1.ความหมายและหลักการของระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศเป็นการท างานเกี่ยวกับข้อมูลและสารสนเทศ อย่างเป็นล าดับขั้นตอนจนท าให้เกิดระบบสารสนเทศขึ้น ข้อมูล สารสนเทศ และระบบสารสนเทศมีความหมาย ดังนี้ ข้อมูล (Data) คือ ขอเท็จจริงที่ได้จากการรวบรวมข้อมูล ซึ่งมี ทั้งที่อยู่ในรูปแบบตัวอักษร, ข้อความ, ตัวเลข, เสียง รูปภาพ และ ภาพเคลื่อนไหว สารสนเทศ (Information) คือ ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล เพื่อ น าไปใช้ในการตัดสินใจ เช่น เกรดเฉลี่ยของนักเรียน,ยอดขาย ประจ าเดือน และ สถิติการขาดงาน ระบบสารสนเทศ (Information System) คือ ระบบที่สามารถ จัดการข้อมูลตั้งแต่การรวบรวมและตรวจสอบข้อมูล การประมวลผล ข้อมูล รวมถึงการดูแลรักษาข้อมูลเพื่อให้ได้สารสนเทศที่ถูกต้องและทัน ต่อความต้องการของผู้ใช้ และผู้ใช้สามารถน าสารสนเทศที่ได้ไป ประกอบการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คลิบวิดีโอ เรื่อง ข้อมูลและสารสนเทศ แหล่งที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=w_B5Khw8_wk กระบวนการท างานของระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศประกอบด้วยกระบวนการท างานหลักๆ ดังต่อไปนี้ 1.การน าเข้าข้อมูล (Input) เป็นการน าข้อมูลดิบ (Data) ที่ได้ จากการเก็บรวบรวมเข้าสู่ระบบ เพื่อน าไปประมวลผลให้เป็นสารสนเทศ เช่น การบันทึกการขายรายวัน,บันทึกคะแนนเก็บของนักเรียน ฯลฯ 2.การประมวลผลข้อมูล (Process) เป็นการคิด ค านวณ หรือ เปลี่ยนแปลงข้อมูลดิบให้เป็นสารสนเทศ อาจท าได้ด้วยการเรียงล าดับ การค านวณ การจัดรูปแบบ และการเปรียบเทียบตัวอย่างการประมวลผล เช่น การค านวณรายได้ของผู้ปกครอง การนับจ านวนวันหยุดราชการ บนปฏิทิน ฯลฯ 3.การแสดงผล (Output) เป็นการน าผลลัพธ์ที่ได้จากการ ประมวลผลมาแสดงในรูปแบบที่ผู้ใช้ต้องการ เพื่อส่งเสริมหรือช่วยใน การตัดสินใจ
4.การจัดเก็บข้อมูล (Storage) เป็นการจัดเก็บข้อมูลดิบหรือ สารสนเทศทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับระบบสารสนเทศ เนื่องจากการน า ข้อมูลดิบเข้าสู่ระบบมีการจัดเก็บจนถึงระยะยาวระยะหนึ่งแล้วจึงน าไป ประมวลผล ภาพแสดงกระบวนการประมวลของข้อมูลในระบบสารสนเทศ องค์ประกอบของระบบสารสนเทศ
องค์ประกอบที่ส าคัญของระบบสารสนเทศมี 5 ส่วนคือ 1. ฮาร์ดแวร์(เครื่องจักรอุปกรณ) ์ 2. ซอฟต์แวร์ 3. ข้อมูล 4. บุคลากร 5.ขั้นตอนการปฏิบัติงาน ส่วนประกอบทั้งห้าส่วนนี้ท าให้เกิดสารสนเทศได้ หากขาด ส่วนประกอบใด หรือส่วนประกอบใดไม่สมบูรณ์ ก็อาจท าให้ระบบ สารสนเทศ ไม่สมบูรณ์ เช่น ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ไม่เหมาะสมกับงาน ก็ จะท าให้งานล่าช้า ไม่ทันต่อการใช้งาน การด าเนินการระบบสารสนเทศ จึงต้องให้ความส าคัญ กับส่วนประกอบทั้งห้านี้ 1. ฮาร์ดแวร์ (Hardware) หมายถึง เครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็น เครื่องมือที่ช่วยในการจัดการสารสนเทศ คอมพิวเตอร์ช่วยประมวลผล คัดเลือก ค านวณ หรือพิมพ์รายงาน ผลตามที่ต้องการ คอมพิวเตอร์เป็น อุปกรณ์ที่ท างานได้รวดเร็ว มีความแม่นย าในการท างาน และท างานได้ ต่อเนื่อง คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่างๆ สามารถแบ่งเป็น 3 หน่วย คือ
- หน่วยรับข้อมูล (Input unit) ได้แก่ แป้นพิมพ์ เมาส์ ไมโครโฟน - หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) - หน่วยแสดงผล (Output unit) ได้แก่ จอภาพ ล าโพง เครื่องพิมพ์
2. ซอฟต์แวร์ (Software) คือล าดับขั้นตอนค าสั่งให้เครื่อง คอมพิวเตอร์ ท างานตามวัตถุประสงค์ที่วางไว้ ซอฟต์แวร์ จึงหมายถึง ชุดค าสั่งที่เรียง เป็นล าดับขั้นตอนสั่งให้คอมพิวเตอร์ท างานตามต้องการ และประมวลผลเพื่อให้ได้สารสนเทศที่ต้องการ ซอฟต์แวร์หรือชุดค าสั่ง คอมพิวเตอร์ แบ่งออกเป็น 2ประเภท คือ - ซอฟต์แวร์ระบบ คือ ซอฟต์แวร์ที่ใช้จัดการกับระบบ คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่ในระบบ เช่น ระบบปฏิบัติการ วินโดว์ส ระบบปฏิบัติการดอส ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ - ซอฟต์แวร์ประยุกต์ ซอฟต์แวร์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อใช้งานด้าน ต่างๆ ตามความต้องการของผู้ใช้ เช่น ซอฟต์แวร์กราฟิกซอฟต์แวร์ ประมวลค า ซอฟต์แวร์ตารางท างาน 3. ข้อมูล (Data) เป็นวัตถุดิบที่ท าให้เกิดสารสนเทศ ข้อมูลที่ เป็นวัตถุดิบจะต่างกัน ขึ้นกับสารสนเทศที่ต้องการ เช่น ในสถานศึกษา มักจะต้องการ สารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลนักเรียน ข้อมูลผลการ
เรียน ข้อมูลอาจารย์ข้อมูลการใช้จ่ายต่าง ๆ ข้อมูลเป็นสิ่งที่ส าคัญ ประการหนึ่งที่มีบทบาทต่อการให้เกิด สารสนเทศ 4. บุคลากร (Peopleware) เป็นส่วนประกอบที่ส าคัญ เพราะ บุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถ และเข้าใจวิธีการให้ได้มาซึ่ง สารสนเทศ จะเป็นผู้ด าเนินการ ในการท างานทั้งหมด บุคลากรจึงต้องมี ความรู้ความเข้าใจในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ บุคลากรภายใน องค์กรเป็นส่วนประกอบที่จะท าให้เกิด ระบบสารสนเทศด้วยกันทุกคน เช่น ร้านขายสินค้าแห่งหนึ่ง บุคลากรที่ด าเนินการในร้านค้าทุกคน ตั้งแต่ผู้จัดการถึงพนักงานขาย เป็นส่วนประกอบที่จะท าให้เกิด สารสนเทศได้ 5. ขั้นตอนการปฏิบัติงาน (Procedure) ขั้นตอนการปฏิบัติงาน เป็นระเบียบวิธีการปฏิบัติงานในการจัดเก็บรักษาข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบ ที่จะท าให้เป็นสารสนเทศได้ เช่น ก าหนดให้ มีการป้อนข้อมูลทุกวัน ป้อนข้อมูลให้ทันตามก าหนดเวลา มีการแก้ไขข้อมูลให้ถูกต้องอยู่เสมอ ก าหนดเวลาในการประมวลผล การท ารายงาน การด าเนินการ ต่าง ๆ ต้องมีขั้นตอน หากขั้นตอนใดมีปัญหาระบบก็จะมีปัญหาด้วย เพราะทุก ขั้นตอนมีผลต่อระบบสารสนเทศ
ประเภทของระบบสารสนเทศ ระบบสารสนเทศสามารถจ าแนกได้ตามลักษณะการด าเนินงานได้ดังนี้ 1.ระบบสารสนเทศแบบประมวลรายการ (TPS : Transaction Processing Systems) เป็นระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับการบันทึกและ ประมวลข้อมูลที่เกิดจาก ธุรกรรมหรือการปฏิบัติงานประจ าหรืองานขั้น พื้นฐานขององค์การ เช่น การซื้อขายสินค้า การบันทึกจ านวนวัสดุคง คลัง เมื่อใดก็ตามที่มีการท าธุรกรรมหรือปฏิบัติงานในลักษณะดังกล่าว ข้อมูลที่เกี่ยวข้องจะเกิดขึ้นทันที เช่น ทุกครั้งที่มีการขายสินค้า ข้อมูลที่ เกิดขึ้นก็คือ ชื่อลูกค้า ประเภทของลูกค้า จ านวนและราคาของสินค้าที่ ขายไป รวมทั้งวิธีการช าระเงินของลูกค้า 2.ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (MIS : Management Information System) คือระบบที่ให้สารสนเทศ ที่ผู้บริหารต้องการ เพื่อให้สามารท างาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยจะรวมทั้งสารสนเทศ ภายในและภายนอกสารสนเทศที่เกี่ยวพันกับองค์กรทั้งในอดีตและ ปัจจุบัน นอกจากนี้ระบบนี้จะต้องให้สารสนเทศในช่วงเวลาที่เป็น ประโยชน์ เพื่อให้ผู้บริหารสามารถตัดสินใจในการวางแผนการควบคุม และการปฏิบัติการขององค์กรได้อย่าง ถูกต้อง แม้ว่าผู้บริหารที่จะได้รับ ประโยชน์จากระบบนี้สูงสุดคือผู้บริหารระดับกลาง แต่โดยพื้นฐานของ ระบบนี้แล้วจะเป็นระบบที่สามารถสนับสนุนข้อมูลให้ผู้บริหารทั้งสาม ระดับ คือทั้งผู้บริหารระดับต้น ผู้บริหารระดับกลางและผู้บริหารระดับสูง โดยระบบนี้จะให้รายงานที่สรุปสารสนเทศซึ่งรวบรวมจากฐานข้อมูล ทั้งหมดของบริษัท
3.ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ (DSS : Decision Support System) เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นจากระบบ MIS อีกระดับหนึ่ง เนื่องจาก ถึงแม้ว่าผู้ที่มีหน้าที่ในการตัดสินใจจะสามารถใช้ประสบการณ์หรือใช้ ข้อมูลที่มีอยู่แล้วในระบบเอ็มไอเอส ของบริษัท ส าหรับท าการตัดสินใจ ได้อย่างมีประสิทธิภาพในงานปกติ แต่บ่อยครั้งที่ผู้ตัดสินใจ โดยเฉพาะ อย่างยิ่งผู้บริหารในระดับสูงและระดับกลางจะเผชิญกับการตัดสินใจที่ ประกอบด้วยปัจจัยที่ซับซ้อนเกินกว่าความสามารถของมนุษย์ที่จะ ประมวล เข้าด้วยกันได้อย่างถูกต้องจัก ท าให้เกิดระบบนี้ขึ้น ซึ่งเป็น ระบบที่สนับสนุนความต้องการเฉพาะของผู้บริหารแต่ละคน (made by order) ในหลายๆสถานะการณ์ ระบบ นี้มีหน้าที่ช่วยให้การตัดสินใจ เป็นไปได้อย่างสะดวก 4.ระบบสนับสนุนการตัดสินใจแบบกลุ่ม (GDSS : Group Decision Support System) เป็นระบบย่อยหนึ่งในระบบสารสนเทศ เพื่อการจัดการ โดยที่ระบบสนับสนุนการตัดสินใจจะช่วยผู้บริหารใน เรื่องการตัดสินใจในเหตุการณ์หรือกิจกรรมทางธุรกิจที่ไม่มีโครงสร้าง แน่นอน หรือกึ่งโครงสร้าง ระบบสนับสนุนการตัดสินใจอาจจะใช้กับ บุคคลเดียวหรือช่วยสนับสนุนการตัดสินใจเป็นกลุ่ม นอกจากนั้น ยังมี ระบบสนับสนุนผู้บริหารเพื่อช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ 5.ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS : Geographic Information System) ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ หรือ Geographic Information System : GIS คือกระบวนการท างานเกี่ยวกับข้อมูลในเชิงพื้นที่ด้วย ระบบคอมพิวเตอร์ ที่ใช้ก าหนดข้อมูลและสารสนเทศ ที่มีความสัมพันธ์ กับต าแหน่งในเชิงพื้นที่ เช่น ที่อยู่ บ้านเลขที่ สัมพันธ์กับต าแหน่งใน แผนที่ ต าแหน่ง เส้นรุ้ง เส้นแวง ข้อมูลและแผนที่ใน GIS เป็นระบบ ข้อมูลสารสนเทศที่อยู่ในรูปของตารางข้อมูล และฐานข้อมูลที่มีส่วน สัมพันธ์กับข้อมูลเชิงพื้นที่ (Spatial Data) ซึ่งรูปแบบและความสัมพันธ์ ของข้อมูลเชิงพื้นที่ทั้งหลาย จะสามารถน ามาวิเคราะห์ด้วย GIS และท า ให้สื่อความหมายในเรื่องการเปลี่ยนแปลงที่สัมพันธ์กับเวลาได้ เช่น การ
แพร่ขยายของโรคระบาด การเคลื่อนย้าย ถิ่นฐาน การบุกรุกท าลาย การเปลี่ยนแปลงของการใช้พื้นที่ ฯลฯ ข้อมูลเหล่านี้ เมื่อปรากฏบนแผน ที่ท าให้สามารถแปลและสื่อความหมาย ใช้งานได้ง่าย 6.ระบบสารสนเทศเพื่อผู้บริหารระดับสูง (EIS : Excutive Information System) เป็นระบบที่สร้างขึ้น เพื่อสนับสนุน สารสนเทศ และการตัดสินใจส าหรับผู้บริหารระดับสูงโดยเฉพาะ หรือ สามารถกล่าว ได้ว่าระบบนี้คือส่วนหนึ่งของ DSS ที่แยกออกมา เพื่อเน้นการให้ สารสนเทศที่ส าคัญต่อการบริการแก่ผู้บริหาร 7. ปัญญาประดิษฐ์ (AI : Artificial Intelligence) ระบบที่ท าให้ เครื่องคอมพิวเตอร์กลายเป็นผู้ช านาญการณ์ ในสาขาใดสาขาหนึ่ง คล้ายกับมนุษย์ ระบบผู้เชี่ยวชาญมีส่วนคล้ายคลึงกับระบบอื่นๆ คือเป็น ระบบคอมพิวเตอร์ที่ช่วยผู้บริหารแก้ไขปัญหาหรือท าการ ตัดสินใจได้ดี ขึ้น อย่างไรก็ดีระบบผู้เชี่ยวชาญจะแตกต่างกับระบบอื่นอยู่มาก เนื่องจากระบบผู้เชี่ยวชาญจะเกี่ยวข้องกับการจัดการ ความรู้ (Knowledge) มากกว่าสารสนเทศ และถูกออกแบบให้ช่วยในการ ตัดสินใจโดยใช้วิธีเดียวกับผู้เชี่ยวชาญที่ มนุษย์ โดยใช้หลักการท างาน ด้วยระบบ ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) 8.ระบบส านักงานอัตโนมัติ (OAS : Office Automation System) เป็นระบบที่ใช้บุคลากรน้อยที่สุด โดยอาศัยเครื่องมือแบบ อัตโนมัติและระบบสื่อสารเชื่องโยงข่าวสารระหว่างเครื่องมือเหล่านั้นเข้า ด้วยกัน QAS มีจุดมุ่งหมายให้เป็นระบบที่ไม่ใช้กระดาษ (Paperless System) ส่งข่าว สารถึงกันด้วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Data Interchange) แทน ซึ่งมีรูปแบบในการใช้งาน 2 ลักษณะคือ รูปแบบของระบบงานพิมพ์และการประมวลผลทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Publishing & Processing System) ได้แก่การสื่อสาร
ด้วยข้อความ รูปภาพ จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Mail : EMail) โทรสาร (FAX)หรือ เสียงอิเล็กทรอนิกส์ (Voice Mail) เป็นต้น รูปแบบการประชุมทางไกลด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Meeting System) เป็นเทคนิคที่ท าให้กลุ่มคนทั่วโลกสามารถ ติดต่อสื่อสารกันได้ คล้ายการพูดคุยกันโดยตรง เช่น การประชุม ทางไกลแบบมีแต่เสียง (Audio Conferencing),การประชุมทางไกล แบบมีทั้งภาพและเสียง (Video Conferencing) หรือ ทั้งจดหมาย อิเล็กทรอนิกส์ โทรสาร และ เสียงอิเล็กทรอนิกส์รวมกัน เป็นต้น
ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง การน าความรู้ด้าน วิทยาศาสตร์มาประยุกต์ในการพัฒนาเครื่องมือ เครื่องใช้ อุปกรณ์ วิธีการและกระบวนการต่างๆ เพื่อให้การด ารงชีวิตของมนุษย์ง่ายและ สะดวกยิ่งขึ้น สารสนเทศ (Information) หมายถึง ผลลัพธ์ที่เกดจากการน า ข้อมูลมาผ่านกระบวนการต่างๆ อย่างมีระบบ เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology : IT) หมายถึง การน าความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้เพื่อสร้าง หรือจัดการสารสนเทศอย่างเป็นระบบและรวดเร็ว โดยอาศัยเทคโนโลยี ทางด้านคอมพิวเตอร์ คลิบวิดีโอ เรื่อง เทคโนโลยีสารสนเทศ แหล่งที่มา : https://www.youtube.com/watch?v=WtWf5B0p8rA ประเภทของเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศที่มีอยู่ในโลก ณ ปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้ เป็น 4 ประเภท คือ 1. เทคโนโลยีด้านการรับข้อมูล (Sensing Technology) เป็น อุปกรณ์ที่ช่วยให้เราสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลข่าวสารที่อยู่รอบตัวเรา แล้วเปลี่ยนให้อยู่ในรูปแบบที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ อุปกรณ์ เหล่านี้ได้แก่ เครื่องแสกนภาพ(image scanners) เครื่องอ่านรหัสแถบ (bar code scanners) และ อุปกรณ์รับสัญญาณ(Sensors) เป็นต้น
2. เทคโนโลยีการสื่อสาร (Communication Technology) เช่น โทรสาร โทรศัพท์ไร้สาย เครือข่ายท้องถิ่น (LAN) 3. เทคโนโลยีวิเคราะห์ (Analyzing Technology) ได้แก่ คอมพิวเตอร์ต่างๆ ทั้งส่วนที่เป็น Hardware และ Software 4. เทคโนโลยีการแสดงผล (Display Technology) เช่น จอภาพ เครื่องพิมพ์ โปรเจคเตอร์ ประโยชน์และตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 1. ด้านการศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารถูก น ามาใช้เพื่ออ านวยความสะดวกในการบริหารด้านการบริหารด้าน การศึกษา เช่น ระบบการลงทะเบียน และระบบการจัดตารางสอน นอกจากนี้ยังใช้เป็นเครื่องมือในการเพิ่มโอกาสทางด้านการศึกษาและ เพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอน
2. ด้านการแพทย์และสาธารณสุข เทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารถูกน ามาใช้เริ่มตั้งแต่การท าทะเบียนคนไข้ การ รักษาพยาบาลทั่วไป ตลอดจนการวินิจฉัยและรักษาโรคต่างๆได้อย่าง รวดเร็วและแม่นย า นอกจากนี้ยังใช้ในห้องทดลอง การศึกษาและการ วิจัยทางการแพทย์ งานศึกษาโมเลกุลสารเคมี สามารถค้นคว้าข้อมูลทาง การแพทย์ รักษาคนไข้ด้วยระบบการรักษาทางไกลตลอดเวลาผ่าน เครือข่ายการสื่อสาร เครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า อีเอ็มไอ สแกนเนอร์ (EMI scanner) ถูกน ามาถ่ายภาพสมองมนุษย์เพื่อตรวจหา ความผิดปกติในสมอง
3. ด้านการเกษตรและอุตสาหกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศและ การสื่อสารถูกน ามาใช้ประโยชน์ในด้านเกษตรกรรม เช่น การจัดท า ระบบข้อมูลเพื่อการเกษตรและพยากรณ์ผลผลิตด้านการเกษตร นอกจากนี้ยังช่วยพัฒนาความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรม การ ประดิษฐ์หุ่นยนต์เพื่อใช้ท างานบ้าน และหุ่นยนต์เพื่องานอุตสาหกรรมที่ ต้องเสี่ยงภัยและเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เฃ่น โรงงานสารเคมี โรงผลิต และการจ่ายไฟฟ้า รวมถึงงานที่ต้องท าซ้ าๆ 4. ด้านการเงินธนาคาร เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ถูกน ามาใช้ในด้านการเงินและการธนาคาร โดยใช้ช่วยด้านการบัญชี การฝากถอนเงิน โอนเงิน บริการสินเชื่อ และเปลี่ยนเงินตรา บริการ ข่าวสารธนาคาร การใช้คอมพิวเตอร์ด้านการเงินการธนาคารที่รู้จักและ นิยมใช้กันทั่วไป เช่น บริการฝากถอนเงิน การโอนเงินแบบ อิเล็กทรอนิกส์
5. ด้านความมั่นคง มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารกันอย่างแพร่หลาย เช่น ใช้ในการควบคุมประสานงานวงจร สื่อสารทหาร การแปลรหัสลับในงานจารกรรมระหว่างประเทศ การส่ง ดาวเทียมและการค านวณวิถีโคจรของจรวดไปสู่อวกาศ ส านักงาน ต ารวจแห่งชาติของประเทศไทยมีศูนย์ประมวลข่าวสาร มีระบบจัดท า ทะเบียนปืน ทะเบียนประวัติอาชญากร ท าให้เกิดความสะดวกและ รวดเร็วในการสืบค้นข้อมูลเพื่อการสืบสวนคดีต่างๆ
6. ด้านการคมนาคม มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสารในส่วนที่เกี่ยวกับการเดินทาง เช่น การเดินทางโดยรถไฟ มีการ เชื่อมโยงข้อมูลการจองที่นั่งไปยังทุกสถานี ท าให้สะดวกต่อผู้โดยสาร การเช็คอินของสายการบิน ได้จัดท าเครื่องมือที่สะดวกต่อลูกค้า ใน รูปแบบของการเช็คอินด้วยตนเอง
7. ด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม มีการใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารในการออกแบบ หรือจ าลองสภาววการณ์ ต่างๆ เช่น การรับแรงสั่นสะเทือนของอาคารเมื่อเกิดแผ่นดิวไหว โดย การค านวณและแสดงภาพสถานการณ์ใกล้เคียงความจริง 8 ด้านการพาณิชย์องค์กรในภาคธุรกิจใช้ประโยชน์จาก เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการบริหารจัดการ เพื่อช่วยเพิ่ม ความยืดหยุ่นให้กับองค์กรในการท างาน ท าให้การประสานงานหรือ การท ากิจกรรมต่างๆ ของแต่ละหน่วยงานในองค์กรหรือระหว่างองค์กร เป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้ปรับปรุง การให้บริการกับลูกค้าทั่วไป สิ่งเหล่านี้นับเป็นการสร้างโอกาสความ ได้เปรียบในการแข่งขันให้กับองค์กร
แนวโน้มการใช้งานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 1. ด้านอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เมื่อ พิจารณาเครือข่ายการสื่อสารทั่วไปจากอดีตจนถึงปัจจุบัน เห็นได้ชัดว่า มนุษย์ใช้อุปกรณ์การสื่อสารแบบพกพามากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากวิทยุเรียก ตัว (pager) ซึ่งเป็นเครื่องรับข้อความ มาเป็นถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่ อุปกรณ์สื่อสารชนิดนี้ได้ถูกพัฒนาจนสามารถใช้งานด้านอื่นๆได้ นอกจากการพูดคุยธรรมดา โทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นใหม่สามารถใช้ถ่ายรูป ฟังเพลง ฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ บันทึกข้อมูลสั้นๆ บางรุ่นมีลักษณะเป็น เครื่องช่วยงานส่วนบุคคล (Personal Digital Assistant : PDA) ซึ่ง สามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ อีกทั้งยังมีหน้าจอแบบสัมผัส ท าให้ สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น บางรุ่นมีอุปกรณ์สไตลัส (stylus)
2. ด้านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระบบเครื่องข่าย คอมพิวเตอร์ในอดีตมังเป็นระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อ ตรงโดยจุดเดียว (stand alone) ต่อมามีการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้า ด้วยกันภายในองค์กร เพื่อท าให้สามารถใช้ข้อมูลร่วมกัน หรือใช้ เครื่องพิมพ์ร่วมกัน จนเกิดเป็นระบบรับและให้บริการ หรือที่เรียกว่า ระบบรับ-ให้บริการ (client-server system) โดยมีเครื่องให้บริการ (server) และเครื่องรับบริการ (client) การให้บริการบนเว็บก็น า หลักการของระบบรับ-ให้บริการมาใช้ช่วยให้การท างานง่ายขึ้น สะดวก รวดเร็ว เพราะสามารถท างานจากที่ใดก็ได้โดยผ่านระบบอินเตอร์เน็ต โดยมีเว็บเซอร์เวอร์ (web server) เป็นเครื่องให้บริการ 3. ด้านเทคโนโลยีระบบท างานอัตโนมัติที่สามารถตัดสินใจได้ เองจะเข้ามาแทนที่มากขึ้น เช่น ระบบแนวน าเส้นทางจราจร ระบบจอด รถ ระบบตรวจหาต าแหน่งของวัตถุ ระบบควบคุมความปลอดภัยภายใน อาคาร ระบบที่ท างานอัตโนมัติเช่นนี้ อาจกลายเป็นระบบหลักในการ ด าเนินการของหน่วยงานต่่างๆ โดยเข้ามาแทนที่การท างานของมนุษย์ มีการเชื่อมต่ออย่างกว้างขวางไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมากกว่าที่ เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ความเปลี่ยนแปลงจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ความก้าวหน้าของอุปกรณ์เทคโนโลยีสารสรเทศและการสื่อสาร เป็นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อนสนองความต้องการด้านต่างๆ ของผู้ใช้ ปัจจุบันซึ่งมีจ านวนผู้ใช้งานเทคโนโลยีสารสรเทศและการสื่อสารทั่ว โลกประมาณพันล้านคน และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทุกปี ผู้ใช้สามารถใช้งาน อุปกรณ์ดังกล่าวได้ทุกที่ ทุกเวลา จึงท าให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้าน ต่างๆทั้งที่่เกิดประโยชน์และโทษ เช่น 1. ด้านสังคม สภาพเสมือนจริง การใช้อินเตอร์เน็ตเชื่อมโยงการ ท างานต่างๆ จนเกิดเป็นสังคมที่ติดต่อผ่านทางอินเตอร์เน็ต หรือที่ รู้จักกีนว่า ไซเบอรฺ์สเปช (cyber space) ซึ่งมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การ พูดคุย การชื้อสินค้า และบริการ การท างานผ่านเครื่อข่ายคอมพิวเตอร์ ท าให้เกิดสภาพที่เสมือนจริง (virtual) เช่น เกมส์เสมือนจริง ห้องเรียน เสมือนจริง ซึ่งท าให้ลดเวลาในการเดินทางและสามารถใช้งานได้ทุกที่ ทุกเวลา
2. ด้านเศรษฐกิจ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารส่งผลให้ เกิดสังคมโลกาภิวัตน์(globalization) เพราะสามารถชมข่าว ชมรายการโทรทัศน์ที่ส่งกระจายผ่านดาวเทียมของประเทศต่างๆ ได้ทั่ว โลก สามารถรับรู้ข่าวสารได้ทันที ใช้อินเทอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสาร ระหว่างกัน ระบบเศรษฐกิจซึ่งแต่เดิมมีขอบเขตจ ากัดภายในประเทศ ก็ กระจายเป็นเศรษฐกิจโลก เกิดกระแสการหมุนเวียนแลกเปลี่ยนสินค้า และบริการอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ระบบเศรษฐกิจของทุกประเทศ ในโลกจึงเชื่อมโยงและผูกพันกันมากขึ้น 3. ด้านสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มี ประโยชน์ในด้านธรรมชาติและและสิ่งแวดล้อม เช่น ระบบป้องกันการ กัดเซาะชายฝั่ง โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียม หรือภาพถ่ายทางอากาศ ร่วมกับการจัดเก็บรักษาข้อมูลระดับน้ าทะเล ความสูงของคลื่นจากระบบ เรดาร์ เป็นการศึกษาเพื่อหาสาเหตุ และน าข้อมูลมาวางแผนและสร้าง ระบบเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งแต่ละแห่งได้อย่างเหมาะสม
ตัวอย่างอาชีพทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ตลาดแรงงานต้องการผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจงานเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสารอย่างแท้จริง ซึ่งงานด้านนี้จะรวมถึง งานด้าน การออกแบบโปรแกรมต่างๆ โปรแกรมใช้งานบนเว็บ งานด้านการเขียน โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ งานด้านฐานข้อมูล งานด้านระบบ เครือข่ายทั้งในและนอกองค์กร รวมถึงการรักษาความมั่นคงปลอดภัยใน ระบบคอมพิวเตอร์บนเครือข่าย ดังนั้นองค์กรจึงมีความต้องการบุคลากร ที่มีความรู้ ความสามารถในการบริหารจัดการ และพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อใช้งานด้านต่างๆขององค์กร ตัวอย่างอาชีพด้านเทคโลโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร 1. นักเขียนโปรมแกรมหรือโปรแกรมเมอร์ (Programmer) ท าหน้าที่ในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในงานด้านต่างๆ เช่น โปรมแกรมเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้า โปรแกรมที่ใช้กับงานด้าน บัญชี หรือโปรแกรมที่ใช้กับระบบงานขนาดใหญ่ขององค์กร
2. นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) ท าหน้าที่ในการศึกษาวิเคราะห์และพัฒนาระบบสารสนเทศ นักวิเคราะห์ ระบบจะท าการวิเคราะห์ระบบงานและออกแบบระบบสารสนเทศให้ตรง กับความต้องการของผู้ใช้งาน ซึ่งอาจรวมถึงงานด้านการออกแบบ ฐานข้อมูลด้วย 3. ผู้ดูแลและบริหารฐานข้อมูล (Database Administrator) ท าหน้าที่บริหารและจัดการฐานข้อมูล (database) รวมถึงการออกแบบ บ ารุงรักษาข้อมูล และการดูแลระบบความปลอดภัยของฐานข้อมูล เช่น การก าหนดบัญชีผู้ใช้ การก าหนดสิทธิ์ผู้ใช้
4. ผู้ดูแลและบริหารระบบ (System Administrator) ท าหน้าที่บริหารและจัดการระบบคอมพิวเตอร์ในองค์กร โดยดูแลการ ติดตั้งและบ ารุงรักษาระบบปฎิบัติการ การติดตั้งฮาร์ดแวร์ สร้าง ออกแบบและบ ารุงรักษาบัญชีผู้ใช้ ส าหรับองค์กรขนาดเล็กเจ้าหน้าที่ ความคุมระบบอาจต้องดูแลและบริหารระบบเครือข่ายด้วย
5. ผู้ดูแลและบริหารระบบเครือข่าย (Network Administrator) ท าหน้าที่บริหารและจัดการออกแบบระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ และ ดูแลรักษาความปลอดภัยของระบบเครือข่ายขององค์กร เช่น ตรวจสอบ การใช้งานเครือข่ายของพนักงานและติดตั้งโปรแกรมป้องกันผู้บุกรุก เครือข่าย 6. ผู้พัฒนาและบริหารระบบเว็บไซต์ (Webmaster) ท าหน้าที่ออกแบบพัฒนา ปรับปรุงและบ ารุงรักษาเว็บไซต์ให้มีความ ทันสมัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีการปรับปรุงข้อมูลให้เป็นปัจจุบันอยู่ เสมอ
7. เจ้าหน้าที่เทคนิค (Technician) ท าหน้าที่ซ่อมบ ารุงรักษาเครื่องคอมพิวเตอร์ ติดตั้งโปรแกรม หรือติดตั้ง ฮาร์ดแวร์ต่างๆและแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดจากการใช้อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ในองค์กร
8. นักเขียนเกม (Game maker) ท าหน้าที่เขียนหรือพัฒนาโปรแกรมเกมคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้การ เขียนโปรมแกรมคอมพิวเตอร์เป็นอาชีพได้รับความนิยมอย่างสูงใน ประเทศไทย