47
นอกน้นั เปน็ ของนอ้ งชำยคนเลก็ = 750,000 – 300,000 = 450,000 บำท
นอ้ งชำยคนเลก็ จะไดร้ ับสว่ นแบง่ เปน็ 450,000 = 1 ของเงินท่ไี ด้ท้งั หมด
900,000 2
เฉลยแบบทดสอบหน่วยการเรียนรูท้ ่ี 3 ทศนยิ ม
1. เฉลย ตอบข้อ 4
9.340 = 9 340 = 9 34 = 9 17
1,000 100 50
แต่ 9.340 ≠ 9 34 เพรำะ 9 340 = 9.034
1,000 1,000
2. เฉลย ตอบขอ้ 4
9 3 = 9 + 3 = 9 + 3×25 = 9 + 75 = 9.75 เขียนเป็นทศนิยมหน่ึงตำแหนง่ ได้ 9.8
4 4 4×25 100
(กำรประมำณทศนยิ มสองตำแหน่งเป็นทศนยิ มหนง่ึ ตำแหนง่ ใหด้ ูตัวเลขในตำแหน่งที่สอง ถ้ำมคี ำ่ ตง้ั แต่ 5 ขึน้ ไปให้ปดั
ขนึ้ ตัวเลขตำแหน่งทส่ี องในที่นคี้ อื 5 จงึ ตอ้ งปดั ขน้ึ เป็น 9.8)
3. เฉลย ตอบข้อ 3
4 1 = 4.001
1000
4. เฉลย ตอบขอ้ 2
ข้อ 1. 3.33 < 3.09 ผดิ เพรำะ ตัวเลขในหลักหนว่ ยเทำ่ กนั จึงเปรียบเทียบตัวเลขในหลักสว่ นสบิ (ทศนิยม
ตำแหน่งที่ 1) 3 มำกกวำ่ 0 ดังน้นั 3.33 > 3.09
ข้อ 2. 4.44 < 4.444 ถูกตอ้ ง เพรำะ 4.44 = 4.440 ตัวเลขในหลกั หนว่ ย หลกั สว่ นสิบ (ทศนยิ มตำแหนง่ ท่ี 1)
และหลกั สว่ นร้อย (ทศนิยมตำแหน่งที่ 2) เทำ่ กนั จงึ เปรียบเทยี บตวั เลขในหลกั ส่วนพนั (ทศนิยมตำแหน่งท่ี 3) 0 นอ้ ยกว่ำ 4
ดังนัน้ 4.440 < 4.444 หรือ 4.44 < 4.444
ขอ้ 3. 49.750 > 49.75 ผิด เพรำะ 49.750 = 49.75
ขอ้ 4. 3.772 > 3.792 ผิด เพรำะตัวเลขในหลกั หนว่ ย และหลกั ส่วนสิบ (ทศนิยมตำแหน่งที่ 1) เทำ่ กนั จงึ
เปรียบเทยี บตวั เลขในหลกั ส่วนร้อย (ทศนยิ มตำแหน่งที่ 2) นอ้ ยกว่ำ 9 ดังนนั้ 3.772 < 3.792
5, เฉลย ตอบข้อ 1
31516
X
3
94548
ดงั น้นั 315.16 x 0.3 = 94.548
6. เฉลย ตอบข้อ 3
43.61 x 1,000 = 43,610
ดงั นั้น 43,610 ÷ 1,000 = 43.61
48
7. เฉลย ตอบขอ้ 3
56.25 ÷ 2.25 = 56.25 = 56.25 × 100 = 5625 = 25
2.25 2.25 ×100 225
8. เฉลย ตอบขอ้ 3
ซื้อไข่ไก่มำ 100 ฟอง
บำท
ขำยไปฟองละ 1.25 บำท
ขำยไขไ่ กไ่ ด้เงนิ ทั้งหมด = 100 x 1.25 = 125 เซนติเมตร
เซนตเิ มตร
ซอื้ ไขไ่ ก่มำเป็นเงิน 115 บำท เซนติเมตร
เซนติเมตร
จะได้กำไรทัง้ หมด = 125 – 115 = 10 บำท เซนติเมตร
9. เฉลย ตอบขอ้ 3
ออยสงู 178.5
ออยสงู กว่ำแอน 9.5
แอนสูง = 178.5 – 9.5 = 169
แอนเต้ยี กวำ่ อั้ม 3.5
อมั้ สูง = 169 + 3.5 = 172.5
เฉลยแบบทดสอบหน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 4 รอ้ ยละและอัตราส่วน
1. เฉลย ตอบขอ้ 3
แผนผงั ทดี่ ินแลงหน่งึ ใช้มำตรำส่วน 1 : 5000 หมำยควำมวำ่
ถ้ำวัดจำกแผนผงั ไดค้ วำมยำว 1 เซนติเมตร ควำมยำวจริงของที่ดิน = 5,000 เซนติเมตร
ถ้ำวดั จำกแผนผังไดค้ วำมยำว 5.5 เซนตเิ มตร ควำมยำวจริงของท่ีดนิ = 5,000 x 5.5
= 27,500 เซนติเมตร
ควำมยำวท่แี ทจ้ ริงของด้ำนทตี่ ิดถนนของทีด่ นิ แปลง = 275 เซนติเมตร
2. เฉลย ตอบขอ้ 4
ถ้ำซ้อื เงนิ สดลดให้ 5% หมำยควำมวำ่
ติดรำคำไว้ 100 บำท ขำยเงินสดในรำคำ 100 – 5 = 95 บำท
จกั รเยบ็ ผำ้ ตดิ รำคำไว้ 2,500 บำท ขำยเงินสด = 95 X 2,500 = 2,375 บำท
100
ดงั นัน้ รำคำเงินสดจักรเยบ็ ผ้ำเป็น = 2,375 บำท
3. เฉลย ตอบข้อ 2
เมื่อขำยจรงิ ลดให้ผซู้ ้ือ 10% หมำยควำมว่ำ
ตดิ รำคำไว้ 100 บำท ลดให้ผซู้ ้ือ 10 บำท
พอ่ ค้ำติดรำคำโตะ๊ ตวั หน่งึ ไว้ 3,500 บำท เมือ่ ขำยจริงลดใหผ้ ซู้ ้อื 10 X 3,500 = 350 บำท
100
ดงั น้ันพอ่ ค้ำขำยโต๊ะตัวน้ใี นรำคำ 3,500 – 350 = 3,150 บำท
49
แลว้ ยงั ไดก้ ำไรไปอกี 20% หมำยควำมว่ำ ซือ้ โตะ๊ มำ 100 บำท ขำยไปรำคำ 120 บำท
หรือขำยโตะ๊ ไปรำคำ 120 บำท ซือ้ มำ 100 บำท
ขำยโต๊ะไปรำคำ 3,150 บำท ซอ้ื มำ 10 X 3,150 = 2,625 บำท
ดังนน้ั พ่อค้ำซอื้ โตะ๊ ตวั นี้มำรำคำ บำท
100
2,625
4. เฉลย ตอบขอ้ 4
แมค่ ำ้ ตอ้ งกำรขำยเตำรีดให้ไดก้ ำไร 20% แสดงวำ่
ถำ้ แมค่ ำ้ ซ้อื เตำรดี มำรำคำ 100 บำท ต้องขำย 100 + 20 = 120 บำท
แมค่ ้ำซ้ือเตำรดี มำรำคำ 750 บำท ตอ้ งขำย 120 X 750 = 900 บำท
และตัง้ รำคำไวเ้ ผือ่ ลดให้ผซู้ อื้ 10% หมำยควำมว่ำ
100
ถ้ำต้งั รำคำไว้ 100 บำท ลดใหผ้ ซู้ อื้ 10 บำท ขำยจรงิ 90 บำท
หรือขำยจริง 90 บำท ต้องต้ังรำคำไว้ 100 บำท
ขำยจรงิ 900 บำท ตอ้ งต้งั รำคำไว้ 100 X 900 = 1,000 บำท
ดงั น้ันแม่ค้ำจะตอ้ งตดิ รำคำเตำรดี ไว้ บำท
90
1,000
5. เฉลย ตอบขอ้ 3
ขำยไปได้กำไร 10% หมำยควำมว่ำ
ซ้ือมำ 100 บำท ขำยไปรำคำ 110 บำท
ซอื้ มำ 45 ขำยไปรำคำ 110×45 = 49.50 บำท
ขำยผ้ำเช็ดหนำ้ ไปรำคำผืนละ บำท
100
49.50
เฉลยแบบทดสอบหน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 5 แบบรปู
1. เฉลย ตอบขอ้ 3
พจิ ำรณำควำมสมั พันธข์ องจำนวน ดงั นี้
จำนวนท่ี 1 คอื 1 × 1 = 1
จำนวนท่ี 2 คือ 2 × 2 = 4
จำนวนที่ 3 คอื 3 × 3 = 9
จำนวนที่ 4 คือ 4 × 4 = 16
จำนวนท่ี 105 คอื 105 × 105 = 11,025
ดงั นน้ั จำนวนท่ี 105 คอื 11,025
2. 25 + 26 + 27 + 28 + ... + 140 ผลบวกท้ังหมดเป็นเท่ำไร
เฉลย ตอบขอ้ 4
25 + 26 + 27 + 28 + ……. + 140
140 + 25 = 165
50
139 + 26 = 165
138 + 27 = 165
จำนวนนับจำก 1 ถึง 140 มีจำนวน 140 จำนวน
จำนวนนับจำก 1 ถงึ 24 มีจำนวน 24 จำนวน
จำนวนนบั จำก 25 ถงึ 140 มี 140 - 24 = 116 จำนวน
ผลบวกทั้งหมดมี 116 = 58 คู่ แต่ละคูม่ ผี ลบวกเป็น 165
2
ดงั น้นั 25 + 26 + 27 + 28 + ……. + 140 = 58 × 165 = 9,570
3. เฉลย ตอบขอ้ 4
ครคู นที่ 1 มอบของขวญั 18 คน คดิ เปน็ 1 × 18 = 18
ครคู นท่ี 2 มอบของขวญั 18 คน คิดเป็น 1 × 18 = 18
ครคู นที่ 3 มอบของขวญั 18 คน คดิ เป็น 1 × 18 = 18
ครูคนท่ี 19 มอบของขวัญ 19 คน คดิ เปน็ 1 × 18 = 18
ดังนัน้ 18 + 18 + 18 + 18 + 18 + 18 + 18 + 18 + 18 + 18 + 18 + 18 + 18 +
18 + 18 + 18 + 18 + 18 + 18 = 18 × 19
= 342
จะตอ้ งใช้ของขวัญทั้งหมด 342 ช้นิ
เฉลยแบบทดสอบหนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 6 รูปสามเหลย่ี ม
1. ตอบ ค เพรำะ สำมเหลีย่ มด้ำนเทำ่ มีมุมทุกมมุ เทำ่ กัน คอื 60°
สำมเหลีย่ มหน้ำจ่ัว มีโอกำสเปน็ สำมเหลี่ยมมุมแหลม สำมเหลยี่ มมุมฉำก และสำมเหลี่ยมมมุ ปำ้ น
2. ตอบ ก เพรำะ ควำมยำวรอบรปู สำมเหลี่ยม = 5.25 + 5.25 + 5.25 หรือ 5.25 x 3
= 15.75 นิ้ว
ฉะน้นั จะตอ้ งลำกเสน้ ยำว 15.75 นิว้
3. ตอบ ข เพรำะ พืน้ ทสี่ ำมเหล่ียม = 1 × ควำมสูง × ควำมยำวของฐำน
2
ซง่ึ มีควำมยำวของฐำน = 12 นิว้
ควำมสูง = 3 x 12
4
= 9 นว้ิ
แทนค่ำพืน้ ทีส่ ำมเหลี่ยม = 1 × 9 × 12
2
= 54 นวิ้
4. ตอบ ง เพรำะ พืน้ ท่สี ำมเหลีย่ ม = 1 × ควำมสูง × ควำมยำวของฐำน
2
= 1 × 20 × 24
2
= 240 ตำรำงเซนตเิ มตร
51
ตัดเปน็ รปู สำมเหลย่ี มสองรูปตำมแนวแกนสมมำตร จะได้ 240 = 120 ตำรำงเซนตเิ มตร
2
5. ตอบ ก เพรำะ พื้นที่สำมเหลี่ยม = 1 × ควำมสงู × ควำมยำวของฐำน
2
=1×6×8
2
=1×6×8
2
6. ตอบ ข เพรำะ มมุ ข = 180 – 70
= 110°
∆ขงค = 180 – (110 + 35)
= 35°
เฉลยแบบทดสอบหนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 7 รูปหลายเหล่ยี ม
1. ตอบ ค เพรำะ รปู เจด็ เหล่ียมมดี ำ้ นท้งั หมด 7 ดำ้ น ซึ่งแต่ละด้ำนยำว 5 เซนติเมตร
จะได้ 5 + 5 + 5 + 5 + 5 + 5 + 5 = 35 เซนตเิ มตร
2. ตอบ ก เพรำะ สูตรกำรหำพืน้ ที่สี่เหลยี่ มขนมเปียกปูน = ฐำน x สูง
จะได้ 2,268 = ฐำน x 42
ฐำน = 2268
42
ฐำน = 54
ควำมยำวรอบรปู คือ 54 + 54 + 54 + 54 หรือ 54 x 4 = 216 นว้ิ
3. ตอบ ข เพรำะ AB = FE = 15 เซนติเมตร
BE = 60 – (25 + 15)
BE = 20 เซนติเมตร
ฉะนัน้ BC = CD = ED = BE = AF = 20
จะได้ ACDF = AB + BC + CD + ED + FE + FA
= 15 + 20 + 20 + 20 + 15 + 20
= 110 เซนตเิ มตร
4. ตอบ ค เพรำะ พื้นท่ีสเี่ หลย่ี มจตั รุ ัส = ด้ำน x ด้ำน
= 20 x 20
= 400 ตำรำงเซนตเิ มตร
5. ตอบ ง เพรำะ ควำมยำวรอบรปู = 30 + 30 + 80 + 80
= 220 เซนติเมตร
เดินจำนวน 4 รอบ จะได้ 220 x 4 = 880 เซนติเมตร
6. ตอบ ข เพรำะ พื้นที่ส่เี หลยี่ มคำงหมู = 1 x ผลบวกของดำ้ นคู่ขนำน x สูง
2
= 1 x (95 + 43) x 18
2
= 1,242 ตำรำงเมตร
52
เฉลยแบบทดสอบหนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 8 วงกลม
1. ตอบ ค จำกรูปเส้นผำ่ นศูนย์กลำงของวงกลมใหญค่ อื 42 เซนติเมตร R = 42÷2 = 21 เซนตเิ มตร
พ้นื ทว่ี งแหวน = R2 - r2= 1,232 เซนตเิ มตร
= (22 x 21 x 21) - (22 x 7 x 7)
77
= 1,386 – 154
= 1,232 ตำรำงเซนตเิ มตร
2. ตอบ ข เพรำะ ควำมยำวของเส้นรอบวง = 2r
รศั มี = 38 ÷ 2
= 19 ซม.
แทนคำ่ 2 x 3.14 x 19 = 119.32 ซม.
3. ตอบ ก เพรำะ พนื้ ทีว่ งกลม = r2
154 = 22 x r2
7
r2 = 7 x 154
22
r2 = 49
r = 7 เมตร
เส้นผำ่ นศนู ยก์ ลำง จะได้ 7 x 2 = 14 เมตร
4. ตอบ ข เพรำะ ควำมยำวของเสน้ รอบวง = 2r
รศั มี = 14 ÷ 2
= 7 ซม.
แทนค่ำ 2 x 22 x 7 = 44 ซม.
7
ป้ำยวงกลม 2 อันจะมีเสน้ รอบวง 44 x 2 = 88 ซม.
5. ตอบ ง เพรำะ พ้นื ท่ีวงกลม = r2
รศั มี = 50 ÷ 2
= 25 เมตร
แทนคำ่ = 3.14 x 25 x 25
= 1,962.50 เมตร
53
สว่ นทแ่ี รเงำเปน็ คร่ึงวงกลมจะได้ 1,962.50 ÷ 2 = 981.25 ตำรำงเมตร
6. ตอบ ค เพรำะ พน้ื ทว่ี งกลม = r2
รัศมี = 8.4 ÷ 2
= 4.2 ม.
แทนคำ่ = 22 x 4.2 x 4.2
7
= 55.44 ตร.ม.
สนำมหญำ้ รูปคร่งึ วงกลม จะได้ 55.44 ÷ 2 = 27.72 ตร.ม.
เฉลยแบบทดสอบหน่วยการเรยี นรู้ที่ 9 รปู เรขาคณิตสามมิติ
1. ตอบ ก เพรำะประกอบกันจะได้รูปพีระมิดฐำนสเ่ี หลีย่ ม
2. ตอบ ง เพรำะ ฐำนและหน้ำตัดเป็นรูปห้ำเหลี่ยมและ หน้ำข้ำงเป็นรูปสี่เหล่ียมมุมฉำกประกอบกันเป็นรูปปริซึมห้ำ
เหลีย่ ม
3. ตอบ ข เพรำะขำดรปู สเ่ี หล่ยี มมมุ ฉำกจำนวน 2 รูป
4. ตอบ ค เพรำะ ปรมิ ำตรของทรงสเ่ี หลี่ยมมมุ ฉำก = ควำมกว้ำง x ควำมยำว x ควำมสูง
=5x8x2
= 80 ลูกบำศก์เมตร
5. ตอบ ค เพรำะประกอบด้วยฐำนเปน็ รปู หกเหลยี่ ม หนำ้ ขำ้ งเปน็ รูปสำมเหล่ยี ม จำนวน 6 รปู เม่ือประกอบกนั จะไดร้ ปู
พรี ะมิดฐำนหกเหลย่ี ม
6. ตอบ ค เพรำะ ปริมำตรของทรงสี่เหล่ียมมมุ ฉำก = ควำมกวำ้ ง x ควำมยำว x ควำมสูง
= 95 x 20 x 25
= 47,500 ลกู บำศกเ์ ซนติเมตร
แบบทดสอบหนว่ ยการเรียนรู้ที่ 10 การนาเสนอข้อมูล
1. ตอบ ง เพรำะ มะม่วงคดิ เปน็ 35% ของ 200 บำท
จะได้ 35 x 200 = 70 บำท
100
2. ตอบ ข เพรำะ ขำยสม้ ได้ 20% ของ 9,500 บำท
จะได้ 35 x 9,500 = 1,900 บำท
100
ขำยองนุ่ ได้ 15% ของ 9,500 บำท
จะได้ 20 x 9,500 = 1,425 บำท
100
ขำยหนังสือกำรต์ นู ไดม้ ำกกว่ำหนงั สอื นิยำย = 1,900 – 1,425
= 475 บำท
54
3. ตอบ ข เพรำะ มีหนังสือคณติ ศำสตร์ คิดเป็น 22% ของ 1,200 บำท
จะได้ 22 x 1,200 = 264 เลม่
100
หนังสอื วทิ ยำศำสตร์ คดิ เปน็ 25% ของ 1,200 บำท
จะได้ 25 x 1,200 = 300 เลม่
100
มหี นงั สอื คณติ ศำสตร์และหนงั สือวทิ ยำศำสตร์ = 264 + 300 = 564 เลม่
มหี นังสือภำษำไทย คิดเปน็ 30% ของ 1,200 บำท
จะได้ 30 x 1,200 = 360 เล่ม
100
หนงั สอื อ้ำงอิง คิดเปน็ 8% ของ 1,200 บำท
จะได้ 8 x 1,200 = 96 เลม่
100
มหี นงั สือภำษำไทยและหนงั สืออ้ำงอิง = 360 + 96 = 456 เล่ม
จำนวนหนังสอื คณติ ศำสตร์และวทิ ยำศำสตร์ มมี ำกกว่ำหนงั สือภำษำไทยและหนังสอื อำ้ งองิ
564 – 456 = 108 เล่ม
4. ตอบ ข เกษตรกร = 100 – (25 + 10 + 20 + 30)
= 15%
เกษตรกรมีจำนวน = 15 x 200 = 30 คน
100
5. ตอบ ก เพรำะ ขำยหนงั สอื กำร์ตนู ได้ 35% ของ 2,500 บำท
จะได้ 35 x 2,500 = 875 บำท
100
ขำยหนงั สือนิยำยได้ 20% ของ 2,500 บำท
จะได้ 20 x 2,500 = 500 บำท
100
ขำยหนงั สอื กำร์ตูนไดม้ ำกกวำ่ หนงั สือนยิ ำย = 875 – 500
= 375 บำท
6. ตอบ ก เพรำะ คำ่ อำหำรคิดเป็น 30% ของ 3,600 บำท
จะได้ 30 x 3,600 = 1,080 บำท
100
ป.6
สื่อสาระการเรยี นรู้
วทิ ยาศาสตร์
โรงเรียนอนุบาลสตลู
สานกั งานเขตพนื้ ท่ีการศึกษาประถมศึกษาสตูล
56
หนว่ ยที่ 1 อาหารและสารอาหาร
อาหารและสารอาหาร
อาหาร ( food ) คือ สิ่งที่บริโภคเข้าไปแลว้ ให้ประโยชนแ์ ก่ร่างกาย เช่น ทาให้ร่างกายเจรญิ เตบิ โตซ่อมแซมส่วนที่ สึก
หรอของร่างกาย ให้พลงั งานแกร่ ่างกาย โดยไมม่ พี ษิ ภัยหรือให้โทษแก่ร่างกาย
อาหาร 5 หมู่ ( Main Meal 5 Groups ) เปน็ การบริโภคอาหารที่หลากหลายมุ่งเนน้ การได้รบั
อาหารหลกั หมทู่ ี่ 1 ประกอบดว้ ยเน้ือหมู อาหารหลกั หมทู่ ี่ 2 ประกอบดว้ ยมันเทศ
เน้อื ไก่ เน้อื ปลา นม ไข่ ถ่ัวเมล็ดแห้ง ถว่ั ควินวั ข้าวกล้อง ข้าว แปง้ เผือกมนั น้าตาล
เหลอื ง ถ่วั เขียว ถว่ั ลิสง
อาหารหลักหมูท่ ี่ 3 ประกอบดว้ ยฟกั ทอง อาหารหลักหมู่ที่ 3 ประกอบดว้ ยฟกั ทอง
มนั เทศสีเหลอื ง ถั่วฝักยาว ผกั บงุ้ ตาลึง แค มนั เทศสีเหลอื ง ถัว่ ฝักยาว ผกั บงุ้ ตาลึง แค
รอท คะน้า รอท คะน้า
อาหารหลักหมทู่ ี่ 5 ประกอบดว้ ยครมี เนย
ชสี น้ามนั ปาล์ม นา้ มันมะพร้าว นา้ มันมะกอก
นา้ มนั งา น้ามันถ่วั เหลอื ง นา้ มันเมลด็ ดอก
ทานตะวัน น้ามนั ราข้าว นา้ มันเมลด็ ดอก
คาฝอย น้ามันถวั่ ลิสง น้ามันปาล์ม
57
ไขมันทรานส์ คือ ไขมนั ไมอ่ ่มิ ตวั ทีผ่ ่านกระบวนการทางเคมี เพอื่ ป้องกนั กลิ่นเหมน็ หนื และทาให้ไขมันไม่เป็นไข
สามารถเกบ็ ไว้ใชไ้ ด้นาน พบไดใ้ นขนมหรือเบเกอร์รี่ทีม่ ีสว่ นผสมของเนยเทียม เชน่ โดนทั คุกกี้ และอาหารที่
ใชน้ า้ มันทอดซ้า เช่น ปาท่องโก๋ มนั ฝรงั่ ทอด
สารอาหาร ( nutrients) คือ สารเคมีทีป่ ระกอบอยใู่ นอาหารที่ให้คณุ คา่ ต่อร่างกายในดา้ นตา่ งๆ ได้แก่ คารโ์ บไฮเดรต
โปรตนี ไขมนั วติ ามนิ แรธ่ าตุ และน้า
สารอาหารทีใ่ ห้พลงั งาน คือ สารอาหารที่ให้พลงั งานไป้ใในการทางานของร่างกาย สรา้ งและซ่อมแซมส่วนตา่ งๆของ
ร่างกายทีส่ กึ หรอ แบง่ สารอาหารโดยใชเ้ กณฑ์การให้พลังงานของสารอาหาร จะแบ่งได้เปน็ 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1. สารอาหารที่ให้พลงั งานโปรตนี คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี และไขมัน
2. สารอาหารทีไ่ มใ่ หพ้ ลงั งาน
โปรตนี เกลือแร่ วิตามนิ และน้า
โปรตนี 1 กรมั ให้พลงั งาน 4 กิโลแคลอรี
หนว่ ยเลก็ ท่สี ดุ คือ กรดอะมโิ น
คารโ์ บไฮเดรต
พบใน ข้าว มนั เผือก นา้ ตาล
คารโ์ บไฮเดรต 1 กรมั ให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี
หนว่ ยเล็กทส่ี ุด คือ โมโนแซคคาไรด์
น้าตาลโมเลกลุ เดี่ยว หรือ โมโนแซคคาไรด์ คือหนว่ ยยอ่ ยของคาร์โบไฮเดรตซึง่ ร่างกายสามารถดดู ซึมไปใชไ้ ด้เลย
เชน่ กลโู คส ฟรุคโตส กาแลคโตส
นา้ ตาลโมเลกลุ คู่ หรือไดแซคคาไรด์ จะประกอบด้วยโมโนแซคคาไรด์ 2 ตวั มารวมกนั เชน่ มอลโทส แลคโตส
ซูโครส
โพลีแซคคาไรด์ ประกอบด้วยน้าตาลโมเลกลุ เดีย่ วตอ่ กันเป็นสายยาว เชน่ แป้ง ไกลโคเจน เซลลูโลส
ไขมัน
พบใน นา้ มนั พชื นา้ มันจากสัตว์
ไขมนั 1 กรมั ให้พลงั งาน 9 กิโลแคลอรี
หนว่ ยเลก็ ทส่ี ุด คือ กรดไขมัน และกลีเซอรอล
เป็นแหล่งพลังงานที่ร่างกายใช้ เช่นเปลี่ยนไกลโคเจนเป็นกลูโคส
ทาหน้าทีเ่ ป็นฉนวนชว่ ยควบคุมอณุ หภูมขื องร่างกาย
ชว่ ยป้องกันอวัยวะภายใน
ชว่ ยในการดูดซึมวติ ามนิ A D E K ทีล่ าไส้เล็กและเขา้ สู่หลอดเลอื ด ซึ่งวติ ามนิ กลุ่มน้ชี ่วยเรื่องสขุ ภาพตา สขุ ภาพผิว
สุขภาพกระดูกและฟัน
คลอเลสเตอรอลเป็นสารตั้งต้นในการผลิตฮอร์โมนสเตยี รอยด์ เชน่ เอสโตรเจน เทสโทสเตอโรน
เป็นองค์ประกอบของผนงั เซลล์
ไขมนั ถูกยอ่ ยที่ลาไส้เล็ก
58
ตาราง แสดงแหลง่ อาหารทีใ่ ห้ธาตุ ประโยชน์ และโรคหรอื อาการเม่อื ขาดธาตุ
แร่ธาตุ แหลง่ อาหาร หนา้ ที่/ประโยชน์ โรค/อาการเมอ่ื ขาดแร่ธาตุ
1.เปน็ สว่ นประกอบทีส่ าคัญของกระ
เน้ือ นม ไข่ ปลากินได้ท้ัง ดกุ และฟัน
กระดกู กุ้งฝอย และผักสี
แคลเซียม เขียวเข้ม 2.ควบคุมการทางานของหวั ใจ 1.โรคกระดูกออ่ นและฟนั ผุ
กล้ามเน้ือและระบบประสาท 2.เลอื ดออกงา่ ยและแขง็ ตวั ชา้
3.เป็นธาตทุ ีส่ าคัญชว่ ยในการแข็งตวั
ของเลอื ด
1.เป็นสว่ นประกอบที่สาคัญของ
ฟอสฟอรสั เน้อื นม ไข่ ปลากินได้ท้ัง กระดกู และฟัน 1.โรคกระดูกออ่ นและฟนั ผุ
กระดูก กุ้งฝอย และผักต่างๆ 2.ชว่ ยสร้างเอนไซม์ทีม่ ีโปรตนี และ 2.การเจรญิ เตบิ โตช้า
คารโ์ บไฮเดรต
3.ชว่ ยสร้างเซลล์สมองและประสาท
1.ควบคมุ การทางานของกล้ามเน้ือ
โพแทสเซียม เน้อื สตั ว์ นม ไข่ งา ข้าว เหด็ โดยเฉพาะกลา้ มเน้ือหวั ใจ 1.ทาให้กลา้ มเน้ือออ่ นเพลยี และ
ผักสีเขียวและผลไม้บางชนิด 2.ควบคมุ การทางานของระบบ หัวใจวาย
ประสาท
3.รกั ษาปริมาณนา้ ในเซลลใ์ ห้คงที่
กามะถัน เน้ือสตั ว์นมไข่ 1.สร้างโปรตนี ในร่างกาย ยงั ไม่ทราบแน่ชดั
2.สร้างกล้ามเน้ือส่วนต่างๆ
1.ควบคุมการทางานของกล้ามเน้อื
เกลือแกง อาหารทะเล และระบบประสาท 1.โรคประสาทเสอ่ื ม
2.กล้ามเน้อื ออ่ นเพลยี
โซเดยี ม อาหารหมักดอง ไข่ นม เนย 2.รกั ษาปริมาณน้าในเซลลใ์ ห้คงที่
แขง็ ผักสีเขียว 3.รกั ษาความเป็นกรด - ด่างของ
ร่างกายให้อยใู่ นสภาพสมดุล
5 วิตามนิ และแรธ่ าตุที่รา่ งกายไมค่ วรขาด
วิตามินซี
ชว่ ยในการดดู ซึมธาตเุ หลก็ จากอาหาร ปอ้ งกนั เลอื ดออกตามไรฟนั และทาให้แผลหายเรว็ ขนึ้ อาหารทีม่ ีวิตามินซีสูง
ได้แก่ บรอ็ คโคลี่ มันฝรงั่ พรกิ หวาน ผกั โขม มะละกอ มะม่วง สตรอเบอร์รี่ ฝรงั่ ส้ม
วิตามินดี
ชว่ ยในการดูดซึมแคลเซียมและป้องกนั โรคที่เกี่ยวกบั กระดกู โดยปกติร่างกายสามารถสังเคราะห์วิตามินดีได้เมอ่ื ได้รับ
แสงแดด สาหรับผู้สูงอายุทไี่ มไ่ ด้รบั แสงแดด ร่างกายอาจสร้างวติ ามนิ ดไี ด้ไม่เพยี งพอ ควรรบั ประทานอาหารประเภท
ธญั พชื เหด็ และดืม่ นมทีเ่ สริมวติ ามนิ ดเี ปน็ ประจา
59
วิตามินเอ
ชว่ ยรักษาสายตาของผู้สูงวัยไมใ่ ห้เสอ่ื มสภาพเรว็ ชว่ ยการเจรญิ เตบิ โตของเน้อื เยอ่ื และระบบภมู ิคุ้มกันของร่างกาย
แหลง่ ของวิตามินเอในอาหาร ได้แก่ ผกั โขม แครอท มนั เทศ ฟกั ทอง มะละกอ มะม่วงสุก
แคลเซียม
แคลเซียมชว่ ยป้องกันโรคกระดกู พรนุ และสร้างมวลกระดูกให้มคี วามหนาแนน่ ผู้สูงอายุตอ้ งการแคลเซียมอย่างนอ้ ย
วนั ละ 1,000 มลิ ลกิ รมั อาหารทเี่ ปน็ แหล่งของแคลเซียม ได้แก่ นมถวั่ เหลอื งเพ่มิ แคลเซียม นมสด ผลิตภัณฑจ์ ากนม
(เชน่ โยเกิร์ต นมเปรี้ยวไมห่ วานจัด) ถว่ั เหลอื ง ผลิตภัณฑจ์ ากถวั่ เหลอื ง (เชน่ ฟองเตา้ หู้) ปลาตัวเล็กท่รี ับประทานได้
ท้ังกระดูก (เชน่ ปลาข้าวสาร) ผกั ใบเขียวเข้ม ผกั สีสม้ (เชน่ คะน้า กวางตงุ้ ตาลึง ใบยอ ฟกั ทอง แครอท)
วิตามินอี
เป็นสารตา้ นอนมุ ูลอิสระท่ดี ี ช่วยป้องกันเซลล์ในรา่ งกายไมใ่ ห้ถกู ทาลาย วติ ามนิ อีพบมากในอะโวคาโด ถั่วต่างๆ เมลด็
ทานตะวนั เนยถัว่ งา และน้ามันสาหรบั ปรงุ อาหารทกุ ชนิด
ธงโภชนาการ คือ สื่อที่ช่วยอธิบาย และทาความเข้าใจเกีย่ วกบั โภชน
บญั ญัติ 9 ประการ สาหรับนาไปสู่การปฏบิ ัตใิ นการรับประทานอาหาร
เพ่อื ให้ได้รบั สารอาหารทีเ่ พยี งพอ และเปน็ ประโยชนต์ อ่ ร่างกายให้มาก
ที่สุด
ขันที่ 1 กลุ่มขา้ ว แปง้ กินปริมาณมากทีส่ ดุ เพราะ เป็นแหล่งพลงั งาน
ขนั ที่ 2 กลุ่มผัก และผลไม้ กินปริมาณรองลงมา เพือ่ ให้ได้วติ ามนิ แร่
ธาตุ และใยอาหาร
ขนั ที่ 3 กลุ่มเน้ือสัตว์ ถั่ว ไขแ่ ละกลุ่มนม กินปริมาณพอเหมาะ
เพ่อื ให้ได้โปรตนี คุณภาพดี เหลก็ และแคลเซียม
ขนั ที่ 4 กลุ่มน้ามัน นา้ ตาล เกลอื กินแต่น้อยเท่าทีจ่ าเป็น
60
หนว่ ยท่ี 2 ระบบยอ่ ยอาหาร
ระบบยอ่ ยอาหาร
ระบบยอ่ ยอาหาร มหี นา้ ท่ียอ่ ยอาหารให้ละเอียด แลว้ ดดู ซึมผ่านเข้าสกู่ ระแสเลอื ดเพ่อื ไปเลยี้ งส่วนต่าง ๆ ของ
ร่างกาย
การยอ่ ยอาหาร (Digestion) หมายถงึ กระบวนการสลายอนภุ าคอาหารให้มีขนาดเล็กสดุ จนสามารถดดู ซึมเข้าไป
ในเซลล์ได้ เมอ่ื มนษุ ยร์ บั ประทานอาหารเข้าสรู่ ่างกาย จะผา่ นระบบตา่ ง ๆ
ตับและตับออ่ นเป็นอวัยวะ ที่เกีย่ วข้องกับการย่อยอาหาร แตไ่ มไ่ ด้อยใู่ นระบบทางเดินอาหาร
นา้ ดีไม่ใช่น้ายอ่ ย แต่มหี นา้ ทช่ี ว่ ยให้ไขมนั แตกตวั มขี นาดเล็กลง จึงทาให้น้ายอ่ ยทางานได้มีประสิทธิภาพมาก
ขึน้
ตับออ่ นจะผลิตนา้ ย่อยสารอาหารทั้งโปรตนี ไขมัน และคารโ์ บไฮเดรต โดยจะส่งไปทีล่ าไส้เล็กตอนตน้
นา้ ยอ่ ย (ENZYME)
เปน็ สารประเภทโปรตนี REUSE ได้ (นากลบั มาใชไ้ หมได้)
การทางานขึ้นกับ PH และอณุ หภมู ิ มีความ “จาเพาะ” ตอ่ สารทีย่ ่อย
อวัยวะที่เปน็ ทางเดินอาหาร ทา้ หนา้ ทใี่ นการรับและส่งอาหาร
ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไส้เล็ก ลาไส้ใหญ่ ทวารหนกั
61
ส่วนประกอบและหนา้ ทีข่ องอวยั วะในระบบทางเดนิ อาหาร
1.ปาก (Mouth)
-มฟี ันบดเคีย้ วอาหารให้มีขนาดเล็กลง และลิ้นชว่ ยคลุกเคล้าอาหารกบั นา้ ตาลทาให้อาหารลน่ื สะดวกในการกลนื
-มกี ารย่อยแป้งเปน็ น้าตาล โดยเอนไซม์อะไมเลส (Amylase) หรือไทยาลนิ (Ptyalin) โดยสร้างจากต่อมนา้ ลาย
ต่อมน้าลายมี 3 คู่ ได้แก่
ต่อมน้าลายใต้ล้ิน 1 คู่
ต่อมน้าลายใต้ขากรรไกรล่าง 1 คู่
ต่อมน้าลายใต้กกหู 1 คู่
ต่อมนา้ ลายจะผลิตน้าลายได้วันละ 1- 1.5 ลิตร
รูปแสดงตาแหนง่ ตอ่ มนา้ ลาย
2.คอหอย (Pharynx)
เป็นทางผ่านของอาหารเข้าสหู่ ลอดอาหารโดยอาศยั การบีบตวั ของกล้ามเน้ือทีผ่ นังคอ
3.หลอดอาหาร (Esophagus)
เป็นทางผ่านของอาหารลงสกู่ ระเพาะอาหารโดยการหดตัวและคลายตัวของกลา้ มเน้ือรอบๆ หลอดอาหารเรียก
กระบวนการน้วี ่า เพอริสตัลซิส (Peristalsis) ในหลอดอาหารไมม่ ตี อ่ มสร้างนา้ ย่อยแต่มีต่อมขับนา้ เมือกชว่ ยหลอ่ ล่นื
อาหารให้ผา่ นได้สะดวก
รูปแสดงการเกิดเพอริสตลั ซิสของหลอดอาหาร
62
4.กระเพาะอาหาร (Stomach)
-เปน็ ทางเดินอาหารทีม่ ีขนาดใหญ่ที่สดุ ทีช่ ่วยคลุกเคล้าอาหารโดยการหดตวั และคลายตวั ของกล้ามเน้ือกระเพาะ
อาหาร
-มเี ซลล์ผลิตน้าเมอื กช่วยในการหลอ่ ล่นื และเคลือบผนังช้ันในของกระเพาะอาหารไมใ่ ห้ถกู ยอ่ ย
-มเี ซลล์ผลิตกรดไฮโดรคลอริก (HCl) ทาให้เอนไซม์สาหรบั ยอ่ ยโปรตนี อยใู่ นสภาพพร้อมที่จะใชง้ าน ซึง่ เอนไซม์ทีย่ ่อย
โปรตนี ได้แก่
* เอนไซม์เพปซิน(Pepsin) ทาหน้าทีย่ ่อยโปรตนี ให้มขี นาดเล็กลงจนเป็นสายสั้นๆ เรียกว่า เพป
ไทด์ (Peptide) ซึ่งทางานได้ดใี นสภาวะที่เป็นกรด
* เอนไซม์เรนนิน(Rennin) สาหรบั ยอ่ ยโปรตนี ในนมให้มลี กั ษณะเปน็ ล่มิ ๆ
-มกี ารดดู ซึมสารที่กระเพาะอาหารโดยสารที่ละลายในไขมันไดด้ ี เชน่ แอลกอฮอล์สามารถดูดซึมได้ถึงร้อยละ 30-40
ของแอลกอฮอลท์ ี่ดม่ื เข้าไป ยาบางชนิด สว่ นสารอาหารดูดซึมได้น้อยมาก
-ไมม่ กี ารย่อยคาร์โบไฮเดรทและไขมันในอวัยวะน้ี
5.ลา้ ไสเ้ ลก็ (Small Intestine)
-เปน็ บริเวณที่มีการย่อยและการดูดซึมเกิดข้ึนมากทส่ี ุด โดยเอนไซม์ในลาไส้เล็กจะทางานได้ดีในสภาพทีเ่ ปน็ เบส
-มกี ารสร้างเอนไซม์ขนึ้ ในอวัยวะนี้ ได้แก่
*มอลเทส (Maltase) เป็นเอนไซม์ทีย่ ่อยน้าตาลมอลโทสให้เปน็ กลูโคส
*ซูเครส(Sucrase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยน้าตาลทรายซโู ครส (น้าตาลทราย) ให้เป็นกลโู คสกับ ฟรกั โตส
*แลกเทส(Lactase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยน้าตาลแลกโทสให้เปน็ กลโู คสกับกาแลกโตส
-การย่อยอาหารที่ลาไส้เล็กโดยใชเ้ อนไซม์จากตบั ออ่ น (Pancreas) มาชว่ ยยอ่ ย ได้แก่
*ทริปซิน (Trypsin) เปน็ เอนไซม์ที่ย่อยโปรตนี หรือเพปไทด์ให้เป็นกรดอะมโิ น
*อะไมเลส(Amylase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยแป้งให้เป็นน้าตาลมอลโทส
*ลิเพส หรือ ไลเพล (Lipase) เป็นเอนไซม์ที่ย่อยไขมนั ให้เปน็ กรดไขมันและกลีเซอรอล
-อาหารเมอ่ื ถูกยอ่ ยเปน็ โมเลกุลเลก็ ท่สี ุดแลว้ จะถกู ดูดซึมที่ลาไส้เลก็ โดยโครงสร้างทีเ่ รียกว่า วิลลัส (villus) ซึ่งมี
ลักษณะคลา้ ยน้วิ มอื ทีย่ ืน่ ออดมาจากผนงั ของลาไส้เลก็ ทาหน้าที่เพ่มิ พ้นื ทีผ่ ิวในการดูดซึมอาหาร
6.ลา้ ไสใ้ หญ่ (Large Intestine)
เปน็ ทีร่ วมของกากอาหาร ซึง่ มีการขบั เมอื กออกมาหลอ่ ล่นื ช่วยในการเคลื่อนที่ของกากอาหาร ทีผ่ นังดา้ นในดูดซึมนา้
แร่ธาตุ และวิตามนิ บางชนิดทีไ่ มไ่ ด้ถกู ดดู ซึมจากลาไส้เล็กกลับเข้าสรู่ ่างกาย ซึง่ สว่ นใหญจ่ ะเป็นน้ามแี บคทเี รียพวก
Escherichia coli ที่ช่วยย่อยสลายกากอาหาร และยังสังเคราะหว์ ติ ามนิ เค วติ ามนิ บี12 กรดโฟลกิ ซึง่ ดูดซึมไปใชใ้ น
ร่างกายได้ นอกจากนี้ยังมแี ก๊สมเี ทนและไฮโดรเจนซลั ไฟต์ที่เกิดจากกระบวนการย่อยสลายของแบคทเี รีย ซึง่ ใน
บางครงั้ ถูกขบั ออกมาเป็นผายลม
7.ทวารหนัก (Anus)
เปน็ สว่ นสุดท้ายของทางเดินอาหาร ทาหนา้ ท่ขี ับถ่ายกากอาหารออกจากร่างกาย
63
หน่วยท่ี 3 การแยกสารเน้อื ผสม
64
65
66
เปลือกโลก (crust) เป็นชั้นนอกสุดของโลกท่ีมีความหนาประมาณ 60-70
กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นช้ันท่ีบางที่สุดเมื่อเปรียบกับชั้นอ่นื ๆ เสมือนเปลือกไข่ไก่หรือเปลอื กหวั
หอม เปลือกโลกประกอบไปด้วยแผ่นดินและแผ่นน้า ซึ่งเปลือกโลกส่วนท่ีบางท่ีสุดคือส่วนท่ี
อยู่ใตม้ หาสมุทร สว่ นเปลอื กโลกทห่ี นาที่สดุ คือเปลือกโลกสว่ นท่ีรองรับทวีปทม่ี ีเทอื กเขาท่ีสูง
ทส่ี ดุ อยู่ด้วย นอกจากนเี้ ปลอื กโลกยงั สามารถแบ่งออกเป็น 2 ช้ันคอื
ชันทีห่ นึง่ : ชันหินไซอลั (sial) เป็นเปลอื กโลกชั้นบนสุด ประกอบด้วยแร่ซิลกิ าและอะลูมินา
ซึ่งเป็นหินแกรนิตชนิดหน่ึง สาหรับบริเวณผิวของช้ันน้ีจะเป็นหินตะกอน ช้ันหินไซอัลน้ีมี
เฉพาะเปลือกโลกส่วนท่ีเป็นทวีปเท่าน้ัน ส่วนเปลือกโลกท่ีอยู่ใต้ทะเลและมหาสมุทรจะไม่มี
หินชนั้ นี้
ชันที่สอง: ชันหินไซมา (sima) เป็นชั้นท่ีอยู่ใต้หินช้ันไซอัลลงไป ส่วนใหญ่เป็นหินบะซอลต์
ประกอบด้วยแร่ซิลิกา เหล็กออกไซด์และแมกนีเซียม ช้ันหินไซมาน้ีห่อหุ้มทั่วทั้งพื้นโลกอยู่ใน
ทะเลและมหาสมุทร ซึ่งต่างจากหินชั้นไซอัลท่ีปกคลุมเฉพาะส่วนท่ีเป็นทวีป และยังมีความ
หนาแน่นมากกว่าชน้ั หินไซอลั
67
แมนเทิล (mantle หรือ Earth’s mantle) คือชั้นท่ีอยู่ถัดจากเปลือกโลกลงไป มีความ
หนาประมาณ 3,000 กิโลเมตร บางส่วนของหินอยู่ในสถานะหลอมเหลวเรยี กว่าหินหนืด (Magma)
ทาให้ชั้นแมนเทิลนี้มีความร้อนสูงมาก เน่ืองจากหินหนืดมีอุณหภูมิประมาณ 800 – 4300°C ซึ่ง
ประกอบด้วยหินอคั นีเปน็ ส่วนใหญ่ เชน่ หินอัลตราเบสกิ หินเพริโดไลต์
แกน่ โลก (core) มีองค์ประกอบเป็นธาตเุ หล็กถึง 80%, นกิ เกลิ ตะก่วั และยูเรเนยี ม แก่นโลก
แบ่งไดอ้ อกเป็น 2 ชั้นได้แก่
·แก่นโลกชันนอก (outer core) มีความหนาจากผิวโลกประมาณ 2,900 – 5,000 กิโลเมตร
ประกอบด้วยธาตุเหล็กและนิกเกิลในสภาพท่ีหลอมละลาย และมีความร้อนสูง มีอุณหภูมิ
ประมาณ 6200 – 6400 มีสถานะเปน็ ของเหลว
·แก่นโลกชันใน (inner core) เป็นส่วนท่ีอยู่ใจกลางโลก มีรัศมีประมาณ 1,000 กิโลเมตร มี
อุณหภูมิประมาณ 4,300 – 6,200 มีความกดดันมหาศาล ทาให้ส่วนน้ีจึงมีสถานะเป็นของแข็ง
ประกอบด้วยธาตเุ หลก็ และนิกเกิลทีอ่ ยู่ในสภาพท่เี ปน็ ของแข็ง
68
ลกั ษณะท่วั ไปของหนิ
หินเป็นวัตถุที่มีมากทส่ี ดุ ในโลก เมื่อเปรยี บเทยี บกับวตั ถอุ ื่นๆ หนิ จะมีคณุ สมบัติที่แตกต่างกัน เชน่ มี
ความแข็ง หรอื สที แ่ี ตกต่างกัน หินอาจจะประกอบดว้ ยแร่เพียงชนดิ เดยี ว หรอื ประกอบดว้ ยแร่แคลไซท์
เพยี งอย่างเดยี ว
วฏั จักรของหิน การเปล่ยี นแปลงของหินอคั นี หินตะกอนและหินแปร โดยกระบวนการทาง
ธรณีวทิ ยา มีผลทาให้หนิ ทั้ง 3 ชนดิ เกิดการเปลย่ี นแปลงจากชนดิ หน่ึงไปเป็นหินอกี ชนิดหนง่ึ และ
ยังมีผลให้หินมีการเปล่ยี นกลับมาเป็นชนดิ เดมิ ได้
วฏั จักรของหิน การเปล่ยี นแปลงของหินอคั นี หินตะกอนและหินแปร โดยกระบวนการทาง
ธรณีวทิ ยา มีผลทาให้หนิ ทั้ง 3 ชนดิ เกิดการเปล่ยี นแปลงจากชนิดหนึ่งไปเปน็ หินอกี ชนิดหนง่ึ
และยังมีผลใหห้ ินมีการเปล่ยี นกลบั มาเป็นชนิดเดิมได้
69
1. หนิ อัคนี (Igneous rocks)
เป็นหนิ ทีเ่ กดิ จากการแขง็ ตวั ของหนิ หนืด (Magma) จากชั้นแมนเทิลที่โผล่ขนึ้ มา เรา
แบ่งหนิ อคั นตี ามแหลง่ ทีม่ าออกเป็น 2 ประเภท คือ
หินอคั นีแทรกซอน (Intrusive igneous rocks) เปน็ หนิ ที่เกดิ จากหนิ หนืดที่เย็นตวั
ลงภายในเปลือกโลกอยา่ งชา้ ๆ ทาใหผ้ ลกึ แร่มีขนาดใหญ่ และเนื้อหยาบ เช่น
หนิ แกรนิต หนิ ไดออไรต์ และหินแกบโบร
หินอคั นีพุ (Extrusive ingneous rocks) บางทเี รียกวา่ หนิ ภเู ขาไฟ เป็นหินหนืดที่
เกิดจากลาวาบนพื้นผวิ โลกเย็นตวั อย่างรวดเรว็ ทาให้ผลึกมขี นาดเล็ก และเนื้อละเอยี ด
เชน่ หนิ บะซอลต์ หินไรออไรต์ และหินแอนดีไซต์
70
หนิ ตะกอน (Sedimentary rocks)
แมว้ ่าหนิ จะเปน็ ของแขง็ แต่มนั กม็ ิสามารถดารงอยู่ได้อย่างถาวร หนิ เมือ่ ถูก
แสงแดด ลมฟ้าอากาศ และน้า หรือ ถูกกระแทก ก็แตกเปน็ ก้อนเล็กๆ หรือผกุ ร่อน
เสื่อมสภาพลง เศษหินที่ผพุ ังท้ังอนภุ าคใหญแ่ ละเลก็ ถูกพดั พาไปสะสมอัดตวั กัน เปน็
ชนั้ ๆ เกิดความกดดนั และปฏกิ ริ ยิ าเคมีจนกลับกลายเปน็ หินอกี ครงั้ หินทีเ่ กดิ ใหม่นเี้ รา
เรยี กว่า “หนิ ตะกอน” หรือ “หนิ ชั้น” ปัจจัยทท่ี าให้เกดิ หินตะกอนหรือหินชน้ั
การผุพัง (Weathering) คือ การทีห่ ินผพุ ังทาลายลง (อยกู่ บั ที)่ ดว้ ยกรรมวธิ ีต่างๆ
จากลมฟ้าอากาศ สารละลาย และรวมทง้ั การกระทาของต้นไม้ แบคทีเรยี ตลอดจน
การแตกตวั ทางกลศาสตร์ มีการเพ่มิ อณุ หภูมิและลดอุณหภูมิสลับกนั
การผุพัง (Weathering) คือ การที่หินผุพังทาลายลง (อยกู่ ับที่) ดว้ ยกรรมวธิ ีต่างๆ จาก
ลมฟ้าอากาศ สารละลาย และรวมท้ังการกระทาของต้นไม้ แบคทเี รีย ตลอดจนการแตก
ตวั ทางกลศาสตร์ มีการเพ่มิ อุณหภูมิและลดอณุ หภมู ิสลับกัน
71
การพัดพา (Transportation) หมายถึง การเคลื่อนท่ขี องมวลหิน ดิน ทราย โดย
กระแสน้า กระแสลม หรอื ธารน้าแขง็ ภายใตแ้ รงดึงดูดของโลก อนุภาคขนาดเล็กจะถูกพัดพา
ให้เคล่อื นท่ไี ปไดไ้ กลกว่าอนุภาคขนาดใหญ่
การทบั ถม (Deposit) เกดิ ขึน้ เมือ่ ตวั กลางซึ่งทาให้เกดิ การพดั พา เช่น กระแสน้า กระแส
ลม หรือธารน้าแข็ง ออ่ นกาลงั ลงและยตุ ิลง ตะกอนทถ่ี กู พัดพาจะสะสมตัวทับถมกนั ทาให้
เกดิ การเปลี่ยนแปลงทางอณุ หภูมิ ความกดดนั ปฏิกิรยิ าเคมี และเกิดการตกผลึก หินตะกอน
ท่อี ยู่ชั้นลา่ งจะมีความหนาแน่นสูงและมีเน้อื ละเอยี ดกว่าชน้ั บน เนอ่ื งจากแรงกดดนั ซึ่งเกิดข้นึ
จากน้าหนกั ตวั ทับถมกนั เป็นชั้นๆ (หมายเหตุ: การทบั ถมบางครง้ั เกิดจากการระเหยของ
สารละลาย ส่วนท่ีเป็นน้าระเหยไปในอากาศท้ิงสารท่เี หลอื ให้ตกผลกึ ไว้เช่นเดยี วกับการทานา
เกลือ)
การกลบั คืนเป็นหนิ (Lithification) เมือ่ เศษตะกอนทบั ถมกนั จะเกิดโพรงข้นึ ประมาณ
20 – 40% ของเน้ือตะกอน นา้ พาสารละลายเขา้ มาแทนทอ่ี ากาศในโพรง เมื่อเกดิ การทับถม
กันจนมีนา้ หนักมากขึน้ เน้อื ตะกอนจะถกู ทาให้เรียงชิดติดกนั ทาให้โพรงจะมีขนาดเลก็ ลง จน
นา้ ที่เคยมีอยู่ถกู ขบั ไลอ่ อกไป สารทต่ี กค้างอยู่ทาหนา้ ที่เป็นซีเมนตเ์ ชอ่ื มตะกอนเขา้ ด้วยกัน
กลับเปน็ หินอีกครง้ั
72
หินดินดาน แร่ดนิ เหนยี ว เน้ือละเอยี ดมากสี เฟลดส์ ปารใ์ น หิน
Shale AL2SiO5(OH)4 เทา ผสมสแี ดง อคั นี ผพุ งั เป็นแร่
เน่อื งจากแรเ่ หล็ก ดินเหนยี วทบั ถมกนั
หินปนู แคลไซด์ เน้อื ละเอยี ดที การทบั ถมกันของ
Limestone CaCO3 ตะกอนคารบ์ อเนค
หลายสี ทา
หินเซิร์ต ซิลิกา ปฏกิ ิริยากับกรด ในท้องทะเล
Chert SiO2 การทบั ถมของซาก
เน้ือละเอยี ด สิง่ มีชีวิตเล็ก ๆใน
แข็งสอี อ่ น ท้องทะเล จนเกิด
การตกผลึกใหม่
ของซิลกิ า
หินแปร (Metamorphic rocks)
หินที่แปรสภาพไปจากโดยการกระทาของความร้อน แรงดัน และปฏกิ ิริยาเคมี หินแปรบางชนิดยังแสดงเค้าเดิม บางชนดิ
ผิดไปจากเดิมมากจนต้องอาศยั ดรู ายละเอยี ดของเน้อื ใน หรือสภาพสิง่ แวดลอ้ ม มอี งคป์ ระกอบเดียวกันกับหินตน้ กาเนิด แต่
อาจจะมีการตกผลกึ ของแร่ใหม่ เช่น หินชนวนแปรมาจากหินดนิ ดาน หินออ่ นแปรมาจากหินปนู
หินแปรส่วนใหญ่เกิดข้ึนในระดับลึกใต้เปลอื กโลกหลายกิโลเมตร ท่ซี ึ่งมีความดนั สงู และอยู่ใกลก้ ลบั หินหนดื ร้อนในชนั้ แอสทีโนส
เฟียร์
นกั ธรณีวทิ ยาแบง่ การแปรสภาพออกเป็น 2 ประเภท คอื
การแปรสภาพสัมผสั (Contact metamorphism)
เปน็ การแปรสภาพเพราะความร้อน เกิดข้ึน ณ บริเวณที่หนิ หนืดหรือลาวาแทรกดันขนึ้ มาสมั ผสั กับหินท้องที่ ความร้อน
และสารจากหินหนืดหรือลาวาทาให้หินท้องที่ในบริเวณนน้ั แปรเปลี่ยนสภาพผิดไปจากเดมิ
การแปรสภาพบริเวณไพศาล (Regional metamophic)
เป็นการแปรสภาพของหนิ ซึง่ เกิดเปน็ บริเวณกว้างใหญไ่ พศาลเน่อื งจากอุณหภมู แิ ละความกดดนั โดยปกตกิ ารเปรสภาพ
แบบน้ีจะไมม่ คี วามเกีย่ วพนั กบั มวลหินอัคนี และมักจะมี “ริว้ ขนาน” (Foliation) จนแลดูเป็นแถบลายสลบั สี บิดย้วยแบบลูกคลื่น ซึ่ง
พบในหนิ ชีสต์ หินไนส์ ทง้ั น้เี ป็นผลมาจากการการตกผลึกใหมข่ องแร่ในหิน ทง้ั น้รี ิว้ ขนานอาจจะแยกออกได้เป็นแผ่นๆ และมผี ิวหนา้
เรียบเนยี น เช่น หินชนวน
73
ชนิดของหนิ แปร
หนิ แปรรวิ ขนาน
หมายถงึ หินแปรที่แสดงลกั ษณะของเน้ือหินที่มีแร่เรียงตวั ขนานกัน เปน็ แนวไปตามทิศทางทต่ี ง้ั ได้ฉากกับทิศ ทางที่แรง
เค้นกระทา เช่น
หินชนวน เปน็ หนิ มลี กั ษณะเน้อื ละเอยี ดมาก ผลกึ แรต่ รวจไมพ่ บด้วยตาเปล่า แสดงแนวแตกเรียบแบบหินชนวน (slaty
cleavage) และกะเทาะออกเปน็ แผ่นเรียบบางได้งา่ ย มีได้หลากสีแตม่ ักสี เทา ดา เขียว แดง มปี ระโยชน์ในการนามาปู
ทาหลงั คา กระดานดา และทางเท้า
หินชสี ต์ มเี ม็ดปานกลางถึงหยาบ เกิดข้นึ ภายใตค้ วามดนั มหาศาลกว่าหนิ ชนวน ประกอบด้วยแร่ไมกาเป็นหลัก
บางครงั้ ก็มี คลอไรต์ ทลั ก์ แกรไฟต์ ฮีมาไทต์ เปน็ ต้น ท่เี รียงตัวเกือบขนานกัน เรียกว่า แนวแตกแบบหินชสี ต์
(schistosity)[3] บอ่ ยครงั้ ที่ปริแยกออกตามชนั้ หรือแผ่นบางซึง่ คดงอและแตกหกั ได้งา่ ย เพือ่ ระบุชือ่ หินให้ชัดเจน จึง
เรียกช่อื ตามจุดเด่นของแร่ทีม่ องเห็นบนพนื้ ผิวหนิ
หินฟิลไลต์ เปน็ หนิ เมด็ ละเอยี ดกว่าหินชสี ต์ แต่หยาบกวา่ หินชนวน ผิวทีแ่ ตกใหมจ่ ะมลี กั ษณะวาวแบบไหมหรือเป็นมนั
เงา เนอ่ื งจากมีแร่ไมกาเมด็ ละเอยี ดอยู่ มักเปลี่ยนมาจากหินดินดาน ด้วยความดนั มหาศาลกว่าทีห่ นิ ชนวนได้รบั แต่ไม่
รนุ แรงเท่าที่เกิดกบั หินชสี ต์
หินไนส์ เปน็ หนิ ลายเมด็ หยาบที่เกิดจากแปรสภาพอยา่ งมาก มลี กั ษณะแร่สอี อ่ น เช่น ควอตซ์ เฟลดส์ ปาร์ เรียงตวั เปน็
แถบเปน็ ลายสลบั กับแถบของแร่สเี ข้ม เช่น แรไ่ บโอไทต์ ฮอรน์ เบลนด์ แถบมกี ารโค้งงอและบดิ เบยี้ ว เรียกว่า สภาพ
เรียงตัวแบบหินไนส์ หิทดาหกั ดดด(gneissosity)
หนิ ไมเ่ ปน็ ริวขนาน
หมายถงึ หินแปรทีแ่ สดงลกั ษณะของเน้ือหินทีม่ ีเมด็ แร่ขนาดเท่ากันทุกอนู ไมม่ กี ารจัดเรียงตัว ทาให้เป็นเน้อื หินลกั ษณะ
สมานแน่น มกั จะพบในหนิ ทีป่ ระกอบด้วยแร่ชนดิ เดียวกนั เช่น
หินควอรต์ ไซต์ เปน็ หนิ มคี วามคงทนมากท่สี ดุ ชนดิ หน่งึ ประกอบด้วยมวลเน้อื ผลึกของเมด็ ทรายที่ขนาดไล่เลี่ยกัน
ประสานตดิ กันแนบแนน่ เรียกว่า เนอื้ เม็ดแปร (granoblastic) หากเกิดจากทรายแก้วบริสทุ ธิจ์ ะได้หินควอร์ตไซต์สขี าว
แตม่ ักมีสิ่งเจือปนอาจยอ้ มให้หนิ มสี ีแดง เหลอื งหรือนา้ ตาล
หินออ่ น เป็นหนิ เน้อื ผลึก ค่อนขา้ งเม็ดหยาบ แปรสภาพมาจากหินปนู และหนิ โดโลไมต์ เกิดจากซากดึกดาบรรพโ์ ดย
หินออ่ นบริสทุ ธิ์มีสขี าว หากมีสง่ิ เจือปนจะทาให้หินออ่ นมไี ด้หลายสี นามาทาหินประดับและหินก่อสร้าง ตลอดจนงาน
แกะสลกั
หินฮอรเ์ ฟลส์ คือหินที่มีลักษณะของเน้อื หินทีเ่ ม็ดแร่ละเอยี ดมาก มขี นาดเท่ากนั เรียกว่า เนอื้ ละเอยี ดเดียวกัน
(hornfelsic) ไมม่ กี ารเรียงตวั ของเน้ือหินและไมส่ ามารถมองเห็นผลึกดว้ ยตาเปล่าของมนุษย์
74
75
แบบทดสอบ
คำส่ัง ใหน้ ักเรยี นเลอื กคำตอบทถ่ี กู ต้อง
1. ข้อใดคือสารอาหารท่ีให้พลังงานแกร่ า่ งกายและเปน็ สารอาหารทส่ี าคญั ที่สดุ
ก. โปรตีน
ข. ไขมัน
ค. คาร์โบไฮเดรต
ง. เกลือแร่
2. คนที่เปน็ โรคหิตจางควรรบั ประทานอาหารประเภทใด
ก. ข้าวซอ้ มมือ ผกั ใบเขยี ว เนย
ข. ไข่แดง เน้อื ปลา เครอื่ งในสัตว์
ค. มะขามปอ้ ม น้ามันตับปลา นมสด
ง. ถัว่ เหลอื ง ปลาไสต้ ัน เกลือแกง
3. ไขมันเป็นสารอาหารท่ีไดจ้ ากข้อใด
ก. พชื
ข. สัตว์
ค. การสังเคราะห์ด้วยแสง
ง. ข้อ 1 และ 2 ถูก
4. นกั เรยี นควรเลือกกนิ อาหารประเภทใดจงึ จะครบ 5 หมู่
ก. สลัดผักไข่กุ้ง นมสด
ข. ส้มตา ไก่ยา่ ง
ค. ราดหนา้ ยอดผกั แตงโม
ง. ขนมปังทาแยม น้าส้ม
5. อวยั วะใดในทางเดินอาหารไมม่ กี ารย่อยเชงิ เคมี
ก. ปาก หลอดอาหาร
ข. กระเพาะอาหาร ลาไส้เลก็
ค. หลอดอาหาร ลาไสใ้ หญ่
ง. ปาก ลาไส้ใหญ่
6. เม่อื ถุงนา้ ดถี ูกตัดท้งิ จะทาใหม้ ปี ญั หาการย่อยอาหารน้อยทส่ี ุด
ก. วติ ามินและเกลือแร่
ข. โปรตีน
ค. คาร์โบไฮเดรต
ง. ไขมนั
76
7. ข้อใดต่อไปน้ีไม่ได้ผลิตขึน้ ทีก่ ระเพาะอาหารของมนุษย์
ก. อะไมเลส
ข. กรดไฮโดรคลอริก
ค. น้าเมือก
ง. เรนนนิ
8. ขอ้ ใดไม่ใชก่ ารแยกสาร
ก. การรอ่ นทราย
ข. การตม้ น้าร้อน
ค. การเคี่ยวนา้ เชื่อม
ง. การแกวง่ สารส้ม
9. การแยกสารในข้อใดคือการแยกของแขง็ ออกจากของแข็ง
ก. การแยกกรวดออกจากขา้ วในการหุงขา้ ว
ข. การแยกกากถ่ัวเหลืองในการทานา้ เต้าหู้
ค. การต้มสรุ าในการผลิตสุรา
ง. การแยกกากมะพรา้ วออกจากนา้ กะทิ
10. การแยกคลอรนี ออกจากนา้ ประปา โดยการใสน่ ้าไว้ในภาชนะเปิด แลว้ ทงิ้ ไวจ้ นคลอรีนคอ่ ย ๆ หายไปเอง
เรียกวธิ ีการแยกสารนี้ว่าอย่างไร
ก. การระเหย
ข. การระเหิด
ค. การกรอง
ง. การกลน่ั
11. การทานาเกลอื เปน็ การใช้สมบัตกิ ารแยกสารตามขอ้ ใด
ก. การกลั่น
ข. การตกผลกึ
ค. การตกตะกอน
ง. การระเหยแห้ง
12. น้องดาต้องการสกดั น้ามันหอมระเหยจากตะไครห้ อม น้องดาควรเลือกวิธกี ารใดในการแยกนา้ มนั หอม
ระเหยออกจากตะไครห้ อมได้
ก. การระเหย
ข. การระเหิด
ค. การกลนั่ ดว้ ยไอน้า
ง. การกลั่นลาดบั สว่ น
77
13 น้องออยทดสอบสารโดยนาเกลอื ผสมกับนา้ ข้เี ถ้า ตอ่ มาน้องออยต้องการแยกสารทั้งสองออกจากกัน ข้อใด
เป็นข้ันตอนการแยกสารดังกล่าว
ก. เตมิ น้าให้ข้ีเถา้ และเกลือละลายนา้ แล้วนาไประเหยแห้ง
ข. เตมิ น้าใหเ้ กลือละลาย แล้วนาไปกรองด้วยกระดาษกรอง แลว้ จงึ นาไประเหยแห้ง
ค. เติมน้าให้เกลือละลาย แลว้ นาไปกรองด้วยกระดาษกรอง แลว้ จงึ นาไประเหิด
ง. ใช้วิธกี ารร่อนแยกเกลอื ออกจากข้ีเถ้า
14. สารในข้อใดสามารถเกดิ การระเหิดไดห้ มด
ก. พิมเสน การบรู
ข. ดา่ งทบั ทิม เกลือแกง
ค. จนุ สี สารสม้
ง. แนฟทาลีน นา้ ตาล
15. การแยกสารในขอ้ ใดคือการ “กลัน่ ”
ก. การแยกกากกาแฟในการต้มกาแฟ
ข. การแยกกากถ่วั เหลอื งในการทาน้าเต้าหู้
ค. การตม้ สุราในการผลิตสรุ า
ง. การบม่ องนุ่ ในถังหมกั ไวน์
16. หนิ กลุม่ เปน็ หนิ ชนดิ เดยี วกันทั้งหมด
ก. หนิ ปูน หนิ ไนส์ หินแกรนิต
ข. หนิ ศลิ าแลง หินปนู หินบะซอลต์
ค. หินชนวน หินทราย หนิ แกรนิต
ง. หินบะซอลต์ หนิ ออบซิเดียน หินแกรนิต
17. หินชนดิ ใด เกดิ ก่อนหินชนดิ อื่น ๆ
ก. หนิ ตะกอน
ข. หนิ แปร
ค. หินทราย
ง. หนิ อัคนี
18. หนิ กรวดจัดยใู่ นหนิ ประเภทใด
ก. หินอัคนี
ข. หนิ ตะกอน
ค. หินแกรนิต
ง. หนิ แปร
78
19. การกร่อนของหินตา่ ง ๆ ในประเทศไทยเกิดจากสาเหตุตอ่ ไปนี้ ยกเวน้ ขอ้ ใด
ก. การกร่อนเนื่องจากปฏิกิรยิ าเคมจี ากฝนกรด
ข. การกร่อนเนือ่ งจากธารนา้ แขง็ เกิดการเคลือ่ นที่
ค. การกร่อนเน่ืองจากถูกกระแสน้าพัดพา
ง. กระแสลมพัดพาทาใหห้ ินเกิดการผุกรอ่ น
20. ศิลาต้องการปูพ้ืนบา้ นให้สวยงามและทนทาน ควรเลอื กใช้หนิ ชนิดใด
ก. หนิ ทราย
ข. หนิ ปนู
ค. หนิ ออ่ น
ง. ศิลาแลง
21. ดินลูกรังท่เี ปน็ ถนนหนทางเขา้ หมบู่ ้านซึ่งมสี ีแดง เกิดมาจากการผกุ ร่อนผุผงั ของหินชนิดใดต่อไปนี้
ก. หินปนู
ข. หินดินดาน
ค. หินกรวดมน
ง. หินศิลาแลง
22. หินชนิดใดมกั พบซากดึกดาบรรพ์ฝงั ตวั อยู่ในเนือ้ หิน
ก. หนิ ดินดาน หินปูน
ข. หินบะซอลต์ หินออบซเิ ดียน
ค. หนิ แกรนิต หนิ แอนดีไซด์
ง. หนิ ไนส์ หินควอรต์ ไซต์
เฉลยแบบทดสอบ
1. เฉลย ตอบ ก โปรตีนเปน็ สารอาหารท่ีให้พลงั งานแก่รา่ งกาย และเป็นสารอาหารที่สาคัญท่ีสุด
เพราะเปน็ องค์ประกอบในโครงสรา้ งของเซลลท์ ุกชนิด โดยมกี รดอะมิโนเปน็ หน่วยโครงสรา้ งหลัก
2. เฉลย ตอบ ข ไข่แดง เนอ้ื ปลา เครอื่ งในสตั ว์ เพราะ โรคโลหติ จาง คอื การที่มเี ม็ดเลือดแดงนอ้ ย
กวา่ ปกติ ทางการแพทยจ์ ะหมายถงึ การทีร่ ะดับค่าโฮโมโกลบิลในเลอื ดตา่ กวา่ 13 กรมั ตอ่ เดซิลติ ร
ในผูช้ ายหรือ 12กรมั ตอ่ เดซลิ ิตร ในผู้หญิง ถา้ คดิ เป็นคา่ ฮีมาโตครติ คือ ความเขม้ ขน้ ของเม็ดเลอื ด
แดงต่ากว่า 39 และ 36 เปอร์เซ็นตใ์ นผ้ชู ายและผู้หญงิ ตามลาดับ ผเู้ ปน็ โรคโลหตจิ างควรรบั ประทาน
อาหารใหค้ รบทง้ั 5 หมู่ โดยเฉพาะโปรตนี และอาหารที่มธี าตเุ หล็กสงู ไดแ้ ก่ ไข่ ตบั ไต เนือ้ สัตว์
เมลด็ ธัญพืช เช่น ถัว่ งา เมลด็ ฟักทอง ลกู เดือย เป็นต้น
79
3. เฉลย ตอบ ง ไขมนั เป็นสารอาหารท่ีไดจ้ ากไขมนั ของพชื และสัตว์ต่าง ๆ คือ
1. ไขมันจากพืช ได้แก่ นา้ มนั ถ่ังเหลอื ง น้ามันงา นา้ มันมะพรา้ ว และนา้ มันปาลม์ เหมาะสาหรบั
ร่างกายมากทสี่ ุด เพราะไม่ทาใหเ้ กิดการอดุ ตันในเสน้ เลือด
2. ไขมันจากสัตว์ ไดแ้ ก่ น้ามนั หมู น้ามนั ปลา เนย นม ถา้ กนิ เข้าไปในปริมาณท่ีมากเกินความ
ตอ้ งการของร่างกาย จะทาให้เกดิ โรคหัวใจหรือไขมนั อดุ ตนั ในหลอดเลือด
4. เฉลย ตอบ ค ราดหน้ายอดผัก แตงโม
ราดหน้ายอดผักและแตงโมเป็นอาหารครบ 5 หมู่ คือ
หมทู่ ี่ 1 เนอื้ สัตว์ตา่ ง ๆ เช่น หมู กุ้ง ปลา
หมทู่ ี่ 2 เสน้ ใหญ่ ทามาจากแป้ง
หมู่ที่ 3 ผกั ต่าง ๆ เช่น ผักคะนา้
หมู่ท่ี 4 ผลไม้ คือ แตงโม และ
หมู่ท่ี 5 ไขมนั เชน่ น้ามนั พืช
ส่วนสลดั ผัก ไข่กุ้ง นมสด มีอาหารหมู่ท่ี 1 เนอื้ สตั ว์ นมสด หมู่ที่ 3 ผกั ตา่ ง ๆ และ หมู่ท่ี 5
ไขมนั คือ นา้ สลัด สม้ ตา ไก่ย่าง มีอาหารหมู่ที่ 1 เนอื้ สตั ว์ ไก่ยา่ ง หมู่ท่ี 3 ผักตา่ ง ๆ เชน่
มะละกอ ถวั ฝักยาว มะเขือเทศ ขนมปังทาแยม น้าส้ม มอี าหาร หมูท่ ่ี 2 ขนมปัง แยม(มี
น้าตาล) หมู่ท่ี 4 น้าส้ม ผลไมท้ ที่ าแยม
5. เฉลย ตอบ ค หลอดอาหาร ลาไสใ้ หญ่ การยอ่ ยเชิงเคมี คือ การย่อยอาหารโดยอาศยั เอนไซม์
ทางเดนิ อาหารทไ่ี มม่ ีการย่อยเชิงกลเกิดขึ้นบ้างแต่ก็เปน็ เพียงส่วนนอ้ ย
6. เฉลย ตอบ ง เพราะ ถงุ น้าดที าหน้าที่เก็บน้าดี ซง่ึ ช่วยให้ไขมันแตกตวั เปน็ เมด็ เล็ก ๆ ทาให้น้าย่อยไล
เปสย่อยไขมนั ไดเ้ ร็วขึ้น ดังน้ันการตัดถุงน้าดีทงิ้ จงึ ทาให้การย่อยอาหารประเภทไขมนั เกิดขนึ้ ไดย้ าก
7. เฉลย ตอบ ก เพราะ กระเพาะอาหาร (stomach) เป็นอวัยวะท่ที าหนา้ ท่ใี นการย่อยเชิงกลและเชิง
เคมี มรการผลติ สารทใ่ี ชใ้ นการยอ่ ย ได้แก่ น้าเมือก กรดไฮโดรคลอรกิ (HCI) น้ายอ่ ยเพปซิน และ
น้ายอ่ ยเรนนิน เป็นต้น
8. เฉลย ตอบ ข การแยกสารเป็นวิธแี ยกสารท่ผี สมกนั อยู่ตัง้ แต่ 2 ชนดิ ขึน้ ไปให้แกจากกัน การแยก
สารเนื้อผสมอาจใช้วธิ กี ารตา่ งๆ เชน่ การกรอง การใชก้ รวยแยก การใช้อานาจแม่เหล็ก การระเหิด
การระเหยแห้ง ซ่ึงเปน็ การแยกสารโยวธิ ที างกายภาพท้ังส้นิ สารทแี่ ยกไดจ้ ะมีสมบัตเิ หมือนกัน
80
9. เฉลย ตอบ ก เพราะ พจิ ารณาตัวเลือกแตล่ ะขอ้ ได้ดังนี้
1. การแยกกรวดออกจากข้าวในการหงุ ข้าว เปน็ การแยกของแขง็ ออกจากของแขง็
2. การแยกกากถ่วั เหลืองในการทาน้าเตา้ หูเ้ ป็นการกรอง เพราะเป็นการแยกของแข็งออกจาก
ของเหลว
3. การต้มสุราในการผลิตสุรา เปน็ การกลัน่ เพราะเป็นการแยกของเหลวออกจากของเหลว โดย
อาศยั การหยดของเหลวท่ีต้องการในขนั้ ตอนการตม้ จนเกิดไอนา้
4. การแยกกากกาแฟในการตม้ กาแฟ เปน็ การกรอง เพราะเป็นการแยกของแขง็ ออกจากของเหลว
10. เฉลย ตอบ ก เพราะ การแยกคลอรนี ออกจากน้าประปา โดยอาศยั การหยดของของเหลวที่
ตอ้ งการในข้นั ตอนการตม้ จนเกดิ ไอนา้
11. เฉลย ตอบ ง เพราะ การระเหยแห้ง
การทานาเกลอื เป็นการใชห้ ลักการระเหยแหง้ ของสาร โดยการแยกของผสมทีเ่ กิดจากของแข็งละลาย
อยู่ในของเหลว โดยให้ความรอ้ นจนตวั ทาละลายระเหยออกไปหมด
12. เฉลย ตอบ ค การกล่นั ด้วยไอนา้
การสกัดอยา่ งนา้ มนั หอมระเหยจาพชื บางชนดิ เชน่ ตะไครห้ อม เป็นการแยกสารโดยใชส้ ารละลายที่
เหมาะสม นาตะไครไ้ ปแช่ในสารละลายแล้วนาไปกล่ัน โดยแยกนา้ มันหอมระเหยออกจากสารละลาย
โดยอาศยั ความแตกต่างของจุดเดือดของของเหลว
13. เฉลย ตอบ ข เกลือและขเ้ี ถ้ามสี ที แี่ ตกตา่ งกนั แต่ขนาดเลก็ จึงใช้วิธกี ารแยกโดยการเติมนา้ เพื่อทา
ให้เกลือละลายในนา้ สว่ นขีเ้ ถ้าไมล่ ะลายน้า แยกแกจากสารละลายเกลือโดยการกรองดว้ ยกระดาษ
กรอง จากนั้นนาสารละลายเกลือมาแยกโดยการใชว้ ธิ กี ารระเหยแยกเกลือออกจากนา้
14. เฉลย ตอบ ก พมิ เสน การบรู เป็นสสารทเี่ ปล่ียนสถานะจากของแข็งกลายเปน็ ไอหรือก๊าซ ที่
อณุ หภูมติ า่ กว่าจุดหลอมเหลว โดยไม่ผ่านสถานะของเหลว
15. เฉลย ตอบ ค พจิ ารณาตัวเลือกแต่ละข้อดงั น้ี
1. การแยกกากกาแฟในการต้มกาแฟ เปน็ การกรอง เพราะเป็นการแยกของแขง็ ออกจากของเหลว
2. การแยกกากถ่วั เหลอื งในการทาน้าเต้าหู้ เป็นการกรอง เพราะเปน็ การแยกของปข็งออกจาก
ของเหลว
3. การตม้ สรุ าในการผลติ สรุ า เปน็ การกลัน่ เพราะ เป็นการแยกของเหลวออกจากของเหลว โดย
อาศยั การหยดของของเหลวท่ีต้องการในขน้ั ตอนการต้มจนเกดิ ไอน้า
4. การบ่มองุ่นในถังหมกั ไวน์ เป็นการหมกั (ไม่ใช่การแยกสาร)
81
16. เฉลย ตอบ ง เพราะ เปน็ หินท่ีเกิดจากการเยน็ ควั ลงของลาวาและเปลอื กโลก สว่ นหินปูน ศลิ าแลง
หินทราย หนิ ดินดาน เปน็ หนิ ตะกอน สว่ นหินไนส์ หนิ ชนวน เปน็ หนิ แปร
17. เฉลย ตอบ ง เพราะ หนิ อัคนเี กิดการเยน็ ตัวลงของเปลือกโลกหรอื ธารลาวา
18. เฉลย ตอบ ข เพราะ หินกรวดมนจัดอย่ใู นประเภทหินตะกอนหรือหนิ ชนั้ เกิดจากตะกอนของหนิ
กรวด ทรายถกู กระแสนา้ พดั พามารวมกนั สารละลายในนา้ ใต้ดนิ ทาตัวเปน็ ซีเมนตป์ ระสานใหอ้ นภุ าค
ใหญ่เลก็ เหลา่ นเ้ี กาะตวั กนั เป็นกอ้ นหินใชท้ าถนนเข้าบา้ น ใช้ในการก่อสรา้ ง
19. เฉลย ตอบ ข เพราะ การกร่อนเนือ่ งจากธารน้าแข็งเกดิ การเคลอื่ นที่
การกร่อนของหินตา่ ง ๆ ในประเทศไทยเกิดจากสาเหตุต่อไปน้ี
การกร่อนเนอ่ื งจากปฏิกริ ยิ าเคมจี ากฝนกรด
การกร่อนเนือ่ งจากถูกระแสน้าพัดพา
กระแสลมพัดพาทาให้หินเกดิ การผกุ รอ่ น
ยกเวน้ การกร่อนเน่ืองจากธารนา้ แขง็ เกดิ การเคลอื่ นที่ เพราะประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตร้อน ไมม่ ธี าร
นา้ แขง็
20. เฉลย ตอบ ค เพราะ หินอ่อน
ความทนทานต่อการขีดข่วน แตกยาก ไมเ่ ปราะเทียบกับวัสดุปูพ้ืนหรือกระเบ้ืองชนิดอ่นื ๆ ถงึ แม้หนิ
ออ่ นจะมีความแข็งน้อยกว่าหินแกรนิต หนิ อ่อนกย็ ังมีความแข็งมากพอต่อการใชง้ านปกติ
21. เฉลย ตอบ ง เพราะ หนิ ศลิ าแลง
ดนิ ลกู รงั ทเี่ กิดข้นึ มาจากการผพุ ังของศลิ าแลง
22. เฉลย ตอบ ก เพราะ หินดินดาน หนิ ปูน
หนิ ดนิ ดานและหินปูน เปน็ หินจาพวกชนั้ หรอื หนิ ตะกอน ซง่ึ เกดิ จากการสึกกรอ่ นและการทับถมของ
ตะกอนเป็นเวลาหลายล้านปี ซ่ึงมักจะพบซากสัตวด์ ึกดาบรรพห์ รแื ฟอสซลิ อยู่ในเน้ือหนิ
82
82
หนว่ ยท่ี 4 ปรากฏการณข์ องโลกและภยั ธรรมชาติ
ลมบก ลมทะเล และลมมรสุม
ลมเกดิ จากความแตกตา่ งระหว่างอุณหภมู ขิ องอากาศเหนือบรเิ วณ 2 บรเิ วณ โดยอากาศบรเิ วณทม่ี ีอุณหภมู ิสูง
กวา่ จะเคล่ือนท่สี ูงขน้ึ และอากาศท่ีมอี ุณหภูมติ า่ กว่าจะเคลื่อนเข้ามาแทนที่ การเคลอื่ นทขี่ องอากาศท่าใหเ้ กิดลม
ลมมหี ลายประเภทตามลกั ษณะการเกดิ พน้ื ท่ีที่ เกิด และชว่ งเวลาการเกิด เช่น ลมประจ่าถิ่น ลมประจา่ ฤดู
ลมบก ลมทะเล เป็นลมประจ่าถนิ่ ที่เกิดเฉพาะบริเวณชายฝ่ัง ซงึ่ เกิดในชว่ งเวลากลางวนั และกลางคืน
ใน เวลากลางวนั อากาศเหนือพ้ืนดินร้อน ลอยตวั สูงข้ึน อากาศเหนือพนื้ น้่าเย็นกว่า เคล่ือนทเี่ ข้ามาแทนท่ีเกดิ
ลมพดั จากทะเลเข้าส่ฝู ั่ง เรยี กวา่ ลมทะเล
ใน เวลากลางคืน อากาศเหนือพืน้ นา่้ ร้อน ลอยตวั สงู ขึ้น อากาศเหนือพน้ื ดนิ เย็นกวา่ เคลื่อนท่เี ข้ามาแทนที่ เกดิ
ลมพัดจากบกออกสทู่ ะเล เรยี กวา่ ลมบก
จากความรู้เรื่องลมบก ลมทะเลนี้ ชาวประมงได้อาศัยลมดังกล่าวแลน่ เรือใบออกทะเลในเวลาต่าและกลบั สู่ฝง่ั
ในตอนเช้า
มรสุมเปน็ ลมประจ่าฤดทู ี่เกิดบรเิ วณเขตรอ้ นของโลก เชน่ บรเิ วณภูมิภาคเอเชียตะวนั ออกเฉยี งใต้ มรสุมเกิด
จากความแตกตา่ งกันระหว่างอณุ หภูมขิ องอากาศเหนือพื้นทวปี และอุณหภมู ขิ องอากาศเหนือพนื้ มหาสมุทร
แตล่ ะมรสมุ มรี ะยะเวลาในการเกดิ ตอ่ เนื่องยาวนานประมาณ 3-5 เดือน มรสมุ เกิดเปน็ บริเวณกว้างระดับทวปี และเกิด
เปน็ เวลานานตลอดฤดหู น่ึง ๆ มรสุมท่ีพดั ผ่านประเทศไทย ได้แก่ มรสุมตะวันออกเฉียงเหนอื และมรสมุ ตะวนั ตกเฉียง
ใต้ ซึง่ จะพัดผ่านในชว่ งระยะเวลาท่ีแตกตา่ งกัน
83
ลมมรสุมแบง่ ออกเปน็ 2 ชนดิ คอื
1. ลมมรสุมตะวนั ตกเฉียงใต้ ประเทศไทยไดร้ บั ผลจากมรสมุ ตะวนั ตกเฉียงใตป้ ระมาณเดอื นพฤษภาคมถงึ
กลางเดือนตลุ าคม ซงึ่ เปน็ ช่วงที่โลกเอียงข้ัวโลกเหนือเข้าหาดวงอาทิตย์ ท่าใหอ้ ากาศเหนอื พ้นื ทวีปทางซีกโลกเหนือมี
อณุ หภูมสิ งู กว่าอณุ หภูมิอากาศเหนือพ้ืนมหาสมุทรทางซีกโลกใต้ ท่าให้อากาศเหนอื พืน้ ทวปี เคลอ่ื นทีส่ ูงขน้ึ และอากาศ
เหนือพนื้ มหาสมุทรเคล่ือนท่เี ขา้ มาแทนทีเ่ ป็นลมทน่ี า่ ความชื้นจากมหาสมุทรอินเดยี ผา่ นทะเลอันดามันพดั ผา่ นประเทศ
ไทยไปยังพ้นื ทวปี ทางซีกโลกเหนอื ทา่ ใหช้ ่วงนเ้ี ปน็ ฤดฝู นของประเทศไทย ทา่ ให้ฝนตกชุก
2. ลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนอื ประเทศไทยไดร้ ับผลจากมรสมุ ตะวนั ออกเฉียงเหนือเป็นลมพดั จากใจกลาง
ทวีปที่มคี วามกดอากาศสูงไปสทู่ ะเลหรือบริเวณทีม่ ีความกด อากาศตา่ เป็นลมทีน่ ่าความหนาวเย็นและความแห้งแล้ง
เรยี กว่า ลมมรสุมตะวนั ออกเฉียงเหนอื พัดอยูน่ าน 6 เดือน คอื ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนมีนาคม
84
เราสามารถสังเกตทศิ ทางของลมว่าลมพัดมาจากทิศใด โดยอาศัยวธิ ที างธรรมชาติ เชน่ สังเกตจากควันไฟ
ใบไม้ไหว ธงสบัด เป็นต้น แต่อาจใช้เปน็ ส่งิ ก่าหนดทศิ ทางลมได้ไม่แน่นอน ได้มีผูป้ ระดิษฐ์คิดเครื่องตรวจสอบทิศทางลม
เรียกวา่ ศรลม ซึ่งใชส้ ่าหรบั วดั ทิศทางลมในธรรมชาติ
การติดตัง้ ศรลม ควรติดต้ังไวใ้ นท่สี งู ๆ เชน่ หลงั คาบา้ น เปน็ ต้น ในการวัดถา้ ปลายศรช้ีไปทางใด แสดงวา่ ลมพดั
มาจากทางทศิ น้ัน ถ้าปลายศรอยูร่ ะหวา่ งทิศเหนือและทิศตะวันตก แสดงวา่ ลมพดั มาจากทิศตะวนั ตกเฉียงเหนือ และถ้า
ศรช้ีระหว่างทิศใต้และทศิ ตะวนั ออกแสดงวา่ ลมพดั มาจากทิศตะวันออกเฉียง ใต้
ปรากฏการณเ์ รอื นกระจก
แก๊สเรือนกระจกที่ส่าคัญในธรรมชาติ ไดแ้ ก่ คาร์บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตรัสออกไซด์ คลอโรฟลอู อโรคารบ์ อน ไอน่้า
และโอโซน แก๊สเรือนกระจกเกิดได้ทั้งจากธรรมชาตแิ ละจากกจิ กรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ ตวั อย่างกจิ กรรมต่าง ๆ ของ
มนษุ ย์ทสี่ ่งผลตอ่ ปรมิ าณ แก๊สเรอื นกระจก เชน่ การเผาไหม้เชอ้ื เพลงิ ซากดึกดา่ บรรพ์ในการผลิตไฟฟ้า ในกระบวนการ
ผลติ ในโรงงานอตุ สาหกรรม ในกระบวนการทา่ เหมือง และในกระบวนการผลติ ถ่านหนิ และปโิ ตรเลียม และการเผาไหม้
เชอื้ เพลงิ ซากดกึ ด่าบรรพ์ใน ยานพาหนะตา่ ง ๆ การเผาไหม้วัสดุเหลอื ใช้ทางการเกษตร การเผาไหม้ถ่านไม้ การเผาขยะ
การทา่ ปศุสตั ว์ การถมและฝังกลบขยะ การใช้ปุ๋ยเคมีในการเพาะปลูก
85
ถ้าแกส๊ เรือนกระจกในบรรยากาศเพิม่ ขึน้ มากกว่าปกติ จะท่าให้การดูดกลืนและปล่อยรังสีอินฟราเรดมากขึ้น
ซ่ึงเปน็ สาเหตุท่าให้อณุ หภูมิของอากาศโดยเฉลย่ี บนโลกสงู ขนึ้ จนเกดิ ภาวะโลกร้อน ทา่ ให้เกดิ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ
โลก เปน็ ผลทา่ ให้น่า้ แข็ง ขว้ั โลกหลอมเหลว ระดบั น้า่ ทะเลจะสูงข้นึ และบางพื้นทีจ่ ะมอี ุณหภูมิสูงข้ึนจนท่าใหเ้ กิดความ
แห้งแล้งยาวนานกว่าปกติ และการท่ีอุณหภมู ิของอากาศเปลยี่ นแปลงไปอาจท่าให้โรคระบาด บางอย่างทห่ี ยุดการ
ระบาดไปแล้วกลับมาระบาดใหมไ่ ด้
กิจกรรมตา่ ง ๆ ในชีวิตประจ่าวันของมนุษยส์ ง่ ผลให้มีการปลอ่ ยแกส๊ เรือนกระจกสูบ่ รรยากาศเพิม่ ข้ึน รวมถงึ สง่ิ
ตา่ ง ๆ ท่เี กิดขึน้ ตามธรรมชาติกส็ ่งผลใหป้ รมิ าณแกส๊ เรอื นกระจกในธรรมชาติเพม่ิ ขน้ึ ได้ เราทกุ คนจงึ ตอ้ งรว่ มมือกันโดย
ปรับเปล่ียนพฤติกรรมและลดกิจกรรมต่าง ๆ ทก่ี ่อใหเ้ กิดการปล่อยแกส๊ เรือนกระจกสบู่ รรยากาศ เช่น ปิดเคร่ืองใช้ไฟฟ้า
เมอ่ื เลิกใชง้ าน บ่ารงุ รักษาอปุ กรณ์เครื่องใช้ไฟฟา้ อย่างสม่าเสมอ ซ่อมแซมส่ิงของเครื่องใช้ต่าง ๆ เพื่อน่ากลับมาใชใ้ หม่
วางแผนเสน้ ทางก่อนใชร้ ถยนตช์ นิดต่าง ๆ ลดการใชร้ ถยนตส์ ่วนตวั ในการเดนิ ทาง คดั แยกขยะก่อนท้ิง การน่าขยะบาง
ชนิดทีค่ ัดแยกแลว้ ไปจัดการอย่างเหมาะสม การเลือกใช้พลังงานทดแทน การเพ่ิมแหลง่ ดูดซบั แกส๊ เรอื นกระจกโดย
ชว่ ยกันปลกู ต้นไม้ และอนุรักษ์ป่าไม้
86
ภัยธรรมชาติ
การเตรียมชดุ อปุ กรณ์ฉุกเฉิน
ชดุ อปุ กรณ์ฉกุ เฉินต้องบรรจุในกระเปา๋ ท่ีมนี า้่ หนักเบาพกพาสะดวก และเกบ็ ไวใ้ นทีท่ ี่สามารถหยบิ ใช้งานได้
งา่ ย ตลอดจนต้องหมั่นตรวจสอบและเปล่ียนสงิ่ ของท่ีบรรจุเพื่อป้องกันการหมดอายุและเนา่ เสีย ควรประกอบด้วย
1. ขา้ วสาร อาหารแหง้ น่้าดื่มสะอาด
2. เส้ือผ้าสา่ รองเสื้อกันฝน เส้อื ชูชพี ถงุ นอน
3. ยารักษาโรค และชดุ ปฐมพยาบาลเบือ้ งต้น
4. ของใช้อน่ื ๆ ทจี่ า่ เป็นต้อการดา่ รงชวี ิต เช่น ไฟฉายพร้อมถ่านส่ารอง นกหวดี เชือก
5. เทยี นไข ถุงพลาสติกสดี ่า เทปกาว กระจกสะท้อนขนาดเล็ก ผ้าอนามัย ดา่ งทับทิม
6. กระดาษชา่ ระ สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟนั
นา้ ท่วม (Flood)และนา้ ป่าไหลหลาก (Flash Flood)
นา้่ ทว่ มเป็นภยั ทีเ่ กดิ จากฝนตกหนักและตอ่ เนื่องเปน็ เวลานาน และการบรหิ ารจัดการนา้่ ไมม่ ีประสทิ ธภิ าพ
ตลอดจนการตดั ไม้ทา่ ลายป่าการสรา้ งถนนกีดขวางทางระบายน่้านอกจากนี้นา้่ ทว่ มอาจเกดิ จากน่า้ ทะเลหนุนสูงในกรณี
พ้นื ที่อย่ใู กลช้ ายฝง่ั
การไฟฟา้ ฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กรมชลประทาน กรมอุตุนิยมวิทยา เปน็ หนว่ ยงานท่ใี หข้ ้อมูลการเตือน
ภัยน้่าท่วมในลุ่มนา่้ โดยใช้ เครื่องวดั ระดบั นา้่ แบบโทรมาตร ซง่ึ ใช้ระบบสื่อสารและระบบคอมพิวเตอรท์ ี่ทนั สมัยในการ
ประมวลผลเพอื่ แจ้งเตือนประชาชนในพนื้ ท่ลี มุ่ นา่้ เม่ือประชาชนไดร้ บั การแจ้งเตือน จงเตรยี มพร้อมทจ่ี ะเผชญิ
กบั ภยั น่้าท่วมหรอื เตรียมอพยพไปสทู่ ี่ปลอดภัย
87
สง่ิ บอกเหตกุ อ่ นเกิดน้าท่วม มีดงั นี
• ฝนตกหนักตอ่ เนื่องนานกว่า 6 ชัว่ โมง
• ปรมิ าณน่้าฝนเฉล่ยี เพ่ิมข้ึน
• ระดับน่า้ ในแมน่ ้่าเพิ่มขน้ึ
• ระดบั น้่าทะเลหนนุ สูง
สิง่ บอกเหตุก่อนเกิดน้าปา่ ไหลหลาก มีดังนี
• ฝนตกหนักตอ่ เนื่องนานกว่า 6 ชั่วโมง
• ระดบั นา่้ ในแมน่ ้่าเพ่ิมขึ้น
• นา่้ ในล่าน่้าเปลยี่ นเปน็ สขี ุน่ หรอื มีสีเดียวกบั ดนิ ภเู ขา
• มเี สยี งอื้ออึงจากพ้นื ทีป่ า่ ต้นน่้า
• สัตว์ป่ามพี ฤติกรรมผดิ ปกติ
การเตรียมรับมือก่อนเกดิ น้าทว่ มและน้าปา่ ไหลหลากควรปฏบิ ัติ ดงั นี
1. ตดิ ตามพยากรณ์ อากาศและประกาศเตือนภัย
2. เตรยี มชุดอปุ กรณ์ฉุกเฉินใหอ้ ยู่ในท่หี ยบิ งา่ ย และมสี ภาพพร้อมใชเ้ สมอ
3. เรยี นรเู้ สน้ ทางอพยพจากเจา้ หน้าที่หรือผู้ปกครอง
4. กา่ จดั ขยะไม่ให้อุดตันทอ่ ระบายน้่า กา่ จดั วชั พืชและสิ่งกีดขวางทางน่า้
5. ตรวจสอบกระสอบทรายให้อยใู่ นสภาพมัน่ คงแข็งแรง
6. เก็บหนงั สอื เรียนและทรัพย์สินส่วนตัวไว้ ในทป่ี ลอดภยั
7. น่าสัตว์เล้ยี งไปอย่ใู นทป่ี ลอดภัย
8. ควรวา่ ยน่า้ เปน็ และเตรี ยมอุปกรณ์ สา่ หรับชว่ ยเหลือตนเองและผู้ อ่นื เชน่ หว่ งยางหรือเส้อื ชชู พี
การปฏบิ ัตติ นขณะเกิดดนิ ถล่มตอ้ งปฏบิ ัตดิ งั นี
1. กรณอี ยู่ในบ้านหรืออาคารไหลขนึ้ ไปหลบที่ชั้นบนสดุ หรือหาท่ีก่าบงั ทแี่ ข็งแรง
2. การหนีภัยดนิ ถล่มใหน้ า่ เฉพาะสิง่ ของที่จา่ เป็นติดตัวไปไม่น่าของขนาดใหญห่ รอื หนักติดตัวไปเพราะ
จะท่าให้เคลอ่ื นท่ีไม่สะดวก จากนั้นหนี ไปตามเส้นทางที่พ่นจากแนวการไหลของดนิ ถล่มแลว้ ข้นึ ไปบนทส่ี ูงหรอื
ทปี่ ลอดภยั หากจา่ เปน็ ต้องใช้เสน้ ทางผ่านทางนนั้ ให้ใชเ้ ชอื กผูกล่าตัวแล้วยดึ ไวก้ ับตนไมหรอื สงิ่ ปลูกสร้างที่
มนั่ คงแขง็ แรง เพ่อื ป้องกนั ไม่ให้ถูกกระแสน่า้ ที่ไหลเชีย่ วพัดไป
88
แผ่นดินไหว (Earthquake)
แผ่นดนิ ไหวเปน็ เหตุการณ์ทางธรรมชาติ ทีเ่ กดิ จากการเคลื่อนตัวของแผ่น เปลือกโลกท่าให้เกดิ การ
ส่นั สะเทือนของแผ่นดิน การสั่นสะเทอื นจะมีความรุนแรงและท่าใหเ้ กิดความเสียหายตอ่ ชีวิตและทรัพยส์ นิ เพียงใด
ข้นึ อยู่กับระดบั ความรนุ แรงของการเกิดแผน่ ดนิ ไหวนน้ั ๆ
ส่ิงบอกเหตุ ก่อนเกดิ แผน่ ดินไหวมี ดังนี
แผ่นดินไหวเปน็ เหตกุ ารณท์ างธรรมชาตทิ ไ่ี มส่ ามารถพยากรณ์ ลว่ งหนา้ ไดว้ า่ จะเกดิ เมื่อใด แตอ่ าจสามารถ
สังเกตได้จากเหตุ การณ์รอบตัวดังน้ี
• น่า้ ในแม่น้า่ มสี ีข่นุ
• ระดบั นา่้ เปล่ียนแปลง
• สัตว์มพี ฤติกรรมผิดปกติ
การปฏบิ ัตติ นขณะเกดิ แผ่นดินไหวต้องปฏิบัตดิ ังนี
1. ออกมาในทโี่ ล่งแจ้ง ห่างไกลจากเสาไฟฟ้า ปา้ ยโฆษณา หรอื ตน้ ไม้สูง เพ่ือป้องกันการหักโคนหรือหลน่
มาทบั
2. กรณที ่ีอยู่ในอาคารบา้ นเรือน หาทห่ี ลบกา้ บังในบริเวณทีป่ ลอดภัย พรอ้ มใช้มอื ก้าบงั ศีรษะและลา้ คอ
โดยหมอบบรเิ วณใตเ้ ฟอร์นิเจอรท์ ่ีแขง็ แรง เช่น โต๊ะหรอื เกา้ อี บริเวณท่ีมีโครงสรา้ งแข็งแรง เช่น สามเหล่ียมใต้
คาน ช่อง
ว่างรอบ ๆ อาคารท่มี ัน่ คงแข็งแรง โดยไม่อย่ใู กลเ้ สา ประตู หนา้ ตา่ งกระจก และเฟอร์นเิ จอรท์ ่ีสามารถล่มลงมาทับ
ได้
3. หา้ มใช้ลิฟต์โดยสารหรือบันไดหนไี ฟ
4. หยุดรถ และจอดรถในบริเวณท่ีปลอดภัย หา้ มจอดรถบริเวณใต้สะพาน บรเิ วณใกลป้ ้ายโฆษณาและ
ต้นไม้
การปฏิบัตติ นหลงั เกดิ แผ่นดนิ ไหวปฏบิ ตั ไิ ดด้ ังนี
1. ตรวจสอบและปดิ แกส๊ รวมทงั เครื่องใชไ้ ฟฟ้าทังหมด และห้ามก่อให้เกดิ ประกายไฟ เพอ่ื ป้องกันการ
ระเบดิ เนอ่ื งจากการร่วั ไหลของแกส๊
2. รีบออกจากอาคาร และเคลือ่ นย้ายไปตามทโ่ี ลง่ แจ้ง หรือบรเิ วณจดุ รวมพล
3. ตดิ ตามสถานการณ์ และปฏิบตั ติ ามผู้ปกครองและเจาหนา้ ที่อย่างเครง่ ครดั
สึนามิ (TSUNAMI)
สนึ ามิเปน็ การเกิดคล่นื ขนาดใหญ่ในมหาสมุทรแล้วเคลือ่ นตัวเข้าสู่ชายฝั่ง ซ่ึงอาจมสี าเหตุมาจากการเคลื่อนตัว
ของเปลือกโลกใต้ทะเลอยา่ งฉับพลนั เนอ่ื งจากการเกดิ ดนิ ถล่มใต้ทะเล การระเบิดของภเู ขาไฟใตท้ ะเล หรอื การ
เกิดแผ่นดนิ ไหวที่มี จดุ ศูนย์กลางใกลท้ ะเลนอกจากน้ีการเกิดสนึ ามิยงั มี สาเหตุ มาจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์
และการพุ่งชนของอกุ กาบาต สนึ ามจิ ะมีความรุนแรงและสรา้ งความสญู เสียอย่างมหาศาลตอพน้ื ท่ีรมิ ชายฝงั่ ทะเล เพ่ือ
ความปลอดภัยควรปฏบิ ัตติ นให้ถูกต้อง
89
สง่ิ บอกเหตุกอ่ นเกดิ สนึ ามิมี ดงั นี
• เกดิ เหตุแผ่นดินไหว
• ระดบั นา่้ ทะเลลดลงผิดปกติ
• สตั วน์ ้า่ มีพฤติ กรรมผิดปกติ
• มองเหน็ สนั คลื่นเปน็ ก่าแพงขนาดใหญ่
• กรณีอยู่ในเรือไดย้ ินเสียงดงั ผดิ ปกตจิ ากใตท้ อ้ งเรอื
การเตรยี มรบั มือก่อนเกดิ สึนามคิ วรปฏบิ ตั ิดงั นี
1. เตรียมชุดอุปกรณฉ์ กุ เฉินให้อยู่ในที่หยบิ ง่าย และมีสภาพพร้อมใช้เสมอ
2. ตรวจสอบว่าท่พี ักตังอยูใ่ นเขตพนื ท่ีเส่ียงภยั หรือไม่
3. รูจ้ กั ปา้ ยสญั ญาณอพยพสนึ ามแิ บบตา่ ง ๆ
4. เรียนรเู้ สน้ ทางอพยพจากเจ้าหนา้ ที่หรือผู้ปกครองอย่างน้อย 2 เสน้ ทางเพราะเส้นทางใด
เสน้ ทางหนึ่งอาจใช้การไม่ได้
5. นดั หมายวธิ กี ารติดต่อและสถานที่นัดพบในกรณี พลดั หลงเม่ือเกิดสนึ ามิ
การปฏบิ ัตติ นขณะเกดิ สนึ ามติ ้องปฏบิ ตั ดิ งั นี
1. รออยใู่ นบรเิ วณทีป่ ลอดภัยหรือศนู ย์อพยพ
2. ห้ามลงไปบรเิ วณชายหาดเพราะสึนามปิ ระกอบด้วยคลืน่ หลายระลอก
3. รอประกาศยกเลกิ การแจ้งเตือนภยั สนึ ามิ
90
แบบทดสอบ
ค่าชี้แจง ให้นกั เรยี นเลือกค่าตอบท่ีถกู ที่สุดเพยี งข้อเดียว โดยทา่ เครื่องหมายกากบาท ( X) ลงในกระดาษ
กระดาษคา่ ตอบ
1. พิจารณาข้อมูลต่อไปนีแ้ ล้วตอบค่าถาม
หลงั เลิกเรียน โบวก์ บั ปอ นดั กนั ไปตีแบดมินตนั ท่ีสนามโรงเรียน ขณะเล่นอยสู่ งั เกตเห็นกงั หนั ลมท่ี
หนา้ โรงเรียนหนั มาทางโบว์
จากขอ้ มูล การเล่นในคร้งั น้ีใครไดเ้ ปรยี บเพราะเหตุใด
ก. ปอไดเ้ ปรยี บ เนื่องจากอยู่ใตล้ ม ข. โบวไ์ ดเ้ ปรียบ เนื่องจากอยู่ใต้ลม
ค. ปอไดเ้ ปรียบ เนื่องจากอยู่เหนอื ลม ง. โบวไ์ ดเ้ ปรียบ เนอื่ งจากอยู่เหนอื ลม
2.
จากภาพ แหลง่ ท่องเทีย่ วแห่งน้ีตอ้ งการตดิ ตงั้ กังหนั ลม เพื่อผลติ กระแสไฟฟ้าใหใ้ ชไ้ ด้ตลอดเวลา โดยใหก้ ังหนั A
ท่างานไดด้ ีในเวลากลางวนั และกังหนั B ท่างานได้ดใี นเวลากลางคืน ควรต้งั กังหนั ในรูปแบบใด
ก. ข.
ค. ง.
91
3. พจิ ารณาข้อมลู ต่อไปนี้แล้วตอบคา่ ถาม
จากภาพขา้ งตน้ ประเทศไทยจะร้อนท่ีสดุ เม่ือโลกโคจรเขา้ สตู่ า่ แหน่งใด
ก. ต่าแหน่ง 1 ข. ตา่ แหน่ง 2 ค. ต่าแหนง่ 3 ง. ต่าแหนง่ 4
4.
จากข้อมลู บา้ นของแจงและจอมเกิดความเสียหายจากนา่้ ป่าน้อยกว่าบ้านของจุก เพราะอะไร
ก. ปริมาณฝนทตี่ กในพืน้ ที่ทั้งสองไมเ่ ท่ากนั
ข. ดนิ บริเวณบ้านของแจงและจอมสามารถอมุ้ นา่้ ได้มากกว่าบ้านของจุก
ค. บริเวณบ้านของแจงและจอมมีนา่้ ใตด้ ินน้อยกว่าบริเวณบา้ นของจุก
ง. บริเวณบา้ นของแจงและจอมมีความลาดชันน้อยกว่าบริเวณบา้ นของจุก
92
5. บริเวณชายหาดแห่งหน่งึ มีสญั ญาณเตือนภัยสึนามิดงั ขน้ึ การกระท่าใดต่อไปน้ีท่าใหม้ ีโอกาสได้รบั
อนั ตรายจากสึนามิมากท่ีสดุ
ก. นา่ เรือออกจากท่าไปกลางทะเลลกึ
ข. วิง่ หนีขึน้ ไปอยูบ่ นเนนิ สูงทอ่ี ย่ใู กลต้ ัว
ค. หลบหลงั ก้อนหนิ ขนาดใหญ่ทอี่ ยู่บรเิ วณชายหาด
ง. หลบขน้ึ ไปอยบู่ นตึกสงู ทแ่ี ขง็ แรงและอยู่ใกล้ตัว
6. ชาวประมงออกเรอื หาปลาในเวลากลางคืน เกยี่ วขอ้ งกับการเปลยี่ นแปลงของอากาศอย่างไร
ก. ความกดอากาศเหนอื พืน้ ดนิ ต่ากวา่ เหนอื พื้นน้่า
ข. ความกดอากาศเหนือพื้นดินสูงกว่าเหนือพนื้ น้่า
ค. อณุ หภมู ิเหนอื พ้ืนดนิ สูงกวา่ เหนือพน้ื น้า่
ง. อณุ หภมู ิและความกดอากาศเหนอื พน้ื ดนิ สูงกว่าเหนือพื้นน้า่
7. ขอ้ ใดคือวิธแี ก้ไขปัญหาโลกรอ้ นที่มีประสิทธิภาพมากที่สดุ
ก. ร่วมกนั ปลกู ต้นไม้สรา้ งความร่มรืน่
ข. ใช้ทรัพยากรตา่ งๆ อย่างประหยัดและคุ้มค่า
ค. การติดตงั้ กระจกเพ่ือสะท้อนแสงพระอาทิตยก์ ลบั ไป
ง. เปดิ เครอื่ งท่าความเยน็ เพอ่ื คลายความรอ้ นใหโ้ ลก
93
8.
จากข้อมูล ขอ้ ใดเป็นการอธิบายธรณีพิบตั ภิ ัยตามภาพไม่ถูกต้อง
ก. ภยั พบิ ตั จิ ากภาพ A ความรุนแรงจากภเู ขาไฟระเบิด
ข. ภยั พบิ ตั ิจากภาพ B เกิดจากการตัดไม้ท่าลายป่าบนภูเขา
ค. ภัยพิบัตจิ ากภาพ C เกดิ จากแผน่ ดนิ ไหวใต้ทะเลอยา่ งรนุ แรง
ง. ภยั พิบัตจิ ากภาพ D เกดิ จากพายุไต้ฝ่นุ รนุ แรงพัดจากทะเลเขา้ หาฝ่งั
9. บา้ นของใครมีโอกาสประสบเหตกุ ารณ์ดินถลม่ ได้ มากทสี่ ุด
ก. บา้ นของนายแก้ว อยใู่ กล้ ชายหาดบนเกาะกลางทะเล
ข. บ้านของนายเข็ม อยู่ทา่ มกลางทงุ่ นากวา้ ง
ค. บ้านของนายคิด อยู่ริมป่าชาเลนดา้ นติดทะเล
ง. บา้ นของนายงอบ อยู่ริมลา่ หว้ ยท่ลี าดเชงิ เขา
94
เฉลยคา้ ตอบ
1. ตอบขอ้ ง.
เหตุผล เพราะ ลมพดั จากโบว์ไปหาปอ
2. ตอบขอ้ 3
เหตผุ ล เพราะ ถกู เพราะกงั หนั A หนั หน้ารับลมไดด้ ีในเวลากลางวนั ส่วนกังหัน B หนั หนา้ รบั ลม
ได้ดีใน
เวลากลางคนื
3. ตอบข้อ ก.
เหตผุ ล เพราะ แกนโลกชีเ้ ขา้ หาดวงอาทิตย์ท่าให้ประเทศท่ีอย่เู หนอื เส้นศนู ย์สูตร รวมทั้งประเทศไทยไดร้ บั
แสงตกกระทบมากและมีเวลากลางวนั ยาวนานที่สดุ
4. ตอบข้อ ข.
เหตผุ ล เพราะ ดนิ บริเวณบา้ นของแจงและจอม สามารถอุ้มนา้่ ได้มากกวา่ เพราะมี ต้นไมม้ ากกวา่ บริเวณ
บ้านของจุก
5. ตอบข้อ ค.
เหตผุ ล เพราะ สนึ ามิเป็นคลืน่ ทะเลขนาดใหญ่ที่เคล่อื นตวั เข้าหาฝั่งอยา่ งรวดเร็วและมพี ลังมาก
6. ตอบข้อ ข.
เหตุผล เพราะ ลมบกเกิดในเวลากลางคนื พื้นดนิ คลายได้เรว็ กวา่ พน้ื น่า้ ท่าให้อากาศเหนือพน้ื ดินมี
อุณหภูมติ ่ากวา่ อากาศเหนือ พื้นนา่้ หรืออากาศเหนอื พ้ืนดินมคี วามกดอากาศสงู กว่าอากาศเหนือพน้ื น้า่ เปน็
ผลใหอ้ ากาศเหนอื พน้ื ดิน ทมี่ ี ความกดอากาศสงู กว่าเคลอื่ นท่ีเข้าหาพ้นื นา่้ ทีม่ ีความกดอากาศต่ากว่า หรือเกิด
ลมพัดจากพ้นื ดนิ ออกส่ทู ะล
7. ตอบข้อ ก.
เหตผุ ล เพราะ วธิ ชี ว่ ยลดโลกรอ้ นปลกู ต้นไม้ ช่วยกนั ปลกู ตน้ ไม้ เพ่ิมพนื้ ทส่ี เี ขียวเพื่อช่วย
ดูดซับคารบ์ อนออกจากอากาศ และช่วยรกั ษาสภาพอากาศใหค้ งที่ ต้นไม้ชว่ ยลดโลกร้อนได้
8. ตอบข้อ ก.
เหตผุ ล เพราะ A เปน็ ค่าตอบไม่ถกู ต้อง A เกดิ จากแผ่นดินไหวแผ่นเปลอื กโลกโกง่ ตัวขน้ึ มา
ท่าใหบ้ ้านเรือนเกิดความเสียหาย
9. ตอบขอ้ ง.
เหตผุ ล เพราะ เนื่องจากดนิ ถลม่ หรือโคลนถลม่ มักจะเกดิ ตามมาหลงั จากน่า้ ปา่ ไหลหลาก
ในขณะท่เี กดิ ฝนตกหนักรนุ แรงต่อเน่ือง หรอื หลังการเกดิ แผน่ ดนิ ไหว ซงึ่ มกั จะเป็น
พนื้ ท่อี ยูต่ ามท่ีลาดเชงิ เขา หรอื บริเวณทลี่ ุม่ ทต่ี ิดกบั ภูเขาสูงท่ีมี การพังทลายของดินสงู
95
หน่วยที่ 5 เงา อุปราคา และเทคโนโลยีอวกาศ
การเกดิ เงา
เงาเกิดขึน้ เมื่อมวี ตั ถุกั้นแสง แบง่ ออกเปน็ 2 ประเภทคือ เงามดื และเงามวั เราสามารถน่าเงามาใชป้ ระโยชน์ได้
มากมายในชีวติ ประจ่าวัน เมื่อมวี ตั ถุก้ันแสงจะเกดิ เงาบนฉากเปน็ บรเิ วณมืดหลงั วตั ถุ กล่าวคือ เงาเกิดจากการท่ี
ตัวกลางทบึ แสงมาขวางก้ันทางเดนิ ของแสง โดยรูปร่างของเงาจะเปน็ ไปตามวตั ถุท่ีมากนั้ แสง
ชว่ งกว้างของการเกิดเงามืดเงามัว ขน้ึ อยกู่ ับขนาดของแหล่งกา่ เนิดแสง วัตถุก้นั แสง และระยะหา่ งระหวา่ ง
แหล่งก่าเนิดแสง กับวตั ถุกน้ั แสงและฉากรบั แสง
เงามี 2 ประเภทคอื
1. เงามดื เปน็ เงาในบรเิ วณที่ไม่มีแสงผา่ นไปถึง ทา่ ใหบ้ ริเวณน้ันมดื สนทิ
2. เงามัว เป็นเงาบรเิ วณท่มี ีแสงบางส่วนผ่านไปถงึ และท่าใหบ้ ริเวณนนั้ มดื ไมส่ นิท
เราสามารถนา้ ประโยชน์จากเงามาใชใ้ นกิจกรรมตา่ ง ๆ ได้ดงั นี
- ใชใ้ นแงใ่ ห้ความบันเทิง เชน่ หนังตะลงุ การเล่นเงา เปน็ ต้น
- ใชใ้ นแงข่ องการให้ความร่มรื่น เช่น การปลกู ตน้ ไมเ้ พ่ือช่วยให้เกิดร่มเงา
- ใช้ประโยชนอ์ ยา่ งอนื่ เชน่ การบอกเวลาดว้ ยนาฬิกาแดด