The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สุขศึกษาพลศึกษา ม.ปลาย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thaplanfe, 2022-06-08 03:11:24

สุขศึกษาพลศึกษา

สุขศึกษาพลศึกษา ม.ปลาย

รายวิชา สุขศึกษาพลศึกษา

รหัสวิชา ทช 31002
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

จำนวน 2 หน่วยกิต (80 ชั่วโมง)

บทที่ 1 การทํางานของระบบในรา งกาย

เรื่องที่ 1 การทํางานของระบบยอยอาหาร
เรื่องที่ 2 การทํางานของระบบขับถา ย
เรื่องที่ 3 การทํางานของระบบประสาท
เรื่องที่ 4 การทํางานของระบบสืบพันธุ
เรื่องที่ 5 การทํางานของระบบตอมไรทอ

เรื่องที่ 6 การดูแลรักษาระบบของรา งกายที่สําคัญ

การทำงานของระบบย่อยอาหาร

มนุษย์เป็นผู้บริโภคโดยการรับประทานอาหารเพื่อให้ร่างกายเจริญเติบโต ดำรงอยู่ได้และ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
มนุษย์จึงมีระบบการย่อยอาหารเพื่อนำสารอาหารแร่ธาตุและน้ำให้เป็นพลังงาน เพื่อใช้ในการดำรงชีวิต

การย่อยอาหารเป็นกระบวนการเปลี่ยนแปลงสารอาหารที่มีขนาดใหญ่ให้เล็กลงจนร่างกายดูดซึม ไปใช้ได้




การย่อยอาหารมี 3 ขั้นตอน คือ
1) การย่อยอาหารในปาก เปนกระบวนการยอยอาหารในสว นแรก อวัยวะที่เกี่ยวขอ งกับการยอย อาหาร ไดแก ฟน

และตอมน้ําลาย ทางเดินอาหารเริ่มตั้งแตปาก มีฟน ทําหนา ที่บดอาหาร
2) การย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร เปน อวัยวะที่อยูต อ จากหลอดอาหาร ใตก ระบังลมดานซาย ดานลางติดกับ

ลําไสเ ล็ก มีลักษณะเปนกระพุง รูปตัวเจ (J) ผนังกั้นเปน กลามเนื้อเรียบ ยืดหดไดด ี การยอ ย ในกระเพาะอาหาร
3) การย่อยอาหารในลำไส้ ลําไสเ ล็กอยูต อจากกระเพาะอาหาร มีลักษณะเปนทอ ที่ขดซอนกัน ไปมาในชองทอ ง

ยาวประมาณ 5-7 เมตร ลําไสเ ล็กจะผลิตเอนไซมเ พื่อยอ ยโปรตีน คารโ บไฮเดรตและ ไขมัน



ตับออ น (Pancreas) ทําหนา ที่สรา งฮอรโมนควบคุมระดับน้ําตาลในเลือดและเอนไซมในการยอย อาหาร เอนไซมท ี่สรางขึ้นจะอยูใ น
รูปที่ยังทํางานไมไ ด ตอ งอาศัยเอนไซมจ ากลําไสเ ปลี่ยนสภาพที่พรอม จะทํางานได ซึ่งเปนเอนไซมส ําหรับยอ ยโปรตีน



อาหารที่เหลือจากการยอยและดูดซึม
แลว จะผา นเขาสูลําไสใ หญ เซลลท ี่บุผนังลําไสใหญสามารถ

ดูดน้ํา แรธาตุและวิตามินจากกากอาหารเขากระแสเลือด
กากอาหารจะผา นไปถึงไสต รง (rectum) ทายสุด ของ
ไสตรงคือ ทวารหนักเปน กลามเนื้อหูรูดที่แข็งแรงมาก
ทําหนาที่บีบตัวชว ยในการขับถาย จาก การศึกษาพบวา
อาหารที่รับประทานเขา ไปจะไปถึงบริเวณไสต รงในชั่วโมงที่
12 กากอาหารจะ อยูในลําไส ตรงจนกวาจะเต็มจึงจะเกิดการ

ปวดอุจจาระ และขับถา ยออกไปตามปกติ

เรื่องที่ 2 การทํางานของระบบขับถาย

ระบบขับถา ย

การขับถา ยเปนกระบวนการกําจัดของเสียที่รา งกายไมต องการออกมาภายนอกรา งกาย
เรียกวา การขับถา ยของเสีย อวัยวะที่เกี่ยวขอ งกับการกําจัดของเสีย ไดแ ก ปอด ผิวหนัง

กระเพาะปส สาวะ และ ลําไสใ หญ เปนตน

ปอด เปน อวัยวะหนึ่งในรางกายที่มีความสําคัญอยางยิ่งในสัตวมีกระดูกสันหลัง ใชใ นการหายใจ
หนา ที่หลักของปอดก็คือการแลกเปลี่ยนกา ซออกซิเจนจากสิ่งแวดลอมเขา สูร ะบบเลือดในรา งกาย
และ แลกเปลี่ยนเอากาซคารบ อนไดออกไซดอ อกจากระบบเลือดออกสูส ิ่งแวดลอ ม ทํางานโดยการ

ประกอบ กันขึ้นของเซลลเปน จํานวนลานเซลล ซึ่งเซลลที่วา นี้มีลักษณะเล็กและบางเรียงตัว
ประกอบกันเปนถุง เหมือนลูกโปง ซึ่งในถุงลูกโปง นี้เองที่มีการแลกเปลี่ยนกาซตา ง ๆ เกิดขึ้น

นอกจากการทํางานแลกเปลี่ยน กา ซแลวปอดยังทําหนา ที่อื่น ๆ อีก



ระบบขับถายปสสาวะ

1. ไต (Kidneys) มีอยู 2 ขาง รูปรา งคลา ยเมล็ดถั่วแดง อยูท างดางหลังของชอ งทอ งบริเวณ
เอว ไตขางขวามักจะอยูต ่ํ่ากวา ขางซายเล็กนอย ไตจึงเปนอวัยวะสําคัญที่ใชเ ปนโรงงาน
สําหรับ ขับถา ยปส สาวะดว ยการกรองของเสีย เชน ยูเรีย (Urea) เกลือแรแ ละน้ําออกจาก
เลือดที่ไหลผา นเขา มาให เปนน้ําปสสาวะแลว ไหลผา นกรวยไตลงสูท อไตเขาไปเก็บไวท ี่
กระเพาะปส สาวะ
2. กรวยไต (Pelvis) คือ ชองกลวงภายในที่มีรูปรางเหมือนกรวย สวนของกนกรวยจะ
ติดตอ กับ กานกรวย ซึ่งกา นกรวยก็คือทอ ไตนั่นเอง
3. ทอ ไต (Ureter) มีลักษณะเปนทอออกมาจากไตทั้ง 2 ขา ง เชื่อมตอ กับกระเพาะปส สาวะ
ยาวประมาณ 10 –12 นิ้ว จะเปน ทางผานของปส สาวะจากไตไปสูกระเพาะปสสาวะ
4. กระเพาะปส สาวะ (Urinary Bladder) เปน ที่รองรับน้ําปส สาวะจากไตที่ผา นมาทางทอ ไต
สามารถขยายได ขับปสสาวะไดประมาณ 1 ลิตร

5. ทอปส สาวะ(Urethra) เปน ทอ ที่ตอจากกระเพาะปสสาวะไปสูอ วัยวะเพศ ซึ่งของเพศชาย
จะ ผานอยูก ลางองคชาต ซึ่งทอนี้จะเปน ทางผานของปส สาวะเพื่อที่จะไหลออกสูภ ายนอก
ปลายทอ จึงเปน ทางออกของปสสาวะ ทอปส สาวะของเพศชายยาว 20 เซนติเมตร ของ

เพศหญิงยาว 4 เซนติเมตร

การเสริมสรา งและดํารงประสิทธิภาพการทํางาน

ของระบบขับถา ยปส สาวะ

1. ดื่มน้ําสะอาดมากๆ อย่างน้อยวันละ 6 –8 แก้ว จะช่วยให้ระบบขับถ่ายปัสสาวะดีขึ้น
2. ควรป้องกันการเป็นนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะโดยหลีกเลี่ยงการรับประทานผักที่มีสาร
ออกซาเลต (Oxalate) สูง เช่น หน่อไม้ ชะพลู ผักแพรว ผักกระโดน เป็นต้น เพราะผักพวกนี้
จะทําให้เกิด การสะสมสารแคลเซียมออกซาเลต (Calcium Oxalate) ในไตและกระเพาะปัสสาวะ
ได้ แต่ควร รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ เพราะอาหารพวกนี้มีสารฟอสเฟต
(Phosphate) สูง จะช่วยลดอัตราของการเกิดนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะได้ เช่น นิ่วในไต นิ่วใน
ท่อไต นิ่วในกระเพาะ ปัสสาวะเป็นต้น
3. ไม่ควรกลั้นปัสสาวะไว้นานจนเกินไป เพราะอาจทําให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดิน ปัสสาวะได้
4. เมื่อมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะควรรีบปรึกษาแพทย์

การทํางานของระบบประสาท

ระบบประสาท (Nervous System) การทํางานของระบบประสาทเปน กระบวนการที่สลับซับซอ นมาก
และเปน ระบบที่มี ความสัมพันธก ับการทํางานของระบบกลา มเนื้อ เพื่อใหร างกายสามารถปรับตัวใหเ ขา
กับสภาพแวดลอ ม ทั้งภายในภายนอกรางกาย ระบบประสาทนี้สามารถแบง แยกออก 3 สวน ดังนี้

1) ระบบประสาทสวนกลาง (Central nervous system : CNS) ระบบสวนนี้ ประกอบดว ย สมอง และไขสันหลัง
(Brain and Spinal cord)
2) ระบบประสาทสว นปลาย (Peripheral nervous system : PNS) ระบบประสาทสวนปลาย เปนสวนที่แยกออก
มาจากระบบประสาทสวนกลาง คือ สวนที่แยกออกมาจากสมองเรียกวา เสนประสาท สมอง (Cranial nerve)
และสว นที่แยกออกมาจากไขสันหลัง เรียกวา เสน ประสาทไขสันหลัง (Spinal nerve)
3) ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic nervous system : ANS)ระบบประสาทอัตโนมัติสวนใหญจ ะทําหนาที่
ควบคุมการทํางานของอวัยวะภายใน และทํางานอยูน อกอํานาจจิตใจ

หน้าที่ของสมอง

1) ควบคุมความจําความคิด การใชไ หวพริบ
2) ควบคุมการเคลื่อนไหวของกลา มเนื้อ โดยศูนยค วบคุมสมองดา นซา ยจะไป ควบคุมการ ทํางานของกลามเนื้อดานขวาของ

รา งกาย สว นศูนยค วบคุมสมองดา นขวาทําหนา ที่ควบคุมการทํางานของ กลา มเนื้อดานซา ยของรา งกาย
3) ควบคุมการพูด การมองเห็น การไดยิน

4) ควบคุมการเผาผลาญอาหาร ความหิว ความกระหาย
5) ควบคุมการกลอกลูกตา การปดเปด มา นตา

6) ควบคุมการทํางานของกลา มเนื้อใหทํางานสัมพันธก ันและชว ยการทรงตัว
7) ควบคุมกระบวนการหายใจ การเตนของหัวใจ การหดตัวและขยายตัวของเสน เลือด
8) สําหรับหนา ที่ของระบบประสาทที่มีตอ การออกกําลังกาย ตองอาศัยสมองสวนกลางโดย สมองจะทําหนาที่นึกคิดที่จะออกกําลัง
กาย แลว ออกคําสั่งสง ไปยังสมองเรียกวา Association motor areas เพื่อวางแผนจัดลําดับการเคลื่อนไหว แลว จึงสงคําสั่งตอ ไปยัง
ประสาทกลไก (Motor area) ซึ่งเปน ศูนยที่ จะสงคําสั่งลงไปสูไ ขสันหลัง หนาที่ของไขสันหลัง
1) ทําหนาที่สงกระแสประสาทไปยังสมอง เพื่อตีความและสั่งการ และในขณะเดียวกันก็รับ พลังประสาทจากสมองซึ่งเปน คําสั่งไป

สูอวัยวะตา ง ๆ
2) เปน ศูนยกลางของปฏิกิริยาสะทอ น (Reflex reaction) คือ สามารถที่จะทํางานไดท ันที เพื่อปองกันและหลีกเลี่ยงอันตรายที่อาจ

จะเกิดขึ้นกับรางกาย เชน เมื่อเดินไปเหยียบหนามที่แหลมคมเทา จะยกหนีทันทีโดยไมต องรอคําสั่งจากสมอง
3) ควบคุมการเจริญเติบโตของอวัยวะตางๆ ที่มีเสน ประสาทไขสันหลังไปสูอ วัยวะตา ง ๆ ซึ่งหนาที่นี้เรียกวา ทรอพฟค ฟงชั่น

(Trophic function)

เรื่องที่ 4 การทํางานของระบบสืบพันธุ์

ระบบสืบพันธุ การสืบพันธุเ ปนสิ่งที่ทําใหมนุษยดํารงเผา พันธุอ ยูได ซึ่งตองอาศัยองคป ระกอบสําคัญ เชน เพศชายและเพศหญิง
แตล ะเพศจะมีโครงสรา งของเพศ และการสืบพันธุซ ึ่งแตกตา งกัน

1) ระบบสืบพันธุข องเพศชาย อวัยวะสืบพันธุข องเพศชายสว นใหญจ ะอยูภ ายนอกลําตัว ประกอบดวยสว นที่สําคัญ ๆ ดังนี้
1.1 ลึงคหรือองคชาต (Penis) เปนอวัยวะสืบพันธุข องเพศชาย รูปทรงกระบอกอยูด านหนา ของหัวเหนา บริเวณดา นหนาตอน
บนถึงอัณฑะ มีลักษณะยื่นออกมา ประกอบดวยกลา มเนื้อที่เหนียว แตมีลักษณะนุม และอวัยวะสวนนี้สามารถยืดและหดได้

1.2 อัณฑะ(Testis) ประกอบดวยถุงอัณฑะ เปนถุงที่หอ หุม ตอ มอัณฑะไว้
1.3 ทอนําตัวอสุจิ (Vas deferens) อยูเหนืออัณฑะ เปน ทอ ยาวประมาณ 18 นิ้วฟุต ซึ่งตอ มา จากทอพักตัวอสุจิ ทอนี้

จะเปนชองทางใหต ัวอสุจิ (Sprem) ไหลผานจากทอ พักตัวอสุจิไปยังทอ ของถุงเก็บ อสุจิ
1.4 ทอ พักตัวอสุจิ (Epidymis) อยูเหนือทอ นําตัวอสุจิ ทอนี้มีลักษณะคลา ยรูปดวงจันทร ครึ่งซีก ซึ่งหอยอยูติดกับตอมอัณฑะ

1.5 ตอ มลูกหมาก (Prostate gland) มีลักษณะคลายลูกหมาก เปน ตอ มที่หุม สว นแรกของ ทอปสสาวะไวและอยูใต
ก ระเพาะปสสาวะ ตอ มนี้ทําหนาที่หลั่งของเหลวที่มีลักษณะคลายนม



เซลลส ืบพันธุเ พศชายซึ่งเรียกวา “ตัวอสุจิหรือสเปรม” นั้น จะถูกสรา งขึ้นในทอ ผลิตตัวอสุจิ
(Seminiferous tubules) ของตอมอัณฑะ ตัวอสุจิ มีรูปรา งลักษณะคลายลูกออดหรือลูกกบแรก
เกิด ประกอบดวยสว นหัวซึ่งมีขนาดโต สว นคอคอดเล็กกวาสวนหัวมาก และสวนของหางเล็กยาว

เรียว ซึ่งใชในการแหวกวายไปมา มีขนาดลําตัวยาวประมาณ 0.05 มิลลิเมตร ซึ่งมีขนาดเล็ก
กวาไขข องเพศหญิง หลายหมื่นเทา หลังจากตัวอสุจิถูกสรา งขึ้นในทอผลิตตัวอสุจิแลวจะฝงตัวอ
ยูในทอ พักตัวอสุจิจนกวา จะ เจริญเต็มที่ ตอ จากนั้นจะเคลื่อนที่ไปยังถุงเก็บตัวอสุจิ ในระยะนี้ตอ ม
ลูกหมากและตอมอื่น ๆ จะชวยกัน ผลิตและสงของเหลวมาเลี้ยงตัวอสุจิ และจะสะสมไวจ นถึง

ระดับหนึ่ง ถาหากไมม ีการระบายออกดวยการ มีเพศสัมพันธ รางกาย
ก็จะระบายออกมาเอง โดยใหน้ําอสุจิเคลื่อนออกมาตามทอ ปส สาวะในขณะที่กําลัง นอนอยู
ซึ่งเปนการลดปริมาณน้ําอสุจิใหนอ ยลงตามธรรมชาติ ตัวอสุจิประกอบดว ยสวนหัวที่มีนิวเคลียส
อยูเ ปน ที่เก็บสารพันธุกรรม ปลายสุดของหัวมีเอนไซม ยอยผนังเซลลไ ขหรือเจาะไขเพื่อผสมพันธุ

ถัดจากหัวเปน สวนของหางใชใ นการเคลื่อนที่ของตัวอสุจิ

ระบบสืบพันธุของเพศหญิง อวัยวะสืบพันธุของเพศหญิงสวน
ใหญจะอยูภ ายในลําตัว ประกอบดว ยสวนที่สําคัญ ๆ ดังนี้

1. ชองคลอด (Vagina)อยูส ว นลา งของทอง มีลักษณะเปนโพรงซึ่งมีความยาว 3 –4 นิ้วฟุต
ผนังดา นหนา ของชอ งคลอดจะติดอยูกับกระเพาะปส สาวะ สว นผนังดานหลังจะติดกับสว น

ปลายของลําไสใหญ ซึ่งอยูใ กลทวารหนัก

2. คลิทอริส (Clitoris) เปนปุมเล็ก ๆ ซึ่งอยูบ นสุดของรูเปดชองคลอด มีลักษณะ
เหมือนกับลึงค (Penis) ของเพศชายเกือบทุกอยาง แตข นาดเล็กกวาและแตกตา งกันตรงที่

วาทอปส สาวะของเพศหญิงจะไมผ านผา กลางคลิตอริสเหมือนกับในลึงค์
3. มดลูก (Uterus) เปน อวัยวะที่ประกอบดวยกลา มเนื้อ และมีลักษณะภายในกลวง มีผนัง
หนาอยูระหวา งกระเพาะปสสาวะซึ่งอยูข า งหนาและสวนปลายลําไสใ หญ (อยูใกลทวารหนัก)

ระบบสืบพันธุข องเพศหญิง อวัยวะสืบพันธุของเพศหญิง
สว นใหญจะอยูภายในลําตัว ประกอบดวยสว นที่สําคัญ ๆ ดังนี้

4 .รังไข (Ovary) มีอยู 2 ตอ ม ซึ่งอยูใ นโพรงของอุงเชิงกราน มีรูปรา งคอนขา งกลมเล็ก
มีน้ําหนักประมาณ 2 –3 กรัม ขณะที่ยังเปนตัวออนตอ มรังไขจ ะเจริญเติบโตในโพรงของ

ชอ งทอง
5. ทอ นําไข (Fallopain tubes) ภายหลังที่ไขห ลุดออกจากสว นที่หอ หุม (Follicle) แลวไข
จะผา นเขาสูทอรังไข ทอนี้ยาวประมาณ 6 –7 เซนติเมตร ปลายขางหนึ่งมีลักษณะคลาย กรวย

ซึ่งอยูใ กลกับ รังไข สวนปลายอีกขางหนึ่งนั้นจะเรียวเล็กลงและไปติดกับมดลูก

ระบบสืบพันธุ์ของเพศหญิง

การทํางานของระบบตอมไรท อ

ระบบตอ มไรท อ ในรา งกายของมนุษยมีตอ มในรางกาย 2 ประเภท คือ

1) ตอมมีทอ (Exocrine gland) เปนตอมที่สรางสารเคมีออกมาแลว สง ไปยัง
ตําแหนง ออกฤทธิ์ โดยอาศัยทอ ลําเลียงของตอมโดยเฉพาะ เชน ตอ มน้ําลาย
ตอมสรา งเอนไซมย อยอาหาร ตอมน้ําตา ตอมสรา งเมือก ตอมเหงื่อ ฯลฯ

2) ตอมไรท อ (Endocrine gland) เปน ตอมที่สรา งสารเคมีขึ้นมาแลวสง ไปออกฤทธิ์ยัง
อวัยวะ เปา หมาย โดยอาศัยระบบหมุนเวียนเลือด เนื่องจากไมมีทอลําเลียงของตอ ม
โดยเฉพาะ สารเคมีนี้เรียกวา ฮอรโ มน ซึ่งอาจเปน สารประเภทกรดอะมิโน สเตรอยด

การดูแลรักษาระบบของรา งกายที่สําคัญ

ระบบตา งๆ ของรางกายที่ทํางานปกติ จะทําใหมนุษยด ํารงชีวิตอยูไ ดอยา งมีความสุข หากระบบ
ของรา งกายระบบใดระบบหนึ่งทํางานผิดปกติไปจะทําใหร า งกายเกิดเจ็บปวยมีความทุกขทรมานและ
ไมส ามารถประกอบภารกิจตาง ๆ ไดอ ยางเต็มความสามารถ ดังนั้น ทุกคนควรพยายามบํารุงรักษาสุข
ภาพให แข็งแรง สมบูรณอยูเ สมอ

รักษาระบบประสาท
1. รับประทานอาหารประเภทที่ชว ยสง เสริมและบํารุงประสาท อาหารที่มีวิตามินบีมาก ๆ เชน ขาวซอมมือ
รําขา ว ไข ตับ ยีสต ผักสีเขียว ผลไมส ด และน้ําผลไม เปน ตน ควร หลีกเลี่ยงอาหารประเภทแอลกอฮอล

ชา กาแฟ เปนตน
2. พักผอ นใหเ พียงพอกับความตอ งการของรางกายแตล ะวัย ไมเ ครงเครียดหรือกังวล เกินไป ควรหลีก

เลี่ยงจากสถานการณที่ทําใหไ มส บายใจ
3. ออกกําลังกายสม่ําเสมอ ซึ่งเปน หนทางที่ดีในการผอ นคลาย
4. ไมค วรใชอวัยวะตาง ๆ ของรา งกายมากเกินไป อาจทําใหประสาทสวนนั้นทํางานหนัก เกินไป เชน
การทํางานหนา จอคอมพิวเตอรน านเกินไป อาจทําใหป ระสาทตาเสื่อมไดเ ปน ตน
5 ควรหมั่นฝกการใชสมองแกปญ หาบอย ๆ เปนการเพิ่มพูนสติปญ ญาและปองกันโรค ความจําเสื่อมหรือ

สมองเสื่อม

บทที่ 2
ปญ หาเพศศึกษา

บทที่ 2 ปญ หาเพศศึกษา

เรื่องที่ 1 ทักษะการจัดการปญ หาทางเพศ
เรื่องที่ 2 ปญ หาทางเพศในเด็กและวัยรุน
เรื่องที่ 3 การจัดการกับอารมณ และความตองการทางเพศ

เรื่องที่ 4 ความเชื่อที่ผิดๆ ทางเพศ
เรื่องที่ 5 กฎหมายที่เกี่ยวขอ งกับการละเมิดทางเพศ

เรื่องที่ 1 ทักษะการจัดการปัญหาทางเพศ

พัฒนาทางเพศกับการพัฒนาบุคลิกภาพ พัฒนาการทางเพศ เปนสวนหนึ่งของพัฒนาการบุคลิกภาพที่
เกิดขึ้นตั้งแตเด็กและมีความตอ เนื่อง ไปจนพัฒนาการเต็มที่ในวัยรุน หลังจากนั้นจะเปนสว นหนึ่งของบุคลิกภาพ

ที่ติดตัวตลอดชีวิต โดยเมื่อสิ้นสุดวัยรุน จะมีการเปลี่ยนแปลงตอ ไปนี้

1. มีความรูเรื่องเพศตามวัยและพัฒนาการทางเพศ

2. มีเอกลักษณทางเพศของตนเอง ไดแ ก การรับรูเ พศตนเอง บทบาททางเพศและพฤติกรรมทางเพศ

3. มีพฤติกรรมการรักษาสุขภาพทางเพศ การรูจักรางกายและอวัยวะเพศของตนเอง

4. มีทักษะในการสรางความสัมพันธก ับผูท ี่จะเปนคูครอง การเลือกคูครอง การรักษา ความสัมพันธใ หย าวนาน
การแกไขปญหาตาง ๆ ในชีวิตรวมกัน

5. เขา ใจบทบาทในครอบครัว ไดแก บทบาทและหนาที่สําหรับการเปนลูก การเปนพี่ – นอง และสมาชิกคนหนึ่งใน
ครอบครัว

6. มีทัศนคติทางเพศที่ถูกตอง ภูมิใจ พอใจในเพศของตนเอง ไมร ังเกียจหรือปดบัง ปดกั้นการ เรียนรูทางเพศ ที่เหม

เรื่องที่ 2 ปัญหาทางเพศในเด็กและวัยรุ่น

ปัญหาทางเพศในเด็กและ 1. ความผิดปกติในเอกลักษณ์ทางเพศ
วัยรุ่นแบ่งตามประเภทต่างๆ 2. รักร่วมเพศ (Homosexualism)

ได้ดังนี้

3. พฤติกรรมกระตุ้นตนเองทางเพศในเด็ก
และการเล่นอวัยวะเพศตนเอง

4. พฤติกรรมกระตุ้นตนเองทางเพศในวัยรุ่น หรือ

การสําเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง (Masturbation)

5. พฤติกรรมทางเพศที่วิปริต
(Paraphilias)

เพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น

ลักษณะปัญหา มีพฤติกรรมทางเพศต่อกันอย่างไม่เหมาะสม

มีเพศสัมพันธ์กันก่อนวัยอันควร สาเหตุ

1. เด็กขาดความรักความอบอุ่นใจจากครอบครัว

2. เด็กขาดความรู้สึกเห็นคุณค่าตนเอง ไม่ประสบความสําเร็จด้านการ

เรียน แสวงหาการยอมรับ หาความสุขและความพึงพอใจจากแฟน
เพศสัมพันธ์และกิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่าง ๆ

3. เด็กขาดความรู้และความเข้าใจทางเพศ ความตระหนักต่อปัญหาที่

ตามมาหลังการมี เพศสัมพันธ์ การป้องกันตัวของเด็ก ขาดทักษะในการ
ป้องกันตนเองเรื่องเพศ ขาดทักษะในการจัดการกับ

อารมณ์ทางเพศ
4. ความรู้และทัศนคติทางเพศของพ่อแม่ที่ไม่เข้าใจ ปิ ดกั้นการอธิบาย

เรื่องเกี่ยวกับเพศ ทําให้เด็กแสวงหาเองจากเพื่อน
5. อิทธิพลจากกลุ่มเพื่อน รับรู้ทัศนคติที่ไม่ควบคุมเรื่องเพศ เห็นว่าการ

มีเพศสัมพันธ์เป็ นเรื่อง ธรรมดา ไม่เกิดปัญหาหรือความเสี่ยง

6. มีการกระตุ้นทางเพศ ได้แก่ ตัวอย่างจากพ่อแม่ ภายในครอบครัว
เพื่อน สื่อยั่วยุทางเพศต่าง ๆ ที่เป็ นแบบอย่างไม่ดีทางเพศ

การป้องกัน

การป้องกันการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่น แบ่งเป็ นระดับต่าง ๆ ดังนี้

1. การป้องกันระดับต้นก่อนเกิดปัญหา ได้แก่ ลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ การ
เลี้ยงดูโดยครอบครัว สร้างความรักความอบอุ่นในบ้าน สร้างคุณค่าในตัว
เอง ให้ความรู้และทัศนคติทางเพศที่ดี มีแบบอย่างที่ดี

2. การป้องกันระดับที่ 2 หาทางป้องกันหรือลดการมีเพศสัมพันธ์ในวัย
รุ่นที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว โดยการสร้างความตระหนักในการไม่มีเพศ
สัมพันธ์ในวัยเรียนหรือก่อนการแต่งงาน หาทาง เบนความสนใจวัยรุ่นไปสู่
กิจกรรมสร้างสรรค์ ใช้พลังงานทางเพศที่มีมากไปในด้านที่เหมาะสม

3. การป้องกันระดับที่ 3 ในวัยรุ่นที่หยุดการมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ ป้องกัน
ปัญหาที่เกิดจากการมี เพศสัมพันธ์ ป้องกันการตั้งครรภ์และโรคติดต่อทาง
เพศ โดยการให้ความรูู้ทางเพศ เบี่ยงเบนความสนใจ หากิจกรรมทดแทน

ความเชื่อที่ผิดๆ ทางเพศ

1. ความเชื่อที่ 2. การถูกเนื้อต้อง 3. การมีเพศสัมพันธ์ที่
ผิดๆ ทางเพศ ตัวจะนําไปสู่การมี รุนแรงจะนําไปสู่การ

4. การมีความ เซ็กส์ สุขสมที่มากกว่า
สัมพันธ์ทางเพศก็
5. ผู้ชายควรเป็นผู้ 6. ผู้หญิงไม่ควรจะ
คือการร่วมรัก นําในการร่วมรัก เป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน

7. ผู้ชายนึกถึงแต่ 8. ผู้หญิงต้องพร้อม 9. เซ็กส์เป็นเรื่อง
เรื่องเซ็กส์ตลอด เสมอที่จะมีเซ็กส์เมื่อ ธรรมชาติไม่ต้อง

เวลา สามีต้องการ เรียนรู้

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการละเมิดทางเพศ

มาตรา 276 ผูใ ดขม ขืนกระทําชําเราหญิงซึ่งมิใชภ ริยาตน โดยขูเ ข็ญ มาตรา 280 ถา การกระทําความผิดตามมาตรา 278 หรือ มาตรา 279 เปน

ประการใด ๆ โดยใชก ําลัง ประทุษรา ย โดยหญิงอยูใ นภาวะที่ไมส ามารถ เหตุใหผ ูถ ูกกระทํา (1) รับอันตรายสาหัส ผูก ระทําตอ งระวางโทษจําคุก

ขัดขืนได หรือโดยทําใหห ญิงเขา ใจผิดคิดวา ตนเปน บุคคล อื่น ตอ งระวาง ตั้งแตห า ปถ ึงยี่สิบปแ ละปรับตั้งแตห นึ่งหมื่น บาทถึงสี่หมื่นบาท (2) ถึง

โทษจําคุกตั้งแตส ี่ปถ ึงยี่สิบปแ ละปรับตั้งแตแ ปดพันบาทถึงสี่หมื่นบาท แกค วามตาย ผูก ระทําตอ งระวางโทษประหารชีวิต หรือจําคุกตลอดชีวิต

ถา การกระทํา 38 ความผิดตามวรรคแรกได กระทําโดยมีหรือใชอ าวุธปน การจะมีความผิดฐานทําอนาจารได ตอ งมีองคป ระกอบ คือ

หรือวัตถุระเบิด หรือโดยรว มกระทําความผิด ดว ยกัน อันมีลักษณะ 1 ทําอนาจารแกบ ุคคลอายุเกินกวา 13 ป

เปน การโทรมหญิงตอ งระวางโทษจําคุกตั้งแตส ิบหา ปถ ึงยี่สิบปแ ละปรับ 2 มีการขม ขู ประทุษรา ย จนไมส ามารถขัดขืนได หรือทําใหเ ขา ใจวา เราเปน

ตั้งแต สามหมื่นถึงสี่หมื่นบาท หรือจําคุกตลอดชีวิต คนอื่น โดยเจตนา

มาตรา 283 ทวิผูใ ดพาบุคคลอายุเกินสิบหา ปแ ตย ังไมเ กินสิบแปดปไ ป มาตรา 317 ผูใ ดปราศจากเหตุอันสมควรพรากเด็กอายุยังไมเ กิน
เพื่อการอนาจาร แมผ ูน ั้น จะยินยอมก็ตาม ตอ งระวางโทษจําคุกไมเ กิน สิบหา ปไ ปเสียจากบิดามารดา ผูป กครอง หรือผูด ูแล ตอ งระวาง
หา ปห รือปรับไมเ กินหนึ่งหมื่นบาทหรือทั้งจําทั้งปรับ ถา การ กระทําความ โทษจําคุกตั้งแตส ามปถ ึงสิบหา ปแ ละปรับตั้งแตห า พันบาทถึงสาม
ผิดตามวรรคแรก เปน การกระทําแกเ ด็กอายุยังไมเ กินสิบหา ป
ผูก ระทําตอ งระวางโทษจําคุก ไมเ กินเจ็ดปห รือปรับไมเ กินหนึ่งหมื่น หมื่นบาท

สี่พันบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ มาตรา 318 ผูใ ดพรากผูเ ยาวอ ายุกวาสิบหา ปแ ตย ังไมเกินสิบ
แปดปไปเสียจากบิดามารดา ผูปกครอง หรือผูดูแล โดย
ผูเยาวนั้นไมเต็มใจไปดว ย ตองระวางโทษจําคุกตั้งแตส องปถึสิบ
ปแ ละปรับตั้ง แตสี่พันบาทถึงสองหมื่นบาท

ข้อสังเกตุ

การพรากผูเยาว = การเอาตัวเด็กที่อายุยังไมครบบรรลุนิติภาวะไปจากความดูแลของบิดา
มารดา ผูปกครอง หรือผูดูแลไมวา เด็กนั้นจะเต็มใจหรือไมก ็ตาม การพรากผูเยาวอ ายุไมเกิน
13 ป แตไ มเ กิน 18 ป โดยผูเ ยาวไมเ ต็มใจเปนความผิด ผูท ี่รับซื้อหรือ ขายตัวเด็กที่พรากฯ
ตองรับโทษเชนเดียวกับผูพ ราก ผูที่พรากฯ หรือรับซื้อเด็กที่ถูกพรากฯ ไปเปน โสเภณี เปน

เมียนอยของคนอื่น หรือเพื่อขม ขืนตอ งรับโทษหนักขึ้น การพรากผูเยาวอายุเกิน 13 ป
แตไมเกิน 18 ป แมผูเยาวจะเต็มใจไปดว ย ถานําไปเพื่อการอนาจาร หรือคากําไรเปน

ความผิด เชน พาไปขมขืน พาไปเปนโสเภณีเปน ตน

บทที่ 3
อาหาร
และ
โภชนาการ

ขอบข่ายเนื้อหา

เรื่องที่ 1 โรคขาดสารอาหาร
เรื่องที่ 2 การสุขาภิบาลอาหาร
เรื่องที่ 3 การจัดโปรแกรมอาหารใหเ หมาะสม

กับบุคคลในครอบครัว

เรื่องที่ 1 โรคขาดสารอาหาร

โ1ร. คโรขคาขดาสดาโรปอราตหีนาแรลที่ะสํแาคคัลญอแรี่ล่ ะพบบอยในประเทศไทย มีดังนี้

1.1 ควาซิออรกอร (Kwashiorkor) เปนลักษณะอาการที่เกิดจาก
การขาดสารอาหารประเภทโปรตีนอยางมากสําหรับการเจริญเติบโตและ
ระบบตางๆ บกพรอ ง ทารกจะมี อาการซีดบวมที่หนา ขา และลําตัว
เสน ผลบางเปราะและรว งหลุดงา ย ผิวหนังแหง หยาบ มีอาการซึมเศรา
มีความตา นทานโรคต่ํา ติดเชื้องายและสติปญญาเสื่อม

1.2 มาราสมัส (Marasmus) เปน ลักษณะอาการที่เกิดจากการขาดสารอาหารประเภท โปรตีน
คารโบไฮเดรต และไขมันผูที่เปนโรคนี้จะมีอาการคลายกับเปน ควาซิออรกอรแ ตไมมีอาการบวมที่ทอ ง
หนาและขา นอกจากนี้รา งกายจะผอมแหง ศีรษะโต พุงโร ผิวหนังเหี่ยวยน เหมือนคนแกลอกออกเปน
ชั้นไดและทองเสียบอ ย

2. โรคขาดวิตามิน

โรคขาดวิตามินเอ เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ํ่าและมีวิตามินเอนอ ยคนที่ขาด วิตามินเอ
ถา เปน เด็กการเจริญเติบโตหยุดชะงัก สุขภาพออนแอ ผิวหนังหยาบแหง มีตุม สาก ๆ เหมือนหนัง คางคก

การปอ งกันและรักษาโรคขาดวิตามินเอ ทําไดโดยการกินอาหารที่มีไขมันพอควรและอาหาร จําพวก
ผลไมผักใบเขียว ผักใบเหลือง เชน มะละกอ มะมวงสุก ผักบุง คะนา ตําลึง มันเทศ ไข นม สําหรับ

ทารกควรไดกินอาหารเสริมที่ผสมกับตับหรือไขแดงบด

โรคขาดวิตามินบีหนึ่ง เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีวิตามินบีต่ํ่าและกินอาหารที่ไป ขัดขวางการดูดซึม
วิตามินบีหนึ่ง คนที่ขาดวิตามินบีหนึ่งเปนโรคเหน็บชา ซึ่งจะมีอาหารชาทั้งมือและเทา กลามเนื้อแขนและ

ขาไมม ีกําลัง

การปอ งกันและรักษาโรคขาดวิตามินบีหนึ่ง ทําไดโ ดยการกินอาหารที่มีวิตามินบีหนึ่งให เพียงพอและเปน
ประจํา เชน ขาวซอมมือ ตับ ถั่วเมล็ดแหง และเนื้อสัตว ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ทําลาย วิตามินบีหนึ่ง เชน

ปลาราดิบ หอยดิบ หมาก เมี่ยง ใบชา เปนตน

2. โรคขาดวิตามิน

โรคขาดวิตามินบีสอง เกิดจากการกินอาหารที่มีวิตามินบีสองไมเ พียงพอ คนที่ขาด วิตามินบี
สอง มักจะเปน แผลหรือรอยแตกที่มุมปากทั้งสองขางหรือซอกจมูกมีเกล็ดใสเล็ก ๆ ลิ้นมีสีแดง

กวา ปกติและเจ็บ หรือมีแผลที่ผนังภายในปาก

การปองกันและรักษาโรคขาดวิตามินบีสอง ทําไดโ ดยการกินอาหารที่มีวิตามินบีสองให เพียงพอ
และเปน ประจํา เชน นมสด นมปรุงแตง นมถั่วเหลือง น้ําเตา หู ถั่วเมล็ดแหง ขา วซอ มมือ ผัก

ผลไม เปน ตน

โรคขาดวิตามินซี เกิดจากการกินอาหารที่มีวิตามินซีไมเพียงพอ คนที่ขาดวิตามินซี มักจะเจ็บ
ปวยบอย เนื่องจากมีความตา นทานโรคต่ํา เหงือกบวมแดง เลือดออกงา ย ถา เปน มากฟน จะโยก

รวน และมีเลือดออกตามไรฟน งา ย อาหารเหลา นี้เรียกวา เปน โรคลักปดลักเปด

การปองกันและรักษาโรคขาดวิตามินซี ทําไดโ ดยการกินอาหารที่มีวิตามินซีใหเพียงพอและ
เปน ประจํา เชน สม มะนาว มะขามปอม มะเขือเทศ ฝรั่ง ผักชี เปนตน

3. โรคขาดแรธ าตุ

โรคขาดธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส เกิดจากการกินอาหารที่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสไม
เพียงพอ คนที่ขาดแคลเซียมและฟอสฟอรัสจะเปน โรคกระดูกออน มักเปนกับเด็ก หญิงมี

ครรภและหญิง ใหนมบุตร

การปองกันและรักษาโรคขาดธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส ทําไดโดยการกินอาหารที่มี
แคลเซียมและฟอสฟอรัสใหม ากและเปน ประจํา เชน นมสด ปลาที่กินไดท ั้งกระดูก ผักสีเขียว

น้ํามันตับปลา เปน ตน

โรคขาดธาตุเหล็กเกิดจากการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กไมเพียงพอหรือเกิดจากความผิดปกติ ใน
ระบบการยอยและการดูดซึม คนที่ขาดธาตุเหล็กจะเปน โรคโลหิตจาง

การปองกันและรักษาโรคขาดธาตุเหล็ก ทําไดโ ดยการกินอาหารที่มีธาตุเหล็กและโปรตีนสูง เปน
ประจํา เชน ตับ เครื่องในสัตว เนื้อสัตว ผักสีเขียว เปนตน

เรื่องที่2 การสุขาภิบาลอาหาร

การสุขาภิบาลอาหาร (Food Sanitation) อาหาร หมายความวา ของกินหรือเครื่องค้ําจุนชีวิต
หมายถึง การดําเนินการดวยวิธีการตา งๆ ที่ ไดแก
จัดการ เกี่ยวกับอาหารทั้งในเรื่องของการ
1. วัตถุทุกชนิดที่คนกิน ดื่ม อม หรือนําเขา สู
ปรับปรุง การบํารุงรักษาและการแกไข รางกายไมว าดว ยวิธีใด ๆ หรือในรูปลักษณะใด ๆ
เพื่ออาหารที่บริโภคเขา ไปแลว มี ผล
ดีตอ สุขภาพอนามัยโดยใหอ าหารมีความ แตไ มรวมถึงยา วัตถุออกฤทธิ์ตอ จิตและประสาท หรือ
สะอาด ปลอดภัยและมีความนา บริโภค ยาเสพติดใหโ ทษ

2. วัตถุที่มุงหมายสําหรับใช ห รือใชเ ปน สวนผสมใน
การผลิตอาหาร รวมถึงวัตถุเจือปนอาหาร สี และเครื่อง

ปรุงแตงกลิ่น -รส

อาหารที่ไม่บริสุทธิ์และ อาหารปลอมปนซึ่งใส่สารเคมีในอาหารขายอยู่ใน
ท้องตลาดมากมาย ดังตัวอย่างต่อไปนี้

1. อาหารผสมสี อาหารผสมสีที่ประชาชนบริโภคกันอยา งแพรหลาย เชน หมูแดง แหนม กุนเชียง
ไสกรอก ลูกชิ้นปลา กุงแหง ขา วเกรียบกุง และซอสสีแดง ซึ่งสีที่ใชก ันมากนั้นเปน สีที่มีตะกั่ว และ

ทองแดงผสมอยู่

2. พริกไทยปน ใชแปง ผสมลงไปในพริกไทยที่ปน แลว เพื่อใหไ ดปริมาณมากขึ้น การซื้อ พริกไทย
จึงควรซื้อพริกไทยเม็ด แลวนํามาปน เองจึงจะไดของแท้

3. เนื้อสัตวใ สดินประสิว ทําใหมีสีแดงนารับประทานและทําใหเนื้อเปอย นิยมใสใ นปลาเจา หมู
เบคอน เนื้อวัว ถาหากรับประทานเขาไปมาก ๆ จะทําใหเปน อันตรายได เนื่องจากพบวา ดินประสิวที่

ใส ลงไปในอาหารเปน ตัวการอันหนึ่งที่ทําใหเ กิดโรคมะเร็ง

4. ซอสมะเขือเทศใชมันเทศตมผสมสีแดง ถา ตองการซอสมะเขือเทศควรซื้อมะเขือเทศสด ๆ มา
เคี่ยวทําเองจึงจะไดข องแทและมีคุณคาทางอาหารที่ตอ งการ

อาหารที่ไม่บริสุทธิ์และ อาหารปลอมปนซึ่งใส่สารเคมีในอาหารขายอยู่ใน
ท้องตลาดมากมาย ดังตัวอย่างต่อไปนี้

5. น้ําสม สายชูปลอม ใชก รดอะซีติดหรือกรดน้ําสมแลวเติมน้ําลงไปหรือใชหัวน้ําสมเติมน้ํา

6. น้ําปลา ใชหนังหมูหรือกระดูกหมู กระดูกวัวและกระดูกควายนํามาตมแทนปลาโดยใสเ กลือ
แตงสี กลิ่น รสของน้ําปลา แลว นําออกจําหนายเปน น้ําปลา

7. กาแฟและชา ใชเมล็ดมะขามคั่วผสมกับขาวโพดหรือขา วสารคั่วเปนกาแฟสําเร็จรูป สําหรับ
ชาใชใ บชาปนดวยกากชา แลว ใสส ีลงไปกลายเปนชาผสมสี

8. ลูกชิ้นเนื้อวัว ใชส ารบอแรกซห รือที่เรียกกันวา น้ําประสานทอง ผสมลงไปเพื่อใหลูกชิ้น กรุบ
กรอบ

9. น้ํามันปรุงอาหาร สว นมากสกัดมาจากเมล็ดยางพาราแลว นําไปผสมกับน้ํามันถั่ว น้ํามัน
มะพรา ว น้ํามันดังกลา วจึงเปน อาหารที่ไมเ หมาะสมที่จะนํามาใชบริโภค

อาหารที่ไม่บริสุทธิ์และ อาหารปลอมปนซึ่งใส่สารเคมีในอาหารขายอยู่ใน
ท้องตลาดมากมาย ดังตัวอย่างต่อไปนี้

10. อาหารใสวัตถุกันเสีย มีอาหารหลายอยาง เชน น้ําพริก น้ําซอส ขนมเม็ดขนุน ทองหยอด
ฝอยทอง รวมทั้งอาหารสําเร็จรูปบรรจุกลอ งไดใ สว ัตถุกันเสีย คือ กรดซาลิซีลิกแอซิด
(Salicylic Acid) ซึ่ง เปนอันตรายแกสุขภาพ

11. อาหารใสส ารกําจัดศัตรูพืช มีอาหารบางอยา งที่มีผูนิยมใสส ารกําจัดศัตรูพืชบางประเภท
เชน ดีดีทีผสมกับน้ําเกลือแชปลา ใชทําลายหนอนที่เกิดขึ้นในปลาเค็ม เพื่อเก็บรักษาปลาเค็ม

ใหอ ยูไ ดนาน ซึ่งสารกําจัดศัตรูพืชเหลา นี้ยอ มเปนอันตรายตอ สุขภาพของผูบ ริโภค

บทที่ 4
การเสริมสร้าง

สุขภาพ

ขอบข่ายเนื้อหา

เรื่องที่ 1 การรวมกลุมเพื่อเสริมสรางสุขภาพในชุมชน
เรื่องที่ 2 การออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ

เรื่องที่ 1 การรวมกลุ่มเพื่อเสริมสร้างสุขภาพในชุมชน

คนที่มีสุขภาพกายดี หมายถึง คนที่มีรา งกาย ทั้งอวัยวะตา ง ๆ และระบบการทํางานอยูในสภาพที่
สมบูรณ แข็งแรง และสามารถทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพเปนปกติ

คนที่มีสุขภาพดีจะมีลักษณะ ดังนี้

1. มีรา งกายที่สมบูรณ แข็งแรง สามารถทรงตัวไดอยา งมั่นคงและเคลื่อนไหวไดอยางคลองแคลว
2. สามารถทํากิจกรรมตาง ๆ ในชีวิตประจําวันไดอ ยางมีประสิทธิภาพไมเ หนื่อยเร็ว

3. อวัยวะและระบบทุกสว นของรางกายสมบูรณ แข็งแรงและทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพเปน ปกติ
4. อัตราการเจริญเติบโตของสวนตาง ๆ ในรางกายเปน ไปตามวัยอยางเหมาะสม
5. ปราศจากโรคภัยไขเ จ็บตา ง ๆ และไมม ีโรคประจําตัว
6. สามารถพักผอ นไดอยางเต็มที่และมีหนาตาสดชื่นแจมใส

คนที่มีสุขภาพจิตดี หมายถึง คนที่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ สามารถ
ควบคุมอารมณ์ทําจิตใจให้เบิกบานแจ่มใสและสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

คนที่มีสุขภาพจิตดีจะมีลักษณะ ดังนี้

1. สามารถปรับตัวเขากับสังคมและสิ่งแวดลอ มได ไมว า จะอยูในสภาพแวดลอมใด
2. มีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความคิดที่เปนอิสระกลา ตัดสินใจดว ยตนเองอยา งมีเหตุผล

3. สามารถเผชิญกับความเปน จริง โดยแสดงออกไดอ ยางเหมาะสม
4. สามารถควบคุมอารมณไ ดด ี ไมแ สดงความโกรธ เกลียดหรือรัก เสียใจ ผิดหวัง จนมากเกินไป

5. รูจ ักรักผูอ ื่นที่อยูใ กลช ิดหรือผูท ี่รูจ ัก ไมใชร ักแตต ัวเอง มีความปรารถนาและยินดีที่ผูอ ื่นมี
ความสุขและประสบความสําเร็จ

6. มีความสุขในการทํางานดว ยความตั้งใจ ไมย อ ทอและไมเ ปลี่ยนงานบอ ย ๆ
7. มีความกระตือรือรน มีความหวังในชีวิต สามารถทนรอคอยในสิ่งที่มุง หวังได

8. มองโลกในแงดี ไมห วาดระแวงและพอใจในสภาพของตนเองที่เปนอยู
9. มีอารมณขัน หาความสุขไดจากทุกเรื่อง ไมเ ครียดจนเกินไป

10. รูจ ักผอนคลายโดยการพักผอ นในเวลา สถานที่และโอกาสที่เหมาะสม

หลักการดูแลรักษาสุขภาพ
กายและสุขภาพจิต มีดังนี้

1. มีพฤติกรรมการบริโภคที่ดี
2. รู้จักออกกําลังกายให้เหมาะสม
3. รู้จักรักษาความสะอาดของร่างกายให้เหมาะสม
4. ขับถ่ายให้เหมาะสมและเป็นเวลา

5. พักผ่อนให้เพียงพอ
6. ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
7. ใช้บริการสุขภาพตามระยะเวลาที่เหมาะสม

เรื่องที่ 2 การออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ

หลักการในการพิจารณาออกกําลังกายเพื่อสุขภาพ

1.ความถี่ของการออกกําลังกาย หมายถึงจํานวนวันในการออกกําลังกาย
โดยทั่วไปแล้วควร ออกกําลังกายทุกวันหรือย่างน้อยวันเว้นวัน

2. ความหนักของการออกกําลังกาย หมายถึงความพอเหมาะของการออก
กําลังกายของแต่ละ บุคคล โดยทั่วไปมักจะใช้อัตราการเต้นของชีพจรเป็นตัว
กําหนด

3. ความนานในการฝึกแต่ละครั้ง หมายถึงระยะเวลาในการออก กําลังกาย
แต่ละครั้งประมาณ 20 –60 นาที

4. รูปแบบการออกกําลังกาย หมายถึงวิธีการออกกําลังกายแบบต่าง ๆ ที่นํา
มาใช้ออกกําลัง กาย เช่น กีฬา กิจกรรมการออกกําลังกาย เป็นต้น

ข้อแนะนําในการออกกําลังกาย

1. ควรเริ่มออกกําลังกายอยางเบาๆ กอน แลวจึงคอยๆ เพิ่มความหนักของการออกกําลังกายในวัน ตอๆ ไปใหมากขึ้นตามลําดับ โดยเฉพาะอยางยิ่งสําหรับผูที่
ไมเคยออกกําลังกายมากอน
2. ผูที่เพิ่งฟนจากไขหรือมีโรคประจําตัว ตองปรึกษาแพทยกอนการออกกําลังกาย
3. ผูที่ประสงคจะออกกําลังกายหนัก ๆ โดยเฉพาะผูที่อายุต่ํากวา 40 ป จะตองปรึกษาแพทยกอน
4. ในระหวางการออกกําลังกาย ถารูสึกผิดปกติ เชน หนามืด หอบมากและชีพจรเตนเร็ว ตองหยุด การออกกําลังกายทันที และถาตองการจะออกกําลังกายใหม
ควรไดรับคําแนะนําจากแพทยเสียกอน
5. การออกกําลังกายแตละครั้ง ควรเลือกกิจกรรมใหเหมาะสมกับตนเอง
6. การออกกําลังกายที่จะใหไดรับประโยชนอยางแทจริง ควรตองออกแรง โดยใหสวนตาง ๆ ของ รางกายทุกสวนทํางานมากกวาปกติหรือเพื่อใหรูสึกเหนื่อย
7. ผูที่มีภารกิจประจําวันที่ไมสามารถแบงเวลาเพื่อการออกกําลังกายได ควรเลือกกิจกรรมที่งาย และกระทําไดในบริเวณบาน ใชเวลาสั้น ๆ เชน เดินเร็ว ๆ กาย
บริหาร วิ่งเหยาะ ๆ กระโดดเชือก เปนตน
8. เครื่องมือที่ชวยในการออกกําลังกาย เชน เครื่องเขยา สั่น ดึง ดัน เพื่อใหรางกายไมตอง ออกแรงกระแทกนั้นมีประโยชนนอยมาก เพราะวาการออกกําลังกายจะ
มีประโยชนหรือไมเพียงใดนั้น ขึ้นอยูกับวารางกายไดออกกําลังกายแรงมากนอยเพียงใด
9. การออกกําลังกายควรกระทําใหสม่ําเสมอทุกวัน อยางนอยวันละ 20-30 นาทีเพราะรางกาย ตองการอาหารเปนประจําทุกวันฉันใด รางกายตองการออกกําลังกาย
เปนประจําทุกวันฉันนั้น
10. เพื่อใหการออกกําลังกายมีความสนุกสนาน หรือมีแรงจูงใจมากยิ่งขึ้นควรทําสถิติเกี่ยวกับการ ออกกําลังกายเปนประจําควบคูไปดวย เชน จับชีพจร นับอัตรา
การหายใจเปนตน
11. การออกกําลังกายควรกระทําใหสม่ําเสมอทุกวัน เปนเพียงปจจัยอยางหนึ่งในการปรับปรุงและ รักษาสุขภาพเทานั้น ถาจะใหไดผลดีตองมีการรับประทานอาหาร
ที่ดี และมีการพักผอนอยางเพียงพอดวย
12. พึงระวังเสมอวา ไมมีวิธีการฝกหรือออกกําลังกายวิธีลัดเพื่อจะใหไดมาซึ่งสุขภาพและ สมรรถภาพทางกาย แตการฝกหรือการออกกําลังกายตองอาศัยเวลา
คอยเปนคอยไป



บทที่ 5

โรคที่ถา ยทอดทางพันธุกรรม

เรื่องที่ 1 โรคที่ถายทอดทางพันธุกรรม
เรื่องที่ 2 โรคทางพันธุกรรมที่สําคัญ

2.1 โรคทาลัสซีเมีย
2.2 โรคฮีโมฟเ ลีย
2.3 โรคเบาหวาน

2.4 โรคภูมิแพ้

เรื่องที่ 1 โรคที่ถา ยทอดทางพันธุกรรม

โรคติดตอ ทางพันธุกรรมคืออะไร
การที่มนุษยเกิดมามีลักษณะแตกตา งกัน เชน ลักษณะ สีผิว ดํา ขาว รูปรา ง สูง ต่ํา อว น ผอม
ผมหยิก หรือเหยียดตรง ระดับสติปญญาสูง ต่ํา ลักษณะดังกลา วจะถูกควบคุมหรือกําหนดโดย
“หนว ยพันธุกรรมหรือยีน” ที่ไดรับการถายทอดมาจากพอ และแม นอกจากนี้หากมีความผิดปกติใด ๆ
ที่แฝงอยูในหนวยพันธุกรรม เชน ความพิการหรือโรคบางชนิด ความผิดปกตินั้นก็จะถูกถายทอดไปยัง

รุนลูกตอ ๆ ไปเรียกวา โรคติดตอ หรือโรคที่ถายทอดทางพันธุกรรม

ทั้งนี้ ความผิดปกติที่ถายทอดทางพันธุกรรมสามารถเกิดขึ้นไดทั้งสองเพศ บางชนิดถา ยทอด เฉพาะเพศ
ชาย บางชนิดถา ยทอดเฉพาะในเพศหญิง ซึ่งควบคุมโดยหนวยพันธุกรรมหรือยีนเดน และ หนวย
พันธุกรรมหรือยีนดอ ย บนโครโมโซมของมนุษย

ความผิดปกติของพันธุกรรมหรือโรคทางพันธุกรรมมีความรุนแรงเพียงใด

1. รุนแรงถึงขนาดเสียชีวิต ตั้งแตอยูใ นครรภ เชน ทารกขาดน้ําเนื่องจากโรคเลือดบางชนิด
เปนตน

2. ไมถึงกับเสียชีวิตทันที แตจ ะเสียชีวิตภายหลังเชน โรคกลา มเนื้อลีบ เปนตน
3. มีระดับสติปญญาต่ํ่า พิการ บางรายไมสามารถชวยเหลือตนเองได หรือชวยเหลือตัวเองได

นอย เชน กลุมอาการดาวนซินโดรม เปน ตน
4. ไมร ุนแรงแตจะทําใหม ีอุปสรรคในการดํารงชีวิตประจําวันเพียงเล็กนอ ย เชน ตาบอดสี
ตัวอยา ง ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่พบบอ ย เชน กลุม ดาวนซินโดรม โรคกลามเนื้อลีบ มะเร็ง

เม็ดเลือดขาวบางชนิด เปน ตน

จะปองกันการกําเนิดบุตรที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมไดห รือไม
ความผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิด สามารถตรวจพบไดต ั้งแต กอนตั้งครรภออ น ๆ โดยการ ตรวจ
หาความผิดปกติของโครโมโซม และถาหากเปนโรคเลือดทาลัสซีเมีย สามารถตรวจเลือดบิดาและ มารดา
ดูวาเปนพาหนะของโรคหรือไม เมื่อพบความผิดปกติประการใด จะตอ งไปพบแพทยท ี่มีความเชี่ยวชาญ

เฉพาะดา นเพื่อทําการวางแผน การมีบุตรอยา งเหมาะสมและปลอดภัย


Click to View FlipBook Version