The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Mahoei M, 2022-03-17 11:27:18

ยุคดนตรีตะวันตกม.3

ยุคดนตรีตะวันตก

เนื้อหาบทเรียน

MUSIC ROOM

วิวัฒนาการของ
ดนตรีสากล

ในเเต่ละยุคสมัย

ยุคสมัยดนตรีตะวันตก

ยุคกลาง (Middle Ages )
ยุคเรเนสซองส์หรือยุคฟื้ นฟูศิลปวิทยา
(The Renaissance Period)
ยุคบาโรก (The Baroque Period)
ยุคคลาสสิก (The Classical Period)
ยุคโรแมนติก (the Romantic Period)
ยุคอิมเพรสชั่นนิสติค
(The Impressionistic)
ยุคศตวรรษที่ 20
(The Twentieth Century)

MUSIC ROOM

MUSIC ROOM

ยุคกลาง มีการแบ่งเพลงออกเป็น ๒ แบบ คือ
(MIDDLE AGES )
-เพลงเพื่อคฤหัสถ์ (Secular Music)

-เพลงที่เกี่ยวกับศาสนา (Church Music)

เป็นภาษาละติน

- ภาษาตัวโน้ตที่เรียกว่า Neumatic notation
-เกิดการประสานอย่างง่ายเรียกว่า ออร์แกนนั่ม (Organum)
คือ การร้องในลักษณะของการร้องประสานเสียงสองแนว โดย
ใช้ระยะขั้นคู่เสียงคู่สี่เป็นหลัก
-แมส(Mass) ,โมเต็ต(Motet)
-ดนตรีขับร้องเเละบรรเลง
-นักประพันธ์ใช้วิธีด้นสด
-Guido d’Arezzo เป็นนักทฤษฎีดนตรีใช้เส้นบันทึก
โน้ต(staff-notation) และเป็นผู้เผยแพร่วิธีการร้องโน้ตแรก
เห็น (sight-singing)

MUSIC ROOM ยุคกลาง

-Leonin (MIDDLE AGES )

-Perotin
-Jacapo da Bologna
-Guido d’Arezzo
-Guillaume de Machaut กิโยม เดอ มาโช

- เครื่องสายที่บรรเลงด้วยการใช้คันชัก ได้แก่
ซอวิแอล (Vielle) ซอรีเบ็ค (Rebec) ซอทรอมบา มารินา (Tromba
marina)

- เครื่องสายที่บรรเลงด้วยการใช้นิ้วดีด ได้แก่ ลูท (Lute)
- เครื่องเป่า ได้แก่ ขลุ่ยรีคอร์เดอร์ (Recorder) ปี่ ชอม (Shawm) แตรฮอร์น

ยุคเรเนสซองส์หรือยุค
ฟื้ นฟูศิลปวิทยา

(THE RENAISSANCE
PERIOD)

- ตรงสมัยโคลัมบัสพบทวีปอเมริกา
- เกิดการขับร้องประสานเสียง 4 เเนว (ยุคทอง)
- The Golden Age of Polyphony
- มีการพัฒนา Rhythm ในแบบ Duple time
และ Triple time ขึ้น
- เเมดริกัน (Madrigali) ไม่เกี่ยวกับศาสนา

ยุคเรเนสซองส์หรือยุค
ฟื้ นฟูศิลปวิทยา

(THE RENAISSANCE
PERIOD)

-ดันสเตเบิล (John Dunstable )
-กิโยม ดูเฟย์(Guillianum Dufay)
-โอคิกัม (Johannes Ockeghem) เจ้าชายแห่งดนตรี
-ปาเลสตรินา (Giovanni Pierluigi da Palestrina)
-โทมัส ทัลลิส (Thomas Tallis)
-เบิร์ด (William Byrd) จัดพิมพ์โน้ตดนตรีแต่ผู้เดียวในสมัยนี้
-คลอดิโอ มอนแทแวร์ดี (Claudio Monteverdi) เเนวคิด เพลง โอเปร่า

Johann Sebastian ยุคบาโรก
Bach
(THE BAROQUE PERIOD)
Antonio Vivaldi
- “Baroque” มาจากคำว่า “Barroco” ในภาษาโปรตุเกสซึ่งหมายถึง
“ไข่มุกที่มีสัณฐานเบี้ยว”
- เน้นความโอ่อ่า หรูหรา
- สนใจเเนว monody
-มีแนวสำคัญที่เรียกในภาษาอิตาเลี่ยนว่า “เบสโซคอนตินิวโอ (Basso
Continuo) เบสเป็นทำนอง
- การประสานเสียงแบบ Homophony ซึ่งเป็นการประสานเสียงแบบ
อิงคอร์ด
-ใช้บันไดเสียงเมเจอร์ (Major)และไมเนอร์ (Minor) แทนโมด (Mode)
- มีการระบุความเร็ว – ช้า และหนัก – เบา ลงไปในผลงานบ้าง เช่น
adagio, andante และ allegro
- Improvisation ได้รับความนิยม

Johann Sebastian ยุคบาโรก
Bach (THE BAROQUE PERIOD)

- วิวัลดี (Antonio Vivaldi)
คอนเเชร์โต , เพลง 4 season

- บาค (Johann Sebastian Bach)
เป็นนักออร์แกนและคลาเวียร์ , เพลงศาสนา cantata

Air on a G String
- ฮันเดล (George Frideric Handel)
messiah เป็นภาษาฮิบรู แปลว่า ผู้มาโปรด

เพลง Hallelujah Chorus
- Johann Pachelbel (Canon in D)

Antonio Vivaldi

ยุคคลาสสิก
(THE CLASSIC PERIOD)




- นักดนตรีเรียก "ยุคเวียนนิสคลาสสิก"
- ดนตรีมีการเปิดกว้างสู่ประชาชนเป็นดนตรีนอกโบสถ์ (secular
music) มากขึ้น ดนตรียุคคลาสสิกมีลักษณะความเป็นจริง มีความ
สมดุล และแจ่มชัดในรูปแบบ
- ดนตรีบรรเลงมีความเด่นกว่าเพลงร้อง
- เป็นดนตรีบริสุทธิ์(absolute music) คือดนตรีที่ไม่มีจินตนาการอยู่
เบื้องหลัง ตรงข้ามกับดนตรีในยุคโรแมนติกที่เป็นดนตรีพรรณนา
- เลิกนิยมการสอดประสานของทำนอง (Counterpoint) แต่หันมา
นิยมการใส่เสียงประสานแบบโฮโมโฟนี (Homophony)
- มีแนวประสานเป็นคอร์ด หรืออาร์เพจจิโอ (arpeggio) หลายแนวที่มี
จังหวะคล้ายกัน โดยเลิกใช้แนวเบสต่อเนื่อง (basso continuo) และ
ความสำคัญของการด้นสด (Improvisation)

ยุคคลาสสิก
(THE CLASSIC PERIOD)

- มีการกำหนดรูปแบบของเพลงที่เป็นเเบบแผน เช่น Symphony
Concerto และ Sonata
- การผสมวงมีกำหนดแน่นอนว่าเป็นวงเล็กหรือวงใหญ่

>>> Chamber music
* 2=Duet / 3=Trio / 4=Quarted / 5=Quinted
>>> Orchestra
* String Woodwind Brass Percussion

- มีการเเสดงอุปรากรหรือโอเปร่า (Opera) เป็นการแสดง
บนเวทีชนิดหนึ่ง โดยมีลักษณะเป็นแบบละครที่ดำเนินโดยใช้
ดนตรีเป็นหลักหรือทั้งหมด จะเน้นเรื่องศิลปะการแสดงมาก
ขึ้น มิใช่เน้นเพียงการร้องเท่านั้น
- ใช้เปียโนเป็นส่วนมาก ไม่ค่อยมีการใช้ฮาร์ปซิคอร์ดอีก

ยุคคลาสสิก
(THE CLASSIC PERIOD)

คริสตอฟ วิลลิบัลด์ กลุ๊ค (Christoph Franz Joseph Haydn
Willibald Gluck)
ฟรานซ์ โจเซฟ ไฮเดิน (Franz Joseph
Haydn) บิดาเเห่งซิมโฟนี
โวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท (Wolfgang
Amadeus Mozart) บิดาเเห่งสตริงควอ
เต็ด เขียนซิมโฟนีตั้งเเต่ 8 ขวบ
ลุดวิจ ฟาน เบโทเฟน (Ludwig van
Beethoven) สังคีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ตลอด
กาล

Wolfgang Amadeus Mozart

ยุคโรเเมนติก

(THE ROMANTIC PERIOD)

- ดนตรีคลาสสิกเป็นดนตรที่เน้นรูปแบบลงตัวแน่นอน


(Formality) โรแมนติกจะเน้นที่เนื้ อหา(Content) คลาสสิกเน้น

ความมีเหตุผลเกี่ยวข้องกัน (Rationalism)โรแมนติกเน้นที่

อารมณ์ (Emotionalism)

- คีตกวีสมัยนี้มีความคิดเป็นตัวของตัวเองมากขึ้ น สามารถ

แ ส ด ง อ อ ก ถึ ง ค ว า ม รู้สึ ก นึ ก คิ ด อ ย่ า ง มี อิ ส ร ะ

- เกิดกระเเสลัทธิชาตินิยม

- เริ่มเก็บเงินค่าเข้าชม คอนเสิร์ต
- นำคอร์ดที่ไม่กลมกลื่ นมาใช้มากขึ้ น เน้นความดัง - เบา เเละ

เ ท ค นิ ค เ ล่ น ย า ก

Ludwig van Beethoven

ยุคโรเเมนติก

(THE ROMANTIC PERIOD)

- ลุดวิจ ฟาน เบโทเฟน (Ludwig van

Beethoven)

- ซีเบลิอุ ส (Jean Sibelius)

- ลิสซต์ (Franz Liszt)

- โชแปง (Frederic Chopin)

- ชู มานน์ (Robert Schumann)

- วากเนอร์ (Richard Wagner)

- บรามส์ (Johannes Brahms)

- ไชคอฟสกี (Peter Ilyich Tchaikovsky )

Frederic Chopin

Peter Ilyich Tchaikovsky

Claude Debussy ยุคอิมเพรสชั่นนิสติค
(THE IMPRESSIONISTIC)

- ช่วงในตอนปลายของศตวรรษที่ 19 จนถึงตอนต้นศตวรรษที่ 20
- ชื่ ออิมเพรสชั่นนิสติค หรือ อิมเพรสชั่นนิซึม เป็นชื่ อยุ คของศิ ลปะ
การวาดภาพที่เกิดขึ้ นในฝรั่งเศส โดยมี Monet ,Manet และ Renoir
เป็นผู้สร้างสรรค์ขึ้ นมา ซึ่งเป็นศิ ลปะการวาดภาพที่ประกอบด้วยการ

แต้มแต่งสีเป็นจุ ดๆ มิใช่เป็นการระบายสีทั่วๆ ไป
- มีดนตรีที่ได้รับการพัฒนาขึ้ นโดย เดอบู สซี Claude Debussy

ผู้ ป ร ะ พั น ธ์ เ พ ล ง ช า ว ฝ รั่ง เ ศ ส
- บันไดเสียงแบบเสียงเต็ม (Whole-tone Scale) มี 6 เสียง
- ยุ คนี้มีลักษณะ ลึกลับ ไม่กระจ่างชัด เพราะคอร์ดที่ใช้จะเป็นลักษณะ
ของอ๊อกเมนเต็ด (Augmented)
- ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง ค ว า ม รู้สึ ก ที่ ไ ด้ จ า ก เ พ ล ง ป ร ะ เ ภ ท นี้ จ ะ เ ป็ น ลั ก ษ ณ ะ ข อ ง
ความรู้สึก “คล้ายๆ ว่าจะเป็น” หรือ “คล้ายๆ ว่าจะเหมือน”

ยุคอิมเพรสชั่นนิสติค
(THE IMPRESSIONISTIC)

- เพลง Clair de lune (Moon light) 1905 เป็นเพลงที่
ประพันธ์ขึ้ นจากความประทับใจในแสงจันทร์
:เดอบู สซี Claude Debussy
-เพลง Bolero 1928 ทำนองแบบสเปนดนตรีเริ่มจากเบา
ที่สุด แต่ละท่อนไม่ยาวเกินไป ใช้สีสันของเสียงจากการเปลี่ยน
เครื่ องดนตรี ให้ความรู้สึกค่อนข้างเย้ายวนและร้อนแรงใน
ช่ ว ง ท้ า ย
: Maurice Ravel

Maurice Ravel

ยุคศตวรรษที่ 20
(THE TWENTIETH CENTURY)

- ยุ คที่ทดลองค้นหาความแปลกใหม่
- ใช้บันไดเสียงแบบ 12 เสียง(Twelve tone)
- การผลิต เครื่ องดนตรีที่ใช้ไฟฟ้าที่เราเรียกว่า “ซินธิไซเซอร์” (Synthesizer) ซึ่ง

สามารถปรับแต่งเสียงเครื่ อง ดนตรีได้เกือบทุกชนิด
- เกิดดนตรีประเภทสมัยนิยม (Popular song)
-องค์ประกอบหลัก 4 ประการเหมือนเดิม กล่าวคือระดับเสียง ความดังค่อยของเสียง

ความสั้นยาวของโน้ต และสีสันของเสียง
- ริชชาร์ท วากเนอร์( Richard Wagner )
- อีกอร์ สตราวินสกี (Igor Stravinsky)

ยุคศตวรรษที่ 20
(THE TWENTIETH CENTURY)

- ว ง อ อ ร์เ ค ส ต ร า ข น า ด เ ล็ ก ( S m a l l O r c h e s t r a ) มี ผู้ เ ล่ น ป ร ะ ม า ณ 40-60 คน
- ว ง อ อ ร์เ ค ส ต ร า ข น า ด ก ล า ง ( M e d i u m O r c h e s t r a ) มี ผู้ เ ล่ น ป ร ะ ม า ณ 6 0 - 8 0 ค น
- ว ง อ อ ร์เ ค ส ต ร า ข น า ด ใ ห ญ่ ( F u l l O r c h e s t r a ) มี ผู้ เ ล่ น ป ร ะ ม า ณ 80-100 คน
* * ข น า ด ข อ ง ว ง อ อ ร์เ ค ส ต ร้า จ ะ มี ข น า ด ใ ห ญ่ ห รือ เ ล็ ก นั้น ใ ห้ถื อ เ อ า ก ลุ่ ม เ ค รื่ อ ง ส า ย เ ป็ น

ห ลั ก สำ คั ญ ใ น ก า ร จัด ข น า ด ข อ ง ว ง
ว ง แ ช ม เ บ อ ร์มิว สิ ค ( C h a m b e r M u s i c )
- ผู้ บ ร ร เ ล ง 2 ค น เ รีย ก ดู โ อ ( D u o )
- ผู้ บ ร ร เ ล ง 3 ค น เ รีย ก ท ริโ อ ( T r i o )
- ผู้ บ ร ร เ ล ง 4 ค น เ รีย ก ค ว อ เ ต็ ต ( Q u a r t e t )
- ผู้ บ ร ร เ ล ง 5 ค น เ รีย ก ค วิน เ ต็ ต ( Q u i n t e t )
- ผู้ บ ร ร เ ล ง 6 ค น เ รีย ก เ ซ ก ซ์เ ต็ ต ( S e x t e t )
- ผู้ บ ร ร เ ล ง 7 ค น เ รีย ก เ ซ พ เ ต็ ต ( S e p t e t )
- ผู้ บ ร ร เ ล ง 8 ค น เ รีย ก อ อ ค เ ต็ ต ( O c t e t )
- ผู้ บ ร ร เ ล ง 9 ค น เ รีย ก โ น เ น็ ต ( N o n e t )

ลองฟังกันเถอะ

Kru P Moei

MUSIC


Click to View FlipBook Version