หัวข้อเรื่อง (Topics) 1.1 ความหมายของธุรกิจ 1.2 องค์ประกอบของกิจกรรมทางธุรกิจ 1.3 ความสำคัญของธุรกิจ 1.4 ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ 1.5 ความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในธุรกิจ 1.6 ความหมายของธุรกิจดิจิทัล 1.7 เทคโนโลยีที่สนับสนุนธุรกิจดิจิทัล 1.8 การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล 1.9 ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน 1.10 ลักษณะของธุรกิจยุคดั้งเดิม และธุรกิจยุคดิจิทัล 1.11 การเปลี่ยนแปลงและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ควฟอร์ สมรรถนะย่อย (Element of Competency) เพื่อให้รู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ ความหมายของธุรกิจ องค์ประกอบของกิจกรรมทางธุรกิจ ความสำคัญของธุรกิจ ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ ความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารในธุรกิจ ความหมายของธุรกิจดิจิทัล เทคโนโลยีที่สนับสนุนธุรกิจดิจิทัล การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ลักษณะของธุรกิจยุคดั้งเดิมและธุรกิจยุคดิจิทัล การเปลี่ยนแปลงและผลกระทบของการ เปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีดิจิทัล หน่วยที่ 1 ความรู้พื้นฐานทางธุรกิจดิจิทัล
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล วัตถุประสงค์เชิงพฤติกรรม (Behavioral Objectives) 1. อธิบายความหมายของธุรกิจได้ 2. จำแนกองค์ประกอบของกิจกรรมทางธุรกิจได้ 3. อธิบายความสำคัญของธุรกิจได้ 4. อธิบายความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศได้ 5. อธิบายความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในธุรกิจได้ 6. อธิบายความหมายของธุรกิจดิจิทัลได้ 7. อธิบายเทคโนโลยีที่สนับสนุนธุรกิจดิจิทัลได้ 8. อธิบายเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้ 9. อธิบายเกี่ยวกับดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันได้ 10. แยกแยะลักษณะของธุรกิจยุคดั้งเดิม และธุรกิจยุคดิจิทัลได้ 11. อธิบายการเปลี่ยนแปลงและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีดิจิทัล 12. มีเจตคติที่ดี ปฏิบัติงานด้วยความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์ ละเอียดรอบคอบ 3
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล เนื้อหาสาระ (Content) การสร้างธุรกิจให้เติบโต การปรับเปลี่ยนธุรกิจให้ทันกระแสโลกเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะในขณะที่ทุกคนเข้าถึง โลกออนไลน์และการขายสินค้าผ่านโลกดิจิทัล ในขณะเดียวกันหลายคนก็ยังไม่ทราบว่าดิจิทัลคืออะไร และสำคัญ อย่างไรต่อผู้ประกอบการ ซึ่งความสำคัญของโลกดิจิทัลคือโอกาสในการเติบโตอีกขั้นหนึ่งของเจ้าของธุรกิจ ซึ่งถ้า สามารถจับจุดได้และเปลี่ยนธุรกิจของตนเองให้เข้าสู่ธุรกิจดิจิทัลได้ ความสำเร็จอีกขั้นก็อยู่ไม่ไกล 1.1 ความหมายของธุรกิจ ธุรกิจ หมายถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การจัดจำหน่าย และการบริการ โดยภายในหน่วยงาน หรือธุรกิจนั้น ๆ มีการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาผสมผสานกันอย่างมีระบบ มีระเบียบตามกฎเกณฑ์ เพื่อตอบสนอง ความต้องการของประชาชนหรือผู้บริโภค ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดผลประโยชน์หรือบรรลุตามเป้าหมายของ ธุรกิจ และไม่ก่อให้เกิดมลภาวะที่ไม่ดีต่อสิ่งแวดล้อม 1.2 องค์ประกอบของกิจกรรมทางธุรกิจ จากความหมายของธุรกิจจะเห็นได้ว่าธุรกิจจะดำเนินได้นั้นต้องมีการนำกิจกรรมหลาย ๆ อย่างมาประสานกัน ซึ่งกิจกรรมนั้น ๆ ก็คือการกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบภายในธุรกิจนั่นเอง หน้าที่ทางธุรกิจ หมายถึง การดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะผสมผสานทรัพยากรที่มีอยู่ภายในธุรกิจหรือ หน่วยงานเข้าด้วยกันอย่างมีระเบียบกฎเกณฑ์ และสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อมเพื่อให้สินค้าหรือบริการที่เกิดขึ้น ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค ทรัพยากร (Resource) ที่หน่วยงานมีอยู่ คือ วัสดุ อุปกรณ์ หรือสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่หน่วยงานใช้ใน การดำเนินงาน แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหรือเรียกสั้น ๆ ว่า 4 M's ประกอบด้วย 1. คน (Man) เป็นทรัพยากรแรกที่ก่อให้เกิดการดำเนินงานภายในธุรกิจ ซึ่งนับรวมทั้งฝ่ายบริหารและฝ่าย ปฏิบัติการ 2. เงินทุน (Money or Capital คือ สินทรัพย์ที่จะนำมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ อาจจะอยู่ในรูปของเงินสด หรือสินทรัพย์อื่น ๆ ก็ได้ 3. วัตถุดิบหรืออุปกรณ์ (Material) คือ อาจจะเป็นรูปของวัตถุดิบ ถ้าธุรกิจนั้นเป็นธุรกิจการผลิต เช่น เครื่องจักรกล วัสดุ อะไหล่ต่าง ๆ หรืออาจใช้ในการดำเนินงานให้ประสบผลสำเร็จได้ 4. การบริหารงานหรือการจัดการ (Management) คือ กระบวนการหรือขั้นตอนในการนำคน เงิน ทุน และวัตถุดิบหรือวัสดุอุปกรณ์มาดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด 4
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล 1.3 ความสำคัญของธุรกิจ ธุรกิจเป็นองค์กรที่จัดตั้งขึ้นเพื่อดำเนินงานในการสนองความต้องการของผู้บริโภคหรือประชาชน โดยนำ ทรัพยากรต่าง ๆ มาเข้ากระบวนการที่เรียกว่า "การดำเนินธุรกิจ" ซึ่งธุรกิจเหล่านั้นมีผลต่อการพัฒนาประเทศและ สังคมสรุปได้ ดังนี้ 1. การดำเนินงานของธุรกิจก่อให้เกิดการนำทรัพยากรของประเทศมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด 2. ช่วยให้ผู้บริโภคหรือประชาชนได้ใช้สินค้าหรือบริการ เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ของตนเองให้ดีขึ้น 3. ธุรกิจต่าง ๆ ช่วยขจัดปัญหาการว่างงาน และช่วยกระจายรายได้ไปสู่ประชาชน 4. ช่วยเพิ่มพูนรายได้ให้กับประเทศในรูปแบบของภาษีอากร 5. ประชาชนหรือผู้บริโภคมีโอกาสได้เลือกสินค้า หรือบริการที่สนองความพึงพอใจสูงสุด ได้ง่าย เพราะ ธุรกิจต่าง ๆ มีการแข่งขันกัน เพื่อพัฒนาสินค้าหรือบริการ 6. ประเทศสามารถนำภาษีอากรที่จัดเก็บไปพัฒนาประเทศได้ รูปที่ 1.1 ธุรกิจ (ที่มา : https://www.thairath.co.th) 5
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล 1.4 ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศ หรือเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ได้เข้ามามีความสำคัญในการดำรงชีวิตของ มนุษย์ในยุคปัจจุบันเป็นอย่างมาก โดยอยู่ในรูปแบบของสื่อต่าง ๆ ทั้งเสียง ภาพและตัวอักษร ด้วยวิธีทาง อิเล็กทรอนิกส์ประกอบด้วยเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีโทรคมนาคม ระบบมีสายและไร้สาย รวมทั้งระบบ สื่อมวลชน ความสำคัญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมี 5 ประการ ได้แก่ 1. การสื่อสารถือเป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ สิ่งสำคัญที่มีส่วนในการพัฒน า กิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ย่อมประกอบด้วย สื่อที่ใช้สื่อสาร (Communications Media) การสื่อสารโทรคมนาคม (Telecoms) และเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) ตัวอย่างเช่น การสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับ พลเมืองจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น หากมีการบันทึกข้อมูลประวัติผู้ป่วยหรือข้อมูลอื่น ๆ ไว้ในฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ เป็นต้น รูปที่ 1.2 เทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคม (ที่มา :https://www. mgronline.com) 2. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารประกอบด้วยผลิตภัณฑ์หลักที่มากไปกว่าโทรศัพท์และคอมพิวเตอร์ เช่น แฟกซ์ อินเทอร์เน็ต อีเมล ทำให้สารสนเทศเผยแพร่หรือกระจายออกไปในที่ต่าง ๆ ได้สะดวก สิ่งเหล่านี้เป็น บริการสำคัญของการสื่อสารโทรคมนาคมที่ทำให้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีมากยิ่งขึ้น 3. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีผลให้การใช้งานด้านต่าง ๆ มีราคาถูกลง เช่น การใช้อินเทอร์เน็ต และอีเมลจะถูกกว่า น่าเชื่อถือกว่า และรวดเร็วกว่าการใช้บริการไปรษณีย์แบบเดิม (Post and Courier) ทั้งนี้ หน่วยงานภาคธุรกิจ รัฐบาล และบุคคลทั่วไปต่างนิยมใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมากขึ้น เพราะช่วย ประหยัดเวลาและเงิน รวมทั้งทำให้มีผลิตผล (Productivity) เพิ่มขึ้น 6
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล 4. เครือข่ายสื่อสาร (Communication Networks) ได้รับประโยชน์จากเครือข่ายภายนอก เนื่องจาก จำนวนการใช้เครือข่าย จำนวนผู้เชื่อมต่อ และจำนวนผู้ใช้ซึ่งมีศักยภาพในการเข้าเชื่อมต่อกับเครือข่ายนับวันจะ เพิ่มสูงขึ้น รูปที่ 1.3 เครือข่ายสื่อสาร (ที่มา : https://www.dreamstime.com) 5. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทำให้ฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์และต้นทุนการใช้ไอซีทีมีราคาถูก ลงมาก แม้ว่าการเป็นเจ้าของคู่สายโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ยังเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยสำหรับคนในสังคมส่วนใหญ่ แต่ประชาชนจำนวนมากก็เริ่มมีกำลังหามาใช้ได้เองแล้ว เช่น เจ้าของธุรกิจขนาดเล็ก เป็นต้น การพัฒนาแบบก้าว กระโดดของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีสารสนเทศ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ ใยแก้วนำแสง ดาวเทียมสื่อสาร ระบบเครือข่าย ซอฟต์แวร์ และมัลติมีเดีย ประกอบกับราคาของอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ ที่ถูกลง แต่มีขีดความสามารถในการทำงานเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้มีแนวโน้มการนำเทคโนโลยีสารสนเ ทศมา ประยุกต์ใช้ในงานต่าง ๆ มีมากขึ้นเป็นลำดับ นอกจากนี้เทคโนโลยีสารสนเทศยังความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศด้านต่าง ๆ ได้แก่ 1. ด้านเศรษฐกิจ ในประเทศที่พัฒนาแล้วมีความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นอย่างมาก การขยายตัวของผลผลิต การส่งออกและรายได้จากการผลิตอุปกรณ์ด้านสารสนเทศ กลายเป็นสินค้าออกที่มี ความสำคัญและมูลค่สูงมากเป็นลำดับต้น ๆ ของสินค้าส่งออกทั้งหมดของประเทศ 7
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล รูปที่ 1.4 การพัฒนาเศรษฐกิจ (ที่มา : https://www.isranews.org) 2. ด้านการศึกษา ระบบสารสนเทศทางการศึกษาเป็นสิ่งที่มีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนา นโยบายการวางแผนและพัฒนาการศึกษา เพราะกระบวนการตัดสินใจในการบริหารย่อมมีระบบสารสนเทศเป็น หัวใจสำคัญในทุกขั้นตอน การพัฒนาการศึกษาของประเทศ จะประสบความสำเร็จมากน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับระบบ ข้อมูลข่าวสารและระบบสารสนเทศที่ดีเป็นประการสำคัญ การที่จะพัฒนาและกระจายการบริการด้านการศึกษาให้ เข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ได้แก่ คอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ต เป็นต้น รูปที่ 1.5 การพัฒนาด้านการศึกษา (ที่มา :https://s.isanook.com) 8
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล 3. ด้านสาธารณสุข เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของประชาชนในส่วนของสุขภาพ อนามัย เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพของสถานพยาบาลของรัฐและเอกชนในการให้บริการแก่ประชาชน โดยใช้ เทคโนโลยีระบบเครือข่ายสาธารณสุข การปรึกษาผู้ป่วยผ่านดาวเทียม เป็นต้น รูปที่ 1.6 การพัฒนาด้านสาธารณะสุข (ที่มา : www.sanook.com) 4. ด้านการเกษตร เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพของเกษตรกรไทยในเรื่องการรับรู้ ข่าวสาร ข้อมูลการตลาด ผลิตผลทางการเกษตร เช่น ราคากลาง ความต้องการในตลาดโลก เป็นต้น ทำให้ เกษตรกรสามารถตัดสินใจเกี่ยวกับการผลิตได้ดีขึ้น และสามารถผลิตได้ตรงกับความต้องการของตลาด รูปที่ 1.7 การพัฒนาการด้านการเกษตร (ที่มา : https://www.bot.or.th) 9
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล 5. ด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยในการส่งเสริมป้องกันและแก้ไขปัญหาทางด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การนำคอมพิวเตอร์มาประยุกต์ใช้ในระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ ของกระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี และสิ่งแวดล้อม เป็นระบบฐานข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติ สำหรับการวางแผนด้านสิ่งแวดล้อมในระดับนโยบ าย หรือการนำดาวเทียมเข้ามาช่วยในการสำรวจและจัดเก็บในรูปแบบฐานข้อมูลทรัพยากรธรรมชาติ การนำ คอมพิวเตอร์เข้ามาช่วยในการจัดระบบจราจร เป็นต้น รูปที่ 1.8 การพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อม (ที่มา : https://www.tot.co.th) 6. ด้านอุตสาหกรรมและการบริการ ได้มีการพัฒนาการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และการบริการ เพื่อให้สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงขึ้นด้วยต้นทุนที่ต่ำลง เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยใน การออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือการใช้คอมพิวเตอร์เข้าควบคุมกระบวนการผลิต เป็นต้น รูปที่ 1.9 การพัฒนาด้านอุตสาหกรรม (ที่มา : https://.IndusGistda.com) 10
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล 7. ด้านการท่องเที่ยว เทคโนโสยีสารสนเทศเป็นส่วนประกอบหนึ่งในกระบวนการส่งเสริมการท่องเที่ยว เช่น การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการให้บริการข่าวสารข้อมูลแก่นักท่องเที่ยว และอำนวยความสะดวกในการสำรอง ที่นั่ง เป็นต้น รูปที่ 1.10 การพัฒนาด้านการท่องเที่ยว (ที่มา : https:// www.travelaroundtheworld-mag.com) 8. ด้านการบริการของรัฐ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการแก่ ประชาชน เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ในการสำรองตั๋วโดยสารรถไฟ การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อช่วยตรวจจับคนร้าย การพัฒนาระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรลงสู่คอมพิวเตอร์ เป็นต้น รูปที่ 1.11 การพัฒนาด้านการบริการของรัฐ (ที่มา : https://scontent.fbkk10-1.fna.fbcdn.net) 11
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล 9. ด้านอื่น ๆ ได้แก่ การติดต่อสื่อสาร การจัดสร้างเครือข่ายโทรคมนาคมต่าง ๆ ทั้งเครือข่ายโทรศัพท์ใน ประเทศ เครือข่ายโทรศัพท์ระหว่างประเทศ หรือเครือข่ายสื่อสารข้อมูลด้วยดาวเทียมขนาดเล็ก การบันเทิงต่าง ๆ เช่น การแพร่ภาพรายการโทรทัศน์ เคเบิลทีวี เป็นต้น สรุป เทคโนโลยีสารสนเทศจึงมีความสำคัญมากในปัจจุบันและในอนาคต เพราะเทคโนโลยีเป็นเครื่องมือ ในการดำเนินงานสารสนเทศตั้งแต่การผลิด การจัดเก็บ การประมวลผล การเรียกใช้การแลกเปลี่ยนและใช้ ทรัพยากรกรสารสนเทศร่วมกันให้เกิดประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพช่วยในการจัดระบบอัตโนมัติ ช่วยในการ สื่อสารระหว่างกันได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ลดอุปสรรคเกี่ยวกับเวลาและระยะทาง โดยใช้ระบบโทรศัพท์ อินเทอร์เน็ต และอื่น ๆ เทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ เป็นอย่างมาก เช่น ด้านการศึกษา การท่องเที่ยว ธุรกิจ อุตสาหกรรม สาธารณสุข เป็นต้น 1.5 ความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในธุรกิจ 1. การเพิ่มความสะดวกสบายและความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า 2. การเพิ่มความรวดเร็วและถูกต้องในการดำเนินงานธุรกิจ สามารถลดขั้นตอน เป็นการประหยัดเวลา 3. การเพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจ 4. การลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ 5. การเพิ่มช่องทางในการขยายตลาด 6. การเพิ่มความได้เปรียบกับคู่แข่งทางการค้า 1.6 ความหมายของธุรกิจดิจิทัล ธุรกิจดิจิทัล (Digital Business) คือ การนำเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามาพัฒนาธุรกิจที่ทำอยู่ หรือการสร้างสรรค์ ของธุรกิจใหม่ที่ออกแบบโดยการทำให้ภาพของโลกดิจิทัลและโลกทางกายภาพเข้าด้วยกัน เป็นการผสมผสาน ระหว่างเทคโนโลยีดิจิทัลและการทำงานของคน ที่ทำให้เกิดสินค้าและบริการรูปแบบใหม่ เพื่อเพิ่มความ สะดวกสบายให้ทั้งผู้ประกอบการและผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้าหรือบริการต่าง ๆ จุดประสงค์หลักคือการ หาทางเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจนั่นเอง เช่น การนำแอปพลิเคชัน (Application) มาช่วยในการเข้าถึงผู้บริโภค ยุคใหม่ที่ชอบใช้สมาร์ตโฟน (Smart Phone) การสร้างช่องทางขายผ่านสื่อสังคม (Social Media) ต่าง ๆ และ การทำโฆษณา รวมไปถึงการสั่งซื้อและจัดส่งสินค้าในแบบออนไลน์ เป็นต้น 12
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล 1.7 เทคโนโลยีที่สนับสนุนธุรกิจดิจิทัล แพลตฟอร์มดิจิทัล หมายถึง โครงสร้างพื้นฐาน หรือแหล่งรวบรวมสินค้า บริการ เครื่องมือ และข้อมูลดิจิทัล เพื่อใช้ในการสร้างสินค้าหรือบริการใหม่ในทางธุรกิจ เป็นสิ่งที่ช่วยสร้างผลกระทบเครือข่าย (Network Effects) คือ ยิ่งมีคนใช้งานแพลตฟอร์มดิจิทัลจำนวนมากจะส่งผลให้เกิดต้นทุนต่อผู้ใช้งานลดลง และประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน เพิ่มขึ้น เทคโนโลยีแพลตฟอร์ม (Technology Platform) ได้แก่ 1. สื่อสังคม (Social Media) หรือเทคโนโลยีสื่อสังคม (Social Technology) คือ สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ซึ่ง เป็นสื่อกลางที่ให้บุคคลทั่วไปมีส่วนร่วมสร้างและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่าง ๆ ผ่านอินเทอร์เน็ตได้ เช่น เฟซบุ๊ก (Facebook) ไลน์ (Line) เป็นต้น 2. โมบาย (Mobile) คือ อุปกรณ์สื่อสารไร้สายที่เคลื่อนที่ได้ เช่น โทรศัพท์มือถือ หรือสมาร์ตโฟน (Smart Phone) แท็บแล็ต (Tablet) หรืออุปกรณ์ที่มีความสามารถในการติดต่อสื่อสารแบบเคลื่อนที่ได้ (Mobility) การใช้ โมบายแอปพลิเคชัน (Mobile application) 3. การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics)คือ การใช้เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาล ในเชิงลึก 4. การประมวลผลกลุ่มเมฆ (Cloud Computing) หรือ คลาวด์ (Cloud) คือ บริการที่ครอบคลุมถึงการ ให้ใช้กำลังประมวลผล หน่วยจัดเก็บข้อมูล และระบบออนไลน์ต่าง ๆ จากผู้ให้บริการ เพื่อลดความยุ่งยากในการ ติดตั้ง ดูแลระบบ ช่วยประหยัดเวลา และลดต้นทุนในการสร้างระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเอง 5. อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things : Io T) คือ สภาพแวดล้อม ประกอบด้วย สรรพสิ่ง ที่สามารถสื่อสารและเชื่อมต่อกันได้ ผ่านโปรโตคอลการสื่อสารทั้งแบบใช้สายและไร้สาย โดยสรรพสิ่งต่าง ๆ มีวิธีการระบุตัวตนได้ รับรู้บริบทของสภาพแวดล้อมได้ และมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบและทำงานร่วมกันได้ - เซนเซอร์ภายในบ้าน ตรวจจับการเคลื่อนไหวของผู้อยู่อาศัย อาศัย และส่งสัญญาณไปสั่งเปิด/ปิดสวิตช์ ไฟตามห้องต่าง ๆ ที่มีคนหรือไม่มีคนอยู่ - เทคโนโลยีที่ช่วยให้สรรพสิ่งรับรู้ข้อมูลในบริบทที่เกี่ยวข้อง เช่น เซนเซอร์ ระบบสมองกลฝังตัว 1.8 การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล สภาพยุคเศรษฐกิจที่มีการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นตัวนำ (Digital Economy) ในการสร้างการเติบโตทางธุรกิจ มีลักษณะเด่นอยู่ 3 ประการ คือ 13
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล 1. การใช้ทรัพยากรเมื่อต้องการ (Resource on Demand) ภายใต้เศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing Economy) ซึ่งเป็นการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากกำลังการผลิตที่เหลือของทรัพยากรหรือสินทรัพย์ที่มีอยู่ 2. การใช้ศักยภาพของบุคลากรเมื่อต้องการ (Talent on Demand) ในรูปแบบของแรงงานอิสระ (Freelance Workforce) คำว่า "Freelance" หรือ "Freelancer" คือ ผู้มีอาชีพอิสระไม่ขึ้นตรงต่อหน่วยงานองค์กรใด ๆ Freelance จะต้องจัดตารางเวลาการทำงานของตนเองและรับเงินจากผู้ว่าจ้าง ซึ่งตกลงตามความพึงพอใจของทั้ง สองฝ่าย 3. การแสวงหาความรู้และข้อมูลที่จำเป็นเมื่อต้องการ (Intelligence on Demand) ผ่านทาง Crowds และ Cloud โดยการกระจายปัญหาไปยังชุมชนออนไลน์ หรือในโลกไซเบอร์ เพื่อค้นหาคำตอบและวิธีการในการ แก้ปัญหาทางธุรกิจ เรียกว่า Crowdsourcing ส่วนระบบ Cloud คือ แอปพลิเคชันที่ช่วยเก็บข้อมูล ตรวจสอบ ข้อมูลที่ต้องการด้วยรูปแบบ Saas (Software as a Service) ผู้ใช้บริการสามารถใช้งานได้ทุกที่ โดยไม่จำเป็นต้อง ติดตั้งเซิร์ฟเวอร์เพื่อเก็บข้อมูลที่มากมาย ลดความยุ่งยาก ไม่ต้องดูแลระบบไอที ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ให้บริการ ซึ่งจะคอยดูแลระบบตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในการติดตั้งซอฟต์แวร์ต่าง ๆ สามารถเรียก ข้อมูลใช้เมื่อต้องการ เทคโนโลยีที่เป็นหลักในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ประกอบด้วย ระบบไซเบอร์ (Cyber Physical System) ระบบประมวลผลแบบคลาวด์ (Cloud Computing) การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data Analytics) ระบบความปลอดภัย (System Security) ระบบการพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing) เทคโนโลยีการ ผสมผสานโลกเสมือน (Augmented Realty) และหุ่นยนต์ที่ออกแบบขึ้นมาโดยมีพื้นฐานเลียนแบบร่างกายมนุษย์ (Humanoid Robots) การเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัลจะอาศัยการพัฒนาเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นตัวนำ ซึ่ง ทำให้สภาพแวดล้อมในการทำงาน รูปแบบกระบวนการทำงานและกลยุทธ์ ตลอดจนโครงสร้างองค์กรแตกต่าง ออกไปจากเดิม โดยมีลักษณะที่สำคัญ คือ 1. มีการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่าง ๆ ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต (Internet) และ แอปพลิเคชัน (Applications) ที่ออกแบบเพื่อรองรับความต้องการของแต่ละบุคคล (The Internet of Me) เมื่อดิจิทัล และอินเทอร์เน็ต กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต หรือ Internet of Things (IoT) ผู้บริโภคต้องการให้มีการทำงานร่วมกันระหว่าง อุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างไร้รอยต่อ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็คือ ผู้บริโภคเริ่มคาดหวังว่าอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ทำงานนั้น จะต้อง รู้จักตัวตนของผู้ใช้และเข้าใจว่าผู้ใช้ต้องการอะไร รวมทั้งสามารถสื่อสารกับอุปกรณ์อื่น ๆ รอบตัว เพื่อส่งผ่านข้อมูล นั้นไปได้ 2. การเกิดขึ้นของแรงงานที่มีทักษะด้านดิจิทัล ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ มีความสามารถในการใช้และเข้าถึง เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างรวดเร็ว (Digital Natives) ในขณะที่คนรุ่นก่อนหน้าต้องใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับ เทคโนโลยีดิจิทัลที่เกิดขึ้น (Digital Immigrants) ส่วนใหญ่ Digital Natives เป็นกลุ่มที่เกิดหลังปี 1994 ซึ่งระบบ อินเทอร์เน็ตมีการใช้อย่างแพร่หลาย ปัจจุบันมีอายุประมาณ 10-29 ปี คนกลุ่มนี้จะคุ้นเคยกับการใช้คอมพิวเตอร์ 14
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล ทำงานหรือเพื่อเล่นเกม ทำการบ้าน ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและกิจกรรม ตลอดจนติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นผ่าน ทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ 3. การทำงานและการใช้ชีวิต (Work and Life) เปลี่ยนไป เนื่องจากมีการเชื่อมต่อการทำงานผ่านระบบ อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย (Social Media) ทำให้พนักงานจะอยู่ที่ใด ใช้อุปกรณ์แบบใด ในเวลาใด ก็สามารถ ทำงานได้ (Any Place Any Time Any Devices) การทำงานแบบ Telecommuting หรือ Work Anywhere เป็นรูปแบบการทำงานที่พนักงานสามารถใช้อินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียทำงานได้จากที่บ้าน ที่พักอาศัย หรือ สถานที่อื่น ๆ ไม่ต้องเสียเวลาในการเดินทางไปที่ทำงาน อย่างไรก็ตามองค์ประกอบที่สำคัญคือต้องมีอินเทอร์เน็ต ความเร็วสูงในราคาที่เหมาะสม จึงจะส่งเสริมให้เกิดการทำงานในลักษณะ Telecommuting แพร่หลายมากขึ้น 4. งานในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) เริ่มถูกแทนที่ด้วยการใช้ระบบเครื่องจักรอัตโนมัต (Automation) ทำให้รูปแบบแรงงานในอนาคต (Future Workforce) แบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ งานที่จะ หายไปเนื่องจากถูกแทนที่ด้วยระบบเครื่องจักรอัตโนมัติ งานที่อาศัยทักษะและความรู้ควบคุมและใช้งานระบบ เครื่องจักรอัตโนมัติ งานที่เกิดขึ้นใหม่เนื่องจากการใช้ระบบเครื่องจักรอัตโนมัติ และงานที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง เนื่องจากไม่สามารถถูกแทนที่ด้วยระบบเครื่องจักรอัตโนมัติ เพื่อไม่ให้ตกงานในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล แรงงาน จำเป็นต้องพัฒนาทักษะใน 3 ด้าน คือ ทักษะในการใช้ประโยชน์จากสื่อ (Media Literacy Ability) ทักษะใน การจัดลำดับและแยกแยะข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่มีความสำคัญ (Cognitive Load Management Ability) ทักษะ ในการแปลความหมายของข้อมูลที่มีอยู่อย่างมากมายมหาศาลไปสู่สิ่งที่เป็นประโยชน์ (Computational Thinking Ability) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Virtual Collaboration) 5. รูปแบบการทำธุรกิจต้องเผชิญกับการกดดันจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและทำลายธุรกิจ ที่ปรับตัวไม่ทันจนต้องล่มสลาย (Disruptive Technology) และถ้าตามพฤติกรรมของผู้บริโภคไม่ทันก็จะล่มสลาย เร็ว เนื่องจากสินทรัพย์ส่วนใหญ่จับต้องไม่ได้หรือไม่มีอยู่ในมือ 6. องค์กรในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) จะมีรูปแบบที่แบนราบและมีขั้นตอนการตัดสินใจที่ รวดเร็วขึ้น สายการบังคับบัญชาแบบบนลงล่าง (Top-down) ที่ใช้กันทั่วไปไม่สามารถตอบสนองการเปลี่ยนแปลง ของสภาพแวดล้อมได้ทัน สร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ช้า ขณะเดียวกันการจัดโครงสร้างแบบการแบ่งทีมตามโครงการ (Project Based Organization) ก็ไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับองค์กรยุคใหม่เสมอไป เนื่องจากปัญหาความชับซ้อน เข้าใจยากและสร้างความสับสนให้พนักงาน แนวคิดใหม่ที่กำลังได้รับความสนใจคือ การบริหารองค์กรแบบ ไร้ลำดับชั้น (Holacracy Organization) เพื่อรองรับวิวัฒนาการของธุรกิจในปัจจุบันที่เข้าสู่ยุคการทำงานร่วมกัน (Collaborative) หรือเศรษฐกิจแบบแบ่งปัน (Sharing Economy) หลักการพื้นฐานคือ การยกเลิกอำนาจและ โครงสร้างบริหารให้ความสำคัญกับการกำหนดบทบาท (Roles) ที่ต้องทำหรือความรับผิดชอบให้ชัดเจน หลังจาก นั้นผู้ที่รับผิดชอบก็ดำเนินงานไปโดยไม่ต้องมีหัวหน้าควบคุม ความแตกต่างที่สำคัญจากการบริหารแบบเดิม คือ บทบาท (Roles) จะถูกกำหนดโดยงานเป็นหลัก (ไม่ใช่ตัวคน) อีกทั้งยังมีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา 15
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล และคนแต่ละคนก็สามารถทำงานได้หลายบทบาท นอกจากนี้ อำนาจในการตัดสินใจจะถูกกระจายไปยังทีมและผู้ที่ ดำรงบทบาทต่าง ๆ การตัดสินใจจึงเกิดขึ้นในระดับปฏิบัติการ เป็นการบริหารงานด้วยตนเองไม่ใช่ตามสาย การบังคับบัญชา ที่สำคัญคือจะมีกฎ และแนวทางในการทำงานที่เปิดเผย โปร่งใสและชัดเจน ซึ่งทุกคนต้อง ปฏิบัติตาม มีการใช้แอปพลิเคชัน (Application) หรือ เว็บไซต์ (Website) ช่วยประสานร่วมมือการทำงานใน ลักษณะระบบเวิร์กโฟลว์ (Social Workflow) ซึ่งสามารถชื่อมต่อใช้งานได้กับทุกอุปกรณ์ (Any Device) ทำให้ การทำงานแบบไร้ลำดับชั้นง่ายขึ้น 7. โครงสร้างการบริหารงานจะเปลี่ยนจากรูปแบบปิรามิด ที่มีการทำงานร่วมกันระหว่าง ผู้นำ หน่วยงาน หลัก และหน่วยงานสนับสนุนไปเป็นโครงสร้างแบบยืดหยุ่น มีผู้นำและทีมพัฒนานวัตกรรมที่มีอิสระ ตัดสินใจได้เอง นำไปสู่ความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ได้ง่ายขึ้น 1.9 ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (Digital Transformation) คือ การเปลี่ยนแปลงองค์กรเพื่อให้เข้ากับเศรษฐกิจ ดิจิทัลที่แข่งขันกันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ที่เป็นการปรับเปลี่ยนองค์กรให้ใช้ประโยชน์จากดิจิทัลให้ได้มากที่สุด ตั้งแต่ การกำหนดเป้าหมายธุรกิจ วางแผน พัฒนาผลิตภัณฑ์ ตลอดจนช่องทางการส่งมอบสินค้าและบริการให้กับ ผู้บริโภค เพื่อเปลี่ยนองค์กรให้เป็นองค์กรดิจิทัลที่มีวัฒนธรรมดิจิทัลเป็นตัวตั้งตัน และพัฒนาองค์กรให้เติบโตด้วย เทคโนโลยีต่อไป ซึ่งดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในธุรกิจสามารถเปลี่ยนแปลงได้ใน 3 ด้าน คือ 1.9.1 เปลี่ยนแปลงด้านรูปแบบการดำเนินธุรกิจ (Business Model) รูปแบบของธุรกิจ (Business Model) คือ ภาพรวมการทำงานของธุรกิจประเภทนั้น ๆ ครอบคลุมตั้งแต่วิธีการ ดำเนินธุรกิจ กลุ่มลูกค้า (Customer Segment) การได้รายรับ (Revenue) รายจ่าย (Cost) ซึ่งแต่ละธุรกิจจะ แตกต่างกันออกไป เมื่อเกิดการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันขึ้น บางธุรกิจโมเดลนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในบางส่วน หรืออาจเกิดการเปลี่ยนแปลงหมดทั้งโมเดลก็ได้ อย่างธุรกิจที่เห็นได้ชัด เช่น การใช้บริการรถยนต์โดยสาร เดิมโมเดลธุรกิจประเภทนี้คือการเรียกแท็กซี่ แต่ปัจจุบันเมื่อเกิดแอปพลิเคชันแบบแกร็บ ( Grab) รูปแบบธุรกิจ ประเภทนี้ก็เปลี่ยนไปหรือจะเป็นการส่งอาหาร ที่เดิมมีแต่พิซซ่าและฟาสต์ฟูดบางรายเท่านั้นที่ให้บริการ แต่ ปัจจุบันร้านค้าข้างทางหรือในตลาดก็สามารถให้บริการในส่วนนี้ได้ผ่านแอพลิเคชันสำหรับส่งอาหารโดยเฉพาะ เช่น แกร็บฟูด (Grabfood), ไลน์แมน (Lineman) เป็นต้น การเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจสำหรับเจ้าของธุรกิจ สามารถเริ่มจากเล็ก ๆ คือหยิบยืมธุรกิจที่มีโมเดลช่วยแก้ปัญหาต่าง ๆ มาใช้ได้ เช่น เริ่มต้นด้วยการใช้ช่องทาง ออนไลน์ในการขาย และใช้บริการขนส่งต่าง ๆ จัดส่งให้กับลูกค้า ก็เป็นการเพิ่มช่องทางและเปลี่ยนรูปแบบการ ดำเนินธุรกิจไปได้หลายส่วนเช่นกัน 16
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล 1.9.2 เปลี่ยนแปลงด้านการปฏิบัติการ (Business Operation) ในการทำงานแบบยุคก่อนดิจิทัลนั้นพึ่งพากำลังมนุษย์เป็นหลัก อาจมีซอฟต์แวร์บางตัวที่ช่วยให้การทำงาน ง่ายขึ้น มีโปรแกรมบางอย่างที่ช่วยในการเก็บสต็อกสินค้า นั่นคือการนำเทคโนโลยีมาใช้ในยุคแรก ๆ แต่เมื่อเกิด ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันก็ได้ช่วยเปลี่ยนวิธีการทำงานและระบบปฏิบัติการให้พึ่งพาเทคโนโลยีมากขึ้น ลดทอนการ ใช้กำลังมนุษย์ และความซ้ำซ้อนในวิธีการทำงานให้น้อยลง เพราะธรรมชาติของดิจิทัลนั้นมีความแม่นยำมากกว่า และช่วยลดข้อจำกัดด้านเวลาและสถานที่ในการทำงานลง เราจะทำงานที่ไหนก็ได้ เพราะดิจิทัลเข้ามาช่วยให้การ สื่อสารง่ายขึ้น ซึ่งทำให้แต่ละส่วนในองค์กรทำงานอย่างสอดประสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากพูดถึง การนำดิจิทัลมาปรับใช้กับองค์กร หลายคนจะคิดถึงการตลาด แต่ในความเป็นจริงดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันสามารถ พัฒนาองค์กรในภาพรวมได้ ไม่ต้องเป็นเฉพาะฝ่ายการตลาดเท่านั้น ฝ่ายบริหาร ฝ่ายบุคคล หรือแม้แต่ฝ่ายผลิตก็ สามารถใช้ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันเพื่อปรับปรุงองค์กรให้ดีขึ้นได้ การเปลี่ยนแปลงด้านการปฏิบัติการเพื่อให้ สอดรับกับดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันนั้น เป็นประโยชน์ตั้งแต่ด้านการวางแผน พัฒนานวัตกรรม ปรับปรุงสินค้าและ บริการ การขาย การตลาด ไปจนถึงการวัดผลการทำงานของทั้งองค์กร 1.9.3 เปลี่ยนแปลงประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) เมื่อองค์กรผู้ผลิตสินค้าและบริการเริ่มต้นด้วยการดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน สิ่งที่ลูกค้าจะได้รับ ย่อมมีความ ต่างออกไป สิ่งที่เทคโนโลยีดิจิทัลจะสามารถทำได้ในแง่ประสบการณ์เป็นได้ตั้งแต่ความรู้สึก เช่น ง่ายกว่า เร็วกว่า มากกว่า ไปจนถึงสิ่งที่เป็นชิ้นเป็นอันจับต้องได้จริง เช่น การใช้บริการผ่านแอปพลิเคชันโมบายแบงก์กิงใน โทรศัพท์มือถือที่เปลี่ยนและลดทอนการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ลงไปได้มาก ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้นก็คือ ถ้าเป็นเมื่อ 10 ปีที่แล้วใครสักคนต้องการโอนเงินจากบัญชีเงินฝาก สิ่งที่ต้องทำคือเดินออกจากบ้านตามหาสาขา ธนาคารหรือตู้เอทีเอ็ม สอดบัตรลงไปแล้วกดเลขบัญชีปลายทาง กดโอน และอาจมีค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นมาหาก เป็นการโอนต่างธนาคาร แต่ในปัจจุบันแต่ละธนาคารแข่งขันกันในด้านการพัฒนาแอปพลิเคชันที่ช่วยให้การใช้จ่าย สำหรับสินค้าบริการต่าง ๆ ง่ายขึ้น รวมถึงการเสียภาษี ธุรกรรม กับราชการ การลงทุน ซื้อประกันภัยประกันชีวิต แม้กระทั่งการบริจาคทำบุญ ก็ทำได้ผ่านโมบายแบงก์กิง ผลที่ตามมาคือ การเดินออกจากบ้าน บัตรเอทีเอ็ม ไม่มี ความจำเป็นอีกต่อไป ค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย เมื่อไปธนาคารก็ถูกตัดทอนให้หายไปเช่นกัน ในเมื่อทุกสิ่งผู้ใช้ทำได้ ด้วยตัวเอง ธนาคารก็ไม่มีเหตุผลอะไรในการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมอีกต่อไป 17
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล 1.10 ลักษณะของธุรกิจยุคดั้งเดิม และธุรกิจยุคดิจิทัล ลักษณะของธุรกิจยุคดั้งเดิม 1. มีขนาดเล็กจนถึงปานกลาง แต่เดิมมักเป็นธุรกิจในครัวเรือน เช่น SME การบริหารจัดการแบบเครือญาติ 2. เน้นการใช้แรงงานมากกกว่าใช้เทคโนโลยี การประเมินจะพิจารณาจากพื้นที่ คน และวัตถุดิบ 3. ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารพื้นฐาน คือ จดหมาย โทรสาร และโทรศัพท์ 4. การบันทึกข้อมูลจะใช้วิธีการจดจำและบันทึกลงสมุด 5. ใช้ระบบเส้นสายในการบริหารงาน การตัดสินใจ มักพิจารณาจากแรงสังหรณ์มากกว่าข้อมูล 6. ขาดยุทธศาสตร์เชิงรุก ลักษณะของธุรกิจยุคดิจิทัล 1. การทำงานเป็นแบบมืออาชีพ กล่าวคือ จะปฏิบัติงานโดยผู้ที่มีความรู้และความชำนาญ 2. ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงเข้ามาช่วยในการดำเนินการ 3. ใช้รูปแบบการสื่อสารที่รวดเร็ว ส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายเข้าสู่คอมพิวเตอร์ทันทีโดยไม่มีการหยุดพักจึง สามารถทำงานต่อเนื่องได้ทันที 4. ใช้ฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ในการจัดเก็บข้อมูล 5. บริหารงานด้วยข้อมูลข่าวสาร การตัดสินใจจะพิจารณาจากข้อมูลเป็นหลัก 6. ใช้ไอซีที (ICT) ในการกำหนดยุทธศาสตร์เชิงรุก โดยเน้นนวัตกรรมที่นำหน้าคู่แข่ง และมีการมอง สถานการณ์ในอนาคต 1.11 การเปลี่ยนแปลงและผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีดิจิทัล 1.11.1 การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีดิจิทัล 1. เทคโนโลยีสื่อสารที่มีความเร็วและคุณภาพสูงมาก 2. เทคโนโลยี อุปกรณ์เคลื่อนที่เพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบทุกที่ ทุกเวลา 3. เทคโนโลยีการประมวลผลแบบคลาวด์ 4. เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ 5. เทคโนโลยีการเชื่อมต่อสรรพสิ่ง 6. เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ 7. เทคโนโลยีความมั่งคงปลอดภัยไซเบอร์ 18
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล 1.11.2 ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีดิจิทัล 1. การหลอมรวมของกิจกรรม เกิดการหลอมรวมระหว่างกิจกรรมทางเศรษฐกิจสังคมของ โลกออนไลน์และออฟไลน์ กิจกรรมของประชาชน ธุรกิจ หรือภาครัฐ จะถูกย้ายมาอยู่บนระบบออนไลน์มากขึ้น เช่น การสื่อสาร การซื้อขายสินค้า การทำธุรกรรมทางการเงิน การเรียนรู้การดูแลสุขภาพ การบริการของภาครัฐ เป็นต้น 2. ผู้บริโภคกลายเป็นผู้ผลิต การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อให้เกิดการผลิตมากขึ้น โลกที่ประชาชน และผู้บริโภคกลายเป็นผู้ผลิตโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล 3. การแข่งขันบนฐานนวัตกรรม การแข่งขันในเชิงราคาจะเป็นเรื่องของอดีต ธุรกิจที่ไม่สามารถใช้ เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อปรับเปลี่ยน หรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าและบริการเดิมของตนจะไม่สามารถแข่งขันได้ 4. ยุคของระบบอัจฉริยะมากขึ้น เป็นยุคของการใช้เทคโนโลยีและแอปพลิเคชันอัจฉริยะต่าง ๆ ใน กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคม 5. การแข่งขันด้วยข้อมูล เกิดข้อมูลทั้งจากผู้ใช้งาน และจากอุปกรณ์เซนเซอร์ต่าง ๆ จำนวน มากมาย ศักยภาพในด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่จะเป็นเรื่องจำเป็น 6. การแพร่ระบาดของภัยไซเบอร์ การจารกรรมข้อมูลบนระบบคอมพิวเตอร์ หรือการโจมตี โครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญ สามารถทำให้ระบบเศรษฐกิจหยุดชะงักและได้รับความเสียหาย 7. การเปลี่ยนโครงสร้างกำลังคน งานหลายประเภทโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคอุตสาหกรรม โรงงาน และภาคบริการ จะเริ่มถูกทดแทนด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลที่สามารถทำได้ดีกว่าและมีประสิทธิภาพมากกว่า เช่น อูเบอร์ (Uber) ซึ่งเป็นธุรกิจให้เช่ารถแท็กซี่ โดยอาศัยเครือข่ายรถแท็กซี่ส่วนตัว สามารถจองรถผ่าน โทรศัพท์มือถือได้ และชำระเงินตามระยะทางที่ใช้ผ่านบัตรเครดิต เป็นต้น สรุปสาระสำคัญ ธุรกิจดิจิทัลเป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างการออกแบบธุรกิจใหม่ ๆ เกี่ยวกับการปฏิสัมพันธ์และการเจรจา ระหว่างธุรกิจและสิ่งต่าง ๆ เทคโนโลยีดิจิทัลผลักดันการปรับปรุงในกระบวนการทางธุรกิจแบบดั้งเดิมเข้าสู่ระบบ ทางธุรกิจดิจิทัล การสร้างนวัตกรรมดิจิทัลที่สร้างขึ้นโดยต้องแข่งขันด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นและความคล่องตัวทาง เทคโนโลยี ผู้นำทางธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีทักษะทางธุรกิจแบบดิจิทัล บทบาทใหม่ ๆ เช่น หัวหน้า เจ้าหน้าที่ดิจิทัลจะกลายเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาบทบาทผู้นำธุรกิจและซีไอโอจะต้องพัฒนาความเป็นผู้นำและ ความสามารถด้านเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อกำหนดและดำเนินกลยุทธ์ดิจิทัล 19
ความรู้พื้นฐานทางธุรกิจดิจิทัล ตอนที่ 1 จงนำตัวอักษรหน้าข้อความด้านขวามือ เติมในช่องว่างหน้าตัวเลขด้านข้ายมือที่มีความสัมพันธ์กันให้ ถูกต้อง (10 คะแนน) 1. ธุรกิจ ก. การใช้คอมพิวเตอร์เข้าควบคุมกระบวนการผลิต 2. วัตถุดิบ ข. การพัฒนาระบบฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร 3. อินเทอร์เน็ตและอีเมล ค. ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารพื้นฐาน 4. เทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรม ง. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 5. ธุรกิจดิจิทัล จ. ใช้ ICT ในการกำหนดยุทธศาสตร์เชิงรุก 6. Big Data Analytics ฉ. กิจกรรมที่เกี่ยวกับการผลิต จำหน่าย การบริการ 7. การบริการของรัฐ ช. การสร้างสุรรค์ของธุรกิจใหม่ด้วยเทคโนโลยี 8. ธุรกิจยุคดั้งเดิม ซ. แอปพลิเคชันแบบ Grab 9. ธุรกิจยุคดิจิทัล ณ. เครื่องจักรกล วัสดุ 10. รูปแบบธุรกิจยุคดิจิทัล ญ. เครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากในเชิงลึก ตอนที่ 2 จงทำเครื่องหมาย (X) หน้าข้อที่ผิด และทำเครื่องหมาย (√) หน้าข้อที่ถูก (10 คะแนน) 1. ธุรกิจ คือ กิจกรรมต่าง ๆ ที่มีการนำทรัพยากรที่มีอยู่มาผสมผสานกันอย่างมีระบบ 2. ทรัพยากรในธุรกิจ ประกอบด้วย คน เงินทุน วัตถุดิบ และการบริหารจัดการ 3. เทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยวเพิ่มความสะดวกในการใช้จ่ายซื้อของในชีวิตประจำวัน 4. การสำรองตั๋วโดยสารรถไฟออนไลน์ เป็นบริการด้านบริการของรัฐ 5. การดำเนินธุรกิจที่ดีส่งผลให้ประเทศเพิ่มพูนรายได้จากภาษีอากร 6. การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นการเพิ่มต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ 7. คลาวด์ (Cloud) เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลในเชิงลึก 8. Sharing Economy คือ การสร้างทรัพยากรใหม่ในการดำเนินธุรกิจ 9. การบริหารองค์กรแบบไร้ลำดับชั้น (Holacracy Organization) เพื่อยุคการทำงานร่วมกัน 10. ธุรกิจยุคดิจิทัล นิยมใช้ระบบเส้นสายในการบริหารงาน การตัดสินใจ เพื่อความมั่นคงขององค์กร แบบฝึกหัดหน่วยที่ 1
ความรู้พื้นฐานทางธุรกิจดิจิทัล คำสั่ง ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียวแล้วทำเครื่องหมาย (X) ลงในกระดาษคำตอบ 1. ธุรกิจ หมายถึงข้อใด ก. การจัดตั้งองค์กรหรือกิจการ ข. ความต้องการซื้อของผู้บริโภค ค. กิจการการโอนย้ายสินค้าและบริการ ง. กระบวนการนำทรัพยากรธรรมชาติผ่านกรรมวิธีการผลิต จ. การดำเนินงานโดยกลุ่มบุคคลที่มีความต้องการคล้ายคลึงกัน 2. องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในการดำเนินธุรกิจคือข้อใด ก. เงินทุน ข. บุคคลหรือแรงงาน ค. อุปกรณ์และวัตถุดิบ ง. ผู้ลงทุนหรือเจ้าของธุรกิจ จ. การจัดการดำเนินงานทางธุรกิจ 3. ข้อใดคือความสำคัญของธุรกิจ ก. เพิ่มผลประโยชน์หรือกำไร ข. เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ค. เพื่อสร้างความมั่นคงให้กิจการ ง. เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และธุรกิจ จ. สร้างความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี 4. ข้อใดไม่ใช่ความสำคัญของการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารในธุรกิจ ก. การเพิ่มความรวดเร็วและถูกต้อง ข. การเพิ่มช่องทางในการขยายตลาด ค. การเพิ่มช่องทางการซื้อของผู้บริโภค ง. การลดต้นทุนในการดำเนินธุรกิจ จ. การเพิ่มความได้เปรียบกับคู่แข่งทางการค้า 5. ความหมายของธุรกิจดิจิทัล ข้อใดถูกต้องที่สุด ก. การนำเทคโนโลยีต่าง ๆ ทุก ๆ ด้านมาใช้ในธุรกิจ ข. การผสมผสานระหว่างเทคโนโลยีดิจิทัลและการทำงานของคน ค. การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มความสะดวก สบายแก่ผู้บริโภค ง. การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเพิ่มความสะดวก สบายแก่ผู้ประกอบการ จ. การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการออกแบบ สร้างสรรค์ธุรกิจให้ดีขึ้น แบบทดสอบหลังเรียนหน่วยที่ 1
พื้นฐานธุรกิจดิจิทัล 6. ข้อใดไม่จัดอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีแพลตฟอร์ม (Technology Platform) ก. Cloud ข. Mobile ค. Big Data ง. Resource จ. Social Media 7. องค์กรในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) ควรมีการปรับโครงสร้างองค์กรอย่างไร ก. จัดโครงสร้างแบบไร้ระดับชั้น ข. จัดโครงสร้างแบบการแบ่งทีมตามโครงการ ค. จัดโครงสร้างแบบกำหนดบทบาทที่ชัดเจน ง. จัดโครงสร้างการบริหารงานตามสายการบังคับบัญชา จ. จัดโครงสร้างแบบแบ่งลำดับชั้นการทำงานที่ชัดเจน 8. ข้อใดไม่ตรงกับรูปแบบของ ดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน (Digital Transformation) ก. การเปลี่ยนองค์กรให้เข้ากับเศรษฐกิจดิจิทัล ข. การนำองค์กรเข้าแข่งขันด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล ค. การเปลี่ยนองค์กรที่มีวัฒนธรรมดิจิทัลเป็นตัวตั้ง ง. การปรับเปลี่ยนองค์กรเพื่อใช้ประโยชน์จากดิจิทัล จ. การเปลี่ยนองค์กรจากใช้บุคคลเป็นการใช้ดิจิทัล 9. ข้อใดไม่ใช่สิ่งที่ได้จากการเปลี่ยนแปลงด้านการปฏิบัติการ (Business Operation) เมื่อนำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันมาใช้ในองค์กร ก. มีความแม่นยำในการทำงาน ข. มีสถานที่ในการทำงานที่ชัดเจน ค. ลดความช้ำช้อนในวิธีการทำงาน ง. มีซอฟต์แวร์ที่ช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น จ. ทำให้การสื่อสาร การประสานงานทำได้ง่าย 10. ข้อใดคือลักษณะของธุรกิจยุคดิจิทัล ก. ธุรกิจมีขนาดเล็กจนถึงปานกลาง ข. การบริหารจัดการแบบเครือญาติ ค. ใช้การประมวลผลแบบคลาวด์ ง. ใช้ระบบเส้นสายในการบริหารงาน จ. ใช้ฐานข้อมูลคอมพิวเตอร์ในการจัดเก็บข้อมูล 22