The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยภาคเรียนที่ 1 วิชาสังคมศึกษาฯ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ครูปิยนาถ ธนพรวรกุล

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ปิยนาถ ธนพรวรกุล, 2023-09-17 05:52:16

วิจัยภาคเรียนที่ 1

วิจัยภาคเรียนที่ 1 วิชาสังคมศึกษาฯ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ครูปิยนาถ ธนพรวรกุล

1. สถิติพื้นฐาน 1.1 ร้อยละ (Percentage) (บุญชม ศรีสะอาด. 2560: 103) เมื่อ P แทน ร้อยละ F แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นค่าร้อยละ N แทน จำนวนคะแนนในกลุ่ม 1.2 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) (สุนันทา ปัญญารัตน์, 2558) ( ) ( 1) S.D. 2 2 − − = N N N x x เมื่อ X̅ แทน คะแนนเฉลี่ย S.D. แทน ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ∑X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จำนวนข้อมูล 1.3 ค่าเฉลี่ย (Mean) (สมนึก ภัททิยธนี, 2560 : 241) N X X = เมื่อ X̅ แทน คะแนนเฉลี่ย ∑X แทน ผลรวมของคะแนนทั้งหมด N แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง


2. สถิติที่ใช้ในการทดสอบค่าเฉลี่ย 2 กลุ่มที่ไม่เป็นอิสระต่อกัน 2.1 t-test (Dependent Sample) t = ( ) 1 D D D 2 − − เมื่อ t แทน ค่าที่จะใช้พิจารณา t – distribution D แทน ผลรวมของความแตกต่างระหว่างคะแนนสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนแต่ละคน N แทน จำนวนนักเรียน 2 D แทน ผลรวมของกำลังสองของความแตกต่างระหว่าง คะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของผู้เรียนแต่ ละคน df = -1 3. สถิติที่ใช้ในการหาคุณภาพของเครื่องมือ 3.1 การหาความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ของแบบทดสอบวิชาสังคมศึกษา โดยใช้วิธีการ สอนแบบกลุ่มร่วมมือ เทคนิค (Jigsaw) โดยหาดัชนีความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบกับจุดประสงค์ (IOC : Index of item objective congruence) (สมนึก ภัททิยธนี. 2560 : 220) IOC = ∑R N เมื่อ IOC แทน ค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามกับจุดประสงค์ R แทน ผลรวมของคะแนนจากการพิจารณาของผู้เชี่ยวชาญ N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ โดยที่ +1 แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหา 0 ไม่แน่ใจว่าแผนการเรียนรู้สอดคล้องกับเนื้อหา


-1 แน่ใจว่าแผนการจัดการเรียนรู้ไม่สอดคล้องกับเนื้อหา 3.2 หาค่าความยากง่ายของแบบทดสอบ โดยใช้สูตร (สมนึก ภัททิยธนี, 2560 : 213) = เมื่อ p แทน ค่าความยากของแบบทดสอบ R แทน จำนวนคนตอบถูกทั้งหมด N แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด 0.81 – 1.00 เป็นข้อสอบที่ง่ายมาก 0.61 – 0.80 เป็นข้อสอบที่ค่อนข้างง่าย 0.41 – 0.60 เป็นข้อสอบที่ง่ายพอเหมาะ 0.20 – 0.40 เป็นข้อสอบที่ค่อนข้างยาก 0.00 – 0.19 เป็นข้อสอบที่ยากมาก 3.3 การหาค่าอำนาจจำแนกของแบบทดสอบวิชาสังคมศึกษา โดยใช้วิธีการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ รายข้อใช้วิธีวิเคราะห์แบบอิงเกณฑ์ของ เบรนแนน (Bernnan) (บุญชม ศรีสะอาด, 2559) ดังนี้ 1 2 N L N U B= − เมื่อ B แทน ค่าอำนาจจำแนก U แทน จำนวนผู้รอบรู้หรือผู้สอบผ่านเกณฑ์ที่ตอบถูก L แทน จำนวนผู้ไม่รอบรู้หรือผู้สอบไม่ผ่านเกณฑ์ที่ตอบถูก N1 แทน จำนวนผู้รอบรู้ที่สอบผ่านเกณฑ์ N2 แทน จำนวนผู้ไม่รอบรู้หรือผู้สอบไม่ผ่านเกณฑ์ 3.4 การหาค่าความเชื่อมั่น ใช้สูตรของโลเวท (Lovett) (สมนึก ภัททิยธนี, 2560 : 230) ( )( ) − − − = − 2 i 2 i i cc k 1 x C K x x r 1


เมื่อ cc r แทน ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ K แทน จำนวนข้อสอบ Xi แทน คะแนนของแต่ละข้อ C แทน คะแนนเกณฑ์หรือจุดตัดของแบบทดสอบ 3.5 การหาค่าอำนาจจำแนกของแบบสอบถามใช้สูตรค่าสหสัมพันธ์ของเพียร์สัน (Pearson) (สมนึก ภัททิยธนี, 2560 : 259) = ∑ − ∑ ∑ √NX 2 − () 2][ ∑ 2 − (∑ ) 2] แทน สหสัมพันธ์ระหว่างคะแนนชุด X กับชุด Y แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน X ∑ แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน Y X 2 แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน X แต่ละตัวยกกำลังสอง ∑ 2 แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน Y แต่ละตัวยกกำลังสอง ∑ แทน ผลรวมทั้งหมดของคะแนน X และ Y แต่ละคู่คุณกัน N แทน จำนวนคนทั้งหมด 3.6 การหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามใช้สูตรสูตรสัมประสิทธิแอลฟ่าของครอนแบคอัลฟา (สมนึก ภัททิยธนี, 2560 : 226) ∝= −1 [1 − ∑ 2 2 ] ∝ แทน ความเชื่อมั่นของแบบสอบถาม แทน จำนวนข้อของแบบสอบถาม 2 แทน ผลรวมของค่าความแปรปรวนของคะแนนเป็นรายข้อ 2 แทน ค่าความแปรปรวนของคะแนนของแบบสอบถามทั้งฉบับ


4. การหาคุณภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ 4.1 การหาประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้ตามเกณฑ์ 80/80 ใช้สูตรคำนวณ หาค่า E1/E2 (บุญชม ศรีสะอาด. 2557 : 103) 100 X / N 1 X A E = เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ X แทน คะแนนรวมจากแบบฝึกหัดย่อยระหว่างเรียน N แทน จำนวนนักเรียน A แทน คะแนนเต็มของแบบฝึกหัดระหว่างเรียน 100 F / N 2 = B E เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์ F แทน คะแนนรวมของทุกคนจากการทดสอบหลังเรียน N แทน จำนวนนักเรียน B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบหลังเรียน 4.2 การหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแผนจัดการเรียนรู้ (E.I. : The Effectiveness Index) โดยวิเคราะห์ จากคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนเมื่อเทียบกับคะแนนเต็มตามวิธีของกูด แมน เฟรชเชอร์และชไนเดอร์ (Goodman Flatcher and Schnider) (เผชิญ กิจระการ. 2558 : 31) ผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรียน –ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน (จำนวนนักเรียน X คะแนนเต็ม) –ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน E.I =


บทที่ 4 ผลการศึกษาค้นคว้า วิเคราะห์ข้อมูล การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาวิธีการเรียนรู้จากการทำโครงงาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนทุกคนมีผลการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด โดยเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเป็นลำดับ ในลักษณะตารางประกอบคำบรรยายดังนี้ ตารางที่ 1 แสดงค่าร้อยละและค่าเฉลี่ยของคะแนนสอบความสามารถในการเรียนรู้ในวิชาสังคมศึกษา ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 ที่ได้รับการจัดการเรียนรู้ในชั้นเรียนตลอดงานวิจัยนี้เรื่องวัฒนธรรม 4 ภาค ของ นักเรียนก่อนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 จำนวน 40 คน การทดสอบ คะแนนเต็ม คะแนนเฉลี่ย ( x ) ร้อยละของคะแนนที่ เพิ่มขึ้น ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน (S.D.) ก่อนเรียน 10 4.81 60.49 1.95 หลังเรียน 10 7.72 1.62 จากตารางพบว่า คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 4.81 คะแนน และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน เท่ากับ 7.72 คะแนน ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เท่ากับ 2.91 คะแนน และนักเรียนทุกคนมี คะแนนสูงขึ้นกว่าเดิมโดยมีคะแนนความก้าวหน้าเมื่อเทียบระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลังเรียนคิดเป็น ร้อยละ 60.49 และมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ลดลง ตารางที่ 2 แสดงผลการทดสอบก่อนและหลังเรียนโดยใช้วิธีการสอนแบบโครงงาน ที่ ชื่อ-สกุล ทดสอบก่อน เรียน ทดสอบหลัง เรียน ความแตกต่าง ค่าคะแนน (10 คะแนน) (10 คะแนน) 1 4 6 2 2 5 8 3 3 5 7 2 4 5 8 3 5 5 6 1 6 4 7 3 7 4 6 2 8 6 7 1 ค่าเฉลี่ย 4.81 7.72 2.91


จากตารางที่ 2 แสดงให้เห็นว่าผลการทดสอบก่อนและหลังเรียนนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 6/1 นั้น โดยใช้ วิธีการสอนแบบโครงงาน นั้น นักเรียนทดสอบก่อนเรียนมีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.81คะแนน จากนั้นทดสอบหลัง เรียนมีค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.72คะแนน โดยนักเรียนมีค่าคะแนนเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น 2.91คะแนน ซึ่งเป็นพัฒนาการ ของคะแนนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากจากเดิม ตารางที่ 3 การหาค่าดัชนีความสอดคล้องของวัตถุประสงค์ (Index of Item Objective Congruence : IOC) ข้อ ความคิดเห็นผู้เชี่ยวชาญ ค่า IOC แปลผล คนที่ 1 คนที่ 2 คนที่ 3 รวม 1 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 2 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 3 +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้ 4 +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้ 5 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 6 +1 0 +1 2 0.67 ใช้ได้ 7 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ 8 +1 +1 +1 3 1.00 ใช้ได้ ค่า IOC รวมทั้งหมด = 9.01 = 9.01/10 = 0.901 สรุปว่า แบบทดสอบการเรียนการสอนดังกล่าวนั้นใช้ได้


บทที่ 5 สรุป อภิปรายผลและข้อเสนอแนะ วัตถุประสงค์ของการวิจัย 1. เพื่อพัฒนาวิธีการเรียนรู้จากการทำโครงงาน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 โดยมีเป้าหมายให้ นักเรียนทุกคนมีผลการเรียนผ่านเกณฑ์ที่กำหนด เรื่องวัฒนธรรม 4 ภาค 2. เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้ดีขึ้นและเป็นแนวทางในการพัฒนาการสอน สมมติฐานของการวิจัย รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง : การสอนโดยการทำโครงงาน สามารถทำให้ นักเรียนบางส่วนที่ไม่เข้าใจบทเรียนนั้น กลับมาเข้าใจบทเรียนมากขึ้นและเรียนรู้ได้มากขึ้นกว่าจากการจัดการเรียน การสอนเพื่อนพัฒนากระบวนการคิด เป็นการจัดประสบการณ์เรียนรู้ที่เน้นกระบวนการมากกว่าเนื้อหาสาระวิชา ประโยชน์คาดว่าจะได้รับ 1. ผลการการวิจัยครั้งนี้ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษาและกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ สามารถ นำวิธีการการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานไปปรับใช้และประยุกต์ใช้ได้ใน กระบวนการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาให้ ผู้เรียนเกิดความสามารถในการคิดอย่างมีวิจารณญาณและปัญหาได้ 2. นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงานมีความสามารถในการคิด และสามารถคิดอย่างมี วิจารณญาณและแก้ไขปัญหาจากกระบวนการเรียนรู้ได้มากขึ้นในขณะเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. รูปแบบการเรียนการสอนแบบโครงงาน 2. แบบบันทึกคะแนนประจำหน่วยการเรียนรู้และใบงาน 3. สมุดแบบฝึกหัดและใบกิจกรรมของนักเรียน 4. แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนและแบบประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียน กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/1 จำนวน 40 คน ประชากร คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 100 คน การเก็บรวบรวมข้อมูล 1. แบ่งกลุ่มนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ในแต่ละกลุ่มจะเฟ้นหานักเรียนที่เก่ง และมีความรับผิดชอบ มีลักษณะเป็น


ผู้นำมอบหมายให้เป็นหัวหน้ากลุ่ม เพื่อช่วยในการกระตุ้นเพื่อนๆ ขณะทำกิจกรรมการเรียนรู้ 2. ครูผู้สอนชี้แจงการเรียนแบบโครงงาน โดยหลังจากครูสอนในแต่ละครั้งก็จะมอบหมายให้นักเรียนทำ แบบฝึกหัด โดยนักเรียนนั่งทำแบบฝึกหัดระดมสมองช่วยกันคิด หากหัวข้อใดสมาชิกในกลุ่มไม่เข้าใจ ผู้ที่เข้าใจก็ จะช่วยกันอธิบายจนเพื่อนเข้าใจ หากสมาชิกในกลุ่มยังไม่เข้าใจก็จะปรึกษาครูผู้สอน 3. ครูสังเกตการทำกิจกรรมของกลุ่ม การช่วยกันแก้ปัญหา ความสนใจ และความตั้งใจของสมาชิกในกลุ่ม 4. สังเกตผลการทำแบบฝึกหัดว่าดีขึ้นหรือไม่ 5. สังเกตการประเมินตามสภาพจริงในแต่ละครั้ง 6. วัดผลการเรียนเมื่อสิ้นบทเรียน 7. ครูช่วยสรุปการเรียนรู้ทั้งหมดที่นักเรียนปฏิบัติเป็นความคิดรวบยอด สรุปผลการวิจัย ผลจากการจัดการเรียนการสอนแบบโครงงาน มาใช้ในการเรียนการสอนวิชาสังคมศึกษา ผลปรากฎว่า คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 4.81 คะแนน และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 7.72 คะแนน ซึ่งมี คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน เท่ากับ 2.91 คะแนน และนักเรียนทุกคนมีคะแนนสูงขึ้นกว่าเดิมโดยมี คะแนนความก้าวหน้าเมื่อเทียบระหว่างคะแนนก่อนเรียนกับคะแนนหลังเรียนคิดเป็นร้อยละ 60.49 และมีส่วน เบี่ยงเบนมาตรฐานที่ลดลง นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในรายวิชาเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และกิจกรรมกลุ่ม ของนักเรียนทำให้เกิดบรรยากาศที่ดีและเอื้อต่อการเรียนการสอน ช่วยให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นสนใจ ตั้งใจ และมีความรับผิดชอบต่อการเรียนมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นให้นักเรียนมีความกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ช่วย สร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในกลุ่ม รู้จักแก้ปัญหาร่วมกัน ทำงานเป็นทีมระดมความคิดของหลายคน ซึ่งแนวทาง นี้เหมาะสมในการแก้ปัญหาในชั้นเรียนได้เป็นอย่างดี รวมถึงสามารถสร้างทัศนคติที่ดีต่อการเรียนวิชาสังคมศึกษา เป็นอย่างมาก ผลพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้โครงงานจากการ สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียน ทุกกลุ่มมีคะแนนพฤติกรรมการทำงานโดยรวมที่เพิ่มขึ้น อภิปรายผลการวิจัย จากการศึกษาวิจัยพบว่าการสอนโดยวิธีโครงงาน ระหว่างนักเรียนในรายวิชา ทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการ เรียนของผู้เรียนมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ หลังการจัดการเรียนรู้แบบ โครงงาน มีคะแนนเฉลี่ยสูงขึ้นเมื่อเทียบกับก่อนเรียนและเทียบกับเกณฑ์ทั้งนี้อาจเนื่องมาจาก การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้แบบโครงงาน เป็นกิจกรรมที่ให้โอกาสให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองตามแนวคิดการสร้างความรู้ นำมาใช้ ในการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง โดยให้ผู้เรียนได้คิด ได้สร้างความรู้ด้วยตนเอง เป็นการจัดการ เรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถในการแสวงหาความรู้ รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล เพื่อสรุป เป็นคำตอบ ฝึกความรับผิดชอบในการทำงานเป็นกลุ่ม และเรียนรู้ร่วมกันในการแก้ปัญหา การจัดกิจกรรมใน


ลักษณะนี้ เป็นการส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตยในการทำงาน และยังเป็นการจัดกิจกรรมที่ทำให้ผู้เรียนยอมรับ ความแตกต่างระหว่างบุคคล บทบาทหน้าที่ของครูคือเป็นผู้อำนวยความสะดวกและสร้างบรรยากาศให้น่าศึกษา ค้นคว้า สร้างสถานการณ์หรือปัญหาเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความขัดแย้งทางความคิด สงสัย และร่วมกันระดม ความคิดเพื่อแก้ปัญหาอย่างหลากหลายวิธี ซึ่งดวงกมล สินเพ็ง ( 2558: 190-192 ) ได้เสนอขั้นตอน สำคัญในการ จัดกิจกรรมการเรียนการสอนรูปแบบโครงงาน ครูจะต้องทำการทดสอบความรู้ที่นักเรียนได้รับหลังจากที่ได้ทำการ จัดการเรียนรู้ให้แก่นักเรียนแล้ว จากการที่ผู้เรียนมีการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังจากนำกระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานมาใช้ จัดการเรียนการสอนนั้นแสดงให้เห็นว่า ผลการวิจัยสอดคล้องกับแนวความคิด เรื่อง การจัดกระบวนการเรียนรู้ แบบโครงงานที่นักวิชาการหลายท่านกล่าวไว้ว่าโครงงาน เป็นกระบวนการที่ทำให้นักเรียนมีโอกาสได้รับ ประสบการณ์ตรงในกระบวนการเสาะแสวงหาความรู้ทุกขั้นตอน มีโอกาสฝึกทักษะกระบวนการทางการเรียนรู้ ต่างๆ และจะช่วยพัฒนาคุณสมบัติอื่นๆ ได้แก่ ความเป็นคนช่างสังเกต มีความริเริ่มสร้างสรรค์ มีความเชื่อมั่นใน ตนเอง มีวินัย ซื่อสัตย์ในการทำงาน มีความละเอียดรอบคอบ ยอมรับฟังคำติชม และความคิดเห็นของผู้อื่น พฤติกรรมนักเรียนหลังการจัดการเรียนรู้ นักเรียนลดพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ โดยที่นักเรียนมีการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนและเพื่อนในห้องยอมรับในตัวนักเรียนเพิ่มขึ้น ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะจากการวิจัยในครั้งนี้ 1.1 ครูควรให้โอกาสนักเรียนในการแสดงความคิดเห็นให้มากที่สุด โดยไม่แสดงอาการหรือคำพูดที่ ขัดขวางความคิดเห็นของนักเรียนหรือทำให้นักเรียนกลัวไม่กล้าพูด ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น 1.2 ผู้บริหารสถานศึกษา ควรสนับสนุนให้ครูในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ นำกระบวนการเรียนรู้แบบ โครงงานไปจัดกระบวนการเรียนรู้และสร้างนวัตกรรมการเรียนรู้เพิ่มเติม 1.3 ครูควรให้คำแนะนำนักเรียนเรื่องสื่อการเรียนรู้ แหล่งค้นคว้าหาความรู้ และช่วยหาข้อมูลความรู้ให้ นักเรียนด้วย ดูแลการทำงานของนักเรียนแนะนำให้นักเรียนร่วมมือกันอย่างจริงจัง 2. ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรให้นักเรียนดำเนินการแสวงหาความรู้ตามบทบาทหน้าที่ที่นักเรียนได้รับจากกลุ่ม สังเกตและ บันทึกพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียน โดยบันทึกผลการสังเกตลงในแบบประเมินพฤติกรรมการเรียนรู้ 2.2 ควรจะทำการวิจัย ผลดีและผลเสียของการจัดกระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานว่า ในด้านใดจะช่วย พัฒนาการเรียนรู้ได้ดีกว่า ในการทำงานเพื่อค้นคว้าแสวงหาความรู้ 2.3 ข้อมูลจากการวิจัยครั้งนี้ เป็นกิจกรรมที่ครูจะกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความอยากรู้ อยากเห็น อยาก แสวงหาคำตอบ แสวงหาความรู้ครูให้นักเรียนร่วมกันวางแผน คิดวิธีการที่จะค้นคว้าหาความรู้ควรเป็นกิจกรรม กลุ่ม มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ในแต่ละกลุ่มเพื่อแสวงหาความรู้


บรรณานุกรม ชนาธิป พรกุล. (2557). โครงงานรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 291 หน้า. ชูชาติ เชิงฉลาด. (2557). รูปแบบโครงงานเพื่อเรียนรู้. กรุงเทพฯ : คณะครุศาสตร์ สถาบันราชภัฏธนบุรี. อาภรณ์ ใจเที่ยง. (2558). หลักการสอนโดยใช้โครงงาน. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตรส์. 255 หน้า. ----------. กระทรวงศึกษาธิการ. (2559). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.). ----------.กระทรวงศึกษาธิการ. (2559). สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ในหลักสูตรการศึกษาขั้น พื้นฐาน พุทธศักราช 2551. กรุงเทพ : โรงพิมพ์องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.). จิรา ยงเขตกิจ. (2559). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสร้างเสริมประสบการณ์ ชีวิตและ พฤติกรรมการทำงานกลุ่มของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ได้รับการสอนโดยการเรียน แบบร่วมมือด้วยเทคนิคแบ่งกลุ่มสัมฤทธิ์ และการสอนตามปกติ. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหา บัณฑิต สถาบันราชภัฏนครสวรรค์. ฐิติพร ดวงจิตร. (2560). การพัฒนาชุดทักษะกระบวนการทางสังคมศึกษา กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศึกษาสำหรับนักเรียนช่วงชั้นที่ 2 โดยใช้รูปแบบเน้นทักษะกระบวนการ (teaching process). ปริญญานิพนธ์การศึกษามหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ---------- . (2560). กลุ่มโครงงานเพื่อการทำงานและการจัดการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ : นิชินแอด เวอร์ไทซิ่ง กรู๊ฟ. วัฒนา ก้อนเชื้อรัตน์. ทบทวนแนวการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษา. นครราชสีมา :สำนักงานเขตพื้นที่ การศึกษา นครราชสีมา เขต 1, 2560.


ชนาธิป พรกุล. (2560). รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบใช้โครงงาน 5 ประเภท. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ฝ่ายวิชาการโรงเรียนนาบอน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุราษฎร์ธานี เขต 2. แผนปฏิบัติงานปี การศึกษา 2561. มลิวัลย์ สมศักดิ์. (2561). เอกสารประกอบการสอนรายงานการวิจัย. มหาวิทยาลัยราชภัฏ นครศรีธรรมราช. สุกัญญา อิ่มใจ. (2562). การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างการ เรียนรู้แบบร่วมมือกันเรียนรู้ด้วยแบบกลุ่มแบบโครงงาน กับแบบเน้นทักษะกระบวนการ (teaching process). วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วัฒนาพร ระงับทุกข . (2562). แผนการสอนที่เน นผู เรียนเป นศูนย กลาง (พิมพ ครั้ง ที่2). กรุงเทพฯ: ม.ป.ท. : มหาวิทยาลัยเกริก Morgan, Clifford T. (2016). “Thinking and Problem Solving”. A Brief Introduction to Psychology. 2nd ed. New Delhi Tata McGrew-Hill.co. Piaget, J. (2016). The Origins of Intelligence in Children. New York : W.W.Norton. Polya, Mark Mosen. (2016). How to solve it. San Francisco : Stanford University. Allen, D.E., & Duch, B.J. (2017). Thinking Toward Solution: Problem-Based Learning Activities for General Biology. The United States of America: Harcourt Brace & Company. Kane, Brooken S. (2018). Taxonomy of educational objective handbook 1 : cognitiwe domain. London : Longman.


ภาคผนวก


แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 วิชาสังคมศึกษาพื้นฐาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เรื่องวัฒนธรรม 4 ภาค เวลา 4 ชั่วโมง 1. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด การศึกษาความหมาย ลักษณะสำคัญ และประเภทของวัฒนธรรมไทยและภูมิปัญญาไทย ทำให้มีความรู้ความ เข้าใจ ในวิถีการดำเนินชีวิตของชาวไทย 4 ภาค 2. ตัวชี้วัด/จุดประสงค์การเรียนรู้ 2.1 ตัวชี้วัด ส 2.1 ป.6/4 อธิบายความแตกต่างทางวัฒนธรรมของกลุ่มคนในท้องถิ่น 2.2 จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) อธิบายความหมาย ลักษณะสำคัญ และประเภทของวัฒนธรรม 4 ภาคได้(P,K) 2) กระตือรือร้นในการค้นคว้าหาความรู้(A) 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 สาระการเรียนรู้แกนกลาง - วัฒนธรรมในภาคต่างๆ ของไทยที่แตกต่างกัน เช่น การแต่งกาย ภาษา อาหาร 3.2 สาระการเรียนรู้ท้องถิ่น - 4. สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 4.1 ความสามารถในการสื่อสาร 4.2 ความสามารถในการคิด 1) ทักษะการวิเคราะห์ 2) ทักษะการสรุปย่อ 4.3 ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต 5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1. มีวินัย 2. ใฝ่เรียนรู้ 3. มุ่งมั่นในการทำงาน 4. มีจิตสาธารณะ


6. กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีสอนแบบโครงงาน นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง วัฒนธรรมท้องถิ่น ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ 1. ครูให้นักเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นว่า วัฒนธรรมมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคนอย่างไรบ้าง 2. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด ในท้องถิ่นของนักเรียนมีวัฒนธรรมใดบ้าง ที่สืบทอดมาเป็นเวลายาวนาน (เช่น ประเพณีสงกรานต์ การแต่งงาน เป็นต้น) 3. ครูอธิบายเชื่อมโยงให้นักเรียนเห็นว่า วัฒนธรรมมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของคน เพราะเป็นแบบ แผนในการดำเนินชีวิตของคนในสังคมที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน และเป็นสิ่งที่แสดงถึงความ เจริญของมนุษย์ ขั้นที่ 2 สำรวจค้นหา 1. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4 คน ตามความสมัครใจ ให้แต่ละกลุ่มร่วมกันสืบค้นข้อมูลจากหนังสือเรียน ห้องสมุด และแหล่งข้อมูลสารสนเทศ ในหัวข้อต่อไปนี้ 1) ความหมายของวัฒนธรรม 2) ลักษณะของวัฒนธรรม 3) ประเภทของวัฒนธรรม แล้วบันทึกความรู้ที่ได้จากการศึกษาลงในแบบบันทึกการอ่าน 2. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด คำว่า “ยิ้มสยาม” ในความเข้าใจของนักเรียน คืออะไร ยกตัวอย่างประกอบ (พิจารณาตามคำตอบ ของนักเรียน โดยให้อยู่ใน ดุลยพินิจของครูผู้สอน) ขั้นที่ 3 อธิบายความรู้ 1. นักเรียนแต่ละกลุ่มนำความรู้ที่ได้จากการศึกษามาเป็นพื้นฐานในการทำใบงานที่ 1.1 เรื่อง วัฒนธรรมที่ ฉันสนใจ 2. นักเรียนร่วมกันอธิบายความรู้ที่ได้จากการศึกษาและจากการทำ ใบงานที่ 1.1 ว่าวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ ถ่ายทอดได้โดยการเรียนรู้ เกิดจากการอบรมสั่งสมประสบการณ์ต่างๆ เราควรปฏิบัติตามวัฒนธรรมที่ดีงาม เพื่อสร้างความเจริญและมั่นคงให้แก่สังคมนั้นๆ


ขั้นที่ 4 ขยายความเข้าใจ 1. ครูให้นักเรียนนำความรู้ที่ได้จากการศึกษามาวิเคราะห์ความสำคัญของวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่น 2. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด นักเรียนจะสามารถนำความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมแต่ละท้องถิ่นไปประยุกต์ใช้ในชีวิตด้านใด อธิบาย เหตุผล (พิจารณาตามคำตอบของนักเรียน โดยให้อยู่ในดุลยพินิจของครูผู้สอน) ขั้นที่ 5 ตรวจสอบผล 1. ครูให้นักเรียนช่วยกันสรุปความรู้เรื่อง ความหมาย ลักษณะ และประเภทของวัฒนธรรม 2. ครูให้นักเรียนแต่ละกลุ่มช่วยกันหาภาพกิจกรรมเกี่ยวกับการกระทำที่แสดงถึงวัฒนธรรมที่เป็นแบบแผนใน การดำเนินชีวิตของคนในสังคม แล้วนำส่งครูในชั่วโมงเรียนต่อไป 3. นักเรียนตอบคำถามกระตุ้นความคิด คำถามกระตุ้นความคิด นักเรียนสามารถปฏิบัติตามวัฒนธรรมที่ดีงามตามที่ได้ศึกษามาอย่างไร (1. ทำความเคารพผู้ที่อาวุโส กว่า 2. พูดจาไพเราะ อ่อนหวาน 3. แต่งกายให้ถูกกาลเทศะ ฯลฯ) 7. การวัดและประเมินผล วิธีการ เครื่องมือ เกณฑ์ ตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการ เรียนรู้ที่ 6 (K) แบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการ เรียนรู้ที่ 6 (ประเมินตามสภาพจริง) ตรวจใบงานที่ 1.1 (K,P) ใบงานที่ 1.1 ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ตรวจแบบบันทึกการอ่าน (K,P) แบบบันทึกการอ่าน ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม (P,A) แบบสังเกตพฤติกรรมการทำงาน กลุ่ม ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์ สังเกตความมีวินัย ใฝ่เรียนรู้ มุ่งมั่นใน การทำงาน และมีจิตสาธารณะ (A) แบบประเมินคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ ระดับคุณภาพ 2 ผ่านเกณฑ์


8. สื่อ/แหล่งการเรียนรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนังสือเรียน สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ป.6 2) ใบงานที่ 1.1 เรื่อง วัฒนธรรมที่ฉันสนใจ 8.2 แหล่งการเรียนรู้ 1) ห้องสมุด 2) แหล่งข้อมูลสารสนเทศ - th.wikipedia.org/wiki/ความหลากหลายทางวัฒนธรรม


บัตรภาพ


ความแตกต่างทางวัฒนธรรม ภาพวัฒนธรรมภาคกลาง ภาพวัฒนธรรมภาคใต้ ภาพวัฒนธรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาพวัฒนธรรมภาคเหนือ


ใบงานที่ 1 วัฒนธรรม 4 ภาค ชื่อ ชั้น เลขที่


ใบงานที่ 2 วัฒนธรรม 4 ภาค ชื่อ ชั้น เลขที่ คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ 1. อาหารท้องถิ่นของภาคเหนือและภาคกลาง เหมือนกัน แตกต่างกัน เช่น 2. การแต่งกายของท้องถิ่นภาคอีสานและภาคใต้ เหมือนกัน แตกต่างกัน เช่น 3. ภาษาถิ่นของภาคเหนือและภาคใต้ เหมือนกัน แตกต่างกัน เช่น 4. การละเล่นในแต่ละท้องถิ่น เหมือนกัน แตกต่างกัน เช่น 5. นักเรียนคิดว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้วัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาคเกิดความแตกต่างกัน เพราะเหตุใด


เฉลย ใบงานที่ 2 วัฒนธรรม 4 ภาค ชื่อ ชั้น เลขที่ คำชี้แจง ให้นักเรียนตอบคำถามต่อไปนี้ 1. อาหารท้องถิ่นของภาคเหนือและภาคกลาง เหมือนกัน แตกต่างกัน เช่น คนภาคเหนือนิยมกินข้าวเหนียว คนภาคกลางนิยมกินข้าวเจ้า 2. การแต่งกายของท้องถิ่นภาคอีสานและภาคใต้ เหมือนกัน แตกต่างกัน เช่น คนภาคอีสาน ผู้หญิงนุ่งผ้าซิ่นยาว ผู้ชายคาดผ้าขาวม้าที่เอว คนภาคใต้ ผู้หญิงนุ่งผ้าปาเต๊ะ ผู้ชายนุ่งโสร่ง 3. ภาษาถิ่นของภาคเหนือและภาคใต้ เหมือนกัน แตกต่างกัน เช่น คนภาคเหนือ พูดภาษาถิ่นภาคเหนือ มีลักษณะช้าๆ คนภาคใต้ พูดภาษาถิ่นภาคใต้ มีลักษณะเร็ว ห้วนๆ 4. การละเล่นในแต่ละท้องถิ่น เหมือนกัน แตกต่างกัน เช่น ภาคเหนือมีการแสดงฟ้อนเล็บ ภาคใต้มีการแสดงรำมโนราห์ 5. นักเรียนคิดว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้วัฒนธรรมในแต่ละภูมิภาคเกิดความแตกต่างกัน เพราะเหตุใด เพราะลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ค่านิยม และความเชื่อของคนในท้องถิ่น ✓ ✓ ✓ ✓


ใบงานที่ 3 ประเภทของวัฒนธรรมไทย ชื่อ ชั้น เลขที่ คำชี้แจง ให้นักเรียนพิจารณาข้อความในตารางว่า จัดอยู่ในวัฒนธรรมประเภทใด แล้วขีด ✓ ลงในช่อง ประเภทของวัฒนธรรมไทย ลำดับที่ ข้อความ ประเภทของวัฒนธรรมไทย ทางภาษา ทางวัตถุ ทางจิตใจ ทาง ขนบธรรมเนีย มประเพณี 1 วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นโบราณสถานทางด้าน ศาสนาที่มีสถาปัตยกรรมงดงาม 2 ชาวต่างชาติมีความประทับใจในความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนไทย 3 ก้องภพได้รับรางวัลการคัดลายมือสวยงาม 4 คนไทยทางภาคเหนือจะมีพิธีรดน้ำดำหัวในวันสงกรานต์ 5 ผ้าไหมไทยทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี ชื่อเสียงในด้านการออกแบบลวดลายงดงาม 6 พนักงานโรงแรมไทยสามัคคีต้อนรับลูกค้าด้วยคำพูดสุภาพ 7 คนไทยส่วนใหญ่มีนิสัยรักพวกพ้อง และสามารถปรับตัวให้ เข้ากับเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดี 8 คุณครูชมว่าดวงกมลพูดจาไพเราะและออกเสียงชัดเจน 9 นภาและดวงเดือนทำกระทงจากวัสดุธรรมชาติไปร่วมพิธี ลอยกระทงของโรงเรียน 10 ศาสนสถานที่สวยงาม ได้แก่ วัดเบญจมบพิตร วัดดอยสุ เทพ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม


เฉลย ใบงานที่ 3 ประเภทของวัฒนธรรมไทย ชื่อ ชั้น เลขที่ คำชี้แจง ให้นักเรียนพิจารณาข้อความในตารางว่า จัดอยู่ในวัฒนธรรมประเภทใด แล้วขีด ✓ ลงในช่อง ประเภทของวัฒนธรรมไทย ลำดับที่ ข้อความ ประเภทของวัฒนธรรมไทย ทางภาษา ทางวัตถุ ทางจิตใจ ทาง ขนบธรรมเนีย มประเพณี 1 วัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นโบราณสถานทางด้าน ศาสนาที่มีสถาปัตยกรรมงดงาม ✓ 2 ชาวต่างชาติมีความประทับใจในความมีน้ำใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของคนไทย ✓ 3 ก้องภพได้รับรางวัลการคัดลายมือสวยงาม ✓ 4 คนไทยทางภาคเหนือจะมีพิธีรดน้ำดำหัวในวันสงกรานต์ ✓ 5 ผ้าไหมไทยทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี ชื่อเสียงในด้านการออกแบบลวดลายงดงาม ✓ 6 พนักงานโรงแรมไทยสามัคคีต้อนรับลูกค้าด้วยคำพูดสุภาพ ✓ 7 คนไทยส่วนใหญ่มีนิสัยรักพวกพ้อง และสามารถปรับตัวให้ เข้ากับเหตุการณ์ต่างๆ ได้ดี ✓ 8 คุณครูชมว่าดวงกมลพูดจาไพเราะและออกเสียงชัดเจน ✓ 9 นภาและดวงเดือนทำกระทงจากวัสดุธรรมชาติไปร่วมพิธี ลอยกระทงของโรงเรียน ✓ 10 ศาสนสถานที่สวยงาม ได้แก่ วัดเบญจมบพิตร วัดดอยสุ เทพ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ✓


ใบงานที่ 4 วัฒนธรรมไทยกับการดำรงชีวิต ชื่อ ชั้น เลขที่ คำชี้แจง ให้นักเรียนเขียนบรรยายภาพ แสดงถึงวัฒนธรรมไทยกับการดำเนินชีวิตของคนในสังคมไทย 1. 2. 3. 4.


5. 6. 7. 8.


แบบทดสอบ ชื่อ ชั้น เลขที่ คำชี้แจง : ให้นักเรียนเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว 1. ข้อใดกล่าวถึงลักษณะของวัฒนธรรมได้ถูกต้องที่สุด ก. เป็นสิ่งดีงาม สามารถถ่ายทอดได้ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ ตลอดเวลา ข. เป็นสิ่งดีงาม ต้องทันสมัยอยู่เสมอ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ ตลอดเวลา ค. เป็นสิ่งดีงาม สามารถถ่ายทอดได้ เป็นที่ยอมรับของทุก คนในชุมชน ง. เป็นที่ยอมรับของทุกคนในชุมชน สามารถถ่ายทอดได้มี การเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา 2. ข้อใดเป็นวัฒนธรรมทางวัตถุทั้งหมด ก. บ้านเรือน โบราณสถาน ค่านิยม ข. บ้านเรือน โบราณสถาน วัดวาอาราม ค. บ้านเรือน การเคารพผู้ใหญ่ วัดวาอาราม ง. ความกตัญญู โบราณสถาน วัดวาอาราม 3. อาหารและการละเล่นพื้นเมืองในข้อใด ที่ไม่สัมพันธ์กัน ก. ซุบหน่อไม้ – เซิ้ง ข. ต้มยำกุ้ง – ฟ้อนเล็บ ค. แกงเขียวหวาน – ลิเก ง. แกงไตปลา – รำมโนราห์ 4. ข้อใดเป็นวัฒนธรรมการกินของภาคเหนือ ก. ส้มตำ ข. แกงไตปลา ค. น้ำพริกหนุ่ม ง. แกงเขียวหวาน 5. การทักทายกันตามวัฒนธรรมไทย คือข้อใด ก. ยกมือไหว้ ข. แลบลิ้นให้กัน ค. พยักหน้าให้กัน ง. เอียงหน้าหากัน 6. ใครเป็นผู้รักษาวัฒนธรรมไทย ก. เจใส่เสื้อลายไปงานศพ ข. เจนสวมหมวกในห้องเรียน ค. โจแต่งชุดกีฬาไปงานแต่งงาน ง. จูนแต่งกายสุภาพไปทำบุญที่วัด 7. ประเพณีพื้นเมืองในข้อใด ที่สัมพันธ์กับการแสดงหรือ การละเล่นพื้นเมือง ก. ประเพณีสืบชะตา–รองเง็ง ข. ประเพณีบุญบั้งไฟ–หนังตะลุง ค. ประเพณีตักบาตรน้ำผึ้ง–เพลงเรือ ง. ประเพณีสารทเดือนสิบ–ฟ้อนเงี้ยว 8. ข้อใดเป็นวัฒนธรรมการละเล่นพื้นเมืองของภาคใต้ ก. ลิเก ข. หมอลำ ค. ฟ้อนเล็บ ง. มโนราห์ 9. ข้อใดไม่ใช่การละเล่นพื้นเมืองของภาคอีสาน ก. ฟ้อนเทียน ข. เซิ้งกระติบ ค. โปงลาง ง. หมอลำ 10. นักเรียนจะช่วยอนุรักษ์ประเพณีในท้องถิ่นของนักเรียน ได้อย่างไร ก. ปฏิบัติตามประเพณีที่ดีงาม ข. สะสมภาพประเพณีต่างๆ ในท้องถิ่น ค. เปลี่ยนรูปแบบประเพณีต่างๆ ในท้องถิ่น ง. ดัดแปลงวัฒนธรรมท้องถิ่นให้เข้ากับวัฒนธรรมอื่นๆ เฉลย 1. ก 2. ข 3. ข 4. ค 5. ก 6. ง 7. ค 8. ง 9. ก 10. ก


แบบประเมินคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักเรียน ประกอบหน่วยการเรียนรู้ที่ 1 แผนการเรียนรู้ที่ 1 คำชี้แจง ครูสังเกตพฤติกรรมการเรียน และการปฏิบัติงานของนักเรียน แล้วขีด / ให้คะแนนลงในช่อง ที่ตรง กับพฤติกรรมของนักเรียน เลขที่ คุณลักษณะที่ประเมิน ความสนใจ และ ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน ความ ซื่อสัตย์ ความมี ระเบียบ ความรับผิด ชอบ ต่องาน การตรงต่อ เวลาในการ ทำงาน สรุปผล การประเมิน 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 3 2 1 15 ผ่าน/ไม่ ผ่าน 1 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 2 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 3 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 4 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 5 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 13 ผ่าน 6 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 15 ผ่าน 7 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน 8 ✓ ✓ ✓ ✓ ✓ 14 ผ่าน เกณฑ์การประเมิน ผู้ที่ผ่านเกณฑ์ประเมินต้องได้คะแนน 12 คะแนนขึ้นไป ถือว่าผ่าน ลงชื่อ ผู้ประเมิน (…………........…………………………………..)


แบบสังเกตพฤติกรรมนักเรียนรายบุคคล ชื่อ ชั้น เลขที่ คำชี้แจง : ให้ผู้สอนสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในระหว่างเรียนและนอกเวลาเรียน แล้วขีด ✓ลงในช่องที่ ตรงกับระดับคะแนนที่กำหนด ลงชื่อ...................................................ผู้ประเมิน เกณฑ์การให้คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมอย่างสม่ำเสมอ ให้ 3 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบ่อยครั้ง ให้ 2 คะแนน ปฏิบัติหรือแสดงพฤติกรรมบางครั้ง ให้ 1 คะแนน เกณฑ์การตัดสินคุณภาพ ช่วงคะแนน ระดับคุณภาพ 12 - 15 ดี 8 - 11 พอใช้ ต่ำกว่า 8 ปรับปรุง ลำดับที่ รายการประเมิน ระดับคะแนน 3 2 1 1 การแสดงความคิดเห็น 2 การยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น 3 การทำงานตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย 4 ความมีน้ำใจ 5 การตรงต่อเวลา รวม


แบบแสดงความคิดเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิที่มีต่อแบบทดสอบการประเมินผลตามจุดประสงค์ คำชี้แจง ขอให้ท่านผู้เชี่ยวชาญได้กรุณาแสดงความคิดเห็นของท่านที่มีต่อแบบทดสอบการประเมินผลตาม จุดประสงค์โดยใส่เครื่องหมาย ( ✓) ลงในช่องความคิดเห็นของท่านพร้อมเขียนข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์ใน การนำไปพิจารณาปรับปรุงต่อไป +1 คือ แน่ใจ ว่าข้อสอบนั้นสอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้/วัตถุประสงค์ที่กำหนด 0 คือ ไม่แน่ใจ ว่าข้อสอบนั้นสอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้/วัตถุประสงค์ที่กำหนด -1 คือ แน่ใจ ว่าข้อสอบนั้นไม่สอดคล้องกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้/วัตถุประสงค์ที่กำหนด รายการขอความคิดเห็น ความคิดเห็น เหมาะสม ข้อเสนอแนะ 1 ไม่แน่ใจ 0 ไม่ เหมาะสม -1 1. ความสอดคล้องเหมาะสมกับหลักสูตร 2. ความสอดคล้องเหมาะสมกับธรรมชาติวิชา 3. ความสอดคล้องเหมาะสมกับวัยของผู้เรียน 4. ความสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพปัจจุบันและ ปัญหา 5. ความเหมาะสมต่อกระบวนการพัฒนาผู้เรียน 6. ความเหมาะสมของเนื้อหา 7. ความเหมาะสมของขนาดตัวอักษร 8. ความเหมาะสมของการใช้ภาษา 9. ความเหมาะสมกับความสนใจของนักเรียน 10.ความเหมาะสมของรูปแบบ ขอแสดงความขอบคุณอย่างยิ่ง ............................................ (..............................................)


ตารางวิเคราะห์ความสอดคล้องของข้อสอบกับตัวชี้วัด/ผลการเรียนรู้/วัตถุประสงค์ วิชา.................................................................... ตัวชี้วัด/ ผลการเรียนรู้ ข้อสอบข้อที่ คะแนนความเห็นของ ผู้เชี่ยวชาญ รวม IOC สรุปผล คนที่1 คนที่2 คนที่3


9.บันทึกหลังจัดการเรียนรู้ 9.1 ผลความรู้ที่เกิดขึ้นกับนักเรียน (K) นักเรียนร้อยละ 85 มีความเข้าใจในบทเรียนและ สามารถอธิบายเนื้อหาได้อย่างถูกต้อง และสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมีความเข้าใจในการอธิบาย เนื้อหาเป็นความคิดรวบยอดให้ผู้อื่นฟังได้อย่างถูกต้อง 9.2 กระบวนการ/สมรรถนะ (P) นักเรียนร้อยละ 88 มีความสามารถในการเรียนรู้ บทเรียนและสามาถสร้างแนวคิดจากกระบวนการสอนมาเป็นความเข้าใจของตนเองได้อย่างดี 9.3 คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของนักเรียน (A) นักเรียนร้อยละ 90 มีวินัยในการเรียนรู้ มีความรับผิดชอบในการทำงานร่วมกันและงานส่วนตัวที่ได้รับมอบหมายจากครูผู้สอน ลงชื่อ............................................. (...................................................) ครูผู้สอน ลงชื่อ............................................. (...................................................) หัวหน้ากลุ่มสาระฯ


Click to View FlipBook Version