เอกสารประกอบการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ สภาวะสำนึกแห่งตัวตน state of consciousness นายภาณุพล เผือกขจร ศิลปนิพนธ์ฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาตามหลักสูตรครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาศิลปศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ปีการศึกษา 2564
ก หัวข้อศิลปนิพนธ์ สภาวะสำนึกแห่งตัวตน state of consciousness ชื่อ-สกุล นายภาณุพล เผือกขจร ประเภทผลงาน จิตรกรรม 2 มิติ รูปแบบศิลปะสัญลักษณ์นิยม (Symbolism in arts) สาขาวิชา ศิลปศึกษา อาจารย์ที่ปรึกษา ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุริวัลย์ สุธรรม ปีการศึกษา 2564 บทคัดย่อ ศิลปนิพนธ์เรื่อง “สภาวะสำนึกแห่งตัวตน” ในชุดนี้ เป็นการแสดงออกถึงเรื่องราว เกี่ยวกับ การใคร่ครวญถึงปัจจัยของโลกภายนอก และการดำรงอยู่ของโลกภายใน (จิต) เพื่อทำความเข้าใจกระบวนการดำรงชีวิต ในยุคสมัยที่มนุษย์ถูกแรงเหวี่ยงของภาวะความ ตึงเครียด เหวี่ยงเราให้ไกลไปจากตัวตนของตนเอง นำมาซึ่งความทุกข์และความมืดบอด ทางปัญญา โดยเป็นการสร้างความสมดุลยภาพชีวิตขึ้นจากจินตภาพแห่งชีวิต เปรียบคล้าย ดังกับการตั้งคำถาม ความหมายของการดำรงชีวิต ที่เหมือนบทสนทนาและเพื่อถามหา ความสมดุลระหว่างโลกภายนอกกับโลกภายใน
ข กิตติกรรมประกาศ ข้าพเจ้าขอกราบขอบพระคุณ บิดา มารดา ผู้เป็นบุพการี ที่คอยอบรมสั่งสอนให้ ข้าพเจ้าเป็นคนดี ซื่อสัตย์ มีความรับผิดชอบ ช่วยส่งเสริมและสนับสนุนให้รักในศิลปะและ เป็นครูคนแรกในชีวิต รวมทั้งการส่งเสียเงินในการศึกษาเล่าเรียน และคอยเป็นกำลังใจให้ ข้าพเจ้ามาโดยตลอด ขอกราบขอบพระคุณอาจารย์ที่ปรึกษาโครงการศิลปนิพนธ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สุริวัลย์ สุธรรม ผู้ช่วยศาสตราจารย์พีรนันท์ จันทมาศ ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุเมธ พัด เอี่ยม และคณาจารย์ทุกท่านในสาขาวิชาศิลปศึกษา ที่เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ ให้ความช่วยเหลือ ชี้นำแนวทาง อบรมสั่งสอน ให้ข้าพเจ้าได้รับความรู้ความเข้าใจ คอย ปลูกฝังให้ข้าพเจ้ามีใจรักในศิลปะและซื่อสัตย์ในการสร้างงานศิลปะของตนเอง คอย แนะนำแนวทางการสร้างสรรค์ กรอบแนวคิดแก่งานศิลปะและมอบทักษะและวิธีการ ทางด้านศิลปะเพื่อใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน ไปจนถึงแนวทางและแรงบันดาลใจที่ดีใน การใช้ชีวิตอย่างที่มหาลัยอย่างสุดซึ้ง ขอขอบคุณ พี่ น้อง และพ้องเพื่อน สาขาศิลปศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ที่คอยให้คำแนะนำ เป็นกำลังใจ และช่วยเหลือแก่ข้าพเจ้า มาโดยตลอด
ค สารบัญ หน้า บทคัดย่อ...................................................................................................... ก กิตติกรรมประกาศ........................................................................................ ข สารบัญ........................................................................................................ ค สารบัญตาราง.............................................................................................. จ สารบัญภาพ................................................................................................. ฉ บทที่ 1 บทนำ.............................................................................................. ความสำคัญของเรื่องที่นำมาสร้างสรรค์.................................................. 1 วัตถุประสงค์ของการสร้างสรรค์.............................................................. 2 แนวความคิดในการสร้างสรรค์................................................................ 2 ขอบเขตของการสร้างสรรค์..................................................................... 3 แหล่งข้อมูลและอุปกรณ์ในการค้นคว้า.................................................... 3 ประโยชน์ที่ได้รับจากการสร้างสรรค์........................................................ 4 บทที่ 2 อิทธิพลและแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวกับการสร้างสรรค์........................... พื้นฐานความคิดและอิทธิพลในการสร้างสรรค์......................................... 5 ศึกษาและสำรวจสภาวะและอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนในสังคมและ ข้าพเจ้า………………………………………………………………………………………… 5 ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีมายาคติ (Mythology)…………………………………….. 6 ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis Theory)…………… 7 ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีสัญญวิทยาและการสร้างความหมาย (Semiology and Signification)…………………………………………………… 9 ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีสัญลักษณ์นิยม (Symbolism in arts)………………… 9 ศึกษาศิลปะรูปแบบศิลปะเรียลลิสม์ (Realism)…………………………………… 10
ง สารบัญ (ต่อ) หน้า ศึกษาศิลปะรูปแบบศิลปะแบบเซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism)……………. 11 ศึกษาแนวคิดและเทคนิควิธีการสร้างสรรค์งานของศิลปิน………………… 12 บทที่ 3 กระบวนการสร้างสรรค์ผลงาน.......................................................... ขั้นตอนการศึกษาข้อมูล......................................................................... 21 ขั้นตอนรวบรวมข้อมูลและประมวลความคิด......................................... 22 ขั้นตอนการสร้างภาพต้นแบบ................................................................ 22 ขั้นตอนการสร้างสรรค์ผลงาน................................................................ 26 บทที่ 4 วิเคราะห์ผลงานสร้างสรรค์................................................................ ผลงานช่วงก่อนศิลปนิพนธ์….................................................................. 32 ผลงานช่วงศิลปนิพนธ์............................................................................ 38 การวิเคราะห์แนวความคิด เนื้อหา เทคนิควิธีการ.................................. 38 การวิเคราะห์ทฤษฎีสัญญวิทยาและมายาคติ……………………………………. 42 การวิเคราะห์ตามหลักการองค์ประกอบศิลป์......................................... 46 การวิเคราะห์ผลงานศิลปนิพนธ์ ชิ้นที่ 1.................................... 46 การวิเคราะห์ผลงานศิลปนิพนธ์ ชิ้นที่ 2..................................... 54 การวิเคราะห์ผลงานศิลปนิพนธ์ ชิ้นที่ 3.................................... 62 บทที่ 5 บทสรุป............................................................................................... สรุปผลการสร้างสรรค์........................................................................... 70 บรรณานุกรม..................................................................................................... 72 ประวัติผู้สร้างสรรค์............................................................................................ 73
จ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า 1 ตารางการวิเคราะห์ผลงานที่อิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ผลงาน………….. 20 2 การวิเคราะห์ความหมายด้วยทฤษฎีสัญญวิทยาและมายาคติชิ้นที่ 1….. 43 3 การวิเคราะห์ความหมายด้วยทฤษฎีสัญญวิทยาและมายาคติชิ้นที่ 2….. 44 4 การวิเคราะห์ความหมายด้วยทฤษฎีสัญญวิทยาและมายาคติชิ้นที่ 3….. 45
ฉ สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 1 René Magritte…………………………………………………………………………. 12 2 ภาพผบงาน The False Mirror…………………………………………………… 13 3 ภาพผลงาน The Castle in the Pyrenees…………………………………. 14 4 ภาพผลงาน The Son of Man (1964)………………………………………… 15 5 ผลงานชุด “บทสนทนาแห่งการรื้อฟื้น” ขนาด 150 X 160 cm………. 16 6 ผลงานชุด “บทสนทนาแห่งการรื้อฟื้น” ขนาด 170 X 220 cm………. 17 7 “Tempest” 100 X 120 cm. Oil on canvas. 2019………………….. 18 8 “Nepenthes” 80 X 130 cm. Oil on canvas. 2019………………… 19 9 ภาพร่างต้นแบบ (Sketch) และภาพถ่ายต้นแบบ…………………………… 23 10 ภาพถ่ายต้นแบบของผลงานชื่อ “ ใคร่ครวญ ”……………………………… 24 11 ภาพถ่ายต้นแบบของผลงานชื่อ “ไหลเวียน”…………………………………. 25 12 ภาพถ่ายต้นแบบของผลงานชื่อ “รับรู้”………………………………………… 25 13 ขั้นตอนการขึงเฟรมผ้าใบ……………………………………………………………. 27 14 ขั้นตอนการร่างภาพ จากภาพฉาย (Projector) และลงน้ำหนักไปพร้อม กัน…………………………………………………………………………………………… 27 15 จัดเตรียมอุปกรณ์ พู่กัน สีน้ำมัน และอื่น ๆ…………………………………… 28 16 ลงสีพื้นหลังและทำการ (underpainting) โดยใช้สีจริงเป็นสีชั้นที่ 1… 29 17 ขั้นระบายสีชั้นที่ 1 ทั้งภาพ…………………………………………………………. 29 18 ขั้นระบายสีชั้นที่ 2 โดยการทำสีผิวคน จากการเคลือบ (Glazing)……. 30 19 ลงน้ำหนักโดยรวมและรายละเอียด เสื้อ ใบไม้ ดอกไม้………………….. 30 20 ขั้นระบายสีชั้นที่ 3 เก็บแสงเงา (Highlight) ให้ภาพสมบูรณ์…………… 31 21 ขั้นตอนสุดท้าย เคลือบภาพ โดยใช้วิธีการ (Glazing) บาง ๆ…………… 31 22 ผลงานก่อนศิลปนิพนธ์ “หมอกสมอง”…………………………………………. 33
ช สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า 22 ผลงานก่อนศิลปนิพนธ์ “เงียบ”………………………………………………….. 34 23 ผลงานก่อนศิลปนิพนธ์ “ปล่อย”………………………………………………… 35 24 ผลงานก่อนศิลปนิพนธ์ “รองรับ”……………………………………………….. 36 25 ผลงานศิลปนิพนธ์ “ใคร่ครวญ” Oil on canvas, 140 X 100 cm., 2022……………………………………………………………………………………… 39 26 ผลงานศิลปนิพนธ์ “ไหลเวียน” Oil on canvas, 135 X 90 cm. , 2022……………………………………………………………………………………… 40 27 ผลงานศิลปนิพนธ์ “รับรู้” Oil on canvas, 140 X 100 cm. , 2022…………………………………………………………………………………….... 41 28 ผลงานศิลปนิพนธ์“ใคร่ครวญ”…………………………………………………. 43 29 ผลงานศิลปนิพนธ์“ไหลเวียน”………………………………………………….. 44 30 ผลงานศิลปนิพนธ์“รับรู้”……………………………………………………….... 45 31 การวิเคราะห์ผลงานตามหลักการองค์ประกอบศิลป์ ชิ้นที่ 1 “ ใคร่ครวญ”.………………………………………………………………………….. 46 32 ทิศทางการเคลื่อนไหวของเส้นที่มีอยู่ในผลงาน…………………………….. 47 33 ภาพหลักการใช้ทฤษฎีสี โทนร้อนและโทนเย็น……………………………… 48 34 การวิเคราะห์น้ำหนักและรูปทรงในผลงาน…………………………………… 49 35 ภาพแสดงพื้นที่ว่างในผลงาน……………………………………………………… 50 36 พื้นผิวภายในผลงาน………………………………………………………………….. 51 37 ความเป็นเด่นและเอกภาพในผลงาน…………………………………………… 52 38 ความสมดุลของผลงาน……………………………………………………………… 53 39 การวิเคราะห์ผลงานตามหลักการองค์ประกอบศิลป์ ชิ้นที่ 2 “ไหลเวียน”……………………………………………………………………………… 54
ซ สารบัญภาพ (ต่อ) ภาพที่ หน้า 40 ทิศทางการเคลื่อนไหวของเส้นที่มีอยู่ในผลงาน……………………………….. 55 41 ภาพหลักการใช้ทฤษฎีสี โทนร้อนและโทนเย็น……………………………….. 56 42 การวิเคราะห์น้ำหนักและรูปทรงในผลงาน……………………………………… 57 43 ภาพแสดงพื้นที่ว่างในผลงาน………………………………………………………… 58 44 พื้นผิวในผลงาน เช่น ผิวมนุษย์ เสื้อผ้า น้ำ ดอกบัว…………………………. 59 45 ความเป็นเด่นและเอกภาพในผลงาน……………………………………………… 60 46 ความสมดุลของผลงาน………………………………………………………………… 61 47 การวิเคราะห์ผลงานตามหลักการองค์ประกอบศิลป์ ชิ้นที่ 3 “รับรู้”………………………………………………………………………………………. 62 48 ทิศทางการเคลื่อนไหวของเส้นที่มีอยู่ในผลงาน……………………………….. 63 49 ภาพหลักการใช้ทฤษฎีสี โทนร้อนและโทนเย็น……………………………….. 64 50 การวิเคราะห์น้ำหนักและรูปทรงในผลงาน……………………………………… 65 51 ภาพแสดงพื้นที่ว่างในผลงาน………………………………………………………… 66 52 พื้นผิวในผลงาน เช่น ผิวมนุษย์ เสื้อ ใบไม้ ดอกบัว………………………….. 67 53 ความเป็นเด่นและเอกภาพในผลงาน……………………………………………… 68 54 ความสมดุลของผลงาน………………………………………………………………… 69
บทที่ 1 บทนำ ที่มาและความสำคัญของการสร้างสรรค์ สังคมไทยในปัจจุบันได้เปลี่ยนไปจากที่เคยอยู่อย่างสงบ พอเพียง ยึดวิถีทางแห่ง ความเป็นผู้สันโดษ หรือการพอใจในสิ่งที่ตนมีถูกแทนที่ด้วยความต้องการและความวุ่นวาย ที่แสวงหาวัตถุและการแข่งขัน คือ “จุดเปลี่ยนสำคัญ” จึงก่อให้เกิดปัญหาสังคมตามมา มากมาย ซึ่งการขัดเกลาละทิ้งความวุ่นวายเหล่านั้นสามารถนำพาสู่พื้นที่ความสงบและจุด ที่เงียบผ่านการทำความเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกที่มากขึ้น “สภาวะอารมณ์” เป็นความรู้สึก ที่เกิดขึ้นกับตัวบุคคลทั่วไปและเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ในแต่ละห้วงเวลารวมทั้งสภาวะที่ เป็นบวกและสภาวะที่เป็นลบ แสดงออกมาในรูปแบบต่าง ๆ ในสภาวะรู้จิตสำนึกที่รับรู้ได้ จากพฤติกรรมกึ่งจิตสำนึกที่รับรู้ได้ด้วยตัวเอง หรือ สภาวะจิตใต้สำนึกที่อยู่เบื้องลึกของ จิตใจ เช่น มีความทุกข์ เครียด ฝังใจ เหงา เศร้า ดิ่ง เสียใจ ดีใจ มีความสุข และความเงียบ ก็ล้วนแต่เป็นเป็นสภาวะอารมณ์ของมนุษย์ที่ต้องเกิดขึ้นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจและเรียนรู้ตามธรรมชาติ(สัจธรรม) ของพฤติกรรมการ แสดงออกด้านสภาวะอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์หมายรวมถึงตัวข้าพเจ้าเช่นกัน “สภาวะอารมณ์ความเงียบ” คือ สิ่งที่ไร้เสียงจากภายนอก แต่ไม่ไร้เสียงจากภายใน โดยการหยุดเสียงที่คอยรบกวนจิตใจ ซึ่งเป็นประตูบานแรกสู่ความสงบ สันติซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของสภาวะอารมณ์ภายใน (จิตใต้สำนึก) ที่มีแหล่งที่มาจากความรู้สึกต่าง ๆ เป็น สภาวะหนึ่งของอารมณ์ที่นำพาความรู้สึกไปอยู่ในจุดที่สงบภายในจิตใจ จากการทำความ เข้าใจและเรียนรู้เพื่อขจัดขัดเกลาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ภายในจิตใจ การสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมภายใต้หัวข้อ “สภาวะสำนึกแห่งตัวตน” ผ่าน ภาษาภาพ ด้วยหลักคิดทฤษฎี สัญญวิทยา และมายาคติ โดยได้รับอิทธิพลมาจากกลุ่ม แนวคิดทางศิลปะของลัทธิศิลปะเซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism) และลัทธิสัญลักษณ์นิยม (Symbolism in arts) ซึ่งได้แรงบาลใจมาจากศิลปินเรอเน ฟร็องซัว กีแลน มากริต (René François Ghislain Magritte) ศิลปินสัญชาติเบลเยี่ยม มีชื่อเสียงจากการวาดภาพที่
2 ดูเหนือจริง ชวนกระตุ้นให้คิดและท้าทายต่อผู้ที่ถูกความเป็นจริง ตีกรอบความคิดจากสิ่งที่ เห็นและความเป็นจริงทางโลก ผลงานสร้างสรรค์ชุดนี้ มีที่มาจากความสนใจสภาวะอารมณ์ภายใน (จิตใต้สำนึก) และกระบวนการคิดและประกอบสร้างของศิลปะเซอร์เรียลลิสม์ในข้างต้น ซึ่งข้าพเจ้าได้ สร้างสรรค์งานจิตรกรรมสีน้ำมันการแทนค่า “สัญญะ” จากวัตถุสิ่งของที่มีความหมาย อย่างมากต่อความรู้สึกนึกคิดของผู้สร้างสรรค์ด้านอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นนามธรรม และรูปธรรม (สัญลักษณ์) ให้เกิดภาษาภาพในแต่ละบริบทของช่วงเวลาที่เกิดขึ้นในด้าน สภาวะอารมณ์ทั้งสัญญะการแทนค่าความหมายตามทัศนะของข้าพเจ้า ความเงียบสงบ (ดอกบัว) ความร้อน (ไฟ) และความเย็น (น้ำ) ที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ ภายใต้หัวข้อ “สภาวะสำนึกแห่งตัวตน” วัตถุประสงค์ในการสร้างสรรค์ 1. เพื่อศึกษาสภาวะอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด และสัญลักษณ์ในงานทัศนศิลป์ 2. เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดในเชิงสัญญะ ผ่านภาษาจิตรกรรม 2 มิติ ในรูปแบบ สัญลักษณ์นิยม (Symbolism) แนวความคิดในการสร้างสรรค์ การสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม 2 มิติ ชุด “สภาวะสำนึกแห่งตัวตน” นั้น เกิดจาก ปัจจัยภายในนอกและภายนอก ทั้งเรื่องงาน ความขัดแย้ง ความสัมพันธ์ ความเคลียดและ ความวิตกกังวล ทำให้เคมีในสมองไม่สมดุล กลายเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย โดยข้าพเจ้าสะท้อนออกทางด้านพฤติกรรมมนุษย์ในเชิงสัญญะ โดยการใช้ตนเองเป็น “ภาพแทน” บุคคลที่ถูกรายล้อมด้วยสภาวะทางความรู้สึกนึกคิด ภาพสัญลักษณ์ของ “ดอกบัว - น้ำ – ไฟ” ซึ่งนำมาสู่การสร้างผลงานจิตรกรรม ที่นำเสนอพื้นที่ความเงียบสงบ และปล่อยวาง คล้ายกับการทำความเข้าใจตนเอง เพื่อขจัดขัดเกลาสิ่งที่รบกวนจิตใจจาก ภาวะภายนอกสู่ใน และวิธีการสื่อความหมายผ่านสัญญะอย่างมีนัยยะสำคัญด้วยท่าทางใน บริบทนั้น
3 ขอบเขตในการสร้างสรรค์ ขอบเขตด้านเนื้อหา ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis Theory) เกี่ยวกับสภาวะอารมณ์ความเงียบ ที่เกิดมาจากความเครียด วุ่นวาย นำมาซึ่งการแสวงหาความสงบ ขอบเขตด้านรูปแบบ - ศิลปะเรียลลิสม์ (Realism) - ศิลปะเซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism) - ศิลปะสัญลักษณ์นิยม (Symbolism) ขอบเขตด้านเทคนิค สีน้ำมันบนผ้าใบ แหล่งข้อมูลในการสร้างสรรค์ 1. สภาวะอารมณ์ความรู้สึกที่มาจากการสำรวจตรวจสอบและทำความเข้าใจ 2. สืบค้นข้อมูลสัญญะความหมายของวัตถุตามเว็ปไซต์ที่หลากหลายเพื่อต่อยอด แนวความคิด 3. ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับลัทธิและศิลปินต้นแบบและนำมาประยุกต์ใช้ในการ สร้างสรรค์ผลงาน อุปกรณ์ที่ใช้ในการสร้างสรรค์ 1. โทรศัพท์ 2. กล้องถ่ายภาพ 3. เฟรมผ้าใบ 4. สีน้ำมัน 5. พู่กัน 6. ดินสอสี
4 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการสร้างสรรค์ 1. เทคนิควิธีการสร้างสรรค์งานในแนวทางเฉพาะตน 2. กระบวนการความคิดที่ได้จากการค้นคว้าแง่คิดของมุมมองความรู้สึกและ ความหมายของสัญญะ ที่ได้ศึกษาจากสิ่งที่มีแนวคิดให้แก่ผลงาน
บทที่ 2 พื้นฐานความคิดและอิทธิพลในการสร้างสรรค์ พื้นฐานความคิดและอิทธิพลในการสร้างสรรค์ ศึกษาและสำรวจสภาวะและอารมณ์ความรู้สึกของผู้คนในสังคมและข้าพเจ้า “อารมณ์” หมายถึง ประสบการณ์ในความรู้สำนึกและอัตวิสัยที่ถูกกำหนดลักษณะเฉพาะ โดยการแสดงออกทางจิต และสภาพจิตใจ อารมณ์มักจะเกี่ยวข้องและถูกจัดว่ามีอิทธิพล ซึ่งกันและกันกับพื้นอารมณ์ พื้นอารมณ์แต่กำเนิด บุคลิกภาพ นิสัย และแรงจูงใจ เช่นเดียวกับที่ได้รับอิทธิพลจากฮอร์โมนและสารสื่อประสาท อาทิ โดพามีน อารมณ์มักเป็น พลังขับดันเบื้องหลังพฤติกรรมไม่ว่าเชิงบวกหรือเชิงลบ อารมณ์มีความเชื่อมโยงอย่าง ใกล้ชิดกับภาวะกระตุ้นของระบบประสาท ด้วยสถานะและความแรงของการกระตุ้นที่ หลากหลายซึ่งเกี่ยวเนื่องกับอารมณ์เฉพาะอย่างโดยชัดเจน ถึงแม้ว่าการแสดงออกด้วย อารมณ์อาจดูเหมือนว่าเป็นการกระทำโดยไม่ต้องใช้ความคิด แต่มุมมองที่สำคัญของ อารมณ์ก็คือการรับรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตีความหมายของสิ่งที่เกิด ตัวอย่างเช่น เมื่อ เกิดการข่มขู่คุกคาม ประสบการณ์แห่งความกลัวจะบังเกิดโดยปกติ การรับรู้ถึงภัยอันตราย และภาวะกระตุ้นของระบบประสาทที่ตามมา (เช่นชีพจรเต้นเร็ว หายใจเร็ว เหงื่อออก กล้ามเนื้อหดเกร็ง) คือองค์ประกอบโดยรวมที่นำไปสู่การตีความหมายและการระบุว่าภาวะ กระตุ้นเป็นสถานะอารมณ์ อารมณ์ก็มีความเชื่อมโยงกับแนวโน้มของพฤติกรรม (เทพ สงวนกิตติพันธุ์. 2562.) การสำรวจว่าสถานะทางอารมณ์เป็นอย่างไร นั้นเพื่อให้เกิดความเข้าใจใน พฤติกรรมของตัวบุคคลเช่นกัน นำมาซึ่งการสร้างกระบวนการทางแนวความคิดในการ สร้างสรรค์งานทัศนศิลป์
6 ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีมายาคติ (Mythology) ของโรล็องด์ บาร์ตส์ (Roland Barthes) “มายาคติ” ได้แก่ วัฒนธรรม ธรรมชาติและการเสกสรรปั้นแต่ง ดังนั้นมายาคติ (Myth) จึงหมายถึง การสื่อความหมายด้วยคติความเชื่อทางวัฒนธรรมซึ่งถูกกลบเกลื่อนให้ เป็นที่รับรู้เสมือนว่าเป็นธรรมชาติหน่วยสื่อความหมายแต่ละหน่วยมิได้มีตัวตนอยู่ได้โดย ลำพังโดด ๆ แต่อาศัยความสัมพันธ์โยงใยระหว่างกันซึ่งประกอบเป็น โครงสร้างขององค์ รวม จึงทำให้แต่ละหน่วยมีค่าสื่อความหมายขึ้นมาได้ ดังนั้นกระบวนการสื่อความหมายจึง อิงอยู่กับเครือข่ายความสัมพันธ์กันเองของหน่วยทั้งหมด ตามหลักการพื้นฐานของสัญญะ วิทยา มายาคติมีลักษณะเหมือนภาษาหรือกระบวนการสื่อความหมายประเภทอื่น ๆ เช่น สัญญาณจราจร กล่าวคือสิ่งเหล่านี้ทำหน้าที่ของมันโดยอาศัยหน่วยสื่อความหมาย ซึ่งใน ภาษาวิชาการเรียกว่า สัญญะ (Sign) สัญญะประกอบขึ้นด้วยสิ่งที่รับรู้ได้ด้วยประสาท สัมผัส กับสิ่งที่เข้าใจได้ว่าเป็นความหมายที่สื่อออกมา ในกรณีของภาษาสัญญะก็คือ ถ้อยคำ ซึ่งมีรูปสัญญะเป็นเสียงหรือตัวเขียน และความหมายสัญญะก็คือ แนวคิดที่เข้าใจ จากถ้อยคำนั้น เช่น สัญญาณจราจรก็ใช้เครื่องหมาย แผ่นป้าย ดวงไฟ ฯลฯ เป็นรูปสัญญะ เพื่อสื่อความหมายให้ผู้ขับขี่เข้าใจถึงพฤติกรรมที่จะต้องกระทำและมายาคติก็ใช้สัญญะใน ทำนองเดียวกัน (จอห์นนพดล วศินสุนทร. 2558) ก่อนที่จะเข้าสู่การวิเคราะห์ทางสัญวิทยา จะพินิจบรรดาวัตถุแห่งมายาคติในแนว ปรากฏการณ์ วิทยา (Phenomenology) นั่นได้แก่ รูปลักษณ์ สัญลักษณ์ สีสัน น้ำหนัก ความแน่น ฯลฯ ของสิ่งเหล่านั้นว่าก่อผลกระทบต่อผัสสะและจิตสำนึกรับรู้ของผู้คน อย่างไร โดยมายาคติจึงเป็นกระบวนการสื่อความหมายที่อาศัยการเข้าไปยึดครอง (Appropriation) ดังนั้นมายาคติ จึงทำงานด้วยการเข้าไปครอบงำความหมายเบื้องต้นของสรรพสิ่ง ซึ่งเป็นความหมายเชิงผัสสะหรือประโยชน์ใช้สอย แล้วทำให้มันสื่อความหมายใหม่ในอีก ระดับหนึ่งซึ่งเป็นความหมายเชิงอุดมการณ์ โดยบาร์ตส์ (Barthes) ได้อธิบายเชิงวิชาการ เกี่ยวกับกระบวนการดังกล่าวไว้ ดังนี้ “มายาคติเป็นระบบสื่อความหมายซึ่งมีลักษณะ พิเศษตรงที่มันก่อตัวขึ้นบนกระแสการสื่อความหมายที่มีอยู่ก่อนแล้ว จึงถือได้ว่า มายาคติ เป็นระบบสัญญะในระดับที่สอง สิ่งที่เป็นหน่วยสัญญะ ระบบที่สอง และไม่ว่าในเบื้องต้น
7 นั้นจะมีความแตกต่างหลากหลายเพียงใดก็ตาม แต่ครั้นเมื่อถูกจับยึดโดยมายาคติแล้ว ก็ จะถูกทอนให้เหลือเป็นเพียงรูปสัญญะเพื่อสื่อถึงสิ่งอื่นเสมอ (จอห์นนพดล วศินสุนทร. 2558) จากการศึกษานำมาสู่การเข้าใจในการใช้สัญญะที่มีความหมาย มีนัยยะโดยตรง จากตัวมันเองอยู่แล้วและการหยิบยกใช้ความหมายที่มีผลต่อผู้สร้างความหมายขึ้นมาแทน ความรู้สึกที่มีต่อสิ่งๆนั้นได้โดยเรียกว่าสัญญะในระดับที่สอง โดยความหมายทางความคิด จากวัตถุเหล่านั้นจะมีความสัมพันธ์กัน ตามหลักพื้นฐานของสัญญะ ทั้งหมดนี้มีความ เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ผลงานซึ่งสนับสนุนแนวความคิดหลักการแทนค่าความหมายใน สิ่งของที่หยิบเลือกมาใช้1 ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis Theory) กลุ่มจิตวิทยากลุ่มนี้เน้นความสำคัญของ "จิตไร้สำนึก" (uncoscious mind) ว่ามี อิทธิพลต่อพฤติกรรมกลุ่มนี้จัดเป็นกลุ่ม "พลังที่หนึ่ง" (The first force) ที่แหวกวงล้อม จากจิตวิทยายุคเดิม นักจิตวิทยาในกลุ่มจิตวิเคราะห์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วไป ได้แก่ ฟรอยด์ (Sigmund Freud, 1856-1939)และส่วนใหญ่แนวคิดในกลุ่มจิตวิเคราะห์นี้เป็น ของฟรอยด์ซึ่งเป็นจิตแพทย์ ชาวออสเตรีย เขาอธิบายว่า จิตของคนเรามี 3 ส่วน คือ จิตสำนึก (conscious mind) จิตกึ่งรู้สำนึก (preconscious mind) และจิตไร้สำนึก (unconscious mind) ซึ่งมีลักษณะดังนี้ จิตสำนึก เป็นสภาพที่รู้ตัวว่าคือใคร อยู่ที่ไหนต้องการอะไร หรือกำลังรู้สึกอย่างไรต่อสิ่งใด เมื่อแสดงพฤติกรรมอะไรออกไปก็ แสดงออกไปตามหลักเหตุและผล แสดงตาม แรงผลักดันจากภายนอก สอดคล้องกับหลักแห่งความเป็นจริง (principle of reality) จิตกึ่งรู้สำนึก เป็นจิตที่เก็บสะสมข้อมูลประสบการณ์ไว้มากมาย มิได้รู้ตัวในขณะนั้น แต่ พร้อมให้ดึงออกมาใช้พร้อมเข้ามา อยู่ในระดับจิตสำนึก เดินสวนกับคนรู้จัก เดินผ่านเลย มาแล้วนึกขึ้นได้รีบกลับไปทักทายใหม่เป็นต้น และอาจถือได้ว่าประสบการณ์ต่าง ๆ ที่เก็บ 1 จอห์นนพดล วศินสุนทร. (2558). มายาคติกับมายากลในสังคมไทย. สืบค้นเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564, จาก http://johnnopadon.blogspot.com./ /2015/10/roland-barthes-myth-post-structural.html
8 ไว้ในรูปของความจำก็เป็นส่วนของจิตกึ่งรู้สำนึกด้วยเช่น ความขมขื่นในอดีต ถ้าไม่คิดถึงก็ ไม่รู้สึกอะไร แต่ถ้านั่ง ทบทวนเหตุการณ์ทีไรก็ทำให้เศร้าได้ทุกครั้งเป็นต้นจิตไร้สำนึก เป็น ส่วนของพฤติกรรมภายในที่เจ้าตัวไม่รู้สึกตัวเลย อาจเนื่องมาจากเจ้าตัวพยายามเก็บกดไว้ เช่น อิจฉาน้อง เกลียดแม่ อยากทำร้ายพ่อ ซึ่งเป็นความต้องการที่สังคมไม่ยอมรับ หาก แสดงออกไปมักถูกลงโทษดังนั้นจึงต้องเก็บกดไว้ หรือ พยายามที่จะลืม ในที่สุดดูเหมือนลืม ได้ แต่ที่จริงไม่ได้หายไปไหนยังมีอยู่ในสภาพจิตไร้สำนึก จิตไร้สำนึกยังอาจเป็นเรื่องของอิด (id) ซึ่งมีอยู่ในตัวเรา เป็นพลังที่ผลักดันให้เราแสดงพฤติกรรมตามหลักแห่งความพอใจ (principle of plessure) แต่สิ่งนั้นถูกกดหรือ ข่มไว้จนถอยร่นไปอยู่ในสภาพที่เราไม่รู้ตัว ส่วนของ จิตไร้สำนึกจะแสดงออกมาในรูปของความฝัน การละเมอ การพลั้งปากพูด การ แสดงออกทางด้านจินตนาการ วรรณคดี ศิลปะ ผลงานด้านวิทยาศาสตร์ การกระทำที่ ผิดปกติต่าง ๆ แม้กระทั่งการระเบิดอารมณ์รุนแรงเกินเหตุ บางครั้งก็เป็นเพราะจิตไร้สำนึก ที่เก็บกดไว้ ฟรอยด์มีความเชื่อว่า จิตไร้สำนึกมีอิทธิพลและมีบทบาทสำคัญต่อ บุคลิกภาพ และการแสดงพฤติกรรมของมนุษย์มากที่สุด ทั้งยังเชื่อว่าความก้าวร้าวและความต้องการ ทางเพศเป็นแรงผลักดัน ที่ สำคัญ ต่อพฤติกรรม นอกจากจิตสำนึก จิตกึ่งรู้สึกนึก และจิต ไร้สำนึก ฟรอยด์ได้แบ่งองค์ประกอบของพลังจิต (psychic energy) เป็น 3 ส่วน คือ id, ego และ super egoซึ่งเป็นแรงขับให้กระทำพฤติกรรมต่าง ๆ การศึกษาเกี่ยวกับจิตใต้สำนึกหรือจากทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalysis Theory) ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่จะเข้าใจ จากการศึกษาจะเห็นได้ในรูปธรรมของหลัก เหตุและผลของทฤษฎีจิต จากเบื้องลึก เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ใน การรับรู้ ความเข้าใจทาง จิตวิทยาของพฤติกรรมมนุษย์มากขึ้น และเป็นแนวทางในการนำไปสู่แนวความคิดทาง ผลงานจิตรกรรมศิลปนิพนธ์2 2 2nana-bio. ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ (Psychoanalytic theory). สืบค้นเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564, จาก http://www.nana-bio.com/phychology/Psychoanalytic%20theory.htm
9 ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีสัญญวิทยาและการสร้างความหมาย (Semiology and Signification) ของ เดอ โซซูร์ (F. De Saussure) ให้ความสนใจความสัมพันธ์ระหว่างตัวหมาย (Signifier) และตัวหมายถึง (Signified) โดยระบุว่า สัญญะทุกอย่างจะมี 2 มิติ มิติที่หนึ่งคือมิติที่เป็นส่วนร่วมซึ่ง เรียกว่า“Language” หรือหลักเกณฑ์ที่ใช้ และมิติที่สองเรียกว่า “Speech” หรือลีลาการ ใช้ โดยโซซูร์ยังเสนอว่าสัญญะย่อยตัวหนึ่งจะยังไม่มีความหมายในตัวเองจนกว่าจะไป เทียบเคียงกับสัญญะย่อยตัวอื่น ๆ ที่อาศัยการเปรียบเทียบแบบคู่ตรงข้าม (Binary Opposition) เฟอร์ ดินันด์ เดอ โซซูร์ (F. de Saussure) ได้ทำการแยกแยะประเภทและ ระดับขอความหมายที่บรรจุอยู่ในสัญญะออกเป็น 2 ประเภท ประเภทแรกคือ ความหมาย โดยอรรถ (Denotative Meaning) อันได้แก่ ความหมายที่เข้าใจกันตามตัวอักษรซึ่งเป็น ความหมายที่เข้าใจตรงกันโดยส่วนใหญ่ตัวอย่างเช่น ความหมายที่มีการระบุในพจนานุกรม เช่น แม่ คือสตรีผู้ให้กำเนิดลูก หมีเป็นสัตว์สี่เท้า เป็นต้น ส่วนประเภทที่สองคือ ความหมายโดยนัย (Connotative Meaning) ได้แก่ ความหมายทางอ้อมที่เกิดจาก ข้อตกลงหรือความเข้าใจ การศึกษาการสร้างสัญญะความหมายนำมาซึ่งความเข้าใจในประเด็นความหมายที่ สามารถแบ่งลักษณะการใช้ความหมายโดยใน และความหมายโดยอ้อม ซึ่งเป็นความหมาย ที่ถูกสร้างขึ้นจากการที่ผู้สร้างเข้าใจและตกลงในรูปแบบความหมายนั้น ศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีสัญลักษณ์นิยม (Symbolism in arts) ลัทธิสัญลักษณ์นิยม (Symbolism in arts) คือขบวนการทางศิลปะที่เกิดขึ้นใน ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ลัทธิสัญลักษณ์นิยมเป็นปฏิกิริยาต่อลัทธิธรรมชาตินิยม (Naturalism) และ ลัทธิสัจจะนิยม (Realism) เป็นขบวนการที่ต่อต้านขบวนการอุดมคติ นิยมที่พยายามจับความเป็นจริงอย่างละเอียดละอ่อนและพยายามยกระดับความธรรมดา 3 Nakhonsawan. (2560). Semiology (สัญญะวิทยา). สืบค้นเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564,จาก https://nakhonsawanresearch.blogspot.com/2017/06/semiology.html
10 ขึ้นมาเหนืออุดมการณ์ ขบวนการเหล่านี้สนับสนุนความคิดทางเจตภาพ (spirituality), ทางจินตนาการ และทางความฝัน ทางที่นำไปสู่สัญลักษณ์นิยม การศึกษาในลัทธิสัญลักษณ์นิยม (Symbolism in arts) สนับสนุนในเรื่องของ แนวทางของรูปแบบงานในจิตรกรรมที่สร้างขึ้น โดยส่วนใหญ่เป็นการหยิบวัตถุที่เป็น สัญลักษณ์มีความหมายนัยยะมาแทนเป็นภาษาภาพในผลงานเพื่อนำเสนอเรื่องราวตาม จุดมุ่งหมาย ศึกษาศิลปะรูปแบบศิลปะเรียลลิสม์ (Realism) ศิลปะเรียลลิสม์เกิดขึ้นประมาณกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงปลาย คริสต์ศตวรรษที่ 19 (ค.ศ. 1850-1880) มีจุดเริ่มต้นในประเทศฝรั่งเศส โดยกลุ่มศิลปินชาว ฝรั่งเศสกลุ่มหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับการทํางานของกลุ่ม “นีโอ-คลาสสิคอิสม์” (คลาสสิคใหม่ คือความเคลื่อนไหวทางศิลปะซึ่งมีสุนทรียภาพแบบกรีกและโรมัน) และ “กลุ่มโรแมนติก อิสม์” (จินตนิยม) ที่ยึดถือประเพณีหรือตัวตนเป็นหลัก หรือแสดงความคิดฝันเอาตามใจ ตนเอง ศิลปินเรียลลิสม์เห็นว่าศิลปะทั้งสองไม่ได้แสดงความกลมกลืนของชีวิต ยังคง ลักษณะความเป็นอุดมคติอยู่ หาใช่ความจริงไม่ ศิลปะเรียลลิสม์ (Realism) หรือ ศิลปะสัจ นิยม โดยทั่วไปหมายถึง การสร้างงานที่เหมือนจริงดังที่ปรากฏอยู่ในธรรมชาติ รวมถึง การ สร้างสรรค์ภาพงานในเชิงวิพากษ์วิจารณ์สังคม (socially critical images) ภาพเกี่ยวกับ ชีวิตของคนเมืองและชนบท พวกชาวไร่ชาวนาในช่วงยุคสมัย จากประสบการณ์ตรงของ ชีวิต เช่น ความยากจน การปฏิวัติ ความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยการเน้นรายละเอียด เหมือนจริงมากที่สุด3 4 Joris-Karl Huysmans. (2558). ลัทธิสัญลักษณ์นิยม. สืบค้นเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2564, จาก https://hmong.in.th/th/
11 โดยลักษณะผลงานการแสดงออกที่สำคัญของแบบอย่างศิลปะเรียลลิสต์ คือ 1. มีรูปแบบและการแสดงออกอย่างเหมือนจริง เน้น ความจริงที่ศิลปิน ในอดีตเคยรังเกียจ โดยกล่าวหาว่าเป็นสิ่งสามัญและเป็นของพื้น ๆ ปราศจากคุณค่า ทางความงาม เช่น สภาพ ชีวิตความเป็นอยู่ของชนชั้นต่ำ ผู้ยากไร้ หรือ สภาพอาคาร ที่อยู่อาศัย 2 . นำเสนอความจริงในทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์มากกว่า เน้นการแสดง เรื่องราว เนื้อหา ความงามในธรรมชาติหรือ ความงามที่เกินจริงแบบอุดมคติ การศึกษาศิลปะในรูปแบบ เรียลลิสม์ (Realism) นำมาซึ่งการสร้างสรรค์ผลงานที่ เกี่ยวกับชีวิตของบุคคลล้วนเป็นพฤติกรรมมนุษย์ทางสังคมเมือง โดยการเขียนในรูปแบที่ เหมือนจริง โดยยึดตามประเด็นของการใช้บุคคล (ตนเอง) เป็นการนพเสนอความจริง ภายนอกที่มีรูปลักษณ์ที่ชัดเจน เล่าความจริงภายใน (นัยยะ) ที่แฝงอยู่ ศึกษาศิลปะรูปแบบศิลปะแบบเซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism) เอกลักษณ์ของศิลปะเซอร์เรียลลิซึมก็คือการใช้สิ่งที่เรียกว่า ความบังเอิญ (Chance) มา เป็นส่วนหนึ่งในการนำเสนอผลงานโดยเฉพาะการหยิบเอาสิ่งของสองอย่างหรือมากกว่า นั้นซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกันมาวางไว้ด้วยกัน เหมือนเป็นการพบกันโดยบังเอิญที่ก่อให้เกิด ความหมาย แม้แต่ละอย่างจะไม่มีความเกี่ยวเนื่องกันเลย แต่เมื่อมาอยู่ร่วมกันในพื้นที่ เดียวกัน ก็ย่อมจะกระตุ้นให้ผู้ชมเกิดจินตนาการและความรู้สึกถึงเอกภาพแบบใหม่ ซึ่งไม่ ขึ้นกับเหตุผลหรือตรรกะใด ๆ ในโลกกายภาพ รูปแบบผลงานศิลปะจะใช้วิธีการนำเอาสิ่งที่ เป็นสภาวะปกติวิสัยตั้งแต่ 2 สิ่งที่ดูเข้ากันไม่ได้มาจัดร่วมประกอบกัน และแต่งเติม ผสมผสานให้ดูเป็นสิ่งเดียวกันอย่างกลมกลืน รวมถึงการเชื่อมโยงความรู้สึกสัมผัสและ ประสบการณ์ทางการเห็นให้สอดคล้องกับความคิด เชื่อมโยงให้เป็นเรื่องใหม่ การศึกษาศิลปะแบบเซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism) นำมาซึ่งการสร้างเอกภาพใน งานจิตรกรรมที่เกิดขึ้น โดยการสร้างความหมายของสิ่งที่มีอยู่จริงแต่การจัดวางจากสิ่งนั้น ไม่สมเหตุสมผลกับความเป็นจริงเสมอไปและเกิดความหมายในงานจิตรกรรมในแบบใหม่ที่ มีตำแหน่งของการวางวัตถุผิดเพี้ยนไปจากความเป็นจริง เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ กระบวนการของจิตไร้สำนึกที่เป็นไปตามทัศนะของผู้สร้างสรรค์
12 ศึกษาแนวคิดและเทคนิควิธีการสร้างสรรค์งานของศิลปิน ภาพที่ 2.1 René Magritte ที่มา: René Magritte. สืบค้นเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2565, จาก https://hmong.in.th/wiki/Ren%C3%A9_Magritte 1. เรอเน ฟร็องซัว กีแลน มากริต (René François Ghislain Magritte) เป็นที่รู้จักกันในชื่อเรอเน มากริตเป็นจิตรกรสัญชาติเบลเยี่ยม มีชื่อเสียงจากการ วาดภาพแนวเหนือจริง หรือ เซอร์เรียลลิซึม เขาเริ่มเป็นที่รู้จักจากผลงานที่ดูเฉลียวฉลาด และภาพวาดเหนือจริงที่ชวนกระตุ้นให้คิดผลงานของเขาเป็นที่ท้าทายต่อผู้เข้าชมที่ถูก ความเป็นจริงตีกรอบไว้ผลงานของมากริตนั้นอยู่ในรูปแบบของเซอร์เรียลลิซึม ดังนั้น ภาพวาดของมากริตจึงมักจะขัดแย้งกับความเป็นจริง รวมไปถึงทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์ด้วย โดย A.M.Hammacher ได้ยกตัวอย่างจากผลงานของมากริต
13 ภาพที่ 2.2 The False Mirror จาก ที่มา : MoMA Highlights: 375 Works from The Museum of Modern Art, New York. (2562). สืบค้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2564, จาก https://www-moma-org.translate.goog/collection/works/ แสดงให้เห็นถึงความจงใจที่จะลดทอนการทำงานตามธรรมชาติของลูกตา จุดที่น่า สังเกตก็คือ ลูกตานั้นไม่ได้มองมาที่ผู้ชม แต่เป็นเพราะมากริตหลีกเลี่ยงการทำงานที่แท้จริง ของลูกตา ซึ่งก็คือ การมองเห็น แต่กลับแสดงแค่การสะท้อนกลับของมันเท่านั้น คือการ สะท้อนกลับของท้องฟ้าและก้อนเมฆที่อยู่ในส่วนกระจกตา
14 ภาพที่ 2.3 The Castle in the Pyrenees จาก ที่มา : Ms. Joan Lessing, New York and Jerusalem. สืบค้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2564, จาก https://www.imj.org.il/en/collections/194552 มากริตพยายามจะหักล้างทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลก โดยสร้างสรรค์ออกมาเป็น ปราสาทที่อยู่บนก้อนหินยักษ์ที่ลอยได้อย่างเหนือธรรมชาติ ซึ่งการวาดภาพของมากริตนั้น เป็นเหมือนกับการแสดงออกทางปรัชญาของขบวนการที่เขาเข้าร่วมอย่างเซอร์เรียลลิซึม
15 ภาพที่ 2.4 The Son of Man (1964) ที่มา : My babbling, my blog. (2555). สืบค้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2564, จาก https://greenteasalad.wordpress.com/2012/01/21/the-son-of-man-1964/ จัดว่าเป็นงานชิ้นท้ายๆ ของมากริต ว่ากันว่าภาพนี้มากริตวาดเป็น self-portrait โดยมีจุดเด่นที่เป็นภาพชายใส่เสื้อโค้ทสีดำ กับหมดโบวเลอร์ยืนริมทะเล และมีแอปเปิ้ลสี เขียวบังหน้าอยู่ ผู้สร้างสรรค์ได้รับแรงบันดาลใจในเรื่องของรูปแบบเซอร์เรียลลิสม์ (Surrealism) และการวางตำแหน่งของวัตถุแบบ “สัญลักษณ์” ที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปินโดยตรง นำมา ปรับใช้วิธีการนำเสนอในรูปแบบของตน จนเกิดการพัฒนากระบวนการแนวความคิด สร้างสรรค์เพิ่มขึ้นจากเดิม
16 2. อาจารย์นรากร สิทธิเทศ เป็นศิลปินจากคณาจารย์สาขาวิชาจิตรกรรม คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ซึ่งมีผลงานด้านจิตรกรรมในรูปแบบเซอร์เรียล การแสดงออก ถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของโลกเรียนรู้ทำความเข้าใจกระบวนการดำรงชีวิต ของกิเลสตัณหา นำมาซึ่งความทุกข์และความมืดบอดทางปัญญา โดยแสดงผ่านสัญญะจาก ตัวเอง และตั้งคำถามผ่านผลงานจิตรกรรม ภาพที่ 2.5 ผลงานชุด “บทสนทนาแห่งการรื้อฟื้น” ขนาด 150 X 160 cm ที่มา : ทุกคนเป็นข่าวได้. (2553). สืบค้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2564, จาก http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=670148
17 ภาพที่ 2.6 ผลงานชุด “บทสนทนาแห่งการรื้อฟื้น” ขนาด 170 X 220 cm ที่มา : ทุกคนเป็นข่าวได้. (2553). สืบค้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2564, จาก http://oknation.nationtv.tv/blog/print.php?id=670148 ข้าพเจ้าสนใจในวิธีการสื่อความหมายและเล่าเรื่องราวอารมณ์ของงานจิตรกรรมที่ แสดงผ่านภาษาท่าและภาษาการใช้สัญญะที่มีนัยยะแฝงเล่า แสดงการบ่งบอกถึงอารมณ์ ความรู้สึกที่มีการถ่ายทอดออกมา เพื่อการตั้งคำถามที่น่าสนใจ จึงนำมาเป็นแนวทางการ สร้างสรรค์งานจิตรกรรม
18 3. นายชัชวาล พุทธวงศ์ เป็นศิลปิน นักศึกษา สาขาจิตรกรรม คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิยาลัยศิลปกร ซึ่งเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่ว่าด้วยปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เป็นตัวแทน อารมณ์ความรู้สึก มีผลงานด้านจิตรกรรมที่แสดงในรูปแบบกึ่งเหนือจริง สื่อความหมาย จากตัวเองเป็นตัวแทนในการเล่า ภาพที่ 2.7 “Tempest” 100 X 120 cm. Oil on canvas. 2019 ที่มา : Chatchawan Pootawong. (2562). สืบค้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2564, จาก https://www.facebook.com/HereKoh
19 ภาพที่ 2.8 “Nepenthes”80 X 130 cm. Oil on canvas. 2019 ที่มา : Chatchawan Pootawong. (2562). สืบค้นเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2564, จาก https://www.facebook.com/HereKoh ข้าพเจ้าสนใจรูปแบบของการเล่าเรื่องในงานสร้างสรรค์ของตัวศิลปิน ที่สามารถส ถึงอารมณ์และความหมายในงานอย่างง่ายผ่านการจิตรการที่มีทั้งส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงและ ส่วนที่ยังเป็นจริงอยู่ ไม่ได้เหนือจริงทั้งหมด ในส่วนที่ใช้เป็นแนวทางเหนือจริงเพราะ สามารถตอบสนองกับอารมณ์ได้เป็นอย่างดี
20 ตารางที่ 2.1 ตารางการวิเคราะห์ผลงานที่อิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ผลงาน ผลงานของศิลปิน รูปแบบ เทคนิค แนวคิด/เนื้อหา สรุป ชือผลงาน: The Son of Man (1964) ชื่อศิลปิน: René Magritte เทคนิค: oil on cavas ขนาด: 116 X 89 cm ปี: 1964 รูปแบบของการ นำเสนอผลงาน รูปแบบเซอร์เรียล การจัดวาง องค์ประกอบของ ภาพภายในงาน จิตรกรรม การสื่อความหมาย ผ่านสัญลักษณ์ใน งานจิตรกรรม รูปแบบและ แนวความคิดจาก ผลงานของศิลปิน ชื่อผลงาน: - ชื่อศิลปิน: นรากร สิทธิเทศ เทคนิค: oil on cavas ขนาด: 150 X 160 cm ปี: 2553 รูปแบบการเขียน แบบ เซอร์เรียล การเขียนแสงของ ผิวคนและการจัด องค์ประกอบภาพ ที่มี space การแทนความหมาย ผ่านภาษาท่าทาง และสัญญะกับวัตถุ สิ่งของ รูปแบบการจัด ท่าทางของภาษา ท่าที่เล่าในงาน ชื่อผลงาน: “Tempest” ชื่อศิลปิน: นายชัชวาล พุทธวงศ์ เทคนิค: oil on cavas ขนาด: 100 X 120 cm ปี: 2562 รูปแบบของการ ทำงานแบบ เซอร์เรียล การเขียนแสงของ คนที่ชัดเจน การ เขียนบรรยากาศที่ สื่ออารมณ์ได้ง่าย รูปแบบการนำเสนอ การเล่าเรื่องในงาน จิตรกรรม การสะท้อนทาง อารมณ์ในรูปแบบ ของงานจิตรกรรม ทางอารมณ์
บทที่ 3 กระบวนการสร้างสรรค์ผลงาน จากการค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวกับ สภาวะอารมณ์และความเงียบผ่าน สภาวะสำนึก แห่งตัวตน ล้วนเกิดขึ้นจากความเครียด ความกังวลและความวุ่นวายทางสังคมในปัจจุบัน จนทำให้เกิดการแสวงหาความสงบแก่ตัว โดยการสร้างพื้นที่และขัดเกลากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ตนเอง ข้าพเจ้าจึงแสดงออกผ่านกระบวนการคิด และวิธีการสร้างสรรค์อย่างเป็นระบบ โดยเลือกสัญญะที่จะสามารถนำมาเล่าเป็นความคิดทางมายาคติ ที่เกิดมาจากจิตสำนึกของ ข้าพเจ้า ผลงานชุดนี้ใช้ประสบการณ์และความรู้สึกทั้งทางตรงและทางอ้อมจาก ประสบการณ์จริงมาเล่าผ่านการหยุดบริบทเป็นภาษาท่าทางในการเล่าเรื่องและการ ตีความหมาย ซึ่งมีการสร้างสรรค์ที่พัฒนามาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนต่อเนื่อง การสร้างสรรค์งาน ชุด “สภาวะสำนึกแห่งตัวตน” นำเสนอผลงานงานจิตรกรรม 2 มิติที่ผ่านการจัดการจากข้อมูลต้นแบบภาพถ่าย เป็นแนวทางของการสร้างสรรค์งานซึ่ง ขั้นตอนสร้างสรรค์ ตั้งแต่เริ่มต้นเป็น 4 ขั้นตอน 1. ขั้นตอนการศึกษาข้อมูล 2. ขั้นตอนการประมวลความคิด 3. ขั้นตอนการสร้างภาพต้นแบบ 4. ขั้นตอนการสร้างสรรค์ผลงาน ขั้นตอนการศึกษาข้อมูล 1. การค้นคว้าหาข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับความหมายในงานที่ต้องการนำมา เล่าสัญญะที่นำมาแทนค่าความหมายจากความรู้สึกนึกคิด เช่น ความเงียบ ความรู้สึก ความคิด การปล่อยวาง การปลดทุกข์
22 2. ศึกษาการเลือกใช้สัญญะที่นำมาแทนความหมายที่มีผลต่อความรู้สึกในงาน จิตรกรรม 3. ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับทฤษฎี ที่เกี่ยวกับแนวคิดสัญญวิทยาและมายาคติที่เป็น นัยยะสำคัญของการสื่อความหมายในการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรม 4. ศึกษาวิธีการจัดการในรูปแบบท่าทางในการเล่าที่เป็นภาษาอย่างหนึ่งในงาน จิตรกรรมที่สามารถถ่ายทอดในแต่ละบริบทนั้น ๆ ขั้นตอนการประมวลความคิด การประมวลความคิดจากข้อมูลที่ได้มา เพื่อการจัดทำต้นแบบภาพร่าง (Sketch) เป็นขั้นตอนที่สำคัญต่อการสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมเป็นอย่างมาก ทั้งเป็นการสรุป แนวความคิดที่ต้องจะสื่อแล้วยังเป็นการสรุปรูปแบบการจัดองค์ประกอบภายในงานที่เป็น ข้อมูลเบื้อต้นของการทำแบบร่างอีกด้วย ซึ่งขั้นตอนนี้จะเริ่มจากการทำความเข้าใจเรื่องราวแนวความคิดที่ต้องการถ่ายทอด เป็นภาษาในงานจิตรกรรมและพิจารณารูปแบบจากข้อมูลเพื่อนำมาจัดองค์ประกอบของ การสร้างสรรค์ โดยจะแฝงนัยยะสำคัญจากข้อมูลที่มีด้วยภาษาท่าทางหรือความหมายของ วัตถุเหล่านั้น ทั้งนี้สิ่งที่เป็นจุดร่วมในเชิงวิธีคิด คือ ตัวข้าพเจ้ากับวัตถุ และการจัดท่าทางที่ นำไปซึ่งความหมายของการตีความ ขั้นตอนการสร้างภาพต้นแบบ 1. เลือกสัญญะวัตถุในงาน หรือสิ่งนำไปซึ่งความหมายที่อยากจะสื่อในกรอบแนวคิดผลงาน 2. จัดฉากพื้นหลังในการถ่ายภาพต้นแบบ โดยจัดแสงไฟในมุมองศาที่ต้องการให้เห็นแสง เงาของต้นแบบ 3. จัดท่าทางจากตัวข้าพเจ้าที่เป็นต้นแบบในการถ่าย ซึ่งจะถ่ายภาพไว้หลายแบบ เพื่อทำ การพิจารณารูปแบบและท่าทาง 4. นำภาพที่ถ่ายแล้วมาตัดต่อ และปรับค่าแสงเงาโทนสีที่ต้องการ
23 1. ภาพร่างต้นแบบ (Sketch) ภาพร่างต้นแบบ (Sketch) เกิดจากการถ่ายภาพและกระบวนการตัดต่อ ผ่าน โปรมแกรม ibispaint,picsart,adobe photoshop เพื่อให้เกิดมุมมองและท่าทาง ต่อ สิ่งที่ข้าพเจ้าต้องการนำเสนอ จากนั้นจึงนำไปสร้างสรรค์ผลงานจิตรกรรมต่อไป ภาพที่ 3.1 ภาพร่างต้นแบบ (Sketch) และภาพถ่ายต้นแบบ (ที่มา : ภาณุพล เผือกขจร, 2565)
24 2. ภาพต้นแบบผลงานสร้างสรรค์ ภาพต้นแบบผลงานสร้างสรรค์ (Sketch) ข้าพเจ้านำภาพต้นแบบ แนวความคิดที่คัดเลือก มาปรับแต่งเพิ่มเติมเพื่อหาความสมดุลและสมบูรณ์ในต้นแบบ ภาพที่ 3.2 ภาพถ่ายต้นแบบของผลงานชื่อ “ ใคร่ครวญ ” (ที่มา : ภาณุพล เผือกขจร, 2565)
25 ภาพที่ 3.3 ภาพถ่ายต้นแบบของผลงานชื่อ “ไหลเวียน” (ที่มา : ภาณุพล เผือกขจร, 2565) ภาพที่ 3.4 ภาพถ่ายต้นแบบของผลงานชื่อ “รับรู้” (ที่มา : ภาณุพล เผือกขจร,2565)
26 ขั้นตอนการสร้างสรรค์ผลงาน 1. ถ่ายภาพต้นแบบ Photo 2. เริ่มจากการกำหนดขนาดสัดส่วนของเฟรมผ้าใบ ซึ่งจะต้องวัดจากขนาดของ ภาพร่างต้นแบบ (Sketch) ที่จะนำมาขยายเป็นผลงานจริง 3. เมื่อได้ขนาดของเฟรมผ้าใบแล้ว จะจัดทำโครงเฟรมพร้อมกับขึงผ้าใบ 4. นำเฟรมมาทำการร่างภาพจากภาพต้นแบบ โดยฉายภาพจาก (Projector) 5. จัดเตรียมอุปกรณ์สีน้ำมัน พู่กัน อุปกรณ์อื่น ๆ 6. ขึ้นแสงเงาโดยใช้วิธีการ (underpainting) โดยรวมโดยการใช้สีจริงและถือเป็น การขึ้นสีชั้นแรกโดยรวมไปด้วย 7. สีชั้นที่ 2 จะทำการเคลือบ (Glazing) ลิควิน (Liquin) ลงสีบรรยากาศอย่าง ละเอียด น้ำหนัก แสงเงา ความเข้มและความสดของสี โดยจะเพิ่มเนื้อสีมากขึ้น 8. การเก็บรายละเอียดของผลงานในจุดที่เป็นร่องรอย ผิวลวดลาย แสง (Highlight) ซึ่งจะเน้นความละเอียดในการเก็บงาน จนภาพสมบูรณ์ 9. ขั้นตอนสุดท้าย เคลือบภาพ โดยใช้วิธีการ (Glazing) เพื่อให้ภาพมีสีสันที่สดขึ้น และทำให้เกิดมิติที่ลึกขึ้น
27 ภาพที่ 3.5 ขั้นตอนการขึงเฟรมผ้าใบ (ที่มา : ภาณุพล เผือกขจร, 2565) ภาพที่ 3.6 ขั้นตอนการร่างภาพ จากภาพฉาย (Projector) และลงน้ำหนักไป พร้อมกัน (ที่มา : ภาณุพล เผือกขจร, 2565)
28 ภาพที่ 3.7 จัดเตรียมอุปกรณ์ พู่กัน สีน้ำมัน และอื่นๆ (ที่มา : ภาณุพล เผือกขจร, 2565)
29 ภาพที่ 3.8 ลงสีพื้นหลังและทำการ (underpainting) โดยใช้สีจริงเป็นสีชั้นที่ 1 (ที่มา : ภาณุพล เผือกขจร, 2565) ภาพที่ 3.9 ขั้นระบายสีชั้นที่ 1 ทั้งภาพ (ที่มา : ภาณุพล เผือกขจร, 2565)
30 ภาพที่ 3.10 ขั้นระบายสีชั้นที่ 2 โดยการทำสีผิวคน จากการเคลือบ (Glazing) (ที่มา : ภาณุพล เผือกขจร, 2565) ภาพที่ 3.11 ลงน้ำหนักโดยรวมและรายละเอียด เสื้อ ใบไม้ ดอกไม้ (ที่มา : ภาณุพล เผือกขจร, 2565)
31 ภาพที่ 3.12 ขั้นระบายสีชั้นที่ 3 เก็บแสงเงา (Highlight) ให้ภาพสมบูรณ์ (ที่มา : ภาณุพล เผือกขจร, 2565) ภาพที่ 3.13 ขั้นตอนสุดท้าย เคลือบภาพ โดยใช้วิธีการ (Glazing) บางๆ (ที่มา : ภาณุพล เผือกขจร, 2565)
บทที่ 4 วิเคราะห์ผลงานสร้างสรรค์ ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลป์นิพนธ์ หัวข้อ “สภาวะจิตสำนึกตัวตน” ได้มีการคิด วิเคราะห์ พัฒนาเนื้อหาแนวความคิด กระบวนการเรียนรู้และขั้นตอนการสร้างสรรค์ ความ สมบูรณ์ในด้านองค์ประกอบต่าง ๆ ซึ่งมีการค้นคว้า ทดลอง ศึกษาแนวงานจิตรกรรมที่ ตรงกับแนวความคิด โดยมีระยะเวลานับตั้งแต่การเสนอหัวข้อในภาคเรียนที่ 1 ภายใต้ ความคิดที่ว่าด้วยจิตสำนึกที่มีที่มาจากความเครียดทางสังคม ที่ผลัดความเป็นตัวตนให้จาง หายไป ทั้งในช่วงแรกและช่วงท้ายของการสร้างสรรค์ผลงานศิลปนิพนธ์ โดยผ่านอุปสรรค์ และปัญหาในช่วงการปฏิบัติทดลองงานอยู่เรื่อยมา จึงได้นำมาปรับปรุงและพัฒนาทั้งด้าน ความคิดและกระบวนการเพื่อการสร้างสรรค์ที่สมบูรณ์ขึ้น สอดคล้องกับแนวความคิด เนื้อหาที่ต้องการนำเสนอ ซึ่งระหว่างการศึกษาและทดลอง สามารถแบ่งลำดับพัฒนาการ สร้างสรรค์เป็น 2 ระยะ ดังนี้ 1.1 ระยะการสร้างสรรค์ผลงานก่อนศิลปนิพนธ์ 1.2 ระยะผลงานช่วงศิลปนิพนธ์ 4.1 ระยะการสร้างสรรค์ผลงานก่อนศิลปนิพนธ์ ในช่วงระยะแรกของการสร้างสรรค์ผลงานก่อนช่วงศิลปนิพนธ์ ยังไม่มีความมั่นคง ทางด้านเนื้อหาแนวความคิดและรูปแบบของงานสร้างสรรค์ จึงมีการหยิบเรื่องใกล้ตัวที่ สามารถพูดถึงพฤติกรรมความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ถูกบริบททางสังคมมากระทบ จิตใจ เป็นที่มาของการทำ “ความเงียบ” ในตันตนเพื่อการเหลี่ยกเลี่ยงจากสภาวะ ความเครียด ซึ่งจะมีมุมมองผ่านจากตัวผู้เขียนเอง จึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสรรค์และ มีการเริ่มศึกษาสภาวะอารมณ์ที่ล้วนมาจากความเครียด การศึกษาทดลองรูปแบบของการ สร้างสรรค์ รวมไปถึงการศึกษาที่ความหมายสัญญะที่นำมาแทนความหมายต่อผู้เขียนเอง ซึ่งเป็นช่วงของการค้นหารูปแบบผลงาน ที่มีแนวทางของการนำไปสู่ศิลปนิพนธ์ ประกอบด้วยผลงานทั้ง 4 ชิ้น ได้แก่
33 ภาพที่ 4.1 ผลงานก่อนศิลปนิพนธ์ “หมอกสมอง” Oil on canvas, 100 x 70 cm. , 2021
34 ภาพที่ 4.2 ผลงานก่อนศิลปนิพนธ์ “เงียบ” Oil on canvas, 100 x 70 cm. , 2021
35 ภาพที่ 4.3 ผลงานก่อนศิลปนิพนธ์ “ปล่อย” Oil on canvas, 80 X 100 cm. , 2021
36 ภาพที่ 4.4 ผลงานก่อนศิลปนิพนธ์ “รองรับ” Oil on canvas, 120 X 100 cm. , 2021
37 สรุปการสร้างสรรค์ผลงานก่อนศิลปนิพนธ์ ข้อดี - ค้นหาแนวทางผลงานสร้างสรรค์ที่สนใจเป็นเฉพาะตัว - ได้ทดลองการจัดวางองค์ประกอบและการวางความหมายงาน - การศึกษารูปแบบเทคนิควิธีการ และแนวความคิดในลัทธิต่างๆรวมไปถึงเหล่า ศิลปินต้นแบบ ข้อเสีย - การทำผลงานสร้างสรรค์เชิงสภาวะอารมณ์ต้องมีความเข้าใจเชิงลึกเพื่อนำไปสู่ การถ่ายทอดให้ได้มากที่สุด - การศึกษาเพิ่มเติมน้อย การค้นคว้าจึงมีการนำเสนอข้อมูลไม่เพียงพอ - การสร้างสรรค์ยังไม่แสดงถึงจุดประสงค์ได้ชัดเจนในการถ่ายทอด แนวทางการพัฒนา - ศึกษาตรวจสอบและทำความเข้าใจเชิงลึกของการถ่ายทอดในสภาวะอารมณ์ จากนามธรรมให้เห็นรูปธรรมมากขึ้น - ศึกษาสัญญวิทยาและมายคติการแทนค่าความหมายเพื่อเล่าบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งจะทำให้ผลงานสร้างสรรค์มีแนวทางที่เห็นได้ชัดยิ่งขึ้น - ศึกษาการถ่ายทอดอารมณ์ในผลงานที่มีอารมณ์ในตัวผลงานสร้างสรรค์ที่ เพิ่มขึ้น
38 4.2 ระยะที่ 2 ผลงานช่วงศิลปนิพนธ์ ในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปนิพนธ์ เรื่อง “สภาวะสำนึกแห่งตัวตน” ผู้เขียนได้วิเคราะห์แนวความคิด เนื้อหา เทคนิควิธีการสร้างสรรค์ โดยการอ้างอิงจาก ทฤษฎีเชิงวิชาการ และเทคนิควิธีการสร้างสรรค์ผลงาน ได้มีการค้นคว้าทดลองเชิงลึก เพื่อ แสดงให้เห็นกรอบความคิดในการสร้างสรรค์ผลงานอย่างละเอียดและชัดเจน โดยแบ่ง ขอบเขตการวิเคราะห์เป็น 2 ประเด็นหลัก 1.2.1 การวิเคราะห์แนวความคิด เนื้อหา และเทคนิควิธีการ 1.2.2 การวิเคราะห์ความหมายด้วยทฤษฎีสัญญวิทยาและมายาคติ 1.2.3 การวิเคราะห์ตามหลักการองค์ประกอบศิลป์ 4.2.1 การวิเคราะห์แนวความคิด เนื้อหา และเทคนิควิธีการ ในช่วงระยะที่ 2 ของการสร้างสรรค์ศิลปนิพนธ์ผู้เขียนมีการค้นพบแนวทางการ สร้างสรรค์ผลงาน และเนื้อหาที่ชัดเจนยิ่งขึ้น นำเสนอเรื่องสภาวะสำนึกแห่งตัวตนที่มีที่มา จากแรงตรึงเครียดจากสังคมภายนอกอันส่งผลกระทบเข้าไปภายในจิตใจ ผลัดความรู้สึก ความเป็นตัวตนให้จางไปจากเดิม ซึ่งยังมั่นคงในการนำเสนอจากภาษาภาพที่แทนด้วย ตนเองเป็นภาพถ่ายต้นแบบ และมีการศึกษาข้อมูลสัญญวิทยาและมายคติรวมไปถึงการใช้ สัญลักษณ์นิยม พัฒนาการเลือกใช้ความหมายที่ชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ยังคงมุมมองที่เป็นการ นำเสนอแนวคิดผ่านภาษาภาพท่าทางที่แฝงไปด้วยการตั้งคำถามกับผู้ชมผลงาน โดยมีการ สร้างสรรค์ผลงานในชุดศิลปนิพนธ์ 3 ชิ้น
39 ภาพที่ 4.5 ผลงานศิลปนิพนธ์ “ใคร่ครวญ” Oil on canvas, 140 X 100 cm. , 2022
40 ภาพที่ 4.6 ผลงานศิลปนิพนธ์ “ไหลเวียน” Oil on canvas, 135 X 90 cm. , 2022