The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

มัทนพาธร

มัทนพาธา

มัมัททนนะะพพาาธธาา


ประวัติผู้แต่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) มีพระนามเดิมว่าสมเด็จพระเจ้าลูกยา เธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ มุกสิกนาม เป็นโอรสองค์ที่ ๒๙ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๗๒๓ ทรง ศึกษาในประเทศไทยจนพระชนมายุ ได้ ๑๔ พรรษา ก็เสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ต่อมาเสด็จนิวัติ ประเทศไทยเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๓๘ เพื่อรับการสถาปนาเป็นเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธสยามมกุฎราชกุมาร (ผู้ที่จะได้เป็นพระมหา กษัตริย์องค์ต่อไป) และทรงกลับไปศึกษาวิชาทหาร ณ โรงเรียนทหารบกที่แขนต์เชต์ เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๓ ได้เข้าศึกษาวิชาประวัติศาสตร์และวิชากฎหมาย ณ มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด แต่ทรงพระปรีชา สามารถทางด้านอักษรศาสตร์เป็นพิเศษ ทรงได้รับการเฉลิมพระเกียรติคุณด้วยพระราชสมัญญาว่า “สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า" องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติได้ยกย่องพระ เกียรติคุณของ พระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นนักประพันธ์ กวี และนักแต่งบทละคร นับเป็นปราชญ์สยามคน ที่ ๕ เมื่อสำ เร็จ การศึกษาพระองค์ทรงเสด็จประพาสยุโรปก่อนแล้วจึงเสด็จนิวัติประเทศไทย เสด็จขึ้น ครองราชย์เมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๓ ขณะมีพระชนมายุ ๓๐ พรรษา สวรรคตเมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๖๘ (ครองราชย์ ๑๕ ปี พระชนมายุ ๔๕ พรรษา)


มัทนะพาธาเป็นบทละครพูดคำ ฉันท์ ๕ องค์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว( มีนามปากกา ว่า สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทร มหาวชิราวุธ ) ได้เริ่มทรงพระราชนิพนธ์เมื่อวันที่ ๒ กันยายน ๒๔๖๖ ขณะ ทรงพระประชวร และประทับอยู่ ณ พระราชวังพญาไท ต่อมาเมื่อเสด็จพระราชดำ เนินประทับแรมตามที่ต่างๆ ก็ได้ทรงพระราชนิพนธ์เรื่องมัทนะพาธาไปด้วย จนจบสมบูรณ์เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๔๖๖ นับได้ว่าใช้ได้ เวลาพระราชนิพนธ์เพียง ๑ เดือน ๑๗ วันเท่านั้น ต่อมาในเดือนมกราคม ๒๔๖๗ ได้ทรงแปลบทละครพูดคำ ฉันท์เรื่องมัทนะพาธาเป็นร้อยแก้วภาษา อังกฤษพร้อมด้วยอภิธานศัพท์ เมื่อทรงแปลเสร็จในเดือนพฤษภาคม ๒๔๖๘ ก็ได้พระราชทานแก่พระวรวงศ์ เธอ กรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ความเป็นมา


เพื่อให้พิจารณาทูลเกล้าฯ ถวายความเห็น มัทนะพาธา เป็นบทละครพูดที่พระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้า อยู่หัวทรงคิดเรื่องขึ้นเอง ไม่ได้นำ เนื้อเรื่องหรือตัดตอนมาจากเรื่องใด (โดยสมมุติว่าเกิดในอินเดียโบราณ) โดยทรงพยายามหาคำ บาลีสันสกฤตสำ หรับชื่อดอกกุหลาบ พระสารประเสริฐ (ตรี นาคะประทีป) ค้น ได้ศัพท์ภาษาสันสกฤตว่า "กุพชก" แต่ได้ทรงพระราชวินิจฉัยว่า ถ้าจะให้เป็นชื่อนางเอกอาจต้องเปลี่ยน เสียงพยางค์หลังเป็น "กุพชกา" ซึ่งมีเสียงน่าฟัง แต่จะไปตรงกับ ศัพท์ที่แปลว่า นางค่อม จึงทรงเลือกใช้คำ ว่า "มัทนา" เป็นชื่อนางเอก มัทนา มาจาก''มทน"แปลว่า "ความลุ่มหลงหรือความรัก" เมื่อทรงพบศัพท์ "มทน พารา" จากพจนานุกรมสันสกฤต ซึ่งมีความหมายว่า "ความเจ็บหรือเดือดร้อนแห่งความรัก" ซึ่งตรงกับแก่น เรื่องของบทละครเรื่องนี้ จึงทรงใช้ชื่อว่า มัทนะพาธาหรือตำ นานแห่งดอกกุหลาบ . .


ตัวละคร กษัตริย์เมืองหัสตินาปุระ ท้าวชััยเสน มเหสีของพระชัยเสนผู้มี แต่ความริษยา นางจัณฑี มัทนา นางที่ถูกสุเทษณ์สาปให้ เป็นดอกกุหลาบ สุเทษณ์ เทพบุตรอยู่บนสรวงสวรรค์ ที่หลงรักนางมัทนา มายาวิน มีความสามารถใน การใช้เวทมนต์ ศุภางค์ ฤาษีกาละทรรศิน นันทิวรรธนะ ทหารเอกของพระชัยเสน ฤาษีผู้เลี้ยงดูนางมัทนา อำ มาตย์ของท้าวชัยเสน


ตัวละคร พ่อของนางจัณฑีทำ ศึก กับท้าวชัยเสน กษัตริย์มคธ นางค่อมอราลี มีหลังค่อมเป็นทาส ของนางจัณฑี นางเกศินี ข้าหลวงของนางจัณฑี นางประริยัมวะทา ทาสผู้ดูแลติดตาม นางมัทนา


"สุเทษณ์" เทพบุตรบนสรวงสวรรค์เป็นทุกข์ด้วยหลงรักนางฟ้า "มัทนา" แต่นางไม่รักตอบสุเทษณ์ให้"มายาวิน" ใช้เวทย์มนตร์เรียกนางมัทนาให้มาหา ภาคสวรรค์


เมื่อนางมัทนามาถึงแล้วนางก็เหม่อลอยไม่มีสติเพราะตกอยู่ในฤทธิ์มนตรา สุเทษณ์ไม่ต้องการได้นางด้วยวิธีนี้จึงให้มายาวินคลายมนตร์ให้เป็นเช่นเดิม เมื่อนางได้สตินางก็ปฏิเสธสุเทษณ์ สุเทษณ์ทำ อย่างไรนางก็ไม่ยอมรับรักตน สุเทษณ์จึงโกรธนางมัทนามาก


สุเทษณ์จึงสาปนางให้ไปเกิดในโลกมนุษย์ นางจึงขอให้ไปเกิดเป็นดอกไม้มีกลิ่นหอมและไม่เคย ปรากฏบนโลกมนุษย์มายาวินจึงบอกว่า ดอกไม้นั้นเรียกว่า "ดอกกุพชะกะ" จึงสาปให้ไปเกิดเป็น "ดอกกุหลาบ" ที่งามทั้งกลิ่นงามทั้งรูปและมีแต่เฉพาะบนสวรรค์เท่านั้น โดยที่ในทุก ๆ หนึ่งเดือนนางจะกลายร่างเป็นคนได้ชั่ว 1 วัน 1 คืน เฉพาะคืนวันเพ็ญเท่านั้น


หากนางมัทนามีรักแท้เมื่อใด นางจะกลับไปเป็นมนุษย์ตลอดกาลแต่หาก นางได้รับความทุกข์ทรมานเพราะความรัก จนไม่อาจทนอยู่ได้และเมื่อนั้นหาก นางอ้อนวอนขอความช่วยเหลือตน ตนจึงจะยกโทษ ทัณฑ์นี้ให้แก่นาง


ภาคพื้นดิน ณ กลางป่าหิมพานต์นางมัทนาไปจุติเป็นดอกกุหลาบดอกใหญ่สีแดง ชูช่อสวยงาม ส่ง กลิ่นหอมไปทั่วป่า วันหนึ่งมีลูกศิษย์ของพระฤาษีมาพบ จึงนำ ไปแจ้งให้ฤๅษีทราบ ฤาษีกาละ ทรรศินจึงสั่งให้ลูกศิษย์ไปขุดมาปลูกไว้ที่อาศรมของตนขณะที่ขุดก็มีเสียงผู้หญิงร้อง ฤๅษี เล็งญาณดูก็รู้ว่าเป็นเทพธิดามาจุติจึงได้เอ่ยเชิญและสัญญาว่าจะคอยดูแลปกป้องนาง


ลูกศิษย์จึงลองขุดต้นกุหลาบอีกครั้งแล้วนำ มาปลูกไว้ที่อาศรมของพระฤาษีกา ละทรรศิน เมื่อถึงวันเพ็ญดอกกุหลาบกลายเป็นมนุษย์ฤาษีก็เลี้ยงดูนางเหมือนลูก


กล่าวถึงท้าวชัยเสน กษัตริย์หนุ่มแห่งเมืองหัสตินาปุระได้เสด็จประพาสป่ามากับเหล่า ทหารและศุภางค์องครักษ์คนสนิท ในคืนวันเพ็ญท้าวชัยเสนเสด็จมาถึงป่าหิมพานต์และได้แวะมาพักที่อาศรมของฤๅษี


เมื่อเห็นนางมัทนาก็ตกหลุมรักขึ้นทันที ในกลางดึกพระชัยเสนออกมาหน้าอาศรม ทอด พระเนตรเห็นนางมัทนา ยิ่งเกิดความรักยิ่ง พระชัยเสนจึงทรงประกาศหมั้นและประกาศคำ สัญญารัก ณ ริมฝั่งลำ ธารใกล้อาศรมนั้น


เมื่อนางมัทนามีความรักก็คงรูปเป็นนารีผู้งดงาม ไม่ต้องกลายรูปเป็นกุหลาบอีก ท้าวชัยเสนได้ทูลขอนางมัทนาจากฤๅษีฤๅษีจึง จัดพิธีสมรสให้ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่านางจะต้อง ทนทุกข์เพราะความรัก


ท้าวชัยเสนพานางมัทนาไปยังเมืองของตน พระนางจัณฑีมเหสีของท้าวชัยเสนให้นางกำ นัลมาสืบดู จนรู้ว่าพระสวามีของตนได้พาสาวชาวป่ามาด้วย จึงตามมาพบท้าวชัยเสนเห็นว่ากำ ลังอยู่กับนางมัทนา พระนางจัณฑีจึงกล่าวดูหมิ่นนางมัทนา ท้าวชัยเสนก็กริ้วและทรงดุด่าว่าเป็นมเหสีผู้ริษยา


พระนางจันฑีแค้นใจ จึงให้นางค่อมอราลีส่งสารไปทูลฟ้องพระบิดาผู้เป็นเจ้าแห่ง มคธนครให้ยกทัพมาทำ ศึกกับท้าวชัยเสน ท้าวชัยเสนกับท้าวมครมาเผชิญหน้ากัน สงครามแห่งศักดิ์ศรีจึงเริ่มขึ้น แต่ฝ่ายท้าวชัยเสนได้เปรียบทางสงครามในครั้งนี้มาก


เมื่อพระนางจัณฑีทรงทราบข่าวว่าบิดาใกล้แพ้ศึกในครั้งนี้ จึงวางแผนให้นางค่อมส่งสารไปแจ้ง ท้าวชัยเสนว่ามัทนาป่วยหนัก ท้าวชัยเสนจึงรีบกลับไปหานางมัทนา ขณะเดียวกัน นางจัณฑีได้ส่งสารลวงอีกฉบับนึ่งไปนางมัทนาบอกว่า ท้าวชัยเสนประชวรหนัก นางมัทนาจึงปลอมตัวไปหาท้าวชัยเสนที่ค่ายแต่กลับพบกับสุภางค์ สุภางค์จึงรีบพามัทนากลับวัง


พระนางจัณฑีให้พราหมณ์วิทูรไปนั่งประกอบพิธีกรรมใต้ต้นไม้ในอุทยานหลวง เมื่อท้าวชัยเสน มาพบ ข้าหลวงเกศินีจึงรีบกราบทูลว่าพระนางมัทนากำ ลังทำ เสน่ห์ให้องครักษ์ศุภางค์มาหลงรัก


นางเกศินีข้าหลวงของนางจัณฑีจึงทูลว่านางมัทนารักกับ "ศุภางค์"ทหารเอกของ ท้าวชัยเสน ท้าวชัยเสนหลงเชื่อ จึงสั่งให้ประหารนางมัทนา กับศุภางค์ คำ พิพากษา ของท้าวชัยเสนสร้างความเจ็บซ้ำ แก่มัทนายิ่งนัก


เมื่อพระบิดาของพระนางจัณฑียกทัพมา พระนางจัณฑีจึงรีบเข้ามาทูลท้าวชัยเสน และอาสาออกไปห้ามศึกพระบิดา แต่ท้าวชัยเสนรู้ทันอุบายของนาง พระองค์จึงออก ทำ ศึกและตัดหัวกษัตริย์มคธพ่อตาเอามาให้นางจัณฑี


ขณะตั้งค่ายอยู่นอกเมือง วิทูรพราหมณ์เฒ่าได้มาขอเข้าเฝ้า ท้าวชัยเสน เพื่อ สารภาพว่าพระนางจัณฑีเป็นผู้วางแผนการร้าย ซึ่งในที่สุดแล้วตนสำ นึกผิดและ ละอายต่อบาปที่เป็นเหตุให้คนบริสุทธิ์ต้องได้รับโทษประหาร


ท้าวชัยเสนทราบความจริงแล้วคิดจะฆ่าตัวตายแต่อำมาตย์นันทิวรรธนะเข้าห้ามไว้และ สารภาพว่าในคืนเกิดเหตุนั้น ตนไม่ได้ประหารสุภางค์และนางมัทนา แต่ได้ปล่อยเข้าป่าไป นางมัทนานั้นได้โสมะทัตลูกศิษย์ของฤๅษีกาละทรรศินนำ กลับสู่อาศรมดังเดิม สุภางค์นั้น ตายในสนามรบ ทาวชัยเสนโกรธแค้นพระนางจัณฑีมากจึงสั่งเนรเทศออกจากเมือง


ฝ่ายนางมัทนานั้นได้ทำ พิธีบูชาสุเทษณ์เทพบุตรเพื่อให้ช่วยนาง สุเทษณ์นันก็ ยินดีจะแก้คำ สาปและรับนางมัทนามาเป็นมเหสี แต่มัทนาปฏิเสธ สุเทษณ์จึงสาป นางมัทนาให้เป็นดอกกุหลาบไปตลอดกาล


เมื่อท้าวชัยเสนตามนางมัทนามาถึงในป่านางปริยัมวะทาทาสที่ตามมาปรนนิบัติ ดูแลมัทนาจึงได้เข้าทูลเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนางให้ท้าวชัยเสนทราบ


ท้าวชัยเสนเสียใจมากจึงขอให้ฤๅษีช่วยใช้มนตราและกล่าวเชิญนางมัทนาซึ่งกลายเป็นดอก กุหลาบให้ยินยอมกลับวังไปกับตนเมื่อฤๅษีทำ พิธีแล้ว ท้าวชัยเสนได้นำ ต้นกุหลาบกลับไปปลูกใน อุทยานและขอให้ฤาษีกาละทรรศินให้พรวิเศษว่าให้กูหลาบยังคงงดงามตราบจนกว่าตนจะสิ้นอายุขัย


ฤๅษีประสาทพรให้กุหลาบนั้นดำ รงอยู่คู่โลกไม่มีสูญพันธุ์ อีกทั้งยังเป็นไม้ดอกที่มี กลิ่นหอมหวาน สามารถช่วยดับทุกข์ในใจคน ชายหญิงเมื่อมีความรักก็ให้ใช้ดอก กุหลาบเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักสืบต่อไป


๑. ความรักมีทั้งคุณและโทษ ความรักมีประโยชน์ทำ ให้จิตใจแช่มชื่นมีความสุขและเมื่อผิดหวังพลาดรักอาจ ทำ ให้เกิดโทษได้ถ้าปล่อยให้ความ รักนั้นเป็นความหลงขาดสติพิจารณา ไตร่ตรอง อาจทำ ให้ตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้องเดือดร้อนได้ ๒. ความรักที่แท้จริงควรเกิดจากใจบริสุทธิ์ บทละครพูดคำ ฉันท์เรื่องมัทนะพาธามีสาเหตุมาจากความรักของสุเทษณ์เทพ บุตรที่มีต่อนางมัทนาความรักของ สุเทษณ์เป็นความรักที่เห็นแก่ตัวแฝงไปด้วยความ อยากคร อยากครอบครองมิได้เสียสละและเข้าใจความรัก อย่างแท้จริงความรักที่สุเทษณ์มีต่อ นางมัทนาก่อให้นางเกิดทุกข์เมื่อนางไม่รับรักก็สาปให้นางเป็นดอกกุหลาบ ตลอดไป ข้อคิดที่ได้จากเรื่องบทละครพูดคำ ฉันท์เรื่องมัทนะพาธา


๓. ความรักทำ ให้เกิดทุกข์ ดังคำ กล่าวว่า “ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์” สุเทษณ์เทพบุตรหลงรักนางมัทนาเมื่อ นางไม่รับรักก็เจ็บปวดใจ ๔. การพิจารณาตัดสินเรื่องใดควรใช้สติปัญญาประกอบกับเหตุผลเพื่อตัดสิน การที่ท้าวชัยเสนฟังความจากนางค่อมที่ใส่ร้ายนางมัทนา และศุภางค์ทหาร เอกว่าลักลอบเป็นชู้กันด้วยความโกรธ พระองค์จึงตัดสินให้ประหารชีวิต โดยไม่ พิจารณาให้ถ่องแท้ทำ ให้นางมัทนา และศุภางค์ต้องรับทุกข์จากการตัดสินใจ ครั้งนี้ โชคดีที่ผู้รับสั่งให้เป็นผู้ประหารทั้งสองมีเมตตาทำ ให้รอดชีวิตในที่สุด และความจริง ก็เปิดเผยนี่เป็นโชคดีแต่ถ้า ในทางกลับกันทั้งสองถูกประหารด้วยการใส่ความกาตัด สินด้วยอารมณ์ชั่ววูบทำ ให้ทั้งสองสิ้นชีวิตแม้ความจริงจะ เปิดเผยในภายหลังก็ไม่มี ประโยชน์แต่อย่างใดกลับสร้างความทุกข์ใจให้แก่ท้าวชัยเสนมากขึ้นอีกด้วย


สมาชิกในกลุ่ม นางสาวฐิติยา ภูทิพย์ เลขที่ ๒๔ นางสาวนูรีญา หมุนนุ้ย เลขที่ ๓๐ นางสาวปวันรัตน์ จันตุลัง เลขที่ ๓๓ นางสาววิชุดา ขวัญแก้ว เลขที่ ๓๙ มัธยมศึกษาปีที๕.๑๐


Click to View FlipBook Version