื ถึงพระราชอ�ำนาจของพระองค์ในการปกป้องคุ้มครอง
พระราชอาณาจักร และพระพุทธศาสนา
พระหตั ถซ์ า้ ยทรงกำ� แนน่ วางเหนอื พระชานเุ บอื้ งซา้ ย แสดงถงึ ปณธิ าน
อันมุ่งมั่นในการส่งเสริมอาณาประชาราษฎร์และประชาคมโลกให้ฝักใฝ่หลัก
ค�ำสอนแห่งพระพุทธศาสนา มีพระประสงค์จะให้ทุกคนมีความรู้ย่ิง เห็นจริง
และปฏบิ ตั ธิ รรมตามหลกั ธรรมคำ� สงั่ สอนของพระบรมศาสดาสมั มาสมั พทุ ธเจา้
อย่างเต็มความสามารถ เพื่อประโยชน์ในการด�ำเนินชีวิต สามารถใช้เป็นท่ีพ่ึง
สำ� หรับตนเองอย่างแท้จริง
หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปท์ คี่ น้ พบในยคุ สมยั นน้ั ไมไ่ ดร้ ะบลุ กั ษณะ
พระวรกายและเครื่องประดับต่าง ๆ ของพระเจ้าอโศกมหาราชอย่างชัดเจน
คณะผอู้ อกแบบจงึ ไดก้ ำ� หนดจากรปู สมมตแิ ละขอ้ มลู ตา่ ง ๆ โดยสรา้ งใหส้ อดคลอ้ ง
กับศลิ ปวัฒนธรรมและความเชอ่ื ตามทศั นะของผู้ทรงคณุ วุฒิในปจั จุบนั
นวกะ ๖๔
อนุสรณส์ ถานพระธรรมทตู
อนสุ รณส์ ถานพระธรรมทตู สรา้ งขน้ึ เพอ่ื เปน็ การเฉลมิ พระเกยี รติ เนอื่ ง
ในวโรกาสเฉลมิ พระชนมพรรษาครบ ๖ รอบ พระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธเิ บศร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ ๙) เพ่ือร�ำลึกถึง
คุณานุคุณของคณะพระธรรมทูต ซ่ึงมีพระโสณเถระและพระอุตตรเถระ
เป็นหัวหนา้ คณะเดินทางมาเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาในดินแดนสวุ รรณภูมิ
ในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช เม่ือพระองค์ทรงหันมาเล่ือมใส
พระพุทธศาสนา โดยถือพระรัตนตรัยเป็นสรณะแล้ว ทรงทราบถึงกติ ติศพั ท์
ของพระอปุ คปุ ตม์ หาเถระ ทที่ า่ นไดป้ ฏบิ ตั ชิ อบจนสามารถชนะกองกเิ ลสสำ� เรจ็
เป็นพระอรหันตขีณาสพ จึงทรงสั่งให้ราชบุรุษไปกราบอาราธนาพระอุปคุปต์
มายงั กรุงปาฏลบี ุตร เม่อื พระมหาเถระไดเ้ ดินทางมาถึงก็โปรดให้มกี ารต้อนรบั
และอปุ ฏั ฐากอย่างดีที่สุด
วัดอโศการาม 89
พระเจ้าอโศกมหาราชทรงศรัทธาเลื่อมใสพระอุปคุปต์เป็นอย่างมาก
ทรงถอื วา่ พระอปุ คปุ ต์ เปน็ พระศลี าจารยข์ องพระองค์ พระมหาเถระไดม้ โี อกาส
พาพระเจ้าอโศกมหาราช เสร็จออกจาริกแสวงบุญไปสักการะบูชายังสถานที่
ต่าง ๆ ทพ่ี ระผู้มีพระภาคเจ้าเคยเสด็จประทบั ไดท้ รงสรา้ งอนุสรณส์ ถานและ
หลกั ศลิ าจารกึ ทบี่ อกเลา่ ประวตั คิ วามเปน็ มาไวท้ กุ แหง่ เพอ่ื ใหอ้ นชุ นไดร้ ำ� ลกึ ถงึ
ตลอดมาจนกระท่งั ปจั จุบนั
พระพทุ ธศาสนาในรชั สมยั ของพระเจ้าอโศกมหาราช ได้แผ่ขยายออก
ไปอย่างกวา้ งขวางทัว่ พระราชอาณาจกั ร ศาสนสถาน ตลอดจนคณะสงฆไ์ ด้รบั
พระบรมราชูปถัมภ์จากพระองค์อย่างเต็มที่ ทั้งคหบดี และประชาชนทั่วไปก็
ทรงส่งเสริมทำ� นบุ ำ� รงุ ทำ� ใหเ้ รมิ่ มีนกั บวชอลชั ชี เดยี รถีย์ ปลอมปนเข้ามาบวช
ในพระพทุ ธศาสนาและประพฤตวิ ปิ รติ ผดิ จากหลกั พระธรรมวนิ ยั เปน็ จำ� นวนมาก
ส่งผลใหส้ งฆแ์ ตกแยกกัน
เมอ่ื พระเจา้ อโศกมหาราชทรงทราบกโ็ ปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระอปุ คปุ ตม์ หาเถระ
จดั ตติยสังคายนาทวี่ ัดอโศการาม ณ กรุงปาฏลีบุตร
เมอ่ื ทำ� สงั คายนา สำ� เรจ็ จนเกดิ ค วามสามคั คใี นคณะสงฆด์ แี ลว้ พระเจา้
อโศกมหาราชก็ทรงจัดส่งคณะธรรมทูตไปประกาศพระพุทธศาสนายังนานา
ประเทศ โดยในดินแดนสุวรรณภูมิมีพระโสณเถระและพระอุตตรเถระเป็น
หวั หนา้ คณะ ไดน้ ำ� พระพทุ ธศาสนาประดษิ ฐานเปน็ ครงั้ แรก ผลของการประกาศ
พระพุทธศาสนาในคร้ังน้ัน ท�ำให้พระพุทธศาสนาในประเทศไทยเจริญรุ่งเรือง
สบื มาตราบจนทุกวนั นี้
นวกะ ๖๔
มณฑปพระธรรมจกั รวัฒนา
(๙๐ ปี พระพทุ ธสิ ารเถร)
มณฑปพระธรรมจักรวัฒนา มีวัตถุประสงค์การสร้างเพ่ือครอบรอย
พระพทุ ธบาทจำ� ลองซง่ึ ไดร้ บั การถวายจากตระกลู จริ ายกุ ลู โดยมพี ระพทุ ธสิ ารเถร
(หลวงปบู่ ญุ กู้ อนวุ ฑฒฺ โน) ประธานสงฆว์ ดั อโศการาม พระอาจารยม์ หาสามเรอื น
ปญุ ฺเสโก เจา้ อาวาสวดั อโศการาม รวมทั้งบรรพชิตและฆราวาส ประกอบพิธี
วางศลิ าฤกษ์เป็นอนสุ รณ์ในการกอ่ สรา้ งมณฑป เมือ่ วันเสารท์ ่ี ๒ ธนั วาคม พ.ศ.
๒๕๖๐ เวลา ๑๓.๕๙ น.
วดั อโศการาม 91
นวกะ ๖๔
ภาพกจิ กรรม
วัดอโศการาม 93
ขอ้ วัตรปฏบิ ตั ิของพระภิกษุ-สามเณรนวกะ ปี ๒๕๖๔
สำ�นักวัดอโศการาม จังหวดั สมุทรปราการ
กจิ วัตรประจำ�วนั ของพระนวกะ
๐๗.๐๐ น. ออกบิณฑบาต
๐๗.๒๐ น. ฉนั ภตั ตาหาร
๐๙.๑๕ น. ทำ� วตั รเช้า
๑๐.๐๐ – ๑๒.๐๐ น. เรยี นนกั ธรรมชั้นตรี
๑๓.๐๐ น. กิจกรรมกล่มุ / กิจกรรมรวมหมู่คณะ
๑๖.๐๐ น. ทำ� วัตรเย็น
๑๗.๐๐ น. ท�ำขอ้ วตั ร
๒๐.๐๐ – ๒๒.๐๐ น. - สวดมนตถ์ วายท่านพ่อลี ธมฺมธโร
- ฟงั พระธรรมเทศนา
- ทำ� สมาธิเจริญจติ ตภาวนา
วนั กอ่ นวนั พระ วนั พระ และหลงั วนั พระ มกี ารแสดงพระธรรมเทศนา
เวลา ๑๕.๐๐ น. จากน้นั ทำ� วตั รเย็นตอ่ เวลา ๑๗.๐๐ น.
ในคนื วนั พระตลอดพรรษา ตัง้ แตเ่ วลา ๒๒.๐๐-๐๔.๐๐ น.
ถือธดุ งควตั ร “เนสชั ชกิ ”
กจิ กรรมพิเศษของพระนวกะ
๑. โครงการอนุสรณ์สถาน “นวกะ ๖๔” จัดสร้างก�ำแพงหน้าวัด
ฝัง่ กฏุ ิรับรองพระเถระ ความยาว ๓๗ เมตร
๒. สวดแจงถวายท่านพอ่ ลี ธมฺมธโร เมื่อวนั ที่ ๒๕ กนั ยายน ๒๕๖๔
ณ วหิ ารสุทธิธรรมรังสี ชนั้ ๓
๓. จดั ท�ำหนังสอื อนสุ รณ์ “นวกะ ๖๔”
๔. ถวายภตั ตาหารพระภิกษุ-สามเณรทง้ั วดั เม่อื วนั ท่ี ๑๕ กนั ยายน
๒๕๖๔ ณ วิหารสุทธิธรรมรงั สี ช้นั ๑
นวกะ ๖๔
ทำ�วัตร สวดมนต์
วัดอโศการาม 95
สวดแจงถวายทา่ นพอ่ ลี
นวกะ ๖๔