โครงงานเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ชื่อผู้จัดทำโครงงาน นางสาวพิชชาอร เครือวงศ์คำ สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ปีการศึกษา ๒๕๖๕
โครงงานเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ชื่อผู้จัดทำโครงงาน นางสาวพิชชาอร เครือวงศ์คำ รหัส ๖๒๑๘๑๐๑๐๒๐๕ สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ปีการศึกษา ๒๕๖๕
ก ชื่อเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ผู้รายงาน นางสาวพิชชาอร เครือวงศ์คำ ปีที่วิจัย ๒๕๖๕ บทคัดย่อ การศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ มีวัตถุประสงค์เพื่อ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเขียนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกมาตรา ตัวสะกด สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๒ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ จำนวน ๖ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบฝึกมาตราตัวสะกดและแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางด้านการเขียนมาตราตัวสะกด ซึ่งเป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ ๔ ตัวเลือก จำนวน ๒๐ ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ การหาร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน ผลการศึกษาพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ภายหลังได้รับการพัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทยโดยใช้แบบฝึก มาตราตัวสะกด มีคะแนนพัฒนาการเฉลี่ยร้อยละ ๖๗.๑๘ เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
ข กิตติกรรมประกาศ การรายงานครั้งนี้ได้รับความกรุณาและความช่วยเหลือเป็นอย่างดียิ่งจาก อาจารย์ ณัฐชยา ปันทกา อาจารย์สาขาวิชาภาษาไทย อาจารย์ประจำคณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏ ลำปาง ที่กรุณาให้คำแนะนำ เป็นที่ปรึกษาและตรวจสอบเครื่องมือในการศึกษาค้นคว้าจนสำเร็จลุล่วง ด้วยดี ผู้รายงานขอกราบขอบพระคุณมา ณ โอกาสนี้ ขอกราบขอบพระคุณครูพิสมัย สายคำ (ครูพี่เลี้ยง) ที่กรุณาให้คำปรึกษา ให้คำแนะนำและ อำนวยความสะดวกในการเก็บรวบรวมข้อมูล ขอขอบพระคุณคณะครูและนักเรียนโรงเรียนอนุบาลแม่ทะทุกท่าน ที่ให้กำลังใจและให้ คำแนะนำมาโดยตลอด และขอบใจเด็กระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ทุกคน ที่ให้ความร่วมมือใน การทำแบบฝึกทักษะการเขียนภาษาไทยเรื่องมาตราตัวสะกดจนประสบผลสำเร็จได้ด้วยดี ประโยชน์จากรายงานการศึกษาครั้งนี้ ผู้รายงานขอมอบเป็นเครื่องบูชาพระคุณ บิดา มารดา และครูอาจารย์ผู้มีพระคุณทุกท่าน พิชชาอร เครือวงศ์คำ ผู้จัดทำโครงงาน
ค สารบัญ เรื่อง หน้า บทคัดย่อ ............................................................................................................................... ก กิตติกรรมประกาศ................................................................................................................... ข สารบัญ ................................................................................................................... ............... ค สารบัญตาราง ........................................................................................................ ............... จ สารบัญแผนภูมิ .............................................................................................................. ........ ฉ บทที่ ๑ บทนำ………................................................................................................ .............. ๑ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ..................................................................... ๑ วัตถุประสงค์การศึกษา ............................................................................................... ๓ สมมติฐานการศึกษา ..................................................................................................... ๓ ขอบเขตการศึกษา ....................................................................................................... ๓ นิยามศัพท์เฉพาะ ......................................................................................................... ๕ ประโยชน์ของการศึกษา ................................................................................................ ๕ บทที่ ๒ วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง .......................................................................๖ หลักสูตรแกนกลางการศึกษา 2551............................................................................... ๗ เป้าหมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษา 2551......................................................... ๗ ความหมายของการเขียน…………………………………………………………………………………… ๑๑ ความสำคัญของการเขียน……………………………………………………………………………………..๑๒ องค์ประกอบของการเขียน………………………………………………………………………………… ๑๓ ความหมายของมาตราตัวสะกด…………………………………………………………………………. ๑๔ ความสำคัญของมาตราตัวสะกด…………………................................................................ ๑๖ ประเภทของมาตราตัวสะกด…………............................................................................. ๑๖ ความหมายของแบบฝึกทักษะ…………………………………………………………………………… ๑๗ ความสำคัญของแบบฝึกทักษะ...................................................................................... ๑๘ ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ......................................................................................... ๒๐ งานวิจัยเกี่ยวข้อง.............................................................................................................๒๐
ง สารบัญ (ต่อ) เรื่อง หน้า บทที่ ๓ วิธีการดำเนินงาน.................................................................................................... ๒๓ กลุ่มตัวอย่าง................................................................................................................. ๒๓ เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา............................................................................................ ๒๓ การเก็บรวบรวมเครื่องมือ………………………………………………………………………………….. ๒๓ การสร้างและหาคุณภาพของเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา.................................................. ๒๖ การวิเคราะห์ข้อมูล....................................................................................................... ๒๖ สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล.............................................................................................. ๒๖ บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.............................................................................................. ๒๘ สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล…………………………………………….. ๒๘ ลำดับขั้นในการเสนอผลการวิเคราห์ข้อมูล…………………………………………………………….. ๒๘ ผลการวิเคราะห์ข้อมูลก่อนและหลังเรียนจากการทดสอบเรื่อง มาตราตัวสะกด………….. ๒๙ บทที่ ๕ สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ.......................................................................... ๓๐ สรุปผลการศึกษา.............................................................................................. .............. ๓๐ อภิปรายผล.................................................................................................................... ๓๐ ข้อเสนอแนะ................................................................................................................ ๓๒ บรรณานุกรม ......................................................................................................................... ๓๓ ภาคผนวก ......................................................................................................................... ..... ๓๖ ภาคผนวก ก รายนามผู้เชี่ยวชาญ..................................................................................... ๓๗ ภาคผนวก ข ผลการวิเคราะห์การหาคุณภาพเครื่องมือ……………………………..……………… ๓๙ ภาคผนวก ค เครื่องมือในการศึกษา................................................................................. ๔๒ ภาคผนวก ง ผลการวิเคราะห์ข้อมูล……………………………………………………………..………… ๔๓ ภาคผนวก จ ภาพกิจกรรม……………………………………………………………………..…………….. ๔๖ ประวัติผู้รายงาน…………………………………………………………………………………………………..……… ๔๘
จ สารบัญตาราง ตารางที่ หน้า ๑ ตารางรางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลก่อนและหลังเรียนจากการทดสอบ เรื่อง มาตราตัวสะกด…………………………………………………………………………………. ๒๙ ๒๙
ฉ สารบัญแผนภูมิ แผนภูมิที่ หน้า ๑ กรอบแนวคิดการศึกษา ๔
๑ บทที่ ๑ บทนำ ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา การศึกษาในยุคไทยแลนด์ ๔.๐ หรือ ศตวรรษที่ ๒๑ มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณสมบัติได้แก่ ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะสารสนเทศ สื่อ เทคโนโลยี ทักษะชีวิตและอาชีพ หลักสูตร แกนกลางรายวิชาภาษาปี๒๕๕๑ มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้ที่มีความรู้กระบวนการคิดวิเคราะห์วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีซึ่ง เป็นคุณลักษณะที่สำคัญของทรัพยากรของประเทศไทย ในการก้าวเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงทั้ง ภาวะเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและการดำรงชีวิตอย่างมีคุณภาพ ปัจจุบันสถานศึกษาในประเทศไทย ได้มีการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อมุ่งให้ผลผลิตทรัพยากรมนุษย์ของประเทศเป็นไป ตามเป้าหมายของการจัดการศึกษาทุกระดับทั้งภาพรวมระดับประเทศและระดับภูมิภาค โรงเรียน อนุบาลแม่ทะ เป็นสถานศึกษาที่มีการจัดการศึกษาตั้งแต่ระดับชั้นปฐมวัยถึงระดับชั้นประถมศึกษาปี ที่ ๖ ซึ่งดำเนินการสอนมาแล้วเป็นระยะเวลา ๙๔ ปี ซึ่งปรากฏผลการจัดการศึกษาอยู่ในระดับดี เลิศ (รายงานผลการปฏิบัติงานประจำปี ๒๕๖๔) และมีผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาไทยระดับชาติ (O-Net) อยู่ในระดับดีเลิศ (รายงานผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา ภาษาไทยระดับชาติปี ๒๕๖๔) แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๐–๒๕๗๙ มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนให้มีคุณลักษณะ และทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ (๓Rs๘Cs) ประกอบด้วยทักษะและคุณลักษณะต่อไปนี้ ๓Rs ได้แก่การอ่านออก(Reading) การเขียนได้(Writing) และการคิดเลขเป็น(Arithmetics) ๘Cs ได้แก่ ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) ทักษะด้านความ เข้าใจต่างวัฒนธรรมต่างกระบวนทัศน์ (Cross –cultural Understanding) ทักษะด้านความร่วมมือ การทำงานเป็นทีมและภาวะผู้นำ (Collaboration, Teamwork and Leadership) ทักษะด้านการ สื่อสารสารสนเทศและการรู้เท่าทันสื่อ (Communications, Information and Media Literacy) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing and ICT Literacy) ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้(Career and Learning Skills) และความมีเมตตากรุณา มีวินัยคุณธรรมจริยธรรม(Compassion) การพัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ในโลกต้องเผชิญกับระบบเศรษฐกิจโลกที่มีการแข่งขันอย่างเสรี และไร้พรมแดน อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ (ศศิณัฎฐ์ สรรคบุรานุรักษ์, ๒๕๖๐)
๒ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยได้ระบุว่า ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการ สื่อสาร เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพและนำไปใช้ในชีวิตจริง ซึ่งในรายวิชาภาษาไทยได้กำหนดสาระการ เรียนรู้ออกเป็น ๕ สาระ ได้แก่ สาระการอ่าน การเขียน การฟัง การดู และการพูด หลักการใช้ ภาษา วรรณคดีและวรรณกรรม โดยแต่ละสาระการเรียนรู้ผู้เรียนจะได้ศึกษาและเรียนรู้แต่ละสาระ ได้อย่างเข้าใจ เกิดทักษะและสมรรถนะต่อตนเอง (กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๕๑) จากการที่ผู้รายงานได้ไปฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูในโรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ได้สังเกตถึงปัญหาในการพัฒนาผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลสูงสุด พบว่าผู้เรียนไม่ เข้าใจเรื่องมาตราตัวสะกดและครูผู้สอนไม่มีเทคนิควิธีการสอนที่ให้ผู้เรียนจดจำได้มากขึ้น จากปัญหา ข้างต้นผู้วิจัยจึงวิเคราะห์ถึงสาเหตุของปัญหา พบว่าสาเหตุที่ผู้เรียนไม่เข้าใจเรื่องมาตราตัวสะกด เนื่องจากในบางชั่วโมงผู้เรียนขาดความพร้อมที่จะเรียนรู้และผู้เรียนบางคนไม่สนใจที่จะเรียน คุยกับเพื่อนในขณะที่ครูสอนบ้าง อีกทั้งครูผู้สอนไม่มีเทคนิควิธีการสอนที่ให้ผู้เรียนจดจำ เพื่อให้การจัดการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทยมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลกับผู้เรียน อย่างสูงสุดผู้วิจัยได้ทำการศึกษาแนวทางในการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับ ปัญหาและความต้องการของผู้เรียนพบว่ามีนักวิชาการหลายได้ทำการศึกษาวิจัยถึงเทคนิค กระบวนการในการพัฒนาการเรียนการสอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ธัญจิรา วิจิตรพัชราภรณ์ (๒๕๕๙) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะ เรื่องมาตราตัวสะกดกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ที่มีผลต่อปลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนที่สอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะเรื่อง มาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าการเรียนโดยไม่ได้ ใช้แบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง มาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย แตกต่างกันอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑ ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้แสดงว่า ก่อนเรียนด้วย แบบฝึก เสริมทักษะ เรื่อง มาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย นักเรียนมีความรู้ความ เข้าใจ ในเนื้อหาบ้างเล็กน้อย แต่เมื่อได้เรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง มาตราตัวสะกด กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย แล้วทำให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น จึงสามารถนาความรู้มาทำ แบบทดสอบหลังเรียนและได้คะแนนมากกว่าก่อนเรียน ฉะนั้นแสดงว่า แบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง มาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพ นางกาญจนา ชลเกริกเกียรติ (๒๕๖๑) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำพื้นฐานภาษาไทยโดยใช้แบบฝึก ทักษะสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ พบว่า การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนและความสามารถในการอ่านและเขียนคำพื้นฐาน ภาษาไทยของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๑ มีประสิทธิภาพ ๘๐.๕๑./๘๓.๓๓ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์๘๐/๘๐ ที่ตั้งไว้ และทิพรัตน์
๓ ศรีจำปา, พรสวรรค์ ศิริกัญจนาภรณ์ (๒๕๕๕) ได้ศึกษาวิจัยเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านการ เขียน โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะเรื่องมาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนโรงเรียนบ้านกกโพธิ์แสนเอี้ยม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต ๓ พบว่า ๑.ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านการเขียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกด สำหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ มีประสิทธิภาพกระบวนการ (E๑ ) เฉลี่ยเท่ากับ ๘๒.๐๓ และ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์(E๒) เฉลี่ยเท่ากับ ๘๑.๒๐ เมื่อพิจารณาเป็นรายเล่ม พบว่ามีประสิทธิภาพ ของกระบวนการสูงกว่าเกณฑ์ ทุกเล่ม แสดงว่าแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านการเขียนกลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ มีประสิทธิภาพสูงกว่า เกณฑ์๘๐/๘๐ ที่กำหนดไว้ ๒. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่าน การเขียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกดสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านการเขียนพบว่า ๒.๑ ผลการ พัฒนาทักษะการอ่านการเขียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓โรงเรียนบ้านกกโพธิ์แสนเอี้ยม หลังการจัดการเรียนรู้สูงกว่าก่อนการจัดการ เรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านการเขียนเล่มที่ ๑ (มาตราแม่ก กา) เล่มที่ ๒ (มาตราแม่ กก) เล่มที่ ๓ (มาตราแม่ กด) เล่มที่ ๔ (มาตราแม่ กบ) เล่มที่ ๕ (มาตราแม่ กง) เล่มที่ ๖ (มาตราแม่ กน) เล่มที่ ๗ (มาตราแม่ กม) เล่มที่ ๘ (มาตราแม่ เกย) เล่มที่ ๙ (มาตราแม่ เกวอ) อย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ.๐๕ วัตถุประสงค์การศึกษา เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเขียนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด สำหรับ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ สมมติฐานการศึกษา นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ภายหลังจากได้รับการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะมีผลการเรียนเรื่องมาตราตัวสะกดในเกณฑ์ ที่สูงขึ้นร้อยละ ๖๐ ขอบเขตการศึกษา ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดขอบเขตการศึกษาไว้ดังนี้ ๑. กลุ่มเป้าหมาย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ จำนวน ๖ คน
๔ ๒. เนื้อหา หลักสูตรรายวิชาภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกด เป็นเนื้อหาตามแผนการจัดการเรียนรู้ระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ๓. ระยะเวลา ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าในช่วงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๕ – ๒๓ กันยายน ๒๕๖๕ ๔. กรอบแนวคิดการศึกษา กรอบแนวคิดในการศึกษาครั้งนี้แสดงให้เห็นภาพ ความสัมพันธ์ของตัวแปรต้นและตัวแปรตาม ที่จะศึกษา ดังแสดงในแผนภูมิที่ ๑ - แนวคิดพื้นฐานในการวิจัย หลักสูตรแกนกลาง ปี ๒๕๕๑ - การเขียน - มาตราตัวสะกด - แบบฝึกทักษะ - งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตัวแปรต้น แบบฝึกทักษะการเขียน ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๒ ตัวแปรตาม ผลสัมฤทธิ์ทางการเขียน เรื่องมาตราตัวสะกด แผนภูมิที่ ๑ กรอบแนวคิดการศึกษา
๕ นิยามศัพท์เฉพาะ แบบฝึกทักษะ หมายถึง แบบฝึกหัดหรือชุดการสอนที่เป็นแบบฝึกหัดที่ใช้เป็นตัวอย่างปัญหาหรือคำสั่ง ที่ตั้งขึ้นให้นักเรียนตอบ มาตราตัวสะกด หมายถึง พยัญชนะที่ประกอบอยู่ท้ายสระ และเสียงประสมเข้ากับสระ มาตรา ตัวสะกดแบ่งเป็น ๘ มาตรา ได้แก่ แม่กก แม่กด แม่กบ แม่กน แม่กง แม่กม แม่เกย และแม่เกอว และในแต่ละ มาตราจะมีพยัญชนะที่เป็นตัวสะกด ประโยชน์ของการศึกษา ต่อนักเรียน ๑. ผู้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยดีขึ้น ๒. ผู้เรียนมีความสุข สนุกในการเรียนรู้ ๓. ผู้เรียนได้รับการดูและและติดตามพัฒนาการเรียนรู้จากครูผู้สอนอย่างใกล้ชิดและเป็นรายบุคคล ต่อครู ๑. ได้การยอมรับและไว้วางใจจากนักเรียน ๒. ได้พัฒนาการเรียนการสอนของตนเอง ๓. ได้ผลงานวิชาการเพื่อการเผยแพร่และพัฒนาตนเอง ๔. ได้รับความยอมรับจากเพื่อนครูตลอดจนความเชื่อมั่นจากผู้ปกครอง
๖ บทที่ ๒ วรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง การจัดกิจกรรมการพัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด สำหรับชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ ๑. หลักสูตรแกนกลางการศึกษา ๒๕๕๑ ๑.๑ เป้าหมายของหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ๒๕๕๑ ๑.๒ รายละเอียดของหลักสูตร ๒. การเขียน ๒.๑ ความหมายของการเขียน ๒.๒ ความสำคัญของการเขียน ๒.๓ องค์ประกอบของการเขียน ๓. มาตราตัวสะกด ๓.๑ ความหมายของมาตราตัวสะกด ๓.๒ ความสำคัญของมาตราตัวสะกด ๓.๓ ประเภทของมาตราตัวสะกด ๔. แบบฝึกทักษะ ๔.๑ ความหมาย ความเป็นมาของแบบฝึกทักษะ ๔.๒ ความสำคัญของแบบฝึก ๔.๓ ลักษณะของแบบฝึกที่ดี ๔.๔ ประโยชน์ของแบบฝึก ๕. วิจัยที่เกี่ยวข้อง
๗ ๑. หลักสูตรการแกนกลางการศึกษา ๒๕๕๑ ๑.๑ เป้าหมายของหลักสูตร หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๖๑ นี้จัดทำขึ้นสำหรับท้องถิ่นและ สถานศึกษาได้นำไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาและจัดการเรียน การสอน เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้มีคุณภาพด้านความรู้ และทักษะที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงและแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนา ตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ๒๕๖๑: ๑-๖) มาตรฐานการ เรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในเอกสารนี้ช่วยทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในทุกระดับเห็นผล คาดหวัง ที่ต้องการในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ชัดเจน การจัดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังได้ทุก ฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งระดับชาติ ชุมชน ครอบครัวและบุคคลต้องร่วมรับผิดชอบ โดยร่วมกันทำงานอย่าง เป็นระบบและต่อเนื่องในการวางแผน ดำเนินการส่งเสริม สนับสนุน ตรวจสอบ ตลอดจนปรับปรุง แก้ไขเพื่อพัฒนาเยาวชนของชาติไปสู่คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ ๑.๒ รายละเอียดของหลักสูตร วิสัยทัศน์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และ การศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ หลักการ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีหลักการที่สำคัญดังนี้ ๑. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อความเป็นเอกภาพของชาติ มีจุดหมายและมาตรฐาน การเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำหรับพัฒนาเด็กและเยาวชนให้มีความรู้ ทักษะ เจตคติ และคุณธรรม บนพื้นฐานของความเป็นไทยควบคู่กับความเป็นสากล ๒. เป็นหลักสูตรการศึกษาเพื่อปวงชน ที่ประชาชนทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา อย่างเสมอภาคและมีคุณภาพ
๘ ๓. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่สนองการกระจายอำนาจให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาให้ สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถิ่น ๔. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่มีโครงสร้างยืดหยุ่นทั้งด้านสาระการเรียนรู้ เวลาและ การจัดการเรียนรู้ ๕. เป็นหลักสูตรการศึกษาที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ จุดมุ่งหมาย หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมาย เพื่อให้เกิดกับผู้เรียน เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ดังนี้ ๑. มีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเองมีวินัยและปฏิบัติตนตาม หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ๒. มีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต ๓ มีสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย ๔. มีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลกยึดมั่นในวิถีชีวิตและการปกครอง ตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ๕. มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคม อย่างมีความสุข สมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๑. สมรรถนะสำคัญ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียน ให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุ มาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ ๕ ประการ ดังนี้ ๑. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถใน การรับและส่งสารมีวัฒนธรรมในการใช้ภาษา ถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึกและทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสาร และประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรอง เพื่อขจัดและลดปัญหา ความขัดแย้งต่างๆการเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลัก เหตุผล และ ความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเอง และสังคม
๙ ๒. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถใน การคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์การคิดอย่าง สร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือ สารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเอง และสังคมได้อย่างเหมาะสม ๓. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถใน การแก้ปัญหาและอุปสรรคต่างๆที่เผชิญได้ อย่างถูกต้องเหมาะสม บนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์ และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่างๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาและมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น ต่อตนเอง สังคม และสิ่งแวดล้อม ๔. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถ ในการนำกระบวนการต่างๆไปใช้ในการ ดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกัน ในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่าง บุคคลการจัดการปัญหาและความขัดแย้งต่างๆ อย่างเหมาะสมการปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อมและการรู้จัก หลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อ ตนเองและผู้อื่น ๕. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถ ในการเลือกและใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการ ทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทํางาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสม และมีคุณธรรม ๒. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียน ให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นใน สังคมได้อย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ดังนี้ ๑. รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ๒. ซื่อสัตย์สุจริต ๓. มีวินัย ๔. ใฝ่เรียนรู้ ๕. อยู่อย่างพอเพียง ๖. มุ่งมั่นในการทำงาน ๗. รักความเป็นไทย ๘. มีจิตสาธารณะ
๑๐ มาตรฐานการเรียนรู้ ๒๕๕๑ การพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความสมดุล ต้องคำนึงถึงหลักพัฒนาการทางสมองและพหุปัญญา หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน จึงกำหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ ๘ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ดังนี้ ๑. ภาษาไทย ๒. คณิตศาสตร์ ๓. วิทยาศาสตร์ ๔.สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ๕. สุชศึกษาและพลศีกษา ๖. ศิลปะ ๗. การงานอาชีพและเทคโนโลยี ๘. ภาษาต่างประเทศ ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนา คุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ ระบุสิ่งที่ผู้เรียนจึงรู้และปฏิบัติได้ มีคุณธรรม จริยธรรมและ ค่านิยมที่พึงประสงค์ ที่ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้นมาตรฐาน การเรียนรู้ ยังเป็นกลไกสำคัญ ในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้ จะสะท้อนให้ทราบว่า ต้องการอะไร ต้องสอนอะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไรรวมทั้งเป็น เครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษาโดยใช้ระบบการประเมินคุณภาพภายใน และการประเมินคุณภาพภายนอกซึ๋งรวมถึงการทดสอบระดับเขตพื้นที่การศึกษา และการทดสอบ ระดับชาติ ระบบการตรวจสอบเพื่อประกันคุณภาพดังกล่าวเป็นสิ่งสำคัญ ว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มี การเรียนรู้กำหนดเพียงใด สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้ใน ๔ กลุ่มสาระ การเรียนรู้ จำนวน ๖๗ มาตรฐาน ดังนี้ ภาษาไทย สาระที ๑ การอ่าน มาตรฐาน ท ๑.๑ ใช้กระบวนการอ่านสร้างความรู้และความคิด เพื่อนำไปใช้ตัดสินใจ แก้ปัญหาในการดาเนินชีวิตและมีนิสัยรักการอ่าน
๑๑ สาระที่ ๒ การเขียน มาตรฐาน ท ๒.๑ใช้กระบวนการเขียน เขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ ย่อความ และเขียน เรื่องราวในรูปแบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและ รายงานการศึกษาค้นคว้าอย่างมีประสิทธิภาพ สาระที่ ๓ การฟัง การดู และการพูด มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอย่างมีวิจารณญาณ และพูดแสดงความรู้ความคิด ความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวิจารณญาณ และสร้างสรรค์ สาระที่ ๔ หลักการใช้ภาษาไทย มาตรฐาน ท ๔.๑ เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงของภาษาและพลังของภาษา ภูมิปัญญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เป็นสมบัติ ของชาติ สาระที ๕ วรรณคดีและวรรณกรรม มาตรฐาน ท ๕.๑ เข้าใจและแสดงความคิดเห็น วิจารณ์วรรณคดี และวรรณกรรมไทย อย่างเห็นคุณค่าและนำมาประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ๒. การเขียน ๒.๑ ความหมายของการเขียน สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (๒๕๕๐ : ภาคผนวก ๒/๘) ได้ให้ความหมาย การเขียน ว่าหมายถึง การสื่อสารด้วยตัวอักษรเพื่อถ่ายทอดความรู้ ความคิด อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ ข่าวสารและจิตนาการ โดยการใช้ภาษาที่ถูกต้องเหมาะสมตามหลักการใช้ภาษาและ ตรงตามเจตนาของผู้เขียน วรรณี โสมประยูร (๒๕๔๔ : ๑๓๙) ให้ความหมายของการเขียนว่าเป็นเครื่องมือการ ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของบุคคลออกมาเป็นสัญลักษณ์หรือตัวอักษร เพื่อสื่อ ความหมายให้ผู้อื่นได้เข้าใจได้ เพราะการเขียนเป็นทักษะการส่งออกตามหลักของภาษาศิลป์จาก ความหมายของการเขียนดังกล่าว ทำให้มองเห็นความสำคัญของการเขียนว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อ การสื่อสารในชีวิตประจำวัน เช่น นักเรียนใช้การเขียนบันทึกความรู้ ทำแบบฝึกหัดและตอบข้อสอบ บุคคลทั่วไปใช้การเขียนเพื่อเขียนจดหมาย ทำสัญญา พินัยกรรม การค้ำประกัน เป็นต้น
๑๒ นงเยาว์ เลี่ยมขุนทด (๒๕๔๗ : ๒๒) ได้ให้ความหมายของการเขียน คือกระบวนการคิด ที่ถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรและถูกต้องตามหลักเกณฑ์ทางภาษาสามารถสื่อสารกันได้ อัจฉรา ชีวพันธ์ (๒๕๕๓). ที่กล่าวไว้ว่า การเขียนเป็นการถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด และ ประสบการณ์ต่าง ๆ ของผู้เขียน เพื่อสื่อสารให้ผู้อื่นเกิดความเข้าใจได้ตรงตามที่ผู้เขียน สรุปได้ว่าการเขียน หมายถึง กระบวนการคิดที่ถ่ายทอดออกมาเป็นสัญลักษณ์หรือ ลายลักษณ์อักษรเพื่อสื่อความหมายให้ผู้อื่นได้เข้าใจตรงตามที่ผู้ส่งสารต้องการ ๒.๒ ความสำคัญของการเขียน วรรณี โสมประยูร. (๒๕๕๓). ได้ให้ความสำคัญของการเขียนโดยสรุปไว้ดังนี้ ๑. เป็นเครื่องมือสื่อสารอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอดความคิด ความเข้าใจ และประสบการณ์ของตนเองเสนอต่อผู้อ่าน ๒. เป็นการเก็บบันทึกรวบรวมข้อมูลที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ซึ่งตนเคยมีประสบการณ์ มาก่อน ๓. เป็นการระบายอารมณ์อย่างหนึ่ง เกี่ยวกับเรื่องที่ผู้เขียนเกิดความรู้สึกประทับใจใน ประสบการณ์ที่ผ่านมา ๔. เป็นเครื่องมือถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรม เช่น ถ่ายทอดจากสมัยหนึ่งไปสู่อีกสมัยหนึ่ง ๕. เป็นเครื่องมือพัฒนาสติปัญญาของบุคคล เนื่องจากการเรียนรู้เกือบทุกอย่างต้องใช้ การเขียนเป็นเครื่องมือสำหรับบันทึกสิ่งที่ได้ฟังหรือได้อ่าน ๖. เป็นการสนองความต้องการของมนุษย์ ๗. เป็นการแสดงออกตามภูมิปัญญาของผู้เขียน ๘. เป็นอาชีพอย่างหนึ่งที่ได้รับการยกย่องว่ามีเกียรติ ๙. เป็นการพัฒนาความสามารถและบุคลิกส่วนบุคคลให้มีความเชื่อมั่นในตนเองในการแสดง ความรู้สึกและแนวคิด ๑๐. เป็นการพัฒนาความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และใช้เวลาวางให้เป็นประโยชน์ ซึ่งสอดคล้องกับ สุวัฒน์ วิวัฒนานนท์. (๒๕๕๑). ได้ให้ความสำคัญของการเขียนโดยสรุป ไว้ดังนี้ ๑. เป็นเครื่องแสดงออกความรู้ ความคิด และความรู้สึกของมนุษย์ ๒. เป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดความเจริญหรืออารยธรรมแต่ละยุคแต่ละสมัย ๓. เป็นเครื่องมือใช้สื่อสารทั้งเรื่องในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ๔. เป็นเครื่องมือที่ใช้สนองความปรารถนาของมนุษย์
๑๓ ๕. เป็นสื่อที่ช่วยกระจายความรู้ ความคิดให้กว้างไกลและรวดเร็ว ๖. เป็นเครื่องมือทางวัฒนธรรมที่ถ่ายทอดมรดกทางด้านสติปัญญาของมนุษย์ ๗. เป็นสื่อกลางที่ให้ความรู้สึกนึกคิด และความเพลิดเพลินแก่คนทุกเพศ ทุกวัย ๘. เป็นบันทึกทางสังคมที่ให้คุณประโยชน์แก่คนรุ่นปัจจุบันและอนาคต ๙. เป็นงานอาชีพที่สำคัญอยางหนึ่งในปัจจุบัน สรุปได้ว่า การเขียนมีความสำคัญเพราะเป็นวิธีการสื่อสารและมีประโยชน์ เนื่องด้วยเป็น การถ่ายทอด ความรู้ ความคิด ความรู้สึกต่าง ๆ ของผู้เขียนเป็นหลัก และนอกจากนั้น การเขียน ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการวัดความเจริญทางอารยธรรมของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยด้วย รวมทั้ง ถ่ายทอดภาพของอดีต ปัจจุบันและอนาคตที่เป็นการจินตนาการได้อีกด้วย สร้างความรัก ความเข้าใจ ข้อตกลงแนวปฏิบัติ เพื่อการอยู่ร่วมกันของสังคม ๒.๓ องค์ประกอบของการเขียน การเขียนเป็นการสื่อสารที่มีองค์ประกอบใหญ่ (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ๒๕๔๖ : ๔๗๖) ดังนี้ ๑. ผู้เขียน ลักษณะของผู้เขียนจะประกอบไปด้วย ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการ ความรู้ ความสามารถในการเลือกเนื้อหาและใช้ภาษา การแสดงความคิด ลักษณะท่าทางในการเขียน ลายมือของผู้เขียน และจรรยาบรรณผู้เขียน ๒. ภาษา ภาษาไทยมีการจำแนกคำสำหรับใช้ในกาลเทศะที่แตกต่างกัน บุคคลที่ต่างฐานะ จะใช้คำเหมือนกันย่อมไม่เหมาะสม เพราะคำ ๆ เดียวจะใช้กับบุคคลทุกฐานะทุกโอกาส และทุกสถานที่ ย่อมไม่ถูกต้องตามหลักภาษาไทย แต่โดยทั่วไปได้จำแนกภาษาไทยเป็น ๓ ระดับ คือ ๒.๑ ภาษาปาก ส่วนใหญ่เป็นภาษาที่ใช้พูดมากกว่าเขียน เช่น ภาษาถิ่น หมายถึง การเขียนที่ใช้สำนวนพูดกับบุคคลที่สนิทคุ้นเคยกัน ๒.๒ ภาษากึ่งแบบแผน เป็นทั้งภาษาพูด และภาษาเขียน ไม่เป็นพิธีรีตอง ๒.๓ ภาษาแบบแผน เป็นภาษาที่มีความมุ่งหมาย แบบแผน และหลักเกณฑ์สำหรับเขียน เฉพาะเรื่อง ภาษาแบบแผนแบ่งได้ ๒ แบบ คือ ข้อเขียนเพื่อพูด และเขียนเพื่อใช้อ่าน ๓. เครื่องมือที่ทำให้เกิดสาร หมายถึง เครื่องมือที่ผู้เขียนใช้ ได้แก่ ตัวอักษร และเครื่องเขียน
๑๔ ๓. มาตราตัวสะกด ๓.๑ ความหมายของมาตราตัวสะกด มาตรา คือ แม่บทแจกลูกอักษรตามหมวดคำที่มีตัวสะกดหรือออกเสียงอย่างเดียวกัน มาตราแม่ ก กา หรือ แม่ ก กา คือพยางค์ไม่มีตัวสะกด มาตราแม่กน หรือ แม่กน คือพยางค์ที่มีตัว น สะกดหรือตัวอื่นซึ่งทำหน้าที่เหมือนตัว น สะกด ได้แก่ตัว น ณ ญ ร ล ฬ (๖) มาตราแม่กง หรือ แม่กง คือพยางค์ที่มีตัว ง สะกดหรือนิคหิตซึ่งทำหน้าที่เหมือน ตัว ง สะกด (๑) มาตราแม่กก หรือ แม่กก คือพยางค์ที่มีตัว ก สะกดหรือตัวอื่นซึ่งทำหน้าที่เหมือน ตัว ก สะกด ได้แก่ตัว ก ข ค ฆ (๔) มาตราแม่กด หรือ แม่กด คือพยางค์ที่มีตัว ด สะกดหรือตัวอื่นซึ่งทำหน้าที่เหมือน ตัว ด สะกด ได้แก่ตัว ด จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ต ถ ท ธ ศ ษ ส (๑๘) มาตราแม่กบ หรือ แม่กบ คือพยางค์ที่มีตัว บ สะกด หรือตัวอื่นซึ่งทำหน้าที่เหมือน ตัว บ สะกด ได้แก่ตัว บ ป พ ฟ ภ (๕) มาตราแม่กม หรือ แม่กม คือพยางค์ที่มีตัว ม สะกดหรือนิคหิต ซึ่งทำหน้าที่เหมือน ตัว ม สะกด (๑) มาตราแม่เกย หรือ แม่เกย คือพยางค์ที่มีตัว ย สะกด ราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๔๒, หน้า ๘๕๖) ให้ความหมาย มาตราว่าหมายถึง แม่บทแจกลูก พยัญชนะต้นกับสระ โดยไม่มีตัวสะกด เรียกว่า แม่ ก กา หรือ มาตรา ก กา หลักเกณฑ์ที่วาง ไว้เพื่อให้กำหนดได้รู้ว่าคำที่มีพยัญชนะตัวใดบ้างเป็ นตัวสะกดอยู่ ในมาตราใดหรือแม่ใด คือ ถ้ามีตัว ก ข ค สะกด จัดอยูในมาตราแม่กกหรือแม่กก ถ้ามีตัว ง สะกด จัดอยูในมาตราแม่กงหรือแม่กง ถ้ามีตัว จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส สะกด จัดอยูในมาตราแม่กดหรือแม่กด ถ้ามีตัว ญ ณ น ร ล ฬ สะกด จัดอยูในมาตราแม่กบหรือแม่กบ ถ้ามีตัว บ ป พ ฟ ภ สะกด จัดอยูในมาตราแม่กบหรือแม่กบ ถ้ามีตัว ม สะกด จัดอยูในมาตราแม่กมหรือแม่กม ถ้ามีตัว ย สะกด จัดอยูในมาตราแม่เกยหรือแม่เกย ถ้ามีตัว ว สะกด จัดอยูในแม่เกอว
๑๕ นอกจากนี้ ราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๔๒, หน้า ๘๕๖) ได้ให้ความหมายของแม่ในมาตรา ตัวสะกดต่าง ๆ ไว้ดังนี้ คำหรือพยางค์ที่มีแต่สระ ไม่มีตัวสะกด เรียกว่า แม่ ก กา คำหรือพยางค์ที่มีตัว ก ข ค ฆ สะกด เรียกว่า แม่ กก คำหรือพยางค์ที่มีตัว จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส สะกดเรียกว่า แม่กด คำหรือพยางค์ที่มีตัว ญ ณ น ร ล ฬ สะกด เรียกว่า แม่กน คำหรือพยางค์ที่มีตัว บ ป พ ฟ ภ สะกด เรียกว่า แม่กบ คำหรือพยางค์ที่มีตัว ม สะกด เรียกว่า แม่กม คำหรือพยางค์ที่มีตัว ย สะกด เรียกว่า แม่เกย คำหรือพยางค์ที่มีตัว ว สะกด เรียกว่า แม่เกอว ตัวสะกด คือ พยัญชนะที่ประกอบอยูท้ายพยางค์ และมีเสียงประสมเข้ากับบสระ ทำให้หนัก ขึ้นตามฐานของพยัญชนะ (พระยาอุปกิตศิลปสาร, ๒๕๓๕, หน้า ๒๓) ดังนี้ แม่ กก มีพยัญชนะวรรค ก เว้นตัว ง เป็นตัวสะกด แม่ กง มีตัว ง เป็นตัวสะกด แม่ กด มีพยัญชนะวรรค จ วรรค ฏ วรรค ต และ ศ ษ ส เว้นตัว ญ ณ น เป็นตัวสะกด แม่ กบ มีพยัญชนะวรรค ป เป็นตัวสะกด แม่ กม มีตัว ม เป็นตัวสะกด แม่ เกย มีตัว ย เป็นตัวสะกด แม่ เกอว มีตัว ว เป็นตัวสะกด ตัวสะกด น. พยัญชนะท้ายคำหรือพยางค์ที่ทำหน้าที่บังคับเสียงให้เป็นไปตามมาตราต่าง ๆ เช่น น เป็นตัวสะกดในมาตรากน (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๒) จากการศึกษาความหมายของมาตราตัวสะกด ดังที่กล่าวข้างต้นนั้น จะเห็นว่ามีผู้ให้ ความหมายทั้งที่มีส่วนคล้ายกันและแตกต่างกัน ผู้รายงานจึงขอสรุปคำว่า “มาตรา” กับ คำว่า “แม่” มีความหมายคล้ายกันคือ แม่บทแจกลูกพยัญชนะต้นกบสระที่ออกเสียงอย่าง เดียวกัน ดังนั้นสามารถใช้คำว่า มาตรา และคำว่า แม่แทนกันได้ เช่น มาตรา ก กา หรือ แม่ ก กา ความหมายของตัวสะกด ผู้รายงานขอสรุปว่า คือ พยัญชนะท้ายคำหรือพยางค์ ที่มีเสียงประสมเข้ากับสระ ทำหน้าที่บังคับเสียงให้เป็นไปตามมาตราต่างๆ เช่น น เป็น ตัวสะกดในมาตราแม่กน
๑๖ ๓.๒ ความสำคัญของมาตราตัวสะกด คำในภาษาไทยมีทั้งประเภทที่เป็นคำไทยแท้มีตัวสะกดตรงตามมาตรา และคำที่รับมาจาก ภาษาอื่น ได้แก่ ภาษาบาลี สันสกฤต และภาษายุโรปตะวันตก จะมีตัวสะกดไม่ตรงตามมาตราเป็น ส่วนใหญ่ลักษณะเช่นนี้นับว่าเป็นปัญหาอีกประการหนึ่ง สำหรับผู้เรียนภาษาไทย หากผู้เขียนใช้ ตัวสะกดไม่ถูกต้องจะทำให้สื่อความหมายผิดพลาดไม่ตรงตามความต้องการ ตัวสะกดในภาษาไทยมี บทบาทสำคัญในการกำหนดเสียง และความหมายของคำให้แตกต่างกัน เช่น สา + ง อ่านว่า สาง สา + น อ่านว่า สาน นอกจากนี้ตัวสะกดในมาตราเดียวกัน ออกเสียงสะกดเหมือน แต่ก็จะมี ความหมายแตกต่างกัน เช่น การ (งาน) กาล (เวลา) อาจ (หาญ) สะ (อาด) การสอนเรื่องมาตราตัวสะกด ครูควรจัดกิจกรรมให้นักเรียนตระหนักถึงความจำเป็นในการเขียนและ การอ่านคำให้ตรงตามมาตราตัวสะกด เพื่อสื่อความหมายได้ถูกต้องตรงความหมาย ๓.๓ ประเภทของมาตราตัวสะกด มาตราตัวสะกดในภาษาไทย มี ๙ มาตรา คือ ๑. มาตราตัวสะกดแม่ก กา หมายถึง คำหรือพยางค์ที่ไม่มีตัวสะกด ๒. มาตราตัวสะกดแม่กก หมายถึง คำหรือพยางค์ที่มี ก ข ค ฆ เป็นตัวสะกด แบ่งเป็นแบบตรงมาตรา แม่กก คือ คำหรือพยางค์ที่มี ก เป็นตัวสะกด แบบไม่ตรงมาตราแม่กก คือ คำหรือพยางค์ที่มี ข ค ฆ เป็นตัวสะกด ๓. มาตราตัวสะกดแม่กด หมายถึง คำหรือพยางค์ที่มี จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ด ต ถ ท ธ ศ ษ ส เป็นตัวสะกด แบ่งเป็นแบบตรงมาตราแม่กด คือ คำหรือพยางค์ที่มี ด เป็นตัวสะกดแบบไม่ตรง มาตราแม่กด คือ คำหรือพยางค์ที่มี จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ต ถ ท ธ ศ ษ ส เป็ นตัวสะกด ๔. มาตราตัวสะกดแม่กบ หมายถึง คำหรือพยางค์ที่มี บ ป พ ฟ ภ เป็นตัวสะกดแบ่งเป็นแบบตรง มาตราแม่กบ คือ คำหรือพยางค์ที่มี บ เป็นตัวสะกดแบบไม่ตรงมาตราแม่กบ คือ คำหรือพยางค์ที่มี ป พ ฟ ภ เป็ นตัวสะกด ๕. มาตราตัวสะกดแม่กน หมายถึง คำหรือพยางค์ที่มี ญ ณ น ร ล ฬ เป็นตัวสะกดแบ่งเป็นแบบตรง มาตราแม่กน คือ คำหรือพยางค์ที่มี น เป็นตัวสะกด แบบไม่ตรงมาตราแม่กน คือ คำหรือพยางค์ที่มี ญ ณ ร ล ฬ เป็นตัวสะกด ๖. มาตราตัวสะกดแม่กม หมายถึง คำหรือพยางค์ที่มี ม เป็นตัวสะกด ๗. มาตราตัวสะกดแม่กง หมายถึง คำหรือพยางค์ที่มี ง เป็นตัวสะกด ๘. มาตราตัวสะกดแม่เกย หมายถึง คำหรือพยางค์ที่มี ย เป็นตัวสะกด ๙. มาตราตัวสะกดแม่เกอว หมายถึง ค าหรือพยางค์ที่มี ว เป็นตัวสะกด
๑๗ จากมาตราตัวสะกดทั้ง ๙ มาตรานี้ ผู้รายงานขอยกเว้นมาตราตัวสะกดแม่ ก กา และแบ่งเป็น ๒ ประเภท ดังนี้ ๑. มาตราตัวสะกดไม่ตรงรูป หมายถึง มาตราตัวสะกดที่มีทั้งแบบตรงมาตราและแบบ ไม่ตรงมาตรา มี ๔ มาตรา ได้แก่ แม่กก แม่กด แม่กบ และแม่กน ๒. มาตราตัวสะกดตรงรูป หมายถึง มาตราตัวสะกดที่เป็ นแบบตรงมาตรา มี ๔ มาตรา ได้แก่ แม่กง แม่กม แม่เกย และแม่เกอว ๔. แบบฝึกทักษะ ๔.๑ ความหมาย ความเป็นมาของแบบฝึกทักษะ แบบฝึกเป็นอุปกรณ์การเรียนการสอนอย่างหนึ่งที่ช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้สอน เป็นสื่อการเรียนการสอนที่สามารถนำมาใช้ในการฝึกทักษะให้กับผู้เรียน หลังจากที่เรียนจบ บทเรียนเพื่อฝึกฝนให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ ความชำนาญในเรื่องนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี นักการศึกษาได้ให้ความหมายของแบบฝึกไว้ ดังนี้ อารีย์ วาศน์อำนวย (๒๕๔๕ : ๔๘) ให้ความหมายของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึก คือ อุปกรณ์การเรียน การสอนอย่างหนึ่งอันประกอบด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย น่าสนใจที่จะ นำไปใช้เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกฝนปฏิบัติเพิ่มขึ้นเพื่อจะได้เปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรู้ให้เกิด ความคล่องแคล่ว ความชำนาญ ตลอดจนเกิดความแม่นยำซึ่งเป็นไปโดยอัตโนมัติ ด้วยการ ทบทวนเนื้อหาความรู้ต่าง ๆ ที่ได้เรียนไปแล้วอย่างมีทิศทาง ปราณี อยู่คง (๒๕๔๖ : ๘) ได้สรุปความหมายของแบบฝึกทักษะว่า เป็นสื่อการสอน ที่สร้างขึ้นเพื่อให้นักเรียนปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มีประสบการณ์ และมีทักษะ มากขึ้น ปิยาภรณ์ สร้อยระย้า (๒๕๔๗ : ๓๑) ได้สรุปเกี่ยวกับความสำคัญของแบบฝึกทักษะ ว่าแบบฝึกเสริมทักษะเป็นเทคนิควิธีสอนอีกวิธีหนึ่ง คือ การให้นักเรียนได้ทำแบบฝึกมาก ๆ เพื่อเป็นสิ่งที่จะช่วยให้นักเรียนมีพัฒนาการทางการเรียนรู้ในเนื้อหาวิชาได้ดีขึ้น คือ แบบฝึก เพราะนักเรียนได้มีโอกาสนำความรู้ ที่เรียนมาแล้วมาฝึกเกิดความเข้าใจกว้างขวางยิ่งขึ้น จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอนชนิด หนึ่งที่ใช้ฝึกทักษะให้กับนักเรียน เพื่อให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ เกิดความชำนาญ ในเรื่องนั้น ๆ แบบฝึกทักษะยังมีความสำคัญเพราะเป็นสิ่งที่ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้เร็ว ขึ้น และช่วยให้การเรียนการสอนประสบผลสำเร็จและมีประสิทธิภาพ
๑๘ ๔.๒ ความสำคัญของแบบฝึก การสอนภาษาไทย ต้องให้นักเรียนเกิดทักษะในการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดย ครูต้องจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ให้นักเรียนได้มีโอกาสทำซ้ำ ฝึกซ้ำ อยู่เสมอ จนเกิด ความชำนาญ สามารถฟัง พูด อ่าน เขียนได้อย่างคล่องแคล่ว รวดเร็ว และถูกต้อง เครื่องมือสำคัญ อย่างหนึ่งที่ใช้ฝึกทักษะทางภาษาได้ผลดีก็คือ “แบบฝึก” ดังที่มีผู้กล่าวถึงความสำคัญของแบบฝึกไว้ ดังนี้ คือ อดุลย์ ภูปลื้ม กล่าวว่าความสำคัญของแบบฝึกมีดังนี้ ๑. ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ดีขึ้น ๒. ช่วยให้ผู้เรียนจดจำเนื้อหาของบทเรียน และคำศัพท์ต่าง ๆ ได้คงทน ๓. ทำให้เกิดความสนุกสนาน ๔. ทำให้นักเรียนทราบความก้าวหน้าของตนเอง ๕. สามารถนำแบบฝึกมาทบทวนเนื้อหาเดิมด้วยตนเองได้ ๖. ทำให้ครูผู้สอนทราบความบกพร่องของนักเรียน ๗. ทำให้ประหยัดเวลา ๘. ให้นักเรียนสามารถนาภาษาไปใช้สื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลมโชย ด่านขุนทด (๒๕๔๔ : ๓๒) กล่าวถึงความสำคัญของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกเป็น เครื่องมือสำหรับครูในการสอนให้นักเรียนเข้าใจในเนื้อหารวดเร็ว อีกทั้งยังแบ่งเบาภาระ ช่วยให้ มองเห็นข้อบกพร่องในการสอน และจุดบกพร่องที่เป็นปัญหาของนักเรียนซึ่งครูสามารถแก้ไขปัญหาได้ ตรงจุดทันที ศรีวรรณ ศรีสวัสดิ์(๒๕๔๙ : ๑๒) กล่าวถึงความสำคัญของแบบฝึกว่า แบบฝึกมีความสำคัญ ต่อการเรียนของนักเรียนและมีประโยชน์สำคัญของครูผู้สอน เพราะทำให้ทราบพัฒนาการเด็กและเห็น ข้อบกพร่องในการเรียน ซึ่งจะแก้ไขปรับปรุงได้ทันท่วงทีทำให้ประสบความสำเร็จในการจัดการเรียน การสอน จากนั้นยังสามารถเก็บไว้ใช้ในโอกาสต่อไป สรุปความสำคัญของแบบฝึกได้ว่า แบบฝึกมีความสำคัญทั้งต่อผู้เรียนและผู้สอน โดยเฉพาะใน วิชาทักษะ เพราะเป็นเครื่องมือที่ผู้เรียนสนใจ ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนและมีพัฒนาการดีขึ้น ช่วย ให้ครูได้รู้ความบกพร่องและปัญหาของนักเรียน ช่วยลดภาระของครูและเป็นเครื่องมือวัดผล ประเมินผลการเรียนรู้อีกด้วย
๑๙ ๔.๓ ลักษณะของแบบฝึกที่ดี แบบฝึกเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับให้นักเรียนปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจและ ทักษะเพิ่มขึ้น ในการสร้างแบบฝึกหัดให้มีประสิทธิภาพต้องศึกษาองค์ประกอบและเลือกตามความ เหมาะสมกับระดับความสามารถ นักการศึกษาได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับลักษณะของแบบฝึกที่ดีไว้ ดังนี้ จิตรา สมพล (๒๕๔๗ : ๒๐) กล่าวไว้ว่า แบบฝึกที่ดีต้องมีหลากหลายรูปแบบมีคำชี้แจงที่ ชัดเจน มีจุดมุ่งหมายว่าต้องการฝึกด้านใด สำนวนง่าย เร้าความสนใจและฝึกใช้ความคิด ตรงตาม เนื้อหาในหลักสูตรไม่มากหรือน้อยเกินไป เหมาะสมกับเวลา วัย ความสามารถของนักเรียน และทำให้ ผู้เรียนเกิดความสนุกสนาน ความพอใจในการเรียน ศศิธร สุทธิแพทย์(๒๕๔๘ : ๗๒) ได้ศึกษาพบว่าแบบฝึกที่นักเรียนสนใจและกระตือรือร้นที่ จะทำเป็นแบบฝึกที่มีลักษณะดังนี้ ๑. ใช้หลักจิตวิทยา ๒. สำนวนภาษาง่าย ๓. ให้ความหมายต่อชีวิต ๔. คิดได้เร็วและสนุก ๕. ปลุกความสนใจ ๖. เหมาะกับวัยและความสามารถ ๗. อาจศึกษาด้วยตนเอง นิตยา ฤทธ์ิโยธี(๒๕๔๙ : ๑) กล่าวถึงลักษณะของแบบฝึกที่ดีไว้ดังนี้ ๑. เกี่ยวข้องกับบทเรียนที่เรียนมาแล้ว ๒. เหมาะสมกับระดับวัยหรือความสามารถของเด็ก ๓. มีคำชี้แจงสั้น ๆ ที่ทำให้เด็กเข้าใจวิธีทำได้ง่าย ๔. ใช้เวลาเหมาะสมคือไม่ใช้เวลานานหรือเร็วเกินไป ๕. เป็นสิ่งที่น่าสนใจและท้าทายให้แสดงความสามารถ สรุปแบบฝึกที่ดีควรเป็นแบบฝึกสั้น ๆ ฝึกหลาย ๆ ครั้ง มีหลายรูปแบบ การฝึกควรฝึกเฉพาะ เรื่องเดียว และควรเป็นสิ่งที่ผู้เรียนพบเห็นอยู่แล้ว มีคำชี้แจงสั้น ๆ ใช้เวลาเหมาะสม เมื่อผู้เรียนได้ฝึก แล้วสามารถพัฒนาตนเองได้ดี จึงจะนับว่าเป็นแบบฝึกที่ดีและมีประโยชน์
๒๐ ๔.๔ ประโยชน์ของแบบฝึก แบบฝึกทักษะมีประโยชน์ต่อนักเรียน ซึ่งนักเรียนจะเกิดความชำนาญและมีทักษะที่ ดีได้นั้นต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ แบบฝึกทักษะจะช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ได้แสวงหาองค์ความรู้ใหม่ ๆ และเกิดความสนุกกับเนื้อหา นักการศึกษาได้เสนอแนวคิด เกี่ยวกับประโยชน์ของแบบฝึกไว้ ดังนี้ นิรัติศัย สุดเพาะ (๒๕๕๕ : ๑๗) สรุปประโยชน์ของ แบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกที่มีการสร้างอย่างมีระบบ และมีประสิทธิภาพจะทำให้ครูเห็น ข้อบกพร่องและแก้ปัญหาของผู้เรียนได้ตรงจุด ครูทราบพัฒนาการของผู้เรียนและผู้เรียนเอง ก็ทราบความก้าวหน้าในการเรียนของตนเอง ทำให้ผู้เรียนสนใจที่จะเรียนรู้ยิ่งขึ้น ณิชาพร ปรีชาวิภาษ (๒๕๕๕ : ๔๘) สรุปประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกเป็นเครื่องมือใน การเรียนรู้ ซึ่งนักเรียนจะได้ประสบการณ์ตรงจากการลงมือทำแบบฝึก สนองความต้องการ ของผู้เรียน ช่วยให้เรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล แบบฝึกสามารถเป็นเครื่องมือวัดผลการ เรียนหลังจากจบบทเรียนในแต่ละครั้ง ช่วยให้ครูประหยัดเวลาในการเตรียมแบบฝึกใหม่อยู่ เสมอและยังช่วยให้นักเรียนสามารถทบทวนที่ตนเรียนไปแล้วด้วยตนเอง ใช้ได้ทุกเวลา ทำให้ ถาวร เก็บไว้ใช้ได้นาน หากต้องการปรับเนื้อหาให้ทันสมัยก็สามารถกระทำได้ นงเยาว์ ทองกำเนิด (๒๕๕๘ : ๖๖) สรุปถึงประโยชน์ของแบบฝึกไว้ว่า แบบฝึกทักษะมี ประโยชน์ต่อตัวของเด็กและครู ซึ่งเด็กจะเกิดความชำนาญและมีทักษะที่ดีได้นั้น ต้องอาศัย การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งแบบฝึกทักษะจะช่วยให้เด็กเกิดการเรียนรู้ แสวงหาองค์ความรู้ ใหม่ ๆ เกิดความสนุกกับเนื้อหา แบบฝึกทักษะนอกจากจะเป็นเครื่องมือสำคัญต่อการเรียน ของนักเรียนแล้วยังมีประโยชน์สำหรับครูผู้สอน ซึ่งทำให้ทราบพัฒนาการทางทักษะนั้น ๆ ของนักเรียนและเห็นข้อบกพร่องในการเรียนซึ่งจะได้แก้ไขปรับปรุงได้ทันท่วงทีอันมีผลทำให้ นักเรียนประสบผลสำเร็จในการเรียนรู้ในสาระนั้น ๆ สรุปได้ว่า แบบฝึกเปรียบเสมือนผู้ช่วยที่สำคัญทำให้ครูลดภาระของการสอนลงได้ทำ ให้นักเรียนสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มที่ แก้ไขข้อบกพร่องของนักเรียนได้อย่างตรง ประเด็นและเพิ่มความมั่นใจในการเรียนได้เป็นอย่างดี ๕. วิจัยที่เกี่ยวข้อง ธัญจิรา วิจิตรพัชราภรณ์. (๒๕๕๙). ได้ศึกษาการพัฒนาแบบฝึกทักษะ เรื่องมาตรา ตัวสะกดกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่สอนโดยใช้แบบฝึก เสริมทักษะเรื่องมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียน
๒๑ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่าการเรียนโดยไม่ได้ใช้แบบฝึกเสริม ทักษะ เรื่อง มาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .๐๑ ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ แสดงว่า ก่อนเรียนด้วยแบบฝึก เสริมทักษะ เรื่อง มาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ ในเนื้อหา บ้างเล็กน้อย แต่เมื่อได้เรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง มาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย แล้วทำให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจมากยิ่งขึ้น จึงสามารถนาความรู้มา ทำแบบทดสอบหลังเรียนและได้คะแนนมากกว่าก่อนเรียน ฉะนั้นแสดงว่า แบบฝึกเสริม ทักษะ เรื่อง มาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพ นางกาญจนา ชลเกริกเกียรติ. (๒๕๖๑). ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการอ่านและ เขียนคำพื้นฐานภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๑ พบว่า การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความสามารถในการอ่าน และเขียนคำพื้นฐาน ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ มีประสิทธิภาพ ๘๐.๕๑./ ๘๓.๓๓ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ที่ตั้งไว้ ทิพรัตน์ ศรีจำปา, พรสวรรค์ ศิริกัญจนาภรณ์. (๒๕๕๕). ได้ศึกษาการพัฒนา ทักษะการอ่านการเขียน โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะเรื่องมาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียน โรงเรียนบ้านกกโพธิ์แสนเอี้ยม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต ๓ พบว่า ๑. ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านการเขียนกลุ่มสาระการ เรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ มีประสิทธิภาพกระบวนการ (E๑ ) เฉลี่ยเท่ากับ ๘๒.๐๓ และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E๒) เฉลี่ยเท่ากับ ๘๑.๒๐ เมื่อพิจารณาเป็นรายเล่ม พบว่ามีประสิทธิภาพของกระบวนการสูง กว่าเกณฑ์ทุกเล่ม แสดงว่าแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านการเขียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ มีประสิทธิภาพสูง กว่าเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ที่กำหนดไว้ ๒. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านการเขียนกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกดสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ก่อนและ หลังการจัดกิจกรรมการเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านการเขียนพบ ว่า ๒.๑ ผลการพัฒนาทักษะการอ่านการเขียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง มาตรา ตัวสะกด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓โรงเรียนบ้านกกโพธิ์แสนเอี้ยม หลังการ จัดการเรียนรู้ สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านการเขียนเล่มที่ ๑ (มาตราแม่ ก กา) เล่มที่ ๒ (มาตราแม่ กก) เล่มที่ ๓ (มาตราแม่ กด) เล่มที่ ๔ (มาตราแม่
๒๒ กบ) เล่มที่ ๕ (มาตราแม่ กง) เล่มที่ ๖ (มาตราแม่ กน) เล่มที่ ๗ (มาตราแม่ กม) เล่มที่ ๘ (มาตราแม่ เกย) เล่มที่ ๙ (มาตราแม่ เกวอ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.๐๕ นายเสน่ห์ วรสันติวงศ์. (๒๕๖๐). ได้ศึกษาผลการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและ เขียนคำในมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ พบว่า ๑. แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำในมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพ ๙๐.๓๒/๘๖.๔๑ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ กำหนดไว้ ๘๐/๘๐ ๒. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำในมาตรา ตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ สูงกว่าก่อนเรียนอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑ กมลวรรณ สีแสง. (๒๕๖๓) ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการเขียนตัวสะกด มาตรา แม่กด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนวัดเสาธงนอก พบว่า ทักษะการเขียน สะกดคำมาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนวัดเสาธงนอก ที่เรียน ด้วยแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำมาตราตัวสะกด พบว่า มีคะแนนหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน และนักเรียนร้อยละ 80 ผ่านเกณฑ์ ร้อยละ 60 ที่ตั้งไว้ อนันต์ ลากุล, พลวิทย์ ศรีหาชารี และณัฐธิดา ธีระสาสน์. (๒๕๖๔) ได้ศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียน เรื่องมาตราตัวสะกดของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนวัดธรรมนาวา อำเภอบางประอิน จังหวัดพพระนครศรีอยุธยา พบว่า ๑. แบบฝึกทักษะเขียนมาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนวัด ธรรมนาวามีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน ๘๓.๗๓/๘๘.๖๖ ๒. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเขียนมาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนวัดธรรมนาวา หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน โดยมีนัยสำคัญทางสถิติระดับ .๐๕ จากผลงานวิจัยดังกล่าวจะเห็นว่าการใช้แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาทักษะการเขียน ภาษาไทย มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกทักษะการเขียนมาตรา ตัวสะกดได้ดีขึ้น ด้วยเหตุนี้ผู้ศึกษาจึงมีความสนใจที่จะพัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทยโดย ใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ เพื่อทดลองใช้กับนักเรียนในรายวิชาภาษาไทยและทำการศึกษาว่าเมื่อนักเรียนได้รับการ พัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกดแล้วจะสามารถมีผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนรู้ได้มากหรือน้อย
๒๓ บทที่ ๓ วิธีการดำเนินงาน การรายงานผลการพัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด สำหรับชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๒ ผู้รายงานมีวิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า ดังรายละเอียดตามลำดับต่อไปนี้ ๑. กลุ่มเป้าหมาย ๒. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ๓. การเก็บรวบรวมเครื่องมือ ๔. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ๕. การวิเคราะห์ข้อมูล ๖. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ๑. กลุ่มเป้าหมาย นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ตำบลนาครัว อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง จำนวน ๑ ห้องเรียน มีนักเรียนทั้งหมด ๖ คน ๒. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ๒.๑ แบบฝึกทักษะการเขียนมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่ผู้รายงานสร้างขึ้น เพื่อใช้ฝึกปฏิบัติด้านการเขียนมาตราตัวสะกดจำนวน ๕ ชุด ๒.๒ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางด้านการเขียนมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ เป็นแบบทดสอบแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ ๔ ตัวเลือก จำนวน ๒๐ ข้อ ๓. การเก็บรวบรวมเครื่องมือ ๓.๑ แบบแผนการวิจัย การทำโครงงานครั้งนี้ ได้ใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pre-test Post-test Design เสริมพงศ์ วงศ์กมลาไสย (๒๕๕๕ : ๕๗) โดยมีลักษณะการวิจัย ดังตารางที่ ๑
๒๔ ตารางที่ ๑ แบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pre-test Post-test Design 1 หมายถึง การทดสอบก่อนเรียน (Pre-test ) X หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ การอ่านและ การเขียนสะกดคำ โดยใช้แบบฝึกทักษะ 2 หมายถึง การทดสอบหลังเรียน (Post-test) ๓.๒ ขั้นตอนการดำเนินการ การดำเนินการศึกษาในครั้งนี้ ผู้ศึกษาได้ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ การพัฒนาทักษะ การเขียนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ อำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต ๒ จำนวน ๖ คน ใช้เวลาในการดำเนินการ ๑ ภาคเรียน รวมเวลาทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน โดยมีลำดับขั้นตอนการดำเนินการ ดังนี้ ๓.๒.๑ ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test ) ด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้น จำนวน ๒๐ ข้อ กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง ๓.๒.๒ ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตามแผนการจัดการเรียนรู้ ระหว่างการจัด กิจกรรมการเรียนการสอนได้บันทึกคะแนนการทำกิจกรรมกลุ่มและการทำแบบฝึกทักษะไว้ทุกครั้ง ๓.๒.๓ เมื่อดำเนินการสอนครบทุกแผนแล้วทำการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียน (Post-test) กับนักเรียนกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้แบบทดสอบชุดเดิมกับก่อนเรียน ๔. การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ผู้รายงาน ได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือในการศึกษาตามลำดับ ดังนี้ ๑. การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ผู้รายงานได้ดำเนินการสร้างเครื่องมือในการวิจัย ดังนี้ ๑.๑ ศึกษาสภาพปัญหาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ อำเภอแม่ทะ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาลำปาง เขต ๒ กลุ่ม Pre-test Treatment Post-test ทดลอง 1 X 2
๒๕ ๑.๒ ศึกษาหลักสูตร ค้นคว้าข้อมูล คู่มือการจัดการเรียนรู้หลักสูตรโรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ เกี่ยวกับการจัดทำหน่วยการเรียนรู้ ๑.๓ ศึกษาการสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จากเอกสารต่าง ๆ ๑.๔ ดำเนินการสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ชั้นประถมศึกษาปีที่ จำนวน ๕ ชุด ๑.๕ นำแบบฝึกทักษะพร้อมแบบประเมินที่สร้างขึ้น เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ ๓ ท่าน เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของแบบฝึกทักษะ ความถูกต้องของภาษา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญประกอบด้วย ๑. นางแสงจันทร์ สุขกรณ์ ครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ รักษาการแทนผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลแม่ทะอำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ๒. นางพิสมัย สายคำ ครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนอนุบาลแม่ทะอำเภอแม่ทะ จังหวัดลำปาง ๓. อาจารย์ณัฐชยา ปันทกา อาจารย์สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏลำปาง ๑.๖ นำแบบฝึกทักษะไปทดลองใช้กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๓ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ จำนวน ๓ คน เพื่อดูเวลาที่ใช้ ความเหมาะสมของแบบฝึกทักษะ เร้าความสนใจของนักเรียน สอดคล้องกับเนื้อหา ๑.๗ นำแบบฝึกทักษะการเขียนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๒ ไปปรับปรุงแก้ไขแล้วนำไปทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ อำเภอแม่ทะ จำนวน ๖ คน ๒. การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ผู้รายงานได้ดำเนินการสร้าง ตามลำดับ ดังนี้ ๒.๑ ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักเกณฑ์และวิธีการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนแบบอิงเกณฑ์ของบุญชม ศรีสะอาด (๒๕๕๕ : ๘๙-๙๐) ๒.๒ ศึกษาหลักสูตร คู่มือการวัดผลและประเมินผลตามหลักสูตรโรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ๒.๓ กำหนดเนื้อหาและกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ให้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระ ๒.๔ สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัย ชนิดเลือกตอบ ๔ ตัวเลือก จำนวน ๒๐ ข้อ ๒.๕ นำแบบทดสอบที่สร้างขึ้น เสนอผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมกับข้อ (๑.๕) เพื่อพิจารณา
๒๖ ความเที่ยงตรงของเนื้อหา ความเหมาะสมของภาษาที่ใช้ และประเมินความสอดคล้องระหว่าง แบบทดสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนน ดังนี้ ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่า ข้อสอบนั้นวัดตรงตามจุดประสงค์ ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่า ข้อสอบนั้นวัดตรงตามจุดประสงค์ ให้คะแนน -1 เมื่อแน่ใจว่า ข้อสอบนั้นวัดไม่ตรงตามจุดประสงค์ ๒.๖ นำคะแนนผลการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ มาหาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างคำถาม กับจุดประสงค์โดยใช้สูตรของโรวิเนลลีและแฮมแบลตัน (Rowinelli and Hambleton 1977,อ้างใน บุญชม ศรีสะอาด ๒๕๔๕ : ๖๔-๖๕) IOC = ∑ IOC = ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับ จุดประสงค์ ∑ = ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ N = จำนวนผู้เชี่ยวชาญ หลักเกณฑ์การคัดเลือกข้อคำถามมีดังนี้ ๑. ข้อคำถามที่มีค่า IOC ตั้งแต่ ๐.๕-๑.๐๐ คัดเลือกไว้ใช้ได้ ๒. ข้อคำถามที่มีค่า IOC ต่ำกว่า ๐.๕ ควรพิจารณาปรับปรุงหรือตัดทิ้ง ๒.๗ นำแบบทดสอบไปทดลองใช้ (Try-Out) กับนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ จำนวน ๓ คน ๕. การวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาครั้งนี้ ผู้ศึกษาทำการวิเคราะห์ข้อมูล โดยวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ ๑. วิเคราะห์หาค่าเฉลี่ยและร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ๒. วิเคราะห์หาคะแนนเฉลี่ยและร้อยละของคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการประเมินการทำแบบฝึก ทักษะระหว่างเรียน ๖. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ๖.๑ การวิเคราะห์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สถิติที่ใช้ ได้แก่ ๖.๑.๑ ร้อยละ (Percentage ) ใช้สูตร P ของบุญชม ศรีสะอาด ( ๒๕๔๕ : ๑๐๔ )
๒๗ สูตร = × 100 เมื่อ P แทน ร้อยละ F แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ N แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด ๖.๑.๒ ค่าเฉลี่ย (Arithmetic Mean) ของคะแนน โดยใช้สูตรของ บุญชม ศรีสะอาด (๒๕๕๕ : ๑๐๕) สูตร ̅= ∑ เมื่อ ̅ แทน ค่าเฉลี่ย ∑ แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม แทน จำนวนนักเรียน ๖.๑.๓ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) โดยใช้สูตร โดยใช้สูตร S.D. ของ บุญชม ศรีสะอาด (๒๕๕๕ : ๑๐๖) สูตร .. = √ ∑ 2−(∑ ) 2 (−1) .. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน 2 แทน คะแนนแต่ละตัว แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม ∑ แทน ผลรวม
๒๘ บทที่ ๔ ผลการวิเคราะห์ข้อมูล การรายงานผลการพัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด สำหรับ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ผู้รายงานได้เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามลำดับขั้น ดังนี้ ๑. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๒. ลำดับขั้นในการเสนอผลการวิเคราห์ข้อมูล ๓. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ๑. สัญลักษณ์ที่ใช้ในการนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้รายงานได้กำหนดสัญลักษณ์ที่ใช้ในการแปลความหมายผลการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ = จำนวนกลุ่มเป้าหมาย ̅ = คะแนนเฉลี่ย ∑ = ผลรวมของคะแนนทั้งหมด ๒. ลำดับขั้นในการเสนอผลการวิเคราห์ข้อมูล การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทย ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด
๒๙ ๓. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ตารางที่ ๑ ตารางแสดงผลการวิเคราะห์ข้อมูลก่อนเรียนและหลังเรียนจากการทดสอบเรื่อง มาตราตัวสะกด นักเรียน คนที่ คะแนนก่อนเรียน (๒๐ คะแนน) คะแนนหลังเรียน (๒๐ คะแนน) คะแนน ความก้าวหน้า ร้อยละ พัฒนาการ แปรผล ๑ ๕ ๑๕ ๑๐ ๖๖.๖๖ สูงขึ้น ๒ ๗ ๑๘ ๑๑ ๖๑.๑๑ สูงขึ้น ๓ ๘ ๒๐ ๑๒ ๖๐ สูงขึ้น ๔ ๖ ๑๘ ๑๒ ๖๖.๖๖ สูงขึ้น ๕ ๕ ๑๙ ๑๔ ๗๓.๖๘ สูงขึ้น ๖ ๕ ๒๐ ๑๕ ๗๕ สูงขึ้น รวม ๓๖ ๑๑๐ ๗๔ ๔๐๓.๑๑ เฉลี่ย ๖ ๑๘.๓๓ ๑๒.๓๓ ๖๗.๑๘ SD ๑.๒๖ ๑.๘๖ ๑.๘๖ จากตารางที่ ๑ พบว่า นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ ๖ คะแนน และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ ๑๘.๓๓ คะแนน ซึ่งปรากฏว่านักเรียนมีค่าเฉลี่ยความก้าวหน้าเพิ่มขึ้น ๑๒.๓๓ คะแนน เมื่อพิจารณาเป็นรายบุคคลพบว่า นักเรียนได้คะแนนเพิ่มขึ้นทุกคน แสดงว่านักเรียนที่ทำ แบบทดสอบรื่อง มาตราตัวสะกด มีพัฒนาการที่สูงขึ้นตามลำดับ เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
๓๐ บทที่ ๕ สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งเป็นการศึกษาเชิง ปฏิบัติการในชั้นเรียนโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเขียนภาษาไทย โดยใช้แบบฝึก มาตราตัวสะกด สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ ผู้รายงาน ได้ศึกษากับกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการทำโครงงาน ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียน อนุบาลแม่ทะ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๕ จำนวน ๖ คน เครื่องมือในการทำโครงงาน ประกอบด้วย แบบฝึกทักษะมาตราตัวสะกดและแบบทดสอบก่อนและหลังใช้แบบฝึกทักษะ ซึ่งการศึกษาครั้งนี้ได้มีการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งเชิงปริมาณและการวิเคราะห์เชิงคุณภาพ จากการศึกษา สามารถสรุปผลได้ดังนี้ ๑. สรุปผลการศึกษา ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทยก่อน เรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด พบว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ ๖ คะแนน และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ ๑๘.๓๓ คะแนน ซึ่งปรากฏว่านักเรียนมีค่าเฉลี่ยความก้าวหน้า เพิ่มขึ้น ๑๒.๓๓ คะแนน เมื่อพิจารณาเป็นรายบุคคลพบว่า นักเรียนได้คะแนนเพิ่มขึ้นทุกคน แสดงว่านักเรียนที่ทำแบบทดสอบรื่อง มาตราตัวสะกด มีพัฒนาการที่สูงขึ้นตามลำดับ เป็นไปตาม สมมติฐานที่ตั้งไว้ ๒. อภิปรายผล ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง การพัฒนาทักษะการเขียนภาษาไทยก่อน เรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกด พบว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ ๖ คะแนน และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ ๑๘.๓๓ คะแนน ซึ่งปรากฏว่านักเรียนมีค่าเฉลี่ยความก้าวหน้า เพิ่มขึ้น ๑๒.๓๓ คะแนน เมื่อพิจารณาเป็นรายบุคคลพบว่า นักเรียนได้คะแนนเพิ่มขึ้นทุกคน แสดงว่า นักเรียนที่ทำแบบทดสอบรื่อง มาตราตัวสะกด มีพัฒนาการที่สูงขึ้นตามลำดับ เป็นไปตามสมมติฐาน ที่ตั้งไว้ซึ่งเป็นผลมาจาก ๑. แบบฝึกทักษะที่สร้างขึ้นมีความยากง่ายที่เหมาะสมกับช่วงชั้นของผู้เรียน และได้ทำการฝึกฝนตั้งแต่เริ่มต้นเป็นลำดับขั้นตอนเพื่อเรียนรู้ตั้งแต่ระดับง่ายไปจนถึงระดับที่ยากขึ้น ๒. การติดตามพัฒนาการผู้เรียนเป็นรายบุคคลของครูผู้สอนตลอดจนการเสริมแรงทางบวกจาก ครูผู้สอน ประกอบกับผู้รายงานได้กำหนดเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนทุกคน จึงทำให้ผลการ
๓๑ การศึกษาเป็นไปตามสมมติฐาน โดยทั้งนี้ผลการศึกษาได้มีค่าร้อยละความสำเร็จอยู่ในระดับร้อยละ ๑๐๐ อันเป็นผลมาจากการวางแผนและพัฒนาเครื่องมือในการวิจัยเป็นอย่างดีประกอบด้วย เครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินผลผ่านการพัฒนาและตรวจสอบคุณภาพมาเป็นอย่างดีโดยผ่าน การตรวจสอบด้านความเที่ยงตรงโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน ๓ ท่าน โดยผู้วิจัยได้คัดเลือกเครื่องมือที่มีค่า ดัชนีความสอดคล้องมากกว่าหรือเท่ากับ .๕๐ ขั้นไป สอดคล้องกับผลการวิจัย ทิพรัตน์ ศรีจำปา, พรสวรรค์ ศิริกัญจนาภรณ์. (๒๕๕๕). ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการอ่านการเขียน โดยใช้แบบฝึก เสริมทักษะเรื่องมาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนโรงเรียนบ้านกกโพธิ์แสนเอี้ยม สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต ๓ พบว่า ๑. ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านการเขียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ มีประสิทธิภาพกระบวนการ (E๑ ) เฉลี่ยเท่ากับ ๘๒.๐๓ และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E๒)เฉลี่ยเท่ากับ ๘๑.๒๐ เมื่อพิจารณา เป็นรายเล่ม พบว่ามีประสิทธิภาพของกระบวนการสูงกว่าเกณฑ์ทุกเล่ม แสดงว่าแบบฝึกเสริมทักษะ การอ่านการเขียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๓ มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ที่กำหนดไว้ ๒. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยแบบฝึกทักษะการอ่านการเขียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกดสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ ก่อนและหลังการจัดกิจกรรม การเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านการเขียนพบว่า ๒.๑ ผลการพัฒนาทักษะการอ่านการเขียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง มาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓โรงเรียน บ้านกกโพธิ์แสนเอี้ยม หลังการจัดการเรียนรู้ สูงกว่าก่อนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ การอ่านการเขียนเล่มที่ ๑ (มาตราแม่ ก กา) เล่มที่ ๒ (มาตราแม่ กก) เล่มที่ ๓ (มาตราแม่ กด) เล่มที่ ๔ (มาตราแม่ กบ) เล่มที่ ๕ (มาตราแม่ กง) เล่มที่ ๖ (มาตราแม่ กน) เล่มที่ ๗ (มาตราแม่ กม) เล่มที่ ๘ (มาตราแม่ เกย) เล่มที่ ๙ (มาตราแม่ เกวอ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.๐๕
๓๒ ข้อเสนอแนะจากโครงงาน ๑. การทำโครงงานครั้งนี้มีข้อจำกัดด้านระยะเวลาที่มีจำกัดเพียง ๑ ภาคเรียน ซึ่งการทำโครงงานเป็น การดำเนินงานซึ่งต้องใช้ความรู้ความเข้าใจและระยะในการฝึกฝนให้มีความรู้ความสามารถในทาง ปฏิบัติจึงควรเพิ่มระยะเวลาในการทำโครงงานให้มากขึ้น ๒. การทำโครงงานครั้งนี้มีข้อจำกัดด้านสถานการณ์โควิด 19 ซึ่งทำให้ผู้เรียนต้องขาดเรียน จึงทำให้ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนน้อยลง ดังนั้นหากทำโครงงานในสภาพการณ์ปกติและมีการสอน อย่างต่อเนื่องก็จะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองอย่างสมบูรณ์ตามแผนของโครงงาน ข้อเสนอแนะในการทำโครงงานครั้งต่อไป ๑. ควรมีการศึกษาโครงงานเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่มีความหลากหลายของรูปแบบแบบฝึกทักษะ เพื่อให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ที่ยั่งยืน ๒. ควรมีการศึกษาโครงงานเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนการสอนโดยแบบฝึกทักษะในกลุ่มอื่น ๆ ๓. ควรมีการศึกษาโครงงานเพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาแบบอื่น ๆ เพื่อพัฒนาความสามารถ ทักษะการเขียนภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกมาตราตัวสะกดของนักเรียนให้มากยิ่งขึ้นโดยเน้นการติดตาม ผู้เรียนเป็นรายบุคคลและให้ผลสะท้อนในการพัฒนาผู้เรียนโดยทันที เช่น การใช้เทคโนโลยีทาง การศึกษา เป็นต้น
๓๓ บรรณานุกรม กมลวรรณ สีแสง. (๒๕๖๓). การพัฒนาทักษะการเขียนตัวสะกด มาตราแม่ กดของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๓ โรงเรียนวัดเสาธงนอก. (ผลการวิจัย). สมุทรปราการ: โรงเรียนวัดเสาธงนอก. กรมวิชาการ. (๒๕๔๖). แนวการสอนภาษาไทย สำหรับชั้นประถมศึกษา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา ลาดพร้าว. กรมวิชาการ. (๒๕๕๑). การจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. กระทรวงศึกษาธิการ. (๒๕๕๑). หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑.กรุงเทพฯ : โรง พิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว. กาญจนา ชลเกริกเกียรติ. (๒๕๖๑). การพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำพื้นฐานภาษาไทยโดยใช้แบบฝึก ทักษะสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑. (ผลการวิจัย). สุราษฎร์ธานี: โรงเรียนวัดบ่อมะปริง. จิตรา สมพล. (๒๕๔๗). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคํา วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖. วิทยานิพนธ์ ค.ม. (การพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอน). อุบลราชธานี: มหาวิทยาลัยราชภัฏ อุบลราชธานี ณิชาพร ปรีชาวิภาษ. (๒๕๕๕). การพัฒนาแบบฝึกการอ่านจับใจความโดยใช้ข้อมูลท้องถิ่นสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๔. วิทยานิพนธ์ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิชาหลักสูตรและการนิเทศ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร. ดวงใจ ไทยอุบุญ. (๒๕๔๓).ทักษะการเขียนภาษาไทย. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ทิพรัตน์ ศรีจำปา,พรสวรรค์ ศิริกัญจนาภรณ์. (๒๕๕๓). การพัฒนาทักษะการอ่านการเขียนโดยใช้แบบฝึก เสริมทักษะเรื่องมาตราตัวสะกดสำหรับนักเรียนโรงเรียนบ้านกกโพธิ์แสนเอี้ยม สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาเลย เขต ๓. (ผลการวิจัย). เลย: โรงเรียนบ้านกกโพธิ์. ทิศนา แขมมณี. (๒๕๕๓). ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ. พิมพ์ ครั้งที่ ๑๓. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ธัญจิรา วิจิตรพัชราภรณ์. (๒๕๕๙). การพัฒนาแบบฝึกทักษะ เรื่องมาตราตัวสะกดกลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทยที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓. (ผลการวิจัย) กรุงเทพมหานคร: โรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษา. นงเยาว์ ทองกำเนิด. (๒๕๕๘). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๓ อำเภอเขาชะเมา จังหวัดระยอง. (วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชา หลักสูตรและการสอน มหาวิทยาลัยบูรพา). นิตยา ฤทธิ์โยธี. (๒๕๒๐). การใช้แบบฝึกเสริมทักษะ. เอกสารเผยแพร่ความรู้: กรมสามัญศึกษา. นิรัติศัย สุดเพาะ. (๒๕๕๕). การสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
๓๔ ปีที่ ๒ โรงเรียนมัญจาศึกษา จังหวัดขอนแก่น. ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต(หลักสูตรและการสอน). มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. บุญชม ศรีสะอาด. (๒๕๔๓). การวิจัยเบื้องต้น. พิมพ์ครั้งที่ ๕. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม. ปราณี อยู่คง. (๒๕๔๖). การพัฒนาชุดทักษะการอ่าน เพื่อจับใจความวิชาภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต สาขาวิชาหลักสูตรและการสอน บัณฑิตวิทยาลัย. อุบลราชธานี: ราชภัฏ อุบลราชธานี. ปิยนาถ น่วมทอง. (๒๕๔๓). การพัฒนาแบบฝึกทักษะภาษาไทย เรื่อง การเขียนสะกดคำพื้นฐานแบบเรียน ภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑. วิทยานิพนธ์ (กศ.ม.). พิษณุโลก: บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยนเรศวร. ปิยาภรณ์ สร้อยระย้า. (๒๕๔๗). การพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการสะกด คำยาก วิชาภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕. วิทยานิพนธ์กศ.ม. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัย มหาสารคาม. พวงรัตน์ ทวีรัตน์. (๒๕๔๐). การสร้างและพัฒนาแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน. กรุงเทพฯ : สำนัก ทดสอบทางการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร. อัดสำเนา. ไพบูลย์ มูลดี. (๒๕๔๖). การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำที่ไม่ตรงตาม มาตราตัวสะกดกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒.รายงานการค้นคว้าอิสระ (กศ.ม.). มหาสารคาม : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ลมโชย ด่านขุนทด. (๒๕๔๔). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์การอ่านภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านสำหรับ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนสมเด็จพิทยาคม อำเภอสมเด็จ จังหวัดกาฬสินธุ์. วิทยานิพนธ์. ขอนแก่น: มหาวิทยาลัยขอนแก่น. วรรณี โสมประยูร. (๒๕๔๔). การสอนภาษาไทยในระดับประถมศึกษา.พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนา พานิช. วราภรณ์ เหลี่ยมไธสง. (๒๕๔๒). ทักษะการอ่านและการเขียนในการสะกดคำยากภาษาไทยชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๒ ระหว่างการสอนโดยใช้เกมและใช้แบบฝึกทักษะ. รายงานการศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ศรีวรรณ ศรีสวัสดิ์. (๒๕๔๙). การสร้างแบบฝึกอ่านจับใจความสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมปีที่ ๒ โรงเรียน หอวัง. สารนิพนธ์ กศ.ม. (ภาษาไทย). กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ศศิณัฎฐ์ สรรคบุรานุรักษ์. (๒๕๖๐). สื่อมัลติมีเดียและเทคโนโลยีกับการสอนภาษาจีนในศตวรรษที่ ๒๑. (บทความ). นครปฐม: มหาวิทยาลัยศิลปากร.
๓๕ ศศิธร สุทธิแพทย์. (๒๕๒๗).แบบฝึกสำหรับการสอนเรื่องวลี ระดับประกาศนียบัตรวิชาการศึกษา. วิทยานิพนธ์ ค.ม.กรุงเทพมหานคร : บัณฑิตวิทยาลัย, จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. เสน่ห์ วรสันติวงศ์. (๒๕๖๐). ผลการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำในมาตราตัวสะกดกลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑. (ผลการวิจัย). น่าน: โรงเรียนบ้านสบกอน. อนันต์ ลากุล, พลวิทย์ ศรีหาชารี และณัฐธิดา ธีระสาสน์. (๒๕๖๔). การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ แบบฝึกทักษะการเขียนเรื่อง มาตราตัวสะกดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ โรงเรียนวัดธรรมนาวา อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา. (ผลการวิจัย). พระนครศรีอยุธยา: โรงเรียนวัดธรรมนาวา. อารีย์ วาศน์อำนวย. (๒๕๔๕). การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ ตามแนวการสอน ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕. วิทยานิพนธ์. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร.
๓๖ ภาคผนวก
๓๗ ภาคผนวก ก รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ
๓๘ รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย รายชื่อผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเหมาะสมของเครื่องมือวิจัย มีจำนวน ๓ ท่าน ได้แก่ ๑. นางแสงจันทร์สุขกรณ์ครูวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ๒. นางพิสมัย สายคำ ครูวิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนอนุบาลแม่ทะ ๓. อาจารย์ณัฐชยา ปันทกา อาจารย์สาขาวิชาภาษาไทย คณะครุศาสตร์มหาวิทยาลัยราช ภัฏลำปาง
๓๙ ภาคผนวก ข ผลการวิเคราะห์การหาคุณภาพเครื่องมือ
๔๐ ๑. ผลการประเมินความสอดคล้องระหว่างเนื้อหาและจุดประสงค์ในการทำแบบทดสอบเรื่อง มาตราตัวสะกด สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ การวิเคราะห์ค่า IOC ข้อที่ คนที่ 1 ผู้อำนวยการ คนที่ 2 ครูพี่เลี้ยง คนที่ 3 อาจารย์ สาขา ผลรวม IOC = ผลการ วิเคราะห์ 1 0 -1 1 0 -1 1 0 -1 IOC ≥ 0.5 1 / / / 2 = 0.67 นำไปใช้ได้ 2 / / / 3 = 1.0 นำไปใช้ได้ 3 / / / 2 = 0.67 นำไปใช้ได้ 4 / / / 3 = 1.0 นำไปใช้ได้ 5 / / / 3 = 1.0 นำไปใช้ได้ 6 / / / 2 = 0.67 นำไปใช้ได้ 7 / / / 3 = 1.0 นำไปใช้ได้ 8 / / / 3 = 1.0 นำไปใช้ได้ 9 / / / 2 = 0.67 นำไปใช้ได้ 10 / / / 3 = 1.0 นำไปใช้ได้ 11 / / / 3 = 1.0 นำไปใช้ได้ 12 / / / 3 = 1.0 นำไปใช้ได้ 13 / / / 2 = 0.67 นำไปใช้ได้ 14 / / / 3 = 1.0 นำไปใช้ได้ 15 / / / 3 = 1.0 นำไปใช้ได้ 16 / / / 2 = 0.67 นำไปใช้ได้ 17 / / / 2 = 0.67 นำไปใช้ได้
๔๑ ข้อที่ คนที่ 1 ผู้อำนวยการ คนที่ 2 ครูพี่เลี้ยง คนที่ 3 อาจารย์ สาขา ผลรวม IOC = ผลการ วิเคราะห์ 1 0 -1 1 0 -1 1 0 -1 IOC ≥ 0.5 18 / / / 3 = 1.0 นำไปใช้ได้ 19 / / / 2 = 0.67 นำไปใช้ได้ 20 / / / 3 = 1.0 นำไปใช้ได้