The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kartdororo, 2021-05-02 08:29:05

DGA390 Market

ตลาดน้อย









ย้อน









รอย








กาล









เวลา

“ตลาดน้อย ย้อนรอยกาลเวลา”


หากจะพูดถึงย่านคนจีนในกรุงเทพมหานคร คนส่วนใหญ่มักจะถึงเยาวราช หรือสำาเพ็ง ย่านที่เต็มไป


ด้วยป้ายไฟหลากสี อาหารและขนมจีนเลิศรสต่างๆ และอาคารโบราณของจีนที่เรียงราย ดึงดูดนักท่องเที่ยว


ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ให้มาดื่มด่ำากับมนต์เสน่ห์ในย่านนี้


แต่น้อยคนจะรู้ว่า เดินถัดลงไปทางใต้เล็กน้อย จากสถานีหัวลำาโพงประมาณ 5 นาที จะมีชุมชนชาวจีน

ที่มีความน่าสนใจแม้กันชื่อว่า “ชุมชนตลาดน้อย”


ชุมชนตลาดน้อย ซึ่งตลาดถูกตั้งชื่อว่า ‘น้อย’ ตามชื่อลูกสาวเจ้าของตลาดคนแรก เป็นชุมชนที่ถูกก่อตั้ง


เนื่องจากขยายตัวของย่านสำาเพ็ง เนื่องจากทำาเลที่ตั้งติดริมแม่น้ำาเจ้าพระยา โดยมี ‘ท่าเรือโปเส็ง’ เป็นท่าเรือ

สำาคัญของการค้าขายในอดีต ทำาให้ย่านนี้เริ่มเจริญอย่างรวดเร็ว และด้วยเหตุนี้ จึงมีชาติอื่นๆนอกจากชาว


จีน อาทิ ชาวมอญ ญวณ โปรตุเกสที่เข้ามาตั้งรกราก ทำาให้เกิดการผสมผสานของวัฒนธรรมต่างๆ ทั้งศาล


เจ้าของจีน หรือโบสถ์คาธอลิกที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้ๆกัน ซึ่งอยู่รวมกันได้อย่างกลมกลืน โดยไม่มีองค์ประกอบ


ได้ดูผิดที่ผิดทางแต่อย่างใด


“ตลาดน้อย ย้อนรอยกาลเวลา” จะเป็นเสมือนเพื่อนของคุณ ที่จะพาผู้อ่านทุกท่านตะลอนทัวร์ร่วมไปกับ

เรา เพื่อย้อนรอยตลาดน้อย ทั้งชมสถานที่ต่างๆ และ ร่วมรับประทานอาหารและกินขนมอร่อยๆ ในวันหยุด


สุดสัปดาห์นี้ด้วยกัน

































2

“เริ่มต้นการเดินทาง”

เราเริ่มต้นการเดินทางโดยเดินทางไปลง รถไฟฟ้า MRT สถานีหัวลำาโพง โดยออกทางออกที่


1 (ทางออกจะอยู่คนละฟากถนน กับสถานีรถไฟหัวลำาโพง) จากนั้นก็เดินตามถนนเลียบคลองมาทางใต้


ก่อนจะข้ามสะพานมุ่งหน้าสู่ตลาดน้อย


ตลอดสองข้างทาง เต็มไปด้วยร้านที่ขายเหล็กต่างๆของชาวไทยเชื้อสายจีน สังเกตได้จากโคมไฟ

แดงที่ประดับด้านหน้า ป้ายร้านภาษาจีนสีทอง ซึ่งร้านเหล่านี้มักจะอยู่ติดๆกัน อย่างมากเดินผ่านแค่2


-3 บล็อกก็ต้องผ่านโรงเหล็กสักที่หนึ่ง บางที่ก็ตั้งเรียงรางกันเหมือนเป็นนิคมอุตสาหกรรมเหล็กขนาด


ย่อมๆ


นอกจากโรงเหล็กแล้ว สิ่งที่พวกเราได้เห็นมากพอๆกันคืองานกราฟฟิตี้บนผนัง ซึ่งบางภาพก็เป็น

ภาพร่วมสมัย เช่นภาพผลิตภัณฑ์ต่างๆ บ้างก็เป็นภาพอดีต ที่เล่าสมัยรุ่งเรืองของท่าเรือโปเส็ง






























3

บ้านโซวเฮงไถ่เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 9.00-18.00
ที่อยู่: 282 ซอยวานิช 2 แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ
โทร: 0-2639-6262






4

“คฤหาสน์โซวเฮงไถ่”





ใครจะไปคาดคิดว่าคฤหาสน์จีนเก่าเกือบ 220 กว่าปีจะมี

สระว่ายน้ำาอยู่กลางบริเวณบ้าน ผู้อ่านฟังอาจจะร้อง หะ? สระว่าย

น้ำากลางบ้านจีนโบราณจะมีได้ไง เพราะสระว่ายน้ำาน่าจะมีในบ้านสมัย
ใหม่เท่านั้น แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เพราะที่คฤหาสน์โซวเฮงไถ่ มีสระน้ำา

อยู่กลางบ้านจริงๆ!!















สมัยที่ท่าเรือโปเส็งยังบูมอยู่ บ้านโซวเฮงไถ่เรียกได้ว่า

ตั้งอยู่ในที่ ๆเหมาะสมกับการค้าขายมาก เพราะถัดจากบ้านไป
ไม่กี่ก้าวก็จะเจอกับท่าเรือแล้ว โดยคนจีนสมัยก่อนนั้นไม่ได้สร้าง

คฤหาสน์หลังใหญ่โตเพื่อเป็นที่พักอาศัยส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังไว้ใช้

เหมือนสำานักงานหรือบริษัทขนาดย่อมๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด

เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยจริงๆ พูดถึงนกแล้ว
กิจการหลักของที่นี่ในอดีตคือค้าขายรังนกด้วยครับ









บ้านโซวเฮงไถ่นั้นสร้างด้วยสถาปัตยกรรมจีนแบบ “สี่เรือน

ล้อม ลาน” ถ้าท่านผู้อ่านชอบดูหนังจีนโบราณ หรือแม้แต่แอนิเมชั่

นของวอลท์ ดิสนีย์อย่าง ‘มู่หลาน’ ก็ตาม ที่ตัวละครพอมีฐานะหน่อย

จะเห็นลักษณะว่าเป็นบ้านทรงยาวล้อมรอบอยู่ทั้งสี่ด้าน เหมือนเป็น

กำาแพงในตัว โดยเว้นพื้นที่ตรงกลางไว้เป็นสวนหย่อม บ้านโซวเฮงไถ่ก็

สร้างมาแบบนั้น เพียงแต่ว่าบริเวณตรงกลางบ้านที่ควรจะพื้นที่โล่งๆ

ได้กลายเป็นสระน้ำาขนาดใหญ่แล้ว ซี่งก็ดูสวยแปลกตาไปอีกแบบ









5

เจ้าของบ้านดั้งเดิมคือพระอภัยวานิช หรือเจ้าสัวจาด

นายอาญารังนกชาวจีนฮกเกี้ยน ผู้เป็นบรรพบุรุษของสกุลโปษยะ
จินดา ได้สร้างคฤหาสน์หลังนี้ราว ๆ พ.ศ.2340 ต้นกรุงรัตนโกสินทร์
หรืออาจจะสมัยกรุงธนบุรีด้วยซ้ำา ปัจจุบันคนที่ดูแลคฤหาสน์เหล่านี้
คือทายาทรุ่นที่ 8 คุณภู่ศักดิ์ โปษยะจินดา (คุณภู่) ที่เป็นครูสอนว่าย
น้ำาเกือบ 30 ปี คุณภู่ได้เปิดคฤหาสน์หลังนี้ให้ผู้ที่สนใจเข้าชม โดย
มีมุมคาเฟ่เล็กๆขายทั้งน้ำาดื่มและไอศกรีม และยังเปิดสอนดำาน้ำา (
เนยแอบกระซิบว่า ‘สำานักดำาน้ำา’ แหม! ดำาน้ำาท่ามกลางบ้านทรงจีน
สวยงามอย่างนี้ นึกว่าตัวเองกำาลังฝึกวิทยายุทธ์กำาลังภายในอยู่คงไม่
แปลก)

หลังจากซื้อเครื่องดื่มคลายร้อนกันแล้ว พวกเราก็ขึ้นมาก
พักผ่อนบนตัวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นของเดิมทั้งสิ้น สังเกตได้จากพื้นไม้
สีแดงทาผนังที่เริ่มหลุดร่อนไปตามกาลเวลา บางมุมตรงขอบหน้าต่าง
มีเครื่องลายครามจีนมาประดับ หลังจากหายเหนื่อยแล้ว เดินข้าม
ธรณีประตูเชื่อมไปยังกลางบ้าน จะมีพื้นไม้ยกสูงขึ้นและมีหมอนอิง
วางเรียงรายอยู่ ทำาให้เห็นสมัยก่อนบริเวณนี้คงจะบริเวณที่พักผ่อน
หย่อนใจของเจ้าของบ้าน

ตามผนังมีการแปะรูปภาพบรรพบุรุษเจ้าของบ้านหลังนี้ไว้
เรียงราย ย้อนกลับไปถึงรองอำามาตย์เอกหลวงนาวาเกนิกร ต้นตระ
กูลโปษยะจินดา สลับกับภาพกษัตริย์รัชสมัยต่างๆ โดยระหว่างเดิน
ผมพยายามจะไม่ทำาเสียงดังมาก เพราะเจ้าของบ้านยังคงอาศัยอยู่
ที่นี่
ก่อนจะกลับ สามารถแวะไปทักทายน้องหมาบีเกิ้ลของที่นี่
ได้นะ น้อง ๆน่ารักทุกตัว เป็นดีกรีแชมป์เสียด้วย (ได้ยินว่าไปกวาด
รางวัลที่อเมริกามา แหม!เห็นถ้วยที่ตั้งอยู่ก็ไม่สงสัยเลยคร้าบ )
บ้านโซวเฮงไถ่เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 9.00-18.00 ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ช่วย

อุดหนุนน้ำาหรือไอศกรีมหน่อยก็ดีนะ เพื่อเป็นค่าทำานุบำารุงบ้านโซวเฮง
ไถ่ให้อยู่ไปนานๆ



Preview คฤหาสน์โซวเฮงไถ่

6

7

วันเวลาเปิดปิดของที่นี่ไม่ได้บอกชัดเจน แต่สามารถโทรศัพท์ไปถามตาม
เบอร์: 02-233-8929 เพื่อสอบถามก่อนได้ครับ


















8

ศาลเจ้าโรงเกือก






(ฮ้อนหว่องกุง)








นั่งพักดื่มน้ำ า คลายร้อนแล้ว ก็ถึงเวลาออกเดินทาง
นั่งพักดื่มน้ำาคลายร้อนแล้ว ก็ถึงเวลาออกเดินทาง
กันต่อละ พวกเราบอกลาคฤหาสน์เก่าแก่ และเดินลัด
กันต่อละ พวกเราบอกลาคฤหาสน์เก่าแก่ และเดินลัด
เลาะไปตามตอกซอกซอย ชมภาพกราฟฟิตี้ตามผนังเพ
เลาะไปตามตอกซอกซอย ชมภาพกราฟฟิตี้ตามผนังเพ
ลินๆ รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่หน้าศาลเจ้าฮ้อนหว่องกุง หรือ
ลินๆ รู้ตัวอีกทีก็มายืนอยู่หน้าศาลเจ้าฮ้อนหว่องกุง หรือ
อีกชื่อหนึ่ง “ศาลเจ้าโรงเกือก”
อีกชื่อหนึ่ง “ศาลเจ้าโรงเกือก”
สิ่งที่หน้าสนใจของศาลเจ้าแห่งนี้ คือที่นี่เป็นศาล
สิ่งที่หน้าสนใจของศาลเจ้าแห่งนี้ คือที่นี่เป็นศาล
เจ้าจีนแคะ(ฮากกา) ท่ามกลางชุมชนชาวจีนฮกเกี้ยน โดย
เจ้าจีนแคะ(ฮากกา) ท่ามกลางชุมชนชาวจีนฮกเกี้ยน โดย
สังเกตได้ทรงอาคารจะคล้ายๆป้อมปราการ ซึ่งชาวจีน
สังเกตได้ทรงอาคารจะคล้ายๆป้อมปราการ ซึ่งชาวจีน
แคะนิยมสร้าง เพื่อป้องกันการรุกรานจากชาวจีนกลุ่ม
แคะนิยมสร้าง เพื่อป้องกันการรุกรานจากชาวจีนกลุ่ม
อื่นๆในอดีต โดยชื่อฮ้อนหว่องกุง เป็นชื่อเทพเจ้าของชาว
อื่นๆในอดีต โดยชื่อฮ้อนหว่องกุง เป็นชื่อเทพเจ้าของชาว
จีนที่ประดิษฐานที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ส่วนที่คนไทยเรียกกัน
จีนที่ประดิษฐานที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ส่วนที่คนไทยเรียกกัน
ติดปากอีกชื่อว่า “ศาลเจ้าโรงเกือก” เพราะศาลเจ้าจีน
ติดปากอีกชื่อว่า “ศาลเจ้าโรงเกือก” เพราะศาลเจ้าจีน
แห่งนี้เป็นของชาวจีนแคะ ซึ่งชาวจีนแคะย่านตลาดน้อย
แห่งนี้เป็นของชาวจีนแคะ ซึ่งชาวจีนแคะย่านตลาดน้อย
มีฝีมือด้านเครื่องเหล็ก เครื่องจักรกล ซึ่งของที่ผลิตสมัย
มีฝีมือด้านเครื่องเหล็ก เครื่องจักรกล ซึ่งของที่ผลิตสมัย
นั้นมีเกือกม้าด้วย เพราะการสัญจรสมัยรถยนต์ยังไม่แพร่
นั้นมีเกือกม้าด้วย เพราะการสัญจรสมัยรถยนต์ยังไม่แพร่
หลายในไทยคือรถม้า ศาลเจ้าของชาวจีนแคะจึงถูกเรียก
หลายในไทยคือรถม้า ศาลเจ้าของชาวจีนแคะจึงถูกเรียก
โดยปริยาย
ว่า ‘ศาลเจ้าโรงเกือก’ ไป
ว่า ‘ศาลเจ้าโรงเกือก’ ไปโดยปริยาย






























9

ศาลเจ้าแห่งนี้มีพระโพธิสัตว์ และเทพเจ้าจีน

ประดิษฐานอยู่หลายองค์ เช่น เจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่

ทับทิม เป็นต้น แต่ที่คนมาไหว้ที่ศาลเจ้าแห่งนี้เยอะ
เพราะที่นี่ประดิษฐาน ‘เทพเจ้าไถ่ซิงเอี๊ยะ’ ซึ่งเป็น

เทพเจ้าแห่งโชคลาภ ซึ่งค่อนข้างขึ้นชื่อที่นี่ โดยทุกวัน

ตรุษจีนจะมีการตั้งโต๊ะไหว้เทพเจ้าไถ่ซิงเอี๊ยเป็นปกติ โดย
สามารถซื้อของไหว้รวมทั้งกระดาษเงินกระดาษทองมา

ไหว้ ก่อนจะเอากระดาษมาเผาเตาข้างล่าง
แต่ถึงไม่ใช่วันตรุษจีน ก็อยากเชิญชวนผู้อ่าน

ที่เที่ยวตลาดน้อยให้มาแวะศาลเจ้าแห่งนี้ เพราะมีมุม

ถ่ายรูปสตรีทสวยๆเยอะมาก แต่มุมภายในศาลเจ้าอาจ
จะต้องสำารวมสักหน่อย เผอิญวันที่ไป ได้เจอชาวไทยเชื้อ

สายจีนหลายท่านนุ่งขาว รวมตัวกันสวดมนต์รายชื่อพระ
โพธิสัตว์อยู่ โดยได้ทราบว่าเป็นกิจกรรมที่ทำากันอยู่แล้ว

แต่เพราะติดโควิด ทำาให้การนัดครั้งก่อนๆล้มเหลวไปจน

นัดสำาเร็จได้วันนั้น เลยถือว่าพวกเราโชคดีมาก เพราะได้
เห็นการตั้งโต๊ะไหว้เทพเจ้า ที่ประดับประดาด้วยของไหว้

และตกแต่งด้วยกระดาษเงินกระดาษทองสวยงาม

จะให้มองเฉยๆก็ยังไงอยู่ จึงขอไปไหว้เทพเจ้าไถ่
ซิงเอี๊ยะ และพระโพธิสัตว์ท่านื่นๆตามแต่ศรัทธาเพื่อโชคลาภ

และความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต ใครที่ชอบดูดวง อาจจะไปเขย่า

เซียมซีเสี่ยงดวงกันได้ (สามสาวในกลุ่มนี่มาก เรื่องเซียมซี)








































































Preview ศาลเจ้าโรงเกือก

11

ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย
เลขที่ 1280 ถนนโยธา แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์
กรุงเทพมหานคร

เปิดทำาการ: จันทร์-ศุกร์ (เว้นวันหยุดราชการ) เวลา 08:30-15:30
12

*(ปัจจุบันจัดแสดง)พิพิธภัณฑ์ธนาคารไทย:
เลขที่ 9 ถนนรัชฎาภิเษก แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900

โทรศัพท์: 0-2544-3858
วันจันทร์-ศุกร์ (ยกเว้นวันหยุดราชการ) เวลา 9:30-17:00
ค่าเข้า: ชมฟรีจ้า
13

“ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย:

แบงค์สยามกัมมาจล”



หลังจากไหว้พระโพธิสัตว์และเทพเจ้า กับเขย่าเซียมซีเสี่ยงโชคจนหนำาใจ

แล้ว พวกเราก็เดินลัดเลาะริมแม่น้ำาเจ้าพระยาผ่านกรมเจ้าท่าไปไม่นาน ก็มาหยุดอยู่

ที่ประตูทางเข้าธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย


ซุ้มเสาโค้งป้ายธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ตั้งอยู่ใจกลางแหล่งชุมชนของตลาด

น้อยที่จอแจไปด้วยร้านรวงนั้น ดูเผินๆก็ไม่ต่างจากธนาคารไทยพาณิชย์ทั่วไปแถวๆ

บ้าน ที่มีตรารูปใบโพธ์สีม่วง ล้อมกรอบสีเหลือง ประดับข้างๆด้วยตราครุฑ แต่


เมื่อเราเดินผ่านซุ้มประตูเข้าไปในอาณาเขตของธนาคารแล้ว ก็เริ่มสัมผัสถึงความไม่

ธรรมดาของธนาคารสาขานี้ เมื่อได้เห็นอาคารสีขาวครีมหลังใหญ่โตตั้งตระหง่านอยู่


เบื้องหน้า และเมื่อเดินถัดไปหน่อยก็จะเห็นสนามหญ้าเขียวขจี และต้นโพธิ์ใบดกครึ้ม

และศาลาท่าเรือริมแม่น้ำาเจ้าพระยา องค์ประกอบต่างๆเหล่านี้รวมกัน ช่วยขับความ

ใหญ่โตโอ่อ่าของอาคารสีครีมหลังนี้ให้โดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก


หลังจากที่เดินชมภายนอกธนาคารจนพอใจแล้ว พวกเราก็ตัดสินใจเดินเข้าไป

เยี่ยมชมข้างในตัวธนาคารสักหน่อย ภายในธนาคารนั้นเปิดทำาการเหมือนธนาคาร


ปกติทุกประการ แต่ขั้นบันไดที่หุ้มด้วยพรมหนาสีแดง ก่อนจะเดินผ่านทางเข้าไปข้าง

ใน ที่ประดับประดาด้วยสีดำาสลับสีทองเหลืออร่ามตั้งแต่พื้น ไล่ไปจนเคาท์เตอร์ยัน

เพดาน จนพวกเรารู้สึกเหมือนหลุดไปในยุคแก๊สบี้ (ถ้าผู้อ่านเคยดูหนัง The Great


Gatsby ที่ Leonardo Dicaprio แสดง อาจจำาฉากเปิดได้เป็นพื้นหลังสีดำาสลับลาย

สีทองได้ เป็นแบบนั้นเลย!)






แค่เราเดินเข้าไปข้างในก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าชายเจ้าหญิงอะไรอย่างนั้น ไม่น่าแปลกอะไร

เพราะอาคารฝรั่งสไตล์โบซาร์ (Beaux Arts) ผสมกับนีโอคลาสสิค (Neo-Classic) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรม

ที่คล้ายคลึงกับในพระที่นั่งอนันตสมาคม ทั้งเสาทรงไอออนิก ซึ่งเป็นเสาแบบเดียวกับวิหารกรีก และ

กระเบื้องที่สั่งนำาเข้าจากเยอรมัน! ตึกของธนาคารออกแบบโดย Anibale Rigotti และ Mario Tamagno

สถาปนิกชาวอิตาลี ผู้รับราชการในไทยสมัยนั้น





14

ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาตลาดน้อย หรือในอดีตคือแบงค์สยามกัมมาจล (มาจาก Siam Commercial Bank) ไม่
ได้เป็นแค่ธนาคารไทยพาณิชย์สาขาแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของประเทศไทยอีกด้วย แบงค์สยามกัมมาจล

นั้นก่อตั้งในนาม ‘บุคคลัภย์’ (Book Club) ซึ่งเป็นองค์กรที่ตั้งมาเพื่อทดลองการดำาเนินกิจการธนาคารไทยพาณิชย์ในไทย โดย
พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นมหิศราชฤทัย ซึ่งทรงดำารงตำาแหน่งเสนาบดีกระทรวงพระคลังมหาสมบัติ (ตอนนี้คือ ‘กระทรวงการ
คลัง’) ในรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2449 ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็นธนาคารไทยพาณิชย์ พ.ศ. 2482










































15

แต่เดิม ที่ตั้งชั่วคราวของแบงค์สยามกัมมาจล ตั้งอยู่ที่ตำาบลบ้านหม้อ อำาเภอพระนคร
จังหวัดพระนคร (ในอดีต กรุงเทพฝั่งตะวันตกของแม่เจ้าพระยาคือจังหวัดธนบุรี ฝั่งตะวันออก

คือจังหวัดพระนคร) ก่อนจะย้ายมาที่ตลาดน้อย เพราะทำาเลดี ติดแม่น้ำาเจ้าพระยา และใกล้แหล่ง
ค้าขายสำาคัญอย่างเยาวราชและสำาเพ็ง และยังมีชาวไทยและชาวจีนอาศัยอยู่จำานวนมาก

เมื่อก่อนชั้นสองของธนาคารแห่งนี้เคยเป็นพิพิธภัณฑ์ธนาคาร จัดแสดงรวบรวมของเก่า

อย่างเครื่องพิมพ์ดีด สมุดบัญชีเก่า พระบรมรูปผู้ก่อตั้ง ซึ่งพิพิธภัณฑ์ถูกย้ายไปที่ธนาคารไทย
พาณิชย์สาขารัชโยธินแล้ว พวกเราที่คิดว่าจะมาชมพิพิธภัณฑ์เสียหน่อย ก็แห้ว! แต่เพื่อไม่ให้

เสียเที่ยว พวกเราก็อ้อนวอนขอพี่พนักงานขอไปดูชั้น 2 ขอไปดูสิ่งที่เหลือหน่อยก็ดี จนในที่สุด พี่

พนักงานก็ใจอ่อน ยอมให้คุณป้าแม่บ้านพาเราขึ้นไปดู...

ห้องเปล่าๆขนาดใหญ่... โล่ง ไม่เหลืออะไรเลย นอกจากรูปภาพที่แปะเรียงรายอยู่ตามผนัง
พวกเราก็ไม่ยอมแพ้ พยายามถ่ายอะไรเท่าที่ได้ สังเกตเห็นว่าแชนเดอเลียร์ กับพื้นไม้น่าจะอยู่นาน

ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 สุดเข้าไปที่มุม มีบรมรูปท่านผู้ก่อตั้งซึ่งถูกประตูถูกล็อก

ถึงจะแห้วนิดหนึ่ง แต่การได้มาชมธนาคารสวยๆแห่งนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว แต่เผื่อผู้อ่านจะได้

ไม่เข้าใจผิดอย่างพวกเรา

แต่ใครอยากมาชมความงามธนาคารพาณิชย์แห่งแรกของไทยล่ะก็ สามารถเข้ามาชมตรงสนามหญ้ารอบๆ หรือจะเข้าไปดูข้างใน
ที่ชั้น 1 ก็ได้นะ เพราะธนาคารเปิดทำาการเหมือนธนาคารปกติ
















































17 Preview ธนาคารไทยพาณิชย์

ซอยวานิช 2 แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์
กรุงเทพมหานคร

เวลาเปิดเข้าชม 8:00-19:30

“โบสถ์กาลหว่าร์”



เหมือนสถานที่สำาคัญในชุมชนตลาดน้อยจะอยู่ติดๆกันไปหมด เพราะเดินออกจากธนาคารไทยพาณิชย์มาไม่

นาน ก็ถึงโรงเรียนกุหลาบวิทยา ซึ่งภายในอาณาเขตโรงเรียนแห่งนี้ประดิษฐานโบสถ์นิกายโรมันคาธอลิก ชื่อ ‘โบสถ์

กาลหว่าร์’ หรือ ‘วัดพระแม่ลูกประคำา’ (Holy Rosary Church)

ถึงแม้ว่าโบสถ์นี้จะสร้างขึ้นสมัยต้นรัตนโกสินทร์ แต่ภายในโบสถ์แห่งนี้เก็บรักษา “รูปพระศพของพระเยซู”

และ “รูปพระแม่พระลูกประคำา” ซึ่งเป็นสมบัติที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงกรุงศรีอยุธยาเชียวนะ ช่วงแรก ๆ โบสถ์

แห่งนี้ถูกเรียกว่า “โบสถ์กาลวารีโอ” ซึ่งตั้งชื่อตามกาลวารี (Calvary) เนินเขาที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน โดยเวลา

ผ่านไปก็กร่อนเสียงกลายเป็น “กาลหว่าร์” ในที่สุด

แล้วทำาไมโบสถ์คาธอลิกแบบฝรั่งถึงมาตั้งอยู่ท่ามกลางชุมชนคนจีนได้ล่ะ? เรื่องมีอยู่ว่า กาลครั้งหนึ่งนาน

มาแล้ว ตอนที่กรุงศรีอยุธยาเสียกรุงใหม่ๆ ชาวโปรตุเกสที่หนีอพยพลงมาอาศัยอยู่บริเวณฝั่งธนบุรี ได้สร้างโบสถ์

ซางตาครู้สเป็นศาสนสถานคริสต์ โดยที่ดินนั้นได้รับพระราชทานจากสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชแด่คุณพ่อกอร์

ชาวโปรตุเกส
































ทว่าเมื่อเปลี่ยนราชวงศ์ รัชกาลที่ 1 ได้อัญเชิญพระสังฆราชกูเด ชาวฝรั่งเศส (ซึ่งถูกขับออกไปโดยสมเด็จ
พระเจ้าตากสิน เพราะไม่ยอมดื่มน้ำาพิพัฒน์สัตยา) ให้มาปกครองโบสถ์ซางตาครู้ส ซึ่งชาวโปรตุเกสส่วนหนึ่งไม่ยอมรับประมุข

มิสตังจากประเทศอื่น แต่จะรับแต่บาทหลวงโปรตุเกสเท่านั้น ซึ่งเป็นข้อบาทหมางตั้งแต่สมัยกรุงสรีอยุธยาแล้ว
ชาวโปรตุเกสที่ยอมรับสังฆราชกูเดไม่ได้ จึงย้ายไปอาศัยที่เปล่าอีกฝั่งแม่น้ำาเจ้าพระยา แถวๆตลาดน้อย โดยตั้งชื่อ

ชุมชนแถวนั้นว่า “ข่ายพระแม่ลูกประคำา” ตามชื่อรูปแม่พระที่นำามาจากอยุธยา เพื่อยุติความขัดแย้ง รัชกาลที่ 1 จึงมอบที่ดิน

ที่ชาวโปรตุเกสอยู่เพื่อสร้างวัด พ.ศ.2329 โดยวัดสร้างเสร็จในปีถัดมา รูปพระแม่ลูกประคำาประดิษฐานหลังพระแท่น รูปพระ
ศพพระเยซูเก็บไว้ในตู้ (รูปปั้นพระแม่ และรูปพระศพนี่เอง ที่กลายเป็นชื่อวัดเวลาถัดมา)





19

ชาวโปรตุเกสในตอนนั้นมีเพียง 137 คน

เท่านั้นและไม่มีบาทหลวงประจำา นอกจาก
บาทหลวงชาวฝรั่งเศสถวายพิธีมิสซาเป็นครั้ง

คราว เมื่อไม่มีบาทหลวงโปรตุเกสอยู่ประจำา

ชาวโปรตุเกสจึงค่อยๆยอมรับประมุขมิสซัง
สยามชาวฝรั่งเศสในที่สุด

เวลาผ่านไป ชาวโปรตุเกสบริเวณนี้อพยพ

ไปในที่ต่างๆ ในขณะที่ชาวจีนทยอยมาอาศัยใน

ชุมชนตลาดน้อยมากขึ้น และชาวจีนบางคนก็หัน

มาเข้ารีตนับถือคริสต์นิกายโรมันคาธอลิค โดย
โบสถ์แห่งนี้ได้มีการบูรณะอยู่เสมอ จากโบสถ์

เดิมของชาวโปรตุเกสที่ทรุดโทรมเปลี่ยนมาเป็น

ไม้ไผ่มุงแฝก ก่อนจะมีการบูรณะใหม่เรื่อย ๆ
ก่อนที่โบสถ์จะเป็นทรงถาวรในเดือนตุลาคม

พ.ศ. 2440

วัดหลังใหม่ที่พวกเราได้ไปเห็นนั้นเป็น

โครงสร้างถาวร ที่มีความใหญ่โตโอ่อ่าด้วย

สถาปัตยกรรมนีโอกอทิก (Neo-Gothic archi-

tecture หรือ Gothic Revival architecture)

สังเกตได้จากยอดหอคอยสูงแหลม เหมือน

สถาปัตยกรรมสไตล์โกธิคอื่นๆ เช่น มหาวิหาร

นอเทรอดามในฝรั่งเศส หรือมหาวิหารเลอ

อนในสเปน นอกจากนี้ ยอดโบสถ์ยังมีผังรูป

กางเขนโรมันหันหน้าสู่แม่น้ำาเจ้าพระยา

เป็นโชคดีที่ว่าโรงเรียนกุหลาบวิทยาไม่ได้ห้ามคนนอก สำาหรับรูปแม่พระลูกประคำาและรูปศพพระเยซู

เข้า พวกเราจึงสามารถเข้ามาเยี่ยมชมตัวโบสถ์ได้ แต่น่า สัญลักษณ์ประจำาวัด ถ้าหาไม่เจอก็ไม่ต้องกลัวว่าหายไป
เสียดาย เพราะสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด 19 พวกเรา ไหน รูปปั้นทั้งสองถูกเก็บรักษาไว้อย่างดี และจะถูกแห่รอบ
จึงไม่สามารถเข้าไปถ่ายรูปข้างในได้ยกเว้นแต่จะเข้าร่วม วัดปีละหนึ่งครั้ง แต่คนละวัน รูปแม่พระลูกประคำาจะนำามา

พิธีทางศาสนาด้วย จึงทำาได้แค่เดินชมโบสถ์รอบๆ และเพ่ง แห่ในโอกาสฉลองวัด ส่วนรูปปั้นพระเยซูจะแห่ในวันศุกร์
มองรูปปั้นพระเยซูข้างในได้จากทางเข้าและมองลอดผ่าน ศักดิ์สิทธิ์ให้ผู้ศรัทธาได้กราบไหว้นมัสการ
หน้าต่างโบสถ์ได้เท่านั้น โดย ณ ขณะนั้นมีคริสต์ศาสนิกชน โดยเนื่องจากโบสถ์ตั้งอยู่ในโรงเรียนกุหลาบวิทยา ซึ่ง

ชาวไทยเชื้อสายจีนกำาลังสวดมนต์กันอยู่ มีประตูทางเข้าสองประตูซึ่งเวลาเปิดปิดอาจจะขึ้นอยู่กับ
ถ้าหากผู้อ่านเป็นคริสต์ศาสนิกชนคาธอลิกที่ได้ โรงเรียน การชมรอบๆวิหารสามารถทำาได้ตามอัธยาศัย

ไปทำาพิธีภายในวิหารแห่งนี้ หรือได้มีโอกาสเยี่ยมชมความ แต่เข้าชมข้างในอาจต้องสอบถามเจ้าหน้าที่ก่อน เนื่องด้วย
งดงามภายในวิหารข้างในหลังจากเหตุการณ์แพร่ระบาด สถานการณ์โควิด 19 หรือข้างในประกอบพิธีทางศาสนาอยู่
โควิด 19 ทุเลาลงแล้ว จะเห็นที่นั่งไม้เรียงรายเป็นแถว

บริเวณพระแท่นด้านในสุดของโบสถ์มีรพระแท่นหินอ่อน
ที่บนพระแท่นเป็นแม่พระและพระเยซู(ทารก)กำาลังมอบ

สายประคำาให้นักบุญดอมินิกและนักบุญเตรีนาแห่งซีเอนา
มุขด้านหน้าบริเวณพระแท่น มีพระแท่นเล็กตั้งตั้งไว้ที่มุข
สองด้าน เหนือพระแท่นด้านใต้เป็นรูปพระหทัยพระเยซู

และด้านเหนือเป็นรูปปั้นนักบุญโยเซฟ นอกจากนี้ตามผนัง
ประดับไปด้วยกระจกสีที่เล่าถึงเหตุการณ์ในศาสนาคริสต์ Preview โบสถ์กาลหว่าร์
เช่น กำาเนิดพระเยซู ภาพทูตสวรรค์ เป็นต้น














































21



Special : คาเฟ่เฮยจี





เดินเที่ยวมาทั้งวัน ทั้งล้าทั้งเพลีย อยากจะหาที่นั่ง เข้าไปข้างใน แอร์เย็นๆกับกลิ่นหอมกรุ่นของ
พักเย็นๆ ได้เครื่องดื่มชุ่มคอแก้กระหายสักแก้ว หรือขนม กาแฟของโผล่มาทักทาย เราต่างหยิบเมนูมาสั่งเครื่อง


ทานคู่กันสักชิ้นก็ดี แล้วเราก็เจอคาเฟ่แห่งนี้โดยบังเอิญ: ดื่ม โดยมีทั้งเมนูชากาแฟ โดยกาแฟเป็นกาแฟบดสดๆ
Hei Jii Cafe (คาเฟ่เฮยจี) และยังมีเครื่องดื่มผลไม้ อย่างส้มยูสุ สำาหรับใครที่


คาเฟ่เฮยจีไม่ได้ตั้งอยู่ในตลาดน้อย แต่เดินห่าง ต้องการความสดชื่น ผมได้ตัดสินใจสั่งชานมของขึ้นชื่อ
ออกไปประมาณ 7 นาที ห่างจากซอยท่าเรือสี่พระยาไป ที่นี่ และสั่งครัวซองค์แบ่งกับเพื่อนอิงไปนั่งที่โต๊ะมุมห้อง


ไม่นาน ก็จะเจอคาเฟ่ห้องแถวเล็กๆ และป้ายมีภาพวาดไก่ ผนังเขียว สมมุติว่าเราย้อนเวลามาร้านชากาแฟของคน
ประดับอยู่ ประตูเป็นประตูไม้บานพับ มองเข้าไปข้างใน จีนสมัยก่อน


ค่อนข้างมืดจนแอบสงสัยว่าร้านเปิดหรือไม่ แต่เมื่อมีป้าย อา… กลิ่นครัวซองต์หอมกรุ่น กรอบนอกนุ่มใน
บอกว่าร้านเปิดอยู่บวกกับอากาศร้อน และร่างกายอันอ่อน ยามเมื่อกัด ตัดด้วยเนยเค็มที่ปาดมาอย่างพอดี จากนั้น


ล้า พวกเราก็ไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปรับแอร์เย็นๆภายในร้าน ก็จิบชานม ที่เสิร์ฟมาในแก้ว ปิดฝาด้วยกระดาษรัดหนัง
ยางเจาะหลอดดูด กลิ่นหอมใบชาผสมกับความนุ่มนวล


ของนมช่างเป็นบรรยากาศที่น่ารื่นรมย์ในวันที่เหนื่อย
อย่างวันนี้จริงๆ












































23

เจ้าของร้านคือ “คุณมิก” ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสาย

จีน ที่หยิบยกความทรงจำาในวัยเด็กมาเป็นแรงบันดาลใจ

ในการตกแต่งร้าน และรังสรรค์อาหาร ขนมและเครื่องดื่ม

ต่างๆ เครื่องดิ่มก็มีหลากหลายทั้ง Hong Kong Papaya

Milk นมมะละกอที่คาเฟ่ในฮ่องกงมักติดร้านไว้ และยังมี

ชาอู่หลงให้เลือกหลายแบบอย่าง Shui Xian ที่ช่วยปรับ

สมดุลธาตุ และกาแฟ Yin Yang กาแฟบราซิลชงมือที่ต้อง

ชงด้วยความชำานาญ โดยใช้ครีม คาราเมล เกลือทำาเป็น

ส่วนขาวๆให้ได้เป็นรูปทรงหยินหยางที่สวยงาม
ของว่างและขนมก็มีทั้งของจีน ของฝรั่ง ของไทย

ที่ฟิวชั่นให้เลือกสรรหลากหลายเพื่อจับคู่กินกับเครื่องดื่ม

อย่าง Spicy Fried Wanton เกี๊ยวแผ่นบางไส้หมูทรง

เครื่อง ทอดจนเหลืองกรอบ ราดซอสต้มยำาแห้งและโรย

ด้วยถั่วลิสงคู่ หรือถ้าใครชอบขนมฝรั่ง อาจจะสนใจ Earl

Grey Chiffon ขนมสไตล์ฝรั่งเศสที่ใช้ชาเอิร์ลเกรย์ตุ๋นกับ

นมให้ได้เนื้อชานมเข้มๆ ก่อนที่จะไปตีกับแป้งชิฟฟอนนุ่มฟู
เพื่อลดความเข้มของชาลง ราดด้วยครีมและอัลมอนด์คั่ว

แบบฝรั่งเศสเพื่อเพิ่มความหวานชุ่มฉ่ำา กินด้วยกันทั้งเนื้อ

เค้กและเนื้อครีมในคำาเดียวเป็นรสชาติที่ลงตัวมาก

ร้านยังมีเมนูเครื่องดื่มหรือของกินเล่นและเครื่องดื่มอื่นๆอีกมาก และคุณมิกกับ
ทีมก็รังสรรค์เมนูใหม่ๆอยู่เสมอ ถ้าสนใจก็สามารถมาแวะชิมได้
ร้านตั้งอยู่ที่ ซอยเจริญหรุง 43
เวลาเปิดปิด: 9:00 - 18:00





















































































25

ปิดท้าย




การเดินทางย้อนรอยการเวลาครั้งนี้ พาให้พวกเราได้เจอความงามอันหลากหลาย ที่เกิด

จากการหลอมรวมวัฒนธรรมหลากหลายชาติในชุมชนเล็กๆแห่งนี้ อย่างคฤหาสน์โซวเฮงไถ่ของจีน

ฮกเกี้ยน ธนาคารไทย พาณิชย์ตลาดน้อย สไตล์โบซาร์ และวัดพระแม่ลูกประคำานีโอโกธิค ที่อยู่


รวมกันในชุมชนเล็กๆอันมีเสน่ห์แห่งนี้

ในช่วงวันหยุด ถ้าไม่รู้จะไปเที่ยวไหนดี อาจจะพิจารณาตลาดน้อยเป็นตัวเลือกหนึ่งใน


ดวงใจ บางทีคุณอาจจะได้รับประสบการณ์ประทับใจที่พิเศษกลับไปเช่นกัน


Click to View FlipBook Version