The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Wirana Pore, 2022-07-08 02:43:41

บทที่ 2.

บทที่ 2.

3

บทท่ี 2

เอกสารท่เี ก่ยี วข้อง

ประเภทของอิเลก็ ทรอนิกส์

1) หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ หรือแบบตารา (Textbook) หนงั สือ อเิ ล็กทรอนกิ ส์ รูปหนงั สือปกติ
ท่ีพบเห็นทว่ั ไป หลกั หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ชนิดนีส้ ามารถกลา่ วได้วา่ เป็นการแปลงหนงั สือจากสภาพ
สิง่ พิมพ์ปกตเิ ป็นสญั ญาณดิจิตอล เพ่มิ ศกั ยภาพเดมิ การนาเสนอ การปฏิสมั พนั ธ์ ระหวา่ งผ้อู า่ นหนงั สือ
อีเล็กทรอนิกส์ ด้วยศกั ยภาพของคอมพิวเตอร์ขนั้ พืน้ ฐาน เชน่ การเปิ ดหน้าหนงั สือ การสืบค้น การคดั เลือก
เป็ นต้น

2) หนงั สืออิเลก็ ทรอนกิ ส์แบบหนงั สือเสียงอา่ น (Talking Book ) มีเสียงคาอ่าน เมื่อเปิดหนงั สือ
จะมีเสียงอา่ นหนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์ประเภทเหมาะสาหรับหนงั สือเดก็ เร่ิมเรียน หรือหนงั สือฝึกออกเสียง
หรือ ฝึกพดู (Talking Book ) เป็นต้น หนงั สืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ชนิดนีเ้ป็นการเน้นคณุ ลกั ษณะด้านการ
นาเสนอเนือ้ หาที่เป็นตวั อกั ษรและเสียงเป็นคณุ ลกั ษณะหลกั นิยมใช้กบั กลมุ่ ผ้อู า่ นที่มีระดบั ลกั ษณะทาง
ภาษาโดยเฉพาะด้านการฟังหรือการอา่ นคอ่ นข้างต่า เหมาะสาหรับการเร่ิมต้นเรียนภาษาของเดก็ ๆ หรือผ้ทู ่ี
กาลงั ฝึกภาษาที่สอง หรือฝึกภาษาใหมเ่ ป็นต้น

3) หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์แบบหนงั สือภาพน่ิง หรืออลั บมั้ ภาพ (static Picture Book)

เป็นหนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์ ท่ีมีคณุ ลกั ษณะหลกั เน้นจดั เก็บข้อมลู และนาเสนอข้อมลู ในรูปแบบภาพน่งิ
(static picture) หรืออลั บมั้ ภาพเป็นหลกั เสริมด้วยการนาศกั ยภาพของคอมพวิ เตอร์มาใช้ในการ
นาเสนอ เชน่ การเลือกภาพที่ต้องการ การขยายหรือย่อขนาดของภาพของคอมพิวเตอร์มาใช้ในการ
นาเสนอ เชน่ การเลือกภาพท่ีต้องการ การขยายหรือยอ่ ขนาดของภาพหรือตวั อกั ษร การสาเนาหรือการถา่ ย
โอนภาพการแตง่ เตมิ ภาพ การเลือกเฉพาะสว่ นของภาพ (cropping) หรือเพิ่มข้อมลู เชื่อมโยงภายใน
(Linking information) เชน่ เช่ือมข้อมลู อธิบายเพิ่มเตมิ เชื่อมข้อมลู เสียงประกอบ

4) หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์แบบหนงั สือภาพเคลื่อนไหว (Moving Picture Book)

4

เป็นหนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์ที่เน้น การนาเสนอข้อมลู ในรูปแบบภาพวีดีทศั น์ (Video Clips) หรือ
ภาพยนตร์สนั้ ๆ (Films Clips) ผนวกกบั ข้อมลู สนเทศท่ีอยใู่ นรูปตวั หนงั สือ (Text
Information) ผ้อู า่ นสามารถเลือกชมศกึ ษาข้อมลู ได้ สว่ นใหญ่นิยมนาเสนอข้อมลู เหตกุ ารณ
ประวตั ิศาสตร์ หรือเหตกุ ารณ์สาคญั เชน่ ภาพเหตกุ ารณ์สงครามโลก ภาพการกล่าวสนุ ทรพจน์ของบคุ คล
สาคญั ๆ ของโลกในโอกาสตา่ งๆ ภาพเหตกุ ารณ์ความสาเร็จหรือสญู เสียของโลกเป็นต้น

5) หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์แบบหนงั สือส่ือประสม (Multimedia Book) เป็นหนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์ท่ี
เน้นเสนอข้อมลู เนือ้ หาสาระ ในลกั ษณะแบบสื่อประสมระหวา่ งสื่อภาพ (Visual Media) เป็นทงั้
ภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวกบั ส่ือประเภทเสียง (Audio Media) ในลกั ษณะตา่ ง ๆ ผนวกกบั ศกั ยภาพ
ของคอมพิวเตอร์อ่ืนเชน่ เดยี วกบั หนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ที่กลา่ วมาแล้ว

6) หนงั สืออเิ ล็กทรอนกิ ส์แบบหนงั สือส่ือหลากหลาย (Polymedia book) เป็นหนงั สือ
อิเล็กทรอนกิ ส์ที่มีลกั ษณะเช่นเดยี วกบั หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์แบบสื่อประสม แตม่ ีความหลากหลายใน
คณุ ลกั ษณะด้านความเชื่อมโยงระหวา่ งข้อมลู ภายในเลม่ ท่ีบนั ทกึ ในลกั ษณะตา่ ง ๆ เชน่ ตวั หนงั สือภาพนง่ิ
ภาพเคลื่อนไหว เสียงดนตรี และอื่นๆ เป็นต้น

7) หนงั สืออเิ ล็กทรอนกิ ส์แบบหนงั สือเชื่อมโยง ( Hypermedia Book) เป็นหนงั สือที่มี คณุ ลกั ษณะ
สามารถเชื่อมโยงเนือ้ หาสาระภายในเลม่ (Internal Information Linking) ซง่ึ ผ้อู า่ นสามารถ
คลิกเพื่อเชื่อมไปสเู่ นือ้ หาสาระท่ีออกแบบเชื่อมโยงกนั ภายใน การเชื่อมโยงเชน่ นีม้ ีคณุ ลกั ษณะเชน่ เดียวกบั
บทเรียนโปรแกรมแบบแตกกิ่ง ( Branching Programmed Instruction) นอกจากนีย้ งั
สามารถเชื่อมโยงกบั แหลง่ เอกสารภายนอก (External or Information Sources) เม่ือ
เชื่อมตอ่ ระบบอินเตอร์เน็ต

8) หนงั สืออเิ ล็กทรอนกิ ส์แบบหนงั สืออจั ฉริยะ (Intelligent Electronic Book) เป็นหนงั สือ
ประสม แตม่ ีการใช้โปรแกรมชนั้ สงู ที่สามารถมีปฏิกิริยา หรือ ปฏิสมั พนั ธ์ กบั ผ้อู า่ นเสมือนหนงั สือมี
สตปิ ัญญา (อจั ฉริยะ) ในการไตร่ตรอง หรือคาดคะเนในการโต้ตอบ หรือปฏิกิริยากบั ผ้อู า่ น

9) หนงั สืออิเลก็ ทรอนกิ ส์แบบส่ือหนงั สือทางไกล (Telemedia Electronic Book) หนงั สือ
อเิ ลก็ ทรอนิกส์ประเภทนีม้ ีคณุ ลกั ษณะหลกั ตา่ งๆ คล้ายกบั Hypermedia Electronic Books

5

แตเ่ น้นการเช่ือมโยงกบั แหลง่ ข้อมลู ภายนอกผา่ นระบบเครือขา่ ย (Online Information
Sourcess) ทงั้ ที่เป็นเครือขา่ ยเปิ ด และเครือข่ายเฉพาะสมาชกิ ของเครือขา่ ย

10) หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์แบบหนงั สือไซเบอร์สเปซ (Cyberspace book) หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์
ประเภทนีม้ ีลกั ษณะเหมือนกบั หนงั สืออิเลก็ ทรอนกิ ส์หลายๆ แบบที่กล่าวมาแล้วผสมกนั สามารถเช่ือมโยง
แหลง่ ข้อมลู ทงั้ จากแหลง่ ภายในและภายนอกสามารถนาเสนอข้อมลู ในระบบสื่อที่หลากหลาย สามารถ
ปฏิสมั พนั ธ์กบั ผ้อู า่ นได้หลากหลาย

ข้อจากดั ของหนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์

ถึงแม้วา่ หนงั สืออเิ ล็กทรอนกิ ส์จะมีข้อดที ี่สนบั สนนุ ด้านการเรียนการสอนมากมาย แตย่ งั มีข้อจากดั ด้วย
ดงั ตอ่ ไปนี ้

1. คนไทยส่วนใหญ่ยงั คงชินอยกู่ บั ส่ือที่อยใู่ นรูปกระดาษมากกวา่ อีกทงั้ หนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์ ยงั ไม่
สามารถใช้งานได้ง่ายเม่ือเทียบกบั สื่อสง่ิ พมิ พ์ และความสะดวกในการอา่ นก็ยงั น้อยกวา่ มาก

2. หากโปรแกรมสื่อมีขนาดไฟล์ใหญ่มากๆ จะทาให้การเปล่ียนหน้าจอมีความลา่ ช้า

3. การสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์เพ่ือให้ได้ประสิทธิภาพที่ดี ผ้สู ร้างต้องมีความรู้ และความชานาญในการ
ใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์และการสร้ างสื่อดีพอสมควร

4. ผ้ใู ช้สื่ออาจจะไมใ่ ชผ่ ้สู ร้างส่ือ ฉะนนั้ การปรับปรุงสื่อจึงทาได้ยากหากผ้สู อนไมม่ ีความรู้ด้านโปรแกรม
คอมพวิ เตอร์

5. ใช้เวลาในการออกแบบมากเพราะต้องใช้ทกั ษะในการออกแบบเป็นอยา่ งดเี พ่ือให้ได้สื่อที่มีคณุ ภาพ

ผ้ผู ลติ สามารถเลือกสร้าง E-Books ได้ 4 รูปแบบ คือ

Hyper Text Markup Language (HTML)
Portable Document Format (PDF)
Peanut Markup Language (PML)
Extensive Markup Language (XML)

6

ซงึ่ รายละเอียดของไฟล์แตล่ ะประเภทจะมีดงั นี ้

1. HTML : เป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมสงู สดุ HTML เป็นภาษามาร์กอปั ออกแบบมาเพ่ือใช้ในการ
สร้างเวบ็ เพจ หรือข้อมลู อ่ืนที่เรียกดผู ่านทางเว็บ Browser เร่ิมพฒั นาโดย ทมิ เบอร์เนอรส์ ลี(Tim
Berners Lee) สาหรับภาษา SGML ในปัจจบุ นั HTML เป็นมาตรฐานหนง่ึ ของ ISO ซง่ึ จดั การ
โดย World Wide Web Consortium (W3C) ในปัจจบุ นั ทาง W3C ผลกั ดนั รูปแบบของ
HTML แบบใหมท่ ี่เรียกวา่ XHTML ซงึ่ เป็นลกั ษณะของโครงสร้าง XML แบบหน่ึงที่มีหลกั เกณฑ์ใน
การกาหนดโครงสร้างของโปรแกรมที่มีรูปแบบท่ีมาตรฐานกวา่ มาทดแทนใช้ HTML รุ่น 4.01 ที่ใช้กนั
อยใู่ นปัจจบุ นั

HTMLยงั คงเป็นรูปแบบไฟล์อยา่ งหนงึ่ สาหรับ .html และ สาหรับ .htm ที่ใช้ในระบบปฏิบตั กิ ารท่ี
รองรับ รูปแบบนามสกลุ 3 ตวั อกั ษร

2. PDF : ไฟล์ประเภท PDF หรือ Portable Document Format ถกู พฒั นาโดย Adobe
System Inc เพ่ือจดั เอกสารให้อยใู่ นรูปแบบท่ีเหมือนเอกสารพร้อมพิมพ์ ไฟล์ประเภทนีส้ ามารถใช้งาน
ได้ในระบบปฏิบตั กิ ารจานวนมากและรวมถงึ อปุ กรณ์ E-Book Reader ของ Adobe ด้วยเชน่ กนั
และยงั คงลกั ษณะเอกสารเหมือนต้นฉบบั เอกสารในรูปแบบ PDF สามารถจดั เก็บ ตวั อกั ษร รูปภาพ รูป
ลายเส้น ในลกั ษณะเป็นหน้าหนงั สือ ตงั้ แตห่ นง่ึ หน้า หรือหลายพนั หน้าได้ในแฟ้ มเดียวกนั PDF เป็น
มาตรฐานท่ีเปิดให้คนอ่ืนสามารถเขียนโปรแกรมมาทางานร่วมกบั PDF ได้ การใช้งานแฟ้ มแบบ PDF
เหมาะสมสาหรับงานที่การแสดงผลให้มีลกั ษณะเดยี วกนั กบั ต้นฉบบั ซงึ่ แตกตา่ งกบั การใช้งานรูป
Browser แบบอ่ืน เชน่ HTML การแสดงผลของ HTML จะแตกตา่ งกนั ออกไป ขนึ ้ อยกู่ บั โปรแกรม
ท่ีใช้ และจะแสดงผลตา่ งกนั ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ตา่ งกนั

3. PML : พฒั นาโดย Peanut Press เพ่ือใช้สาหรับสร้าง E-Books โดยเฉพาะ อปุ กรณ์พกพา
ตา่ งๆ ท่ีสนบั สนนุ ไฟล์ประเภท PML นีจ้ ะสนบั สนนุ ไฟล์นามสกลุ .pdb ด้วย

4. XML : สาหรับการใช้งานทวั่ ไป พฒั นาโดย W3C โดยมีจดุ ประสงคเ์ พื่อเป็ น สิ่งที่เอาไว้ตดิ ตอ่ กนั ใน
ระบบท่ีมีความแตกตา่ งกนั (เชน่ ใช้คอมพิวเตอร์ม่ีมีระบบปฏิบตั กิ ารคนละตวั หรืออาจจะเป็นคนละ
โปรแกรมประยกุ ตท์ ่ีมีความต้องการส่ือสารข้อมลู ถงึ กนั )และเพ่ือเป็นพืน้ ฐานในการสร้างภาษามาร์กอปั

7

เฉพาะทางอีกขนั้ หนงึ่ XML พฒั นามาจาก SGML โดยดดั แปลงให้มีความซบั ซ้อนลดน้อยลง XML ใช้
ในแลกเปล่ียนข้อมลู ระหวา่ งเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ที่แตกตา่ งกนั และเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมลู ผา่ น
อนิ เทอร์เน็ต XMLยงั เป็นภาษาพืน้ ฐานให้กบั ภาษาอ่ืนๆ อีกด้วย (ยกตวั อยา่ งเชน่ Geography
Markup Language (GML), RDF/XML, RSS, MathML, Physical Markup
Language (PML), XHTML, SVG, MusicXML และ cXML) ซงึ่ อนญุ าตให้โปรแกรม
แก้ไขและทางานกบั เอกสารโดยไมจ่ าเป็นต้องมีความรู้ในภาษานนั้ มาก่อน

e-Book Software คอื โปรแกรมท่ีใช้ในการสร้าง และอา่ น e-Book โดยปกตนิ ยิ มทาเป็น
โปรแกรมชดุ ท่ีประกอบด้วยโปรแกรมสร้าง (e-Book Editor หรือe-Book Builder) และ
โปรแกรมอา่ น (e-Book Reader) แยกจากกนั เพ่ือความสะดวกและเหมาะสมในการสร้าง และอา่ น
e-Book
โปรแกรมที่นิยมใช้สร้าง e-Book มีอยหู่ ลายโปรแกรม แตท่ ี่นิยมใช้กนั มากในปัจจบุ นั ได้แก่
1. โปรแกรมชดุ FilpAlbum
2. โปรแกรม DeskTop Author
3. โปรแกรม Flip Flash Album

https://sites.google.com/site/kruchonthicha2/prapheth-khxng-
hnangsux-hnangsux-xilekthrxniks

ความหมายของหนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์
หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ หรือ e-Book ยอ่ มาจากคาวา่ electronic book หมายถึง หนงั สือที่สร้าง
ขนึ ้ ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มีลกั ษณะคล้ายหนงั สือจริง สามารถเปิ ดอา่ นได้ในเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ และมี
ลกั ษณะพิเศษคือสามารถสื่อสารกบั ผ้อู า่ น ในลกั ษณะของมลั ตมิ ีเดียได้ ได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง

8

ภาพเคลื่อนไหว และเสียง แตย่ งั คงรักษารูปแบบความเป็ นหนงั สือไว้ไมว่ า่ จะเป็นรูปร่าง หรือลักษณะการ
เปิดอา่ น

รู้จกั หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ (e-Book)

(e - Book : electronic book) จะเป็นไฟล์คอมพวิ เตอร์ประเภทหนงึ่ ในยคุ แรกๆ เป็น
ไฟล์แบบ PDF โดยเนือ้ หาในไฟล์จะมีลกั ษณะเหมือนหนงั สือจริงๆ ซง่ึ จะใช้ในกระบวนการทาเพลท ยงิ
ฟิล์ม ด้วยความที่มี ลกั ษณะเหมือนหนงั สือจริงๆ แตเ่ ป็นไฟล์คอมพวิ เตอร์ ทาให้ได้รับความนิยมในการ
นาไปใช้งาน เพราะหน้ากระดาษที่ได้จดั วางไว้อยา่ งไร ก็จะคงอยแู่ บบนนั้ ไมเ่ ปลี่ยนแปลงเหมือนการใช้งาน
พวกไฟล์ Word แตต่ ้องเปิ ด อ่านจากหน้าจอคอมพวิ เตอร์ มือถือ หรือแท็บเล็ตพีซี

e - Book ในปัจจบุ นั มีหลายแบบ ตามแตจ่ ดุ ประสงค์ในการใช้งาน เมื่อ e - Book เป็นไฟล์
เอกสารประเภทหนง่ึ จงึ สะดวกในการพกพา จาหนา่ ย จ่ายแจก สามารถรับสง่ ดาวน์โหลดผา่ นอนิ เตอร์เน็ต
ได้ ก็อปปี ไ้ ปใช้งานระหวา่ ง เคร่ืองได้ โดยเฉพาะเม่ือถือถือแบบสมาร์ทโฟนและแทบ็ เลต็ ได้รับความนิยมใน
การใช้งาน การอ่าน eBook จงึ มีความสะดวกมากกวา่ เดมิ เพราะเราสามารถเปิ ดอา่ นได้ทนั ที

ไฟล์เอกสารแบบใดจงึ จะเรียกวา่ e - Book

Book หรือหนงั สือจริงๆ จะมีสว่ นประกอบมีหน้าปก มีคานา สารบญั เนือ้ หาแยกเป็นบท ๆ พมิ พ์ลง
กระดาษจริงๆ เป็นรูปเลม่ ที่จบั ต้องได้ สว่ น e - Book จะมีลกั ษณะเหมือนกนั ทกุ อยา่ ง แตเ่ ป็นไฟล์

9

เอกสารท่ีต้องอา่ นจากหน้า จอคอมพิวเตอร์ มือถือ หรือแท็บเลต็ พีซี สะดวกมากกวา่ ตรงที่ไมต่ ้องใช้พืน้ ท่ี
เก็บเหมือนหนงั สือจริงๆ ในคอมพวิ เตอร์ มือถือหรือแท็บเล็ต 1 เคร่ือง สามารถเก็บหนงั สือได้หลายพนั เลม่

ที่มา
http://www.siamebook.com/lbro/en/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0
%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81-ebook/546-
isebook.html

คณุ สมบตั ขิ องอเิ ล็กทรอนิกส์
คณุ ลกั ษณะของหนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมโยงจดุ ไปยงั สว่ นตา่ งๆ ของหนงั สือ เว็บไซตต์ า่ งๆ
ตลอดจนมีปฏิสมั พนั ธ์และโต้ตอบกบั ผ้เู รียนได้ นอกจากนนั้ หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์สามารถแทรก ภาพ เสียง
ภาพเคลื่อนไหว แบบทดสอบ และสามารถสง่ั พิมพ์เอกสารท่ีต้องการออกทางเคร่ืองพมิ พ์ได้ อีกประการหนง่ึ
ท่ีสาคญั ก็คือ หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์สามารถปรับปรุงข้อมลู ให้ทนั สมยั ได้ ตลอดเวลา ซ่งึ คณุ สมบตั เิ หล่านีจ้ ะ
ไมม่ ีในหนงั สือธรรมดาทว่ั ไป
โปรแกรมที่นิยมใช้สร้าง e-Book

โปรแกรมที่นิยมใช้สร้าง e-Book มีอยหู่ ลายโปรแกรม แตท่ ่ีนยิ มใช้กนั มากในปัจจบุ นั ได้แก่
1. โปรแกรมชดุ Flip Album
2. โปรแกรม DeskTop Author
3. โปรแกรม Flash Album Deluxe
ชดุ โปรแกรมทงั้ 3 จะต้องติดตงั้ โปรแกรมสาหรับอา่ น e-Book ด้วย มฉิ ะนนั้ แล้วจะเปิดเอกสารไมไ่ ด้
ประกอบด้วย

10

1.1 โปรแกรมชดุ FlipAlbum จะมีแฟ้ มนามสกลุ .opf ต้องใช้โปรแกรม Flip Viewer

1.2 โปรแกรมชดุ DeskTop Author จะมีแฟ้ มนามสกลุ .dml ต้องใช้โปรแกรม DNL
Reader

1.3 โปรแกรมชดุ Flip Flash Album จะมีแฟ้ มนามสกลุ .swf ต้องใช้โปรแกรม Flash
Player

ววิ ฒั นาการของอเิ ล็กทรอนิกส์

ความคดิ เก่ียวกบั หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์มีมาภายหลงั ปี ค.ศ. 1940 ซงึ่ ปรากฏในนยิ ายวิทยาศาสตร์เรื่อง
หนงึ่ เป็นหลกั การใหมข่ องคอมพวิ เตอร์ตามแบบแผน IBM มีผลิตภณั ฑ์คือ Book Master เนือ้ หา
หนงั สือ อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ในปี 1980 และก่อน 1990 ในชว่ งแรกมี 2 สว่ น คือ เร่ืองเกี่ยวกบั คมู่ ืออ้างองิ
และการศกึ ษาบนั เทงิ งานที่เก่ียวกบั การอ้างอิง มกั จะเกี่ยวกบั เรื่องการผลิตและการเผยแพร่เอกสารทาง
วิชาการพร้อมๆ กนั กบั การผลิตท่ีซบั ซ้อน เชน่ Silicon Graphics ด้วยข้อจากดั ทางเทคโนโลยีที่
หา่ งไกลความจริง เชน่ มีปัญหาของจอภาพซง่ึ มี ขนาดเล็กอา่ นยาก แบตเตอร่ีมีอายกุ ารใช้งานสนั้ ไมม่ ีการ
ป้ องกนั ข้อมลู ซงึ่ เป็นปัญหาเกี่ยวกบั เร่ืองลิขสทิ ธิ์ตอ่ มาเทคโนโลยีแล็บท็อปคอมพวิ เตอร์ได้เข้ามามีส่วนชว่ ย
ให้ E-Book มีการรุดหน้าเร็วขนึ ้ จนสามารถ บรรลผุ ลในการเป็ นหนงั สือที่สมบรู ณ์แบบ เพราะได้นา
บางสว่ นของแลบ็ ท็อปมาประยกุ ตใ์ ช้จนทา ให้ E-Book มี คณุ ภาพและประสทิ ธิภาพที่ดไี ด้ นอกจากนี ้
Internet ก็ได้รับความนิยมมากขนึ ้ สิน้ เปลืองคา่ ใช้จา่ ยน้อยลง ไม่ต้องมีอปุ กรณ์ที่จะใช้เก็บข้อมลู
สามารถสง่ ข้อมลู ได้คราวละมากๆ มีการป้ องกนั ข้อมลู (Encryption) ในการพฒั นา E-Book จะมงุ่
ไปที่ความบางเบาและสามารถพมิ พ์ทกุ อยา่ งได้มากท่ีสดุ เทา่ ที่จะทาได้ให้เหมือนกระดาษจริงมากที่สดุ

11

ลกั ษณะของไฟล์หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์

ผ้ผู ลิตสามารถเลือกสร้าง E-Books ได้ 4 รูปแบบ คือ

Hyper Text Markup Language (HTML)
Portable Document Format (PDF)
Peanut Markup Language (PML)
Extensive Markup Language (XML)
ซง่ึ รายละเอียดของไฟล์แตล่ ะประเภทจะมีดงั นี ้

1. HTML : เป็นรูปแบบท่ีได้รับความนยิ มสงู สดุ HTML เป็นภาษามาร์กอปั ออกแบบมาเพ่ือใช้ในการ
สร้างเวบ็ เพจ หรือข้อมลู อื่นที่เรียกดผู ่านทางเว็บ Browser เริ่มพฒั นาโดย ทมิ เบอร์เนอรส์ ลี(Tim
Berners Lee) สาหรับภาษา SGML ในปัจจบุ นั HTML เป็นมาตรฐานหนง่ึ ของ ISO ซง่ึ จดั การ
โดย World Wide Web Consortium (W3C) ในปัจจบุ นั ทาง W3C ผลกั ดนั รูปแบบของ
HTML แบบใหมท่ ี่เรียกวา่ XHTML ซงึ่ เป็นลกั ษณะของโครงสร้าง XML แบบหนงึ่ ที่มีหลกั เกณฑ์ใน
การกาหนดโครงสร้างของโปรแกรมที่มีรูปแบบท่ีมาตรฐานกวา่ มาทดแทนใช้ HTML รุ่น 4.01 ท่ีใช้กนั
อยใู่ นปัจจบุ นั

HTMLยงั คงเป็นรูปแบบไฟล์อยา่ งหนงึ่ สาหรับ .html และ สาหรับ .htm ท่ีใช้ในระบบปฏิบตั ิการ
ท่ีรองรับ รูปแบบนามสกลุ 3 ตวั อกั ษร

2. PDF : ไฟล์ประเภท PDF หรือ Portable Document Format ถกู พฒั นาโดย
Adobe System Inc เพ่ือจดั เอกสารให้อยใู่ นรูปแบบที่เหมือนเอกสารพร้อมพมิ พ์ ไฟล์ประเภทนี ้
สามารถใช้งานได้ในระบบปฏิบตั กิ ารจานวนมากและรวมถึงอปุ กรณ์ E-Book Reader ของ
Adobe ด้วยเชน่ กนั และยงั คงลกั ษณะเอกสารเหมือนต้นฉบบั เอกสารในรูปแบบ PDF สามารถจดั เก็บ
ตวั อกั ษร รูปภาพ รูปลายเส้น ในลกั ษณะเป็นหน้าหนงั สือ ตงั้ แตห่ นง่ึ หน้า หรือหลายพนั หน้าได้ในแฟ้ ม
เดียวกนั PDF เป็นมาตรฐานท่ีเปิดให้คนอ่ืนสามารถเขียนโปรแกรมมาทางานร่วมกบั PDF ได้ การใช้งาน

12

แฟ้ มแบบ PDF เหมาะสมสาหรับงานท่ีการแสดงผลให้มีลกั ษณะเดยี วกนั กบั ต้นฉบบั ซงึ่ แตกตา่ งกบั การ
ใช้งานรูป Browser แบบอ่ืน เชน่ HTML การแสดงผลของ HTML จะแตกตา่ งกนั ออกไป ขนึ ้ อย่กู บั
โปรแกรมท่ีใช้ และจะแสดงผลตา่ งกนั ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ตา่ งกนั

3. PML : พฒั นาโดย Peanut Press เพ่อื ใช้สาหรับสร้าง E-Books โดยเฉพาะ อปุ กรณ์
พกพาตา่ งๆ ท่ีสนบั สนนุ ไฟล์ประเภท PML นีจ้ ะสนบั สนนุ ไฟล์นามสกลุ .pdb ด้วย

4. XML : สาหรับการใช้งานทว่ั ไป พฒั นาโดย W3C โดยมีจดุ ประสงคเ์ พื่อเป็น สิง่ ที่เอาไว้
ตดิ ตอ่ กนั ในระบบท่ีมีความแตกตา่ งกนั (เชน่ ใช้คอมพิวเตอร์มี่มีระบบปฏิบตั กิ ารคนละตวั หรืออาจจะเป็น
คนละโปรแกรมประยกุ ตท์ ี่มีความต้องการสื่อสารข้อมลู ถึงกนั )และเพื่อเป็นพืน้ ฐานในการสร้างภาษา
มาร์กอปั เฉพาะทางอีกขนั้ หน่ึง XML พฒั นามาจาก SGML โดยดดั แปลงให้มีความซบั ซ้อนลดน้อยลง
XML ใช้ในแลกเปล่ียนข้อมลู ระหวา่ งเครื่องคอมพวิ เตอร์ที่แตกตา่ งกนั และเน้นการแลกเปล่ียนข้อมลู ผา่ น
อินเทอร์เน็ต XMLยงั เป็นภาษาพืน้ ฐานให้กบั ภาษาอ่ืนๆ อีกด้วย (ยกตวั อยา่ งเชน่ Geography
Markup Language (GML), RDF/XML, RSS, MathML, Physical Markup
Language (PML), XHTML, SVG, MusicXML และ cXML) ซงึ่ อนญุ าตให้โปรแกรม
แก้ไขและทางานกบั เอกสารโดยไมจ่ าเป็นต้องมีความรู้ในภาษานนั้ มาก่อน

e-Book Software คอื โปรแกรมที่ใช้ในการสร้าง และอา่ น e-Book โดยปกตินิยมทาเป็น
โปรแกรมชดุ ที่ประกอบด้วยโปรแกรมสร้าง (e-Book Editor หรือe-Book Builder) และ
โปรแกรมอา่ น (e-Book Reader) แยกจากกนั เพ่ือความสะดวกและเหมาะสมในการสร้าง และอา่ น
e-Book

โปรแกรมที่นยิ มใช้สร้าง e-Book มีอยหู่ ลายโปรแกรม แตท่ ี่นิยมใช้กนั มากในปัจจบุ นั ได้แก่

1. โปรแกรมชดุ FilpAlbum

2. โปรแกรม DeskTop Author

3. โปรแกรม Flip Flash Album

ชดุ โปรแกรมทงั้ 3 จะต้องติดตงั้ โปรแกรมสาหรับอา่ น e-Book ด้วย มฉิ ะนนั้ แล้วจะเปิดเอกสารไมไ่ ด้
ประกอบด้วย

13

1.1 โปรแกรมชดุ FlipAlbum ตวั อา่ นคือ FilpViewer
1.2 โปรแกรมชดุ DeskTop Author ตวั อา่ นคอื DNL Reader
1.3 โปรแกรมชดุ Flip Flash Album ตวั อา่ นคือ Flash Player
สาหรับบางทา่ นท่ีมีความชานาญในการใช้โปรแกรม Flash Mx ก็สามารถสร้าง e-Book ได้เชน่ กนั
แตต่ ้องมีความรู้ในเร่ืองการเขียน Script และ XML เพ่ือสร้าง e-Book ให้แสดงผลตามที่ต้องการได้

ข้อดขี องหนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์
1. เป็นส่ือท่ีรวมเอาจดุ เดน่ ของส่ือแบบตา่ งๆ มารวมอยใู่ นสื่อตวั เดยี ว คือสามารถแสดงภาพ แสง เสียง
ภาพเคล่ือนไหว และการมีปฏิสมั พนั ธ์กบั ผ้ใู ช้

2. ชว่ ยให้ผ้เู รียนเกิดพฒั นาการเรียนรู้และเข้าใจเนือ้ หาวิชาได้เร็วขนึ ้
3. ครูสามารถใช้หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ในการชกั จงู ผ้เู รียนในการอา่ น, การเขียน, การฟังและการ
พดู ได้
4. มีความสามารถในการออนไลน์ผา่ นเครือขา่ ยและเชื่อมโยง ไปสโู่ ฮมเพจและเวบ็ ไซต์ ตา่ งๆ อีกทงั้ ยงั
สามารถอ้างอิงในเชงิ วชิ าการได้

14

5. หากหนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ออนไลน์ผา่ นเครือขา่ ยอนิ เตอร์เน็ตหรืออินทราเน็ต จะทาให้การ
กระจายส่ือทาได้อยา่ งรวดเร็วและกว้างขว้างกวา่ ส่ือที่อยใู่ นรูปสง่ิ พมิ พ์
6. สนบั สนนุ การเรียนการสอนแบบห้องเรียนเสมือน ห้องสมดุ เสมือนและห้องสมดุ อิเลก็ ทรอนิกส์

7. มีลกั ษณะไมต่ ายตวั สามารถแก้ไขปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา อีกทงั้ ยงั สามารถ
เชื่อมโยงไปสขู่ ้อมลู ที่เกี่ยวข้องได้โดยใช้ความสามารถของไฮเปอร์เทก็ ซ์
8. ในการสอนหรืออบรมนอกสถานท่ี การใช้หนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์จะชว่ ยให้เกิดความคลอ่ งตวั ยิง่ ขนึ ้
เน่ืองจากส่ือสามารถสร้างเก็บไว้ในแผน่ ซีดีได้ ไมต่ ้องหอบหวิ ้ ส่ือซง่ึ มีจานวนมาก

9. การพิมพ์ทาได้รวดเร็วกวา่ แบบใช้กระดาษ สามารถทาสาเนาได้เทา่ ที่ต้องการประหยดั วสั ดใุ น
การสร้างสื่อ อีกทงั้ ยงั ชว่ ยอนรุ ักษ์ส่งิ แวดล้อมอีกด้วย

10. มีความทนทานและสะดวกตอ่ การเก็บบารุงรักษา ลดปัญหาการจดั เก็บเอกสารย้อนหลงั ซง่ึ
ต้องใช้เนือ้ ที่หรือบริเวณกว้างกวา่ ในการจดั เก็บ สามารถรักษาหนงั สือหายากและต้นฉบบั เขียนไมใ่ ห้เสื่อม
คณุ ภาพ
ความแตกตา่ งของหนงั สือทงั้ สองประเภทจะอยทู่ ี่รูปแบบของการสร้าง การผลิตและการใช้งาน เชน่

ความแตกตา่ งของE-Bookกบั หนงั สือทว่ั ไป
1. หนงั สือทวั่ ไปใช้กระดาษ หนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์ไมใ่ ช้กระดาษ
2. หนงั สือทว่ั ไปมีข้อความและภาพประกอบธรรมดา หนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์สามารถสร้างให้ มี
ภาพเคล่ือนไหวได้
3. หนงั สือทว่ั ไปไมม่ ีเสียงประกอบหนงั สืออิเล็กทรอนิกส์สามารถใสเ่ สียงประกอบได้
4. หนงั ส่ือทวั่ ไปแก้ไขปรับปรุงได้ยาก หนงั สื่ออิเลก็ ทรอนิกส์สามารถแก้ไขและปรับปรุงข้อมลู ได้งา่ ย
5. หนงั สือทว่ั ไปสมบรู ณ์ในตวั เอง หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์สามารถสร้างจดุ เช่ือมโยง (links) ออกไป
เชื่อมตอ่ กบั ข้อมลู ภายนอกได้

15

6. หนงั สือทวั่ ไปต้นทนุ การผลิตสงู หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ต้นทนุ ในการผลิตหนงั สือต่า
7. หนงั สือทวั่ ไปมีขีดจากดั ในการจดั พิมพ์ หนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์ไมม่ ีขีดจากดั ในการจดั พมิ พ์ สามารถทา
สาเนาได้ง่าย ไมจ่ ากดั
8. หนงั สือทวั่ ไปเปิ ดอา่ นจากเลม่ หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ต้องอ่านผา่ นคอมพวิ เตอร์
9. หนงั สือทวั่ ไปอา่ นได้อยา่ งเดียว หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์นอกจากอา่ นได้แล้วยงั สามารถสง่ั พมิ พ์
(print)ได้
10. หนงั สือทว่ั ไปอา่ นได้ 1 คนตอ่ หนง่ึ เลม่ หนงั สืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ 1 เลม่ สามารถอา่ นพร้อม กนั ได้จานวน
มาก (ออนไลน์ผา่ นอินเทอร์เน็ต)
11. หนงั สือทว่ั ไปพกพาลาบาก (ต้องใช้พืน้ ท่ี) หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์พกพาได้สะดวกครัง้ ละจานวนมากใน
รูปแบบของ ไฟล์คอมพิวเตอร์ ใน handy drive หรือ CD

ประโยชน์ของหนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
สาหรับผ้-ู อา่ น

1. ขนั้ ตอนงา่ ยในการอา่ น และค้นหาหนงั สือ
2. ไมเ่ ปลืองเนือ้ ที่ในการเก็บหนงั สือ
3. อา่ นหนงั สือได้จากทกุ ท่ีท่ีมีการเชื่อมตอ่ อนิ เตอร์เน็ต

สาหรับห้องสมดุ
1. สะดวกในการให้บริการหนงั สือ
2. ไมต่ ้องใช้สถานท่ีมากในการจดั เก็บหนงั สือ และไมเ่ สียคา่ ใช้จา่ ยในสว่ นนี ้
3. ลดงานที่เกิดจากการซอ่ ม จดั เก็บ และการจดั เรียงหนงั สือ

16

4. ไมเ่ สียคา่ ใช้จา่ ยในการจ้างพนกั งานมาดแู ลและซอ่ มแซมหนงั สือ
5. มีรายงานแสดงการเข้ามาอา่ นหนงั สือ

สาหรับสานกั พิมพ์และผ้เู ขียน
1. ลดขนั้ ตอนในการจดั ทาหนงั สือ
2. ลดคา่ ใช้จา่ ยและความเส่ียงในการจดั พมิ พ์หนงั สือ
3. ลดคา่ ใช้จา่ ยในการจดั จานา่ ยผา่ นชอ่ งทางอ่ืนๆ
4. เพิ่มชอ่ งทางในการจาหนา่ ยหนงั สือ
5. เพ่มิ ชอ่ งทางในการประชาสมั พนั ธ์ตรงถึงผ้อู า่ น

โครงสร้างหนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ (e-Book Construction)

ลกั ษณะโครงสร้างของหนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์จะมีความคล้ายคลงึ กบั หนงั สือทว่ั ไป ท่ีพิมพ์ด้วย
กระดาษ หากจะมีความแตกตา่ งที่เหน็ ได้ชดั เจนก็ คือ กระบวนการผลิต รูปแบบ และวิธีการอ่านหนงั สือ

สรุปโครงสร้างทว่ั ไปของหนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ ประกอบด้วย

1. หน้าปก (Front Cover) หมายถงึ ปกด้านหน้าของหนงั สือซง่ึ จะอยสู่ ว่ นแรก เป็ นตวั บง่
บอกวา่ หนงั สือเลม่ นีช้ ่ืออะไร ใครเป็นผ้แู ตง่

2. คานา (Introduction) หมายถงึ คาบอกกลา่ วของผ้เู ขียนเพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ
เก่ียวกบั ข้อมลู และเรื่องราวตา่ งๆ ของ หนงั สือเลม่ นนั้

3. สารบญั (Contents) หมาย ถึง ตวั บง่ บอกหวั เรื่องสาคญั ที่อยภู่ ายในเลม่ วา่ ประกอบด้วย
อะไรบ้างอยทู่ ี่หน้าใดของหนงั สือ สามารถเชื่อมโยงไปส่หู น้าตา่ งๆ ภายในเลม่ ได้

4. สาระของหนงั สือแตล่ ะหน้า หมายถึง สว่ นประกอบสาคญั ในแตล่ ะหน้า ที่ปรากฏภายในเลม่
ประกอบด้วย

17

- หน้าหนงั สือ (Page Number)
-ข้อความ (Texts)
-ภาพประกอบ (Graphics) .jpg, .gif, .bmp, .png, .tiff
-เสียง (Sounds) .mp3, .wav, .midi
-ภาพเคลื่อนไหว (Video Clips, flash) .mpeg, .wav, .avi
-จดุ เช่ือมโยง (Links)
5. อ้างองิ หมายถึง แหลง่ ข้อมลู ที่ใช้นามาอ้างอิง อาจเป็นเอกสาร ตารา หรือ เว็บไซต์
6. ดชั นี หมายถงึ การระบคุ าสาคญั หรือคาหลกั ตา่ งๆ ท่ีอยภู่ ายในเลม่ โดยเรียงลาดบั ตวั อกั ษรให้
สะดวกตอ่ การค้นหา พร้อมระบเุ ลขหน้าและจดุ เช่ือมโยง
7. ปกหลงั หมายถึง ปกด้านหลงั ของหนงั สือซง่ึ จะอยสู่ ว่ นท้ายเลม่

https://sites.google.com/site/kruchonthicha2/wiwathnakar-khxng-
hnangsux-xilekthrxniks

กีฬาคืออะไร
กีฬานนั้ ประกอบด้วยกิจกรรมปกตหิ รือทกั ษะท่ีอยภู่ ายใต้กตกิ าซง่ึ ถกู กาหนดโดยความเห็นที่

ตรงกนั โดยมีจดุ มงุ่ หมายเพื่อการพกั ผอ่ น การแขง่ ขนั ความเพลิดเพลิน ความสาเร็จ การพฒั นาของทกั ษะ
หรือหลายสิง่ รวมกนั กีฬาเป็ นกิจกรรมที่ควบคกู่ บั การแขง่ ขนั และระบบคะแนน
การกีฬา มีความสาคญั ตอ่ การพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของประชาชน ทงั้ ในด้านสขุ ภาพ และพลานามยั และ
ด้านจิตใจ เป็ นปัจจยั ท่ีสาคญั ท่ีทาให้ประชาชนสามารถพฒั นาคณุ ภาพชีวิตของตนเอง ครอบครัว ชมุ ชน
และสงั คม นาไปสกู่ ารมีสว่ นร่วมในการพฒั นาเศรษฐกิจ สงั คม การเมืองได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ กีฬาถกู
นาไปใช้เป็นเครื่องมือ เพ่ือสร้างความเข้มแข็งของครอบครัว และชมุ ชน ในประเทศท่ีพฒั นาแล้วทวั่ โลก จะ
อาศยั กระบวนการของกีฬา เพื่อสร้างการมีสว่ นร่วม เพื่อสร้างเครือข่ายชมุ ชน ตลอดจนการสร้างจิตสานกึ

18

ในการดารงชีวิตท่ีมีคณุ ธรรม มีวนิ ยั และมีความรับผดิ ชอบตอ่ หน้าที่ เคารพในสิทธิของตนเองและผ้อู ื่นเป็น
รากฐานที่ดีของสงั คม องคก์ รของประเทศตา่ งๆทว่ั โลก รวมทงั้ องคก์ รระหวา่ งประเทศจงึ ได้สนบั สนนุ ให้มี
การใช้กีฬา การออกกาลงั กาย และนนั ทนาการ เป็นเคร่ืองมือในการสง่ เสริมคณุ ภาพชีวิตของประชากรของ
ประเทศตน

กีฬา มีคณุ ลกั ษณะเฉพาะ คือ

-มีความสนกุ สนาน

-มีความสขุ เม่ือได้เลน่

-มีเสนห่ ์แหง่ ความท้าทาย(มี แพ้ มี ชนะ มีชนะ แล้วชนะอีก แพ้ก็มี)

-มีความสามารถดงึ ดดู ผ้ชู ม ผ้ดู ู และส่ือตา่ งๆ รวมทงั้ ผ้สู นบั สนนุ สปอนเซอร์(เกิดเป็ นรายได้ เกิดเป็ นธรุ กิจ
กีฬา)

-สามารถ ดงึ ดดู ผ้ชู มได้ทว่ั ทงั้ โลก(เชน่ .การแขง่ ขนั ฟตุ บอลโลก,การแขง่ ขนั กีฬาโอลมิ ปิก) ทาให้เกิดสมาชิก
และแฟนคลบั ตามมา

ชนดิ ของกีฬา อาจแบง่ ออกได้เป็น 4 กลมุ่ หลกั ๆ คือ

1. ประเภทการแขง่ ขนั ความเร็ว

2. ประเภทการแขง่ เป็นคแู่ ขง่ ขนั

3. ประเภทการบรรลผุ ล

4. ประเภทอ่ีนๆ
ต้นกาเนดิ กีฬา
กีฬา ประกอบด้วยกิจกรรมปกตหิ รือทกั ษะท่ีอยภู่ ายใต้กติกาซงึ่ ถกู กาหนดโดยความเห็นที่ตรงกนั โดยมี
จดุ มงุ่ หมายเพ่ือการพกั ผอ่ น การแขง่ ขนั ความเพลิดเพลนิ ความสาเร็จ การพฒั นาของทกั ษะ หรือหลายสิ่ง
รวมกนั กีฬาเป็นกิจกรรมท่ีควบคกู่ บั การแขง่ ขนั และระบบคะแนน

19

https://schmilano.wordpress.com/

กีฬาหลายประเภทได้มีการจดั การแขง่ ขนั ในระดบั เขต ประเทศ และระดบั โลก ซง่ึ กีฬาหลายชนิดได้มีการใส่
เข้าและนาออกโดยการปรับปรุงของทางคณะกรรมการโอลมิ ปิกสากล เชน่ รักบี ้ลาครอสส์ หรือ โปโล

โดย "การเลน่ กีฬา" มีมากมายหลายชนิดกีฬา แล้วแตก่ ารเลือกเลน่ ตามความเหมาะสมของแตล่ ะบคุ คลทงั้
ชนดิ ทีมหรือการเลน่ ประเภทกีฬาเดย่ี ว มากไปกวา่ นนั้ แล้วการเลน่ กีฬา ไมเ่ พียงแตไ่ ด้สขุ ภาพที่ดี สนกุ สนาน
หรือออกกาลงั กาย เพียงอยา่ งเดยี ว แตก่ ารเลน่ กีฬานนั้ จะสามารถชว่ ยพฒั นาได้ในหลากหลายด้าน ดงั นี ้

5 ประโยชน์ "การเลน่ กีฬา"

1.ชว่ ยทาให้ร่างกายแขง็ แรงปฏิเสธไมไ่ ด้วา่ การออกกาลงั กายคือ

เหตผุ ลหลกั ของการมีสขุ ภาพร่างกายที่แข็งแรง การออกกาลงั กายสามารถชว่ ยปรับสภาพความสมดลุ ให้
ทางานปกติ โดยการเคล่ือนไหวร่างกาย ทงั้ นีก้ ารเลน่ กีฬาที่ดี ควรอยู่ 3-5 ครัง้ ตอ่ สปั ดาห์

2. ชว่ ยใช้เวลาให้เกิดประโยชน์

กีฬามีแตป่ ระโยชน์ ดงั นนั้ กีฬาก็เป็นอีกหนง่ึ ตวั เลือกในการให้หลายคนนนั้ ได้ไปใช้ชีวิต กีฬายงั ชว่ ย
หลีกเลี่ยงจากอบายมขุ สง่ิ เสพตดิ หรือการไปในทางท่ีผดิ ดงั นนั้ กีฬาจงึ เป็ นตวั ช่วยท่ีจะทาให้ได้ใช้เวลาวา่ ง
ให้เกิดประโยชน์ แถมยงั ได้สขุ ภาพท่ีดีเป็นการตอบแทนด้วย ทงั้ นีใ้ นปัจจบุ นั การหนั มาเลน่ กีฬาจงึ มีมาก
ขนึ ้ รวมไปถึงในชนดิ กีฬาใหมๆ่ อยา่ ง กีฬาสเกตบอร์ด ท่ีถกู บรรจใุ นโอลมิ ปิก "โตเกียว2020" ครัง้ นี ้
เพราะการเลน่ กีฬาท่ีสนกุ สามารถพฒั นาไปถงึ เป้ าหมายระดบั ชาตไิ ด้

3. ชว่ ยสร้างความมนั่ ใจ

20

การเลน่ กีฬาหรืออกาลงั กายนอกจากชว่ ยให้สขุ ภาพแขง็ แรงแล้ว ยงั ชว่ ยตอ่ การพฒั นานาความมน่ั ใจอีก
ด้วย เพราะ การเล่นกีฬาจะทาให้การรู้จกั ตวั เองมากขนึ ้ รู้จกั แพ้และชนะ นาไปสกู่ ารพฒั นาทางด้านจิตใจ
การเรียนรู้ทางอารมณ์ และสดุ ท้ายเราจะสามารถมีความเข้าใจและเคารพตวั เองมากขนึ ้
4. ชว่ ยพฒั นาสตปิ ัญญา
การเลน่ กีฬา หรือออกกาลงั กายสามารถช่วยพฒั นาสมอง เพราะการเลน่ กีฬาต้องมีการตดั สินใจ และ
ควบคมุ การเคล่ือนไหว ที่ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดไปยงั สมองดขี นึ ้ ซง่ึ จะทาให้สมองมการพฒั นาอยู่
เสมอ
5. ชว่ ยเสริมสร้างวนิ ยั และฝึกความเป็นนา้ ใจนกั กีฬา
การเลน่ กีฬาท่ีดี ไมว่ า่ จะประเภทไหนก็ตาม มกั จะมีกฎกติกาท่ีจาเป็ นท่ีจะต้องทาตามการแขง่ ขนั อยเู่ สมอ
ดงั นนั้ การเลน่ กีฬามนั ก็จะเป็ นการฝึกวินยั กบั ไปในตวั พร้อมทงั้ มนั จะชว่ ยให้รู้จกั ทมุ่ เทไมย่ อมแพ้ง่าย ๆ ฝ่ า
อปุ สรรคเพื่อชยั ชนะการแขง่ ขนั เป็นสิ่งท่ีทาให้เป็นแรงกระต้นุ ทาให้เกิดการฝึกซ้อม และการฝึกซ้อมก็ยอ่ มจะ
มีเวลาจากดั ของมนั ดงั นนั้ มนั ก็เป็นส่งิ ที่ชว่ ยกระต้นุ การสร้างวินยั ของหลายคนได้เป็นอยา่ งดี เพ่ือนาไปสู่
ความสาเร็จ
https://www.komchadluek.net/kom-lifestyle/477833

กีฬาทกุ ประเภท
ประวตั กิ ีฬาแฮนดบ์ อล ความรู้ทวั่ ไปเกี่ยวกบั กีฬาแฮนดบ์ อล
แฮนด์บอล เป็นกีฬาที่หลายคนรู้จกั ดี เพราะมกั ถกู นามาใช้เป็นหนงึ่ ในประเภทกีฬา ในการแขง่ ขนั กีฬาสี
ประจาโรงเรียน รวมทงั้ ถกู บรรจอุ ยใู่ นการแขง่ ขนั กีฬาระดบั ชาตหิ ลายรายการ สว่ นที่มาที่ไปของกีฬา
แฮนด์บอลนนั้ จะเป็นอยา่ งไร วนั นีก้ ระปกุ ดอทคอมจะพาไปรู้จกั ประวตั แิ ฮนด์บอล กนั จ้า..
ประวตั กิ ีฬาแฮนด์บอล

21

กีฬาแฮนด์บอล มีท่ีมาจากประเทศเยอรมนี โดยนาย Konrad Koch ครูพละศกึ ษาคนหนง่ึ แตก่ ็ยงั
ไมเ่ ป็นที่นิยมมากนกั จนกระทง่ั ปี พ.ศ. 2447 (ค.ศ. 1904) กีฬาแฮนด์บอลก็ถกู พฒั นาขนึ ้ ในทวีปยโุ รป
และกาหนดกตกิ าขนึ ้ โดยอ้างอิงจากกตกิ าของกีฬาฟตุ บอลเป็นหลกั ซง่ึ เป็นการดดั แปลงกีฬาฟตุ บอลมา
เลน่ ด้วยมือแทน เดมิ ใช้ผ้เู ลน่ ทีมละ 11 คน แตล่ ดลงเหลือทีมละ 7 คนแทน เน่ืองจากผ้เู ลน่ มีจานวนมาก
จนเกินไปทาให้เล่นไมส่ ะดวก จากนนั้ จงึ คอ่ ย ๆ แพร่หลายเรื่อยมา

ในปี พ.ศ. 2471 (ค.ศ. 1928) แฮนด์บอลถกู นาไปสาธิตในงานกีฬาโอลมิ ปิก และถกู บรรจเุ ข้าเป็นหนงึ่
ในรายการการแขง่ ขนั กีฬาระดบั ชาตเิ มื่อปี พ.ศ. 2474 (ค.ศ.1931) และเป็นที่นยิ มอยา่ งแพร่หลายจน
ถกู บรรจเุ ข้าเป็ นชนิดกีฬาการแขง่ ขนั ในกีฬาโอลิมปิ ก เมื่อปี พ.ศ. 2479 (ค.ศ. 1936) กอ่ นท่ีจะเจอกบั
เหตกุ ารณ์สงครามโลกครัง้ ท่ี 2 จนความนิยมลดลง

ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2499 (ค.ศ. 1956) ก็ได้มีการแก้ไขกตกิ าแฮนด์บอลใหม่ ด้วยการนาเอากตกิ าของ
กีฬาฟตุ บอล และกีฬาบาสเก็ตบอลมาผสมกนั เพื่อฟื น้ ฟูความนยิ มกีฬาแฮนด์บอลให้กลบั มาอีกครัง้
ปัจจบุ นั กีฬาแฮนด์บอลกลายเป็นกีฬาท่ีนิยมกนั ไปทวั่ โลก

ผ้เู ลน่

ทีมหนง่ึ ต้องสง่ ตวั ผ้เู ลน่ 12 คน (รวมผ้เู ลน่ สารอง) และลงสนามได้ 7 คน คือ ผ้เู ลน่ 6 คน ผ้รู ักษาประตู 1
คน โดยสามารถเปลี่ยนตวั เข้าเลน่ ได้ทกุ เวลา และสามารถเปลี่ยนตวั กลบั เข้าในสนามใหมไ่ ด้ โดยผ้เู ลน่
จะต้องสวมเสือ้ ทีมที่ติดหมายเลข 1-20 ไว้ที่เสือ้ โดยมีขนาดตวั เลข สงู อยา่ งน้อย 20 เซนตเิ มตร กว้าง
อยา่ งน้อย 10 เซนตเิ มตร สีของตวั เลขตดั กบั เสือ้ อยา่ งชดั เจน สวมใสร่ องเท้ากีฬา และห้ามใส่
เคร่ืองประดบั ทกุ ชนิด

วธิ ีการเลน่

ใช้มือจบั ขว้าง โยน ลกู บอล สง่ ตอ่ กนั กบั ผ้เู ลน่ ในทีมตนเอง เพื่อขว้างบอลเข้าประตฝู ่ ายตรงข้าม

ห้ามใช้ร่างกายสว่ นที่ต่ากวา่ หวั เขา่ ลงไปโดนลกู บอล

ผ้เู ลน่ สามารถถือลกู บอลไว้ในมือได้ไมเ่ กิน 3 วินาที

ขณะถือลกู บอลสามารถก้าวขาได้ไมเ่ กิน 3 ก้าว

22

ห้ามผ้เู ลน่ ดงึ ลกู บอลจากมือของฝ่ ายตรงข้าม

ห้ามเข้าไปในเขตประตขู องฝ่ ายตรงข้าม

ใช้เวลาในการแขง่ ขนั คร่ึงละ 30 นาที พกั 10 นาที หากมีการตอ่ เวลาพเิ ศษจะเพม่ิ 2 คร่ึง คร่ึงละ 5 นาที

ประวตั ิปิงปอง ข้อมลู กีฬาปิ งปอง

กีฬาปิงปอง เป็ นกีฬาสนั ทนาการอีกชนิดหนง่ึ ที่สามารถเลน่ เพ่ือสร้างความสนกุ สนานในหมคู่ ณะ
ขณะเดียวกนั ก็เป็ นกีฬาท่ีมีความท้าทายท่ีผ้เู ลน่ ต้องต้องอาศยั ไหวพริบ และความคลอ่ งแคลว่ ของร่างกาย
ในการรับ-สง่ ลกู ซง่ึ ความท้าทายนีจ้ งึ ทาให้กีฬาปิงปองได้รับความนิยมในระดบั สากล กระทงั่ ถกู บรรจุใน
การแขง่ ขนั ระดบั โลก ด้วยความนา่ สนใจของกีฬาปิงปองนี ้ดงั นนั้ ทางกระปกุ ดอทคอมจงึ ได้นาข้อมลู ของ
กีฬาปิ งปองมาฝากคะ่

ประวตั ิกีฬาปิงปอง หรือ เทเบลิ เทนนิส

กีฬาปิงปองได้เริ่มขนึ ้ ครัง้ แรก ในปี ค.ศ. 1890 (พ.ศ. 2433) ที่ประเทศองั กฤษ โดยในอดีต
อปุ กรณ์ท่ีใช้เลน่ ปิงปองเป็นไม้ห้มุ หนงั สตั ว์ ซงึ่ มีลกั ษณะคล้ายกบั ไม้ปิงปองในปัจจบุ นั สว่ นลกู ที่ใช้ตีเป็นลกู
เซลลลู อยด์ ซง่ึ ทาจากพลาสตกิ กงึ่ สงั เคราะห์ โดยเวลาที่ลกู บอลกระทบกบั พืน้ โต๊ะ และไม้ตจี ะเกิดเสียง
“ปิก-ป๊ อก” ดงั นนั้ กีฬานีจ้ ึงถกู เรียกช่ือตามเสียงท่ีได้ยินวา่ “ปิงปอง” (PINGPONG) และได้เริ่ม
แพร่หลายในกลมุ่ ประเทศยโุ รปก่อน

ซง่ึ วธิ ีการเลน่ ในสมยั ยโุ รปตอนต้น จะเป็ นการเลน่ แบบยนั (BLOCKING) และแบบดนั กด
(PUSHING) ซงึ่ ตอ่ มาได้พฒั นามาเป็นการเลน่ แบบ BLOCKING และ CROP หรือเรียกวา่ การ
เลน่ ถกู ตดั ซงึ่ วธิ ีการเลน่ นีเ้ป็ นที่นยิ มมากแถบนยโุ รป สว่ นวิธีการจบั ไม้ จะมี 2 ลกั ษณะ คือ จบั ไม้แบบจบั
มือ (SHAKEHAND) ซง่ึ เราเรียกกนั วา่ “จบั แบบยโุ รป” และการจบั ไม้แบบจบั ปากกา (PEN-
HOLDER) ซงึ่ เราเรียกกนั วา่ “จบั ไม้แบบจีน”ในปี ค.ศ. 1900 (พ.ศ. 2443) เริ่มปรากฏวา่ มีการ
หนั มาใช้ไม้ปิงปองตดิ ยางเม็ดแทนหนงั สตั ว์ ดงั นนั้ วิธีการเลน่ แบบรุก หรือแบบบกุ โจมตี (ATTRACK
หรือ OFFENSIVE) โดยใช้ทา่ หน้ามือ (FOREHAND) และ หลงั มือ (BACKHAND) เร่ิมมี
บทบาทมากขนึ ้ และยงั คงนิยมการจบั แบบไม้แบบยโุ รป ดงั นนั้ จงึ ถือวา่ ยโุ รปเป็นศนู ย์รวมของกีฬาปิงปอง
อยา่ งแท้จริงตอ่ มาในปี ค.ศ. 1922 (พ.ศ. 2465) ได้มีบริษทั ค้าเครื่องกีฬา จดทะเบยี นเคร่ืองหมาย

23

การค้าวา่ “PINGPONG” ด้วยเหตนุ ี ้กีฬาปิงปองจงึ ต้องเปลี่ยนชื่อเป็น เทลเบลิ เทนนสิ (TABLE
TENNIS) และในปี ค.ศ. 1926 (พ.ศ. 2469) ได้มีการประชมุ ก่อตงั้ สหพนั ธ์เทเบลิ เทนนสิ นานาชาติ
(INTERNATIONAL TABLETENNIS FEDERATION : ITTF) ขนึ ้ ที่กรุงลอนดอนในเดือน
ธนั วาคม พร้อมกบั มีการจดั การแขง่ ขนั เทเบลิ เทนนิสแหง่ โลกครัง้ ท่ี 1 ขนึ ้ เป็นครัง้ แรกจากนนั้ ในปี ค.ศ.
1950 (พ.ศ. 2493) เป็นยคุ ที่ประเทศญี่ป่ นุ ซง่ึ ได้หนั มาสนใจกีฬาเทเบลิ เทนนิสมากขนึ ้ และได้มีการ
ปรับวิธีการเลน่ โดยเน้นไปท่ี การตบลกู แมน่ ยา และหนกั หนว่ ง และการใช้จงั หวะเต้นของปลายเท้า ตอ่ มา
ในปี ค.ศ. 1952 (พ.ศ. 2495) ญี่ป่ นุ ได้เข้าร่วมการแขง่ ขนั เทเบลิ เทนนิสโลกเป็ นครัง้ แรก ท่ีกรุงบอมเบย์
ประเทศอนิ เดีย และในปี ค.ศ. 1953 (พ.ศ. 2496) สาธารณรัฐประชาชนจีนจงึ ได้เข้าร่วมการแขง่ ขนั
เป็นครัง้ แรกที่กรุบคู าเรสต์ ประเทศรูมาเนีย ทาให้จงึ กีฬาเทเบลิ เทนนสิ กลายเป็ นกีฬาระดบั โลกที่แท้จริง
โดยในยคุ นีญ้ ี่ป่ นุ ใช้การจบั ไม้แบบจบั ปากกา และมีการพฒั นาไม้ปิงปองโดยใช้ยางเมด็ สอดไส้ด้วยฟองนา้
เพมิ่ เตมิ จากยางชนิดเม็ดเดมิ ท่ีใช้กนั ทว่ั โลก

ประวตั ฟิ ุตบอลไทย – ประวตั กิ ีฬาฟตุ บอลโลก
ประวตั ฟิ ุตบอล

จดุ เริ่มต้นของกีฬาฟุตบอล ไมม่ ีหลกั ฐานชีช้ ดั วา่ กาเนดิ มาจากท่ีใดกนั แน่ เพราะแตล่ ะชาตติ า่ งออกมา
ยืนยนั ว่าประเทศตนเองเป็นประเทศต้นกาเนิด เชน่ อิตาลี กบั ฝรั่งเศส ก็มีการเลน่ ซเู ลอ หรือ จิโอโค เดล
คาซโิ อ ซงึ่ มีกตกิ าคล้ายกบั ฟุตบอล เป็ นต้นอยา่ งไรก็ตาม จดุ เร่ิมต้นของฟตุ บอลท่ีมีหลกั ฐานอยา่ งเป็น
ทางการ เร่ิมตงั้ แต่ ปี ค.ศ. 1863 (พ.ศ. 2406) ที่ประเทศองั กฤษ มีการจดั ตงั้ สมาคมฟตุ บอลองั กฤษใน
ปี นนั้ และเริ่มมีการแขง่ ขนั ฟุตบอลลีกเป็ นครัง้ แรก ใน ค.ศ. 1888 (พ.ศ. 2431) และเร่ิมมีการแขง่ ขนั
ระหวา่ งประเทศครัง้ แรกในปี ค.ศ. 1889 (พ.ศ. 2432)

24

ในปี ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) เริ่มกอ่ ตงั้ สมาพนั ธ์ฟตุ บอลนานาชาติ หรือ ฟี ฟ่ าขนึ ้ และมีการแขง่ ขนั
ฟตุ บอลโลกครัง้ แรกใน ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) ที่ประเทศอรุ ุกวยั

กีฬาฟตุ บอลในประเทศไทย

สาหรับกีฬาฟตุ บอลในประเทศไทย เร่ิมเข้ามาในยคุ พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั รัชกาลท่ี 5
โดยมีเจ้าพระยาธรรมศกั ดมิ์ นตรีนาเข้ามา จากการไปเรียนที่ตา่ งประเทศ ซงึ่ ใน พ.ศ. 2443 มีการแขง่ ขนั
ฟตุ บอลเป็นครัง้ แรกระหวา่ งทีมชดุ บางกอก กบั ชดุ กรมศกึ ษาธิการ ที่สนามหลวง ปรากฎวา่ เสมอกนั 2-2

ตอ่ มาในยคุ สมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจ้าอย่หู วั รัชกาลท่ี 6 พระองค์ทรงสนใจกีฬาฟตุ บอลอยา่ ง
มาก มีทีมฟตุ บอลสว่ นพระองค์ คือ ทีมเสือป่ า และมีการเผยแพร่ขา่ วสาร การเลน่ เกี่ยวกบั ฟตุ บอลอยา่ ง
แพร่หลาย นอกจากนี ้สมาคมฟตุ บอลแหง่ สยาม ถกู ก่อตงั้ ขนึ ้ เป็นครัง้ แรกในปี พ.ศ. 2459 อีกด้วย

ประวตั เิ ปตอง วิธีเลน่ เปตอง

เนื่องจากกีฬาเปตองได้แพร่หลายเข้าสรู่ ะบบการศกึ ษาของไทย จากการถกู เลือกให้เป็นกิจกรรม
นนั ทนาการในสถานศกึ ษา ตลอดจนหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ทงั้ ของรัฐและเอกชนได้พิจารณาเหน็ วา่ กิจกรรมเป
ตองเป็นกิจกรรมกีฬาและนนั ทนาการ ท่ีสง่ เสริมความสามคั คแี ละลดความเครียดจากภารกิจ หน้าที่การ
งานได้เป็นอยา่ งดี จงึ ทาให้กีฬาชนิดนีไ้ ด้รับความนิยมเพ่ิมขนึ ้ เรื่อย ๆ ดงั นนั้ เราจงึ มีประวตั แิ ละกฏกตกิ า
การเลน่ กีฬาเปตองมาฝากกนั วา่ แตจ่ ะมีอะไรบ้างนนั้ ไปดกู นั เลย

ประวตั ิกีฬาเปตองสากล

เปตองเป็นกีฬากลางแจ้งประเภทหนงึ่ ซง่ึ มีมาตงั้ แตด่ กึ ดาบรรพ์ ประวตั ทิ ่ีแนน่ อนนนั้ ไมม่ ีการบนั ทึกไว้
แตม่ ีหลกั ฐานจากการเลา่ สืบตอ่ ๆ กนั มาวา่ กาเนิดขนึ ้ ครัง้ แรกในประเทศกรีซ เม่ือประมาณ 2,000 ปี
ก่อนคริสตกาล โดยเก็บก้อนหินท่ีเป็นทรงกลมจากภเู ขาและใต้ทะเลมาเลน่ กนั ตอ่ มากีฬาเปตองได้
แพร่หลายเข้ามาในทวีปยโุ รป เมื่ออาณาจกั รโรมนั ครองอานาจและเข้ายึดครองดนิ แดนของชนชาวกรีกได้
สาเร็จ ชาวโรมนั ได้ใช้กีฬาประเภทนีเ้ป็นเครื่องทดสอบกาลงั ข้อมือและกาลงั กายของผ้ชู ายในสมยั นนั้

เม่ืออาณาจกั รโรมนั เข้ายดึ ครองดนิ แดนชาวโกลหรือประเทศฝร่ังเศสในปัจจุบนั ชาวโรมนั ก็ได้นาเอาการ
เลน่ ลกู บลู ประเภทนีเ้ข้าไปเผยแพร่ทางตอนใต้ของประเทศ ฝร่ังเศส การเลน่ ลกู บลู จงึ ได้พฒั นาขนึ ้ โดย
เปล่ียนมาใช้ไม้เนือ้ แขง็ ถากเป็นรูปทรงกลม แล้วใช้ตะปตู อกรอบ ๆ เพื่อเพม่ิ นา้ หนกั ของลกู ให้เหมาะกบั มือ

25

ในยคุ กลาง การเลน่ ลกู บลู นีเ้ป็นที่นิยมเลน่ กนั แพร่หลายในประเทศฝร่ังเศส ในสมยั พระเจ้านโปเลียน
มหาราชขนึ ้ ครองอานาจ พระองค์ได้ทรงประกาศให้การเลน่ ลกู บลู นีเ้ป็นกีฬาประจาชาตขิ องฝรั่งเศส และ
เปิดโอกาสให้ประชาชนทว่ั ไปได้เลน่ กนั การเลน่ ลกู บลู นีจ้ งึ ได้มีการพฒั นาขนึ ้ เรื่อย ๆ ตลอดมา จนมีการตงั้
ช่ือเกมกีฬาประเภทนีข้ นึ ้ มาเลน่ อยา่ งมากมายตา่ ง ๆ กนั เชน่ บลู เบร-รอตรอง, บลู ลิโยเนส่ ์, บลู เจอร์ เดอร์
ลอง และบล-ู โปรวงั ซาล เป็นต้น
ในที่สดุ ก็ฝรั่งเศสได้มีการก่อตงั้ “สหพนั ธ์ เปตองและโปรวงั ซาล” ขนึ ้ ในปี พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938)
จากนนั้ จานวนสมาชกิ ก็เพิม่ ขนึ ้ เร่ือย ๆ มีบคุ คลทกุ ระดบั ชนั้ ทกุ เพศ ทกุ วยั เข้าเป็นสมาชกิ ลกู บลู ท่ีใช้เลน่ ก็มี
การคิดค้นทาเป็นลกู โลหะผสมเหล็กกล้า ข้างในกลวง การเลน่ จงึ มีความสนกุ สนานเร้าใจย่งิ ขนึ ้ กวา่ เดมิ
หลงั สงครามโลกครัง้ ท่ี 2 การเลน่ กีฬาลกู บลู -โปรวงั ซาลที่ได้ดดั แปลงแก้ไขใหมน่ ีไ้ ด้รับความนิยมเล่น มาก
ขนึ ้ และได้แพร่หลายไปตามหวั เมืองตา่ ง ๆ อยา่ งรวดเร็วทวั่ ประเทศฝรั่งเศส ตลอดจนถึงดนิ แดน อาณา
นคิ มของฝร่ังเศสอีกด้วย

การเลน่ กีฬาลกู บลู นีไ้ ด้แบง่ แยกการเลน่ ออกได้เป็น 3 ประเภทคอื

1. ลิโยเนล่ ์
2. โปรวงั ชาล (วิง่ 3 ก้าวแล้วโยน)
3. เปตอง (ท่ีนิยมเลน่ ในปัจจบุ นั )
ประวตั กิ รีฑา ข้อมลู และประเภทกรีฑา
กรีฑาถือได้วา่ เป็นกีฬาที่เก่าแก่ ที่เกิดขนึ ้ มาพร้อมกบั มนษุ ย์ เน่ืองจากในสมยั ก่อนมนษุ ย์ต้องอาศยั การว่งิ ใน
การอยอู่ าศยั ไมว่ า่ จะเป็นการวงิ่ เร็วเพ่ือให้พ้นจากสตั ว์ร้าย วง่ิ ไลเ่ พื่อจบั สตั ว์เอาไว้เป็นอาหาร ฯลฯ ซงึ่ เม่ือ
เทียบกบั ปัจจบุ นั ก็เปรียบเสมือนการวง่ิ ในประเภทตา่ ง ๆ นอกจากการว่งิ แล้ว ในยคุ ก่อนยงั มีการกระโดด
การใช้อาวธุ ตา่ ง ๆ ซง่ึ นนั้ ก็เป็ นที่มาของกีฬากรีฑาหลากหลายประเภทนนั่ เอง

26

วนั นีก้ ระปกุ ดอทคอมก็ขอนาประวตั กิ รีฑา ความเป็นมาและประเภทของกีฬากรีฑาแตล่ ะชนิด พร้อม
ทงั้ กฎกตกิ าการเลน่ ตา่ ง ๆ ท่ีถกู ต้อง มาให้เพื่อน ๆ ได้ทราบกนั คะ่

ความรู้ทวั่ ไปเก่ียวกบั กรีฑา

ประวตั กิ รีฑา

เช่ือกนั วา่ ต้นกาเนิดของกรีฑานนั้ เริ่มมากจากชาวกรีกโรมนั เมื่อประมาณ 776 ปี ก่อนคริสต
ศกั ราช โดยเจ้าเมืองนนั้ อยากให้พลเมืองของกรีกมีสขุ ภาพพลานามยั ที่แข็งแรง เพื่อรับใช้ประเทศได้อยา่ ง
เตม็ ท่ี นอกจากนีใ้ นสมยั กอ่ นเชื่อวา่ มีเทพเจ้าสถิตอยบู่ นเขาโอลิมปัสพยายามทาตวั ให้เป็นที่โปรดปราน
ด้วยการทาพธิ ีกรรมบวงสรวงตา่ ง ๆ พร้อมเลน่ กีฬาถวาย ณ ลานเชงิ เขาโอลิมปัสแคว้นอีลสิ เพื่อให้เกียรติ
แกเ่ ทพเจ้า โดยมีกีฬาท่ีชาวกรีกเลน่ นนั้ มี 5 ประเภท คือ การวิง่ แขง่ การกระโดด มวยปลา้ พงุ่ แหลน ขว้าง
จกั ร ทงั้ นี ้เป็นท่ีสงั เกตได้วา่ นอกจากกีฬามวยปลา้ แล้ว กีฬาทงั้ 4 ชนดิ ล้วนแตเ่ ป็นกีฬากรีฑาทงั้ สนิ ้
นอกจากนี ้ยงั ได้ดาเนินการแขง่ ขนั ตดิ ตอ่ กนั มาเป็นเวลานานกวา่ 1,200 ปี เลยทีเดียว

ตอ่ มากรีกเส่ือมอานาจลง และตกอยภู่ ายใต้อานาจของชาวโรมนั การกีฬาของกรีกเลยเสื่อมลง
ตามลาดบั ใน พ.ศ. 936 (ค.ศ. 393) เนื่องจากจกั รพรรดธิ ีโอดซีอสุ แหง่ โรมนั มีคาสงั่ ให้ยกเลิกการเลน่
กีฬา ทงั้ 5 ประเภท เพราะเห็นวา่ ประชาชนเลน่ กีฬาเพื่อการพนนั ไม่ได้เลน่ เพื่อสขุ ภาพแตอ่ ยา่ งใด และ
นบั ตงั้ แตน่ นั้ กีฬาโอลมิ ปิกก็ได้ยตุ เิ ป็นระยะเวลานานกวา่ 15 ศตวรรษ

หลงั จากนนั้ ก็ได้มีบคุ คลสาคญั กลบั มารือ้ ฟื น้ ให้กีฬาโอลิมปิ กกลบั มาเริ่มอีกครัง้ โดย บารอน ปี แอร์
เดอ คแู บร์แตง (BaronPierredeCoubertin) ชาวฝร่ังเศส ซง่ึ เขาได้ชกั ชวนบคุ คลคนสาคญั ของ
ชาตติ า่ ง ๆ เข้ามาร่วมประชมุ เพ่ือแขง่ ขนั กีฬาร่วมกนั โดยให้จดั การแขง่ ขนั 4 ปี ตอ่ 1 ครัง้ พร้อมระบุ
ข้อตกลงในการเลน่ กีฬากรีฑาเป็นหลกั ของการแขง่ ขนั เพ่ือเป็นเกียรติและอนสุ รณ์แกช่ าวกรีกในสมยั
โบราณ ผ้รู ิเร่ิมกีฬาโอลมิ ปิ ก ทงั้ นี ้กีฬาโอลมิ ปิกได้เร่ิมแขง่ ขนั ขนึ ้ อีกครัง้ ใน พ.ศ.2439 (ค.ศ. 1896) ณ
กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีก

ประวตั คิ วามเป็นมาของกรีฑาในประเทศไทย

ผ้รู ิเริ่มให้มีการแขง่ ขนั กรีฑาในประเทศไทยนนั้ ก็ คือ กระทรวงธรรมการ (ปัจจบุ นั คอื
กระทรวงศกึ ษาธิการ) ท่ีได้จดั ให้มีการแขง่ ขนั กรีฑาระดบั นกั เรียน ครัง้ แรกเมื่อวนั ที่ 11 มกราคม พ.ศ.

27

2440 ณ ท้องสนามหลวง โดยมี พระบาทสมเดจ็ พระปรมินทรมหาจฬุ าลงกรณ์ พระจลุ จอมเกล้า
เจ้าอยหู่ วั และสมเดจ็ พระนางเจ้าพระบรมราชนิ ีนาถ เสด็จพระราชดาเนนิ มาทรงเป็นองค์ประธานเปิ ดการ
แขง่ ขนั กรีฑานกั เรียนเป็นประจาทกุ ปี และได้จดั ตงั้ ให้มีสมาคมกรีฑาสมคั รเลน่ ประเทศไทยขนึ ้

ประวตั ิกีฬาแบดมินตนั

แบดมนิ ตนั (Badminton) เป็นกีฬาท่ีได้รับการวจิ ารณ์เป็นอยา่ งมาก เพราะไมม่ ีหลกั ฐานที่แน่
ชดั ถึงที่มาของกีฬาประเภทนี ้คงมีแตห่ ลกั ฐานบางอยา่ งท่ีทาให้ทราบวา่ กีฬาแบดมินตนั มีเลน่ กนั ในยโุ รป
โดยเฉพาะในประเทศองั กฤษ ตอนปลายศตวรรษที่ 17 และจากภาพสีนา้ มนั หลายภาพได้ยืนยนั วา่ กีฬา
แบดมินตนั เลน่ กนั อยา่ งแพร่หลายในพระราชวงศข์ องราชสานกั ตา่ ง ๆ ในทวีปยโุ รป แม้วา่ จะเรียกกนั ภายใต้
ชื่ออ่ืนก็ตาม

โดยกีฬาแบดมนิ ตนั ได้รับการบนั ทกึ แบบเป็นลายลกั ษณ์อกั ษรในปี พ.ศ. 2413 ซง่ึ พบวา่ มีการเลน่ กีฬา
ลกู ขนไก่เกิดขนึ ้ ท่ีเมืองปนู า (Poona) ในประเทศอินเดีย เป็นเมืองเลก็ ๆ หา่ งจากเมืองบอมเบย์ประมาณ
50 ไมล์ โดยได้รวมการเลน่ สองอยา่ งเข้าด้วยกนั คือ การเลน่ ปนู าของประเทศอนิ เดีย และการเลน่ ไม้ตีกบั
ลกู ขนไก่ (Battledore Shuttle Cock) ของยโุ รปในระยะแรก การเลน่ แบดมนิ ตนั จะเลน่ กนั
เพียงแตใ่ นหมนู่ ายทหารของกองทพั และสมาชิกชนชนั้ สงู ของอนิ เดียเทา่ นนั้ จนกระทงั่ มีนายทหารองั กฤษ
ที่ไปประจาการอยทู่ ี่เมืองปนู า นาการเลน่ ตลี กู ขนไก่นีก้ ลบั ไปองั กฤษ และเลน่ กนั อยา่ งกว้างขวาง ณ
คฤหาสน์แบดมินตนั (Badminton House) ของดยคุ แหง่ บวิ ฟอร์ด ท่ีกลอสเตอร์เชียร์ ดงั นนั้ ในปี
พ.ศ. 2416 เกมกีฬาตลี กู ขนไก่เลยถกู เรียกวา่ แบดมนิ ตนั ตามช่ือคฤหาสน์ของดยคุ แหง่ บวิ ฟอร์ดตงั้ แต่
นนั้ เป็นต้นมา

ทงั้ นี ้กีฬาแบดมนิ ตนั ก็เริ่มแพร่หลายในประเทศแถบภาคพืน้ ยโุ รป เน่ืองจากเป็นเกมที่คล้ายเทนนสิ แต่
สามารถเลน่ ได้ภายในตวั ตกึ โดยไมต่ ้องกงั วลตอ่ ลมหรือหิมะในฤดหู นาว นอกจากนี ้ชาวยโุ รปที่อพยพไปสู่
ทวีปอเมริกา ยงั ได้นากีฬาแบดมินตนั ไปเผยแพร่ รวมทงั้ ประเทศตา่ ง ๆ ในทวีปเอเชียและออสเตรเลียที่อยู่
ภายใต้อาณานิคมขององั กฤษ เนเธอร์แลนด์ ตา่ งนาเกมแบดมนิ ตนั ไปเลน่ ยงั ประเทศของตนเองอยา่ ง
แพร่หลาย เกมกีฬาแบดมินตนั จงึ กระจายไปสสู่ ว่ นตา่ ง ๆ ของโลก รวมทงั้ ประเทศไทยด้วย

สาหรับการเลน่ แบดมนิ ตนั ในระยะแรกไมไ่ ด้มีกฎเกณฑ์ตายตวั เพียงแตเ่ ป็ นการตีโต้ลกู กนั ไปมาไมใ่ ห้ลกู ตก
พืน้ เทา่ นนั้ สว่ นเส้นแบง่ แดนก็ใช้ตาข่ายผกู โยงระหวา่ งต้นไม้สองต้นไมไ่ ด้คานงึ ถงึ เร่ืองต่าสงู เลน่ กนั ข้างละ

28

ไมน่ ้อยกวา่ 4 คน สว่ นมาจะเลน่ ทีมละ 6 ถงึ 9 คน ผ้เู ลน่ สามารถแตง่ ตวั ได้ตามสบายจนกระทงั่ ปี พ.ศ.
2436 ได้มีการจดั ตงั้ สมาคมแบดมินตนั แหง่ ประเทศองั กฤษขนึ ้ ซงึ่ นบั เป็ นสมาคมแบดมนิ ตนั แหง่ แรกของ
โลก หลงั จากที่มีการจดั แขง่ ขนั แบดมนิ ตนั ชงิ ชนะเลิศแหง่ ประเทศองั กฤษ หรือท่ีเรียกกนั วา่ ออลองิ แลนด์
ตงั้ แตป่ ี พ.ศ.2432 ทางสมาคมแบดมนิ ตนั แหง่ ประเทศองั กฤษจงึ ได้ตงั้ กฎเกณฑ์ของสนามมาตรฐานขนึ ้
คอื ขนาดกว้าง 22 ฟตุ ยาว 45 ฟตุ (22 x 45) เป็นสนามขนาดมาตรฐานประเภทคทู่ ่ีใช้ในปัจจบุ นั
จากนนั้ จงึ มีการปรับปรุงดดั แปลงในเรื่องอปุ กรณการเลน่ ให้ดีขนึ ้ เป็นลาดบั ตอ่ มาได้รับความนิยม
แพร่หลายไปทว่ั โลก โดยประเทศในเอเชียอาคเนย์ท่ีมีการเลน่ กีฬาแบดมินตนั และได้รับความนิยมสงู สดุ คือ
อินโดนีเซีย มาเลเซีย และประเทศไทยสว่ นการแขง่ ขนั ระหวา่ งประเทศได้เร่ิมจดั ให้มีขนึ ้ ในปี พ.ศ. 2445
และตลอดเวลาหลายปี ที่ผา่ นมา จานวนประเทศท่ีเข้าร่วมแขง่ ขนั กีฬาแบดมนิ ตนั ระหวา่ งประเทศมีมากวา่
31 ประเทศ แบดมนิ ตนั ได้กลายเป็นเกมกีฬาท่ีเลน่ กนั ระหวา่ งชาติ โดยมีการยกทีมข้ามประเทศเพ่ือแขง่ ขนั
ระหวา่ งชาตใิ นทวีปยโุ รป ในปี พ.ศ.2468 กลมุ่ นกั กีฬาของประเทศองั กฤษได้แขง่ ขันกบั กลมุ่ นกั กีฬา
ประเทศแคนาดา ห้าปี หลงั จากนนั้ พบว่าประเทศแคนาดามีสโมสรสาหรับฝึกแบดมินตนั มาตรฐานแทบทกุ
เมือง

ในปี พ.ศ.2477 สมาคมแบดมนิ ตนั ของประเทศองั กฤษเป็นผ้นู าในการก่อตงั้ สหพนั ธ์แบดมินตนั ระหวา่ ง
ประเทศ โดยมีชาติตา่ ง ๆ อีก 8 ชาติคือ แคนาดา เดนมาร์ก องั กฤษ ฝร่ังเศส ไอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์
นวิ ซีแลนด์ สก๊อตแลนด์ และเวลล์ โดยมีศนู ย์กลางอยทู่ ่ีกรุงลอนดอน ปัจจบุ นั มีประเทศท่ีอยใู่ นเครือสมาชกิ
กวา่ 60 ประเทศ ท่ีขนึ ้ ตอ่ สหพนั ธ์แบดมนิ ตนั ระหวา่ งประเทศ (I.B.F.) สหพนั ธ์มีบทบาทสาคญั ในการ
กาหนด และควบคมุ กตกิ าระเบยี บข้อบงั คบั ตา่ ง ๆ ของการแขง่ ขนั กีฬาแบดมินตนั ทวั่ โลก

ในปี พ.ศ.2482 เซอร์ จอร์จ โทมสั นกั แบดมนิ ตนั อาวโุ สชาวองั กฤษเป็นผ้มู อบถ้วยทองราคา 5,000
ปอนด์ เพ่ือมอบเป็นรางวลั ให้แก่ผ้ชู นะเลิศประเภทชาย ในการแขง่ ขนั แบดมินตนั ระหวา่ งประเทศ ซง่ึ
สหพนั ธ์แบดมนิ ตนั ได้รับไว้และดาเนินการตามประสงค์นี ้แม้วา่ ตามทางการจะเรียกว่า การแขง่ ขนั ชงิ ถ้วย
ชนะเลิศแบดมนิ ตนั ระหวา่ งประเทศ แตน่ ิยมเรียกกนั วา่ โธมสั คพั (Thomas Cup) การแขง่ ขนั จะจดั ขนึ ้
ทกุ ๆ 3 ปี โดยสหพนั ธ์ได้แบง่ เขตการแขง่ ขนั ของชาตสิ มาชกิ ออกเป็น 4 โซน คือ

1. โซนยโุ รป

2. โซนอเมริกา

29

3. โซนเอเชีย

4. โซนออสเตรเลเซีย (เดมิ เรียกวา่ โซนออสเตรเลีย)

วิธีการแขง่ ขนั จะแขง่ ขนั ชงิ ชนะเลิศภายในแตล่ ะโซนขนึ ้ ก่อน แล้วให้ผ้ชู นะเลศิ แตล่ ะโซนไปแขง่ ขนั รอบ
อินเตอร์โซนเพื่อให้ผ้ชู นะเลิศทงั้ 4 โซน ไปแขง่ ขนั ชงิ ชนะเลศิ กบั ทีมของชาตทิ ่ีครอบครองดถ้วยโธมสั คพั อยู่
ซงึ่ ได้รับเกียรตไิ ม่ต้องแขง่ ขนั ในรอบแรกและรอบอินเตอร์โซน ชดุ ท่ีเข้าแขง่ ขนั ประกอบด้วยผ้เู ลน่ อยา่ งน้อย
4 คน การท่ีจะชนะเลิศนนั้ จะตดั สินโดยการรวมผลการแขง่ ขนั ของประเภทชายเดยี่ ว 5 คู่ และประเภทชาย
คู่ 4 คู่ รวม 9 คู่ และใช้เวลาการแขง่ ขนั 2 วนั การแขง่ ขนั ชิงถ้วยโธมสั คพั ครัง้ แรกจดั ให้มีขนึ ้ ระหวา่ งปี พ.ศ.
2491-2492

ตอ่ มาในการแขง่ ขนั แบดมนิ ตนั โธมสั คพั ครัง้ ที่ 8 ปี พ.ศ. 2512-2513 สหพนั ธ์ได้เปล่ียนแปลงวธิ ีการ
แขง่ ขนั เล็กน้อย โดยให้ชาติท่ีครอบครองถ้วยอยนู่ นั้ เข้าร่วมแขง่ ขนั ในรอบอนิ เตอร์โซนด้วย โดยวธิ ีการจบั
สลากแล้วแบง่ ออกเป็น 2 สาย ผ้ชู นะเลิศแตล่ ะสายจะได้เข้าแขง่ ขนั ชิงชนะเลศิ โธมสั คพั รอบสดุ ท้ายตอ่ ไป
สาเหตทุ ่ีสหพนั ธ์เปลี่ยนแปลงการแขง่ ขนั ใหมน่ ี ้เนื่องจากมีบางประเทศท่ีชนะเลศิ ได้ครอบครองถ้วย
โธมสั คพั ไมร่ ักษาเกียรตทิ ี่ได้รับจากสหพนั ธ์ไว้ โดยพยายามใช้ชนั้ เชิงที่ไมข่ าวสะอาดรักษาถ้วยโธมสั คพั ไว้
ครัง้ แล้วครัง้ เลา่ สหพนั ธ์จงึ ต้องเปลี่ยนข้อบงั คบั ให้ชาตทิ ่ีครอบครองถ้วยอยนู่ นั้ ลงแขง่ ขนั ในรอบอินเตอร์โซน
ดงั กลา่ วด้วยกีฬาแบดมนิ ตนั ได้แพร่หลายขนึ ้ แม้กระทง่ั ในกลมุ่ ประเทศสงั คมนิยมก็ได้มีการเลน่ เบดมิ
นตนั อยา่ งกว้างขวาง มีการบรรจแุ บดมินตนั เข้าไว้ในการแขง่ ขนั เอเชียนเกมส์ และซีเกมส์ การแขง่ ขนั กีฬา
ของประเทศในเครือจกั ภพสหราชอาณาจกั ร รวมทงั้ การพิจารณาแบดมินตนั เข้าสกู่ ารแขง่ ขนั กีฬาโอลมิ ปิก
ล้วนแตเ่ ป็นเคร่ืองยืนยนั วา่ แบดมินตนั ได้กลายเป็นกีฬาสากลแล้วอยา่ งแท้จริง

ประวตั ฟิ ตุ ซอล ข้อมลู กีฬาฟตุ ซอล

กีฬาฟตุ ซอล เริ่มเป็นท่ีนยิ มในประเทศไทยเม่ือไมน่ านมานี ้ด้วยรูปแบบการเลน่ ที่คล้ายกบั ฟุตบอล กฎ
กตกิ าเข้าใจง่าย อาศยั พืน้ ที่ในการเลน่ ไมม่ าก และเลน่ ได้ทกุ เพศทกุ วยั เราจงึ มกั จะเห็นคนไทยเลน่ กีฬาฟตุ
ซอลตามสถานท่ีตา่ ง ๆ ทงั้ โรงพละ หรือใต้ทางดว่ น วา่ แต่ ประวตั ฟิ ตุ ซอล มีความเป็ นมาอยา่ งไร วนั นี ้
กระปกุ ดอทคอม จะพาไปทาความเข้าใจประวตั แิ ละกฎกตกิ ากีฬาฟตุ ซอลกนั คะ่ ประวตั ฟิ ตุ ซอลคาวา่ ฟตุ
ซอล มีรากศพั ท์มาจากภาษาสเปนหรือโปรตเุ กส ท่ีวา่ FUTbol หรือ FUTebol และภาษาสเปนหรือ
ฝรั่งเศสเรียกคาว่า Indoor เป็นคาว่า SALa เมื่อนามารวมกนั จงึ กลายเป็นคาว่า ฟตุ ซอลกีฬาฟตุ ซอล

30

ถือกาเนดิ ขนึ ้ ในประเทศเเคนาดา เม่ือปี ค.ศ. 1854 (พ.ศ. 2397) เนื่องจากเมื่อยา่ งเข้าหน้าหนาว หิมะ
ตกคลมุ ทว่ั บริเวณ ทาให้นกั กีฬาไมส่ ามารถเลน่ กีฬาฟตุ บอลกลางเเจ้งได้ จงึ หนั มาเลน่ ฟตุ บอลในร่ม โดยใช้
โรงยมิ บาสเกตบอลเป็ นสนามเเขง่ ทาให้ชว่ งนนั้ เรียกกีฬาฟตุ ซอลวา่ Indoor soccer (อินดอร์ซอค
เกอร์) หรือ five a side soccerปี ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) ฮวน คาร์ลอส เซอเรียนี จากเมือง
มอนเตวิเดโอ ประเทศอรุ ุกวยั ได้นากีฬาฟตุ ซอลไปใช้ในสมาคม YMCA (Young Man’s
Christuan Association) โดยใช้สนามบาสเกตบอลในการเลน่ ทงั้ ภายในและภายนอกอาคาร ทา
ให้กีฬา Indoor soccer ได้รับความนิยมมากขนึ ้ เร่ือย ๆปี ค.ศ. 1932 (พ.ศ. 2475) โรเจอร์ เกรน
ได้บญั ญตั ิกฎเพ่ือใช้เป็นมาตรฐานควบคมุ กีฬาชนิดนี ้และใช้มาจนถงึ ทกุ วนั นี ้หลงั จากนนั้ ไมน่ าน กีฬาชนดิ
นีก้ ็เเพร่หลายไปทวั่ โลก เป็นท่ีนยิ มทว่ั ทงั้ ทวีปอเมริกาใต้ ทวีปยโุ รป และแพร่กระจายไปทว่ั โลกปี ค.ศ.
1965 (พ.ศ. 2508) มีการจดั การเเขง่ ขนั ฟตุ ซอลนานาชาตเิ ป็ นครัง้ แรก และประเทศปารากวยั ก็เป็นทีม
ชนะเลศิ ตอ่ จากนนั้ ก็มีการจดั เเขง่ ขนั ในระดบั นานาชาติมาเรื่อย ๆ จนกระทง่ั ปี ค.ศ. 1982 (พ.ศ.
2525) มีการจดั ฟตุ ซอลชิงแชมป์ โลกขนึ ้ ท่ีประเทศบราซิล และเจ้าภาพเองก็เป็นฝ่ ายได้รับชยั ชนะไป จงึ มี
การจดั การแขง่ ขนั อยา่ งไมเ่ ป็ นทางการอีก 2 ครัง้ ในปี ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528) และ ปี ค.ศ. 1988
(พ.ศ. 2531) ท่ีมีประเทศสเปนเเละออสเตรเลียเป็นเจ้าภาพ จนกระทงั่ ปี ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532)
สหพนั ธ์ฟตุ บอลนานาชาติ ได้เข้ามาดแู ลจดั การเเขง่ ขนั ฟุตซอลชิงแชมป์ โลกอยา่ งเป็นทางการ

ประวตั ติ ะกร้อ กีฬาระดบั ภมู ิภาคเอเชีย

ในการแขง่ ขนั กีฬาระดบั ภมู ิภาค หรือทวีปเอเชียอยา่ งซีเกมส์ และเอเช่ียนเกมส์ นบั ได้ว่า เซปัก
ตะกร้อ หรือ ตะกร้อ เป็นกีฬาความหวงั เหรียญทองของประเทศไทยมาอยา่ งยาวนาน และวนั นีเ้ราจะมา
รู้จกั กบั กฎกตกิ าการเล่นตะกร้อคร่าว ๆ กนั

ประวตั เิ ซปักตะกร้อกีฬาเซปักตะกร้อ หรือ ตะกร้อ ยงั ไมม่ ีหลกั ฐานระบทุ ี่แนช่ ดั วา่ มีจดุ กาเนิดจากประเทศ
ใด เพราะประเทศในภมู ภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้อยา่ ง ไทย มาเลเซีย พมา่ ฟิลิปปิ นส์ ตา่ งคนตา่ งบอก
วา่ ตนเองเป็นต้นกาเนดิ ขนึ ้ มาทงั้ นนั้ แตส่ าหรับของไทย มีจดุ เร่ิมต้นตงั้ แตส่ มยั กรุงศรีอยธุ ยา นิยมเลน่ กนั บน
ลานกว้าง ไมจ่ ากดั จานวนผ้เู ลน่ และลกู ตะกร้อทามาจากหวาย หรือบางทีก็มีเตะตะกร้อลอดหว่ ง

31

สาหรับตะกร้อแบบข้ามตาข่ายในปัจจบุ นั ท่ีมีการเลน่ ฝ่ังละ 3 คน นามาจากประเทศมาเลเซีย คือ เซปัก รา
กา จาริง หรือ เซปักตะกร้อ ซึง่ ดดั แปลงมาจากวอลเลย์บอล และยอ่ สนามให้เลก็ ลง โดยท่ีเร่ิมเผยแพร่ใน
ประเทศไทยประมาณเดอื นมีนาคม – เมษายน พ.ศ. 2508 ในงานกีฬาไทย

ประวตั วิ อลเลย์บอล

กีฬาวอลเลย์บอล (Volleyball) นนั้ ถือกาเนิดขนึ ้ ตงั้ แตป่ ี ค.ศ.1895 (พ.ศ.2438) โดย
นายวลิ เลียม จี. มอร์แกน (William G. Morgan) ผ้อู านวยการฝ่ ายพลศกึ ษาของสมาคม
Y.M.C.A. (Young Men’s Christian Association) ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ต้องการมี
กีฬาสาหรับเล่นในชว่ งฤดหู นาวแทนกีฬากลางแจ้ง เพ่ือออกกาลงั กายและพกั ผอ่ นหย่อนใจยามหมิ ะตกโดย
นายวลิ เลียม จี. มอร์แกน เกิดไอเดียในการพฒั นากีฬาวอลเลย์บอลขนึ ้ ขณะที่เขากาลงั นง่ั ดเู ทนนิส และ
เลือกนาเอาตาขา่ ยกลางสนามของกีฬาเทนนสิ มาเป็นสว่ นประกอบในกีฬาที่เขาคดิ ค้น และเลือกใช้ยางใน
ของลกู บาสเก็ตบอล มาเป็นลกู บอลที่ใช้ตีโต้ตอบกนั ไปมา แตย่ างในของลกู บาสเก็ตบอลกลบั ให้นา้ หนกั
เบาจนเกินไป จงึ เปล่ียนไปใช้ลกู บาสเก็ตบอลแทน ซง่ึ ลกู บาสเก็ตบอลก็มีขนาดใหญ่และนา้ หนกั มาก
จนเกินไปอีก เขาจงึ สงั่ ทาลกู บอลขนึ ้ มาใหมโ่ ดยเฉพาะ ในขนาดเส้นรอบวง 25-27 นวิ ้ และกาหนด
นา้ หนกั ไว้ที่ 8-12 ออนซ์ จากนนั้ จงึ ตงั้ ชื่อกีฬาชนิดนีว้ า่ มินโทเนตต์ (Mintonette)

ตอ่ มา ช่ือของ มินโทเนตต์ (Mintonette) ถกู เปล่ียนเป็น วอลเลย์บอล (Volleyball) หลงั ได้รับ
คาแนะนาจาก ศาสตราจารย์ อลั เฟรด ที เฮลสเตด (Professor Alfred T. Helstead) ในงาน
ประชมุ สมั มนาผ้นู าทางพลศกึ ษาท่ีวิทยาลยั สปริงฟิลด์ (Spring-field College) เม่ือปี ค.ศ.1896
(พ.ศ.2439) และกลายเป็ นกีฬายอดนิยมในหมปู่ ระชาชนชาวอเมริกนั จนแพร่หลายออกไปทวั่ โลก
รวมทงั้ มีการปรับปรุงและพฒั นาอยเู่ ป็นระยะ

กตกิ าวอลเลย์บอล

สนามแขง่ ขนั

– จะต้องเป็นพืน้ ไม้หรือพืน้ ปนู ท่ีมีลกั ษณะเรียบ ไมม่ ีสง่ิ กีดขวาง

– เป็นรูปส่ีเหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 9 เมตร ยาว 12 เมตร ความสงู จากพืน้ ประมาณ 7 เมตร มีบริเวณ
โดยรอบหา่ งจากสนามประมาณ 3 เมตร

32

– แตห่ ากเป็นสนามมาตรฐานในระดบั นานาชาติ กาหนดให้รอบสนามหา่ งจากสนามประมาณ 5 เมตร
ด้านหลงั หา่ ง 8 เมตร และมีความสงู 12.5 เมตร
– เส้นรอบสนาม (Boundary lines) ทกุ เส้นจะต้องกว้าง 5 เซนตเิ มตร เป็นสีออ่ นตดั กบั พืน้ สนาม
มองเหน็ ได้ชดั เจน
– เส้นแบง่ เขตแดน (Center line) ท่ีอยตู่ รงกลางสนาม จะต้องอยใู่ ต้ตาขา่ ย หรือตรงกบั เสาตาข่าย
พอดี
ตาขา่ ย
– จะต้องมีความสงู จากพืน้ 2.43 เมตร กว้าง 1 เมตร ยาว 9.5 – 10 เมตร
– ตารางในตาขา่ ยกว้าง 10 เซนตเิ มตร ผ้ตู ดิ ไว้กบั เสากลางสนาม
– ตาขา่ ยสาหรับทีมหญิงสงู 2.24 เมตร
https://sites.google.com/site/kilathukchn/kila-thuk-prapheth

ประเภทของอิเล็กทรอนิกส์
1) หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ หรือแบบตารา (Textbook) หนงั สือ อิเลก็ ทรอนกิ ส์ รูปหนงั สือปกติ

ที่พบเห็นทวั่ ไป หลกั หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์ชนิดนีส้ ามารถกลา่ วได้วา่ เป็นการแปลงหนงั สือจากสภาพ
ส่ิงพิมพ์ปกตเิ ป็นสญั ญาณดจิ ติ อล เพ่ิมศกั ยภาพเดมิ การนาเสนอ การปฏิสมั พนั ธ์ ระหวา่ งผ้อู า่ นหนงั สือ
อีเลก็ ทรอนิกส์ ด้วยศกั ยภาพของคอมพวิ เตอร์ขนั้ พืน้ ฐาน เชน่ การเปิ ดหน้าหนงั สือ การสืบค้น การคดั เลือก
เป็ นต้น

33

2) หนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์แบบหนงั สือเสียงอา่ น (Talking Book ) มีเสียงคาอา่ น เม่ือเปิด
หนงั สือจะมีเสียงอา่ นหนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ประเภทเหมาะสาหรับหนงั สือเดก็ เริ่มเรียน หรือหนงั สือฝึกออก
เสียง หรือ ฝึ กพดู (Talking Book ) เป็นต้น หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์ชนิดนีเ้ป็นการเน้นคณุ ลกั ษณะด้าน
การนาเสนอเนือ้ หาที่เป็นตวั อกั ษรและเสียงเป็นคณุ ลกั ษณะหลกั นยิ มใช้กบั กลมุ่ ผ้อู า่ นที่มีระดบั ลกั ษณะ
ทางภาษาโดยเฉพาะด้านการฟังหรือการอา่ นคอ่ นข้างต่า เหมาะสาหรับการเริ่มต้นเรียนภาษาของเดก็ ๆ
หรือผ้ทู ่ีกาลงั ฝึกภาษาที่สอง หรือฝึกภาษาใหมเ่ ป็ นต้น

3) หนงั สืออิเลก็ ทรอนิกส์แบบหนงั สือภาพน่งิ หรืออลั บมั้ ภาพ (static Picture Book)
เป็นหนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์ ที่มีคณุ ลกั ษณะหลกั เน้นจดั เก็บข้อมลู และนาเสนอข้อมลู ในรูปแบบภาพน่ิง
(static picture) หรืออลั บมั้ ภาพเป็นหลกั เสริมด้วยการนาศกั ยภาพของคอมพิวเตอร์มาใช้ในการ
นาเสนอ เชน่ การเลือกภาพที่ต้องการ การขยายหรือยอ่ ขนาดของภาพของคอมพวิ เตอร์มาใช้ในการ
นาเสนอ เชน่ การเลือกภาพที่ต้องการ การขยายหรือยอ่ ขนาดของภาพหรือตวั อกั ษร การสาเนาหรือการถ่าย
โอนภาพการแตง่ เตมิ ภาพ การเลือกเฉพาะสว่ นของภาพ (cropping) หรือเพมิ่ ข้อมลู เช่ือมโยงภายใน
(Linking information) เชน่ เชื่อมข้อมลู อธิบายเพม่ิ เตมิ เช่ือมข้อมลู เสียงประกอบ

4) หนงั สืออิเลก็ ทรอนกิ ส์แบบหนงั สือภาพเคล่ือนไหว (Moving Picture Book)
เป็นหนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์ที่เน้น การนาเสนอข้อมลู ในรูปแบบภาพวีดีทศั น์ (Video Clips) หรือ
ภาพยนตร์สนั้ ๆ (Films Clips) ผนวกกบั ข้อมลู สนเทศที่อยใู่ นรูปตวั หนงั สือ (Text
Information) ผ้อู า่ นสามารถเลือกชมศกึ ษาข้อมลู ได้ สว่ นใหญ่นิยมนาเสนอข้อมลู เหตกุ ารณ
ประวตั ศิ าสตร์ หรือเหตกุ ารณ์สาคญั เชน่ ภาพเหตกุ ารณ์สงครามโลก ภาพการกล่าวสนุ ทรพจน์ของบคุ คล
สาคญั ๆ ของโลกในโอกาสตา่ งๆ ภาพเหตกุ ารณ์ความสาเร็จหรือสญู เสียของโลกเป็นต้น

5) หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์แบบหนงั สือสื่อประสม (Multimedia Book) เป็นหนงั สือ
อิเล็กทรอนกิ ส์ท่ีเน้นเสนอข้อมลู เนือ้ หาสาระ ในลกั ษณะแบบสื่อประสมระหว่างสื่อภาพ (Visual

34

Media) เป็นทงั้ ภาพนิง่ และภาพเคลื่อนไหวกบั ส่ือประเภทเสียง (Audio Media) ในลกั ษณะตา่ ง ๆ
ผนวกกบั ศกั ยภาพของคอมพิวเตอร์อื่นเชน่ เดยี วกบั หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์อ่ืน ๆ ที่กลา่ วมาแล้ว

6) หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์แบบหนงั สือสื่อหลากหลาย (Polymedia book) เป็นหนงั สือ
อิเลก็ ทรอนกิ ส์ท่ีมีลกั ษณะเช่นเดยี วกบั หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์แบบสื่อประสม แตม่ ีความหลากหลายใน
คณุ ลกั ษณะด้านความเช่ือมโยงระหวา่ งข้อมลู ภายในเลม่ ที่บนั ทกึ ในลกั ษณะตา่ ง ๆ เชน่ ตวั หนงั สือภาพน่ิง
ภาพเคลื่อนไหว เสียงดนตรี และอื่นๆ เป็นต้น

7) หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์แบบหนงั สือเช่ือมโยง ( Hypermedia Book) เป็นหนงั สือท่ีมี
คณุ ลกั ษณะสามารถเชื่อมโยงเนือ้ หาสาระภายในเลม่ (Internal Information Linking) ซง่ึ
ผ้อู า่ นสามารถคลิกเพ่ือเช่ือมไปสเู่ นือ้ หาสาระที่ออกแบบเชื่อมโยงกนั ภายใน การเชื่อมโยงเชน่ นีม้ ี
คณุ ลกั ษณะเชน่ เดียวกบั บทเรียนโปรแกรมแบบแตกกิ่ง ( Branching Programmed
Instruction) นอกจากนีย้ งั สามารถเชื่อมโยงกบั แหลง่ เอกสารภายนอก (External or
Information Sources) เมื่อเช่ือมตอ่ ระบบอินเตอร์เนต็

8) หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์แบบหนงั สืออจั ฉริยะ (Intelligent Electronic Book) เป็น
หนงั สือประสม แตม่ ีการใช้โปรแกรมชนั้ สงู ท่ีสามารถมีปฏิกิริยา หรือ ปฏิสมั พนั ธ์ กบั ผ้อู า่ นเสมือนหนงั สือมี
สตปิ ัญญา (อจั ฉริยะ) ในการไตร่ตรอง หรือคาดคะเนในการโต้ตอบ หรือปฏิกิริยากบั ผ้อู า่ น

9) หนงั สืออเิ ล็กทรอนิกส์แบบส่ือหนงั สือทางไกล (Telemedia Electronic Book) หนงั สือ
อเิ ล็กทรอนกิ ส์ประเภทนีม้ ีคณุ ลกั ษณะหลกั ตา่ งๆ คล้ายกบั Hypermedia Electronic Books
แตเ่ น้นการเช่ือมโยงกบั แหลง่ ข้อมลู ภายนอกผา่ นระบบเครือขา่ ย (Online Information
Sourcess) ทงั้ ท่ีเป็นเครือขา่ ยเปิ ด และเครือข่ายเฉพาะสมาชกิ ของเครือขา่ ย

35

10) หนงั สืออิเล็กทรอนิกส์แบบหนงั สือไซเบอร์สเปซ (Cyberspace book) หนงั สือ
อเิ ล็กทรอนิกส์ประเภทนีม้ ีลกั ษณะเหมือนกบั หนงั สืออิเลก็ ทรอนกิ ส์หลายๆ แบบที่กลา่ วมาแล้วผสมกนั
สามารถเชื่อมโยงแหลง่ ข้อมลู ทงั้ จากแหลง่ ภายในและภายนอกสามารถนาเสนอข้อมลู ในระบบสื่อที่
หลากหลาย สามารถปฏิสมั พนั ธ์กบั ผ้อู า่ นได้หลากหลาย

ข้อจากดั ของหนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์

ถงึ แม้วา่ หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนิกส์จะมีข้อดีที่สนบั สนนุ ด้านการเรียนการสอนมากมาย แตย่ งั มีข้อจากดั ด้วย
ดงั ตอ่ ไปนี ้

1. คนไทยสว่ นใหญ่ยงั คงชินอยกู่ บั ส่ือที่อยใู่ นรูปกระดาษมากกวา่ อีกทงั้ หนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์ ยงั ไม่
สามารถใช้งานได้งา่ ยเม่ือเทียบกบั สื่อสิง่ พมิ พ์ และความสะดวกในการอา่ นก็ยงั น้อยกวา่ มาก

2. หากโปรแกรมสื่อมีขนาดไฟล์ใหญ่มากๆ จะทาให้การเปล่ียนหน้าจอมีความลา่ ช้า

3. การสร้างหนงั สืออิเล็กทรอนกิ ส์เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพที่ดี ผ้สู ร้างต้องมีความรู้ และความชานาญในการ
ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์และการสร้างส่ือดพี อสมควร

4. ผ้ใู ช้สื่ออาจจะไมใ่ ชผ่ ้สู ร้างส่ือ ฉะนนั้ การปรับปรุงส่ือจึงทาได้ยากหากผ้สู อนไมม่ ีความรู้ด้านโปรแกรม
คอมพิวเตอร์

5. ใช้เวลาในการออกแบบมากเพราะต้องใช้ทกั ษะในการออกแบบเป็นอยา่ งดีเพื่อให้ได้สื่อท่ีมีคณุ ภาพ

ผ้ผู ลิตสามารถเลือกสร้าง E-Books ได้ 4 รูปแบบ คือ

Hyper Text Markup Language (HTML)
Portable Document Format (PDF)
Peanut Markup Language (PML)
Extensive Markup Language (XML)
ซง่ึ รายละเอียดของไฟล์แตล่ ะประเภทจะมีดงั นี ้

36

1. HTML : เป็นรูปแบบที่ได้รับความนยิ มสงู สดุ HTML เป็นภาษามาร์กอปั ออกแบบมาเพื่อใช้ในการ
สร้างเวบ็ เพจ หรือข้อมลู อื่นท่ีเรียกดผู ่านทางเว็บ Browser เร่ิมพฒั นาโดย ทิม เบอร์เนอรส์ ลี(Tim
Berners Lee) สาหรับภาษา SGML ในปัจจบุ นั HTML เป็นมาตรฐานหนง่ึ ของ ISO ซงึ่ จดั การ
โดย World Wide Web Consortium (W3C) ในปัจจบุ นั ทาง W3C ผลกั ดนั รูปแบบของ
HTML แบบใหมท่ ่ีเรียกวา่ XHTML ซง่ึ เป็นลกั ษณะของโครงสร้าง XML แบบหนงึ่ ที่มีหลกั เกณฑ์ใน
การกาหนดโครงสร้างของโปรแกรมที่มีรูปแบบท่ีมาตรฐานกวา่ มาทดแทนใช้ HTML รุ่น 4.01 ท่ีใช้กนั
อยใู่ นปัจจบุ นั

HTMLยงั คงเป็นรูปแบบไฟล์อยา่ งหนง่ึ สาหรับ .html และ สาหรับ .htm ท่ีใช้ใน
ระบบปฏิบตั กิ ารท่ีรองรับ รูปแบบนามสกลุ 3 ตวั อกั ษร

2. PDF : ไฟล์ประเภท PDF หรือ Portable Document Format ถกู พฒั นาโดย
Adobe System Inc เพ่ือจดั เอกสารให้อยใู่ นรูปแบบที่เหมือนเอกสารพร้อมพิมพ์ ไฟล์ประเภทนี ้
สามารถใช้งานได้ในระบบปฏิบตั กิ ารจานวนมากและรวมถงึ อปุ กรณ์ E-Book Reader ของ
Adobe ด้วยเชน่ กนั และยงั คงลกั ษณะเอกสารเหมือนต้นฉบบั เอกสารในรูปแบบ PDF สามารถจดั เก็บ
ตวั อกั ษร รูปภาพ รูปลายเส้น ในลกั ษณะเป็นหน้าหนงั สือ ตงั้ แตห่ นง่ึ หน้า หรือหลายพนั หน้าได้ในแฟ้ ม
เดียวกนั PDF เป็นมาตรฐานท่ีเปิดให้คนอื่นสามารถเขียนโปรแกรมมาทางานร่วมกบั PDF ได้ การใช้งาน
แฟ้ มแบบ PDF เหมาะสมสาหรับงานท่ีการแสดงผลให้มีลกั ษณะเดยี วกนั กบั ต้นฉบบั ซงึ่ แตกตา่ งกบั การ
ใช้งานรูป Browser แบบอ่ืน เชน่ HTML การแสดงผลของ HTML จะแตกตา่ งกนั ออกไป ขนึ ้ อย่กู บั
โปรแกรมที่ใช้ และจะแสดงผลตา่ งกนั ถ้าใช้คอมพิวเตอร์ตา่ งกนั

3. PML : พฒั นาโดย Peanut Press เพื่อใช้สาหรับสร้าง E-Books โดยเฉพาะ อปุ กรณ์
พกพาตา่ งๆ ท่ีสนบั สนนุ ไฟล์ประเภท PML นีจ้ ะสนบั สนนุ ไฟล์นามสกลุ .pdb ด้วย

4. XML : สาหรับการใช้งานทวั่ ไป พฒั นาโดย W3C โดยมีจดุ ประสงคเ์ พ่ือเป็น สิ่งท่ีเอาไว้
ตดิ ตอ่ กนั ในระบบที่มีความแตกตา่ งกนั (เชน่ ใช้คอมพวิ เตอร์ม่ีมีระบบปฏิบตั กิ ารคนละตวั หรืออาจจะเป็น
คนละโปรแกรมประยกุ ต์ที่มีความต้องการสื่อสารข้อมลู ถึงกนั )และเพ่ือเป็นพืน้ ฐานในการสร้างภาษา
มาร์กอปั เฉพาะทางอีกขนั้ หน่งึ XML พฒั นามาจาก SGML โดยดดั แปลงให้มีความซบั ซ้อนลดน้อยลง
XML ใช้ในแลกเปล่ียนข้อมลู ระหวา่ งเครื่องคอมพวิ เตอร์ที่แตกตา่ งกนั และเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมลู ผา่ น

37

อินเทอร์เนต็ XMLยงั เป็นภาษาพืน้ ฐานให้กบั ภาษาอื่นๆ อีกด้วย (ยกตวั อยา่ งเชน่ Geography
Markup Language (GML), RDF/XML, RSS, MathML, Physical Markup
Language (PML), XHTML, SVG, MusicXML และ cXML) ซง่ึ อนญุ าตให้โปรแกรม
แก้ไขและทางานกบั เอกสารโดยไมจ่ าเป็นต้องมีความรู้ในภาษานนั้ มาก่อน

e-Book Software คอื โปรแกรมท่ีใช้ในการสร้าง และอา่ น e-Book โดยปกตนิ ิยมทาเป็น
โปรแกรมชดุ ท่ีประกอบด้วยโปรแกรมสร้าง (e-Book Editor หรือe-Book Builder) และ
โปรแกรมอา่ น (e-Book Reader) แยกจากกนั เพื่อความสะดวกและเหมาะสมในการสร้าง และอา่ น
e-Book
โปรแกรมท่ีนิยมใช้สร้าง e-Book มีอยหู่ ลายโปรแกรม แตท่ ่ีนิยมใช้กนั มากในปัจจบุ นั ได้แก่

1. โปรแกรมชดุ FilpAlbum

2. โปรแกรม DeskTop Author

3. โปรแกรม Flip Flash Album

https://sites.google.com/site/kruchonthicha2/prapheth-khxng-hnangsux-hnangsux-xilekthrxniks


Click to View FlipBook Version