The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมไฟล์ยุวทูตความดี

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by [email protected], 2021-05-29 12:18:54

รวมไฟล์ยุวทูตความดี

รวมไฟล์ยุวทูตความดี

146

การสร้างจิตสานึกของคนในชาตใิ หร้ ู้คณุ ค่าของทรัพยากรทีม่ ีอยอู่ ย่างจากัด
1. สรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจในการใช้ทรัพยากรทถี่ กู ตอ้ งให้แก่ทุกคน ตงั้ แต่ระดบั ครอบครัว ชมุ ชน
จนถึงประเทศชาติ
2. สง่ เสรมิ ใหท้ ุกคนเกดิ ความร้สู ึกเปน็ เจ้าของทรพั ยากรและตอ้ งรว่ มมือกนั ดูแลรักษา เชน่ รว่ มกนั
ดูแลรักษาแหล่งน้า ป่าไมใ้ นทอ้ งถิ่นชุมชนของตนเอง รวมท้ังรู้จกั นาทรพั ยากรต่างๆ มาใช้ใหเ้ กดิ
ประโยชน์อย่างคุ้มคา่ ทส่ี ุด
3. รวมกลุม่ กันเพ่ือสนบั สนุนการอนุรักษ์ทรัพยากร เช่น แหลง่ น้า ป่าไม้ ดิน แรธ่ าตุ เปน็ ต้น
4. รวมกลมุ่ กนั เพ่อื ศกึ ษาค้นคว้าและตดิ ตามข่าวสารในดา้ นการอนุรักษ์ทรัพยากรเพื่อนาความรู้
ไปถ่ายทอดใหผ้ ู้อ่ืนรบั ทราบอยา่ งถกู ต้อง
5. รวมกลุม่ กนั กาหนดมาตรการ วธิ ีดาเนนิ งานและการลงโทษผกู้ ระทาผดิ อยา่ งจรงิ จัง

(ทมี่ า:https://drive.google.com/file/d/1Cl8lTUzYIV5-ckXFws0IX0hr_RZOnPhe/view)

3.การสร้างจิตสานกั ของคนมีอะไรบา้ ง?ยกตัวอย่างมา 2 ขอ้
..................................................................................................................
...................................................................................................................
...................................ค..ว..า..ม..ส..มั...พ..ัน...ธ..ร์ ..ะ.ห...ว..า่ ..ง...ผ..ผู้..ล..ติ....ผ..้บู...ร.ิโ..ภ..ค....ธ..น..า..ค...า...............
.....

147

ตวั ชีว้ ัด ส.3.2 ป.6/1 อธบิ ายความสัมพันธ์ระหวา่ งผ้ผู ลติ ผู้บริโภค ธนาคารและรฐั บาล

ในชุมชนจะมีบุคคลที่อยู่ในฐานะผู้ผลิตสินค้าชนิดต่างๆ เช่น โรงงานผลิตน้า ร้านขายของ ผู้ผลิตต้อง นาเงิน
มาลงทุน จัดหาปัจจัยการผลิต มาผลิตสินค้า ถ้ามีเงินทุนไม่พอต้องไปขอกู้จากสถาบันการเงิน เมื่อผู้ผลิตจาหน่าย
สนิ ค้า จะมีรายได้ ตอ้ งหักค่าใชจ้ ่าย ต้นทุน เงินต้น ดอกเบี้ยกลับคืนให้ธนาคารผผู้ ลิตจะเหลอื กาไรเกบ็ ไว้ ถ้าชมุ ชนมี
การลงทุนมาก จะมีการจ้างงานมาก มีการซื้อวัตถุดิบมาก มีสินค้าจาหน่ายมาก เศรษฐกิจของชุมชนก็จะดีสาหรับ
ผู้บริโภคในชุมชน ฐานะผู้ซ้ือ ต้องทางาน ให้มีรายได้เป็นค่าใช้จ่าย รายได้บางส่วน นาไปซ้ือสินค้าต่าง ๆ ค่าบริการ
เ งิ น เ ห ลื อ น า ไ ป ฝ า ก ธ น า ค า ร เ ป็ น เ งิ น อ อ ม มี ร า ย ไ ด้ เ ป็ น เ งิ น ฝ า ก

ธนาคารเป็นสถาบันการเงิน ทาหน้าที่รบั ฝากเงนิ ออม นาเงินออมมาปล่อยให้ผู้ผลิตและผู้บริโภค ทาการกู้ยืม
ถ้าธนาคารรับฝากเงินมาก สามารถปล่อยสินเช่ือได้มาก ธนาคารจะมีรายได้จากดอกเบี้ยจากผู้กู้และ นารายได้ส่วน
หน่ึงไปจ่ายเป็นดอกเบ้ียให้แก่ผู้ฝากดังน้ันเศรษฐกิจชุมชนจะเจริญเติบโตได้ดี ท้ังผู้ผลิต ผู้บริโภค ธนาคาร ต้อง
เข้มแข็งเพราะมีความเช่ือมโยงกนั

(ที่มา:https://drive.google.com/file/d/1Cl8lTUzYIV5-ckXFws0IX0hr_RZOnPhe/view)

1.จงอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างผูผ้ ลติ ผบู้ รโิ ภค ธนาคารและรฐั บาล มาพอสงั เขป

.................................................................................................................................
........................................................................................................................................
....................................................................................................................................
..........

148

เร่ือง การรวมกลุม่ เศรษฐกิจภายในทอ้ งถน่ิ

ตัวชว้ี ัด ส.3.2 ป.6/2 ยกตวั อยา่ งการร่วมกลุ่มทางเศรษฐกิจภายในท้องถน่ิ

การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจภายในท้องถ่ินเป็นการพ่ึงพาอาศัยกัน เพ่ือให้เศรษฐกิจของชุมชนดาเนินไปได้
ด้วยดี ทาให้เศรษฐกิจของท้องถ่ินเจริญก้าวหน้า ซึ่งเป็นรากฐานสาคัญของการพัฒนาประเทศต่อไป ตัวอย่างการ
รวมกล่มุ เชงิ เศรษฐกิจเพื่อประสานประโยชน์ในทอ้ งถน่ิ เชน่ กลมุ่ ออมทรัพย์ กลมุ่ แมบ่ ้านกองทุนหมู่บา้ น

๑. กลุ่มออมทรพั ย์
กลุม่ ออมทรัพย์ เป็นการรวมกลมุ่ กันเพอื่ สง่ เสริมให้สมาชิกรู้จกั การดาเนินชวี ติ ของกลมุ่ ฝึกใหส้ มาชกิ ประหยดั
อดออม อดทน พฒั นาตนเอง ร้จู กั ช่วยเหลือตนเองและชว่ ยเหลอื สมาชิกในกลุ่มที่เดอื ดร้อน

๒. กล่มุ แม่บ้าน
กลุ่มแม่บา้ น เป็นการรวมกลุม่ ของแมบ่ า้ นเพอ่ื ประกอบอาชีพ โดยนาความรคู้ วามสามารถ เพ่อื สร้าง รายได้ให้แก่
ตนเองและครอบครวั เช่น กลุ่มทอผ้า กล่มุ ทอพรมเชด็ เท้า กลุ่มไมก้ วาด กล่มุ ทาเครอื่ งจักรสาน

๓. กลุม่ กองทนุ หมู่บา้ น
กลุ่มกองทนุ หมู่บ้าน เป็นแหล่งเงนิ ทุนหมนุ เวยี นในหม่บู ้าน ทรี่ ัฐบาลไดจ้ ัดสรรให้เปน็ เงนิ ทีใ่ ชใ้ นการบรหิ ารจดั การ
ในท้องถน่ิ เพ่ือสร้างศักยภาพเกย่ี วกับความเขม้ แข็งในด้านสงั คมและเศรษฐกิจของประชาชนในหม่บู า้ น

** ในทอ้ งถิน่ แตล่ ะแห่งจะมีการรวมกลมุ่ ทางเศรษฐกิจเพ่ือชว่ ยเหลือกนั ในดา้ นเศรษฐกิจ เพอื่ ให้เศรษฐกิจดาเนิน

ไปด้วยดี และเกิดการขยายตัว สรา้ งรายไดใ้ ห้แก่ท้องถน่ิ **

(ท่ีมา:https://drive.google.com/file/d/1Cl8lTUzYIV5-ckXFws0IX0hr_RZOnPhe/view)

149

150

151

วิชาภมู ิศาสตร์

ตวั ชว้ี ดั : ส.5.1 ป. 6/1 ใช้เครอื่ งมือทางภูมิศาสตร์ (แผนท่ี ภาพถ่ายชนดิ ตา่ ง ๆ) ระบุลักษณะสาคญั ทางกายภาพ
และสงั คมของประเทศ

.......................................................
.......................................................
........

แผนทเ่ี ป็นเคร่ืองมือทางภูมิศาสตร์ทมี่ ี

ข้อมูลเกีย่ วกับ...........................................

.................................................................
.................................................................
............................ ............................... ....

............................... ...............................

...............................

152

153

154

แผนผงั คอื ...........................................
.................................................................
.................................................................
............................ ............................... ....

............................... ..................................
..................................................................

155

จงบอกเครือ่ งมอื ทางภมู ิศาสตรท์ ่นี กั เรยี นรู้จกั มีอะไรบา้ ง ?

............................................................................................................................. .......................................................
............................................................................................................................................. .......................................
........................................................................................... .........................................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
............................................................................................................................. .......................................................
....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
............................................................................................................................. .......................................................

156

ตัวชี้วดั : ส.5.1 ป. 6/2 อธิบายความสมั พนั ธ์ของลักษณะทางกายภาพกับปรากฏการณท์ างธรรมชาตขิ องประเทศ

สรุปความรู้

ความสัมพันธข์ องลกั ษณะทางกายภาพ
กบั ปรากฏการณท์ างธรรมชาติ

ลักษณะกายภาพทางธรรมชาติตา่ งๆ เชน่ ภูมปิ ระเทศ ภูมิอากาศ ภมู ิธรณี หนิ แร่ และธาตุ ดินประเภท
ตา่ งๆ แหลง่ น้า ป่าไมแ้ ละสัตว์ป่า ลว้ นแตม่ ีความสมั พนั ธ์กัน ถา้ มีส่งิ ใดสิ่งหน่ึงเปลีย่ นแปลง จะสง่ ผลกระทบต่อส่ิง
ตา่ งๆ

157

ลักษณะกายภาพทางธรรมชาติกบั การเกดิ ปรากฎการณ์ธรรมชาตติ ่างๆ จะมคี วามสัมพันธก์ นั ดงั นี้
1.ปรากฏการณ์อุทกภยั ลกั ษณะกายภาพท่ีทาให้เกิดนา้ ทว่ ม ได้แก่ เขตท่ลี มุ่ ใกลแ้ มน่ า้ สายใหญ่ ใกล้
ชายฝ่ังทะเล มีฝนตกหนักติดตอ่ กันนาน และบริเวณท่ีมีส่งิ ก่อสร้างขวางเส้นทางระบายน้า
2. ปรากฏการณ์ดนิ โคลนถล่มลักษณะกายภาพที่ทาใหเ้ กดิ ดินโคลนถลม่ ได้แก่ ภมู ปิ ระเทศมคี วามลาดชัน
ฝนตกหนกั ทาใหน้ ้าไหลบา่ ซะล้างหนา้ ดนิ ลงมาต้นไม้ตามไหล่เขาไม่มหี รือมีน้อย และโครงสร้างดนิ ไมแ่ ขง็
3. ปรากฏการณแ์ ผ่นดนิ ไหวแผน่ ดนิ ไหว เกิดจากการเคล่ือนตวั ของแมกมาใต้เปลือกโลก ทาให้เกิดการ
เคลอ่ื นตัวและสน่ั สะเทือนข้ึนจนทาใหเ้ ปลือกโลกเกิดการโก่งตัว แยก เล่อื น และแตก ซง่ึ เรียกรอยแตกนี้ว่า รอย
เลอ่ื น ซ่ึงรอยเล่ือนน้ที าให้เกดิ แผ่นดนิ ไหว
4.ปรากฏการณ์วาตภยั หมายถึง ภัยอันตรายที่เกดิ จากลมพัดรนุ แรง ลมเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาตทิ ่เี กดิ
จากความกดอากาศแตกต่างกัน บริเวณทม่ี คี วามกดอากาศตา่ งกันไม่มากจะเกดิ ลมเบาๆ เรียกว่า ลมออ่ น แต่ถ้า
เกิดความแตกตา่ งกนั มาก จะเกิดลมพดั รุนแรงและรวดเรว็ เรยี กว่า ลมพายุ ประเทศไทยตั้งอยู่ในเขตรอ้ นชื้น ทาให้
ได้รบั ผลจากอิทธพิ ลพายุหมนุ เขตรอ้ นทุกปี ส่วนใหญเ่ ป็นพายุดีเปรสชนั พายุหมนุ เขตร้อนจาแนกตามระดับ
ความเรว็ ลมสูงสดุ ใกล้ศูนย์กลางได้ดงั น้ี
ภัยธรรมชาติที่ไดก้ ลา่ วมาน้นั เปน็ ภัยธรรมชาติทีเ่ คยเกดิ ข้นึ ในประเทศไทยและไดส้ ่งผลกระทบต่อชวี ติ และ
ทรพั ยส์ นิ ของประชาชนชาวไทยมาอย่างมากมาย และนอกจากน้เี ปน็ ปัญหาที่แก้ไขได้ยากไม่ใช้แค่ประเทศไทยแต่
ทุกประเทศท่วั โลกแม้ว่าประเทศนัน้ จะมีเทคโนโลยสี ูงแค่ไหนก็ยงั รับมือกบั ภัยธรรมชาตไิ ด้ไม่ดนี ัก แสดงใหเ้ ราเห็น
ว่าภัยธรรมชาตเิ ปน็ สิง่ ที่ไม่สมควรประมาทเลย เพราะมนั อาจครา่ ชวี ติ เราและคนที่เรารกั ไปได้ รวมท้งั ทรัพยส์ นิ ของ
เรา

ท่มี า http://chunkamonfunnylearn.blogspot.com/2015/11/2.html

158

ตวั ชี้วดั : ส.5.2 ป.6/1 วิเคราะห์ความสมั พนั ธ์ระหว่างสง่ิ แวดล้อมทางธรรมชาติกับสง่ิ แวดลอ้ มทางสังคมใน
ประเทศ

มนุษย์อาศัยส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติในการดารงชีวิตในสังคม สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติจึงมีความ
เกย่ี วเนือ่ งสัมพนั ธก์ ันกับสง่ิ แวดลอ้ มทางสังคมทมี่ นุษย์สรา้ งข้นึ และก่อใหเ้ กดิ ผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบ

ส่ิงแวดล้อมทางสงั คม เชน่
การประกอบอาชพี
การตง้ั ถน่ิ ฐานของประชากร
วฒั นธรรมและประเพณี
ผลกระทบทเี่ กดิ จากความสัมพนั ธร์ ะหวา่ ง สิง่ แวดล้อมทางธรรมชาติกบั ส่ิงแวดล้อมทางสังคม
เชน่
การอพยพย้ายถน่ิ
การพฒั นาทรัพยากรธรรมชาตลิ ดน้อยลง
การพฒั นาไมย่ ่งั ยืน
เกิดความเส่ือมโทรมของสิง่ แวดล้อม

\

159

ให้นักเรยี นระบุอาชีพที่นยิ มมากทีส่ ุดในชมุ ชนของ
นักเรยี นและอาชีพนน้ั มคี วามเกยี่ วขอ้ กับสิ่งแวดล้อม
ทางธรรมชาติหรือทางสงั คม

160

ตวั ช้วี ดั : ส.5.2 ป.6/2 อธิบายการเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมชาติในประเทศไทยจากอดีตถึงปัจจุบนั และผลทีเ่ กดิ ขน้ึ
จากการเปลี่ยนแปลงนน้ั

ในอดีตประเทศไทยมีความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ดังคากล่าวว่า "ในน้ามีปลา ในนามีข้าว" นั้นแสดง
ใหเ้ ห็นถึงการดารงชวี ติ ท่เี รียบงา่ ย และมคี วามผูกพันกบั ธรรมชาติ

เมื่อประชากรมีจานวนเพ่มิ มากขึ้นอย่างรวดเรว็ ประกอบกับแนวโน้มการพัฒนาของประเทศท่ีเน้นการขยายตัว
ของภาคอุตสาหกรรม ทาให้มีการนาเทคโนโลยีและวิธีการสมัยใหม่ ๆ เข้ามาใช้ เพ่ือนาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้
ให้เกิดประโยชน์เพียงพอต่อความต้องาการของมนุษย์ ส่งผลให้มีการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือย
ความอุดมสมบรู ณแ์ ละคณุ ภาพของธรรมชาติจึงลดน้อยลง

๑. สาเหตทุ ีท่ าให้เกดิ การเปลีย่ นแปลงสภาพธรรมชาติในประเทศไทยจากอดตี ถึงปจั จบุ ัน
การเปลย่ี นแปลงสภาพธรรมชาตเิ กดิ จากสาเหตสุ าคัญ ๒ ประการ ดังน้ี

๑) เกิดจากธรรมชาติ หมายถึงการเปล่ียนแปลงท่ีธรรมชาติเป็นตัวกาหนดและเป็นตัวกระทาให้เกิดขึ้น โดย
อาศยั ปัจจยั ต่างๆ เชน่

- เปลือกโลก การเคลื่อนไหวของเปลือกโลก ก่อให้เกิดภูเขาไฟปะทุ (ไม่พบในประเทศไทย) และเกิด
แผ่นดนิ ไหว ซงึ่ พบในรอยเลื่อนโดยเฉพาะเขตภาคเหนือและภาคตะวันตก

- น้า การเคล่อื ไหวของน้าสามารถกัดกรอ่ น กัดเซาะ และเค่ล่ือนยา้ ยดิน หิน รวมถึงแร่ต่าง ๆ ในธรรมชาติก็
ได้ กอ่ ให้เกิดภูมิประเทศที่หลากหลาย เชน่ กุด ดินดอนสามเหล่ยี ม

-ลม มีคุณสมบัติในการกัดกร่อน กัดเซาะ และเคล่ือนย้ายวัตถุได้เช่นเด่ียวกับน้า รวมถึงเป็นตัวช่วยให้
คล่ืนและกระแสน้าเปล่ียนแปลงลักษณะทางธรรมชาติในทะเล ถ้าพื้นท่ีใดมีหินไม่แข็งวางตัวอยู่ แรงจากเคลื่อนจะ
กัดเซาะจนกลายเป็นหน้าผาส่วนคลื่นที่ม้วนตัวเข้าหาฝ่ัง จะนาพาตะกอนท่ีเซาะจากโขดกินไปสะสมเป็นสันทราย
และสันดอนจะงอยตามฝงั่ ใกลเ้ คยี ง เช่น บรเิ วณหนองตะลุมพกุ จังหวัดนครศรีธรรมราช

161

๒) เกิดจากมนุษย์ หมายถงึ การเปล่ียนแปลงที่เกิดข้ึนโดยมนุษย์เป็นผู้กระทาซึ่งกอ่ ให้เกิดท้ังผลดีและ
ผลเสียควบคู่กันเช่น การใช้ดินถมแม่น้าลาคลองเพื่อสร้างถนนสาหรับการเดินทางท่ีสะดวกรวดเร็ว การตัดไม้
ทาลายป่าเพื่อสร้างเข่ือนสาหรับกักเก็บน้าไว้ใช้ในฤดูแล้ง การบุกรุกพื้นที่ป่าไม้เพื่อสร้างรีสอร์ทหรือบ้านพักตาก
อากาศสาหรบั เป็นแหล่งท่องเทย่ี ว

162

ใหน้ กั เรยี นยกตวั อย่างสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ โดยหา
ความร้จู ากบุคคลหรืออนิ เตอรเ์ นท็

.................................................................................................. ..................................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
............................................................................................................................. .......................................................
....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
............................................................................................................................. .......................................................
................................................................................................................................................................. ...................
............................................................................................................... .....................................................................

163

ตัวช้ีวัด: ส.5.2 ป.6/3 จัดทาแผนการใชท้ รัพยากรในชมุ ชน

การจดั ทาแผนการใช้ทรพั ยากรในชมุ ชน หมายถงึ การกาหนดแนวทางการดาเนนิ งานหรือวิธกี ารใช้
ทรพั ยากรในชุมชนให้เกดิ ประโยชน์ค้มุ ค่า และใช้ได้อยา่ งย่งั ยืน

ใหค้ นในชุมชนมสี ว่ นรว่ มในการรับรู้ถึงสถานการณจ์ ริง สาเหตขุ องปัญหา และแนวทางแก้ไขปัญหาโดยทกุ คน
แสดงความคิดเห็นและรับฟงั ความคดิ เห็นอยา่ งเท่าเทียมกัน

ขนั้ ตอนการจดั ท าแผนการใช้ทรัพยากรในชมุ ชน
๑. ขั้นวิเคราะห์ ศกึ ษาและประเมนิ สถานการณ์ของทรัพยากรในชมุ ชนวา่ เกิดปัญหาอะไร มสี าเหตจุ ากอะไร
และมีแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างไรขัน้ ตอนการจดั ทาแผนการใช้ทรพั ยากรในชุมชนการก าหนดแนวทางการจดั การ
กับปัญหาหรอื การสรา้ งสรรค์ เพ่อื พฒั นาทรัพยากรในชุมชนให้เกดิ ประสิทธภิ าพสูงสุด
๒. ขัน้ การวางแผนขน้ั ตอนการจัดทาแผนการใชท้ รัพยากรในชุมชนปฏิบตั ิอย่างไร ใครเป็นผปู้ ฏิบัติ ใช้ระยะเวลา
เท่าใด ใช้เทคโนโลยหี รอื ทรัพยากรอะไรบ้าง
๓. ขน้ั การดาเนินการขนั้ ตอนการจัดทาแผนการใช้ทรัพยากรในชุมชน
๔. ขนั้ การตดิ ตามผล เปน็ การตดิ ตามดูผลจากการดาเนนิ การในด้านต่างๆ วา่ เกิดผลอย่างไร
ขั้นตอนการจัดทาแผนการใช้ทรพั ยากรในชมุ ชน
๕. ข้ันการประเมินผลจากการดาเนนิ งานกับแผนท่วี างไว้ ว่าเกดิ ผลอยา่ งไรเพื่อนาข้อสรปุ ท่ไี ดม้ าปรับแก้หรือใช้ด
เนินการต่อเพื่อความยั่งยนื ของทรพั ยากรในชมุ ชน

164

ใหน้ ักเรยี นการจดั ทาแผนการใชท้ รัพยากรในชุมชน

(โดยอยใู่ นดลุ ยพินิจของครูผสู้ อนในการดาเนินงาน)
............................................................................................................................. .......................................................
....................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .......................................................
............................................................................................................................. .......................................................
......................................................................................................................................................................... ...........
....................................................................................................................... .............................................................
............................................................................................................................. .......................................................
.......................................................................................................................................... ..........................................

165

เรื่อง วธิ ีการทางประวัตสิ าสตร์

ตัวชี้วัด ส 4.1 ป6/1,ป.6/2

วิธีการทางประวัติศาสตร์ หมายถึง กระบวนการในแสวงหาข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ โดยอาศัยหลักฐาน
ทางประวัติศาสตร์ท่ีมีอยู่ รวบรวมเรียบเรียงเพ่ืออธิบายและวิเคราะห์เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ท่ีเกิดข้ึนให้
ถกู ตอ้ ง มเี หตุผล
ขน้ั ตอนวิธกี ารทางประวัติศาสตร์

1. การกาหนดเรื่องท่ีจะศึกษา เป็นขั้นตอนแรกท่ีผู้ศึกษาต้องต้ังคาถามที่จะศึกษาโดยเลือกหัวข้อ
ทางประวัตศิ าสตรท์ ีน่ า่ สนใจ

2. การรวบรวมหลักฐานหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้อง เป็นข้ันตอนที่ผู้ศึกษารวบรวมข้อมูลจากหลักฐาน
ประเภทต่าง ๆ ใหค้ รบถว้ น

3. การตรวจสอบข้อมูลทาความเข้าใจว่าหลักฐานนั้นมีความหมายว่าอย่างไร และการนาข้อมูล
ทางประวัตศิ าสตร์ที่ไดม้ าวิเคราะหว์ ่าสามารถเชอ่ื ถือและถูกต้องมากแคไ่ หน

4. การตีความหลักฐาน เป็นการทาความเข้าใจว่าหลักฐานนั้นมีความหมายอย่างไร หรือบอกข้อเท็จจริง
อะไรแกผ่ ศู้ กึ ษาบา้ ง

5. การนาเสนอข้อมูล เป็นการนาข้อมูลท่ีได้มานาเสนอตามความคิดของผู้เรียบเรียงโดยอ้างอิง
จากหลักฐานท่มี ีอยู่ ซ่งึ การนาเสนอมหี ลายวธิ ี เชน่ การบรรยาย การเขยี นรายงาน
ความสาคัญของวิธีการทางประวัติศาสตร์ คือ ช่วยทาให้เราได้ข้อมูลหรือเร่ืองราวทางประวัติศาสตร์ที่มี
ความถูกต้อง เที่ยงตรง สมบูรณ์ และมีความน่าเช่ือถือ เราสามารถเอาวิธีการมาใช้ศึกษาค้นคว้าความเป็นมา
ของชาติและท้องถนิ่

ตอบคาถาม

1. ให้นักเรียนบอกความสาคัญของวิธีการทางประวัติศาสตร์มาพอสังเขป
..............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................

166

เร่อื ง หลักฐานทางประวัติสาสตร์

หลกั ฐานทางประวัตศิ าสตร์ แบ่งออกเป็น 2 ลกั ษณะ ดังนี้
1. แบ่งตามข้อมลู ทางประวัตศิ าสตร์ ไดแ้ ก่

1) หลกั ฐานทไ่ี ม่เปน็ ลายลักษณ์อกั ษร เรียกว่า หลักฐานทางโบราณคดี เช่น โครงกระดูกมนุษย์ อาวธุ และ
เครอ่ื งมอื ของมนษุ ย์ ภาพเขยี นสตี ามถ้าและเพิงผา ภาพจติ รกรรมฝาผนัง เหรียญเงิน เจดยี ์ พระพทุ ธรปู อาคาร
บา้ นเรอื น เป็นต้น

2) หลกั ฐานท่เี ปน็ ลายลักษณ์อักษร คอื หลกั ฐานทใ่ี ชต้ วั อกั ษรในการบนั ทึกข้อมลู เช่น จดหมายเหตุ
ศลิ าจารึก พงศาวดาร กฎหมาย เป็นตน้
2. แบง่ ตามลาดับความสาคัญของหลกั ฐาน ได้แก่

1) หลักฐานช้ันต้น หมายถงึ หลกั ฐานทีเ่ กดิ รว่ มกับเหตกุ ารณ์หรือไดจ้ ากเหตุการณ์จรงิ ไดแ้ ก่ ขอ้ ความท่ี
บันทกึ หรือเล่าโดยผ้รู ู้เห็นเหตุการณ์ หรอื หลักฐานทีเ่ กิดขึ้นในช่วงเวลานัน้ เช่น จารกึ จดหมายเหตุ โบราณสถาน
โบราณวัตถุ เป็นต้น หลักฐานชั้นตน้ ถอื เปน็ หลักฐานทนี่ ่าเช่อื ถือทมี่ ีความสาคญั มากในการศกึ ษาเร่ืองราวในอดตี

2) หลักฐานช้นั รอง หมายถึง หลักฐานท่ผี ูบ้ ันทกึ รับทราบเหตุการณม์ าจากคาบอกเล่าหรือศกึ ษามาจาก
หลกั ฐานชน้ั ตน้ เช่น บทความ หนงั สือเรยี นประวัตศิ าสตร์ เป็นตน้

ตอบคาถาม

2. ภาพจติ รกรรมฝาผนังโดยแบง่ ตามข้อมลู ทางประวัติศาสตร์ จดั อยู่ในประเภทใด
............................................................................................................................. ..................................
3. หลกั ฐานทผ่ี บู้ ันทกึ รับทราบเหตกุ ารณม์ าจากคาบอกเลา่ หรอื ศึกษามาจากเหตุการณ์จริงเป็นหลักฐาน
ประเภทใด
.................................................................................... ...........................................................................

167

เรอ่ื ง สมยั รัตนโกสินทร์

ตวั ชี้วัด ส 4.3 ป.6/1

การสถาปนาราชธานี
การท่ีพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเลือกต้ังราชธานีแห่งใหม่ที่กรุงเทพมหานคร

เม่ือ พ.ศ. 2325 มสี าเหตุ ดังนี้
1. สภาพท่ีต้ังของกรุงศรีอยุธยาไม่เหมาะในการก่อสร้างบ้านเมือง เนื่องจากมีลักษณะเป็นคุ้งของแม่น้า

ทาใหก้ ระแสนา้ กัดเซาะตลิ่งพังทลายได้ง่าย
2. พระราชวังเดิมของกรุงธนบีคับแคบไม่สามารถขยาบอาณาเขตของพระราชวังได้เนื่องจากมีวัดขนาบ

ท้งั 2 ขา้ ง
3. กรุงธนบุรีมีลักษณะเป็นเมืองอกแตกที่มีแม่น้าไหลผ่านกลางเมือง ยากแก่การป้องกันข้าศึกท่ียกกองทัพ

มาทางเรอื
4. กรุงรัตนโกสินทร์ตั้งอยู่ในยุทธศาสตร์ที่เหมาะสม โดยมีเส้นทางออกสู่ทะเลและมีแม่น้าเป็นกาแพงกั้น

ทาให้สะดวกในการคมนาคมและคา้ ขายกับต่างชาติ
การสร้างราชธานีแห่งใหม่นั้นทรงยึดแบบอย่างกรุงศรีอยุธยาท้ังรูปแบบของพระนครและการสร้าง

พระบรมมหาราชวัง ซึ่งสร้างแล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๓๒๘ และทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดพิธีพระบรมราชาภิเษก
และสมโภชพระนคร พร้อมท้ังพระราชทานนามราชธานีแห่งใหม่ว่า “กรุงเทพมหานคร บวรรัตรโกสินทร์
มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบูรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต
สักกะทัตติย วิษณุกรรมประสิทธิ์”พระนามของราชาธานีน้ีต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงเปลย่ี น คาว่า บวร เปน็ “อมร”

ตอบคาถาม

4. ใครคอื ผูส้ ถาปนากรงุ รัตนโกสินทร์...................................................................................................
5. เพราะสาเหตุใดจึงตอ้ งเลอื กราชธานีแห่งใหม่ที่กรงุ เทพมหานคร.....................................................
............................................................................................................................. .................................
............................................................................................................................. .................................
................................................................................................. .............................................................
............................................................................................................................. .................................
..............................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .................................

168

เรอื่ ง สมยั รัตนโกสินทร์

การแบ่งชว่ งสมัยรตั นโกสนิ ทร์

การศึกษาพฒั นาการสมัยรตั นโกสินทร์ เราสามารถแบ่งชว่ งการศึกษาได้ 3 สมัยดงั นี้
1. สมัยการฟื้นฟูประเทศหรือสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตรงกับรัชกาลที่ 1 – 3 เป็นช่วงเวลา
ที่พระมหากษัตริย์ในสมัยน้ีทรงพยายามสร้างบ้านเมืองให้มีความม่ันคงรุ่งเรืองในด้านต่าง ๆ ให้เหมือนใน
สมยั อยุธยา
2. สมัยการปรับปรุงประเทศตามแบบตะวันตก ตรงกับรัชกาลท่ี 4 – 6 เป็นช่วงท่ีชาติมหาอานาจ
ตะวันตกกาลังขยายอิทธิพลเพ่ือแสวงหาอาณานิคมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พระมหากษัตริย์ในสมัยนี้
ทรงปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยตามแบบตะวันตกในด้านต่าง ๆ เพ่ือรักษาเอกราชและปรับปรุงบ้านเมือง
ใหเ้ จรญิ รงุ่ เรอื งโดยใชว้ ิทยาการสมัยใหม่ของชาตติ ะวันตก
3. สมัยประชาธิปไตย ตรงกับรัชกาลท่ี 7 – 10 เป็นช่วงท่ีมีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ทาให้เกิด
การพฒั นาประเทศในดา้ นต่าง ๆ อย่างกว้างขวางจนถงึ ปจั จบุ ัน

ตอบคาถาม

6. สมยั การปรับปรงุ ประเทศตามแบบตะวันตก ตรงกบั รชั กาลใดบา้ ง........................................................
และช่วงใดท่ี มีการเป ลี่ยนแป ลงการป กครองจากระบ อบ สมบู รณ าญ าสิท ธิราช ย์ มาเป็ น
ระบอบประชาธปิ ไตย…………………………………………………………………………………………………………………….

169

ปจั จัยทส่ี ง่ เสริมความเจริญรุ่งเรืองในดา้ นการเมอื งการปกครองและเศรษฐกิจในสมัยรตั นโกสินทร์

ตัวช้ีวัด ส 4.3 ป.6/2

ปัจจยั ท่ีส่งเสริมความเจรญิ รุ่งเรืองในด้านการเมืองการปกครองและเศรษฐกจิ ในสมยั รตั นโกสินทร์มดี งั น้ี
1. ประเทศไทยมีทต่ี ั้งทางภูมิศาสตรท์ เ่ี หมาะสมมสี ภาพแวดล้อมทางธรรมชาตทิ ่อี ุดมสมบรู ณ์
2. ประเทศไทยมสี ถาบันพระมหากษัตริย์ท่เี ปน็ ศนู ย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ
3. คนไทยมรี อยยม้ิ ทเ่ี ป็นมิตรทาให้ชาวต่างชาติเกิดความประทบั ใจและเข้ามาท่องเทีย่ วในประเทศไทย
มากขึ้น
4. คนไทยเป็นคนทีม่ ีคุณธรรมมีน้าใจซอื่ สัตย์กตญั ญูมีความเอือ้ เฟ้อื เผือ่ แผ่ช่วยเหลือผู้อื่น

ตอบคาถ๕าม. ปัจจยั ตา่ งๆดงั กล่าวเป็นปัจจยั ทส่ี ่งเสรมิ ความเจรญิ ให้แก่ประเทศไทยจนถึงปัจจุบัน

ปัจจยั ทีส่ ง่ เสริมความเจริญรงุ่ เรอื งในด้านการเมืองการปกครองและเศรษฐกจิ ในสมยั รัตนโกสนิ ทร์
............................................................................................................................. ........................................
............................................................................................................................. ........................................
.......................................................................................... ...........................................................................
............................................................................................................................. ........................................
........................................................................................................................................... ..........................
........................................................................................................ .............................................................

170

ตัวอยา่ งบคุ คลสาคัญในสมยั รัตนโกสนิ ทร์

ตวั ช้ีวดั ส 4.3 ป.6/3

ในสมัยรตั นโกสนิ ทรม์ ีบุคคลท่ที าความดีใหก้ ับบา้ นเมืองหลายท่าน แต่ในทน่ี ้ีจะยกตัวอยา่ งบคุ คล
สาคญั ท่ที าความดใี ห้กับบ้านเมืองดงั นี้

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระนามเดิมว่า ทองด้วง ต่อมา
พระองคไ์ ดส้ วยราชสมบัติเป็นปฐมกษัตริย์แหง่ ราชวงศ์จักกรี เม่ือพ.ศ. 2325

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลท่ี 1) ทรงรับราชการตั้งแต่
สมัยอยุธยาและทรงมีบทบาทสาคัญในการทาสงครามเพ่ือป้องกันบ้านเมืองมาตั้งแต่สมัยธนบุรี
ภายหลังจากที่สวยราชสมบัติแล้วพระองค์ทรงเป็นผู้ท่ีมีบทบาทเด่นในด้านการทาสงคราม
เพ่ือป้องกันบ้านเมอื ง สงครามคร้ังสาคัญ ได้แก่ สงครามเก้าทพั

รัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เป็นช่วงเวลาท่ีต้องทา
การป้องกันประเทศและฟื้นฟูบ้านเมือง พระองค์ทรงส่งเสริมการค้าขายท้ังภายในและการค้า
กับต่างประเทศ พระราชกรณียกิจท่ีสาคัญในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
คือ การสรา้ งความมัน่ คงใหก้ ับราชอาณาจกั รไทย

ตอบคาถาม

7. ให้นักเรียนเขียนประวตั ิและผลงานของบคุ คลสาคัญในสมยั รตั นโกสนิ ทรม์ าพอสงั เขป
............................................................................................................................. ........................................
.......................................................................................... ...........................................................................
............................................................................................................................. ........................................
........................................................................................................................................... ..........................
........................................................................................................ .............................................................
............................................................................................................................. ........................................

171

ภมู ปิ ญั ญาไทยในสมยั รัตนโกสนิ ทร์

สต๔วั .ช๓้ีวดัป.๖ส/4๔.3 ป.6/4

ภูมิปัญญา คือ ความรู้ ความคิดจากการปฏิบัติของพ่อแม่ ปู่ย่า ตายายและบรรพบุรุษที่ใช้แก้ปัญหา เพื่อให้
มีชวี ติ รอดและดารงชีวติ ไดอ้ ย่างเปน็ สุข ซ่งึ มีอยู่ 3 ดา้ นดงั นี้

ด้านภูมิปัญญาท้องถ่ิน การแพทย์แผนไทยเป็นภูมิปัญญาไทยท่ีช่วยในการป้องกันและดูแลรักษาโรค
พระบาทสมเดจ็ พระน่งั เกลา้ เจ้าอยูห่ ัวทรงโปรดให้นักปราชญ์คน้ ควา้ วชิ าแพทย์แผนโบราณยาแก้โรคต่างๆ ตาราการนวด
โดยทรงโปรดให้จารึกไว้บนแผ่นศิลาภายในบริเวณวัดโพธิ์รวมท้ังรูปป้ัน ฤๅษีดัดตน ท้ังน้ีเพราะการนวดทาให้
เลอื ดไหลเวยี นไปเลยี้ งร่างกายไดด้ ี ชว่ ยลดอาการปวดเม่อื ย

ด้านวรรณกรรม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงโปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูวรรณกรรม
อย่างต่อเนื่องจนถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซ่ึงถือเป็นยุคทองของวรรณกรรม ผลงานวรรณกรรม
ทโี่ ดดเดน่ คอื บทละครเรือ่ งรามเกียรต์ิ สามกก๊ อิเหนา สังขท์ องกาพย์เห่ชมเครอ่ื งคาวหวาน พระอภัยมณี

ด้านศิลปกรรม ได้ผสมผสานระหว่างไทยกับศิลปกรรมตะวันตกในด้านสถาปัตยกรรม จิตรกรรมและการนิยม
ปั้นรูปมนุษย์เหมือนจริง เช่น พระท่ีน่ังจักรีมหาปราสาท วัดเบญจมบพิตร พระท่ีนั่งอนันตสมาคม อนุสาวรีย์
รูปปั้นพระมหากษตั รยิ ์และบคุ คลสาคัญ

ตอบคาถาม

8. ใหน้ กั เรียนยกตัวอยา่ งภมู ิปัญญาไทยในสมัยรัตนโกสนิ ทร์มา 3 อย่าง
............................................................................................................................. ........................................
............................................................................................................................. ........................................
.......................................................................................... ...........................................................................
............................................................................................................................. ........................................
........................................................................................................................................... ..........................
........................................................................................................ .............................................................

172

เรื่อง อาเซยี น

ตวั ชีว้ ัด ส 4.2 ป.6/2

“อาเซยี น” กับการเป็นประชาคมอาเซยี น

ปัจจบุ ัน บริบททางการเมอื ง เศรษฐกิจ และสงั คม รวมทงั้ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไดเ้ ปลี่ยนแปลงไป
อย่างมาก ทาให้อาเซียนต้องเผชิญ สิ่งท้าทายใหม่ๆ อาทิ โรคระบาด การก่อการร้าย ยาเสพติด การค้า
มนุษย์ ส่ิงแวดล้อม ภัยพิบัติ อีกท้ัง ยังมีความจาเป็นต้องรวมตัวกันเพ่ือเพิ่มอานาจต่อรองและขีดความสามารถ
ทางการแข่งขันกับประเทศในภูมิภาคใกล้เคียง และในเวทีระหว่างประเทศ ผู้นาอาเซียนจึงเห็นพ้องกันว่าอาเซียน
ควรจะร่วมมือกันให้เหนียวแน่น เข้มแข็ง และม่ันคงย่ิงข้ึน จึงได้ประกาศ “ปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมือ
ในอาเซียน ฉบับท่ี 2” (Declaration of ASEAN Concord II) ซึ่งกาหนดให้มีการสร้างประชาคมอาเซียน
ทปี่ ระกอบไปด้วย 3 เสาหลกั ไดแ้ ก่

- ประชาคมการเมืองและความม่ันคงอาเซียน (ASEAN Political and Security Community - APSC)
มุ่งให้ประเทศกลุ่มสมาชิกอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข แก้ไขปัญหาระหว่างกันโดยสันติวิธี มีเสถียรภาพและความมั่นคง
รอบดา้ น เพอ่ื ความม่ันคงปลอดภยั ของเหลา่ ประชาชน

- ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community - AEC) มุ่งเน้นให้เกิดการรวมตัวกัน
ทางเศรษฐกิจ และความสะดวกในการติดต่อคา้ ขายระหวา่ งกัน เพื่อให้ประเทศสมาชิกสามารถแข่งขันกบั ภูมิภาคอื่นๆ
ได้โดย

- ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio - Cultural Community - ASCC) มุ่งหวังให้
ประชากรอาเซียนมีสภาพความเป็นอยู่ทีด่ ี มคี วามมั่นคงทางสังคม มีการพัฒนาในทุกๆ ด้าน และมีสังคมแบบเออื้ อารี
โดยจะมแี ผนงานสร้างความร่วมมือ 6 ดา้ น คอื การพฒั นาทรัพยากรมนุษย์ การคุ้มครองและสวัสดิการสังคม สิทธแิ ละ
ความยุติธรรมทางสังคม ความย่ังยืนด้านส่ิงแวดลอ้ ม การสรา้ งอตั ลกั ษณ์อาเซยี น การลดช่องว่างทางการพฒั นา

ดังนั้นประชาคมอาเซียน คือ ประชาคมอาเซียน (ASEAN Community) คือ การรวมตัวของกลุ่ม
ประเทศสมาชิกอาเซียนให้เป็นชุมชนท่ีมีความแข็งแกร่ง สามารถสร้างโอกาสและรับมือส่งท้าท้าย ทั้งด้านการเมือง
ความมั่นคง เศรษฐกิจ และภัยคุกคามรูปแบบใหม่ โดยสมาชิกในชุมชนมีสภาพความเป็นอยู่ท่ีดี สามารถประกอบ
กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างสะดวกมากย่ิงข้ึน และสมาชิก ในชุมชนมีความรู้สึกเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน

173

ตอบคาถาม

9. ใหน้ กั เรียนบอกความสมั พันธ์ของกลุม่ อาเซียนโดยสังเขป
............................................................................................................................. ........................................
............................................................................................................................. ........................................
.......................................................................................... ...........................................................................
............................................................................................................................. ........................................
........................................................................................................................................... ..........................
........................................................................................................ .............................................................
............................................................................................................................. ........................................
......................................................................................................................................................... ............
...................................................................................................................... ...............................................
............................................................................................................................. ........................................
.....................................................................................................................................................................
10. 3 เสาหลักของประชาคมอาเซยี นประกอบไปดว้ ยอะไร จงเขียนอธิบายพอสังเขป
............................................................................................................................. ........................................
.......................................................................................... ...........................................................................
............................................................................................................................. ........................................
........................................................................................................................................... ..........................
........................................................................................................ .............................................................
............................................................................................................................. ........................................
......................................................................................................................................................... ............
...................................................................................................................... ...............................................
............................................................................................................................. ........................................
.....................................................................................................................................................................

174

เฉลยแบบฝึกหัด

1. ให้นักเรียนบอกความสาคัญของวิธีการทางประวัติศาสตร์มาพอสังเขป
ตอบ ช่วยทาให้เราได้ข้อมูลหรือเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ท่ีมีความถูกต้อง เท่ียงตรง สมบูรณ์ และ
มคี วามน่าเช่อื ถือ เราสามารถเอาวิธีการมาใชศ้ ึกษาคน้ ควา้ ความเปน็ มาของชาติและท้องถน่ิ
2. ภาพจิตรกรรมฝาผนงั โดยแบ่งตามข้อมลู ทางประวตั ิศาสตร์ จดั อยูใ่ นประเภทใด
ตอบ ประเภทไมเ่ ปน็ ลายลกั ษณ์อักษร
3. หลักฐานท่ีผู้บันทึกรับทราบเหตุการณ์มาจากคาบอกเล่าหรือศึกษามาจาก เหตุการณ์จริง
เปน็ หลักฐานประเภทใด
ตอบ หลกั ฐานชั้นรอง
4. ใครคอื ผูส้ ถาปนากรงุ รตั นโกสนิ ทร์
ตอบ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟา้ จุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1
5. เพราะสาเหตใุ ดจึงต้องเลือกราชธานแี หง่ ใหม่ทกี่ รงุ เทพมหานคร
ตอบ 1. สภาพที่ต้ังของกรุงศรีอยุธยาไม่เหมาะในการก่อสร้างบ้านเมือง เน่ืองจากมีลักษณะเป็น
คุ้งของแม่นา้ ทาใหก้ ระแสนา้ กัดเซาะตล่ิงพงั ทลายได้ง่าย

2. พระราชวังเดิมของกรุงธนบีคับแคบไม่สามารถขยาบอาณาเขตของพระราชวังได้เนื่องจาก
มวี ัดขนาบทั้ง 2 ข้าง

3. กรุงธนบุรีมีลักษณะเป็นเมืองอกแตกท่ีมีแม่น้าไหลผ่านกลางเมือง ยากแก่การป้องกันข้าศึก
ท่ยี กกองทัพมาทางเรอื

4. กรงุ รตั นโกสินทรต์ ง้ั อยู่ในยุทธศาสตร์ท่เี หมาะสม
6. สมัยการปรับปรุงประเทศตามแบบตะวนั ตก ตรงกบั รัชกาลใดบา้ ง? และชว่ งใดท่ีมีการ
เปลย่ี นแปลงการปกครองจากระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราชยม์ าเป็นระบอบประชาธิปไตย
ตอบ รับวิทยาการตะวนั ตกในชว่ งรัชกาลท่ี 4 – 6 และเริม่ มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในชว่ งรัชกาล
ที่ 7
7. ให้นักเรียนเขียนประวัตแิ ละผลงานของบคุ คลสาคญั ในสมยั รัตนโกสนิ ทร์มาพอสังเขป
ตอบ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลก เป็นปฐมกษัตรยิ แ์ หง่ ราชวงศ์จกั กรี ทรงมีบทบาท
สาคัญในการทาสงครามเพ่ือป้องกนั บ้านเมืองมาต้ังแต่สมยั ธนบรุ ี ภายหลังจากท่สี วยราชสมบตั แิ ล้ว
พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีบทบาทเดน่ ในด้านการทาสงครามเพ่ือป้องกันบา้ นเมอื ง สงครามคร้ังสาคญั ได้แก่
สงครามเก้าทพั …………………..

175

เฉลยแบบฝึกหดั

8. ให้นกั เรยี นยกตัวอย่างภูมิปญั ญาไทยในสมยั รัตนโกสนิ ทร์มา 3 อยา่ ง
ตอบ การรักษาพยาบาลดว้ ยภูมปิ ญั ญาทอ้ งถนิ่ , บทละครเรอื่ งรามเกียรต์ิ, พระทน่ี ง่ั อนันตสมาคม
9. ให้นักเรียนบอกความสัมพนั ธข์ องกลุ่มอาเซยี นโดยสังเขป
ตอบ การรวมตัวของกลมุ่ ประเทศสมาชิกอาเซียนให้เป็นชุมชนที่มีความแข็งแกร่ง สามารถสร้างโอกาส
และรบั มอื ส่งท้าท้าย ทงั้ ดา้ นการเมอื ง ความมั่นคง เศรษฐกิจ และภยั คุกคามรปู แบบใหม่
โดยสมาชิกในชุมชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี สามารถประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อย่างสะดวก
มากยง่ิ ข้ึน
10. 3 เสาหลักของประชาคมอาเซียนประกอบไปด้วยอะไร จงเขียนอธิบายพอสังเขป
ตอบ 1. ประชาคมการเมืองและความม่ันคงอาเซียน มงุ่ ใหป้ ระเทศกลุ่มสมาชิกอยู่รว่ มกนั อยา่ งสันติ
สขุ แกไ้ ขปัญหาระหว่างกันโดยสันติวิธี มีเสถียรภาพและความมน่ั คงรอบด้าน เพ่อื ความมัน่ คงปลอดภัย
ของเหล่าประชาชน

2. ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน มุ่งเน้นให้เกิดการรวมตัวกันทางเศรษฐกิจ และความสะดวก
ในการติดต่อค้าขายระหว่างกนั เพือ่ ใหป้ ระเทศสมาชิกสามารถแขง่ ขันกบั ภูมิภาคอื่นๆไดโ้ ดย

3. ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน มุ่งหวังให้ประชากรอาเซียนมีสภาพความเป็นอยู่
ทดี่ ี มคี วามมัน่ คงทางสงั คม

ป.6

ส่ือสาระการเรยี นรู้

ภาษาไทย

โรงเรยี นอนุบาลสตลู
สานักงานเขตพ้นื ที่การศึกษาประถมศกึ ษาสตลู

177

เรื่องของคำนำม

คำนำม คอื คำท่ใี ช้เรยี กช่อื คน สตั ว์ พืช สง่ิ ของ สถำนท่ี และ เวลำ
คำนำม แบ่งเป็น ๕ ชนิด
๑. คำนำมท่วั ไป (สำมำยนำม) ใชเ้ รยี กส่งิ ตำ่ งๆโดยไม่ระบุช่ือ เชน่ หมำปำ่ จงั หวัด อำเภอ

ตำบล หม่บู ้ำน ทหำร ครู ตำรวจ นกั เรียน ผู้ปกครอง ภำรโรง ฯลฯ
๒. คำนำมช่อื เฉพำะ (วสิ ำมำยนำม) ใช้เรยี กชอ่ื เฉพำะเจำะจง เช่น โรงพยำบำลสตูล จงั หวดั สตลู

นำตกวังสำยทอง เกำะตรเุ ตำ เดก็ หญิงรำตรี ดวงอำทิตย์ ดวงจันทร์ ฯลฯ
๓. คำนำมบอกอำกำร (อำกำรนำม ) คอื คำที่ขนึ ตน้ ดว้ ย กำร หรือ ควำม มีคำกรยิ ำและคำวเิ ศษณ์

อยูห่ ลงั คำ กำรเรยี น กำรฟัง กำรพูด กำรนัง่ กำรนอน กำรกนิ กำรวิง่ กำรเดิน ฯลฯ
๔. นำมบอกลักษณะ (ลกั ษณนำม) คอื คำทบ่ี อกลักษณะของนำม จะอย่หู ลังคำนำมและจำนวนนบั

วัวหลำยตวั กินหญำ้ เกือบหมด ๓ กระสอบ
นำแขง็ ๒ ก้อน ใสก่ ระติก ๑ ใบไดพ้ อดี
ยุงหลำยฝงู บินอยใู่ นบำ้ นหลงั หนึง่
๕. คำนำมบอกหมวดหมู่ (สมุหนำม) คือคำทบ่ี ่งถงึ ควำมเปน็ หมู่พวก เช่น หมู่ เหลำ่ พวก
รฐั บำล คณะ ฝงู ชมรม บริษทั สมำคม กล่มุ กอง โขลง แก๊ง ฯลฯ
คำนำมบอกหมวดหมู่ ตอ้ งอยหู่ นา้ คานามเทา่ น้นั
ฝงู ยงุ ตัวโตเทำ่ แม่ไก่
คณะครไู ปทัศนศึกษำกรุงเทพฯ
แก๊งค้ำยำเสพตดิ ถกู ตำรวจจับไดท้ ่ีหำดใหญ่
รถพำกองทหำรไปรบทช่ี ำยแดน
ฝูงวัวควำยและโขลงช้ำงกินหญ้ำอย่รู ิมลำธำร
ฉันถกู ฝูงยงุ กดั ในบำ้ นหลงั หนึ่ง

ตำรำงแสดงตวั อย่ำงของคำนำมประเภทตำ่ งๆ

สำมำยนำม วสิ ำมำยนำม อำกำรนำม ลักษณนำม สมหุ นำม
ครู ฝงู
ชำ้ ง ครปู รีชำ กำรกิน ตวั โขลง
ทะเล กอง
พลำยจำปำ กำรเดนิ ฟอง คณะ
จังหวดั กลุ่ม
โรงเรียน ทะเลอนั ดำมนั กำรวงิ่ ก้อน หมู่
นักเรยี น
จงั หวดั สตูล ควำมรกั ใบ

โรงเรียนสำธติ จฬุ ำ ควำมขยัน หลัง

เดก็ ชำยธีรดนย์ ควำมคิด แห่ง

178

แบบทดสอบหลังเรยี นเร่ืองคำนำม

คำสงั่ จงเลอื กคำตอบท่ีถูกตอ้ งที่สุดเพยี งข้อเดียว ข. ผำแตม้ อยู่ในจังหวดั อุบลรำชธำนี
๑.คำทีข่ ดี เสน้ ใต้ขอ้ ใดเป็นคำนำมท่วั ไป ง. ประเทศไทยมีแม่นำเจ้ำพระยำ

ก. ฉันแปลหนังสอื หลำยเร่อื ง
ค. คณุ สมชำยไปเท่ยี วเกำะพีพี

๒.“สำย” ในขอ้ ใดเป็นลกั ษณนำม ข. ถนนสำยนขี รุขระ
ก.ฉันนอนต่นื สำย ง. สำยลบั ทำงำนหนกั
ค.สำยตำฉนั สนั มำก

๓.“ฝงู ” ข้อใดเป็นคำนำมรวมหมู่ ข. ฝูงนกเกำะบนตน้ ไม้
ก. นกบินมำหลำยฝูง ง. นกฝงู หนึง่ กำลังกินผลไม้
ค. นกบินมำห้ำฝูง

๔.คำขีดเส้นใต้ข้อใดเป็นสมุหนำม ข. ทหำรหลำยเหล่ำทัพเตรยี มซอ้ มรบ
ก.ชำ้ งโขลงหนง่ึ กำลังขำ้ มถนน ง. คนหลำยกลุ่มเดินรณรงคต์ ่อต้ำนยำเสพตดิ
ค.สมำคมครูนักเรยี นสตลู วิทยำ

๕.คำขอ้ ใดใช้ลักษณนำมเหมือนกนั ทุกคำ ข. สวิง ยกั ษ์ ฤำษี ปีศำจ วำนร
ก. เบ็ด แห อวน ง. เสือ เกำ้ อี เข็มกลัด นกหวดี
ค. ถนน แมน่ ำ สำยสรอ้ ย สะพำน

๖.ขอ้ ใดมีคำวสิ ำมำนยนำม ข. สตั วท์ กุ ชนดิ กร็ กั ชวี ติ
ก. อำยุเป็นเพยี งตัวเลข ง. ดวงอำทิตยข์ นึ ทำงทิศตะวันออก
ค. เดก็ ทกุ วนั นชี อบอำ่ นหนงั สือ

๗.ขอ้ ใดใช้ลกั ษณนำมไม่ถูกต้อง ข. แห-ปำก แม่นำ-สำย
ก. ช้ำงป่ำ-เชือก ชำ้ งบำ้ น-ตวั ง. พระภกิ ษุ-องค์ พระพุทธรปู -รปู
ค. ขลยุ่ -เลำ เลอื ย-ปื้น

๘.ประโยคข้อใดมสี มุหนำม ข. ช่อดอกไม้นเี ป็นของเธอ
ก. เขำสั่งซือดอกไม้ ๑ ช่อ ง. เขำมอบดอกไม้ใหเ้ ธอหน่ึงช่อ
ค. ดอกไม้ช่อนี่สวยเหลอื เกนิ

๙. ขอ้ ใดไมใ่ ช่เปน็ คำนำมบอกอำกำร ข. ควำมสะอำด ควำมรู้ ควำมคดิ
ก. ควำมงำม ควำมดี ควำมชัว่ ง. กำรพูด กำรเขียน กำรอ่ำน
ค. กำรบำ้ น กำรเมือง กำรรถไฟ

๑๐. เด็กชอบรบั ประทำนไอศกรมี แต่ตดุ๊ ตูช่ อบดื่มนม เขำชอบเล่นกีฬำฟตุ บอล ประโยคนมี คี ำนำมก่ีคำ

ก. ๓ คำ ข. ๔ คำ

ค. ๕ คำ ง. ๖ คำ

179

เรื่องของคำสรรพนำม

คำสรรพนำม คือคำทใี่ ช้แทนคำนำม เพอื่ ไม่ตอ้ งเรยี กชอื่ คำนำมซำ้ ๆ

๑.สรรพนำมแทนบุคคล (บุรุษสรรพนำม)
๑. สรรพนามบรุ ุษท่ี ๑ ใชแ้ ทนผพู้ ดู ไดแ้ ก่คาวา่ กระผม ผม ฉนั ดฉิ นั เรา ขา้ พเจา้ อาตมา ฯลฯ
๒.สรรพนามบรุ ุษท่ี ๒ คาท่ีใชแ้ ทนผฟู้ ัง ไดแ้ ก่คาวา่ เธอ ทา่ น คณุ โยม ใตฝ้ ำ่ ละอองธลุ พี ระบำทฯลฯ
๓. สรรพนามบรุ ุษท่ี ๓ คาท่ีใชแ้ ทนบคุ คลท่ีเรากล่าวถงึ ไดแ้ ก่คาวา่ มนั แก เขา ทา่ น พระองค์ ฯลฯ

๒.สรรพนำมใช้ชีร้ ะยะ (นิยมสรรพนำม)

เป็นคาท่ีใชแ้ ทนนาม ไดแ้ ก่ นี่ นี้ น่ัน นั้น โน่น โน้น

น่ันเป็นรถของคณุ พอ่ โน่นเป็นภเู ขาไฟท่ีใหญ่ท่ีสดุ ในโลก

๓. สรรพนำมบอกควำมไม่ชีเ้ ฉพำะเจำะจง (อนิยมสรรพนำม)

เป็นสรรพนามท่ีไมช่ ีเ้ ฉพาะ ไดแ้ ก่ ใคร อะไร ท่ีไหน เม่ือไร

ใดๆ ในโลกลว้ นอนิจจงั ใครก็อยากอยหู่ อ้ งเรียนท่ีสะอาด

๔. สรรพนำมใช้ถำม (ปฤจฉำสรรพนำม)

เป็นสรรพนามท่ีใชถ้ าม ไดแ้ ก่ ใคร อะไร ไหน

อะไรอยใู่ นตู้ คณุ จะทานขา้ วกบั อะไร

๕. สรรพนำมบอกควำมชซี้ ำ้ (วิภำคสรรพนำม)

เป็นคาแทนนามขา้ งหนา้ ไดแ้ กค่ าวา่ บา้ ง ตา่ ง กนั

ทหารยิงกัน นกั เรยี นบ้ำงก็เลน่ บ้ำงก็เรียน

๖.สรรพนำมเชือ่ มประโยค (ประพันธสรรพนำม) เป็นคาสรรพนามท่ีใชแ้ ทนคานาม

ไดแ้ ก่คาวา่ ผู้ ที่ ซึ่ง อัน ตวั อยา่ ง

เขาตแี มวทก่ี ินปลาย่าง หลอ่ นรบั ประทานอาหารซง่ึ แมป่ รุงให้

นอ้ งดื่มนมทคี่ ณุ แมช่ งให้ นกั เรยี นผู้ท่ีประพฤตดิ ยี อ่ มไดร้ บั การยกยอ่ ง

180

แบบทดสอบหลังเรียนเร่ืองคำสรรพนำม

คำสงั่ จงเลอื กคำตอบท่ีถกู ต้องท่ีสดุ เพียงข้อเดียว

๑. พระสงฆ์ใชส้ รรพนำมบรุ ษุ ท่ี ๒ กับพระมหำกษตั ริย์ คำใดจงึ จะถูกตอ้ ง

ก. บพิตร ข. พระคุณเจำ้

ค. มหำบพิตร ง. พระเดชพระคณุ

๒. ประโยคใดมีคำสรรพนำมบอกควำมซซี ำ

ก. เธอกลบั มำหำฉันบำ้ งนะ ข. ฝำแฝดคนู่ ีหน้ำตำต่ำงกนั มำก

ค. ตำรวจกันไม่ใหค้ นเข้ำทำร้ำยอำชญำกร ง. เจำ้ หนำ้ ทตี่ ำ่ งช่วยกนั ค้นหำซำกเคร่ืองบนิ

๓. ประโยคขอ้ ใดมีคำสรรพนำมบอกควำมไม่เจำะจง

ก. นนั่ ภเู ขำไฟฟูจิ ข.โยมจะไปที่ไหน

ข. เดก็ บำ้ งเลน่ บ้ำงเดินท่สี นำม ค. ควำมพยำยำมอยู่ทีไ่ หนควำมสำเรจ็ อยู่ท่นี ั่น

๔. ข้อใดเป็นคำสรรพนำมบรุ ุษท่ี ๒

ก.ทลู กระหม่อม ข. พระองค์ท่ำน

ค.เกล้ำกระหมอ่ ม ง. ใตฝ้ ่ำละอองธลุ พี ระบำท

๕.ประโยคขอ้ ใดมีคำสรรพนำมเปน็ ๓ คำ

ก.เขำมำหำฉันนะ ข.คุณไปไหนมำกับท่ำนอำจำรย์

ค.เธอมำโรงเรียนก่อนเขำ ง. พระคุณเจ้ำทำ่ นทำวัตรกอ่ นโยมแม่

๖.”มนั ” ขอ้ ใดเป็นคำสรรพนำม

ก. มันรำคำถูกมำกจนมีกำรประท้วง ข.เร่ืองของใครเรอ่ื งของมันฉนั ไม่เก่ยี ว

ค.เรอ่ื งนมี นั มำกจนฟงั ไมเ่ บ่ือ ง. อำหำรมมี นั กินแล้วอ้วน

๗. ข้อใดเปน็ คำสรรพนำมชรี ะยะ

ก.เด็กนท่ี ำงำนเปน็ ไหม ข.ใครนน่ั กำลงั เดนิ มำ

ค.โนน่ มำกนั ครบเลย ง. ฉันเห็นคุณป้ำคนน่ันทุกวัน

๘.คำสรรพนำมข้อใดตำ่ งชนดิ กบั ข้ออน่ื

ก.อะไรอยู่ในหีบผำ้ ข.ดวงใจซอื อะไรมำใส่บำตร

ค.ฝำ้ ยชวนใครไปตลำด ง.เจี๊ยบไม่รู้ว่ำใครหยบิ สมุดของเธอไป

๙.”กนั ” ข้อใดเปน็ บรุ ุษสรรพนำม

ก.เรำเป็นเพื่อนกนั ข. เขำกันควิ ให้เพอ่ื น

ค. กันจะไปพรงุ่ นี ง. ตำรวจกันไมใ่ หฝ้ ูงคนเขำ้ มำ

๑๐. “ท่ี” ข้อใดไม่ใช่สรรพนำมเชือ่ มประโยค

ก.ปำกกำฉนั อยู่ทเี่ ธอ ข.อำหำรทเี่ รำกนิ มปี ระโยชน์

ค. แมวทอี่ ยู่บนตน้ ไม้กัดหนู ง. ปลำกินอำหำรท่ีทำจำกปลำป่น

181

เรื่องของคำกริยำ

คำกริยำ คอื คาท่ีแสดงอาการกระทาและ บอกสภาพ ของคานามและคาสรรพนาม

๑.สกรรมกริยำ คอื คากรยิ าท่ีตอ้ งมีกรรมมารองรบั จงึ จะได้

ใจความสมบรู ณ์ เชน่

แมค่ า้ ขำยผลไม้ นอ้ งตดั กระดาษ

ฉนั เห็นงเู หา่ พอ่ ซอื้ ของเลน่ มาให้

นอ้ งพอ่ ของฉนั กินขา้ ว เขาเด็ดดอกไม้

๒. อกรรมกรยิ ำ คอื คากรยิ าท่ีไมต่ อ้ งมีกรรมมารบั ก็ได้

ความหมายสมบรู ณ์ ชดั เจน เชน่

ไกข่ ัน หมาเห่ำ เดก็ หัวเรำะ

นา้ ท่วม ครูยืน ฝนตกหนกั

นกร้อง แกว้ แตก นอ้ งน่ังบนเกา้ อี้

๓. วกิ ตรรถกริยำ(วิ-กะ-ตัด-ถะ-กริ-ยำ ) คอื คากรยิ าอาศยั

สว่ นเตมิ เตม็ มาช่วยขยายความหมายใหส้ มบรู ณ์

เชน่ เป็น เหมือน คลา้ ย เทา่ คอื เสมือน ดจุ

ผมเป็ นนกั เรยี น ลกู คนนีค้ ล้ำยพอ่

เขาคือครูของฉนั เอง ลกู ดุจแกว้ ตาของพอ่ แม่

๔. กริยำอนุเครำะห์ คือ กริยำช่วย เป็นคาท่ีชว่ ยขยายคา
กรยิ าหลกั ใหม้ ีความหมายชดั เจน
สว่ นใหญ่อยหู่ นา้ คากรยิ าหลกั เชน่
ได้แก่ จง กำลัง ได้ แล้ว ตอ้ ง อยำ่ โปรด ช่วย
ควร คงจะ อำจจะ จะ ยอ่ ม คง ยงั ถกู น่ำ ฯลฯ

182

แบบทดสอบหลังเรยี นเร่ืองคำกริยำ

คำสั่ง จงเลือกคำตอบท่ีถูกต้องที่สุดเพยี งขอ้ เดียว

๑. ข้อใดกล่ำวถงึ คำกริยำได้ถูกต้องทสี่ ดุ

ก.คำทีเ่ ปน็ กำรกระทำของคำนำม ข.คำทเี่ ปน็ อำกำรของคำสรรพนำม

ค.คำทอ่ี ยู่กลำงของประโยค ง.คำแสดงอำกำรกระทำของคำนำมและคำสรรพนำม
๒. ขอ้ ใดมคี ำกริยำที่เปน็ สกรรมกรยิ ำ

ก.พอ่ นอนหลบั ข.กลำ้ ร้องไห้ทุกคนื

ค.ผลไม้เนำ่ ทังลัง ง.นักเรยี นเชิญธงชำติ

๓. ประโยคใดใช้อกรรมกริยำ

ก.ฉนั เหน็ ดำวตก ข.ผมรอคุณตังนำน

ค.เขำหัวเรำะเสยี งดัง ง.เรำทดสอบเรื่องคำกริยำ

๔. ประโยคใดมีคำกริยำนุเครำะห์

ก.แมใ่ ห้นอ้ งนอน ข.แดงถอดรองเท้ำ

ค.นกั เรยี นต้องทำกำรบ้ำน ง.พอ่ อำ่ นหนังสอื พิมพ์รำยวัน

๕. “ แม่กำลงั ใหล้ กู นอน “กำลัง” เปน็ คำกริยำชนิดใด

ก.อกรรมกรยิ ำ ข.สกรรมกริยำ

ค.วกิ ตรรถกรยิ ำ ง.กริยำนเุ ครำะห์
๖. ข้อใดเปน็ คำกริยำนเุ ครำะห์ทกุ คำ

ก. ถกู อำจ ยมิ ข. กนิ นอน คุย

ค. ชอบ เดด็ ขำย ง. กำลงั โปรด ตอ้ ง

๗. ประโยคใดไม่มคี ำกรยิ ำนุเครำะห์

ก.ฉันตอ้ งไปมำเลเซีย ข.นกั เรยี นอำ่ นหนงั สือทุกวัน

ค.คณุ ตำคุณยำยกำลงั ผักผ่อน ง.ครคู วรจะไปเยีย่ มบ้ำนนักเรียนทกุ คน

๘. ข้อใดไมม่ ีคำกริยำวิกตรรถกรยิ ำ

ก.เธอรูปรำ่ งเหมือนแม่ ข.ฉนั เขยี นจดหมำยถงึ เพ่อื น

ค.ปัญญำเหมือนอำวธุ คู่กำย ง.กำรอำ่ นคือสะพำนสู่บัณทิต

๙.ข้อใดมีคำสกรรมกริยำ

ก.ฉันดขู ่ำว ข.ผมเดินคนเดยี ว

ค.นกรอ้ งดังก้องไพร ง.เด็กยิมสดใสทังวัน

๑๐. “ประเทศเกิดภัยธรรมชำตทิ ำให้ นำท่วม พำยุพัดแรง และดินถลม่ ”

จำกข้อควำมนมี คี ำกริยำกีค่ ำ

ก. ๓ คำ ข. ๔ คำ

ค. ๔ คำ ง. ๖ ค

183

เรื่องของคำวเิ ศษณ์

คำวิเศษณ์ คอื คำทีใ่ ชข้ ยำยคำนำม สรรพนำม กรยิ ำ และวิเศษณ์
จะอยู่หลงั คำนำม สรรพนำม กริยำ และวิเศษณ์

๑. คำวิเศษณบ์ อกลักษณะ (ลักษณวิเศษณ)์ เชน่ เล็ก ใหญ่ กลม รี แบน ขาว แดง เหม็น หอม

หวานเปรีย้ ว อ่อน แขง็ เรว็ ชา้ คอ่ ย แหบ ดงั ฯลฯ

ม้ำวิง่ เร็ว เขำพดู เพรำะ ลมพัดแรง

๒. คำวิเศษณบ์ อกเวลำ (กำลวเิ ศษณ)์ เช่น กอ่ น หลงั เด๋ยี วนี้ ภายหลงั เม่ือวาน ทกุ วนั เชา้ สาย

บา่ ย เยน็ ค่า ฯลฯ

เขามาโรงเรียนสาย จะไปพบเธอเวลาเย็น เราจะไปเด๋ียวนี้

๓. คำวเิ ศษณบ์ อกสถำนท่ี (สถำนวเิ ศษณ)์ เชน่ เหนือ ใต้ ไกล ใกล้ บน ลา่ ง นอก ฯลฯ

บ้ำนเขาอยไู่ กล พอ่ ปลกู ตน้ ไมด้ า้ นทิศเหนือ เดก็ ๆจะไปบา้ นนอก

๔. คำวิเศษณบ์ อกปรมิ ำณหรือจำนวน (ประมำณวิเศษณ)์ เชน่ มาก นอ้ ย หนง่ึ สอง ท่ีหา้ อนั ดบั

สบิ ฯลฯ

เขากินขา้ วหมด นอ้ งสอบไดอ้ นั ดบั ท่ีหา้ คนงานกินจุ

๕. คำวิเศษณบ์ อกควำมชีเ้ ฉพำะ (นิยมวเิ ศษณ)์ เชน่ น่ี นี้ น่นั นนั้ โนน่ โนน้ ฯลฯ

ชายคนนนั้ เป็นชาวไทย เพ่ือนคนน่ีรกั มากท่ีสดุ สมดุ ของเธอวางอยู่น่นั

๖. คำวิเศษณบ์ อกควำมไมช่ เี้ ฉพำะ (อนิยมวิเศษณ)์ เชน่ อ่ืน อ่ืนๆ ใด ใดๆ อะไร อะไรๆ ฯลฯ

เดก็ อะไรซนอยา่ งนี้ วิชาอ่ืนๆ ก็สวู้ ชิ านีไ้ มไ่ ด้ ส่ิงใดๆโลกนีล้ ว้ นไมแ่ นน่ อน

๗. คำวเิ ศษณแ์ สดงคำถำม (ปฤจฉำวิเศษณ)์ เชน่ อะไร ใคร ไหน ทาไม อยา่ งไร ฯลฯ

คนไหนเป็นนกั เรยี นทนุ คนไขม้ ีอาการอยา่ งไร เธอเป็นเพ่ือนใคร

๘. คำวเิ ศษณแ์ สดงคำขำนรับ (ประตชิ ญำวเิ ศษณ)์ เชน่ คะ่ ครบั จ๊ะ จา๋ ฯลฯ

คณุ ครบั รถไฟจะออกแลว้ คณุ แมข่ า โทรศพั ทค์ ะ่ เธอจะไปไหนจ๊ะ

184

แบบทดสอบหลังเรยี นเร่ืองคำวิเศษณ์

คำสง่ั จงเลอื กคำตอบท่ีถูกตอ้ งท่ีสุดเพยี งขอ้ เดียว ข. คำขยำยคำนำมและกริยำ
๑.ข้อใดคือลักษณะของคำวิเศษณ์ ง. คำขยำยคำนำม สรรพนำม กรยิ ำ วเิ ศษณ์

ก. คำขยำยคำนำมและสรรพนำม ข. คนอ้วนเดินชำ้
ค. คำขยำยคำนำม สรรพนำม กริยำ ง. นกเขำกินปลำใหญ่
๒. ขอ้ ใดมคี ำวิเศษณ์ขยำยกริยำ
ก. ตน้ ไมใ้ หญล่ ม้ ข. เขำยืนแถวหน้ำ
ค. ปลำใหญก่ นิ ปลำเล็ก ง. หนำ้ รอ้ นอำกำศแหง้ แล้ง
๓. คำวำ่ "หนำ้ " ในข้อใดเป็นคำวิเศษณ์
ก. เขำมีใบหนำ้ คมสัน ข. เขำมีเวลำมำก
ค. เขำมใี บหนำ้ รปู ไข่ ง. หญงิ นันชอบกินมำก
๔. คำวำ่ "มำก" ขอ้ ใดเปน็ คำวิเศษณ์ขยำยวเิ ศษณ์
ก. ฉนั รกั ทำ่ นมำก ข. คนแกม่ ักหตู ึง
ค. เด็กคนนีเรียนเก่งมำก ง. คนอ้วนมักเห็นแกต่ วั
๕. คำว่ำ "แก"่ ในข้อใดเป็นคำวเิ ศษณ์
ก. เขำเหน็ แก่ตัว ข. ม้ำวิง่ ในสนำมแข่ง
ค. เขำให้เงนิ แก่ฉนั ง. บ้ำนหลังนีใหญม่ ำก
๖. ขอ้ ใดมีคำวิเศษณ์ทำหนำ้ ทข่ี ยำยคำนำม
ก. เดก็ ดม่ื นมเกง่ ข. บำ้ นฉนั ใกล้บ้ำนเธอ
ค. มะลกิ ินกล้วยหอม ง. พัดลมวำงอยบู่ นโต๊ะ
๗. ขอ้ ใดเป็นคำวิเศษณ์บอกสถำนท่ี
ข. คนไหนไม่กินเนือวัว
ก. กำบนิ ไปเกำะก่ิงไม้ ง. ฉนั ไมช่ อบคนไหนเลย
ค. บ้ำนเขำอยไู่ กล
๘. ข้อใดเป็นปฤจฉำวิเศษณ์ ข. สภุ ำแต่งตวั สวยทุกวนั
ก. คนไหนอยำกไปก็ตำมมำ ง. วีณำพูดเสยี งเบำมำก
ค. คนไหนก็มองเหมอื นกัน
๙. ข้อใดไม่มีลักษณะวเิ ศษณ์ ข. เดก็ อมลูกอมมำกฟันผุ
ก. จติ รำไมช่ อบกินผักรสขม ง. ฉนั เปน็ คนเขียนจดหมำย
ค. วจิ ิตรเดนิ ไปเดินมำ
๑๐. ข้อใดไม่มปี ระมำณวิเศษณ์

ก. ฉนั มสี วนหลำยขนดั
ค. เพื่อนฉันกนิ จทุ ุกคน

185

เรื่องของคำบุพบท

คำบพุ บท คือ คำที่ใชน้ ำหน้ำคำนำม คำสรรพนำม คำกริยำ คำวเิ ศษณ์ เพื่อแสดงควำมสมั พันธร์ ะหวำ่ ง
คำในประโยควำ่ มีควำมสัมพนั ธ์กันอย่ำงไร
คำบุพบทแบ่งได้ ๒ ชนดิ

๑. คำบุพบททไ่ี ม่เชื่อมกับคำอนื่ บพุ บทชนิดนีจ้ ะใชอ้ ยหู่ นา้ คานามและสรรพนาม เพ่ือแสดงการทกั ทาย

ตวั อยา่ ง

ข้ำแต่ท่ำนผ้เู จริญ เชิญทำ่ นตำมควำมพอใจเถิด
ดูก่อน อำคันตุกะ ท่ำนมำถอื เพศเปน็ ผู้ละเคหสถำนเพรำะเหตุเปน็ ไฉน
ดูกร ท่ำนทังหลำย จงมชี ีวิตอยูด่ ว้ ยควำมไม่ประมำทเถิด

๒. คำบพุ บทท่เี ชอ่ื มกับคำอืน่ เพือ่ บอกควำมสมั พนั ธร์ ะหวำ่ งคำที่อยู่หลังบพุ บทกับควำมข้ำงหน้ำ

๒.๑ นำหนำ้ คำบอกสถำนท่ี ได้แก่ บน ล่ำง ใน นอก หนำ้ หลัง เหนอื ใต้ ภำยใน

ภำยนอก ขำ้ งนอก ขำ้ งใน ขำ้ งหลงั ข้ำงบน ขำ้ งล่ำง กลำง ริม ใกล้ ไกล ที่ ตรง จำก ฯลฯ ตวั อย่ำง

ประโยค

คุณพ่อรบั รำชกำรทจี่ ังหวัดตรัง เธอชอบนง่ั ริมหนำ้ ตำ่ ง

หนังสอื วำงอยู่ใกล้กระเปำ๋ เขำอยู่ภำยในห้องเรียน

๒.๒ นำหน้ำคำบอกเวลำ ได้แก่ กระทงั่ จน จนกระทงั่ เมอื่ ภำยใน ใน ณ แต่ ตังแต่

เขำเปิดไฟฟำ้ จนสว่ำง เขำทำงำนต้ังแต่เชำ้ จนคำ่

คุณครใู ห้ส่งกำรบำ้ นภำยในวนั นี ฝนตกหนักมำกเมอื่ วันเสำร์

๒.๓ แสดงควำมสมั พันธ์เก่ียวกับกำรเป็นเจำ้ ของ ไดแ้ ก่ ของ แหง่ เชน่

แหวนวงนีเปน็ ของฉัน เงนิ ของฉนั หำย

อำหำรสำหรบั ท่ำนมีพร้อมแล้ว สถำบนั วจิ ัยปลำแหง่ ชำติญ่ีปนุ่

๒.๔ นำหนำ้ คำบอกควำมเป็นผ้รู ับหรอื ผ้ใู ห้ ไดแ้ ก่ แก่ แด่ ตอ่ เพ่ือ สำหรับ เช่น

ที่นง่ั สำหรับผู้สูบบหุ รีไ่ ม่มคี นน่งั เลย พอ่ แม่ทำงำนเพอ่ื ลูก

เขำแถลงข่ำวตอ่ ผู้สือ่ ขำ่ ว เขำมอบของขวญั วันเกิดแก่เพอื่ น

๒.๕ บพุ บทนำหน้ำบทเพื่อบอกประมำณ ได้แก่ เกือบ ตลอด รำว สกั ชวั่ เชน่

งำนนเี ขำทำชั่วปิดภำคเรยี นเท่ำนัน เธอทำงำนวนั ละเกอื บ 12 ช่ัวโมง

พ่อออกจำกบ้ำนไปรำวครง่ึ ช่ัวโมงเอง ใครสกั คนมำชว่ ยครูลบกระดำน

๒.๖ บพุ บทนำหน้ำคำบอกทิศทำง ได้แก่ สู่ ยัง ถึง เช่น

เขำกลับไปส่บู ้ำนเกิดเมืองนอน เขำกำลงั เดินทำงไปยังดนิ แดนสงบ

186

แบบทดสอบหลงั เรียนเรื่องคำบพุ บท

คำสง่ั จงเลอื กคำตอบที่ถูกต้องท่ีสดุ เพียงข้อเดียว

๑. คำบุพบทมีควำมหมำยตรงขอ้ ใด

ก. คำทีใช้แสดงควำมสัมพันธ์ระหวำ่ งคำหรอื ประโยค ข. คำที่ทำหนำ้ ทเ่ี ชื่อมคำ

ค. คำท่ีใชเ้ รียกชื่อ คน สตั ว์ สงิ่ ของ ง. คำทีข่ ยำยคำนำม สรรพนำม กรยิ ำ

๒. ขอ้ ใดเป็นคำบุพบทบอกสถำนที่

ก. บำ้ นฉันอยู่ใกล้โรงเรียน ข. หนังสือเลม่ นีเป็นของฉนั

ค. สวนลุมพินเี ปน็ สวนสำธำรณะ ง. รถคันนันวง่ิ เรว็ กว่ำรถคนั นี

๓.ข้อใดเปน็ คำบุพบทบอกควำมเปน็ เจำ้ ของ

ก. บำ้ นฉันอยู่ใกล้โรงเรียน ข. หนงั สือเล่มนเี ปน็ ของฉัน

ค. สวนลุมพนิ ีเปน็ สวนสำธำรณะ ง. รถคนั นันวิง่ เร็วกวำ่ รถคันนี

๔. คำขอ้ ใดเป็นคำบุพบทบอกผู้รบั หรอื ผู้ให้

ก. แหง่ ของ ข. บน ใน ใต้

ค. โดย ทงั ด้วย ง. สำหรับ กับ แก่

๕. ข้อใดเปน็ คำบุพบทบอกเวลำ

ก. เมื่อ ตังแต่ จน กระทงั่ ข. บน ใน ใต้

ค. โดย ทงั ดว้ ย ง. สำหรบั กับ แก่

๖. คำว่ำ“ใกล้”ขอ้ ใดไม่ใช่คำบพุ บท

ก. เขำเหมือนไม้ใกลฝ้ ง่ั ข. ฉันอยู่ใกลเ้ ธอ

ค. เขำนั่งใกลห้ น้ำต่ำง ง. บ้ำนของเขำอยูใ่ กล้

๗. เขำพิมพ์หนังสือ....แจกในงำนศพและพิมพ์ไว้....แจกจ่ำย....โรงเรียนท่ีอยูห่ ำ่ งไกล....นักเรียนอำ่ น

ก. เผ่อื ...เพอื่ ...สำหรบั ...แก่ ข. เพอื่ ...เผอ่ื ...แก่...สำหรบั

ค. เผ่ือ...เพือ่ ...แด.่ ..สำหรับ ง. เพ่ือ...เผอ่ื ...สำหรับ...แก่

๘. ขอ้ ใดใช้คำบุพบทไมเ่ หมำะสม

ก. เขำร้องทุกข์กับนำยอำเภอ ข. เขำเห็นแก่ฉัน

ค. เขำอยูเ่ พ่อื กนิ ง. เขำจำกไปโดยเรว็

๙. คำวำ่ “กบั ” ข้อใดใชไ้ ด้เหมำะสม

ก. เขำไปกับเพื่อน ข. แม่หำเงินกับลูก

ค. เขำรอ้ งทุกข์กบั ตำรวจ ง. ฉันใหเ้ งนิ กับน้อง

๑๐.ข้อใดคำบุพบทนำหนำ้ คำกริยำ

ก.นำนไี วส้ ำหรบั ดืม่ ข.บ้ำนฉนั ตงั อยู่รมิ คลอง

ค.เขำเล่นฟตุ บอลจนเย็น ง. คณุ พอ่ ไปทำงำนแต่เช้ำ

187

เรอ่ื งของคำสันธำน

คำสันธำน คอื คำทที่ ำหน้ำทเ่ี ชือ่ มคำกับคำ และเชอ่ื มประโยคกับประโยคต้ังแต่ ๒ ประโยค
ใหม้ ีควำมต่อเน่ืองกัน

๑. เชือ่ มประโยคเนือ้ ควำมคล้อยตำมกัน คำสันธำนทใี่ ช้

ก็ กับ และ จึง ทง้ั ครั้น...ก็ ครั้น...จงึ

ท้งั ...ก็ พอ... ก็ ก็ดี ก็ได้ เช่น

พกี่ ับน้องอ่ำนหนังสือ

ลูกและหลำนของเรำเป็ นคนดี

พออ่ำนหนังสอื เสร็จฉันก็เข้ำนอน

๒.เชือ่ มประโยคเนือ้ ควำมขัดแยง้ กัน คำสันธำนท่ี
ใช้ แต่ แต่ทว่ำ กว่ำ...ก็ ถงึ ...ก็ เช่น

ฉันชอบเล่นปิ งปองแตน่ ้องชอบเล่นเกม
เขำเรียนไม่เก่งแตท่ ว่ำเขำมีนิสัยดี
กว่ำถ่ัวจะสุกงำก็ไหม้

๓. เชื่อมประโยคเนือ้ ควำมให้เลอื กอย่ำงใด อย่ำง
หนึ่ง คำสันธำนทใ่ี ช้ หรือ มิฉะนั้น ก็ เช่น

เธอจะเรยี นหรือเธอจะเล่น
ไม่สุดำก็สำรภตี ้องถกู ลงโทษ
เธอต้องอ่ำนหนังสือมิฉะนั้นเธอจะสอบตก

๔. เชอ่ื มประโยคเนือ้ ควำมเป็ นเหตผุ ลกัน
คำสันธำนทใี่ ช้ จงึ เพรำะ...จึง เพรำะ
ฉะนั้น...จึง เช่น

ม้ำไม่ว่ิงเพรำะมันเจบ็ ขำ

เพรำะเขำมนี ำ้ ใจทกุ คนจงึ รกั เขำ
พเี่ ป็ นคนฉลำดเขำจึงเอำตวั รอดได้

188

คำอุทำน

คำอุทำนคือ คาท่ีใชแ้ สดงความรูส้ กึ ตา่ งๆในการพดู

คาอทุ านแบง่ ออกเป็น ๒ ชนดิ

๑. คำอุทำนบอกอำกำร ตอ้ งมีเคร่ืองหมายอศั เจรีย์ ( ! )อยหู่ ลงั คา เชน่ คา ชิ! ชิชะ! โธ่! ป๊ ะ! หือ้ หือ!
เหม!่ แหม! อนจิ จงั ! อ๊ะ! อนิจจา! อปุ ๊ ะ! เอ! เอย้ ! เอ๊ว! เออ้ เฮอ! โอ! โอย! โอ๊ย! ฮะ! ฮา้ ! ฮ!ึ เฮ!้
เฮย้ ! เฮว้ ! เฮอ้ ! ไฮ!้ เป็นตน้

พทุ โธ่! ใชแ้ สดงความ สงสาร, นอ้ ยใจ, เสียใจ
แหม! แปลก หรือ ประหลาดใจ
โอ! รูส้ กึ เม่ือนึกอะไรขนึ้ มาได้
หือ้ หือ! หา้ มหรือมกั ทว้ ง
เฮว้ ! เยอะเยย้
ฮา้ ! ประหลาดใจ หรือเอะใจ

อุทำนเสรมิ บทแบ่งออกเป็ น ๒ ชนิด

๑. อุทำนเสริมบทท่ใี ช้เป็ นคำสร้อย คือ อทุ านท่ีใชเ้ ป็นคาสรอ้ ย ของโคลงและรา่ ย

หรือใชเ้ ป็นคาลงทา้ ยในบทประพนั ธ์ ตวั อย่างเชน่

- ขาดทรพั ย์ อบั มิตรหมอง หมน่ จิตร จรงิ แฮ

- ฟังคดิ เขียนขีดขอ้ ควรเขียน เขียนแฮ

- เสรมิ ศลิ ป์ สง่ เกียรตกิ อ้ ง กงั วาน โลกแล

๒ อุทำนเสริมบททใ่ี ช้เป็ นคำเสรมิ คือ ตอ้ งใชต้ อ่ ถอ้ ยเสรมิ คาใหย้ าวขนึ้ เชน่

อาบนา้ อาบทา่ กินหยกู กินยา สม้ สกู ลกู ไม้

กระดกู กระเดยี้ ว ไปวดั ไปวา ผหู้ ลกั ผใู้ หญ่

หนงั สือหนงั หา ปืนผาหนา้ ไม้ หวีผมหวีเผา้

สงิ สาราสตั ว์ บา้ นชอ่ งหอ้ งหอ ขา้ วแดงแกงรอ้ น

189

แบบทดสอบหลังเรียนเร่ือง คำสนั ธำนและคำอุทำน

คำส่ัง จงเลือกคำตอบท่ีถกู ตอ้ งที่สดุ เพียงขอ้ เดียว

๑. คำสันธำนมหี น้ำทอ่ี ย่ำงไร

ก. เช่ือมคำให้มคี วำมหมำยชดั เจนขึน ข. เชือ่ มคำกลุ่มคำเพ่อื แสดงควำมสมั พันธ์

ค. เชอื่ มประโยคตำ่ งชนดิ กันให้เป็นประโยคเดียวกนั ง. เชือ่ มคำกลุม่ คำหรอื ประโยค

๒. “……อำรีมฝี ีมือในกำรทำอำหำร ร้ำนขำยขำ้ วแกงของเธอ……ขำยดี”เติมคำใดในชอ่ งวำ่ งจงึ ถกู ต้อง

ก. ถึง………….แต่ ข. มิฉะนนั ……………ก็

ค. เพรำะ………….จึง ง. เพรำะ………….แล้วก็

๓. คำสันธำนขอ้ ใดท่ีใชเ้ ชอื่ มประโยคที่มีเนือควำมขดั แย้งกัน

ก. หรอื ไม่……….ก็, มิฉะนัน ข. จึง, เพรำะ………จงึ

ค. ถึง…………จะ, แตท่ วำ่ , แต่ ง. เหมือน, รำวกบั , กวำ่ , อย่ำง

๔. ควรใช้สันธำนในข้อใดเช่ือมประโยคต่อไปนีให้มคี วำมคล้อยตำมกนั

“………..ทำกำรบ้ำนเสร็จ ฉนั ……..รสู้ กึ โล่งใจ”

ก. เมอื่ ….จึง ข. เพรำะ….จึง

ค. พอ….ก็ ง. แล้ว…ก็

๕. “คุณแม่ไปฟังเทศน์ทวี่ ดั …...คณุ พ่อไปเลน่ กอล์ฟ” ควรเติมสันธำนในขอ้ ใดลงในข้อควำมขำ้ งต้นถกู ต้อง

ก. และ ข. สว่ น ค. จึง ง. หรอื

๖. ประโยคในขอ้ ใดทม่ี ีคำอุทำน

ก. เช้ำวันนอี ำกำศดีมำก ข. โอ้โฮ! ทำไมเธอสวยจังเลย

ค. เขำกลับมำถึงบ้ำนตงั แตเ่ ม่ือวำน ง. สมศรีและสมชำยเดนิ ไปโรงเรยี น

๗. “............นำ่ สงสำรจรงิ ” ควรเติมคำอุทำนในข้อใด

ก. ว้ำย! ข. โอโ้ ฮ!

ค. ไชโย! ง. พุทโธ!่

๘. ขอ้ ใดใชค้ ำอทุ ำนต่ำงจำกพวก

ก. ยำ่ ไปวดั ไปวำ ข. เฮย้ ! เหนือ่ ยจัง

ค. โธ!่ น่ำสงสำรจัง ง. อนจิ จำ! ทำไมเปน็ แบบนี

๙. ขอ้ ใดเปน็ คำอุทำนเสริมบท

ก. แหม! เธอพูดแบบนีได้อย่ำงไร ข. โอโ้ ฮ! ทำไมสวยอย่ำงนี

ค. เฮะ๊ ! นั่นกล่องอะไร ง. เธออำบนำอำบทำ่ บำ้ งสิ

๑๐.“ระวังใหด้ ี ปนื ผำหนำ้ ไม้มันอนั ตรำย” เปน็ คำอุทำนชนิดเดยี วกบั ข้อใด

ก. อ๋อ ! เข้ำใจแล้ว ข. โธ่ ! บอกหน่อยไม่ไดห้ รอื

ค. อุ๊ย ! ขอโทษค่ะท่ีเหยียบเท้ำคุณ ง. ในป่ำมีสิงสำรำสัตว์เยอะแยะเลย

เฉลยคำนำม 190

๑ก หนังสอื เป็นคำนำมทวั่ ไปเพรำะไม่มีชอ่ื
๒ข สำย ลักษณะนำม อยหู่ ลังคำนำม
๓ข ฝงู เป็นสมหุ นำม อย่หู นำ้ คำนำม
๔ค สมำคม อยหู่ นำ้ คำนำม
๕ง ลกั ษณะนำมเรียกเหมือนกันทุกคำ คือ คำว่ำ “ตวั ”
๖ง ดวงอำทติ ย์ เปน็ วิสำมำยนำม
๗ง พระภกิ ษุสงฆเ์ ปน็ รปู
๘ข ชอ่ เป็นสมหุ นำมเพรำะอยหู่ น้ำคำนำม
๙ค คำทอ่ี ยหู่ ลัง “กำร” เป็นคำนำมท่วั ไป ส่วนข้ออน่ื เป็นคำกริยำ และคำวิเศษณ์
๑o ง
๖ คำ ไดแ้ ก่ เดก็ ไอศกรมี ตดุ๊ ตู่ นม กีฬำ ฟตุ บอล

เฉลยคำสรรพนำม ตอ้ งใช้คำว่ำ มหำบพติ ร เพรำะเปน็ มหำกษัตริย์
ตำ่ ง เปน็ สรรพนำมบอกควำมชซ้ี ้ำ เพรำะทำเหมือนกนั และอยู่หลังคำนำม
๑ค เป็นสรรพบอกควำมไม่เจำะจง เพรำะเป็นคำถำมท่ีไม่ต้องกำรคำตอบเป็นประโยคบอกเล่ำ
๒ง ใต้ฝ่ำละอองธุลีพระบำท เป็นสรรพนำมบรุ ุษท่ี 2 .ใช้กบั พระมหำกษตั รยิ ์
๓ค พระคณุ เจ้ำ ท่ำน โยม
๔ง เป็นสรรพนำมเพรำะใช้แทนคำนำม เพรำะ
๕ง ก. มนั เป็นคำนำมท่ัวไป ค. มนั เป็นคำวิเศษณ์ ง. มัน เปน็ คำนำม
๖ข โนน่ เป็นสรรพนำมชรี้ ะยะเพรำะอย่หู นำ้ ประโยค
เป็นสรรพนำมแสดงควำมปฏิเสธ
๗ค เปน็ บรุ ษุ สรรพนำม เพรำะผู้พูด พดู แทนช่ือตัวเอง
๘ง ก. กัน เปน็ สรรพนำมรวมหมู่ ข. กนั เป็นคำกริยำ ง. กัน เปน็ คำกริยำ
๙ค ที่ ไม่ใช่สรรพนำมเชอ่ื มประโยคแตเ่ ปน็ คำบพุ บทเพรำะอยู่หน้ำคำสรรพนำม

๑o ก

เฉลยคำกรยิ ำ 191

๑ง คำกรยิ ำ คือ คำแสดงกำรกระทำของคำนำมและคำสรรพนำม
๒ง เชิญ ต้องมกี รรมมำรับถึงจะชัดเจน
๓ค หัวเรำะ ไม่ต้องมีกรรมมำรบั ถึงจะชัดเจน
๔ค ต้อง เป็นกริยำนุเครำะหห์ รอื กริยำช่วย เพรำะอย่หู น้ำกรยิ ำแท้
๕ง กำลงั เปน็ กรยิ ำนเุ ครำะห์หรือกรยิ ำช่วย
๖ง กำลัง โปรด ตอ้ ง
๗ข อ่ำน เป็นคำกรยิ ำแท้ เพรำะมีตวั เดยี ว
๘ข ก. เหมือน ค. เหมือน ง. คือ เป็นกรยิ ำวกิ ตรรถกรยิ ำ เปน็ ข้อทผ่ี ิด
๙ก ดู เปน็ สกรรมกรยิ ำ เพรำะต้องมีกรรมมำรับชัดเจน สง่ นขอ้ อนื่ เปน็ อกรรมกริยำ
๑o ง เกิด ทำ ให้ ทว่ ม พดั ถล่ม

เฉลยคำวเิ ศษณ์ คำวเิ ศษณ์ ทำหน้ำที่ เป็นคำขยำยคำนำม สรรพนำม กรยิ ำ วเิ ศษณ์
ชำ้ ขยำยคำว่ำ เดนิ
๑ง หนำ้ เป็นคำวิเศษณ์ เพรำะอยู่หลังคำนำม ขยำยคำวำ่ แถว ส่วนขอ้ อืน่ เป็นคำนำมท่วั ไป
๒ค มำก เป็นคำวิเศษณ์ ขยำยคำวำ่ เกง่
๓ข แก่ เปน็ คำวเิ ศษณ์ เพรำะบอกลกั ษณะ สว่ นข้ออืน่ ยเปน็ คำบพุ บท
๔ค หอม เป็นคำวิเศษณ์ เพรำะขยำยคำนำม
๕ข ไกล เป็นคำวเิ ศษณ์ บอกสถำนท่ี
๖ค ไหน เปน็ คำวิเศษณใ์ ช้ถำม(ปฤฉำวเิ ศษณ์)
๗ค ไมม่ ีคำวิเศษณ์
๘ข ไม่มีประมำณวิเศษณ์ สว่ น ก.หลำย ข.มำก ค.จุ เปน็ ประมำณวเิ ศษณ์
๙ค
๑o ง

192

เฉลยคำบุพบท คำบพุ บท คอื คำทีแ่ สดงควำมสมั พนั ธ์ของคำและประโยค

๑ก ใกล้ เป็นบพุ บทบอกสถำนท่ี
ของ เป็นบุพบทบอกควำมเป็นเจำ้ ของ
๒ก สำหรบั กบั แก่ เป็นบุพบทบอกควำมเป็นผู้รับและผ้ใู ห้
๓ข เมื่อ ต้ังแต่ จน กระทงั่ เปน็ บุพบทใชน้ ำหนำ้ บอกเวลำ
๔ง ใกล้ ไมเ่ ปน็ คำบุพบท เพรำะอยหู่ ลงั คำกรยิ ำแต่เป็นคำวเิ ศษณ์
๕ก เพ่อื เผอ่ื แก่ สำหรับ
๖ง กบั ใชผ้ ิด ตอ้ งใช้คำวำ่ ต่อ จึงถูกต้อง
๗ข กับ ใชไ้ ด้ถูกต้อง
๘ก สำหรับ เปน็ คำบุพบทเพรำะนำหน้ำคำกริยำว่ำ ดม่ื
๙ก
๑o ก

เฉลยคำสนั ธำนและคำอุทำน

๑ง สันธำน เช่ือมคำ กลมุ่ คำ ประโยค

๒ค เพรำะ...จึง
๓ค สนั ธำนขัดแย้ง ถงึ จะ แต่ แต่ว่ำ
๔ค คล้อยตำมกัน
๕ข ขัดแย้งกัน
๖ข โอโ้ ฮ!
๗ง พทุ โธ่!
๘ก คำอุทำนเสรมิ บท
๙ง คำอทุ ำนเสริมบท
๑o ง คำอทุ ำนเสรมิ บท

ป.6

ส่อื สาระการเรยี นรู้

ภาษาองั กฤษ

โรงเรียนอนบุ าลสตลู
สานกั งานเขตพ้นื ท่กี ารศึกษาประถมศึกษาสตลู

194

Sound

เสยี งในภาษาอังกฤษ มีด้วยกัน 2 ประเภท คอื เสยี งพยญั ชนะ (Consonant Sound) เชน่ /b/ /k/
/d/ และ เสยี งสระ (Vowel Sound) เชน่ /i/ /u/
1.Consonant Sound เสยี งพยัญชนะ

เสยี งพยญั ชนะ (Consonant Sound) คือ เสียงท่ีมาจากพยัญชนะในภาษาอังกฤษ มี 21 เสียง

2.Vowel Sound เสียงสระ

เสยี งสระ (Vowel Sound) มี 20 เสยี งโดยมาจากอักษรท่ีเป็นสระ 5 ตวั คือ a e i o u แบ่ง
ออกเปน็ 2 ประเภท คือ สระเสียงเดียว และสระเสยี งผสม

195

Wh – Question

 What (อะไร) ถามถงึ สิง่ ของ หรือสิ่งท่ีเฉพาะเจาะจง
เช่น What is your nationality?
I’m Thai.

 Where (ที่ไหน) ถามถึงตาแหนง่ สถานทต่ี ้งั
เช่น Where is the bank ?
The bank is near school.

 When (เมอื่ ไหร่) ถามถงึ เวลา ชว่ งเวลา
เช่น When are you going?
In the afternoon.

 Why (ทาไม) ถามถงึ เหตุผล **คาตอบมกั มีคาว่า Because
เชน่ Why are you sad ?
Because I lost my money.

 Who (ใคร) ถามถงึ บุคคล
เชน่ Who is your teacher ?
Miss Pornchanok .

 Which (สง่ิ ไหน,อนั ไหน) ถามใหเ้ ลือกตอบเจาะจง มักมคี าว่า one
เชน่ Which bicycle are your ?
The green one.

 How (อย่างไร) ถามถงึ วิธีการ
เช่น How do you go to school ?
I go to school by car.
How much ถามราคา สิ่งท่ีนับไม่ได้
เช่น How much is it ?
It’s 10 baht.
How many ถามจานวน สิ่งท่นี บั ได้
เชน่ How many flower do you have ?
I have 10 flowers.


Click to View FlipBook Version