The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 28550, 2024-06-26 09:17:06

ดาราศาสตร์ 2

ดาราศาสตร์ 2

จัดทำ โดย ระบบสุริยะ นาสาวสุวภัทร สิงห์หะ เสนอ คุณครูสงบ ดุษฎีธัญกุล โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือ รายวิชา โลกและดาราศาสตร์


ระบบสุริยะ ระบบสุริยะ คือระบบดาวที่มีดาวฤกษ์เป็นศูนย์กลาง และมีดาวเคราะห์ (Planet) เป็น บริวารโคจร อยู่โดยรอบ เมื่อสภาพแวดล้อมเอื้ออำ นวย ต่อการดำ รงชีวิต สิ่งมีชีวิตก็ จะเกิดขึ้นบนดาวเคราะห์เหล่านั้น หรือ บริวารของดาวเคราะห์เองที่เรียกว่าดวงจันทร์ (Satellite) นักดาราศาสตร์เชื่อว่า ในบรรดาดาวฤกษ์ทั้งหมดกว่าแสนล้านดวงในกา แลกซี่ทางช้างเผือก ต้องมีระบบสุริยะที่เอื้ออำ นวยชีวิตอย่าง ระบบสุริยะที่โลกของ เราเป็นบริวารอยู่อย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าระยะทางไกลมากเกินกว่าความสามารถใน การติดต่อจะทำ ได้โลกของเราอยู่เป็นระบบที่ประกอบด้วย ดวงอาทิตย์ (The sun) เป็นศูนย์กลาง มีดาวเคราะห์ (Planets) 9 ดวง ที่เราเรียกกันว่า ดาวนพเคราะห์ ( นพ แปลว่า เก้า) เรียงตามลำ ดับ จากในสุดคือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก ดาวอังคาร ดาว พฤหัส ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส ดาวเนปจูน ดาวพลูโต


ส่วนประกอบของระบบสุริยะ ดาวเคราะห์ (Planet) คือวัตถุขนาดใหญ่ที่โคจรรอบดาวฤกษ์ ก่อนคริสต์ทศวรรษ 1990 มีดาวเคราะห์ที่เรารู้จักเพียง 8 ดวง (ทั้งหมดอยู่ในระบบสุริยะ) ปัจจุบันเรารู้จัก ดาวเคราะห์ใหม่อีกมากกว่า 100 ดวง ซึ่งเป็นดาวเคราะห์นอกระบบ คือ โคจรรอบ ดาวฤกษ์ดวงอื่นที่ไม่ใช่ดวงอาทิตย์


ทฤษฎีที่เป็นที่ยอมรับกันมากที่สุดในปัจจุบันกล่าวว่าดาวเคราะห์ก่อตัวขึ้น จากการยุบตัวลงของกลุ่มฝุ่น ฝุ่ และแก๊ส พร้อมๆ กับการก่อกำ เนิดดวง อาทิตย์ที่ใจกลาง ดาวเคราะห์ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง สามารถมองเห็นได้ เนื่องจากพื้นผิวสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ส่วนใหญ่ในระบบ สุริยะมีดาวบริวารโคจรรอบ ยกเว้นดาวพุธและดาวศุกร์ และสามารถพบ ระบบวงแหวนได้ในดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อย่างดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน มีเพียงดาวเสาร์เท่านั้นที่สามารถมองเห็น วงแหวนได้ชัดเจนด้วยกล้องโทรทรรศน์


เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2549 ที่ประชุมสหพันธ์ดาราศาสตร์สากล ที่กรุง ปราก สาธารณรัฐเช็ก ซึ่งประกอบด้วยนักดาราศาสตร์กว่า 2,500 คนจาก 75 ประเทศทั่วโลก ได้มีมติกำ หนดนิยามใหม่ของดาวเคราะห์ ดังนี้ เป็นดาวที่โคจรรอบดาวฤกษ์ (ซึ่งในที่นี้หมายถึงดวงอาทิตย์) แต่ไม่ใช่ ดาวฤกษ์ และไม่ใช่ดาวบริวาร มีมวลมากพอที่จะมีแรงโน้ม น้ ถ่วงดึงดูดตัวเองให้อยู่ในสภาวะสมดุลอุทก สถิต หรือรูปร่างใกล้เคียงกับทรงกลม มีวงโคจรที่ชัดเจนและสอดคล้องกับดาวเคราะห์ข้างเคียง มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อ น้ ย 500 ไมล์ (804.63 กิโลเมตร)


นิยามใหม่นี้ส่งผลให้ ดาวพลูโต (♇) และดาวอีรีส ซึ่งเคยนับเป็นดาว เคราะห์ดวงที่ 9 และ 10 ถูกปลดออกจากการเป็นดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ คงเหลือดาวเคราะห์เพียง 8 ดวง เนื่องจากดาวพลูโตไม่สามารถควบคุม แรงดึงดูด และวงโคจรของสิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกระบบสุริยะ ทั้งยังมีวงโคจรที่ ไม่สอดคล้องกับดาวเคราะห์ข้างเคียง และให้ถือว่าดาวพลูโตเป็น ดาว เคราะห์แคระ ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับวัตถุขนาดเล็กในระบบสุริยะ


กำ เนิดระบบสุริยะ ระบบสุริยะเกิดจากกลุ่มฝุ่น ฝุ่ และแก๊สในอวกาศซึ่งเรียกว่า “โซลาร์เนบิวลา” (Solar Nebula) รวมตัวกันเมื่อประมาณ 4,600 ล้านปีมาแล้ว (นักวิทยาศาสตร์คำ นวณจาก อัตราการหลอมรวมไฮโดรเจนเป็นฮีเลียมภายในดวงอาทิตย์) เมื่อสสารมากขึ้นแรง โน้ม น้ ถ่วงระหว่างมวลสารมากขึ้นตามไปด้วย กลุ่มฝุ่น ฝุ่ และแก๊สยุบตัวหมุนเป็นรูปจาน ตามหลักอนุรั นุ รั กษ์โมเมนตัมเชิงมุม ดังภาพที่ 1 แรงโน้ม น้ ถ่วงที่เพิ่มขึ้นสร้างแรงกดดัน ที่ใจกลางจนอุณหภูมิสูงถึง 15 ล้านเคลวิน จุดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน หลอมรวม อะตอมของไฮโดรเจนให้เป็นฮีเลียม ดวงอาทิตย์กำ เนิดเป็นดาวฤกษ์


วัสดุรอบๆ ดวงอาทิตย์ (Planetisimal) ยังคงหมุนวนและโคจรรอบดวง อาทิตย์ด้วยโมเมนตัมที่มีอยู่เดิม มวลสารในวงโคจรแต่ละชั้นรวมตัวกัน เป็นดาวเคราะห์ อิทธิพลจากแรงโน้ม น้ ถ่วงทำ ให้วัสดุที่อยู่รอบๆ พุ่งเข้าหา ดาวเคราะห์จากทุกทิศทาง ถ้าทิศทางของการเคลื่อนที่มีมุมลึกก็จะพุ่งชน ดาวเคราะห์ ทำ ให้ดาวเคราะห์นั้นมีขนาดใหญ่และมีมวลเพิ่มขึ้น แต่ถ้ามุม ของการพุ่งชนตื้นเกินไปก็อาจจะทำ ให้แฉลบเข้าสู่วงโคจร และเกิดการรวม ตัวกลายเป็นดวงจันทร์บริวาร


ดังจะเห็นว่า ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ เช่น ดาวพฤหัสบดีและดาวเสาร์มีดวง จันทร์บริวารหลายดวง เนื่องจากเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่มีมวลมากจึงมี แรงโน้ม น้ ถ่วงมาก ต่างกับดาวพุธซึ่งเป็นดาวเคราะห์ขนาดเล็กมีมวลน้อ น้ ยจึง มีแรงโน้ม น้ ถ่วงน้อ น้ ยจึงไม่มีดวงจันทร์บริวารเลย ส่วนดาวเคราะห์น้อ น้ ยและ ดาวหางนั้นมีรูปทรงเหมือนอุกกาบาต เพราะเป็นดาวขนาดเล็กมีมวลน้อ น้ ย แรงโน้ม น้ ถ่วงจึงไม่สามารถเอาชนะแรงยึดเหนี่ยวระหว่างสสารให้ยุบรวมเป็น ทรงกลมได้


การจำ แนกดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์ชั้นใน (Inner Planets) เป็นดาวเคราะห์ขนาดเล็ก มีความหนาแน่นสูง และพื้นผิวเป็นของแข็ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธาตุหนัก มีบรรยากาศอยู่เบาบาง ทั้งนี้ เนื่องจากอิทธิพลจากความร้อนของดวงอาทิตย์และลมสุริยะ ทำ ให้ธาตุเบาเสียประจุ ไม่สามารถดำ รงสถานะอยู่ได้ ดาวเคราะห์ชั้นในบางครั้งเรียกว่า ดาวเคราะห์พื้นแข็ง “Terrestrial Planets"เนื่องจากมีพื้นผิวเป็นของแข็งคล้ายคลึง กับโลก ดาวเคราะห์ชั้นในมี 4 ดวง คือ ดาวพุธ ดาวศุกร์ โลก และดาวอังคาร


ดาวเคราะห์ชั้นนอก (Outer Planets) เป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ แต่มี ความหนาแน่นต่ำ เกิดจากการสะสมตัวของธาตุเบาอย่างช้าๆ ทำ นองเดียว กับการก่อตัวของก้อนหิมะ เนื่องจากได้รับอิทธิพลของความร้อนและลมสุริยะ จากดวงอาทิตย์เพียงเล็กน้อ น้ ย ดาวเคราะห์พวกนี้จึงมีแก่นขนาดเล็กห่อหุ้ม ด้วยก๊าซจำ นวนมหาสาร บางครั้งเราเรียกดาวเคราะห์ประเภทนี้ว่า ดาว เคราะห์ก๊าซยักษ์ (Gas Giants) หรือ Jovian Planets ซึ่งหมายถึงดาว เคราะห์ที่มีคุณสมบัติคล้ายดาวพฤหัสบดี ดาวเคราะห์ชั้นนอกมี 4 ดวง คือ ดาวพฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน


ดวงอาทิตย์(Sun) ดวงอาทิตย์ คือดาวฤกษ์ดวงแม่ที่เป็นหัวใจของระบบสุริยะมีขนาด ประมาณ 332,830 เท่าของมวลของโลก ด้วยปริมาณมวลที่มีอยู่มหาศาล ทำ ให้ดวงอาทิตย์มีความหนาแน่นภายในที่สูงมากพอจะทำ ให้เกิดปฏิกิริยา นิวเคลียร์ฟิวชันอย่างต่อเนื่องและปลดปล่อยพลังงานมหาศาลออกมา โดย มากเป็นพลังงานที่แผ่ออกไป ในลักษณะของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ฟ้ เช่น แสง ดวงอาทิตย์จัดว่าเป็นดาวแคระเหลืองขนาดใหญ่ปานกลาง ทว่าเมื่อเปรียบ เทียบกับดาวฤกษ์อื่นๆที่อยู่ในดาราจักรของเรา ถือได้ว่า ดวงอาทิตย์มีขนาด ใหญ่และสว่างมาก การจัดประเภทของดาวฤกษ์นี้เป็นไปตามไดอะแกรมของ เฮิร์ตสปรัง-รัสเซลล์ ซึ่งเป็นแผนภูมิของ กราฟระหว่างความสว่างขอดาวฤกษ์ เทียบกับอุณหภูมิพื้นผิวโดยทั่วไปดาวฤกษ์ที่มีอุณหภูมิสูงกว่ามักจะสว่างกว่า


ซึ่งดาวฤกษ์ใดๆ ที่มีคุณสมบัติเป็นไปดังที่ว่ามานี้ก็จะเรียกว่าเป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ ในแถบลำ ดับหลัก ดวงอาทิตย์ของเราก็อยู่บนแถบลำ ดับหลักโดยอยู่ในช่วงกึ่ง กลางทางด้านขวา แต่มีดาวฤกษ์จำ นวนไม่มากนักที่จะสว่างกว่าและมีอุณหภูมิสูง กว่าดวงอาทิตย์ของเรา ส่วนมากจะอ่อนแสงกว่าและมีอุณหภูมิต่ำ กว่าทั้งนั้นเชื่อ ว่าตำ แหน่งของดวงอาทิตย์บนแถบลำ ดับหลักนั้นจัดได้ว่าอยู่ใน"ช่วงรุ่งโรจน์ ของยุค" ของอายุดาวฤกษ์ มันยังมีใฮโดรเจนมากเพียงพอที่จะสร้างปฏิกิริยา นิวเคลียร์ฟิวชันไปอีกนานดวงอาทิตย์กำ ลังเพิ่มพูนความสว่างมากขึ้น ในอดีตดวงอาทิตย์เคยมีความสว่าง เพียงแค่ 70%ของความสว่างอย่างที่เป็นอยู่ ในปัจจุบัน ดวงอาทิตย์จัดเป็นดาวฤกษ์ชนิดดารากร 1 ถือกำ เนิดขึ้นในช่วง ปลายๆ ของวิวัฒนาการของเอกภพ


ดาวพุธ(Mercury) ดาวพุธ (Mercury) เป็นดาวเคราะห์ซึ่งอยู่ใกล้กับดวงอาทิตย์มากที่สุด เป็นดาวเคราะห์ขนาดเล็ก และไม่มีดวงจันทร์เป็นบริวาร โครงสร้าง ภายในของดาวพุธประกอบไปด้วยแกนเหล็กขนาดใหญ่มีรัศมีประมาณ 1,800 ถึง 1,900 กิโลเมตร ล้อมรอบด้วยชั้นที่เป็นซิลิเกต (ในทำ นอง เดียวกับที่แกนของโลกถูกห่อหุ้มด้วยแมนเทิลและเปลือก) ซึ่งหนาเพียง 500 ถึง 600 กิโลเมตร บางส่วนของแกนอาจจะยังหลอมละลายอยู่ ดาวพุธเป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด จึงปรากฏให้เห็น บนท้องฟ้า ฟ้ไม่ไกลจากตำ แหน่งของดวงอาทิตย์ ดาวพุธมีแกนหมุนที่เกือบ ตั้งฉากกับระนาบการโคจรรอบดวงอาทิตย์ ดาวพุธหมุนรอบตัวเองช้า มาก โดยจะหมุนรอบตัวเองครบ 3 รอบเมื่อโคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 2 รอบ ดาวพุธไม่มีชั้นบรรยากาศห่อหุ้ม ทำ ให้พื้นผิวดาวพุธมีการ เปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างมาก ตั้งแต่ –183 ถึง 427องศาเซลเซียส


ดาวศุกร์(Venus) ดาวศุกร์ (Venus) อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำ ดับที่ 2 เป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ เป็นอันดับที่ 6 ไม่มีดวงจันทร์บริวาร ดาวศุกร์มีลักษณะที่คล้ายคลึงกับโลก จนได้ชื่อว่าเป็น ดาวเคราะห์ฝาแฝดกับโลกของเรา โครงสร้างภายในของดาวศุกร์ ประกอบด้วย แกนกลางที่ เป็นเหล็กมีรัศมีประมาณ 3,000 กิโลเมตร ห่อหุ้มด้วยชั้นแมนเทิลที่มีความหนาประมาณ 3,000 กิโลเมตร และเปลือกแข็งที่ประกอบด้วยหินซิลิเกตชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์นั้นมี ความหนาแน่นมาก ความกดอากาศบนพื้นผิวดาวศุกร์สูงกว่าความกดอากาศบนพื้นผิวโลก 90 เท่าหรือมีค่าเท่ากับความดันที่ใต้ทะเลลึก 1 กิโลเมตร บรรยากาศของดาวศุกร์ประกอบ ไปด้วยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ และมีชั้นเมฆอยู่หลายชั้นที่ประกอบไปด้วย แก๊สซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (กรดกำ มะถัน) ซึ่งมีความหนาหลายกิโลเมตร ทำ ให้เราไม่ สามารถมองเห็นพื้นผิวดาวศุกร์


ชั้นบรรยากาศที่หนาทึบทำ ให้เกิดสภาวะเรือนกระจกกักเก็บความร้อนไว้ ทำ ให้ อุณหภูมิพื้นผิวสูงถึง 470°C จะเห็นได้ว่าพื้นผิวดาวศุกร์ร้อนกว่าพื้นผิวดาวพุธมาก ทั้งๆ ที่อยู่ไกลจากดวงอาทิตย์กว่าดาวพุธถึงสองเท่าก็ตาม ดาวศุกร์ปรากฏเป็นเสี้ยวเช่น เดียวกับดวงจันทร์ โดยเราสามารถสังเกตได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์ด น์ าวศุกร์นั้นมีขนาด ใหญ่กว่าและอยู่ใกล้โลกมากกว่าดาวพุธ เราจึงสังเกตเห็นดาวศุกร์สว่างจ้ากว่าดาวพุธ มาก มีความสว่างเป็นรองจากดวงจันทร์ในยามค่ำ คืนเมื่อปรากฏให้เห็นในเวลาใกล้ค่ำ เรียกว่า ดาวประจำ เมือง และเรียกว่า ดาวประกายพรึก เมื่อปรากฏให้เห็นในเวลารุ่งเช้า


โลก (The Earth) เป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวในระบบสุริยะที่มีสภาวะแวดล้อมเอื้อ อำ นวยต่อการดำ รงชีวิตของสิ่งมีชีวิต โลกอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำ ดับที่ 3 และมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 5 โลกมีสัณฐานเป็นทรงกลมแป้น ป้ มีรัศมีเฉลี่ย 6,371 กิโลเมตร โครงสร้างภายในของโลกประกอบไปด้วยแก่นชั้นในที่เป็นเหล็ก มีรัศมีประมาณ 1,200 กิโลเมตร ห่อหุ้มด้วยแก่นชั้นนอกที่เป็นของเหลว (Liquid) ประกอบด้วยเหล็กและนิเกิล มีความหนาประมาณ 2,200 กิโลเมตร ถัด ขึ้นมาเป็นชั้นแมนเทิลซึ่งเป็นของแข็งเนื้ออ่อนที่ยืดหยุ่นได้ (Plastic) ประกอบ ไปด้วย เหล็ก แมกนีเซียม ซิลิกอน และธาตุอื่นๆ มีความหนาประมาณ 3,000 กิโลเมตร เปลือกโลกเป็นของแข็ง (Solid) มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็น เฟลด์สปาร์ และควอตช์ (ซิลิกอนไดออกไซด์) โลก


บรรยากาศของโลกประกอบด้วยไนโตรเจน 77 % ออกซิเจน 21% ที่เหลือเป็น อาร์กอน คาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ คาร์บอนไดออกไซด์ช่วยในการกักเก็บ ความร้อนไว้ภายใต้ชั้นบรรยากาศโดยอาศัยภาวะเรือนกระจกทำ ให้โลกมีความ อบอุ่น ไม่หนาวเย็นจนเกินไปสำ หรับสิ่งมีชีวิต อย่างไรก็ตามถ้าปริมาณ คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นมากขึ้นก็จะทำ ให้เกิดสภาวะโลกร้อน ซึ่งอาจส่งผลให้ สิ่งมีชีวิตไม่สามารถดำ รงอยู่ได้ นอกจากนี้โลกยังมีสนามแม่เหล็กซึ่งเกิดจากการ เคลื่อนที่ของแก่นชั้นนอกซึ่งเป็นเหล็กเหลว ถึงแม้ว่าสนามแม่เหล็กโลกจะมี ความเข้มไม่มาก แต่ก็ช่วยปกป้อ ป้ งไม่ให้อนุภ นุ าคที่มีพลังงานสูงจากดวงอาทิตย์ (Solar wind) เดินทางผ่านมาที่ผิวโลกได้ โดยสนามแม่เหล็ก


จะกักให้อนุภ นุ าคเดินทางไปตามเส้นแรงแม่เหล็ก และเข้าสู่ชั้นบรรยากาศได้เพียงที่ขั้ว โลกเหนือและขั้วโลกใต้เท่านั้น เมื่ออนุภ นุ าคพลังงานสูงปะทะกับโมเลกุลของแก๊สในชั้น บรรยากาศ ทำ ให้เกิดแสงสีสวยงาม สังเกตเห็นบนท้องฟ้า ฟ้ ยามค่ำ คืน เรียกว่า "แสงเหนือแสงใต้" (Aurora)


ดาวอังคาร (Mars) เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นอันดับที่ 4ในบรรดา ดาวเคราะห์ทั้งหมด ดาวอังคารมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5 เท่าของโลก ดาวอังคารมีโครงสร้างภายในประกอบด้วยแก่นของแข็งมีรัศมีประมาณ1,700 กิโลเมตร ห่อหุ้มด้วยชั้นแมนเทิลที่เป็นหินหนืดหนาประมาณ 1,600 กิโลเมตร และมี เปลือกแข็งเช่นเดียวกับโลก ดาวอังคารมีสีแดงเนื่องจากพื้นผิวประกอบด้วยออกไซด์ ของเหล็ก (สนิมเหล็ก) พื้นผิวของดาวอังคารเต็มไปด้วยหุบเหวต่างๆ มากมาย หุบเหว ขนาดใหญ่ชื่อ หุบเหวมาริเนอริส (Valles Marineris) มีความยาว 4,000 กิโลเมตร กว้าง 600 กิโลเมตร ลึก 8 กิโลเมตร นอกจากนี้ดาวอังคารยังมีภูเขาไฟที่สูงที่สุดใน ระบบสุริยะชื่อ ภูเขาไฟโอลิมปัส (Mount Olympus) สูง 25 กิโลเมตร ฐานที่แผ่ออก ไปมีรัศมี 300 กิโลเมตร ดาวอังคาร(Mars)


คาร์บอนไดออกไซด์เป็นส่วนใหญ่ซึ่งเกิดจากการระเหิดของน้ำ แข็งแห้ง (คาร์บอนไดออกไซด์แข็ง) ปกคลุมอยู่ทั่วไปบนพื้นผิวดาวอังคาร ที่บริเวณขั้วเหนือ และขั้วใต้ของดาวมีน้ำ แข็ง(Ice water) ปกคลุมอยู่ตลอดเวลา ดาวอังคารเป็นดาว เคราะห์ที่เป็นที่ชื่นชอบของผู้แต่งนิยายวิทยาศาสตร์ในหลายสิบปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ มีการสังเกตดาวอังคารผ่านกล้องโทรทรรศน์ และพบรูปร่างพื้นผิวที่คล้ายกับคลอง ส่งน้ำ ของมนุษ นุ ย์ดาวอังคาร แต่หลังจากที่องค์การนาซาได้ส่งยานไปสำ รวจดาว อังคารอย่างต่อเนื่อง ทำ ให้เราทราบว่า ลักษณะดังกล่าวเป็นเพียงร่องรอยที่เกิดขึ้น ในธรรมชาติ


ดาวพฤหัสบดี (Jupiter) เป็นวัตถุท้องฟ้า ฟ้ ที่มีความสว่างมากเป็นอันดับ ที่ 4 รองจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาวศุกร์ และเป็นที่รู้จักกันมาตั้งแต่ยุคก่อน ประวัติศาสตร์ ดาวพฤหัสบดีถูกสำ รวจเป็นครั้งแรกโดยยานไพโอเนียร์ 10 ในปี พ.ศ.2516 ติดตามด้วย ไพโอเนียร์ 11, วอยเอเจอร์ 1, วอยเอเจอร์ 2, ยูลิซิส และกาลิ เลโอ ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวเคราะห์แก๊สซึ่งบรรยากาศหนาแน่น มีองค์ประกอบหลัก เป็นไฮโดรเจน 90% และฮีเลียม 10% ปะปนด้วยมีเทน น้ำ และแอมโมเนียจำ นวนเล็ก น้อ น้ ย ลึกลงไปด้านล่างเป็นแมนเทิลชั้นนอกซึ่งประกอบไปด้วยไฮโดรเจนและฮีเลียม เหลว และแมนเทิลชั้นในที่ประกอบไปด้วยไฮโดรเจนซึ่งมีสมบัติเป็นโลหะ และแก่น กลางที่เป็นหินแข็งมีขนาดเป็น 2 เท่าของโลก ดาวพฤหัสบดี (Jupiter)


ดาวพฤหัสบดีมีขนาดใหญ่กว่าโลกมาก แต่หมุนรอบตัวเอง หนึ่งรอบใช้เวลาไม่ถึง 10 ชั่วโมง แรงหนีศูนย์กลางเหวี่ยงให้ ดาวมีสัณฐานเป็นทรงแป้น ป้ และทำ ให้การหมุนเวียนของชั้น บรรยากาศแบ่งเป็นแถบสีสลับกัน แถบเหล่านี้เป็นเซลล์ การพาความร้อน (Convection cell) แถบสีอ่อนคืออากาศ ร้อนยกตัว แถบสีเข้มคืออากาศเย็นจมตัวลง นอกจากนั้นยังมี จุดแดงใหญ่ (Great Red Spot) เป็นรูปวงรีขนาดใหญ่ซึ่งมี อาณาบริเวณกว้าง 25,000 กิโลเมตร สามารถบรรจุโลกได้ สองดวง จุดแดงใหญ่เป็นพายุหมุนซึ่งมีอายุมากกว่า 300 ปี


ดาวเสาร์ (Saturn) ระบบสุริยะซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่สองรองจากดาวพฤหัสบดี โดยเป็นดาวเคราะห์ ที่อยู่ห่างไกลจากโลกมากที่สุดที่สามารถมองเห็นจากโลกได้ด้วยตาเปล่า องค์ประกอบ หลักของดาวเสาร์จะเป็นแก๊สและของเหลว ดาวเสาร์มีลักษณะเป็นทรงกลมแป้น ป้ สูงกว่า ดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ กล่าวคือมีเส้นผ่านศูนย์กลางในแนวเส้นศูนย์สูตร (60,268 กิโลเมตร) มากกว่าเส้นผ่านศูนย์กลางในแนวขั้ว (54,364 กิโลเมตร) เกือบ 10 เปอร์เซนต์ ทั้งนี้เนื่องมากจากดาวเสาร์มีการหมุนโคจรรอบตัวเองที่เร็วมาก (ประมาณ 10.66 ชั่วโมง)


วงแหวนดาวเสาร์ ดาวเสาร์อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ 10 AU จึงไม่ถูกรบกวนจาก ลมสุริยะจากดวงอาทิตย์ จึงไม่สูญเสียบรรยากาศชั้นนอกและมีมวล มาก มวลมากย่อมมีแรงโน้ม น้ ถ่วงมาก สามารถดูดจับดาวหางที่โคจร ผ่านเข้ามา ดาวหางมีองค์ประกอบเป็นน้ำ แข็งจึงเปราะมาก เมื่อ ดาวหางเข้าใกล้ดาวเสาร์ แรงโน้ม น้ ถ่วงมหาศาลจะทำ ให้เกิดแรงไท ดัลภายในดาวหาง ด้านที่หันเข้าหาดาวเสาร์จะถูกแรงกระทำ มากกว่าด้านอยู่ตรงข้าม ในที่สุดดาวหางไม่สามารถทนทานต่อแรง เครียดภายใน จึงแตกเป็นเศษเล็กเศษน้อ น้ ยสะสมอยู่ในวงโคจร รอบ


ยูเรนัส (Uranus) ยูเรนัส (Uranus) ถูกค้นพบครั้งแรกโดย วิลเลี่ยม เฮอส์เชล ในปี พ.ศ.2534 สองร้อยปีต่อมา ยานวอยเอเจอร์ 2 ทำ การสำ รวจดาว ยูเรนัสในปี พ.ศ. 2529 พบว่า บรรยากาศของดาวยูเรนัสประกอบด้วย ไฮโดรเจน 83%, ฮีเลียม 15% และมีเทน 2% ดาวยูเรนัสมีสีฟ้า ฟ้ เนื่องจากแก๊สมีเทนดูดกลืนสีแดงและสะท้อนสีน้ำ เงิน บรรยากาศมีลม พัดแรงมาก ลึกลงไปที่แก่นของดาวห่อหุ้มด้วยโลหะไฮโดรเจนเหลว ขณะที่ดาวเคราะห์ส่วนใหญ่มีแกนหมุนรอบตัวเองเกือบตั้งฉากกับ ระนาบสุริยวิถีแต่แกนของดาวยูเรนัสวางตัวเกือบขนานกับสุริยวิถีดังนั้น อุณหภูมิบริเวณขั้วดาวจึงสูงกว่าบริเวณเส้นศูนย์สูตร ดาวยูเรนัสมี วงแหวนเช่นเดียวกับดาวเคราะห์ชั้นนอกดวงอื่นๆ วงแหวนของดาว ยูเรนัสมีความสว่างไม่มาก


เนื่องจากประกอบด้วยอนุภ นุ าคขนาดเล็ก มีขนาดตั้งแต่ฝุ่น ฝุ่ ผงจนถึง 10 เมตร ดาวยูเรนัสมีดวงจันทร์บริวารอย่างน้อ น้ ย 27 ดวง ดวง จันทร์ขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างเป็นทรงกลมได้แก่ มิรันดา แอเรียล อัมเบรียล ไททาเนีย และ โอเบรอน ในปีค.ศ.1986 เมื่อยานสำ รวจวอยเอเจอร์ 2 โคจรผ่านดาว ยูเรนัสได้ถ่ายภาพดาวยูเรนัสพร้อมวงแหวนและดาวบริวาร ส่งกลับมายังโลกเป็นครั้งแรก อย่างไรก็ตามวงแหวนของ ดาวยูเรนัสมีความมืดมากเมื่อเทียบกับวงแหวนของดาวเสาร์ เราจึงสังเกตุเห็นวงแหวนของดาวยูเรนัสได้ยาก โดย วงแหวนที่สว่างที่สุดคือวงแหวน


ดาวเนปจูน (Neptune) ดาวเนปจูน (Neptune)ดาวเนปจูนมีองค์ประกอบคล้ายคลึงกับดาว ยูเรนัส คือ มีบรรยากาศเป็นไฮโดรเจนและฮีเลียม และมีมีเทน เจือปนอยู่จึงมีสีน้ำ เงิน ดาวเนปจูนมีขนาดเล็กกว่าดาวยูเรนัสเล็ก น้อ น้ ย แต่มีความหนาแน่นมากกว่า โดยที่แก่นของดาวเนปจูนเป็น ของแข็งมีขนาดใกล้เคียงกับโลกของเรา ในช่วงเวลาที่ยานวอยเอ เจอร์ 2 เข้าใกล้ดาวเนปจูนได้ถ่ายภาพ จุดมืดใหญ่ (Great dark spot) ทางซีกใต้ของดาวมีขนาดใหญ่เกือบครึ่งหนึ่งของจุดแดงใหญ่ บนดาวพฤหัสบดี (ประมาณเท่ากับเส้นผ่านศูนย์กลางของโลก) จุด มืดใหญ่นี้เป็นพายุหมุนเช่นเดียวกับจุดแดงใหญ่บนดาวพฤหัสบดี มี กระแสลมพัดแรงที่สุดในระบบสุริยะ ความเร็วลม 300 เมตร/วินาที หรือ 1,080 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


ดาวเนปจูนมีวงแหวน 4 วง แต่ละวงมีความสว่างไม่มากนัก เพราะประกอบด้วย อนุภ นุ าคที่เป็นผงฝุ่น ฝุ่ ขนาดเล็ก จนถึงขนาดประมาณ 10 เมตร เช่นเดียวกับวงแหวน ของดาวพฤหัสบดีและดาวยูเรนัส ดาวเนปจูนมีดวงจันทร์บริวารที่ค้นพบแล้ว 13 ดวง ดวงจันทร์ดวงใหญ่ที่สุดชื่อ "ทายตัน" (Triton) ทายตันเคลื่อนที่ในวงโคจรโดยมี ทิศทางสวนกับการหมุนรอบตัวเองของดาวเนปจูน ซึ่งอาจเป็นเพราะถูกแรงโน้ม น้ ถ่วง ของดาวเนปจูนจับเป็นบริวารภายหลังจากการก่อตัวของระบบสุริยะ นักดาราศาสตร์ พยากรณ์ว่ ณ์ ว่ า ทายตันจะโคจรเข้าใกล้ดาวเนปจูนเรื่อยๆ และจะพุ่งเข้าชนดาวเนปจูน ในที่สุด (อาจใช้เวลาเกือบ 100 ล้านปี)


ดาวเคราะห์แคระ(Dwarf Planet) ดาวเคราะห์แคระ (Dwarf Planet) หมายถึง เทห์วัตถุที่มีสมบัติดังต่อไปนี้ครบถ้วน 1 โคจรรอบดวงอาทิตย์ 2 มีมวลมากพอที่จะแรงโน้ม น้ ถ่วงของดาวสามารถเอาชนะความแข็งของ เนื้อดาว ส่ง ผลให้ดาวอยู่ในสภาวะสมดุลไฮโดรสแตติก (hydrostatic equilibrium) เช่น ทรง กลม หรือเกือบกลม 3 ไม่สามารถกวาดวัตถุในบริเวณข้างเคียงไปได้ 4 ไม่ใช่ดวงจันทร์บริวารของดาวเคราะห์ ดาวพลูโตถูกลดระดับให้เป็นดาวเคราะห์ แคระ เนื่องจากมีวงโคจรเป็นรูปวงรีบางส่วน ซ้อนทับวงโคจรของดาวเนปจูน ส่วนดาว เคราะห์น้อ น้ ยที่ใหญ่ที่สุดคือดาวซีรีสถูกยกระดับให้เป็นดาวเคราะห์แคระ เพราะมี ขนาดค่อนข้างใหญ่


ดาวเคราะห์น้อ น้ ย (Asteroid ) ดาวเคราะห์น้อ น้ ยส่วนใหญ่มีรูปทรงไม่สมมาตรไม่เป็นทรงกลม มีขนาดตั้งแต่ 1 - 1,000 กิโลเมตร ดาวเคราะห์น้อ น้ ยมีมวลน้อ น้ ยจึงมี แรงโน้ม น้ ถ่วงน้อ น้ ยไม่สามารถเอาชนะแรงยึดเหนี่ยวระหว่างสสารที่ เป็นเนื้อดาว จึงไม่มีรูปร่างเป็นทรงกลม (ยกเว้นดาวซีรีสซึ่งเป็นดาว เคราะห์น้อ น้ ยที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีมวลมากพอที่แรงโน้ม น้ ถ่วงจะยุบ ดาวให้เป็นทรงกลม จึงถูกยกสถานะเป็นดาวเคราะห์แคระ) ดาว เคราะห์น้อ น้ ยเปรียบเสมือนฟอสซิลของระบบสุริยะ เพราะว่าพวกมัน คือวัสดุที่พยายามจะรวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์ แต่ไม่สำ เร็จเนื่องจาก ถูกรบกวนโดยแรงโน้ม น้ ถ่วงมหาศาลของดาวพฤหัสบดีซึ่งมีวงโคจร อยู่ใกล้เคียง สภาพของมันจึงไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงนับตั้งแต่ ระบบสุริยะกำ เนิดขึ้นมา


ดาวหางเป็นวัตถุขนาดเล็กของระบบสุริยะ นิวเคลียสของดาวหางมีขนาด ประมาณ 1 - 10 กิโลเมตร มีองค์ประกอบหลักเป็นน้ำ แข็งปะปนกับเศษหินและ สสารอื่นๆ ซึ่งดาวหางกวาดชนขณะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ เราจึงเปรียบดาวหาง เป็นก้อนน้ำ แข็งสกปรก อย่างไรก็ตาม ดาวหางอาจเป็นพาหะนำ เชื้อชีวิตจากดาว ดวงหนึ่งไปสู่ดาวอีกดวงหนึ่ง ดาวหางเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำ ลาย ดาวหางทำ ให้ โลกมีน้ำ ในมหาสมุทรและนำ สิ่งมีชีวิตมาสู่บนโลก แต่ดาวหางก็เคยพุ่งชนโลก จนทำ ให้สิ่งมีชีิวิตบางชนิดสูญพันธุ์ไปแล้วหลายรอบ (รอบละประมาณหนึ่งร้อย ล้านปี) ครั้งล่าสุดคือ ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เมื่อ 65 ล้านปีมาแล้ว ดาวหาง (Comet)


อุกกาบาต(Meteorite) วัตถุจำ พวกดาวเคราะห์น้อ น้ ยที่มีขนาดเล็กกว่า 1 กิโลเมตร เรียกว่า "สะเก็ดดาว" (Meteoroids) เมื่อสะเก็ดดาวตกลงสู่โลกและเสียดสีกับ บรรยากาศจนเกิดความร้อนและลุกติดไฟ มองเห็นเป็นทางยาวในเวลากลางคืน เรียกว่า "ดาวตก" หรือ "ผีพุ่งใต้" (Meteor หรือ Shooting star) ดาวตกที่มองเห็น ส่วนมากมีขนาดประมาณเม็ดทราย แต่เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงประมาณ 40 - 70 กิโลเมตร/วินาที จึงเสียดสีกับอากาศจนร้อนมากจนเผาไหม้หมดก่อนที่จะตกถึงพื้น ผิวโลก อย่างไรก็ตามถ้าสะเก็ดดาวขนาดใหญ่ตกลงมาก็จะเผาไหม้ไม่หมด เหลือ ชิ้นส่วนตกค้างบนพื้นผิวโลกซึ่งเรียกว่า "อุกกาบาต" (Meteorite) และหลุมที่เกิด จากการพุ่งชนเรียกว่า "หลุมอุกกาบาต" (Meteor crator)


ฝนดาวตก (Meteor shower) ฝนดาวตก (Meteor shower) หมายถึง ปรากฏการณ์ท้ ณ์ ท้ องฟ้า ฟ้ ที่มีดาวตก จำ นวนมากตกมาจากแหล่งกำ เนิดเดียวกัน ฝนดาวตกส่วนมากเกิดขึ้น จากฝุ่น ฝุ่ ของดาวหาง (ยกเว้นฝนดาวตกเจมินิดส์ เกิดจาก ฝุ่น ฝุ่ ของดาวเคราะห์น้อ น้ ยเฟธอน 3200) เมื่อดาวหางโคจรรอบดวง อาทิตย์ มันจะปล่อยอนุภ นุ าคออกมาเป็นทางยาวทิ้งไว้เป็นทางยาวในวง โคจร เรียกว่า "ธารอุกกาบาต" (Meteor stream)ดาวหาง ที่มีขนาดใหญ่และกำ ลังคุกรุ่นจะทำ ให้เกิดธาร อุกกาบาตขนาดใหญ่ซึ่งมีอนุภ นุ าคจำ นวนมาก ดาวหางที่มีขนาดเล็กและเก่าแก่จะมีธารอุกกาบาต ขนาดเล็กและมีอนุภ นุ าคจำ นวนน้อ น้ ย ดาวหางบางดวง เช่น ดาวหางฮัลเลย์มีวงโคจรตัดกับวงโคจรของโลก


ถ้าดาวหางผ่านมาพร้อมกับที่โลกโคจรเข้าไปพอไป ดาวหางจะชนโลกทำ ให้เกิดการสูญ พันธุ์ครั้งใหญ่ของสิ่งมีชีวิตบนโลกเหมือนดังเมื่อ 65 ล้านปีมาแล้ว เนื่องจากฝุ่น ฝุ่ และแก๊สที่ เกิดจากการระเบิดจะปกคลุมพื้นผิวของโลกนานหลายเดือนจนพืชไม่สามารถสังเคราะห์ แสงได้ ทำ ให้ห่วงโซ่อาหารและระบบนิเวศถูกทำ ลาย ถ้าหากโลกโคจรผ่านเข้าไปในธาร อุกกาบาตขณะที่ดาวหางเพิ่งจะผ่านไปจะทำ ให้เกิดฝนดาวตกจำ นวนมาก แต่ถ้าหาก ดาวหางโคจรผ่านไปนานแล้วก่อนที่โลกจะโคจรเข้าไป ฝนดาวตกก็จะมีจำ นวนน้อ น้ ย


อ้างอิง: https://sites.google.com/a/nongnamsai.ac.th/darasas tr-laea-xwkas/rabb-suriya-solar-system


Click to View FlipBook Version