รายงานการใช้แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 นางชนิดา เบี้ยวน้อย ต าแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูช านาญการ โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่ า ส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 2 ส านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
ชื่อเรื่อง รายงานการใช้แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ชื่อผู้ศึกษา นางชนิดา เบี้ยวน้อย สถานศึกษา โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ส่านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 2 ปีการศึกษา 2565 บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ก่อนและหลังการจัดการเรียนการสอนเชิงรุก (Active Learning) และ 2) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการจัดการเรียนการสอนเชิงรุก (Active Learning) เรื่อง การใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอน ออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษา 4 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า จังหวัดอุตรดิตถ์ จ่านวน 5 คน ได้มาโดยใช้การเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ 1) แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง ปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า 2. แผนการจัดการเรียนรู้ แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า และ3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นข้อสอบแบบปรนัยชนิด เลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ่านวน 30 ข้อ และ 4) แบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนโดยใช้แบบ ฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า เป็น แบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ จ่านวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลค่าเฉลี่ย (µ) ค่า เบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
สรุปผลการศึกษา 1. ผลการวิเคราะห์นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า โดยการจัดการเรียนรู้ ด้วยแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง ปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ที่ ผู้รายงานคิดค้นขึ้นพบว่า ค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและ หลังเรียนเท่ากับ 38.99 และ 86.66 ตามล่าดับ โดยเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนและมีผลต่างเท่ากับ 48.00 2. ระดับความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อ การสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า พบว่านักเรียนส่วน ใหญ่มีความพึงพอใจโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.21, = 0.20)
บทที่ 1 บทน า ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา การศึกษาเป็นปัจจัยส่าคัญในการสร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติ และคุณธรรมของ บุคคล สังคมและบ้านเมืองใดให้การศึกษาที่ดีแก่เยาวชนได้อย่างครบถ้วน ล้วนพอเหมาะกันทุก ๆ ด้าน สังคม และบ้านเมืองนั้นก็จะมีพลเมืองที่มีคุณภาพ ซึ่งสามารถธ่ารงรักษาความเจริญมั่นคงของประเทศชาติไว้ และ พัฒนาให้ก้าวหน้าต่อไปได้ตลอด (ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา, 2550 : 87) ดังนั้น การพัฒนาประเทศด้านใดก็ตามไม่อาจส่าเร็จได้หากขาดทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ การศึกษาจึงเป็นสิ่งส่าคัญ ในการวางรากฐานการพัฒนาทรัพยากรบุคคลของประเทศให้มีคุณภาพ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บททางการศึกษาของประเทศ ได้ ระบุถึงความจ่าเป็นของการเรียนการสอน หมวด 4 มาตรา 22 ระบุว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียน ทุกคน มีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความส่าคัญที่สุด กระบวนการจัดการ ศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ส่วนในมาตรา 24 ระบุว่า การจัดกระบวนการเรียนรู้ให้จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยค่านึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และ การประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา ให้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติ ให้ท่าได้ คิดเป็น ท่าเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้าน ต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน (คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, ส่านักงาน, 2542 : 12-14) ในการจัด การศึกษาทุกระดับ ได้มีการยอมรับและน่าเอาเทคโนโลยีการศึกษาบูรณาการการจัดการเรียนการสอน เพื่อ แก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน เทคโนโลยีการศึกษาจึงมีความจ่าเป็นและมีความส่าคัญ ยิ่งขึ้นในยุคปัจจุบัน ดังจะเห็นได้จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 หมวด 9 มาตรา 66 ระบุ ว่า ผู้เรียนมีสิทธิได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในโอกาสแรกที่ท่าได้ เพื่อให้มีความรู้และทักษะเพียงพอที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษาในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองได้อย่าง ต่อเนื่องตลอดชีวิต (คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, ส่านักงาน, 2542 : 33) ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล ด้านการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี ด้าน การสื่อสาร ทั้งนี้เพื่อน่าไปสู่สังคมและการเรียนรู้ที่มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนเรียนรู้ด้วยตนเอง และเรียนรู้อย่าง ต่อเนื่องตลอดชีวิต กระทรวงศึกษาธิการ (2552 : ก) ได้จัดท่าหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งจัดท่าขึ้นส่าหรับท้องถิ่น และสถานศึกษาได้น่าไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการจัดท่าหลักสูตรสถานศึกษา และจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคน ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน ให้มีคุณภาพด้าน ความรู้และทักษะที่จ่าเป็นส่าหรับการด่ารงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง และแสวงหาความรู้ เพื่อพัฒนา ตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยก่าหนดให้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นสาระ การเรียนรู้ ที่มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความเข้าใจ และมีความสามารถเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีทักษะการท่างาน ทักษะการจัดการ สามารถน่าเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีจากภูมิปัญญาพื้นบ้าน ภูมิ ปัญญาไทย และเทคโนโลยีสากลมาใช้ในการท่างานอย่างถูกต้อง เหมาะสม คุ้มค่า สร้างและพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือวิธีการใหม่ สามารถท่างานเป็นหมู่คณะ มีนิสัยรักการท่างาน เห็นคุณค่าและมีเจตคติที่ดีต่องาน ตลอดจน
มีศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่เป็นพื้นฐาน ได้แก่ ความขยัน ซื่อสัตย์ประหยัดและอดทน อันจะ น่าไปสู่การเป็นผู้เรียนที่สามารถช่วยเหลือตนเอง และพึ่งตนเองได้ตามพระราชด่าริเศรษฐกิจพอเพียง สามารถ ด่ารงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข ร่วมมือ และแข่งขันในระดับสากลภายใต้บริบทของสังคมไทย จากข้อมูลสภาพปัญหา ความส่าคัญ และหลักการดังกล่าวแล้ว ควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตัวครูผู้สอน ควรจะมีการศึกษาหาวิธีปรับปรุงพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้มี ประสิทธิภาพ ให้ทั้งความรู้ทักษะการคิด ความสนุกสนานเพลิดเพลินไปพร้อม ๆ กัน มีเทคนิคการสอนที่ หลากหลาย ท่าให้เกิดการเรียนรู้เกิดความแม่นย่า จดจ่าง่าย และเข้าใจอย่างลึกซึ้ง จัดระบบเชื่อมโยงความคิด ต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ผู้รายงานได้ด่าเนินการศึกษาการสร้าง แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า จ่านวน 5 เล่ม ตามกระบวนการสร้างแบบฝึกทักษะ ซึ่งจะส่งผล ให้นักเรียนมีการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศผ่านคอมพิวเตอร์ได้ดีขึ้นและ เป็นพื้นฐานในการเรียนในระดับสูงขึ้นต่อไป วัตถุประสงค์ของการศึกษา 1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึก ทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า 2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งาน อินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษา 1. ได้แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชน บ้านนากล่่า ที่มีประสิทธิภาพผ่านตามเกณฑ์ 80/80 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการค่านวณ) รหัสวิชา ว14101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 3. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า มากยิ่งขึ้น 4. ใช้เป็นแนวทางส่าหรับครูผู้สอนและผู้ที่สนใจน่าไปประยุกต์ใช้ในการพัฒนาแบบฝึกทักษะ ในหน่วยการเรียนรู้อื่น ๆ ให้มีประสิทธิภาพต่อไป
ขอบเขตของการศึกษา การศึกษาครั้งนี้มีขอบเขตของการศึกษา ดังนี้ 1. ขอบเขตด้านเนื้อหาและระยะเวลา 1.1 เนื้อหา เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นเนื้อหาเกี่ยวกับการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ ซึ่งเป็นรายวิชาพื้นฐาน ที่จัดการเรียนการสอน ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2563) กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ประกอบด้วยแบบฝึกทักษะจ่านวน 5 เล่ม ดังนี้ เล่มที่ 1 เรื่อง การใช้งานอินเทอร์เน็ตเบื้องต้น เล่มที่ 2 เรื่อง การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต เล่มที่ 3 เรื่อง การใช้ซอฟต์แวร์ในการน่าเสนอข้อมูล เล่มที่ 4 เรื่อง การใช้ซอฟต์แวร์ในการท่างาน เล่มที่ 5 เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย 2. ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า จ่านวน 5 เล่ม ใช้จัดการเรียนการสอนจ่านวน 20 ชั่วโมง ซึ่งไม่รวมเวลาที่ใช้ในการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทาง การเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้จัดการเรียนการสอนกับกลุ่มตัวอย่างในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 3. ขอบเขตด้านประชากรในการศึกษา กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ส่านักงานเขต พื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 2 ที่เรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการ ค่านวณ) รหัสวิชา ว14101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในภาคเรียนที่ 1ปีการศึกษา 2565 จ่านวน 5 คน 4. ขอบเขตด้านตัวแปร ตัวแปรอิสระ (Independent variables) ได้แก่ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อ การสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ตัวแปรตาม (Dependent variables) ได้แก่ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจากการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งาน อินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า
2. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งาน อินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า นิยามศัพท์เฉพาะ 1. แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอนที่สร้างขึ้น เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาของ บทเรียนได้ด้วยตนเอง จากการฝึกท่าแบบฝึกทักษะที่ครูจัดท่าขึ้น โดยแบบฝึกทักษะนั้นมีความครอบคลุม เนื้อหาที่เรียนไปแล้ว ท่าให้นักเรียนมีความรู้และทักษะมากขึ้น และฝึกจนเกิดความช่านาญ สามารถ ประยุกต์ใช้เนื้อหาของบทเรียนให้เป็นประโยชน์กับการด่ารงชีวิตได้ 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลของการเรียนการสอนหรือความสามารถของบุคคลอันเกิด จากการได้รับการฝึกฝน สั่งสอน ในด้านความรู้และทักษะที่ได้พัฒนาขึ้นตามล่าดับขั้น ในวิชาต่าง ๆ และจะ ช่วยให้ทราบความสามารถหรือผลส่าเร็จที่ได้รับจากกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน แบ่งเป็นการวัดผลแบบอิงกลุ่มและการวัดแบบอิงเกณฑ์และผู้เรียนจะประสบความส่าเร็จทางการศึกษา ได้ดีเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบดังนี้ คือ องค์ประกอบด้านสติปัญญาและองค์ประกอบที่ไม่ใช่ทางด้าน สติปัญญา จากการศึกษาแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ผู้รายงานได้เลือกข้อสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จ่านวน 30 ข้อ 3. นักเรียน หมายถึง นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ส่านักงานเขตพื้นที่ การศึกษาประถมศึกษาอุตรดิตถ์ เขต 2 ที่เรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการค่านวณ) รหัสวิชา ว14101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 กรอบแนวคิดในการศึกษา ตัวแปรอิสระ ตัวแปรตาม ภาพ 1 กรอบแนวคิดในการศึกษา การจัดการเรียนการสอน โดยใช้แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะ การใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง ปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของแบบฝึกทักษะ การพัฒนา ทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอน ออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 2. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้ แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง ปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง รายงานการใช้แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ผู้รายงานได้ศึกษาค้นคว้าเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องโดยน่าเสนอ ตามล่าดับ ดังนี้ 1. หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่าพุทธศักราช 2563 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) 2. แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะ 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่ า พุทธศักราช 2563 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่าได้จัดท่าหลักสูตรสถานศึกษา เพื่อใช้เป็นทิศทางในการจัดท่าหลักสูตรการเรียน การสอนในแต่ละระดับ นอกจากนั้นได้ก่าหนดโครงสร้างเวลาเรียนขั้นต่่าของแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ในแต่ละ ชั้นปีไว้ในหลักสูตรแกนกลาง และเปิดโอกาสให้สถานศึกษาเพิ่มเติมเวลาเรียนได้ตามความพร้อม และจุดเน้น อีกทั้งได้ปรับกระบวนการวัด และประเมินผลผู้เรียน เกณฑ์การจบการศึกษาแต่ละระดับ และเอกสารแสดง หลักฐานทางการศึกษาให้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้ และมีความชัดเจนต่อการน่าไปปฏิบัติ เอกสารหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นี้ จัดท่าขึ้นส่าหรับท้องถิ่น และ สถานศึกษาได้น่าไปใช้เป็นกรอบ และทิศทางในการจัดท่าหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่าและ จัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนานักเรียนในโรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ให้มีคุณภาพด้านความรู้ และทักษะที่ จ่าเป็นส่าหรับการด่ารงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง และแสวงหาความรู้ เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ตลอดชีวิต การจัดหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า พุทธศักราช 2563 ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) จะประสบความส่าเร็จตามเป้าหมายที่ คาดหวังได้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งระดับชาติ ชุมชน ครอบครัว และบุคคลต้องร่วมรับผิดชอบ โดยร่วมกันท่างาน อย่างเป็นระบบ และต่อเนื่อง ในการวางแผน ด่าเนินการ ส่งเสริมสนับสนุน ตรวจสอบ ตลอดจนปรับปรุงแก้ไข เพื่อพัฒนาเยาวชนของชาติไปสู่คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่ก่าหนดไว้
1.1 สาระส าคัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์มุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิทยาศาสตร์ ที่เน้นการ เชื่อมโยงความรู้กับ กระบวนการ มีทักษะส่าคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ โดยใช้กระบวนการในการสืบเสาะหาความรู้ และแก้ปัญหาที่หลากหลาย ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน มีการท่ากิจกรรมด้วยการลงมือ ปฏิบัติจริงอย่างหลากหลาย เหมาะสมกับระดับชั้น โดยก่าหนดสาระส่าคัญ ดังนี้ 1. วิทยาศาสตร์ชีวภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ชีวิตในสิ่งแวดล้อม องค์ประกอบของสิ่งมีชีวิต การด่ารงชีวิตของ มนุษย์และสัตว์การด่ารงชีวิตของพืช พันธุกรรม ความหลากหลายทางชีวภาพ และวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิต 2. วิทยาศาสตร์กายภาพ เรียนรู้เกี่ยวกับ ธรรมชาติของสาร การเปลี่ยนแปลงของสาร การเคลื่อนที่ พลังงาน และคลื่น 3. วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ เรียนรู้เกี่ยวกับ องค์ประกอบของเอกภพ ปฏิสัมพันธ์ ภายในระบบ สุริยะ เทคโนโลยีอวกาศ ระบบโลก การเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยา กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศ และผลต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม 4. เทคโนโลยี 4.1 การออกแบบและเทคโนโลยีเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีเพื่อการด่ารงชีวิต ในสังคมที่มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์คณิตศาสตร์และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อ แก้ปัญหาหรือพัฒนางานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยี อย่างเหมาะสมโดยค่านึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม 4.2 วิทยาการค่านวณ เรียนรู้เกี่ยวกับการคิดเชิงค่านวณ การคิดวิเคราะห์แก้ปัญหา เป็นขั้นตอน และเป็นระบบ ประยุกต์ใช้ความรู้ด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร ในการ แก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ 1.2 คุณภาพของผู้เรียนเมื่อจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เข้าใจโครงสร้างและการท่างานของระบบต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิต ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบ นิเวศ และความหลากหลายของทรัพยากรธรรมชาติที่พบในระดับประเทศ เข้าใจสมบัติและการจ่าแนกกลุ่มของวัสดุ สถานะของสาร สมบัติของสารและการท่าให้สารเกิด การเปลี่ยนแปลง การเกิดปฏิกิริยาเคมีของสาร การแยกสารอย่างง่าย และสารในชีวิตประจาวัน เข้าใจลักษณะของแรงประเภทต่าง ๆ ผลที่เกิดจากแรงกระท่าต่อวัตถุ ความดัน หลักการเบื้องต้น ของแรงพยุง ส่วนประกอบและหน้าที่ของส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้า การถ่ายโอนพลังงานกลที่ เกิดจาก แรงเสียดทานไปเป็นพลังงานอื่น สมบัติและปรากฏการณ์เบื้องต้นของเสียง และแสง เข้าใจลักษณะของดาวในเอกภพ และจ่าแนกประเภทของกลุ่มดาว ความสัมพันธ์ของดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ที่มีผลต่อการเกิดปรากฏการณ์ธรรมชาติ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีอวกาศ เข้าใจองค์ประกอบและสมบัติของดิน น้่า และบรรยากาศ และปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลง ของผิวโลก การเกิดลมบก ลมทะเล ผลกระทบที่เกิดจากธรณีพิบัติภัยและปรากกฎการณ์เรือนกระจก ค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพและประเมินความน่าเชื่อถือ ตัดสินใจเลือกข้อมูล ใช้เหตุผลเชิง ตรรกะในการแก้ปัญหา ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการท่างานร่วมกัน เข้าใจสิทธิและหน้าที่ ของตน เคารพสิทธิของผู้อื่น
ตั้งค่าถามหรือก่าหนดปัญหาเกี่ยวกับสิ่งที่จะเรียนรู้ตามที่ก่าหนดให้หรือตามความสนใจ คาดคะเน ค่าตอบหลายแนวทาง สร้างสมมติฐานที่สอดคล้องกับค่าถามหรือปัญหาที่จะส่ารวจตรวจสอบ วางแผนและ ส่ารวจตรวจสอบโดยใช้เครื่องมือ อุปกรณ์ และเทคโนโลยีสารสนเทศที่เหมาะสมในการเก็บรวบรวมข้อมูล ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ วิเคราะห์ข้อมูล ลงความเห็น และสรุปความสัมพันธ์ของข้อมูลที่มาจากการส่ารวจตรวจสอบใน รูปแบบที่เหมาะสม เพื่อสื่อสารความรู้จากผลการส่ารวจตรวจสอบได้อย่างมีเหตุผลและหลักฐานอ้างอิง แสดงถึงความสนใจ มุ่งมั่น ในสิ่งที่จะเรียนรู้ มีความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับเรื่องที่จะศึกษาตาม ความสนใจของตนเอง แสดงความคิดเห็นของตนเอง ยอมรับในข้อมูลที่มีหลักฐานอ้างอิง และรับฟัง ความ คิดเห็นผู้อื่น แสดงความรับผิดชอบด้วยการท่างานที่ได้รับมอบหมายอย่างมุ่งมั่น รอบคอบ ประหยัด ซื่อสัตย์ จนงานลุล่วงเป็นผลส่าเร็จ และท่างานร่วมกับผู้อื่นอย่างอย่างสร้างสรรค์ ตระหนักในคุณค่าของความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ใช้ในความรู้และกระบวนการทาง วิทยาศาสตร์ในการด่ารงชีวิต แสดงความชื่นชม ยกย่องและเคารพสิทธิในผลงานของผู้คิดค้น และศึกษาหา ความรู้เพิ่มเติม ท่าโครงงานหรือชิ้นงานตามที่ก่าหนดให้หรือตามความสนใจ แสดงถึงความซาบซึ้ง ห่วงใย แสดงพฤติกรรมเกี่ยวกับการใช้ การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ และ สิ่งแวดล้อมอย่างรู้คุณค่า 1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงานการเปลี่ยนแปลง แทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แนวทางในการอนุรักษ์ธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมทั้งน่าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - -
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การล่าเลียงสารเข้าและออก จากเซลล์ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ท่างานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ท่างานสัมพันธ์กัน รวมทั้งน่าความรู้ไปใช้ ประโยชน์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. บรรยายหน้าที่ของราก ล่าต้น ใบ และดอกของพืชดอกโดยใช้ข้อมูลที่ รวบรวมได้ - ส่วนต่าง ๆ ของพืชดอกท่าหน้าที่แตกต่างกัน - รากท่าหน้าที่ดูดน้่าและแร่ธาตุขึ้นไปยังล่าต้น - ล่าต้นท่าหน้าที่ล่าเลียงน้่าต่อไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช - ใบท่าหน้าที่สร้างอาหาร อาหารที่พืชสร้างขึ้นคือน้่าตาลซึ่ง จะเปลี่ยนเป็นแป้ง - ดอกท่าหน้าที่สืบพันธุ์ ประกอบด้วยส่วนประกอบต่าง ๆ ได้แก่ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู้ และเกสรเพศเมีย ซึ่ง ส่วนประกอบแต่ละส่วนของดอก ท่าหน้าที่แตกต่างกัน มาตรฐาน ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความส่าคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สาร พันธุกรรมการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและวิวัฒนาการของ สิ่งมีชีวิต รวมทั้งน่าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. จ่าแนกสิ่งมีชีวิตโดยใช้ความเหมือน และ ความแตกต่างของลักษณะของ สิ่งมีชีวิตออกเป็น กลุ่มพืช กลุ่มสัตว์ และกลุ่มที่ไม่ใช่พืชและสัตว์ - สิ่งมีชีวิตมีหลายชนิด สามารถจัดกลุ่มได้โดยใช้ ความ เหมือนและความแตกต่างของลักษณะต่าง ๆ เช่น กลุ่มพืช สร้างอาหารเองได้ และเคลื่อนที่ด้วยตนเองไม่ได้ กลุ่มสัตว์กิน สิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหารและเคลื่อนที่ได้ กลุ่มที่ไม่ใช่พืชและ สัตว์ เช่น เห็ด รา จุลินทรีย์ 2. จ่าแนกพืชออกเป็นพืชดอกและพืช ไม่มีดอก โดยใช้การมีดอกเป็นเกณฑ์ โดยใช้ข้อมูล ที่รวบรวมได้ - การจ่าแนกพืช สามารถใช้การมีดอกเป็นเกณฑ์ ในการ จ่าแนก ได้เป็นพืชดอกและพืชไม่มีดอก การจ่าแนกสัตว์ สามารถใช้การมีกระดูกสันหลัง เป็นเกณฑ์ในการจ่าแนก ได้เป็นสัตว์มีกระดูกสันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง 3. จ่าแนกสัตว์ออกเป็นสัตว์มีกระดูก สันหลังและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง โดยใช้การมีกระดูกสันหลังเป็นเกณฑ์ โดยใช้ข้อมูลที่รวบรวมได้ - สัตว์มีกระดูกสันหลังมีหลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มปลา กลุ่มสัตว์ สะเทินน้่าสะเทินบก กลุ่มสัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มนก และกลุ่ม สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้่านม ซึ่งแต่ละกลุ่มจะมีลักษณะเฉพาะที่ สังเกตได้ 4. บรรยายลักษณะเฉพาะที่สังเกตได้ ของสัตว์มีกระดูกสันหลังในกลุ่มปลา
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสัตว์สะเทินน้่าสะเทินบก กลุ่ม สัตว์เลื้อยคลาน กลุ่มนก และกลุ่มสัตว์ เลี้ยงลูกด้วยน้่านม และยกตัวอย่าง สิ่งมีชีวิตในแต่ละกลุ่ม สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสาร กับโครงสร้างและแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสาร การเกิดสารละลาย และการเกิดปฏิกิริยาเคมี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. เปรียบเทียบสมบัติทางกายภาพด้าน ความแข็ง สภาพยืดหยุ่น การน่าความ ร้อน และการน่าไฟฟ้าของวัสดุโดยใช้ หลักฐานเชิงประจักษ์จากการทดลอง และระบุการน่าสมบัติเรื่องความแข็ง สภาพยืดหยุ่น การน่าความร้อน และ การน่าไฟฟ้าของวัสดุไปใช้ใน ชีวิตประจ่าวัน ผ่านกระบวนก่ารออก แบบชิ้นงาน - วัสดุแต่ละชนิดมีสมบัติทางกายภาพแตกต่างกัน วัสดุที่มี ความแข็งจะทนต่อแรงขูดขีด วัสดุที่มีสภาพยืดหยุ่นจะ เปลี่ยนแปลงรูปร่างเมื่อมีแรงมากระท่าและกลับสภาพเดิมได้ วัสดุที่น่าความร้อนจะร้อนได้เร็วเมื่อได้รับความร้อน และวัสดุ ที่น่าไฟฟ้าได้ จะให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านได้ ดังนั้นจึงอาจน่า สมบัติต่าง ๆ มาพิจารณาเพื่อใช้ในกระบวนการออกแบบ ชิ้นงานเพื่อใช้ประโยชน์ในชีวิตประจ่าวัน 2. แลกเปลี่ยนความคิดกับผู้อื่นโดยการ อภิปรายเกี่ยวกับสมบัติทางกายภาพ ของวัสดุอย่างมีเหตุผลจากการทดลอง 3. เปรียบเทียบสมบัติของสสารทั้ง 3 สถานะ จากข้อมูลที่ได้จากการสังเกต มวล การต้องการที่อยู่ รูปร่างและ ปริมาตรของสสาร - วัสดุเป็นสสารเพราะมีมวลและต้องการที่อยู่ สสารมีสถานะ เป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊ส ของแข็ง มีปริมาตรและ รูปร่างคงที่ ของเหลวมีปริมาตรคงที่ แต่มีรูปร่างเปลี่ยนไป ตามภาชนะเฉพาะส่วนที่บรรจุของเหลว ส่วนแก๊สมีปริมาตร 4. ใช้เครื่องมือเพื่อวัดมวล และ และรูปร่างเปลี่ยนไปตามภาชนะที่บรรจุ ปริมาตรของสสารทั้ง 3 สถานะ
มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจ่าวัน ผลของแรงที่กระท่าต่อวัตถุ ลักษณะการ เคลื่อนที่ แบบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมทั้งน่าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. ระบุผลของแรงโน้มถ่วงที่มีต่อวัตถุ จากหลักฐานเชิงประจักษ์ - แรงโน้มถ่วงของโลกเป็นแรงดึงดูดที่โลกกระท่าต่อวัตถุ มี ทิศทางเข้าสู่ศูนย์กลางโลก และเป็นแรงไม่สัมผัส แรงดึงดูดที่ โลกกระท่ากับวัตถุหนึ่ง ๆ ท่าให้วัตถุตกลงสู่พื้นโลก และท่า ให้วัตถุมีน้่าหนัก วัดน้่าหนักของวัตถุได้จากเครื่องชั่งสปริง น้่าหนักของวัตถุขึ้นกับมวลของวัตถุ โดยวัตถุที่มีมวลมากจะมี น้่าหนักมาก วัตถุที่มีมวลน้อยจะมีน้่าหนักน้อย 2. ใช้เครื่องชั่งสปริงในการวัดน้่าหนัก ของวัตถุ 3. บรรยายมวลของวัตถุที่มีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุจาก หลักฐานเชิงประจักษ์ - มวล คือ ปริมาณเนื้อของสารทั้งหมดที่ประกอบกันเป็นวัตถุ ซึ่งมีผลต่อความยากง่ายในการเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของ วัตถุ วัตถุที่มีมวลมากจะเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ได้ยากกว่า วัตถุที่มีมวลน้อย ดังนั้น มวลของวัตถุนอกจากจะหมายถึงเนื้อ ทั้งหมดของวัตถุนั้นแล้วยังหมายถึงการต้านการเปลี่ยนแปลง การเคลื่อนที่ของวัตถุนั้นด้วย มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจ่าวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง กับเสียง แสง และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รวมทั้งน่าความรู้ไปใช้ประโยชน์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. จ่าแนกวัตถุเป็นตัวกลางโปร่งใส ตัวกลางโปร่งแสง และวัตถุทึบแสง จากลักษณะ การมองเห็นสิ่งต่าง ๆ ผ่านวัตถุนั้นเป็นเกณฑ์โดยใช้หลักฐาน เชิงประจักษ์ - เมื่อมองสิ่งต่าง ๆ โดยมีวัตถุต่างชนิดกันมากั้นแสง จะท่าให้ ลักษณะการมองเห็นสิ่งนั้นๆ ชัดเจนต่างกัน จึงจ่าแนกวัตถุ ที่มากั้นออกเป็นตัวกลางโปร่งใส ซึ่งท่าให้มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ชัดเจน ตัวกลางโปร่งแสงท่าให้มองเห็น สิ่งต่าง ๆ ได้ไม่ ชัดเจน และ วัตถุทึบแสงท่าให้มองไม่เห็นสิ่งต่าง ๆ นั้น
สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตและการประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีอวกาศ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. อธิบายแบบรูปเส้นทางการขึ้นและ ตก ของดวงจันทร์ โดยใช้หลักฐานเชิง ประจักษ์ - ดวงจันทร์เป็นบริวารของโลก โดยดวงจันทร์หมุนรอบตัวเอง ขณะโคจรรอบโลก ขณะที่โลกก็หมุน รอบตัวเองด้วยเช่นกัน การหมุนรอบตัวเองของโลกจากทิศตะวันตกไปทิศตะวันออก ในทิศทางทวนเข็มนาฬิกาเมื่อมองจากขั้วโลกเหนือ ท่าให้ มองเห็น ดวงจันทร์ปรากฏขึ้นทางด้านทิศตะวันออกและตก ทางด้านทิศตะวันตกหมุนเวียนเป็นแบบรูปซ้่า ๆ 2. สร้างแบบจ่าลองที่อธิบายแบบรูป การเปลี่ยนแปลงรูปร่างปรากฏของดวง จันทร์ และพยากรณ์รูปร่างปรากฏของ ดวงจันทร์ - ดวงจันทร์เป็นวัตถุที่เป็นทรงกลม แต่รูปร่างของดวงจันทร์ ที่มองเห็นหรือรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์บนท้องฟ้า แตกต่างกันไปในแต่ละวัน โดยในแต่ละวันดวงจันทร์จะมี รูปร่างปรากฏเป็นเสี้ยวที่มีขนาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเต็ม ดวง จากนั้นรูปร่างปรากฏของดวงจันทร์จะแหว่งและมีขนาด ลดลง อย่างต่อเนื่องจนมองไม่เห็นดวงจันทร์ จากนั้นรูปร่าง ปรากฏของดวงจันทร์จะเป็นเสี้ยวใหญ่ขึ้นจนเต็มดวงอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เป็นแบบรูปซ้่ากัน ทุกเดือน 3. สร้างแบบจ่าลองแสดงองค์ประกอบ ของระบบสุริยะ และอธิบาย เปรียบเทียบคาบ การโคจรของดาว เคราะห์ต่าง ๆ จากแบบจ่าลอง - ระบบสุริยะเป็นระบบที่มีดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางและมี บริวารประกอบด้วย ดาวเคราะห์แปดดวงและบริวาร ซึ่งดาว เคราะห์แต่ละดวงมีขนาดและระยะห่างจากดวงอาทิตย์ แตกต่างกัน และยังประกอบด้วย ดาวเคราะห์แคระ ดาว เคราะห์น้อย ดาวหาง และวัตถุขนาดเล็กอื่น ๆ โคจรอยู่รอบ ดวงอาทิตย์ วัตถุขนาดเล็กอื่น ๆ เมื่อเข้ามาในชั้นบรรยากาศ เนื่องจากแรงโน้มถ่วงของโลก ท่าให้เกิดเป็นดาวตกหรือผีพุ่ง ไต้และอุกกาบาต มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลง ภายในโลก และบนผิวโลก ธรณีพิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทั้งผล ต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - -
สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจแนวคิดหลักของเทคโนโลยีเพื่อการด่ารงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่าง รวดเร็วใช้ความรู้และทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และศาสตร์อื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหา หรือ พัฒนา งานอย่างมีความคิดสร้างสรรค์ด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม เลือกใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมโดย ค่านึงถึงผลกระทบต่อชีวิต สังคม และสิ่งแวดล้อม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง - - มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงค่านวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอน และเป็นระบบใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การท่างาน และการแก้ปัญหาได้อย่างมี ประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมีจริยธรรม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 1. ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา การอธิบายการท่างาน การคาดการณ์ ผลลัพธ์ จากปัญหาอย่างง่าย - การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการน่ากฎเกณฑ์ หรือเงื่อนไขที่ ครอบคลุมทุกกรณีมาใช้พิจารณาในการแก้ปัญหา การอธิบาย การท่างาน หรือการคาดการณ์ผลลัพธ์ - สถานะเริ่มต้นของการท่างานที่แตกต่างกันจะให้ผลลัพธ์ที่ แตกต่างกัน - ตัวอย่างปัญหา เช่น เกม OX, โปรแกรมที่มี การค่านวณ, โปรแกรมที่มีตัวละครหลายตัวและ มีการสั่งงานที่แตกต่าง หรือมีการสื่อสารระหว่างกัน, การเดินทางไปโรงเรียนโดย วิธีการต่าง ๆ 2. ออกแบบ และเขียนโปรแกรมอย่าง ง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์ หรือสื่อ และ ตรวจหาข้อผิดพลาดและแก้ไข - การออกแบบโปรแกรมอย่างง่าย เช่น การออกแบบโดยใช้ storyboard หรือการออกแบบอัลกอริทึม - การเขียนโปรแกรมเป็นการสร้างล่าดับของค่าสั่ง ให้ คอมพิวเตอร์ท่างาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตาม ความต้องการ หากมีข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบ การท่างานทีละค่าสั่ง เมื่อพบ จุดที่ท่าให้ผลลัพธ์ ไม่ถูกต้อง ให้ท่าการแก้ไขจนกว่าจะได้ ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง - ตัวอย่างโปรแกรมที่มีเรื่องราว เช่น นิทานที่มี การตอบโต้ กับผู้ใช้ การ์ตูนสั้น เล่ากิจวัตรประจ่าวัน ภาพเคลื่อนไหว การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของผู้อื่นจะช่วย พัฒนาทักษะการหาส่าเหตุของปัญหาได้ดียิ่งขึ้น -ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 3. ใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาความรู้ และ ประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล - การใช้ค่าค้นที่ตรงประเด็น กระชับ จะท่าให้ได้ ผลลัพธ์ที่ รวดเร็วและตรงตามความต้องการ - การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เช่น พิจารณา ประเภทของเว็บไซต์ ผู้เขียน วันที่เผยแพร่ข้อมูล การอ้างอิง - เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการจากเว็บไซต์ต่าง ๆ จะต้องน่าเนื้อหา มาพิจารณา เปรียบเทียบ แล้วเลือกข้อมูล ที่มีความ สอดคล้องและสัมพันธ์กัน - การท่ารายงานหรือการน่าเสนอข้อมูลจะต้อง น่าข้อมูลมา เรียบเรียง สรุป เป็นภาษาของตนเอง ที่เหมาะสมกับ กลุ่มเป้าหมายและวิธีการน่าเสนอ (บูรณาการกับวิชา ภาษาไทย) 4. รวบรวม ประเมิน น่าเสนอข้อมูล และสารสนเทศ โดยใช้ซอฟต์แวร์ที่ หลากหลาย เพื่อแก้ปัญหาใน ชีวิตประจ่าวัน - การรวบรวมข้อมูล ท่าได้โดยก่าหนดหัวข้อ ที่ต้องการ เตรียมอุปกรณ์ในการจดบันทึก - การประมวลผลอย่างง่าย เช่น เปรียบเทียบ จัดกลุ่ม เรียงล่าดับ การหาผลรวม - วิเคราะห์ผลและสร้างทางเลือกที่เป็นไปได้ ประเมิน ทางเลือก (เปรียบเทียบ ตัดสิน) - การน่าเสนอข้อมูลท่าได้หลายลักษณะตาม ความเหมาะสม เช่น การบอกเล่า เอกสารรายงาน โปสเตอร์ โปรแกรม น่าเสนอ - การใช้ซอฟต์แวร์เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจ่าวัน เช่น การ ส่ารวจเมนูอาหารกลางวันโดยใช้ซอฟต์แวร์สร้าง แบบสอบถามและเก็บข้อมูล ใช้ซอฟต์แวร์ตารางท่างานเพื่อ ประมวลผลข้อมูล รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคุณค่าทาง โภชนาการและสร้างรายการอาหารส่าหรับ 5 วัน ใช้ ซอฟต์แวร์น่าเสนอผลการส่ารวจ รายการอาหารที่เป็น ทางเลือก และข้อมูลด้านโภชนาการ
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง 5. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง ปลอดภัย เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน เคารพในสิทธิของผู้อื่น แจ้งผู้เกี่ยวข้อง เมื่อพบข้อมูล หรือบุคคลที่ไม่เหมาะสม - การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เข้าใจสิทธิและ หน้าที่ของตน เคารพในสิทธิของผู้อื่น เช่น ไม่สร้างข้อความ เท็จและส่งให้ผู้อื่น ไม่สร้าง ความเดือดร้อนต่อผู้อื่นโดยการส่ง สแปม ข้อความลูกโซ่ ส่งต่อโพสต์ที่มีข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่น ส่งค่าเชิญเล่นเกม ไม่เข้าถึงข้อมูลส่วนตัวหรือการบ้านของ บุคคลอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์/ ชื่อ บัญชีของผู้อื่น - การสื่อสารอย่างมีมารยาทและรู้กาลเทศะ - การปกป้องข้อมูลส่วนตัว เช่น การออกจากระบบเมื่อเลิกใช้ งาน ไม่บอกรหัสผ่าน ไม่บอกเลขประจ่าตัวประช่าชน ที่มา : สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกระทรวงศึกษาธิการ, ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551, โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จ ากัด, 2560. หน้า 116-118.
1.4 ตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระที่ 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงค่านวณในการแก้ปัญหาที่พบในชีวิตจริงอย่างเป็นขั้นตอนและ เป็นระบบใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้ การท่างาน และ การแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้เท่าทัน และมีจริยธรรม รหัสตัวชี้วัด ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ว 4.2 ป 4/1 1. ใช้เหตุผลเชิงตรรกะใน การแก้ปัญหา การอธิบาย การท่างาน การ คาดการณ์ผลลัพธ์ จาก ปัญหาอย่างง่าย - การใช้เหตุผลเชิงตรรกะเป็นการน่ากฎเกณฑ์ หรือเงื่อนไข ที่ครอบคลุมทุกกรณีมาใช้พิจารณาในการแก้ปัญหา การ อธิบายการท่างาน หรือการคาดการณ์ผลลัพธ์ - สถานะเริ่มต้นของการท่างานที่แตกต่างกันจะให้ผลลัพธ์ที่ แตกต่างกัน - ตัวอย่างปัญหา เช่น เกม OX, โปรแกรมที่มี การค่านวณ, โปรแกรมที่มีตัวละครหลายตัว และมีการสั่งงานที่แตกต่าง หรือมีการสื่อสารระหว่างกัน, การเดินทางไปโรงเรียนโดย วิธีการต่าง ๆ ว 4.2 ป 4/2 2. ออกแบบ และเขียน โปรแกรมอย่างง่าย โดย ใช้ซอฟต์แวร์ หรือสื่อ และตรวจหาข้อผิดพลาด และแก้ไข - การออกแบบโปรแกรมอย่างง่าย เช่น การออกแบบโดยใช้ storyboard หรือการออกแบบอัลกอริทึม - การเขียนโปรแกรมเป็นการสร้างล่าดับของค่าสั่ง ให้ คอมพิวเตอร์ท่างาน เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตาม ความต้องการ หากมีข้อผิดพลาดให้ตรวจสอบ การท่างานทีละค่าสั่ง เมื่อ พบจุดที่ท่าให้ผลลัพธ์ ไม่ถูกต้อง ให้ท่าการแก้ไขจนกว่าจะ ได้ผลลัพธ์ที่ถูกต้อง - ตัวอย่างโปรแกรมที่มีเรื่องราว เช่น นิทานที่มี การตอบโต้ กับผู้ใช้ การ์ตูนสั้น เล่ากิจวัตรประจ่าวัน ภาพเคลื่อนไหว การฝึกตรวจหาข้อผิดพลาดจากโปรแกรมของผู้อื่นจะช่วย พัฒนาทักษะการหาส่าเหตุของปัญหาได้ดียิ่งขึ้น - ซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการเขียนโปรแกรม เช่น Scratch, logo
รหัสตัวชี้วัด ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ว 4.2 ป 4/3 3. ใช้อินเทอร์เน็ตค้นหา ความรู้ และประเมิน ความน่าเชื่อถือของข้อมูล - การใช้ค่าค้นที่ตรงประเด็น กระชับ จะท่าให้ได้ ผลลัพธ์ที่ รวดเร็วและตรงตามความต้องการ - การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล เช่น พิจารณา ประเภทของเว็บไซต์ ผู้เขียน วันที่เผยแพร่ข้อมูล การ อ้างอิง - เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการจากเว็บไซต์ ต่าง ๆ จะต้องน่า เนื้อหามาพิจารณา เปรียบเทียบ แล้วเลือกข้อมูล ที่มี ความสอดคล้องและสัมพันธ์กัน - การท่ารายงานหรือการน่าเสนอข้อมูลจะต้อง น่าข้อมูลมา เรียบเรียง สรุป เป็นภาษาของตนเอง ที่เหมาะสมกับ กลุ่มเป้าหมายและวิธีการน่าเสนอ (บูรณาการกับวิชา ภาษาไทย) ว 4.2 ป 4/4 4. รวบรวม ประเมิน น่าเสนอข้อมูลและ สารสนเทศ โดยใช้ ซอฟต์แวร์ที่หลากหลาย เพื่อแก้ปัญหาใน ชีวิตประจ่าวัน - การรวบรวมข้อมูล ท่าได้โดยก่าหนดหัวข้อ ที่ต้องการ เตรียมอุปกรณ์ในการจดบันทึก - การประมวลผลอย่างง่าย เช่น เปรียบเทียบ จัดกลุ่ม เรียงล่าดับ การหาผลรวม - วิเคราะห์ผลและสร้างทางเลือกที่เป็นไปได้ ประเมิน ทางเลือก (เปรียบเทียบ ตัดสิน) - การน่าเสนอข้อมูลท่าได้หลายลักษณะตาม ความ เหมาะสม เช่น การบอกเล่า เอกสารรายงาน โปสเตอร์ โปรแกรมน่าเสนอ - การใช้ซอฟต์แวร์เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจ่าวัน เช่น การส่ารวจเมนูอาหารกลางวันโดยใช้ซอฟต์แวร์สร้าง แบบสอบถามและเก็บข้อมูล ใช้ซอฟต์แวร์ตารางท่างานเพื่อ ประมวลผลข้อมูล รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับคุณค่าทาง โภชนาการและสร้างรายการอาหารส่าหรับ 5 วัน ใช้ ซอฟต์แวร์น่าเสนอผลการส่ารวจ รายการอาหารที่เป็น ทางเลือก และข้อมูลด้านโภชนาการ
รหัสตัวชี้วัด ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ว 4.2 ป 4/5 5. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง ปลอดภัย เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของ ตน เคารพในสิทธิของผู้อื่น แจ้ง ผู้เกี่ยวข้องเมื่อพบข้อมูล หรือบุคคล ที่ไม่เหมาะสม - การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน เคารพในสิทธิของ ผู้อื่น เช่น ไม่สร้างข้อความเท็จและส่งให้ผู้อื่น ไม่สร้าง ความเดือดร้อนต่อผู้อื่นโดยการส่ง สแปม ข้อความลูกโซ่ ส่งต่อโพสต์ที่มีข้อมูล ส่วนตัวของผู้อื่น ส่งค่าเชิญเล่นเกม ไม่เข้าถึง ข้อมูลส่วนตัวหรือการบ้านของบุคคลอื่นโดย ไม่ได้รับอนุญาต ไม่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์/ ชื่อ บัญชีของผู้อื่น 1.5 ค าอธิบายรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการค านวณ) รหัสวิชา ว14101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เวลา 20 ชั่วโมง 1 หน่วยกิต ศึกษาและฝึกทักษะเกี่ยวกับการใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา การอธิบายการท่างาน หรือการ คาดการผลลัพธ์จากปัญหาอย่างง่าย การออกแบบและเขียนโปรแกรมอย่างง่าย การตรวจหาข้อผิดพลาดใน โปรแกรม การค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตและการใช้ค่าค้น การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล การรวบรวม ข้อมูล การประมวลผลอย่างง่าย การวิเคราะห์ผลและสร้างทางเลือกการน่าเสนอข้อมูล การสื่อสารอย่างมี มารยาทและรู้กาลเทศะ การปกป้องข้อมูลส่วนตัว ว 4.2 เทคโนโลยี (วิทยาการค่านวณ) 1. ใช้เหตุผลเชิงตรรกะในการแก้ปัญหา การอธิบายการท่างาน การคาดการณ์ผลลัพธ์จากปัญหา อย่างง่าย 2. ออกแบบ และเขียนโปรแกรมอย่างง่าย โดยใช้ซอฟต์แวร์หรือสื่อ และตรวจหาข้อผิดพลาด และแก้ไข 3. ใช้อินเทอร์เน็ตค้นหาความรู้ และประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูล 4. รวบรวม ประเมิน น่าเสนอข้อมูลและสารสนเทศ โดยใช้ซอฟต์แวร์ที่หลากหลาย เพื่อแก้ปัญหาในชีวิตประจ่าวัน 5. ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย เข้าใจสิทธิและหน้าที่ของตน เคารพในสิทธิของผู้อื่น แจ้งผู้เกี่ยวข้องเมื่อพบข้อมูลหรือบุคคลที่ไม่เหมาะสม รหัสตัวชี้วัด ว 4.2 ป 4/1 ป 4/2 ป 4/3 ป 4/4 ป 4/5 รวม 5 ตัวชี้วัด
1.6 โครงสร้างรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการค านวณ) รหัสวิชา ว14101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ตาราง 9 แสดงโครงสร้างรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการค่านวณ) รหัสวิชา ว14101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หน่วย ที่ ชื่อหน่วย การเรียนรู้ มาตรฐาน/ ตัวชี้วัด สาระส าคัญ เวลา (ชั่วโมง) สัดส่วน คะแนน 3 การใช้งาน อินเทอร์เน็ต ว 4.2 ป 4/3 เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง วิธีการ อุปกรณ์ หรือเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมข้อมูล การประมวลผลข้อมูล การเก็บรักษาข้อมูล การ เผยแพร่ข้อมูลและสารสรเทศและการสื่อสาร โทรคมนาคม 4 25 4 การน่าเสนอ ข้อมูลด้วย ซอฟต์แวร์ ว 4.2 ป 4/4 คอมพิวเตอร์ หมายถึง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ชนิด หนึ่งที่สามารถรับโปรแกรม และข้อมูลท่าการ ประมวล สื่อสาร จัดเก็บข้อมูล เคลื่อนย้ายข้อมูล และแสดงผลลัพธ์ได้อย่างรวดเร็ว ให้ผลลัพธ์ที่ ถูกต้องและเชื่อถือได้ 12 60 5 การใช้ เทคโนโลยี อย่าง ปลอดภัย ว 4.2 ป 4/5 ซอฟต์แวร์ หมายถึง โปรแกรมหรือค่าสั่งที่ใช้สั่งงาน ให้คอมพิวเตอร์ท่างานให้เป็นไปตามล่าดับขั้นตอน ไม่สามารถมองเห็นและจับต้องได้ 2 15 2. แนวคิดเกี่ยวกับการสร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะ 2.1 ความหมายของแบบฝึกทักษะ วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 40) ได้สรุปความหมายและความส่าคัญของแบบฝึกได้ว่า แบบฝึก คือ แบบฝึกหัดหรือชุดฝึกที่ครูจัดให้นักเรียน เพื่อให้มีทักษะเพิ่มขึ้นหลังจากที่ได้เรียนรู้เรื่องนั้น ๆ มาบ้างแล้ว โดย แบบฝึกต้องมีทิศทางตรงตามจุดประสงค์ ประกอบกิจกรรมที่น่าสนใจและสนุกสนาน สุวิทย์ มูลค่า และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53) ได้สรุปความส่าคัญของแบบฝึกทักษะว่า แบบ ฝึกทักษะมีความส่าคัญต่อผู้เรียนไม่น้อย ในการที่จะช่วยเสริมสร้างทักษะให้กับผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้และ เข้าใจได้เร็วขึ้น ชัดเจนขึ้น กว้างขวางขึ้น ท่าให้การสอนของครูและการเรียนของนักเรียนประสบผลส่าเร็จอย่าง มีประสิทธิภาพ ประภาพร ถิ่นอ่อง (2553 : 29) ได้กล่าวว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอน ที่สร้างขึ้นเพื่อให้นักเรียนได้ฝึกปฏิบัติด้วยตนเองจนเกิดความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น โดยที่กิจกรรมที่ได้ปฏิบัติใน
แบบฝึกนั้นจะครอบคลุมเนื้อหาที่เรียนไปแล้ว ท่าให้นักเรียนมีความรู้และทักษะมากขึ้น เพราะมีรูปแบบหรือ ลักษณะที่หลากหลาย จากความหมายของแบบฝึกทักษะสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ หมายถึง สื่อการเรียนการสอน ที่สร้างขึ้น เพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้เนื้อหาของบทเรียนได้ด้วยตนเอง จากการฝึกท่าแบบฝึกทักษะที่ครู จัดท่าขึ้น โดยแบบฝึกทักษะนั้นมีความครอบคลุมเนื้อหาที่เรียนไปแล้ว ท่าให้นักเรียนมีความรู้และทักษะมาก ขึ้น และฝึกจนเกิดความช่านาญ สามารถประยุกต์ใช้เนื้อหาของบทเรียนให้เป็นประโยชน์กับการด่ารงชีวิตได้ 2.2 ลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดี สุจินดา พัชรภิญโญ (2548 : 58) กล่าวถึงการสร้างแบบฝึกที่ดีนั้นสิ่งที่ควรค่านึงถึงเป็นอันดับแรกคือ นักเรียน และจะต้องมีการก่าหนดจุดมุ่งหมายที่แน่นอน จัดเนื้อหาให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย เนื้อหาไม่ควร จะยากเกินไปและจัดท่าแบบฝึกหลาย ๆ รูปแบบเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้เรียน ฐานิยา อมรพลัง (2548 : 78) ได้เสนอลักษณะที่ดีของแบบฝึก คือแบบฝึกที่เรียงล่าดับจากง่ายไปหา ยาก มีรูปภาพประกอบ มีรูปแบบน่าสนใจ หลากหลายรูปแบบ โดยอาศัยหลักจิตวิทยาในการจัดกิจกรรมหรือ จัดแบบฝึกให้สนุก ใช้ภาษาเหมาะสมกับวัย และระดับชั้นของนักเรียน มีค่าสั่ง ค่าชี้แจงสั้น ชัดเจน เข้าใจง่าย มีตัวอย่างประกอบ มีการจัดกิจกรรม การฝึกที่เร้าความสนใจ และแบบฝึกนั้นควรทันสมัยอยู่เสมอ สุวิทย์ มูลค่า และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 60-61) ได้สรุปลักษณะของแบบฝึกที่ดีควร ค่านึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความครอบคลุม ความสอดคล้องกับเนื้อหา รูปแบบน่าสนใจ และค่าสั่งชัดเจน และได้สรุปลักษณะของแบบฝึกไว้ดังนี้ 1. ใช้หลักจิตวิทยา 2. ส่านวนภาษาไทย 3. ให้ความหมายต่อชีวิต 4. คิดได้เร็วและสนุก 5. ปลุกความน่าสนใจ 6. เหมาะสมกับวัยและความสามารถ 7. อาจศึกษาได้ด้วยตนเอง และได้แนะน่าให้ผู้สร้างแบบฝึกให้ยึดลักษณะของแบบฝึกไว้ดังนี้ 1. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความชัดเจนทั้งค่าสั่งและวิธีท่าค่าสั่งหรือตัวอย่าง วิธีท่าที่ใช้ไม่ควรยาว เกินไปเพราะจะท่าให้เข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายเหมาะสมกับผู้ใช้ ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนสามารถศึกษาด้วยตนเอง ได้ถ้าต้องการ 2. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความหมายต่อผู้เรียนและตรงตามจุดมุ่งหมายของการฝึก ลงทุนน้อยใช้ได้ นาน ๆ และทันสมัยอยู่เสมอ 3. ภาษาและภาพที่ใช้ในแบบฝึกหัดควรเหมาะสมกับวัยและพื้นฐานความรู้ของผู้เรียน 4. แบบฝึกหัดที่ดีควรแยกฝึกเป็นเรื่อง ๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไปแต่ควรมีกิจกรรมหลาย รูปแบบ เพื่อเร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจและไม่น่าเบื่อหน่ายในการท่า และเพื่อฝึกทักษะใดทักษะหนึ่งจนเกิด ความช่านาญ 5. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีทั้งแบบก่าหนดให้โดยเสรี การเลือกใช้ค่า ข้อความหรือรูปภาพใน แบบฝึกหัด ควรเป็นสิ่งที่นักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความในใจของนักเรียน เพื่อว่าแบบฝึกหัดที่สร้างขึ้นจะได้ ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและพอใจแก่ผู้ใช้ ซึ่งตรงกับหลักการเรียนรู้ได้เร็วในการกระท่าที่ก่อให้เกิดความพึง พอใจ
6. แบบฝึกหัดที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ศึกษาด้วยตนเองให้รู้จักค้นคว้ารวบรวมสิ่งที่พบเห็น บ่อย ๆ หรือที่ตนเองเคยใช้จะท่าให้นักเรียนสนใจเรื่องนั้น ๆ มากยิ่งขึ้นและจะรู้จักความรู้ในชีวิตประจ่าวัน อย่างถูกต้อง มีหลักเกณฑ์และมองเห็นว่าสิ่งที่เขาได้ฝึกฝนนั้นมีความหมายต่อเขาตลอดไป 7. แบบฝึกหัดที่ดีควรจะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน หลาย ๆ ด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญาและประสบการณ์ ฯลฯ ฉะนั้นการ ท่าแบบฝึกหัดแต่ละเรื่องควรจัดท่าให้มากพอและมีทุกระดับตั้งแต่ง่าย ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยาก เพื่อ ว่าทั้งเด็กเก่ง กลาง และอ่อนจะได้เลือกท่าได้ตามความสามารถ ทั้งนี้เพื่อให้เด็กทุกคนประสบความส่าเร็จใน การท่าแบบฝึกหัด 8. แบบฝึกหัดที่ดีควรสามารถเร้าความสนใจของนักเรียนได้ตั้งแต่หน้าปกไปจนถึงหน้าสุดท้าย 9. แบบฝึกหัดที่ดีควรได้รับการปรับปรุงไปคู่กับหนังสือแบบเรียนอยู่เสมอและควรใช้ได้ดีทั้งใน และนอกบทเรียน 10. แบบฝึกหัดที่ดีควรเป็นแบบที่สามารถประเมินและจ่าแนกความเจริญงอกงามของเด็ก ได้ด้วย จากลักษณะของแบบฝึกทักษะที่ดีสรุปได้ คือ แบบฝึกหัดที่ดีควรจะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนจะมีความแตกต่างกันและเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ศึกษาด้วยตนเองให้รู้จักค้นคว้ารวบรวมสิ่งที่ พบเห็นบ่อย ๆ หรือที่ตนเองเคยใช้จะท่าให้นักเรียนสนใจเรื่องนั้น ๆ มากยิ่งขึ้น มีความครอบคลุม ความ สอดคล้อง กับเนื้อหา มีรูปแบบน่าสนใจ เป็นที่น่าดึงดูดของนักเรียนท่าให้นักเรียนเกิดความอยากที่จะเรียนรู้ 2.3 ประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ วรรณภา ไชยวรรณ (2549 : 41) ได้อธิบายถึงประโยชน์ของแบบฝึกทักษะไว้ว่า แบบฝึกช่วย ในการ ฝึกหรือเสริมทักษะทางภาษา การใช้ภาษาของนักเรียนสามารถน่ามาฝึกซ้่าทบทวนบทเรียน และผู้เรียน สามารถน่าไปทบทวนด้วยตนเอง จดจ่าเนื้อหาได้คงทน แบบฝึกถือเป็นอุปกรณ์การสอนอย่างหนึ่งซึ่งสามารถ ทดสอบความรู้วัดผลการเรียนหรือประเมินผลการเรียนก่อนและหลังเรียนได้เป็นอย่างดีท่าให้ครูทราบปัญหา ข้อบกพร่องของผู้เรียนเฉพาะจุดได้ นักเรียนทราบความก้าวหน้าของตนเองครูประหยัดเวลา ค่าใช้จ่ายและลด ภาระได้มาก วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2549 : 131) กล่าวถึงความส่าคัญของแบบฝึกทักษะว่า แบบฝึกทักษะ เป็น เทคนิคการสอนที่สนุกอีกวิธีหนึ่ง คือการให้นักเรียนท่าแบบฝึกทักษะมาก ๆ สิ่งที่จะช่วยให้นักเรียนมี พัฒนาการทางการเรียนรู้ในเนื้อหาวิชาได้ดีขึ้น เพราะนักเรียนได้มีโอกาสน่าความรู้ที่ได้เรียนมาแล้วมาฝึกให้ เกิดความเข้าใจกว้างขวางยิ่งขึ้น สุวิทย์ มูลค่า และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 53-54) ได้สรุปประโยชน์ของแบบฝึกทักษะ ดังนี้ 1. ท่าให้เข้าใจบทเรียนดีขึ้น เพราะเป็นเครื่องอ่านวยประโยชน์ในการเรียนรู้ 2. ท่าให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียนที่มีต่อบทเรียน 3. ฝึกให้เด็กมีความเชื่อมั่นและสามารถประเมินผลของตนเองได้ 4. ฝึกให้เด็กท่างานตามล่าพัง โดยมีความรับผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมาย 5. ช่วยลดภาระครู 6. ช่วยให้เด็กฝึกฝนได้อย่างเต็มที่ 7. ช่วยพัฒนาตามความแตกต่างระหว่างบุคคล 8. ช่วยเสริมให้ทักษะคงทน ซึ่งลักษณะการฝึกเพื่อช่วยให้เกิดผลดังกล่าวนั้นได้แก่ 8.1 ฝึกทันทีหลังจากที่เด็กได้เรียนรู้ในเรื่องนั้น ๆ 8.2 ฝึกซ้่าหลาย ๆ ครั้ง
8.3 เน้นเฉพาะในเรื่องที่ผิด 9. เป็นเครื่องมือวัดผลการเรียนหลังจากจบบทเรียนในแต่ละครั้ง 10. ใช้เป็นแนวทางเพื่อทบทวนด้วยตนเอง 11. ช่วยให้ครูมองเห็นจุดเด่นหรือปัญหาต่าง ๆ ของเด็กได้ชัดเจน 12. ประหยัดค่าใช้จ่าย แรงงานและเวลาของครู จากประโยชน์ของแบบฝึกทักษะสามารถสรุปได้ คือ แบบฝึกทักษะเป็นสื่อประกอบการเรียนการสอน ที่สามารถช่วยในการเรียนรู้ ท่าให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ได้รวดเร็ว กระชับ ตรงตามเนื้อหา และยังสามารถ ฝึกฝน เรียนรู้ ค้นคว้าข้อมูลได้ด้วยตนเองอีกด้วย เป็นการฝึกการเรียนรู้จากสื่อและแหล่งเรียนรู้รอบตัว และ เป็นการประหยัดเวลา ค่าใช้จ่าย และภาระงานของครูอีกด้วย 2.4 ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบฝึกทักษะ สุวิทย์ มูลค่า และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 54-55) ได้อธิบายแนวคิดและหลักการสร้างแบบ ฝึกว่า การศึกษาในเรื่องจิตวิทยาการเรียนรู้เป็นสิ่งที่ผู้สร้างแบบฝึกมิควรละเลย เพราะการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ ต้องขึ้นอยู่กับปรากฏการณ์ของจิตและพฤติกรรมที่ตอบสนองนานาประการ โดยอาศัยกระบวนการที่เหมาะสม และเป็นวิธีที่ดีที่สุด การศึกษาทฤษฎีการเรียนรู้จากข้อมูลที่นักจิตวิทยาได้ท่าการค้นพบและทดลองไว้แล้ว ส่าหรับการสร้างแบบฝึกในส่วนที่มีความสัมพันธ์กัน ดังนี้ 1. ทฤษฎีการลองถูกลองผิดของธอร์นไดค์ ได้สรุปเป็นกฎเกณฑ์การเรียนรู้ 3 ประการ คือ 1.1 กฎความพร้อม หมายถึง การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อบุคคลพร้อมที่จะกระท่า 1.2 กฎผลที่ได้รับ หมายถึง การเรียนรู้ที่เกิดขึ้นเพราะบุคคลกระท่าซ้่าง่าย 1.3 กฎการฝึกหัด หมายถึง การฝึกหัดให้บุคคลท่ากิจกรรมต่าง ๆ นั้น ผู้ฝึกจะต้อง ควบคุมและจัดสภาพการให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของตนเอง บุคคลจะถูกก่าหนดลักษณะ พฤติกรรมที่แสดงออก ดังนั้น ผู้สร้างแบบฝึกจึงจะต้องก่าหนดกิจกรรมตลอดจนค่าสั่งต่าง ๆ ในแบบฝึกให้ผู้ฝึก ได้แสดงพฤติกรรมสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่ผู้สร้างต้องการ 2. ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมของสกินเนอร์ ซึ่งมีความเชื่อว่าสามารถควบคุมบุคคลให้ท่าตามความ ประสงค์หรือแนวทางที่ก่าหนด โดยไม่ต้องค่านึงถึงความรู้สึกทางด้านจิตใจของบุคคลผู้นั้นว่าจะรู้สึกนึกคิด อย่างไร เขาจึงได้ทดลองและสรุปว่า บุคคลสามารถเรียนรู้ด้วยการกระท่าโดยมีการเสริมแรงเป็นตัวการให้ บุคคลตอบสนองการเร้าของสิ่งเร้าควบคู่กันในช่วงเวลาที่เหมาะสม สิ่งเร้านั้นจะรักษาระดับหรือเพิ่มการ ตอบสนองให้เข้มขึ้น 3. วิธีการสอนของกาเย่ ซึ่งมีความเห็นว่าการเรียนรู้มีล่าดับขั้น และผู้เรียนจะต้องเรียนรู้เนื้อหาที่ ง่ายไปหายาก การสร้างแบบฝึกจึงควรค่านึงถึงการฝึกตามล่าดับจากง่ายไปหายาก 4. แนวคิดของบลูม ซึ่งกล่าวถึงธรรมชาติของผู้เรียนแต่ละคนว่ามีความแตกต่างกัน ผู้เรียน สามารถเรียนรู้เนื้อหาในหน่วยย่อยต่าง ๆ ได้โดยใช้เวลาเรียนที่แตกต่างกัน มาร์ซาโน Marzano (อ้างถึงใน ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ, 2552 : 21-26) ได้กล่าวว่า การคิดวิเคราะห์ เป็นกิจกรรมที่ต้องใช้เหตุผล เป็นการคิดอย่างลุ่มลึกและหลากหลาย มีการคิดพิจารณาข้อมูลอย่างละเอียดถี่ ถ้วนรอบด้านและมีเหตุผล สามารถระบุความเหมือนความแตกต่างระหว่างสิ่งต่าง ๆ ได้ สามารถจัดอันดับ จัด ประเภทของความรู้และจัดหมวดหมู่ของสิ่งต่าง ๆ ได้ ระบุข้อผิดพลาดในการน่าเสนอข้อมูลของสิ่งต่าง ๆ และ บอกเหตุผลได้ สามารถตีความหรือบอกหลักเกณฑ์พื้นฐานของความรู้นั้นได้ สามารถระบุเจาะจงหรือสรุปอย่าง มีเหตุผลในความรู้นั้นได้ จนกระทั่งสามารถสรุปจนตกผลึกเป็นความรู้ใหม่ได้ ประกอบด้วยความสามารถ 5 ด้าน ได้แก่
1. ด้านการสังเกตและการจ่าแนก (Matching) หมายถึง ความสามารถในการสังเกตและจ่าแนก แยกแยะรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เหมือนกันและต่างกันออกเป็นแต่ละส่วนที่เข้าใจ ง่ายอย่างมีหลักเกณฑ์ สามารถเปรียบเทียบ ระบุตัวอย่างหลักฐานลักษณะ ความเหมือน ความแตกต่างของสิ่ง ต่าง ๆ ได้ ซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่ความสามารถในการจับคู่และการจัดกลุ่มสิ่งต่าง ๆ ที่เหมือนกันทั้งรูปร่างลักษณะ แหล่งก่าเนิดได้ 2. ด้านการจัดกลุ่ม (Classification) หมายถึง ความสามารถในการประมวลความรู้เพื่อการจัด กลุ่ม จัดล่าดับและจัดประเภทของสิ่งต่าง ๆ สามารถหาคุณลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งของที่เหมือนกันหรือ คล้ายคลึงกันออกเป็นพวกเป็นกลุ่มได้อย่างมีความหมายมีหลักการและมีหลักเกณฑ์ 3. ด้านการวิเคราะห์เหตุผล (Error analysis) หมายถึง การวิเคราะห์ข้อผิดพลาดโดยใช้เหตุผล ตามข้อมูลนั้น ๆ ในการอธิบายความสัมพันธ์และความไม่สัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ การระบุข้อมูลหรือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่สมเหตุสมผล สิ่งที่ผิดปกติ แตกต่างออกไปจากที่ควรจะเป็น การพัฒนาความสามารถในด้านนี้จะเกิดขึ้นได้ ควรให้มีการโต้แย้งและถกเถียงกันโดยใช้เหตุผล 4. ด้านการน่าไปใช้ (Generalizing) หมายถึง ความสามารถในการน่าความรู้เดิมที่มีไปสรุปเป็น หลักการใหม่ น่าไปประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ หรือสามารถน่าความรู้ไปใช้ในกิจกรรมชีวิตประจ่าวันได้ โดยทั่วไปจะเป็นการให้เหตุผลเชิงอุปนัย 5. ด้านการท่านาย (Specifying) หมายถึง ความสามารถในการน่าความรู้หรือหลักการที่มีอยู่ แล้วไปใช้เพื่อการประมาณและการท่านายสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างจ่าเพาะเจาะจง สามารถ เข้าใจเหตุการณ์ มีความรู้ ความสามารถในการระบุรายละเอียดในเหตุการณ์นั้นและปรับเปลี่ยนวิธีการให้ เหมาะสมกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นต่อไปได้ โดยทั่วไปเป็นการให้เหตุผลเชิงนิรนัย จากทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบฝึกทักษะ สรุปได้ว่ามีทฤษฏีที่เกี่ยวข้อง 2 ทฤษฎี คือ ทฤษฎี การลองถูกลองผิดของธอร์นไดค์ และทฤษฎีพฤติกรรมนิยมของสกินเนอร์โดยหลักการสร้างแบบฝึกทฤษฎีการ ลองถูกลองผิดของธอร์นไดค์ มีกฎเกณฑ์การเรียนรู้ 3 ประการ คือ กฎความพร้อมกฎผลที่ได้รับและกฎ การฝึกหัด 2.5 หลักการสร้างแบบฝึกทักษะ สุวิทย์ มูลค่า และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 60-61) ได้สรุปลักษณะของแบบฝึกที่ดีควร ค่านึงถึงหลักจิตวิทยาการเรียนรู้ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความครอบคลุม ความสอดคล้องกับเนื้อหา รูปแบบน่าสนใจและค่าสั่งชัดเจน และได้สรุปลักษณะของแบบฝึกไว้ ดังนี้ 1. ใช้หลักจิตวิทยา 2. ส่านวนภาษาไทย 3. ให้ความหมายต่อชีวิต 4. คิดได้เร็วและสนุก 5. ปลุกความน่าสนใจ 6. เหมาะสมกับวัยและความสามารถ 7. อาจศึกษาได้ด้วยตนเอง และได้แนะน่าให้ผู้สร้างแบบฝึกให้ยึดลักษณะของแบบฝึกไว้ ดังนี้
1. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความชัดเจนทั้งค่าสั่งและวิธีท่าค่าสั่งหรือตัวอย่างวิธีท่าที่ใช้ไม่ควรยาว เกินไป เพราะจะท่าให้เข้าใจยาก ควรปรับให้ง่ายเหมาะสมกับผู้ใช้ทั้งนี้เพื่อให้นักเรียนสามารถศึกษาด้วยตนเอง ได้ถ้าต้องการ 2. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีความหมายต่อผู้เรียนและตรงตามจุดมุ่งหมายของการฝึกลงทุนน้อยใช้ได้ นาน ๆ และทันสมัยอยู่เสมอ 3. ภาษาและภาพที่ใช้ในแบบฝึกหัดควรเหมาะสมกับวัยและพื้นฐานความรู้ของผู้เรียน 4. แบบฝึกหัดที่ดีควรแยกฝึกเป็นเรื่อง ๆ แต่ละเรื่องไม่ควรยาวเกินไปแต่ควรมีกิจกรรมหลาย รูปแบบ เพื่อเร้าให้นักเรียนเกิดความสนใจและไม่น่าเบื่อหน่ายในการท่า และเพื่อฝึกทักษะใดทักษะหนึ่งจนเกิด ความช่านาญ 5. แบบฝึกหัดที่ดีควรมีทั้งแบบก่าหนดให้โดยเสรี การเลือกใช้ค่า ข้อความหรือรูปภาพใน แบบฝึกหัด ควรเป็นสิ่งที่นักเรียนคุ้นเคยและตรงกับความในใจของนักเรียน เพื่อว่าแบบฝึกหัดที่สร้างขึ้นจะได้ ก่อให้เกิดความเพลิดเพลินและพอใจแก่ผู้ใช้ ซึ่งตรงกับหลักการเรียนรู้ได้เร็วในการกระท่าที่ก่อให้เกิดความพึง พอใจ 6. แบบฝึกหัดที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียน ได้ศึกษาด้วยตนเองให้รู้จักค้นคว้ารวบรวมสิ่งที่พบเห็น บ่อย ๆ หรือที่ตนเองเคยใช้จะท่าให้นักเรียนสนใจเรื่องนั้น ๆ มากยิ่งขึ้นและจะรู้จักความรู้ในชีวิตประจ่าวัน อย่างถูกต้อง มีหลักเกณฑ์และมองเห็นว่าสิ่งที่เขาได้ฝึกฝนนั้นมีความหมายต่อเขาตลอดไป 7. แบบฝึกหัดที่ดีควรจะสนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ผู้เรียนแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน หลาย ๆ ด้าน เช่น ความต้องการ ความสนใจ ความพร้อม ระดับสติปัญญาและประสบการณ์ ฯลฯ ฉะนั้นการ ท่าแบบฝึกหัดแต่ละเรื่อง ควรจัดท่าให้มากพอและมีทุกระดับตั้งแต่ง่าย ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยาก เพื่อว่าทั้งเด็กเก่ง กลาง และอ่อนจะได้เลือกท่าได้ตามความสามารถ ทั้งนี้เพื่อให้เด็กทุกคนประสบความส่าเร็จ ในการท่าแบบฝึกหัด 8. แบบฝึกหัดที่ดีควรสามารถเร้าความสนใจของนักเรียนได้ตั้งแต่หน้าปกไปจนถึงหน้าสุดท้าย 9. แบบฝึกหัดที่ดีควรได้รับการปรับปรุงไปคู่กับหนังสือแบบเรียนอยู่เสมอและควรใช้ได้ดีทั้งใน และนอกบทเรียน 10. แบบฝึกหัดที่ดีควรเป็นแบบที่สามารถประเมินและจ่าแนกความเจริญงอกงามของเด็ก ได้ด้วย ปราณี จิณฤทธิ์ (2552 : 32) ได้กล่าวว่า หลักการสร้างแบบฝึกผู้สร้างต้องค่านึงถึงความแตกต่างระหว่าง บุคคล แบบฝึกที่สร้างต้องมีหลาย ๆ รูปแบบ สร้างจากง่ายไปหายากมีความถูกต้องในการสร้างแบบฝึกมีการ สอดแทรกทักษะวิชาอื่นเข้าไปด้วย ควรจัดท่าแบบฝึกไว้ล่วงหน้าเพราะแบบฝึกควรท่าหลังจากผู้เรียนได้เรียน บทเรียนในเรื่องนั้น ๆ จบลงทันที ประภาพร ถิ่นอ่อง (2553 : 35) ได้กล่าวว่า หลักการสร้างแบบฝึกทักษะควรค่านึงถึงหลักจิตวิทยาในการ เรียนรู้โดยมีจุดมุ่งหมายในการฝึก แบบฝึกควรเริ่มจากง่ายไปหายาก มีหลายแบบมีตัวอย่างประกอบ มี ภาพประกอบ และสามารถศึกษาได้ด้วยตนเอง สรุปได้ว่าหลักการสร้างแบบฝึกทักษะ คือ ผู้สร้างต้องค่านึงถึงหลักจิตวิทยาในการเรียนรู้ และค่านึงถึง ความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยมีจุดมุ่งหมายในการฝึก การสร้างแบบฝึกมีการสอดแทรกทักษะวิชาอื่นเข้าไป ด้วย ควรจัดท่าให้มีทุกระดับตั้งแต่ง่าย ปานกลาง จนถึงระดับค่อนข้างยาก เพื่อว่าทั้งเด็กเก่ง กลาง และอ่อน จะได้เลือกท่าได้ตามความสามารถควรมีภาพประกอบ เพื่อให้นักเรียนเกิดความเข้าใจมากขึ้น โดยจากการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับการสร้างแบบฝึกทักษะ ผู้รายงานสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ การใช้ คอมพิวเตอร์กับระบบปฏิบัติการน่ารู้ รายวิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์) รหัสวิชา ง14101
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จะช่วยเสริมสร้างทักษะให้กับผู้เรียน ได้เกิดการเรียนรู้และเข้าใจได้เร็วขึ้น ช่วยให้นักเรียนมีพัฒนาการทางการเรียนรู้ในเนื้อหาวิชาได้ดี เพราะ นักเรียนได้มีโอกาสน่าความรู้ที่ได้เรียนมาแล้วมาฝึก ให้เกิดความเข้าใจ กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยการสร้างแบบฝึก ทักษะนั้นจะต้องศึกษาในเรื่องจิตวิทยาการเรียนรู้ และต้องศึกษาทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสร้างแบบฝึกทักษะ เช่น ทฤษฎีพฤติกรรมนิยมของสกินเนอร์ เป็นต้น โดยจะต้องมีกิจกรรมที่น่าสนใจ สอดคล้องกับจุดประสงค์ และมีเนื้อหาที่เริ่มจากง่ายไปหายาก ดังนั้น แบบฝึกจึงจะต้องก่าหนดกิจกรรมตลอดจนค่าสั่งต่าง ๆ ฝึกให้ ผู้เรียนได้แสดงพฤติกรรมสอดคล้องกับจุดประสงค์ที่ต้องการและเกิดทักษะในการเรียนรู้ 3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน 3.1 ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พิมพ์ประภา อรัญมิตร (2552 : 18) ได้ให้ความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะและความรู้ความสามารถที่แสดงถึงความส่าเร็จที่ได้จากการเรียนการสอนในวิชาต่าง ๆ ซึ่งสามารถวัดเป็นคะแนนได้จากแบบทดสอบทางภาคทฤษฎีหรือภาคปฏิบัติ หรือทั้งสองอย่าง ยุทธนา ปัญญาดี (2553 : 3) ได้ให้ความหมายของการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า หมายถึง กระบวนการวัดผลทางการศึกษาเล่าเรียนว่าผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มากเพียงใดหลังจากที่ได้เรียนในเรื่องนั้น ๆ วุฒิชัย ดานะ (2553 : 32) ได้กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ระดับความรู้ ความสามารถและ ทักษะที่ได้รับและพัฒนามาจากการเรียนการสอนวิชาต่าง ๆ โดยอาศัยเครื่องมือในการวัดผลหลังจากการเรียน หรือจากการฝึกอบรม จากความหมายของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง คุณลักษณะและ ความสามารถของบุคคลที่เกิดจากการเรียนการสอน เป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและประสบการณ์การ เรียนรู้ โดยเกิดจากการฝึกอบรมหรือจากการสอน โดยอาศัยเครื่องมือในการวัดผลหลังจากการเรียนหรือจาก การฝึกอบรม และสามารถเก็บคะแนนได้จากการปฏิบัติ หรือ จากคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ 3.2 แนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แมดดอกซ์ (Maddox, 1965 อ้างถึงใน ศิริพร สอาดล้วน, 2551 : 28) กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของแต่ละบุคคลขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทางสติปัญญาและความสามารถทางสมอง ร้อยละ 50-60 ขึ้นอยู่ กับความพยายามและวิธีการเรียนที่มีประสิทธิภาพร้อยละ 30-40 และขึ้นอยู่กับโอกาสและสิ่งแวดล้อมร้อยละ 10-15 อนาสตาซี (Anastasi อ้างถึงใน ขนิษฐา บุญภักดี, 2552 : 8) ได้กล่าวว่า ผู้เรียนจะประสบความส่าเร็จทาง การศึกษาได้ดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบดังต่อไปนี้ 1. องค์ประกอบด้านสติปัญญา (Intellectual-Factor) เป็นความสามารถในการคิดของบุคคล อัน เป็นผลมาจากการสะสมของประสบการณ์ต่าง ๆ รวมถึงความสามารถที่ติดตัวมาแต่ก่าเนิด โดยความสามารถ เหล่านี้วัดได้หลายแบบ เช่น วัดความถนัดทางการเรียน ความคิดสร้างสรรค์ ความสามารถในการแก้ปัญหา สมรรถภาพทางสมอง เป็นต้น ซึ่งองค์ประกอบด้านสติปัญญาเป็นปัจจัยที่ส่าคัญที่มีผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียน 2. องค์ประกอบที่ไม่ใช่ทางด้านสติปัญญา (Non Intellectual-Factor) เช่น เพศ อายุ แผนการเรียน อันดับ การเลือก รายได้ของบิดามารดา นิสัยในการเรียน เจตคติในการเรียน ตลอดจนสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา เป็นต้น
กัมปนาท ศรีเชื้อ (2550 อ้างถึงใน ขนิษฐา บุญภักดี, 2552: 8) ได้กล่าวว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน มี องค์ประกอบ 2 ประการ ได้แก่ 1. องค์ประกอบทางด้านสติปัญญา 2. องค์ประกอบที่มิได้เกี่ยวข้องกับสติปัญญา ผู้อ่านวยการค้นคว้าเรื่องเด็กแห่งมหาวิทยาลัยแมรี่แลนด์ สหรัฐอเมริกา ได้สรุปถึงองค์ประกอบที่มี อิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยเฉพาะในด้านที่มิได้เกี่ยวข้องกับสติปัญญาไว้ดังนี้ 1. องค์ประกอบทางด้านร่างกาย (Physical Factors) ได้แก่ อัตราการเจริญเติบโต สุขภาพ ร่างกาย ข้อบกพร่องทางร่างกาย และลักษณะทางร่างกาย 2. องค์ประกอบทางด้านความรู้ (Love Factors) ได้แก่ ความสัมพันธ์ของบิดามารดา ความสัมพันธ์ของบิดากับลูก ความสัมพันธ์ระหว่างลูก ๆ และความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัว 3. องค์ประกอบทางวัฒนธรรมและสังคม (Cultural and Socialization Factors) ได้แก่ ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเป็นอยู่ของครอบครัว สภาพแวดล้อมทางบ้าน การอบรมเลี้ยงดูและฐานะ เศรษฐกิจทางบ้าน 4. องค์ประกอบทางความสัมพันธ์ในหมู่เดียวกัน ( Peer Group Factors) ได้แก่ ความสัมพันธ์ ของนักเรียนกับเพื่อนวัยเดียวกันทั้งทางบ้านและทางโรงเรียน 5. องค์ประกอบทางการพัฒนาตนเอง (Self-Development Factors) ได้แก่ สติปัญญา ความ สนใจ ทัศนคติของนักเรียนต่อการเรียน 6. องค์ประกอบทางการปรับตัว (Self-Adjustment Factors) ได้แก่ ปัญหาการปรับตัว การ แสดงออกทางอารมณ์ จากแนวคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สรุปได้ว่า ผู้เรียนจะประสบ ความส่าเร็จทางการศึกษาได้ดีเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบดังต่อไปนี้ คือ องค์ประกอบด้านสติปัญญา เป็นความสามารถในการคิดของบุคคล อันเป็นผลมาจากการสะสมของประสบการณ์ต่าง ๆ และองค์ประกอบที่ ไม่ใช่ทางด้านสติปัญญา เช่น เพศ อายุ แผนการเรียน อันดับการเลือก รายได้ของบิดามารดา นิสัยในการเรียน เจตคติในการเรียน ตลอดจนสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา 3.3 การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นวิธีตรวจสอบว่านักเรียนมีพฤติกรรมตามจุดมุ่งหมายของการศึกษา ที่ตั้งไว้เพียงใด การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนจึงเป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับ สมรรถภาพทางสมองและสติปัญญาของผู้เรียน ภายหลังจากการได้เรียนผ่านไปแล้ว โดยใช้แบบทดสอบวัดผล สัมฤทธิ์ทางการเรียน ไพศาล หวังพานิช (2526 อ้างถึงใน ขนิษฐา บุญภักดี, 2552 : 9) กล่าวว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนเป็นการตรวจสอบระดับความสามารถหรือความส่าเร็จในการเรียนของแต่ละบุคคลซึ่งสามารถวัดได้ 2 แบบตามจุดมุ่งหมายและลักษณะวิชาที่สอน ดังนี้ 1. การวัดด้านปฏิบัติ เป็นการตรวจสอบระดับความสามารถในการปฏิบัติหรือทักษะของผู้เรียน โดย มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้แสดงความสามารถดังกล่าวในรูปการกระท่าจริงให้ออกมาเป็นผลงานได้โดยใช้ข้อสอบ ภาคปฏิบัติ 2. การวัดด้านเนื้อหา เป็นการตรวจสอบความสามารถเกี่ยวกับเนื้อหาวิชาอันเป็นประสบการณ์การ เรียนรู้ของผู้เรียนรวมถึงพฤติกรรมความสามารถในด้านต่าง ๆ สามารถวัดได้โดยใช้ข้อสอบส่าหรับวัด ผลสัมฤทธิ์
วนิดา ดีแป้น (2553: 24) ได้กล่าวว่า การวัดและการประเมินผลการเรียน คือกระบวนการตรวจสอบ ผู้เรียนว่าได้พัฒนาไปถึงจุดหมายปลายทางของหลักสูตรและมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์เป็นไปตามที่ก่าหนด หรือไม่ รวมทั้งเป็นสิ่งที่ท่าให้ทราบว่าผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด โดยการวัดและการ ประเมินผลการเรียนมีจุดประสงค์คือการจัดต่าแหน่งเพื่อเป็นการวัดว่าผู้เรียนแต่ละคนมีความรู้หรือทักษะ เพียงพอหรือไม่ ซึ่งจะท่าให้ทราบจุดเด่นจุดด้อยของผู้เรียนเป็นการประเมินพัฒนาการของเด็ก แล้วน่าไป ท่านายเพื่อเป็นการแนะแนวทางในการประกอบอาชีพหรือศึกษาต่อ น่าไปประเมินค่าซึ่งจะกระท่าเมื่อการสอน สิ้นสุดลง บลูม (Bloom, 1982 อ้างถึงใน สิริสรณ์ สิทธิรินทร์, 2554 : 20) กล่าวว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนถือว่า สิ่งใดก็ตามที่มีปริมาณอยู่จริงสิ่งนั้นสามารถวัดได้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก็อยู่ภายใต้กรอบแนวคิด ดังกล่าว ซึ่งผลการวัดจะเป็นประโยชน์ในลักษณะทราบและประเมินระดับความรู้ทักษะและเจตคติของ นักเรียนและระดับความรู้ความสามารถตามแนวคิดของ Bloom มี 6 ระดับ ได้แก่ 1. ความจ่า 2. ความเข้าใจ 3. การน่าไปใช้ 4. การวิเคราะห์ 5. การสังเคราะห์ และ6. การประเมินค่า จากการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สรุปได้ว่า การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นการวัดความรู้ ความเข้าใจ ทักษะที่ได้รับความรู้ทางการเรียนและผลการวัดจะเป็นประโยชน์ในลักษณะที่ท่าให้ทราบและ ประเมินระดับความรู้ทักษะ เจตคติของนักเรียน และระดับความรู้ ความสามารถ ซึ่งจะท่าให้ทราบจุดเด่น จุด ด้อยของผู้เรียน และเป็นการประเมินพัฒนาการของเด็ก 3.4 ลักษณะของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีคุณภาพ รสริน พันธุ (2550 : 38) กล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า หมายถึง แบบทดสอบวัด สมรรถภาพทางสมองต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับการเรียนรู้ผ่านมาแล้ว ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบ ที่ครูสร้างกับแบบทดสอบมาตรฐาน สุพัตรา เกษมเรืองกิจ (2551 : 33) กล่าวว่า ประเภทของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า แบ่ง ได้เป็น 2 ลักษณะ คือ การทดสอบแบบอิงกลุ่มหรือการวัดผลแบบอิงกลุ่ม และการทดสอบแบบอิงเกณฑ์หรือ การวัดแบบอิงเกณฑ์ อุทุมพร จามรมาน (2535 อ้างถึงใน วนิดา ดีแป้น, 2553 : 22) กล่าวว่า ลักษณะของผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนมีหลายลักษณะ โดยจะกล่าวถึง 2 ด้าน ดังนี้ 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านสมอง จ่าแนกเป็น 6 ระดับ ดังนี้ 1.1 ผลสัมฤทธิ์ด้านความจ่า เป็นสิ่งที่ส่าคัญทางการเรียน ความจ่าเป็นตัวเสริมให้เกิดความรู้ ความสามารถในการเรียน ความจ่าเป็นผลสัมฤทธิ์พื้นฐานก่อนการแสดงความสามารถในระดับสูงขึ้น 1.2 ผลสัมฤทธิ์ด้านความเข้าใจ เป็นการแสดงความสามารถในระดับสูงขึ้นกว่าความจ่า 1.3 ผลสัมฤทธิ์ด้านการน่าไปใช้ เป็นการน่าความรู้ที่ได้เรียนไปแล้วไปใช้ในสถานการณ์อื่นที่ เกิดขึ้น ซึ่งเป็นการบรรลุจุดมุ่งหมายของการน่าไปใช้ 1.4 ผลสัมฤทธิ์ด้านการวิเคราะห์ เป็นการแยกแยะเนื้อหาให้เป็นส่วนย่อยแล้วระบุส่วนย่อย กับส่วนย่อย หรือส่วนย่อยกับส่วนใหญ่ 1.5 ผลสัมฤทธิ์ด้านการสังเคราะห์ เป็นการน่าสิ่งที่วิเคราะห์มาผสมผสานเป็นเรื่องใหม่ 1.6 ผลสัมฤทธิ์ด้านการประเมิน ความสามารถในด้านการประเมินเพื่อให้ได้คุณค่าบางอย่าง ถือว่าเป็นขั้นสุดท้ายของการพัฒนาทางสังคมของผู้เรียน
กล่าวโดยสรุปผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านสมองขึ้นอยู่กับความสามารถ ทักษะ และประสบการณ์ของ ผู้เรียนแต่ละบุคคล ซึ่งมีผลต่อการเรียนรู้ ได้แก่ ความจ่า ความเข้าใจ การน่าไปใช้ การวิเคราะห์ การสังเคราะห์และการประเมินผล 2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านจิตใจ เป็นสิ่งที่เป็นนามธรรมและมีขอบเขตกว้างมาก ตั้งแต่การ รับรู้จนถึงความพึงพอใจในคุณค่า แบ่งย่อยเป็น 5 ระดับ ดังนี้ 2.1 ขั้นการรับรู้ เป็นระดับต่่า หมายถึง การที่บุคคลแต่ละคนเปิดใจอยากรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ภายนอกบ้าง คือ การรู้ตัวและการตั้งใจรับรู้เพิ่ม 2.2 ขั้นการตอบสนอง เป็นขั้นที่นักเรียนได้แสดงตอบต่อคน สิ่งของ และปรากฏการณ์ 2.3 ขั้นการแสดงคุณค่า เป็นขั้นที่มีการรับรู้คุณค่า 2.4 ขั้นการสร้างมโนทัศน์ของคุณค่า เป็นขั้นการสร้างความเข้าใจ 2.5 ขั้นการแสดงลักษณะ เป็นขั้นการแสดงบุคลิกนิสัยของบุคคลเหล่านั้นออกมา จากลักษณะของแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีคุณภาพ สรุปได้ว่า ลักษณะของผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนมีหลายลักษณะแตกต่างกันโดยได้จากการวัดผลก่อนหรือหลังการเรียนรู้ โดยมีแบบทดสอบวัด สมรรถภาพทางสมองต่าง ๆ ที่นักเรียนได้รับการเรียนรู้ผ่านมาแล้ว ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ แบบทดสอบ ที่ครูสร้างกับแบบทดสอบมาตรฐาน โดยจากการศึกษาแนวคิดเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้รายงานสรุปได้ว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ การใช้คอมพิวเตอร์กับระบบปฏิบัติการน่ารู้ รายวิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์) รหัสวิชา ง14101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เป็น ผลของการเรียนการสอนหรือความสามารถของบุคคลอันเกิดจากการได้รับการฝึกฝน สั่งสอน ในด้านความรู้ และทักษะที่ได้พัฒนาขึ้นตามล่าดับขั้นในวิชาต่าง ๆ และจะช่วยให้ทราบความสามารถหรือผลส่าเร็จที่ได้รับ จากกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบ่งเป็นการวัดผลแบบอิงกลุ่มและการวัด แบบอิงเกณฑ์และผู้เรียนจะประสบความส่าเร็จทางการศึกษาได้ดีเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบดังนี้ คือ องค์ประกอบด้านสติปัญญาและองค์ประกอบที่ไม่ใช่ทางด้านสติปัญญา 4. งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง งานวิจัยที่เกี่ยวกับการสร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะ มีผู้วิจัยหลายท่านที่ได้ศึกษาไว้ ดังต่อไปนี้ ขนิษฐาพร วิภพพันธุ์ (2556 : ก) ท่าการศึกษาชุดกิจกรรมฝึกทักษะการสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) ด้วยโปรแกรม Flip Album Vista Pro ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียน ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 โรงเรียนไทยนิยมสงเคราะห์ จ่านวน 30 คน ผล การศึกษาพบว่า ชุดกิจกรรมฝึกทักษะการสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) ด้วยโปรแกรม Flip Album Vista Pro ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีประสิทธิภาพ E1/E2 เท่ากับ 80.83/80.67 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยชุด กิจกรรมฝึกทักษะการสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยส่าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดกิจกรรมฝึกทักษะการสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) ด้วย โปรแกรม Flip Album Vista Pro ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่า มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.42 ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ 0.29 แสดงว่านักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมาก
จิรวัฒน์ จิตชัยภรณ์ (2557 : ก) ท่าการศึกษาการใช้แบบฝึกเสริมทักษะการงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง คอมพิวเตอร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านคลอง ไพร ส่านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาก่าแพงเพชร เขต 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 จ่านวน 15 คน ผลการศึกษาพบว่า แบบฝึกเสริมทักษะการงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง คอมพิวเตอร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ 88.33/86.00 สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ และคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง คอมพิวเตอร์ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส่าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 พิเชษฐ์ เพ็งจันทร์(2556 : ก) ท่าการศึกษาการพัฒนาแบบฝึกทักษะการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์และ เว็บไซต์ในระบบอินเทอร์เน็ต ชุด ชีวิตล้่าสมัยกับสังคมยุค ICT กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2556 โรงเรียนวัดเกาะจาก ส่านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษานครศรีธรรมราชเขต 3 จ่านวน 21 คน ผลการศึกษาพบว่า แบบฝึกทักษะการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และเว็บไซต์ในระบบ อินเทอร์เน็ต ชุด ชีวิตล้่าสมัยกับสังคมยุค ICT กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.48/86.50 นักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่ามีนัยส่าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์และเว็บไซต์ในระบบอินเทอร์เน็ต ชุด ชีวิต ล้่าสมัยกับสังคมยุค ICT กลุ่มสาระ การเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในระดับ มากที่สุด วราภรณ์ กิจเครือ (2556 : ง) ท่าการศึกษาการพัฒนาแบบฝึกปฏิบัติ เรื่อง การใช้งานโปรแกรม น่าเสนอ ส่าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดพระศรีอารย์ กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดพระศรีอารย์ อ่าเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2556 จ่านวน 17 คน ผลการศึกษาพบว่า แบบฝึกปฏิบัติ เรื่อง การใช้งานโปรแกรมน่าเสนอ ส่าหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 มีประสิทธิภาพ 80.39/80.78 ซึ่งมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ก่าหนดไว้ ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกปฏิบัติ เรื่อง การใช้งานโปรแกรมน่าเสนอมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 11.59 คิดเป็นร้อยละ 38.63 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 24.06 คิดเป็นร้อยละ 80.20 โดยมีค่าดัชนี ประสิทธิผลความก้าวหน้าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเท่ากับร้อยละ 68 ผลการปฏิบัติการใช้โปรแกรมน่าเสนอ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีผลการประเมินร้อยละ 76.47 และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบ ฝึกปฏิบัติ เรื่อง การใช้งานโปรแกรมน่าเสนอ ส่าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่าโดยภาพรวมอยู่ใน ระดับมากที่สุด ( = 4.52, = 0.19) วิสูตร สุ่มงาม (2552 : ก) ท่าการศึกษาการสร้างแบบฝึกคอมพิวเตอร์เบื้องต้น Microsoft Office Word 2003 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ประชากร คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนวัดโคกหมู และโรงเรียนวัด ท่าโบสถ์ ศูนย์ประสานงานทางการศึกษาที่ 2 อ่าเภอหันคา จังหวัดชัยนาท ที่เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปีการศึกษา 2552 จ่านวน 40 คน กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 โรงเรียนวัดโคกหมู และโรงเรียนวัดท่าโบสถ์ จ่านวน 9 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบจ่าเพาะเจาะจง ผล การศึกษาพบว่า การหาประสิทธิภาพของ แบบฝึกคอมพิวเตอร์เบื้องต้น Microsoft Office Word 2003 มี ประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับร้อยละ 91.05/90.80ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ก่าหนดคือ 80/80 การเปรียบเทียบความ แตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนระหว่างก่อนและหลังการใช้แบบฝึกคอมพิวเตอร์ เบื้องต้น Microsoft Office Word 2003 พบว่า โดยภาพรวมคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน
( X = 2.39, S.D. = 1.21)สูงกว่าก่อนเรียน ( X = 1.32, S.D. = 0.66) อย่างมีนัยส่าคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (t = 9.53) สุปรียา สมสอน (2557 : ก) ท่าการศึกษาผลการใช้แบบฝึกทักษะการใช้โปรแกรม Microsoft Publisher 2010 รหัสวิชา ง16101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาระที่ 3 เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 ภาค เรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 โรงเรียนวัดหนองจอก (ภักดีนรเศรษฐ) ส่านักงานเขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร ซึ่งเลือกมาโดยการเลือกแบบกลุ่ม โดยวิธีจับฉลาก 1 ห้องเรียน จ่านวน 38 คน ผลการศึกษาพบว่า แบบฝึก ทักษะการใช้โปรแกรม Microsoft Publisher 2010 รหัสวิชา ง16101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี สาระที่ 3 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเฉลี่ย 82.87/81.93 ซึ่งมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ก่าหนด ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนของ นักเรียนพบว่า หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยส่าคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และความพึงพอใจของนักเรียน ที่มีต่อแบบฝึกทักษะการใช้โปรแกรม Microsoft Publisher 2010 รหัสวิชา ง16101 กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสาระที่ 3 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีค่าเฉลี่ย เท่ากับ 4.59 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.49 แสดงว่านักเรียนมีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด แอนนา เพชรกาศ(2557 : ก) ท่าการศึกษาการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ใน การศึกษาครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 ที่ก่าลังศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2557 โรงเรียนบ้านทอนตรน สังกัดส่านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2 จ่านวน 23 คน ได้มาโดย วิธีการเลือกแบบเจาะจง ผลการศึกษาพบว่า แบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ 85.64/85.36 สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น พบว่า แตกต่างกันอย่างมีนัยส่าคัญที่ระดับ .05 และความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อ แบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง การ ใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในภาพรวมนักเรียนมีความพึงพอใจสอดคล้องกันในทางที่ดี ซึ่ง มีค่าคะแนนเฉลี่ย ( X ) เท่ากับ 4.19 ซึ่งมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก จากการศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ของนักเรียนชั้นประถมศึกษา ผู้รายงานสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะ การใช้ คอมพิวเตอร์กับระบบปฏิบัติการน่ารู้ รายวิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์) รหัสวิชา ง14101 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้รายงานสร้างขึ้นนี้ เมื่อได้พัฒนา ปรับปรุงคุณภาพ และทดลองใช้กับประชากร จนมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์ที่ก่าหนด ไว้แล้ว และเมื่อน่า แบบฝึกทักษะนี้ไปจัดการเรียนการสอนจะส่งให้ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น ความพึงพอใจของผู้เรียน ต่อการเรียนวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์) ก็จะมีความพึงพอใจที่ดีขึ้นตามไปด้วย ส่งผลให้ผู้เรียนมี เจตคติดีต่อการงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์) สามารถใช้ความรู้ด้านการงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์) แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพ และศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้นได้
บทที่ 3 วิธีด าเนินการศึกษา การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ผู้รายงานได้ ก่าหนดแบบแผนการทดลองโดยใช้รูปแบบกลุ่มเดียวกัน ทดสอบก่อนเรียน-หลังเรียน (One - Group Pretest - Posttest Design) (มนต์ชัย, 2555) โดยการศึกษาและพัฒนาครั้งนี้ ผู้รายงานได้สร้างแบบฝึกทักษะและ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในการท่าวิจัย โดยทดลองในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 กับ กลุ่มเป้าหมายที่คัดเลือกไว้ คือนักเรียนขั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า จ่านวน 5 คน ซึ่งมี เก็บรวบรวมข้อมูลและขั้นตอนการทดลองดังนี้ วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล 1. เป็นการวิจัยปฏิบัติการชั้นเรียน (pre-test , post-test Desing วันกรุ๊ปดีไซ์) 2. กลุ่มเป้าหมาย ที่ใช้ในการวิจัยในครั้งนี้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ภาคเรียน ที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จ่านวน 5 คน ได้มาด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) 3. เครื่องมือ 3.1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 3.1.1 แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชน บ้านนากล่่า 3.1.2 แผนการจัดการเรียนรู้ แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า 3.2 เครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล 3.2.1 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่าปรนัย 4 ตัวเลือก จ่านวน 30 ข้อ โดยให้คะแนน 0,1 คือ ตอบถูกให้ 1 คะแนน ตอบผิด ให้ 0 คะแนน 3.2.2 แบบประเมินความพึงพอใจ ในการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งาน อินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ EBook ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่าจ่านวน 10 ข้อ แต่ละข้อก่าหนดน้่าหนักในการให้ คะแนนตามเกณฑ์ 5 ระดับ ตามวิธีของ ลิเคอร์ต (Likert) จากหนังสือคู่มือการสร้างเครื่องมือวัดคุณลักษณะ ด้านจิตพิสัยของส่านักทดสอบทางการศึกษา (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552 : 47-77) 5 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด 4 หมายถึง พึงพอใจมาก 3 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง 2 หมายถึง พึงพอใจน้อย 1 หมายถึง พึงพอใจน้อยที่สุด
ขั้นตอนในการสร้างเครื่องมือ 1. ขั้นตอนในการสร้างเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1.1 ศึกษาเอกสาร ต่ารา และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการ ใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดย ใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า เพื่อก่าหนดเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัย 1.2 ศึกษาการสร้างแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า 1.3 ศึกษาตัวชี้วัดรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการค่านวณ) ที่มีผลการเรียนต่่า เพื่อท่า แผนการจัดการเรียนรู้โดยอ้างอิงจากแผนการจัดการเรียนรู้ฉบับเต็มรูปแบบ และออกแบบแบบฝึกทักษะให้มี ความสอดคล้องกับตัวชี้วัด 2. ขั้นตอนในการสร้างเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล 2.1 สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การคูณ จ่านวน 30 ข้อ โดยยึด ตัวชี้วัดผลการเรียนรู้เป็นหลัก 2.2 จัดท่าข้อสอบฉบับสมบูรณ์ ไปทดสอบกลับกลุ่มเป้าหมาย ก่อนเรียนและหลังเรียน เพื่อหา ความก้าวหน้าทางการเรียน โดยข้อสอบก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นข้อสอบชุดเดียวกันแต่ใช้การสลับข้อและ การสลับตัวเลือก 2.3 ศึกษาและเลือกวิธีการสร้างแบบประเมินความพึงพอใจ โดยใช้มาตราส่วนประเมินค่า (Rating scale) 5 ระดับ 2.4 ก่าหนดประเด็นค่าถามตามกรอบแนวความคิด โดยแบ่งออกเป็น 4 ด้าน 15 ข้อ 2.5 สร้างแบบประเมินความพึงพอใจฉบับร่าง ตามโครงสร้างเนื้อหาของแบบประเมินความพึงพอใจ แล้ว ตรวจสอบปรับปรุงแก้ไขด้วยตนเอง 2.6 น่าแบบประเมินความพึงพอใจฉบับสมบูรณ์ไปใช้กับกลุ่มเป้าหมาย ขั้นตอนในการด าเนินการวิจัย 1. ผู้รายงานน่าแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชน บ้านนากล่่า ให้นักเรียนเข้าใจและมีความพร้อมที่จะศึกษาแบบฝึกทักษะ 2. นักเรียนศึกษาวิธีใช้งานแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ให้ครบทุกหัวข้อ 3. นักเรียนท่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน เรื่อง การใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า จ่านวน 30 ข้อ
4. ผู้รายงานด่าเนินการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า จ่านวน 5เล่ม รวม 20 ชั่วโมง (รวมชั่วโมงทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียน) โดยใช้เวลาในการเรียนแบบฝึกทักษะ ดังนี้ เล่มที่ 1 เรื่อง การใช้งานอินเทอร์เน็ตเบื้องต้น จ่านวน 2 ชั่วโมง เล่มที่ 2 เรื่อง การประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต จ่านวน 2 ชั่วโมง เล่มที่ 3 เรื่อง การใช้ซอฟต์แวร์ในการน่าเสนอข้อมูล จ่านวน 6 ชั่วโมง เล่มที่ 4 เรื่อง การใช้ซอฟต์แวร์ในการท่างาน จ่านวน 6 ชั่วโมง เล่มที่ 5 เรื่อง การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย จ่านวน 2 ชั่วโมง โดยในแบบฝึกทักษะ มีกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบด้วย ค่าชี้แจงการใช้ชุดกิจกรรมค่าชี้แจงส่าหรับ ครู ค่าชี้แจงส่าหรับนักเรียน สาระและมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด สาระส่าคัญ จุดประสงค์การเรีย นรู้ แบบทดสอบก่อนเรียน ใบความรู้ แบบฝึกทักษะ และแบบทดสอบหลังเรียน ซึ่งนักเรียนต้องด่าเนินกิจกรรม การเรียนรู้ให้เกิดความรู้ความเข้าใจและฝึกปฏิบัติจนสามารถไปปรับประยุกต์ใช้ในชีวิตประจ่าวันได้จริง 5. เมื่อนักเรียนศึกษาแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชน บ้านนากล่่าครบทั้ง 5 เล่ม นักเรียนจึงท่าแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน (Post - test) ซึ่ง เป็นฉบับเดียวกับแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน (Pre - test) โดยใช้วิธีการสลับข้อค่าถาม และตัวเลือกในแต่ละข้อ 6. นักเรียนท่าการประเมินความพึงพอใจที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้ งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่าภายหลังจากที่นักเรียนได้ศึกษาแบบฝึกทักษะ ทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้ว 7. ผู้รายงานข้อมูลจากแบบสอบถามความพึงพอใจ คะแนนแบบทดสอบผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนหลังเรียน ของ นักเรียนกลุ่มเป้าหมายไปวิเคราะห์ทางสถิติต่อไป การวิเคราะห์ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล มีการด่าเนินการ ดังนี้ 1. วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากผลการท่าแบบทดสอบก่อนและหลังเรียน ในการเรียนด้วย ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยการใช้สถิติค่าเฉลี่ย และค่าร้อยละ ซึ่งด่าเนินการดังนี้ 1.1 น่ามาเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ ค่าสถิติ 1.2 หาคะแนนความก้าวหน้าหรือคะแนนที่เพิ่มขึ้น 1.3 หาค่าร้อยละของความก้าวหน้าของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้สูตรร้อยละของ ความก้าวหน้า
2. น่าข้อมูลที่ได้จากแบบประเมินความพึงพอใจของนักเรียน น่ามาวิเคราะห์ค่าสถิติพื้นฐานได้แก่ค่าเฉลี่ย แล้ว สรุปเป็นความเรียง โดยก่าหนดเกณฑ์ค่าเฉลี่ย ดังนี้ คะแนนเฉลี่ย 4.50 – 5.00 หมายถึง พึงพอใจมากที่สุด คะแนนเฉลี่ย 3.50 – 4.49 หมายถึง พึงพอใจมาก คะแนนเฉลี่ย 2.50 – 3.49 หมายถึง พึงพอใจปานกลาง คะแนนเฉลี่ย 1.50 – 2.49 หมายถึง พึงพอใจน้อย คะแนนเฉลี่ย 1.00 – 1.49 หมายถึง พึงพอใจน้อยที่สุด
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ผลการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัยได้ผลดังนี้ ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนโดยใช้แบบ ฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ดังแสดงใน ตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ค่าเฉลี่ยของคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนที่เรียนด้วย แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง ปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ล าดับที่ ชื่อ-สกุล แบบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนก่อนเรียน แบบวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนหลัง เรียน ผลต่าง 1 เด็กชายกฤษณพล เจริญมา 9 21 12 2 เด็กชายจักรภัทร นิภัสสวัสดิ์ 11 23 12 3 เด็กชายณัฐพล เศวตตระกูลชัย 10 22 12 4 เด็กชายพุฒิเมธ ยาดี 8 21 13 5 เด็กชายเสฏฐวุฒิ หนุ่มเปี้ย 12 26 14 รวม 167 360 193 S.D. 1.78 2.22 0.90 ร้อยละ 37.11 80.00 42.89 จากตารางที่ 1 แสดงให้เห็นถึงนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า โดยการจัดการเรียนรู้ ด้วยแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง ปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ที่ ผู้รายงานคิดค้นขึ้นพบว่า ค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนนแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและ หลังเรียนเท่ากับ 37.11 และ 80.00 ตามล่าดับ โดยเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนและมีผลต่างเท่ากับ 42.89
ตารางที่2 วิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนต่อแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 รายการประเมิน ผลการวิเคราะห์ข้อมูล แปลผล 1. บทเรียนส าเร็จรูปมีความเหมาะสมกับนักเรียน 4.40 0.74 มาก 2. เป็นเรื่องที่ฉันสามารถน าไปใช้ประโยชน์ใน ชีวิตประจ าวันได้ 4.07 0.70 มาก 3. เมื่อเรียนจบในแต่ละเนื้อหาแล้วฉันเข้าใจและ ชอบวิทยาศาสตร์มากขึ้น 4.33 0.72 มาก 4. เพื่อนในกลุ่มให้ความช่วยเหลือกันดี 3.93 0.70 มาก 5. เพื่อในกลุ่มรับฟังความคิดเห็นเห็นซึ่งกันและกัน 4.53 0.52 มากที่สุด 6. ช่วยให้เข้าใจและเรียนรู้ได้เร็วขึ้น 4.00 0.76 มาก 7. มีสื่อการเรียนรู้ครบทุกกิจกรรม 4.67 0.49 มากที่สุด 8. คุณครูให้ฉันและเพื่อนๆ ซักถามข้อสงสัย 4.00 0.76 มาก 9. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรม 4.13 0.74 มาก 10. ครูใช้ภาษาและค าถามชัดเจนเข้าใจง่าย 4.06 0.80 มาก โดยรวม 4.21 0.20 มาก จากตารางที่ 2 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งาน อินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ EBook ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.21, = 0.20) สามารถเรียงล าดับจากมากไป หาน้อย 3 ล าดับแรกได้ดังนี้ มีสื่อการเรียนรู้ครบทุกกิจกรรม ( = 4.67, = 0.49) เพื่อในกลุ่มรับฟังความ คิดเห็นเห็นซึ่งกันและกัน ( = 4.53, =0.52) เนื้อหาที่เรียนเป็นเรื่องที่ฉันชอบและอยากเรียน ( = 4.40, = 0.74) ตามล าดับ
บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ สรุปผลการศึกษาวิจัย 1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า ที่ผู้รายงานคิดค้นขึ้นพบว่า ค่าเฉลี่ยร้อยละของคะแนน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนเท่ากับ 38.99 และ 86.66 ตามล่าดับ โดย เฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนและมีผลต่างเท่ากับ 48.00 2. ผลการวิเคราะห์แบบสอบถามความพึ่งพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ ด้วยด้วยแบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนาก ล่่า พบว่านักเรียนส่วนใหญ่มีความพึงพอใจโดยเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.21, = 0.20) อภิปรายผลจากการศึกษา จากการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ในครั้งนี้ สามารถอภิปรายผลได้ดังนี้ 1. นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น จากกิจกรรมการเรียนรู้แบบฝึกทักษะ การพัฒนาทักษะการ ใช้งานอินเทอร์เน็ต ซอฟต์แวร์ และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศอย่างปลอดภัย ผ่านสื่อการสอนออนไลน์ โดยใช้ E-Book ของชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนชุมชนบ้านนากล่่า โดยดูผลการเปรียบเทียบคะแนน ก่อนเรียนและหลังเรียน 2. นักเรียนให้ความสนใจและมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มากขึ้น 3. จะเห็นได้ว่าเมื่อนักเรียนได้รับการสอนที่เน้นย้่าในจุดที่นักเรียนมักจะสับสนหรือผิดพลาดบ่อย ๆ ท่าให้ นักเรียนผิดพลาดน้อยลง ข้อเสนอแนะ 1. ในการท่ากิจกรรม จากกิจกรรมระหว่างเรียนในแต่ละกิจกรรม ถ้านักเรียนท่ากิจกรรมไม่ผ่านควรให้ นักเรียนท่าซ้่าๆ จนกว่าจะผ่าน 2. ควรมีการศึกษาวิจัยโดยใช้การจัดการเรียนรู้นักเรียนในระดับชั้นอื่นๆ หรือกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ เพื่อท่าให้ผู้เรียนเป็นผู้ที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
บรรณานุกรม ขนิษฐาพร วิภพพันธุ์. (2556). ชุดกิจกรรมฝึกทักษะการสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) ด้วย โปรแกรม Flip Album Vista Pro ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5. กรุงเทพมหานคร : ส่านักงานเขต บางเขน กรุงเทพมหานคร. จิรวัฒน์ จิตชัยภรณ์. (2557). การใช้แบบฝึกเสริมทักษะการงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง คอมพิวเตอร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. ก่าแพงเพชร : ส่านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาก่าแพงเพชร เขต 2. ฐานิยา อมรพลัง. (2548). การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้หลักภาษาไทย เรื่อง ไตรยางศ์ด้วยแบบฝึกเกม และเพลงส าหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4.การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม.มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. ประภาพร ถิ่นอ่อง. (2553). การพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การแยกตัวประกอบของพหุ นามดีกรีสอง ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่3. วิทยานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต, สาขาวิจัย และประเมินผลการศึกษา (วิจัยและพัฒนาการศึกษา), บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยนเรศวร. ปราณี จิณฤทธิ์. (2552). ผลการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์และเจตคติทาง การ เรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเคหะประชาสามัคคี จังหวัด นครราชสีมา. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต,สาขาวิชาศึกษาศาสตร์, บัณฑิตวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. พิเชษฐ์ เพ็งจันทร์. (2556). การพัฒนาแบบฝึกทักษะการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และเว็บไซต์ในระบบ อินเตอร์เน็ต ชุด ชีวิตล้ าสมัยกับสังคมยุค ICT กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. นครศรีธรรมราช : ส่านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา นครศรีธรรมราช เขต 3. พิมพ์ประภา อรัญมิตร. (2552). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทยของนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 6 สังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาเลย เขต 3 โดยการวิเคราะห์ พหุระดับ. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิจัยและประเมินผลการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย. ยุทธนา ปัญญาดี. (2553). การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่มีทักษะกระบวนการคิดเป็นล าดับขั้นตอน โดยน าแนวคิดการเขียนอธิบายด้วยผังงาน. กรุงเทพฯ : โรงเรียนพาณิชยการจรัล สนิทวงศ์. รสริน พันธุ. (2550). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับ การสอนตามหลักการเรียนเพื่อรอบรู้ โดยใช้ของเล่นเชิงวิทยาศาสตร์. เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
บรรณานุกรม (ต่อ) วนิดา ดีแป้น. (2553). ปัจจัยที่ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาอังกฤษของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปี ที่ 3 ในโรงเรียนสังกัดส านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเลยโดยการวิเคราะห์พหุระดับ. วิทยานิพนธ์ปริญญาครุศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาวิจัยและประเมินผลการศึกษา คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏเลย. วรรณภา ไชยวรรณ. (2549). การพัฒนาแผนการอ่านภาษาไทย เรื่อง อักษรควบและอักษรน าชั้น ประถมศึกษาปีที่ 3. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. วราภรณ์ กิจเครือ. (2556). การพัฒนาแบบฝึกปฏิบัติ เรื่อง การใช้งานโปรแกรมน าเสนอ ส าหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดพระศรีอารย์. (วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัย ศิลปากร). วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์. (2549). เอกสารประกอบการสอนวิชา 0506703 การพัฒนาการเรียนการสอน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. วิสูตร สุ่มงาม. (2552). การสร้างแบบฝึกคอมพิวเตอร์เบื้องต้น Microsoft Office Word 2003 ชั้น ประถมศึกษาปีที่ 5. ชัยนาท : ส่านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยนาท. สุจินดา พัชรภิญโญ. (2548). ชุดการสอนซ่อมเสริมคณิตศาสตร์ เรื่องโจทย์ปัญหาระบบสมการเชิง เส้นสอง ตัวแปร ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. สารนิพนธ์ กศ.ม. (การมัธยมศึกษา).กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สุปรียา สมสอน. (2557). การสร้างและผลการใช้แบบฝึกทักษะการใช้โปรแกรม Microsoft Publisher 2010 รหัสวิชา ง16101 กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สาระที่ 3 เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. กรุงเทพมหานคร : ส่านักงานเขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร. สุพัตรา เกษมเรืองกิจ. (2551). ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความคิดเห็น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ได้รับการสอนโดยใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรื่อง นพบุรีศรีนครพิงค์. เชียงใหม่ : มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. สุวิทย์ มูลค่า และ สุนันทา สุนทรประเสริฐ. (2550). ผลงานทางวิชาการสู่...การเลื่อนวิทยฐานะ. กรุงเทพฯ : อี เค บุคส์. แอนนา เพชรกาศ. (2557). การพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง การใช้คอมพิวเตอร์เบื้องต้น กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี (คอมพิวเตอร์) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. พัทลุง : ส่านักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาพัทลุง เขต 2.