The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการสื่อสาร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ซัลมา รัตนเยี่ยม, 2023-06-14 02:55:22

บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการสื่อสาร

บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการสื่อสาร

ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๓ บทที่ ๑ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการสื่อสาร เราไม่อาจปฏิเสธว่าธรรมชาติของมนุษย์นั้นมีลักษณะเป็นสัตว์สังคม ซึ่งมีการด ารงชีวิตด้วย การรวมกลุ่ม การพบปะสังสรรค์ ตลอดจนการพึ่งพาอาศัยกันอยู่ตลอดเวลา ด้วยเหตุผลนี้ การสื่อสารจึงเป็นกระบวนการส าคัญในการเชื่อมต่อความเข้าใจและความต้องการระหว่างกัน ไม่ว่า จะเป็นการเชื่อมความเข้าใจกับตนเอง ระหว่างบุคคล ภายในกลุ่ม ภายในองค์กร ตลอดจนการเชื่อม ความเข้าใจของมวลชน นอกจากนี้ การสื่อสารยังเป็นกระบวนการที่มีหลากหลายรูปแบบ และห ล ากห ล าย ระดับ อาทิ ก ารสื่อส ารใน รูป แบบ ก ารช่วยเห ลือเกื้อกูล ก ารร่วมมือ การส่งเสริมสนับสนุน การเจรจาต่อรอง การโต้แย้งถกเถียง หรือแม้กระทั่งการเป็นปรปักษ์ต่อกัน การสื่อสารของมนุษย์ในลักษณะต่างๆ ตามที่กล่าวมานั้น จ าเป็นจะต้องท าความเข้าใจถึง ที่มาที่ไปของศาสตร์ด้านการสื่อสาร ลักษณะกระบวนการของการสื่อสาร วัตถุประสงค์ของ การสื่อสาร รูปแบบและประเภทของการสื่อสาร ตลอดจนปัจจัยที่มีผลต่อความสัมฤทธิ์ผล หรือความล้มเหลวของการสื่อสาร เพื่อช่วยให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ ตลอดจนสามารถ น าความรู้ในเรื่องการสื่อส ารไปป ระยุกต์ใช้กับสถานการณ์การสื่อสารในชีวิตประจ าวัน และด าเนินชีวิตในสังคมในด้านต่างๆ ได้อย่างเป็นปกติสุข ความหมายของการสื่อสาร ค า ว่ า ก า ร สื่ อ ส า ร (Communication) มี ร า ก ศั พ ท์ ม า จ า ก ค า ว่ า communis ในภาษาลาติน และค าว่า common ในภาษาอังกฤษ ซึ่งมีความหมายว่า ร่วมกัน โดยเนื้อแท้ ของกระบวนการสื่อสารนั้นเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด าเนินอย่างเป็นพลวัต และมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการเชื่อมต่อความเข้าใจร่วมกันระหว่างบุคคลทั้งสองฝ่าย ในการสื่อสาร ทั้งนี้หากทั้งสองฝ่ายนั้นไม่สามารถเข้าใจความหมายร่วมกันได้ กระบวนการสื่อสาร ครั้งนั้นก็ถือว่าไม่สัมฤทธิ์ผลนั่นเอง โดยการนิยามความหมายของการสื่อสารนั้น ได้มีนักวิชาการ ทั้งในประเทศและต่างประเทศได้นิยามไว้อย่างหลากหลาย ในที่นี้จะขอน านิยามการสื่อสารมาเสนอ พอสังเขป ดังนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ (๒๕๕๖ : ๑๑๘) อธิบายความหมาย ของการสื่อสารว่า “การสื่อสาร น. วิธีการน าถ้อยค า ข้อความ หรือหนังสือ เป็นต้น จากบุคคลหนึ่ง หรือสถานที่หนึ่งไปยังอีกบุคคลหนึ่ง หรืออีกสถานที่หนึ่ง” จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (๒๕๕๕ : ๙๐) กล่าวว่า “การสื่อสาร หมายถึง การติดต่อกันระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ทั้งเจาะจงและไม่เจาะจงก็ได้ ในการสื่อสาร ประกอบด้วย ผู้ส่งสาร สาร ผู้รับสารและวิธีการสื่อ (สื่อ-เครื่องมือที่ใช้ในการส่งสาร วิธีการสื่อวิธีการที่ผู้ส่งสารเลือกใช้) เช่น สื่อด้วยวิธีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ บทละคร การแสดง จดหมาย เป็นต้น


๔ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร สนิท สัตโยภ าส (๒๕๔๕ : ๒) กล่าวว่า การสื่อสาร (Communication) หมายถึง กระบวนการที่มนุษย์ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก และประสบการณ์ ตลอดจนข่าวสารข้อมูล ต่างๆ ให้กันและกัน โดยผ่านทางสัญลักษณ์ต่างๆ จนเกิดการก าหนดรู้เรื่องราวนั้นๆ ร่วมกัน โครงการบริหารวิชาบูรณาการ หมวดวิชาศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (๒๕๔๙ : ๓) ได้สังเขปความหมายของการสื่อสารจากนักวิชาการต่างประเทศไว้ดังนี้ อริสโตเติล (Aristotle) กล่าวว่า การสื่อสาร คือ การแสวงหาวิธีการชักจูงใจที่พึงมี ทุกรูปแบบ จอร์จ เอ มิลเลอร์ (George A. Miller) กล่าวว่า การสื่อสาร หมายถึง การถ่ายทอดข่าวสาร จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง วิลเบอร์ ชแรมม์ (Willber Schramm) กล่าวว่า การสื่อสาร คือ การมีความเข้าใจร่วมกัน ต่อเครื่องแสดงข่าวสาร วอเรน ดับเบิลยู วีเวอร์ (Warren W. Weaver) กล่าวว่า “การสื่อสารมีความหมายกว้าง ครอบคลุมถึงกระบวนการทุกอย่างที่จิตใจของคนคนหนึ่ง อาจมีผลต่อจิตใจของคนอีกคนหนึ่ง การสื่อสารจึงไม่ได้หมายความเพียงภาษาเขียนหรือภาษาพูดเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงดนตรี ภาพ การแสดง และพฤติกรรมทุกพฤติกรรมของมนุษย์” ภิญโญ ช่างสาน (๒๕๔๒ : ๑๙) กล่าวว่า “กระบวนการถ่ายทอดข่าวสาร ความรู้ ความคิดเห็น ความรู้สึก หรือความต้องการของมนุษย์โดยผ่านสื่อการพูด การเขียน อากัปกิริยา หรือสัญลักษณ์อื่นใดที่จะช่วยให้เกิดการรับรู้ร่วมกันและตอบสนองต่อกัน” ปรมะ สตะเวทิน (๒๕๔๕ : ๑๔) สรุปว่า “การสื่อสาร คือ กระบวนการถ่ายทอดข่าวสาร จากบุคคลหนึ่งเรียกว่า ผู้ส่งสาร ไปยังบุคคลอีกฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้รับสาร โดยผ่านสื่อ” คณาจารย์มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย (๒๕๕๑ : ๑๕) ให้ความหมายว่า “การสื่อสาร หมายถึง การติดต่อกันระหว่างคนหนึ่งหรือหลายคนเพื่อท าให้รับรู้เรื่องราวร่วมกัน ฝ่ายที่ท า การติดต่อหรือส่งเรื่องราว เรียกว่า ผู้ส่งสาร กับฝ่ายที่รับการติดต่อ เรียกว่า ผู้รับสาร โดยผ่านสื่อ คือ ช่องทางที่จะท าให้เกิดการเชื่อมโยงสารจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร” จากนิยามความหมายของการสื่อสารที่กล่าวมาข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การสื่อสาร หมายถึง กระบวนการที่ผู้ส่งสารถ่ายทอดสารหรือเรื่องราวที่มีความหมาย ซึ่งแสดงออกมา ในลักษณะต่างๆ อาทิ ข้อมูลข่าวสาร ข้อคิดเห็นหรือทรรศนะ อารมณ์ความรู้สึก ตลอดจน ประสบการณ์ ผ่านสื่อหรือตัวกลางในการน าสารไปยังผู้รับสารแล้วเกิดการรับรู้ความหมายร่วมกัน โดยที่ได้กล่าวไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า กระบวนการสื่อสารจะสัมฤทธิ์ผลได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการเข้าใจ ความหมายของเรื่องราวต่างๆ ร่วมกันของทั้งสองฝ่าย ดังนั้น ทั้งผู้ส่งสารและผู้รับสารจึงจ าเป็น จะต้องเรียนรู้กระบวนการสื่อสารและเข้าใจกระบวนการดังกล่าว จึงจะสามารถน าไปใช้ได้ อย่างสัมฤทธิ์ผลต่อไป


ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๕ ความส าคัญของการสื่อสาร จากอดีตจนถึงปัจจุบัน การสื่อสารเข้ามาเกี่ยวพันกับการด าเนินชีวิตประจ า วันของเรา อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอน มนุษย์นั้นยังคงด าเนินการสื่อสารอยู่ ตลอดเวลา ทั้งการสื่อสารกับตนเองและกับผู้อื่น โดยเฉพาะในปัจจุบันซึ่งได้ชื่อว่าเป็นยุคแห่งสังคม ข่าวสาร (Information Technology) การสื่อสารยิ่งทวีความส าคัญต่อการด ารงชีวิตอย่างเป็นปกติ สุขท่ามกลางการไหลของข่าวสาร ตลอดจนอิทธิพลของเทคโนโลยีการสื่อสารที่พัฒนาขึ้น อย่างไม่หยุดยั้ง โดยหากเราจะท าความเข้าใจความส าคัญของการสื่อสารอย่างรอบด้านแล้ว เราสามารถแบ่งความส าคัญของการสื่อสารที่มีบทบาทในด้านต่างๆ ดังนี้ ๑. ความส าคัญด้านการศึกษา มนุษย์จ าเป็นจะต้องใช้กระบวนการสื่อสารในการแสวงหา และเพิ่มพูนความรู้ให้แก่ตนเอง อาทิ การสื่อสารการสอน การใช้เทคโนโลยีการสื่อสารเพื่อพัฒนา องค์ความรู้ของสาขาต่างๆ เพื่อพัฒนาสติปัญญาผู้เรียนให้สามารถด ารงชีวิตอย่างมีคุณภาพ และสามารถประกอบอาชีพได้อย่างดี ๒. ความส าคัญด้านสังคม ตั้งแต่อดีตมนุษย์ใช้การสื่อสารเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน ตั้งแต่ การสื่อสารระดับเล็กที่สุด อาทิ การสื่อสารระหว่างบุคคล การสื่อสารภายในกลุ่มขนาดเล็ก จนถึงกลุ่มใหญ่ อาทิ การสื่อสารภายในครอบครัว ชุมชน องค์กร ตลอดจนการสื่อสารในสังคม ขนาดใหญ่ อย่างเช่น การสื่อสารมวลชนนั้น เราต่างใช้การสื่อสารเข้ามาเป็นเครื่องมือเพื่อเชื่อมต่อ ความเข้าใจของบุคคลในกลุ่มหรือสังคมด้วยการสร้างกฎระเบียบกฎเกณฑ์ในสังคมให้เป็นที่ยอมรับ ระหว่างสมาชิกให้อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข โดยการสื่อสารลักษณะนี้จะอยู่ในลักษณะของการสื่อสาร ด้านการเมืองการปกครองนั่นเอง นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการสื่อสารในลักษณะต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ การด าเนินชีวิตประจ าวันในสังคมด้วย เช่น การสนทนา การเจรจาต่อรอง การแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นและข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนการประชุมและการสัมมนา เป็นต้น ๓. ความสัมพันธ์ต่ออุตสาหกรรมและธุรกิจ ปัจจุบันระบบการผลิตอุตสาหกรรม มีกระบวนการผลิตแบบมวลชน (Mass Production) เพื่อตอบสนองความต้องการของมวลชน (Mass) โดยลักษณะสินค้าที่ผลิตออกมามีลักษณะที่เรียกว่า สินค้ามวลชน (Mass Product) มีลักษณะสินค้าด้านคุณภาพและมาตรฐานการผลิตอยู่ในระดับเดียวกันเนื่องจากใช้เครื่องจักรกล ในการผลิต ดังนั้น เจ้าของสินค้าห รือบ ริษัทผู้ผลิตจึงใช้การสื่อสารใน รูปการจูงใจ เช่น การประชาสัมพันธ์ การโฆษณา ตลอดจนการใช้กลยุทธ์ทางการสื่อสารการตลาดเข้ามาจูงใจผู้บริโภค นั่นเอง ๔. ความส าคัญต่อการปกครอง ไม่ว่าการปกครองในระบบใดของประเทศ ย่อมต้องมี ผู้เกี่ยวข้องอยู่ด้วยกันสองฝ่าย คือ ผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง ผู้ปกครองย่อมน าพาประเทศให้ไปสู่ ความเจริญรุ่งเรือง และความสุขของประชาชน ฉะนั้นต้องมีกฎ ระเบียบ อ านาจบังคับใช้เพื่อด าเนิน อยู่ร่วมกัน ซึ่งต้องอาศัยการสื่อสารมาเป็นกลไกหรือเครื่องมือส าคัญในการกระจายข่าวสารต่างๆ สู่ผู้ปกครองให้เข้าใจตรงกัน และรับทัศนคติ ความรู้สึกนึกคิดของประชาชนผู้ถูกปกครองไปสู่ชนชั้น


๖ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร ปกครอง อาทิ ประกาศของรัฐบาลประเทศไทยก าหนดให้ประชาชนอายุ ๑๘ ปีขึ้นไป สามารถมีสิทธิ์ ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ นอกจากนี้ จันทิมา เขียวแก้ว และนฤมล รุจิพร (๒๕๕๑ )อ้างถึงในจิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (๒๕๕๕ ) ได้สรุปความส าคัญของการสื่อสารทั้งในระดับจุลภาคและระดับมหภาค ไว้ดังนี้ ๑. ความส าคัญต่อการด าเนินชีวิตของมนุษย์ในระดับจุลภาค ได้แก่ ความส าคัญ ต่อชีวิตประจ าวัน ความเป็นสังคม การสร้างความร่วมมือ การสร้างการรับรู้เกี่ยวกับตนเอง การให้ความบันเทิง การเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาล และการท าจิตบ าบัด ๑.๑ ความส าคัญต่อชีวิตประจ าวัน ในแต่ละวันมนุษย์เราจะต้องติดต่อพูดคุยกับบุคคล ในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน รวมทั้งเราจะมีกิจกรรมการสื่อสารอื่นๆ เช่น การอ่านหนังสือพิมพ์ การฟังวิทยุ การดูโทรทัศน์ การคุยโทรศัพท์ ฯลฯ ซึ่งแสดงว่ามนุษย์เรามีการสื่อสารในชีวิตประจ าวัน ของเราหลายประการ ๑.๒ ความส าคัญต่อความเป็นสังคม มนุษย์เราจ าเป็นต้องอาศัยการสื่อสารเพื่อให้คน มีการคบหาสมาคม รวมกันขึ้นเป็นสังคมและมาด ารงอยู่เป็นสังคม หรืออาจมีการเปลี่ยนแปลงสังคม นอกจากนี้ การสื่อสารจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยประสานคนในสังคมให้มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข ๑.๓ ความส าคัญต่อการสร้างความร่วมมือ การสื่อสารมีหน้าที่ในการเชื่อมโยงระหว่าง บุคคลกับสิ่งแวดล้อม หน้าที่ในการเสริมสร้างศักยภาพของกระบวนการทางสมองของมนุ ษย์ เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และท าหน้าที่ในการก ากับพฤติกรรมของบุคคลให้แสดง ออกมาอย่างเหมาะสม ดังนั้น การสื่อสารจึงมีความส าคัญในการสร้างความร่วมมือระหว่างบุคคล ให้สามารถประสานพลังเพื่อความส าเร็จในการผลิตหรือบริการ ซึ่งบุคคลคนเดียวไม่สามารถท าได้ ๑.๔ ความส าคัญต่อการแสวงหาความรู้ การสื่อสารเพื่อแสวงหาความรู้ เป็นบทบาท ที่ส าคัญต่อการด ารงชีวิต ช่วยให้มนุษย์สามารถสั่งสมข้อมูลข่าวสาร ซึ่งเป็นขุมทรัพย์ทางปัญญา ที่ส าคัญของมนุษยชาติ ซึ่งมีการสั่งสมกันมาอย่างยาวนาน การสื่อสารช่วยให้มนุษย์สามารถรวบรวม ความรู้จากแหล่งต่างๆ มาเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ทั้งในด้านส่วนตัวและในการท างานให้ส าเร็จลุล่วง ๑.๕ ความส าคัญต่อการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับตนเอง การรับรู้เกี่ยวกับตนเอ งมีอิทธิพลและมีความส าคัญต่อการแสดงพฤติกรรมการสื่อสารของบุคคล การที่บุคคลรับรู้ว่าตนเอง เป็นคนอย่างไร เป็นการมีปฏิสัมพันธ์ตอบกลับในการรับสารที่บุคคลรอบข้างส่งมาถึงตัวบุคคล และการสื่อสารจะเป็นเครื่องมือในการเปลี่ยนแปลงการรับ รู้เกี่ยวกับตนเองของบุคคล ให้เป็นไปในทางสร้างสรรค์ได้ ๑.๖ ความส าคัญต่อการให้ความบันเทิง การสื่อสารสามารถสร้างความบันเทิง ให้บุคคลได้หลากหลายรูปแบบ ผ่านสื่อหลากหลายชนิด ซึ่งการสื่อสารเพื่อสร้างความบันเทิง เป็นพฤติกรรมเชิงคุณภาพของบุคคลที่ช่วยให้เกิดสมดุลในจิตใจของบุคคล ท าให้สามารถด ารงชีวิต อยู่ได้อย่างมีความสุข


ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๗ ๑.๗ ความส าคัญต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาพยาบาล ความเจ็บป่วย เป็นธรรมชาติของสังขารมนุษย์ ซึ่งวิทยาการที่ก้าวหน้าและทันสมัยช่วยให้มนุษย์สามารถคิดค้น วิธีการรักษาโรคให้ทุเลาหรือหายขาดไปได้ ในกระบวนการรักษา นอกจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ แล้ว การสื่อสารระหว่างแพทย์ พยาบาล กับผู้ป่วย ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกัน ที่น าไปสู่ ความเข้าใจระหว่างกัน ส่งผลให้เกิดความร่วมมือกันทุกฝ่าย ช่วยให้การบ าบัดรักษาโรค มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ๑.๘ ความส าคัญต่อการท าจิตบ าบัด สาเหตุแห่งการเจ็บป่วยของมนุษย์ไม่ได้จ ากัด อยู่เฉพาะการเจ็บป่วยทางกายเท่านั้น ความเครียดจากการเผชิญปัญหาต่างๆ ท าให้จ านวนผู้ที่มี อาการป่วยทางจิตใจเพิ่มมากขึ้น การสื่อสารเข้ามามีบทบาทต่อการรักษาโรคที่เรียกว่า จิตบ าบัด เนื่องจากการสื่อสารเป็นกลไกที่ส าคัญในการค้นหาสาเหตุของการเจ็บไข้ อาจใช้การสื่อสาร เพื่อช่วยในการท าจิตบ าบัดผ่านสื่อลักษณะต่างๆ เช่น การใช้เสียงเพลงหรือดนตรี ที่เรียกว่า ดนตรีบ าบัด หรือการใช้การอ่านหนังสือ ที่เรียกว่า บรรณบ าบัด เป็นต้น ๒. ความส าคัญต่อการด าเนินชีวิตของมนุษย์ในระดับมหภาค ได้แก่ ความส าคัญ ต่อการปกครองและการเมือง ต่อการเสริมสร้างป ระชาธิปไตย ต่อการพัฒ น าป ระเทศ ต่อการถ่ายทอดวัฒนธรรม ต่อการศึกษา ต่อธุรกิจและอุตสาหกรรม และต่อการเสริมสร้าง ประสิทธิภาพในการบริหารองค์กร ๒.๑ ความส าคัญต่อการปกครองและการเมือง การสื่อสารเป็นเครื่องมือส าคัญ ของรัฐบาลในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารให้ประชาชนได้รับทราบและเข้าใจ เพื่อให้ความร่วมมือ ในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และนโยบายที่รัฐบาลก าหนดขึ้น ในทางตรงกันข้าม รัฐบาลสามารถ ตรวจสอบ หรือทราบความต้องการ ความรู้สึกนึกคิด รวมทั้งประชามติของประชาชนด้วย เพื่อใช้ เป็นแนวทางในการก าหนดนโยบายของรัฐบาลให้สอดคล้องโดยอาศัยการสื่อสาร นอกจากนี้ รัฐยังต้องใช้การสื่อสาร ในการสร้างความเข้าใจ และภาพลักษณ์ที่ดีต่อประชาชนอีกด้วย ๒.๒ ความส าคัญต่อการเมืองระหว่างประเทศ ผลในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ รวมทั้งการด าเนินนโยบายทางการเมืองระหว่างประเทศ รัฐจึงต้องอาศัยการสื่อสาร ในการสร้างความเข้าใจอันดีกับประเทศอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในโลกปัจจุบันที่มีการพัฒนา เทคโนโลยีการสื่อสาร ซึ่งช่วยให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารได้สะดวกรวดเร็ว ท าให้สังคมโลก แคบลง และมีการรวมกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองและทางเศรษฐกิจ ๒.๓ ความส าคัญต่อการเสริมสร้างประชาธิปไตย ความส าคัญของการสื่อสาร ในระดับมหภาคต่อบุคคล คือ การใช้การสื่อสารเป็นกลไกในการสร้างอิสรภ าพ เพื่อให้สังคม เปิดกว้าง โดยการส่งเสริมให้บุคคลสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสรีและเปิดเผยในตลาด ความรู้ ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ จากการที่บุคคลมีโอกาสแลกเปลี่ยนทัศนะ ระหว่างกัน นอกจากนั้น การสื่อสารยังมีบทบาทในการที่บุคคลสามารถเลือกสรรเอาแนวคิดที่ได้ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ได้


๘ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร ๒.๔ ความส าคัญต่อการพัฒนาประเทศ ความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ สังคม และเทคโนโลยีเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ท าให้เกิดการไม่เท่าเทียมกันในการกระจายความเจริญ ไปสู่ชนบท การสื่อสารเป็นเครื่องมือส าคัญ ที่ผู้บริหารประเทศจะน ามาใช้เป็นเครื่องมือ ในการพัฒนาประเทศ โดยการให้ข้อมูลข่าวสารที่จ าเป็นต่อการพัฒนาความเป็นอยู่ที่ดีทางเศรษฐกิจ สังคม และสาธารณสุข เพื่อให้ประชาชนเกิดการเปิดรับนวัตกรรมที่เหมาะสมต่อการพัฒนา คุณภาพชีวิตของตนเองและชุมชน ๒.๕ ความส าคัญต่อการถ่ายทอดวัฒนธรรม วัฒนธรรม หมายถึง ผลิตผลที่มนุษย์ สร้างขึ้นมาเพื่อประโยชน์ในการด ารงชีวิต และต้องมีการเรียนรู้ สั่งสม สืบทอดวิวัฒนาการสืบเนื่อง กันมา จากคนรุ่นหนึ่งไปยังคนอีกรุ่นหนึ่งผ่านการสื่อสาร ในยุคแรก การสืบทอดวัฒนธรรม เป็นการถ่ายทอดสืบต่อกันด้วยวาจา ซึ่งอาจมีความคลาดเคลื่อนได้ ต่อมาเมื่อมีตัวอักษรที่ใช้เป็น สัญลักษณ์ในการบันทึกเพื่อถ่ายทอดความรู้ ความคิด ก็ย่อมสืบทอดได้โดยมีความคงทนมากกว่า และเมื่อเกิดการสื่อสารมวลชนขึ้น การสื่อสารเพื่อถ่ายทอดวัฒนธรรมก็สามารถแพร่กระจาย ไปยังคนหมู่มากได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ๒.๖ ความส าคัญต่อการศึกษา การสื่อสารเป็นเครื่องมือที่ส าคัญต่อการให้การศึกษา แก่คนในสังคม การพัฒนาภาษาพูด ภาษาเขียน ช่วยให้การศึกษาหาความรู้ของบุคคลขยายขอบเขต ออกไป มีการบันทึกผลการศึกษาค้นคว้าเพื่อเป็นหลักฐานให้คนอื่นได้ใช้ประโยชน์ นอกจากนั้น เทคโนโลยีทางการสื่อสารสมัยใหม่ช่วยขยายประสิทธิภาพการจัดการศึกษา ทั้งในระบบโรงเรียน หรือการศึกษานอกระบบโรงเรียนให้กับผู้ด้อยโอกาสในสังคมได้มากขึ้น ๒.๗ ความส าคัญต่อธุรกิจและอุตสาหกรรม ในการจ าหน่ายสินค้าและบริการ ที่เป็นผลผลิตของธุรกิจและอุตสาหกรรมนั้น จ าเป็นต้องจัดกิจกรรมที่เรียกว่าการประชาสัมพันธ์ เพื่อเผยแพร่ข้อมูลของสินค้าและบริการให้ผู้บริโภคมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และในการสร้างแรงจูงใจ ให้ป ระชาชนซื้อสินค้าก็จ าเป็นต้องอาศัยการโฆษณ า ซึ่งทั้งสองกิจกรรมเป็ นวิธีที่ส าคัญ ของการสื่อสารเช่นกัน ๒.๘ ความส าคัญต่อการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการบริหารองค์กร การสื่อสาร ในองค์กรถือว่าเป็นปัจจัยส าคัญในการบริหารงานเพื่อการพัฒนาประสิทธิภาพในการท างาน ของบุคลากร การสื่อสารช่วยในการประสานงานและเสริมสร้างความเข้าใจอันดีภายในองค์กร ท าให้งานด าเนินไปได้โดยราบรื่น ขจัดปัญหาขัดแย้งเนื่องจากความไม่เข้าใจกัน หรือขาดข้อมูล ในการท างาน จากข้างต้น สามารถสรุปได้ว่าการสื่อสารมีความส าคัญต่อการด าเนินชีวิตประจ าวันของเรา ในทุกๆ ด้าน ตั้งแต่ระดับเล็กสุดจนถึงระดับใหญ่สุด เนื่องจากเราต้องอาศัยการสื่อสารเป็นเครื่องมือ ในการด าเนินกิจกรรมต่างๆ ทั้งการศึกษาเล่าเรียน การปฏิบัติงานในองค์กรต่างๆ ตลอดจน การพึ่งพาอาศัยกันในสังคมให้ด าเนินไปได้อย่างราบรื่นและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน


ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๙ องค์ประกอบของการสื่อสาร องค์ประกอบของการสื่อสารนั้นมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันเป็นกระบวนการ และสามารถ แบ่งเป็น ๕ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑. ผู้ส่งสาร (Sender) ๒. สาร (Message) ๓. สื่อหรือช่องทาง (Media or Channel) ๔. ผู้รับสาร (Receiver) ๕. ปฏิกิริยาตอบกลับ (Feedback) ผู้ส่งสาร (Sender) - บุคคล - ระหว่างบุคคล - กลุ่ม - องค์กร มวลชน สาร (Message) วัจนสารและอวัจนสาร - รหัสสาร - เนื้อหาสาร (ข้อเท็จจริง, ข้อคิดเห็น, ความรู้สึก) - การจัดสาร สื่อหรือช่องทาง (Media or Channel) - การเห็น - การได้ยิน - การสัมผัส - การได้กลิ่น - การลิ้มรส ผู้รับสาร (Receiver) - บุคคล - ระหว่างบุคคล - กลุ่ม - องค์กร - มวลชน ปฏิกิริยาตอบกลับ (Feedback) การเข้าใจความหมายร่วมกัน ภาพที่ ๑.๑ องค์ประกอบของการสื่อสาร องค์ประกอบส าคัญของการสื่อสารทั้ง ๕ องค์ประกอบมีรายละเอียดที่ควรเข้าใจ เพื่อประโยชน์ในการสื่อสาร ดังนี้ ๑. ผู้ส่งสาร (Sender) เป็นบุคคลแรกที่เริ่มสร้างสารโดยใช้ภาษาและสัญลักษณ์ เป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสาร ความคิด อารมณ์ความรู้สึก ตลอดจนประสบการณ์ ไปยังผู้รับสาร สวนิต ยมาภัย (๒๕๕๒) กล่าวถึงบทบาทของผู้ส่งสารไว้ โดยสรุปได้ดังนี้ บทบาทของผู้ส่งสาร ผู้ส่งสารจะมีบทบาทในการส่งสารที่มีประสิทธิภาพ ควรจะพัฒนาตนเองให้มีคุณสมบัติ ขั้นพื้นฐานดังต่อไปนี้ ๑) เป็นผู้มีเจตนาแน ่ชัดที ่จะให้ผู้อื ่นรับรู้ความประสงค์ของตน ความประสงค์ ในการสื่อสารของมนุษย์อาจมีได้นานัปการ แต่เมื่อสรุปรวบยอดลงแล้ว มีอยู่ ๔ ประการส าคัญ คือ ความประสงค์ที่จะ ๑) แจ้งให้ทราบ ๒) ถามให้ตอบ ๓) บอกให้ท า และ ๔) น าให้คิด


๑๐ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร ความประสงค์แต่ละข้อที่กล่าวมานี้ อาจแยกย่อยลงไปเป็นจุดประสงค์ได้อีกหลายชั้น ซึ่งผู้ส่งสารจะต้องมีเจตนาแน่ชัดเช่นกันว่าจะให้ผู้อื่นรับรู้จุดประสงค์เฉพาะของตนว่าอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารระดับใดก็ตาม ตัวอย่างเช่น ความประสงค์ของผู้ส่งสาร-แจ้งให้ทราบ จุดประสงค์เฉพาะ-แจ้งให้ทราบถึงความห่วงใยของตนที่มีต่อเพื่อน จุดประสงค์เฉพาะย่อยลง-แจ้งให้ ทราบถึงความห่วงใยของตนที่มีต่อเพื่อนผู้ซึ่งก าลังจะต้องเดินทางไปท างานต่างถิ่นแต่ล าพัง เป็นต้น ๒) เป็นผู้มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอในเนื้อหาของเรื่องราวที่ตนมีความประสงค์จะ สื่อสารกับผู้อื่น การท าให้ผู้รับสารเกิดความประทับใจว่าผู้ส่งสารเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจ อย่างแท้จริงในเรื่องที่น ามาเสนอ ก็คือ ผู้ส่งสารจะต้องพัฒนาตนเองให้มีความรู้ความเข้าใจเรื่องนั้นๆ ให้ม ากพอ และพยายามพัฒ น าความรู้ความเข้าใจของตนให้สูงขึ้นเป็นล าดับไป ซึ่งจะ ได้รับความเชื่อถือ หรือความศรัทธาจากผู้รับสารสูงยิ่งขึ้น ๓) เป็นผู้มีความพยายามที่จะเข้าใจความสามารถ และความพร้อมในการรับสารของ ผู้ที่ตนสื่อสารด้วย ผู้ส่งสารต้องอาศัยความรอบคอบและความละเอียดสุขุมที่อาจน าไปเป็น ข้อพิจารณา เพื่อจะได้ก าหนดรู้ว่าความสามารถและความพร้อมของผู้รับสารมีอยู่แค่ไหน เพียงไร รวมทั้งสังเกตกรณีแวดล้อมต่างๆ อีกหลายอย่างที่พอจะประมวลได้ ดังนี้ ๓.๑ ความประสงค์ของผู้ส่งสาร ผู้ส่งสารจ าเป็นต้องก าหนดให้ได้ว่าผู้รับสาร มีความประสงค์อย่างไร เพื่อจะได้สนองความประสงค์นั้นๆ ให้ได้ตามควรแก่โอกาสของการสื่อสาร อันจะท าให้การสื่อสารบรรลุเป้าหมายขั้นสุดท้าย คือ การรับรู้เรื่องราวร่วมกันได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน ๓.๒ พื้นความรู้และประสบการณ์ของผู้รับสาร ผู้ที่มีพื้นความรู้สูงและมีประสบการณ์ มาก ย่อมเข้าใจในสิ่งที่ตนเองได้ยินได้ฟัง หรือสังเกตได้โดยง่ายและรวดเร็ว ผู้ส่งสารพึงระลึกไว้เสมอ ว่าเรื่องที่เราน าเสนอนั้น ถ้าผู้รับสารได้รับรู้มาแล้วซ้ าๆ ซากๆ แม้จะเป็นเรื่องส าคัญและมีค่าเพียงไร ก็ตาม ผู้รับสารย่อมไม่พร้อมที่จะรับสารนั้น ๓.๓ ทัศนคติของผู้รับสาร ทัศนคติ คือ แนวทางของความคิดหรือความรู้สึกของบุคคล ที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นตัวก าหนดพื้น ฐานของจิตใจมนุษย์ ทัศนคติมี ๓ ลักษณ ะ คือ ทัศนคติทางบวก ทัศนคติทางลบ และทัศนคติที่เป็นกลาง ถ้าทัศนคติของผู้รับเป็นไปในทางบวก ก็ย่อมจะท าให้ผู้รับสารเกิดความพร้อมที่จะรับสารได้อย่างดี ความสามารถในการรับสารก็จะเกิด ตามมา ตรงกันข้าม ถ้าทัศนคติของผู้รับสารเป็นไปในทางลบ ความสามารถในการรับสาร ก็จะถูกสกัดกั้นตั้งแต่เริ่มต้น ท าให้ผู้รับสารไม่มีความพร้อมที่จะรับสาร แม้ความสามารถ ในการรับสารในบางด้านจะมีอยู่ก็ตาม หากผู้ส่งสารก าหนดรู้ว่าผู้รับสารมีทัศนคติในทางลบ จ าเป็นต้องหาทางลบล้างทัศนคติที่ไม่พึงประสงค์เสียก่อน ผู้ส่งสารอาจชี้แจงแก้ไขโดยตรง หรือใช้วิธีแก้ไขทางอ้อมโดยให้ผู้อื่นช่วยแก้ไขท าความเข้าใจเสียให้ถูกต้อง เพื่อไม่ให้ผู้รับสาร มีทัศนคติทางลบ ซึ่งจะเป็นผลเสียยิ่งขึ้น ๔) เป็นผู้รู้จักใช้กลวิธีที่เหมาะสมในการน าเสนอต่อผู้รับสาร ผู้ส่งสารจะต้องตระหนัก ไว้เสมอว่าการมีความรู้เพียงอย่างเดียวอาจไม่ท าให้การสื่อสารความรู้นั้นๆ สัมฤทธิ์ผลได้ ต้องอาศัย


ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๑ กลวิธีที่เหมาะสมด้วย ส่วนกรณีมีกลวิธีอย่างเดียวโดยปราศจากความรู้ที่เพียงพอก็จะไม่ท าให้ การสื่อสารมีคุณค่า หรือยังให้เกิดประโยชน์แท้จริงได้ ผู้สื่อสารจึงต้องมีทั้งความรู้ และมีกลวิธีที่ดี ประกอบกัน ๒. สาร (Message) หมายถึง เรื่องราวที่มีความหมายแสดงออกโดยอาศัยภาษา หรือสัญลักษณ์ที่เป็นที่เข้าใจกัน ท าให้เกิดการรับรู้ร่วมกันได้ สารเกิดเมื่อผู้ส่งสารเกิดความคิด และต้องการส่งสารหรือถ่ายทอดความคิดนั้นไปสู่การรับรู้ของผู้อื่น มีส่วนส าคัญ ๓ ส่วน ดังต่อไปนี้ ๒.๑ รหัสของสาร คือ ภาษา สัญลักษณ์หรือสัญญาณที่มนุษย์คิดขึ้นเพื่อแทนความคิด เช่น นก คือ สัตว์สองเท้า มีปีก บินได้ ๒.๒ เนื้อหาของสาร คือ สิ่งที่ครอบคลุมความรู้ ความคิดและประสบการณ์ที่มนุษย์ ต้องการถ่ายทอด หรือแลกเปลี่ยนเพื่อความเข้าใจร่วมกัน โดยเนื้อหาของสารนั้นแบ่งเป็น ๓ ประเภท ได้แก่ เนื้อหาสารที่แสดงข้อเท็จจริง เนื้อหาสารที่แสดงข้อคิดเห็นหรือทรรศนะ และเนื้อหาสารที่แสดงความรู้สึก ๒.๒.๑ สารแสดงข้อเท็จจริง คือ สารซึ่งแสดงเนื้อหากล่าวถึงความจริงต่างๆ ซึ่งสามารถตรวจสอบและพิสูจน์ได้ทุกเมื่อ การใช้ภาษาบอกข้อเท็จจริงส่วนมากจะปรากฏในงาน ต าราวิช าก าร ตลอดจน รายงานท างวิท ย าศ าสต ร์ บ างค รั้งอาจใช้โวห ารเป รียบเที ยบ และอุปมาอุปไมยแทรก สารแสดงข้อเท็จจริงจะมีลักษณะดังนี้ ๑) เป็นภาษาที่ใช้ค ามีความหมายเป็นกลางๆ ๒) ไม่แสดงความคิดหรือเจตนาของผู้เขียน และไม่กระตุ้นความรู้สึก ของผู้อ่าน ๓) บรรยายหรือแสดงสิ่งที่ถูกต้องตรงไปตรงมา หรือแทนขอบเขต ของความจริงมากที่สุด ๔) สามารถพิสูจน์หรือทดสอบได้ ๒.๒.๒ สารแสดงความคิดเห็น เป็นสารที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความเชื่อ แนวคิด ข้อวินิจฉัย ข้อแนะน า ตลอดจนข้อสังเกตของบุคคล โดยสารประเภทนี้ไม่อยู่ในวิสัยที่จะตรวจสอบ หรือพิสูจน์ได้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ เช่น ข้อวินิจฉัยของแพทย์ ความคิดเห็นของประชาชน ต่อการเมืองในปัจจุบัน การสันนิษฐานของเจ้าหน้าที่ต ารวจ เป็นต้น ๒.๒.๓ สารแสดงความรู้สึก เป็นสารที่มีเนื้อหาแสดงความรู้สึกของมนุษย์ที่มีได้ มากมายหลายลักษณะ เช่น แสดงความรู้สึกดีใจ เสียใจ น้อยใจ เศร้าใจ สลดใจ ภูมิใจ แคลงใจ ตื่นเต้น เป็นต้น รวมทั้งความรู้สึกอยากได้ อยากมี อยากเป็น ซึ่งสามารถแสดงออกเป็นสาร เพื่อให้ผู้อื่นรับทราบได้ ๒.๓ การจัดสาร คือ วิธีการน ารหัสสารมาเรียบเรียงเพื่อให้ได้ใจความตามเนื้อหา ที่ต้องการโดยล าดับตามความยากง่าย รวมทั้งวิธีการใช้ภาษาที่ต้องเลือกสรรอย่างประณีตเพื่อ ดึงดูดความสนใจให้จดจ าและปฏิบัติตามที่ต้องการ นอกจากที่ได้กล่าวมาข้างต้น บริบทอื่นๆ ยังมีอิทธิพลต่อความเข้าใจในสารด้วย


๑๒ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร โดยบุคลิกภาพของผู้ส่งสารและผู้รับสารต้องมีความสัมพันธ์กัน จะส่งผลต่อการสื่อสารเป็นอย่างดี เช่น คนที่พูดตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม อาจส่งสารได้ตรงประเด็น ชัดเจน เข้าใจง่ายต่อผู้รับสาร ที่พร้อมรับสถานการณ์หรือผู้รับสารที่มีความอ่อนโยนและประนีประนอม แต่หากผู้รับสารที่มี นัยตรงกันข้ามก็อาจจะแปลความหมายของสารคลาดเคลื่อนได้ นอกจากนี้ บุคลิกลักษณะของ ผู้ส่งสารยังสัมพันธ์กับการจัดสาร เช่น คนที่อารมณ์เย็นมักจะพูดจาด้วยวิธีการที่สุภาพ สุขุม เยือกเย็น ในขณะที่คนอารมณ์ร้อนมักจะพูดรวบรัดเพื่อให้จบเร็วๆ ๓. สื่อหรือช่องทาง (Media or Channel) เป็นองค์ประกอบส าคัญอีกประการหนึ่ง ในการสื่อสาร โดยผู้ส่งสารต้องอาศัยสื่อหรือช่องทางท าหน้าที่น าสารที่จะถ่ายทอดเข้าสู่ระบบ การรับ รู้ของมนุษย์ผ่านป ระสาทสัมผัสท างใดท างหนึ่งห รือหลายท างร่วมกัน อันได้แก่ การเห็นทางประสาทตา การได้กลิ่นทางจมูก การสัมผัสทางกาย และการลิ้มรสทางลิ้น ตา หู จมูก กาย และลิ้น จึงเป็นช่องทางที่ผู้ส่งสารกับผู้รับสารติดต่อกันได้ แต่ในบางครั้ง มนุษย์จ าเป็นต้อง สื่อสารขณะที่อยู่ห่างไกลกัน ไม่สามารถใช้ประสาทสัมผัสที่มีอยู่ได้ จึงต้องใช้สื่อที่มีตามธรรมชาติ หรือใช้สื่อที่สร้างขึ้น เช่น สื่อบุคคล สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อเฉพาะกิจ สื่อประสม สื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นต้น ดังจะเห็นได้ในปัจจุบัน สื่อมีความหมายรวมถึงกิจกรรมและพิธีการต่างๆ รวมทั้งสื่อ สมัยใหม่ที่เรียกว่า IT (Information Technology) เช่น คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต ซีดีรอม ฯลฯ โดยสามารถจ าแนกสื่อออกเป็น ๕ ประเภท ดังนี้ ๑. สื่อสามัญหรือสื่อธรรมชาติ ได้แก่ บรรยากาศที่มีอยู่โดยธรรมชาติรอบตัวมนุษย์ เช่น คลื่นแสงและคลื่นเสียง ๒. สื่อบุคคลหรือสื่อมนุษย์ ได้แก่ บุคคลที่น าเรื่องราวจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่ง เช่น คนน าสาร ทูต ผู้สื่อข่าว พ่อสื่อ แม่สื่อ และบุคคลทั่วไป เป็นต้น ๓. สื่อเฉพาะกิจ ได้แก่ สื่อที่ท าหน้าที่ในวงจ ากัดเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่น ป้ายชื่อถนน จารึก หรือการจัดกิจกรรมบางอย่าง เช่น การจัดนิทรรศการ การประชุม การจัดการแข่งขัน เป็นต้น ๔. สื่อสิ่งพิมพ์ เป็นสื่อที่มีอ านาจน าส่งไปไกล สะดวกและคงทน เช่น หนังสือเล่ม หนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร แผ่นพับ ใบประกาศ เป็นต้น ๕. สื่ออิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ สื่อที่เกิดจากการน าความรู้ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพและมีอ านาจน าส่งสูงมาใช้ในการติดต่อสื่อสาร เช่น วิทยุ โทรทัศน์ โทรศัพท์ แถบบันทึกเสียง ดาวเทียมสื่อสาร ไม่ว่าจะมีการเลือกใช้ช่องทางหรือสื่อในการสื่อสาร ช่องทางใด ประสิทธิภาพและความส าเร็จผลในการใช้สารก็ย่อมขึ้นอยู่กับการเลือกใช้สื่อที่เหมาะสม ๔. ผู้รับสาร (Receiver) เป็นองค์ประกอบส าคัญในการสื่อสาร มีบทบาทในการก าหนด เรื่องราวที่ผู้ส่งสารผ่านสื่อมาถึงตนและมีปฏิกิริยาตอบสนอง ผู้รับสาร คือ บุคคลหรือกลุ่มบุคคล ที่ได้รับสารที่ส่งมาจากแหล่งสาร ผู้รับสารจะมีบทบาทขั้นพื้นฐานอยู่ ๒ ประการ คือ การก าหนดรู้ ความหมายตามเรื่องราวที่ผู้ส่งสารส่งสารผ่านสื่อมาถึงตน และการแสดงปฏิกิริยาตอบสนอง ต่อผู้ส่งสาร สวนิต ยมาภัย (๒๕๕๒ : ๙–๒๖) กล่าวถึงบทบาทของผู้รับสารไว้ดังนี้


ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๓ บทบาทของผู้รับสาร ผู้รับ ส ารมีบทบ าทใน ก า รก าหนดรู้ค วามหม ายของเรื่องราวที่ ผู้ส่งส ารผ่ าน สื่อ อย่างใดอย่างหนึ่งมาถึงตน และการมีปฏิกิริยาสนองตอบต่อผู้ส่งสารแล้ว ในกระบวนการสื่อสาร ผู้รับสารควรจะพัฒนาตนเองให้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ ๑) เป็นผู้พยายามรับรู้เรื่องราวข่าวสารต่างๆ อยู่เป็นนิจ การพยายามรับรู้เรื่องราว ข่าวสารต่างๆ อยู่เป็นนิจ จะท าให้มีโอกาสสะสมความรู้ไว้ในตัวมากยิ่งขึ้น ความรู้เหล่านี้ จะเป็นพื้นฐานส าหรับการรับความรู้อื่นๆ ที่ผ่านเข้ามาในเวลาสื่อสารกับบุคคลอื่นได้เป็นอย่างดี ความรู้ช่วยให้คนปรับตัวได้เร็ว ซึ่งจะช่วยให้การส่ง-รับสารด าเนินไปโดยสะดวก ไม่ว่าจะในโอกาส และสถานการณ์ใดๆ ก็ตาม ๒) เป็นผู้ที่มีความไหวรู้สึกรวดเร็วและถูกต้อง ความไหวรู้สึก คือ ปฏิกิริยาตอบสนอง ที่เกิดขึ้นในระบบประสาทของมนุษย์เมื่อมีสิ่งเร้าเข้ามากระทบ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ สามารถรับได้และตีความได้ว่าสิ่งเร้านั้นๆ มีความหมายอย่างไร ในการรับสารจากการฟังและการอ่าน ความไหวรู้สึกของผู้รับสารย่อมมีความส าคัญอย่างยิ่ง เพราะถ้าขาดความไหวรู้สึกเสียแล้ว ผู้รับสารอาจได้ยินค าพูด ได้เห็นตัวหนังสือชัดเจนทุกค า แต่เสียงที่ได้ยินหรือลายลักษณ์อักษรที่ได้อ่านนั้นจะไม่ท าให้เกิดความหมายแก่ผู้นั้นเลยก็อาจเป็นไป ได้ ๓) เป็นผู้มีปกตินิสัยสามารถบังคับความสนใจของตนให้มาอยู่ที่เรื่องราวที่ผู้ส่งสาร ก าลังน าเสนออยู่ได้ หลักธรรมดามีอยู่ว่า ถ้าคนเราไม่สนใจในสิ่งใด ก็ไม่มีทางที่จะรับรู้สิ่งนั้นได้ ถ้าผู้รับสารไม่สนใจเรื่องราวที่มีผู้น าเสนอให้แก่ตนหรือไม่สนใจตัวผู้ส่งสารเลย ก็ย่อมจะไม่พร้อม ที่จะรับรู้เรื่องราวที่น ามาเสนอนั้น แม้ว่าจะได้ยินได้เห็นได้สัมผัสเรื่องนั้นๆ แล้วก็ตาม นักจิตวิทยาได้แยกความสนใจของมนุษย์ไว้เป็น ๓ ชนิด คือ ๑) ความสนใจโดยสมัครใจ ๒) ความสนใจโดยไม่สมัครใจ ๓) ความสนใจโดยปกตินิสัย ความสนใจโดยสมัครใจ เป็นความสนใจที่มีต่อเรื่องที่คนเห็นว่ามีประโยชน์ส าหรับตนเอง หรือเป็นความสนใจตามความเรียกร้องของสัญชาตญาณ เช่น มีผู้มาให้ค าแนะน าเกี่ยวกับ การบริบาลทารก บุคคลที่ก าลังจะมีบุตรย่อมจะสนใจค าแนะน านั้นมากเป็นพิเศษกว่าบุคคลอื่นๆ ที่ไม่อยู่ในภาวะเดียวกับตน ความสนใจโดยไม่สมัครใจ เป็นความสนใจที่เกิดจากการถูกกระตุ้นขึ้นเป็นพิเศษ เช่น ได้ฟังอารัมภบทที่ผู้พูดพยายามเร้าใจเป็นพิเศษ ความสนใจชนิดนี้อาจเกิดขึ้นจากการได้พบเห็นสิ่ง แปลกใหม่ที่สะดุดตาสะดุดใจ เช่น พาดหัวข่าวที่ใช้ตัวอักษรโตผิดปกติ ใช้ถ้อยค าส านวนเร้าใจ เป็นต้น ความสนใจโดยปกตินิสัย เป็นความสนใจที่อยู่ในอุปนิสัยของบุคคล เป็นส่วนหนึ่ง ของบุคลิกภาพของบุคคลนั้น รวมเอาลักษณะความสนใจทั้ง ๒ ประเภทที่กล่าวมาแล้วเข้าไว้ด้วยกัน และยังรวมไปถึงความสนใจที่บุคคลมีต่อสิ่งต่างๆ อยู่เป็นปกตินิสัยตามควรแก่กรณี ไม่ว่าสิ่งนั้น จะมีประโยชน์โดยตรงแก่ตนหรือไม่ก็ตาม ความสนใจโดยปกตินิสัยนี้มีประโยชน์ต่อการสื่อสารมาก


๑๔ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร เป็นความสนใจที่ท าให้บุคคลเป็นผู้มีความรู้กว้างขวางชนิดที่เรียกกันว่ามีความเป็น พหูสูต นั่นเอง ๕ . ปฏิกิริยาตอบสนอง (Feedback) เมื่อผู้ รับสารได้ รับสารแล้วแสดงการรับ รู้ ในทางใดทางหนึ่งตอบสนอง จึงจะถือได้ว่าการสื่อสารประสบผลส าเร็จ ผู้ส่งสารและผู้รับสาร ซึ่งเราเรียกว่า คู่สื่อสาร ต่างมีวัตถุประสงค์ในการสื่อสารของตนเอง และจะแสดงปฏิกิริยาตอบกลับ เพื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งรับรู้ความรู้สึกนึกคิดของตนเอง ดังนั้น ผู้ส่งสารต้องประเมินผลจากการส่งสาร และบรรยากาศในการสื่อสารตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม การสื่อสารอาจเกิดผลตรงตามเป้าหมายของผู้ส่งสาร แต่บางครั้ง อาจไม่สัมฤทธิ์ผลตามที่ผู้ส่งสารต้องการ การท าความเข้าใจและเรียนรู้จากปฏิกิริยาตอบกลับ ของผู้รับสารจะเป็นหนทางที่ช่วยให้ผู้ส่งสารสามารถปรับเปลี่ยนข้อมูล ท่าที หรือวิธีการสื่อสาร เพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกันและการสื่อสารเกิดความสัมฤทธิ์ผลในท้ายที่สุด ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ภาษาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารในชีวิตประจ าวัน แบ่งได้เป็น ๒ ชนิด คือ ภาษาที่ใช้ถ้อยค า หรือ วัจนภาษา (Verbal Language) และภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยค า หรือ อวัจนภาษา (Non-verbal Language) ๑. วัจนภาษา คือ ภาษาถ้อยค า ได้แก่ ค าพูดหรือตัวอักษรที่ตกลงใช้ร่วมกันในสังคม ซึ่งหมายรวมทั้งเสียงและลายลักษณ์อักษร ภาษาถ้อยค าเป็นภาษาที่มนุษย์สร้างขึ้นอย่างมีระบบ มีหลักเกณฑ์ทางภาษาหรือไวยากรณ์ ซึ่งคนในสังคมต้องเรียนรู้และใช้ภาษาในการฟัง พูด อ่าน เขียน และคิด การใช้วัจนภาษาในการสื่อสาร ควรพิจารณาเรื่องต่อไปนี้ ๑.๑ ความชัดเจนและถูกต้อง กล่าวคือ ต้องเป็นภาษาที่เข้าใจตรงกันทั้งผู้รับสาร และผู้ส่งสาร ต้องมีความถูกต้องตามหลักภาษา โดยหลักภาษาไทยที่ผู้ส่งสารต้องค านึงถึงนั้น ได้แก่ ๑.๑.๑ ความหมายของค า ค าในภาษาไทยมีทั้งความหมายตรงและความหมายแฝง ผู้ส่งสารต้องศึกษ าก่อนใช้ค าเหล่านั้น เพื่อขจัดปัญห าความคลุมเครือ บ างครั้งผู้ส่งสาร จ าเป็นต้องมีบริบททางภาษา เช่น ค าขยายเพื่อประกอบวัจนภาษาให้เข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้น ๑.๑.๒ การเขียนและการออกเสียงค า ในการเขียนผู้ส่งสารต้องระมัดระวัง เรื่องสะกดการันต์ ในการพูดต้องระมัดระวังเรื่องการออกเสียง ต้องเขียนและออกเสียงให้ถูกต้อง เพราะถ้าเขียนผิดหรืออกเสียงผิด ความหมายก็จะเปลี่ยนแปลง ท าให้การรับรู้คลาดเคลื่อนได้ ๑.๑.๓ การเรียบเรียงประโยค ผู้ส่งสารจ าเป็นต้องศึกษาโครงสร้างประโยคเพื่อ วางต าแหน่งของค าในประโยคให้ถูกต้อง ถูกที่ ไม่สับสน ๑.๒ ความเหมาะสม เพื่อให้การสื่อสารบรรลุเป้าหมาย ผู้ส่งสารต้องค านึงถึง ๑.๒.๑ ใช้ภาษาให้เหมาะกับลักษณะการสื่อสาร ผู้ส่งสารต้องพิจารณาว่าสื่อสาร กับบุคคล กลุ่มบุคคล หรือมวลชน เพราะขนาดของกลุ่มมีผลต่อก ารเลือกใช้ภาษา เช่น การสื่อสารกับมวลชนต้องใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่มีศัพท์ทางวิชาการ เป็นต้น


ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๕ ๑.๒.๒ ใช้ภาษาให้เหมาะสมกับลักษณะงาน เช่น งานประพันธ์ งานโฆษณา งานประชุม ฯลฯ แต่ละงานมีภาษาเฉพาะ ผู้ส่งสารจ าเป็นต้องเรียนรู้ลักษณะภาษาที่เหมาะสมกับ งานนั้นๆ ๑.๒.๓ ใช้ภาษาให้เหมาะสมกับสื่อ ผู้ส่งสารจะต้องรู้จักความแตกต่างของสื่อ และความแตกต่างของภาษาที่ใช้กับสื่อแต่ละประเภท เช่น สื่อบุคคลอาจใช้จิตวิทยาทางภาษา เข้ามาเกี่ยวข้อง สื่อโฆษณาต้องใช้ภาษาที่กระชับ กระตุ้นความสนใจของผู้รับสาร ๑.๒.๔ ใช้ภาษาให้เหมาะสมกับผู้รับสารเป้าหมาย ซึ่งผู้รับสารเป้าหมาย คือ กลุ่มผู้รับสารเฉพาะที่ผู้ส่งสารสามารถคาดหวังได้ โดยผู้ส่งสารนั้นต้องวิเคราะห์การใช้ภาษา และเลือกใช้ภาษาให้เหมาะสมกับผู้รับสารนั้นๆ เช่น วัยรุ่น ต้องใช้ภาษาที่สะดุดตา สะดุดใจ เป็นต้น ๒. อวัจนภาษา เป็นภาษาซึ่งมีความหมายหรือมีสารซ่อนอยู่ในถ้อยค า กิริยาอาการต่างๆ ตลอดจนสิ่งอื่นๆ ที่สามารถแปลความหมายได้ เช่น น้ าเสียง กิริยาอาการ การตรงต่อเวลา การยิ้มแย้ม การสบสายตา การเลือกใช้เสื้อผ้า เป็นต้น สิ่งเหล่านี้แม้จะไม่ใช้ถ้อยค า แต่ก็สามารถ สื่อความหมายให้เข้าใจได้ การสื่อสารด้วยวัจนภาษามักมีอวัจนภาษาเข้าไปแทรกอยู่เสมอ โดยอาจตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ได้ ประเภทของอวัจนภาษา การสื่อสารทางวัจนภาษาเป็นการสื่อสารด้านข้อมูล เนื้อหา แต่หากต้องการสื่ออารมณ์ ความรู้สึก ผู้ส่งสารจ าเป็นต้องใช้อวัจนภาษาร่วมกัน การสื่อสารอวัจนภาษาจะแฝงอยู่ใน กิริยา ท่าทาง น้ าเสียง สีหน้า แววตา หรือข้าวของเครื่องใช้ของผู้ส่งสาร (ปรมะ สตะเวทิน, ๒๕๔๐ : ๓๖-๓๘) อวัจนภาษาแบ่งออกเป็น ๗ ประเภท ดังนี้ ๑. เทศภาษา (Proxemic) หมายถึง สถานที่ ระยะห่าง หรือต าแหน่งที่กระท า การสื่อสารซึ่งกันและกัน ย่อมแสดงความสัมพันธ์ พฤติการณ์ หรือบรรยากาศของการสื่อสาร ๒. กาลภาษา (Chonemics) หมายถึง เวลา ช่วงเวลาที่สื่อสารต่อกัน สามารถใช้ แสดงความหมายในการสื่อสารได้ อีกทั้งกาลภาษายังสามารถท าให้ล่วงรู้อุปนิสัยใจคอ สามารถ คาดได้ว่าความต้องการ ความมุ่งหวังจะประสบความส าเร็จ หรือสามารถคาดได้ว่าสิ่งที่รับรู้รับฟัง ในช่วงเวลานั้นต้องเป็นเรื่องด่วนหรือเรื่องส าคัญ ๓. เนตรภาษา (Coulisses) หมายความว่า สายตาจะสื่อความต้องการ อารมณ์ ทัศนคติ หรือบอกทิศได้ ฉะนั้น ขณะท าการสื่อสารควรสบตาคู่สนทนาอย่างน้อยร้อยละ ๖๐-๗๐ ของเวลาที่สื่อเพื่อสร้างความรู้สึกที่ดีและเพื่ออ่านความคิดของกันและกัน ๔. สัมผัสภ าษา (Hepatics) หมายถึง การถูกเนื้อต้องตัวกัน ไม่ว่าจะรุนแรง หรือแผ่วเบา ก็สามารถสื่อความรู้สึกในใจได้ ๕. อาการภาษา (Kinesics) หมายถึง การใช้อากัปกิริยา การเคลื่อนไหวร่างกายเพื่อ สื่อความหมายด้านอารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ความต้องการ ทัศนคติ


๑๖ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร ๖ . วัตถุภ าษ า (Objectics) หมายถึง สิ่งของเครื่องใช้ เสื้อผ้า เครื่องป ระดับ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ การใช้วัตถุภาษาสามารถสื่อความหมายแสดงฐานะ ความชอบ อุปนิสัย สถานภาพ ความก้าวหน้า และความมีระเบียบวินัย ฯลฯ ๗. ปริภาษา(Vocalic/Paralanguage) ๗.๑ ปริภาษาในการพูด หมายถึง น้ าเสียง ซึ่งแฝงอยู่ในค าพูด จังหวะในการพูด ความถี่ขณะพูด ความดัง ระดับเสียงสูงต่ า ฯลฯ การใช้ประภาษาจะสื่อความหมายแสดง ความเชื่อมั่นในตนเอง ความพึงพอใจและอารมณ์ ฯลฯ ๗.๒ ปริภาษาในการเขียน หมายถึง การเว้นวรรค ลายมือ การสะกดค าถูกต้อง ขนาดตัวอักษรความหนักเบา การใช้ปริภาษาในการเขียนจะสื่อสารความหมาย แสดงอุปนิสัย และระดับการศึกษาได้ ๓. ความสัมพันธ์ระหว่างวัจนภาษาและอวัจนภาษา อวัจนภาษาไม่สามารถแยกเด็ดขาด จากวัจนภาษา ผู้ส่งสารมักใช้วัจนภาษาและอวัจนภาษาประกอบกัน เช่น บอกว่า “มา” พร้อมทั้ง กวักมือเรียก เป็นต้น อวัจนภาษากับวัจนภาษามีความสัมพันธ์กันดังนี้ ๓.๑ ใช้อวัจนภาษาแทนค าพูด หมายถึง การใช้อวัจนภาษาเพียงอย่างเดียว ให้ความหมายเหมือนถ้อยค าในภาษา เช่น กวักมือ สั่นศีรษะ เป็นต้น ๓.๒ ใช้อวัจนภาษาขยายความ เพื่อให้ผู้รับสารเข้าใจดียิ่งขึ้น เช่น พูดว่า “อยู่ใน ห้องนั้น” พร้อมทั้งชี้มือไปที่ห้องๆ หนึ่ง แสดงว่าไม่ได้อยู่ที่อื่น ๓.๓ ใช้อวัจนภาษาย้ าความหนักแน่น หมายถึง การใช้อวัจนภาษาประกอบ วัจนภาษา ในความหมายเดียวกัน เพื่อย้ าความให้หนักแน่นชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น “รองเท้าคู่นี้ใช่ไหม” พร้อมทั้ง หยิบรองเท้าขึ้นมาประกอบ ๓.๔ ใช้อวัจนภาษาเน้นความ หมายถึง การใช้อวัจนภาษาย้ าบางประเด็นของวัจ นภาษา ท าให้ความหมายเด่นชัดขึ้น เช่น พาดหัวหนังสือพิมพ์ใช้ตัวอักษรตัวโตพิเศษ แสดงว่า เป็นเรื่องส าคัญมาก ๓.๕ ใช้อวัจนภาษาขัดแย้งกัน หมายถึง การใช้อวัจนภาษาให้ความหมายตรงกันข้าม กับวัจนภาษา ผู้รับสารมักจะเชื่อถือสารจากอวัจนภาษาว่าตรงกับความรู้สึกมากกว่า เช่น พูดว่า “โกรธไหมจ๊ะที่ผมมาช้า” ผู้รับสารตอบว่า “ไม่โกรธหรอกค่ะ” พร้อมมีสีหน้าบึ้งตึง ผู้ส่งสารก็รู้ ได้ทันทีว่ายังโกรธอยู่ ๓.๖ ใช้อวัจนภาษาควบคุมปฏิสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสาร หมายถึง การใช้กิริยา ท่าทาง สายตา น้ าเสียง สร้างความสัมพันธ์ระหว่างการสื่อสาร เช่น การยิ้มแย้มแจ่มใส การแสดงความดีใจที่ได้พบกัน อวัจนภาษามีผลในด้านการสร้างความรู้สึกและอารมณ์ได้มากกว่าวัจนภาษา การใช้อวัจนภาษา จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ผู้ส่งสารและผู้รับสารจะต้องระมัดระวัง ถ้ารู้จัก เลือกใช้อวัจนภาษาเพื่อเสริมหรือเน้น หรือแทนวัจนภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ การสื่อสารสัมฤทธิ์ผลมากขึ้น นับว่าสารที่ไม่ปรากฏถ้อยค ามีประโยชน์ในแง่การสื่อสาร สรุปได้


ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๗ หลายประการ คือ ๑ . ย้ าค วามหนั กแน่น เช่น อ าก ารพยักหน้ า ค้อมศี รษ ะ โบ กมือ ส่ ายหน้ า หรือแม้แต่ความเฉยชาก็ยังย้ าความหนักแน่นได้ ๒ . ใช้เป็นก ารปฏิเส ธห รือตอบ รับโดยไม่ต้องพูด ไม่ต้องเขียน ซึ่งท าให้เกิด ความน่าเชื่อถือ สื่อความและลดความขัดแย้งได้ ๓. เพิ่มพูนความรู้สึกซาบซึ้ง หนักแน่น ๔. เพิ่มชีวิต วิญญาณ สร้างสีสันให้มีชีวิตจิตใจ สร้างความประทับใจ ๕. สร้างขวัญก าลังใจและความรื่นรมย์ ๖. บ่งบอกความสามารถในการใช้ภาษา ทั้งวาโทบายและเล่ห์ทางภาษา ๗. สร้างไมตรีสัมพันธ์ จุดมุ่งหมายของการสื่อสาร การสื่อสารของบุคคลหรือกลุ่มบุคคลทั้งสองฝ่ายจะบรรลุตามเป้าหมาย บุคคลทั้งสองฝ่าย จะต้องตระหนักว่าตนเองมีจุดมุ่งหมายอะไรในการที่จะสื่อความหมาย เพื่อให้ทราบว่าการสื่อสาร ในครั้งนั้นผู้ส่งสารต้องการอะไร และผู้รับสารมีความต้องการอะไร ดังนั้น ผู้ส่งสารและผู้รับสาร มีจุดมุ่งหมายของการสื่อสารมากมายต่างกัน ผลของการสื่อสารที่คาดหวังก็ย่อมต่างกันออกไปด้วย ดังนี้ จุดมุ่งหมายของผู้ส่งสาร สิ่งที่เกิดขึ้นในตัวผู้รับสาร ๑. เพื่ออธิบาย บรรยาย เล่า สอน แจ้งให้ ทราบ (to inform) ๒. เพื่อถามให้ได้ค าตอบ (to question) ๓. เพื่อจรรโลงใจ (to inspire) ๔. เพื่อผ่อนคลายหรือให้ความเพลิดเพลิน (to entertain) ๕. เพื่ อ โ น้ ม น้า ว ห รื อ ชั กจูง ใ จ (to persuade) ๑. เข้าใจ ได้ข้อมูล มีความรู้ รับทราบ คล้อย ตามถ่ายทอด เกิดการเปลี่ยนแปลง ๒. เพื่อรับทราบค าถามและให้ค าตอบ ๓. เกิดความเข้าใจซาบซึ้ง มีจินตนาการ คล้อยต าม ค วาม รู้สึกชื่น ชม จิตใจถูก ยกระดับสูงขึ้น เกิดอารมณ์คล้อยตาม ๔. สนุกรื่นเริง คลายความตึงเครียด น าสาร ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ๕. เกิดการเปลี่ยนแปลงทางทัศนคติ ความ เชื่อ ค่านิยม หรือการกระท า การลงมือ ปฏิบัติ เกิด อารมณ์คล้อยตาม ตารางที่ ๑.๑ จุดมุ่งหมายของผู้ส่งสารและสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวผู้รับสาร ประเภทของการสื่อสาร นักวิชาการด้านนิเทศศาสตร์ได้จ าแนกการสื่อสารโดยใช้จ านวนผู้ท าการสื่อสารเป็นหลัก สามารถแบ่งการสื่อสารออกเป็น ๕ ประเภท คือ (ยุบล เบ็ญจรงค์กิจ, ๒๕๔๒)


๑๘ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร ๑. การสื่อสารภายในบุคคล (Intrapersonal Communication) เป็นการสื่อสาร ของบุคคลคนเดียว เป็นการสื่อสารที่เกิดขึ้นภายในตัวของบุคคลคนเดียว ท าหน้าที่เป็นผู้ส่ง และผู้รับสาร โดยระบบประสาทส่วนกลางของบุคคลจะคอยควบคุมการสื่อสาร ตัวอย่างเช่น การพูดกับตัวเอง ร้องเพลงฟังคนเดียวในห้องน้ า คิดถึงงานที่จะท า เขียนจดหมายแล้วอ่านเอง การเห็นภาพแล้วเกิดจินตนาการ ๒. การสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication) เป็นการสื่อสาร ที่ผู้ส่งสารและผู้รับสารมีจ านวน ๒ คน มักเป็นการสื่อสารแบบเห็นหน้าเห็นตากัน (Face–to-face Communication) เช่น การสื่อสารในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง เพื่อนร่วมงาน การเรียนในชั้นเรียน ๓ . การสื่อส ารใน กลุ่มย่อย (Small Group Communication) เป็นก ารสื่อส าร ที่มีกลุ่มผู้ส่งสารและผู้รับสารไม่มากนัก ตั้งแต่ ๔–๕ คน ถึงประมาณ ๑๕ คน กลุ่มที่มารวมอาจเป็น เพื่อการท างานเฉพาะกิจหรือเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะกิจ กลุ่มมักจะไม่ได้อยู่ร่วมกันเป็นเวลานานๆ เมื่อกิจหรือวัตถุประสงค์ที่ตั้งเอาไว้เสร็จสิ้นลงก็แยกย้ายกันไป การสื่อสารในกลุ่มย่อย ได้แก่ การจัดประชุม สัมมนา การอภิปราย การจัดแถลงข่าว การพูดหาเสียง ๔. การสื่อสารในองค์กร (Organization Communication) เป็นการสื่อสารเกิดขึ้น ระหว่างกลุ่มผู้ส่งสารและผู้รับสารที่มีความเกี่ยวข้องกันในระบบของการท างานร่วมกัน เป็นการสื่อสารเพื่อให้กิจกรรมต่างๆ ขององค์กรด าเนินไปได้ และได้ผลงานออกมาตามที่องค์กร ตั้งวัตถุประสงค์ไว้ การสื่อสารภายในองค์กรมีหลายลักษณะ เช่น การสื่อสารระหว่างผู้บังคับบัญชา การสื่อสารระหว่างผู้ร่วมงานระดับเดียวกัน และการสื่อสารระหว่างผู้ปฏิบัติงานที่อยู่คนละสายงาน และต่างระดับกัน ๕ . ก า รสื่ อ ส า รม วล ชน (Mass Communication) เป็ น ก า รสื่ อ ส า รที่ ผู้ รับ ส า ร มีจ านวนมากจนไม่สามารถนับได้ว่ามีกี่คนและผู้รับสารมีลักษณะที่เรียกว่า เป็นสาธารณชน (Public) การสื่อสารมวลชนนั้นเป็นการสื่อสารที่ช่องทางการสื่อสาร หรือ สื่อ มีบทบาทส าคัญเป็นอย่างยิ่ง ที่ท าหน้าที่น าเอาข่าวสารจากแหล่งก าเนิดมาเผยแพร่ผ่านสื่อมวลชนกระจายข่าวไปสู่สาธารณชน สื่อมวลชนนั้นมีหลายรูปแบบ เช่น หนังสือ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วิทยุ โทรทัศน์ ภาพยนตร์ หนังสือพับ ประกาศ การสื่อสารมวลชนเป็นการสื่อสารข่าวสารสู่สาธารณชน มีจุดประสงค์ ของการสื่อสารโดยสรุป ๔ ประการ ดังนี้ ๕.๑ หน้าที่ให้ข่าวสารแก่สาธารณชน ๕.๒ หน้าที่ชักจูงใจ ๕.๓ หน้าที่ให้การศึกษา ๕.๔ หน้าที่ให้ความบันเทิง


ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๑๙ รูปแบบของการสื่อสาร รูปแบบของการสื่อสาร ได้แก่ การแบ่งประเภทย่อยของการสื่อสาร ซึ่งมีวิธีแบ่งได้หลายวิธี ดังที่ สนิท สัตโยภาส (๒๕๔๕ : ๖-๗) ได้สรุปไว้ ดังนี้ ๑. แบ่งรูปแบบของการสื่อสารตามจ านวนของผู้ท าการสื่อสาร การแบ่งรูปแบบของการสื่อสารตามวิธีนี้จะสามารถแบ่งได้ ๔ ประเภท คือ ๑.๑ การสื่อสารภายในตัวบุคคล ได้แก่ การสื่อสารที่บุคคลสื่อสารกับตัวเอง ได้แก่ การนึกคิด การใคร่ครวญ การล าดับความหรือเหตุการณ์ การจินตนาการ หรือการคิดวางแผนงาน เป็นต้น นักการสื่อสารบางท่านไม่ยอมรับว่าการสื่อสารที่เกิดภายในตัวบุคคลเป็นการสื่อสาร เนื่องจากผลของการสื่อสารไม่ปรากฏออกมาให้เห็นชัดเจนเหมือนการสื่อสารกับบุคคลอื่น ๑.๒ การสื่อสารระหว่างบุคคล ได้แก่ การสื่อสารที่สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ๒ คนมักออกมาในรูปของการสนทนา การพูดคุย การถกเถียง การพูดโทรศัพท์ เป็นต้น โดยมาก จะเป็นการสื่อสารอย่างไม่เป็นทางการ ภาษาที่ใช้จะมีทั้งวัจนภาษา (ภาษาถ้อยค า) และ อวัจนภาษา (ภาษาที่ไม่ใช้ถ้อยค า) การสื่อสารในลักษณะนี้ วัฒนธรรมจะเข้ามามีบทบาทในการสื่อสารสูงมาก โดยเฉพาะเรื่องมารยาท เพศ ระบบอาวุโส เป็นอาทิ ๑.๓ การสื่อสารในกลุ่มบุคคล ได้แก่ การสื่อสารระหว่างบุคคลตั้งแต่ ๓ คนขึ้นไป เช่น การประชุม การอบรมสัมมนา การปรึกษาหารือ การแลกเปลี่ยนความคิด การสื่อสารประเภทนี้ ถ้าเป็นการสื่อสารกันภายในกลุ่มขนาดเล็ก สมาชิกในกลุ่มจะมีปฏิสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน แต่ถ้าเป็นกลุ่มใหญ่สมาชิกภายในกลุ่มจะมีโอกาสปฏิสัมพันธ์กันน้อย ๑.๔ การสื่อสารมวลชน ได้แก่ การสื่อสารที่ผู้ส่งสารเป็นองค์กรที่สื่อสารไปยัง บุคคลจ านวนมากซึ่งอยู่ในที่ต่างๆ กัน (มวลชน) จะมีทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร วิทยุ โทรทัศน์ เป็นต้น การสื่อสารมวลชนมักเป็นการสื่อสารทางเดียวที่สื่อสารจากกลุ่มผู้ส่งสาร ท าการส่งสาร อย่างเปิดเผยผ่านสื่อดังกล่าวไปยังมวลชน การได้ข้อมูลย้อนกลับจะมีค่อนข้างน้อยและล่าช้า เช่น การวิจารณ์ข่าวทางหนังสือพิมพ์ การมีจดหมายโต้ตอบมาถึงผู้ส่งสาร เป็นต้น ๒. แบ่งรูปแบบของการสื่อสารตามการตอบสนอง ถ้าใช้ลักษณะของการตอบสนองเป็นเกณฑ์ การสื่อสารจะแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ ๒.๑ การสื่อสารทางเดียว คือ การสื่อสารที่ผู้ส่งข้อมูลข่าวสารไปยังผู้รับสาร จะไม่เห็น การตอบสนองโดยทันทีทันใด การตอบสนองจะมีบ้างแต่ก็ต้องใช้เวลา จึงดูเหมือนว่าผู้ส่งสาร มีบทบาทสื่อสารเพียงฝ่ายเดียว เช่น การส่งสารทางวิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ ภาพยนตร์ หนังสือพิมพ์ หรือเรียกอีกอย่างว่า “การสื่อสารมวลชน” นั่นเอง ๒.๒ การสื่อสารแบบสองทาง คือ การสื่อสารที่มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกัน ระหว่างผู้สื่อสารด้วยกัน ได้แก่ การสื่อสารระหว่างบุคคล การสื่อสารในกลุ่มบุคคล และการสื่อสาร ในที่สาธารณะ เช่น การสนทนา การประชุมสัมมนา การพูดโทรศัพท์ การอภิปรายทั่วไป เป็นต้น


๒๐ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร ๓. แบ่งรูปแบบของการสื่อสารตามวิธีการที่ใช้ในการส่งสารและรับสาร ในชีวิตประจ าวันของมนุษย์จะมีการส่งสารและรับสารอยู่ตลอดเวลา บางต าราเรียก การส่งสารว่า “การเข้ารหัสสาร” และเรียกการรับสารว่า “การถอดรหัสสาร” ดังนั้น จึงสามารถ แบ่งรูปแบบของการสื่อสารตามลักษณะดังกล่าวนี้ได้ ๒ ประเภท คือ ๓.๑ การส่งสาร (Expressive Skills) ได้แก่ วิธีการที่ผู้ส่งสารเสนอสารไปสู่ผู้รับสาร ด้วยการพูดและการเขียน ๓.๑.๑ การพูด หมายถึง การสื่อความหมายของมนุษย์ด้วยการเปล่งเสียงออกมา เป็นเรื่องราว และมีกิริยาท่าทางเป็นเครื่องถ่ายทอดความรู้ ความคิด และความรู้สึกจากผู้พูด ไปยังผู้ฟัง ดังแผนภูมิ ๓.๑.๒ การเขียน หมายถึง การแสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกออกมา ให้ผู้อื่นรับรู้ด้วยวิธีการถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร ดังแผนภูมิ ๓.๒ การรับสาร (Receptive Skills) ได้แก่ วิธีการที่ผู้รับสารถอดรหัสสารด้วยการฟัง และการอ่าน ๓.๒.๑ การฟัง หมายถึง การได้ยินและเข้าใจความหมายของเรื่องราวได้ ตรงตามจุดประสงค์ของผู้พูด พร้อมทั้งสามารถใช้วิจารณญาณพิจารณาคุณค่าของเรื่องที่ฟังได้ด้วย ดังแผนภูมิ ๓.๒.๒ การอ่าน หมายถึง การแปลความหมายของตัวอักษรออกมาเป็นแนวคิด หรือถ้อยค า แล้วน าความคิดนั้นไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ดังแผนภูมิ ผู้พูด เสียงและกิริยาท่าทาง ผู้ฟัง ปฏิกิริยาจากผู้ฟัง ผู้เขียน ตัวอักษรและความหมาย ผู้อ่าน ปฏิกิริยาจากผู้อ่าน ผู้ฟัง ได้ยินเสียงและเข้าใจความหมาย คิด น าไปใช้ ผู้อ่าน ตัวอักษรและความหมาย เลือกความหมาย น าไปใช้


ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๒๑ อุปสรรคของการสื่อสาร การสื่อสารนั้นมีทั้งที่เป็นไปตามความประสงค์และไม่บรรลุตามความประสงค์ ดังนั้น เราจึง ควรหาวิธีที่ท าให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพมากที่สุดและหาวิธีขจัดอุปสรรคของการสื่อสาร โดยวิธีหนึ่งที่จะช่วยลดอุปสรรคของการสื่อสารก็คือ จะต้องพิจารณาองค์ประกอบแต่ละส่วน ของกระบวนการสื่อสาร รวมทั้งพิจารณาเงื่อนไขอื่นๆ ด้วยว่าในแต่ละส่วนนั้นสามารถเกิดอุปสรรค ขึ้นได้อย่างไรบ้าง และจะขจัดอุปสรรคนั้นด้วยวิธีการใด โดยสามารถสรุปอุปสรรคของการสื่อสาร ในด้านต่างๆ ไว้ดังนี้ องค์ประกอบ ลักษณะที่เป็นอุปสรรค ผู้ส่งสาร ๑. ขาดพื้นความรู้ มีความรู้น้อยหรือรู้ไม่จริง ๒. ขาดความสนใจและความรู้สึกที่ดีต่อประเด็นที่จะสื่อสารและตัวผู้รับสาร ๓. ขาดความสันทัดในการใช้ภาษา ๔. เกิดความไม่พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ ๕. ความแตกต่างกันในภูมิหลัง แตกต่างทางวัฒนธรรมประเพณี ตัวสาร ๑. เนื้อหาของสารยากเกินไป มีความซับซ้อนลึกซึ้งเกินสติปัญญาของผู้รับ สาร ๒. อยู่ห่างไกลประสบการณ์ของผู้รับสาร ๓. มีเนื้อความที่ผู้รับสารได้ยินอยู่จ าเจหรือแปลกใหม่เกินความคิดนึกของ ผู้รับ ภาษา ๑. ใช้ภาษาที่เข้าใจได้ยากหรือเลือนราง ๒. เป็นภาษาที่ผิดระดับ ๓. ใช้ส านวนภาษาที่ไม่ตรงตามเนื้อหา เรียงล าดับค าสับสน ผู้รับสาร ๑. เช่นเดียวกับผู้ส่งสาร ๒. มีอคติและทัศนคติที่ไม่พึงประสงค์ต่อผู้ส่งสาร ๓. มีความคาดหวังสูงเกินไป เช่น ต้องการให้ผู้ส่งสารชี้แจงให้ผู้รับสารเข้าใจ ภายในระยะเวลาอันสั้น สื่อ ๑. อยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสม ๒. สื่อขัดข้อง เช่น การพูดโทรศัพท์ที่สายขัดข้อง ท าให้ได้ยินไม่ชัดเจน กาลเทศะ และ สภาพแวดล้อม ๑. อยู่ในกาลเทศะที่ไม่เหมาะสม เช่น ชักชวนเพื่อนให้เล่นกับเราในขณะที่ เขาก าลังดูหนังสือเตรียมสอบ ๒. อยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสม เช่น สนทนากันในบริเวณที่มีเสียงดังมากๆ ท า ให้สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ตารางที่๑.๒ อุปสรรคของการสื่อสาร


๒๒ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร นอกจ ากนี้ คณ ะก รรมก ารวิช าภ าษ าไทยเพื่ อก ารสื่อส าร ศูนย์ วิช าบู รณ าก าร หมวดวิชาศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (๒๕๔๙ : ๒๔-๒๙) ได้กล่าวถึงอุปสรรค ของการสื่อสาร สรุปไว้ดังนี้ ๑. สาเหตุที่เกิดจากผู้ส่งสาร ผู้ส่งสารเป็นองค์ประกอบเบื้องต้นในกระบวนการสื่อสาร เนื่องจากเป็นผู้เลือกข้อมูลข่าวสาร เลือกวิธีการและช่องทางที่จะท าให้สารไปถึงผู้รับสาร สาเหตุที่ ท าให้การสื่อสารไม่สัมฤทธิ์ผลอันเนื่องมาจากตัวผู้ส่งสาร ได้แก่ ๑ .๑ ค ว า ม รู้ ค ว า ม ส า ม า ร ถ (Knowledge and Competency) ห ม า ย ถึง การมีความรู้ความเข้าใจ และความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับสารที่ต้องการจะสื่อ หากผู้ส่งสาร ขาดความรู้ความเข้าใจในสารนั้นๆ ย่อมไม่อาจถ่ายทอดให้ผู้รับสารมีความรู้หรือเชื่อถือปฏิบัติตามที่ ผู้ส่งสารต้องการได้ นอกจากนั้น ยังหมายรวมถึงการมีความสามารถในการใช้ภาษาที่เหมาะสม กับบุคคลและกาลเทศะ ตลอดจนมีความรู้เกี่ยวกับกระบวนการสื่อสาร สามารถใช้สื่อที่เหมาะสม และทันสมัย ได้แก่ เครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ เครื่องคอมพิวเตอร์ ฯลฯ สามารถวิเคราะห์ผู้ฟัง และสามารถแก้ปัญหาหรืออุปสรรคที่ขัดขวางการสื่อสารได้ ๑.๒ บุคลิกลักษณะ (Personalities) ผู้ส่งสารต้องมีทัศนคติที่ดี ๓ ประการคือ ๑) ทัศนคติที่ดีต่อตนเอง มีความมั่นใจในความรู้ความสามารถของตนเอง คิดว่า เป็นผู้ส่งสารที่ดีได้ หากขาดความมั่นใจในตนเองแล้ว จะส่งผลต่อบุคลิกภาพและท าให้ความสามารถ ในการส่งสารน้อยลง ๒) ทัศนคติที่ดีต่อสารที่จะสื่อ การมีความรู้สึกที่ดีเกี่ยวกับสารจะมีผลดีต่อ การสื่อสาร เหมาะจะท าให้ผู้ส่งสารสนใจศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อให้มีความรู้ในเรื่องนั้นๆ มากขึ้น ๓) ทัศนคติที่ดีต่อผู้รับสาร หากผู้ส่งสารมีความรู้สึกที่ดีต่อผู้รับสารก็จะช่วยกระตุ้น ให้ผู้ส่งสารมีความกระตือรือร้น ตั้งใจ และมีความพยายามในการสื่อสารอย่างเต็มที่ ๑.๓ สภาพร่างกายและจิตใจ (Physical and Mental Health) ในขณะสื่อสาร หากผู้ส่งสารมีสภาพร่างกายหรือจิตใจที่ไม่พร้อม เช่น เจ็บป่วย เมื่อยล้า หิวหรืออิ่มเกินไป ง่วงนอน วิตกกังวล เสียใจ ฯลฯ เหล่านี้ล้วนส่งผลท าให้ประสิทธิภาพในการสื่อความลดลง ๑.๔ เจตนา (Intention) การสื่อสารที่ผู้ส่งสารไม่มีเจตนา อาจเป็นการส่งสารที่ไม่ได้ เตรียมตัวล่วงหน้า เช่น การพูดโดยฉับพลันท าให้จัดล าดับความคิดสับสน หรือเป็นการส่งสาร โดยบังเอิญ เช่น ในกรณีที่ผู้หญิงคนหนึ่งท าผ้าเช็ดหน้าหรือหนังสือตกขณะเดินผ่านผู้ชาย ก็อาจท าให้ ผู้รับสารตีความหรือคิดไปเองว่าผู้ส่งสารเรียกร้องความสนใจก็เป็นไปได้ ๒. สาเหตุที่เกิดจากสาร สารเป็นสิ่งที่เกิดจากความรู้สึกนึกคิด อารมณ์ ความต้องการ หรือเนื้อหาสาระที่ผู้ส่งสารต้องการสื่อออกไป ซึ่งอาจถ่ายทอดในรูปของภาษาพูด ภาษาเขียน หรือกิริยาท่าทาง เบอร์โล (๑๙๖๐) ได้กล่าวถึงส่วนประกอบส าคัญของสารว่าประกอบด้วยสามส่วน คือ ๒.๑ รหัสสาร (Message Codes) รหัสสารก็คือ ภาษา สัญลักษณ์ หรือสัญญาณที่ มนุษย์ก าหนดขึ้นมาเพื่อแสดงออกแทนความคิด ความรู้สึก ความเชื่อ ฯลฯ ของผู้ส่งสารซึ่งแตกต่าง


ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๒๓ กันไปตามเชื้อชาติและวัฒนธรรม รหัสสารที่เป็นภาษาท่าทาง เช่น การสื่อความหมายว่า “ใช่” คนไทยจะพยักหน้าขึ้นลง ในขณะที่ชาวอินเดียและชาวบัลแกเรียจะส่ายหน้า ความแตกต่างของ รหัสสารที่ใช้ในการสื่อสารของแต่ละชาติแต่ละวัฒนธรรมดังกล่าวอาจเป็นอุปสรรคและเป็นสาเหตุ ที่ท าให้การสื่อสารไม่บรรลุวัตถุประสงค์ได้ นอกจากนี้ การสะกดค าผิด การใช้ค าย่อ ค าพ้องรูป พ้องเสียง ค าที่มีหลายความหมาย ค าที่สื่อความหมายแฝงหรือความหมายโดยนัย ค าที่ใช้เฉพาะกลุ่ม ค าแสลง หรือแม้แต่ปริภาษา เช่น ขนาดตัวหนังสือที่เล็กเกินไป หรือเสียงพูดที่ดัง ค่อย ทุ้ม ต่ า จนเกินไป ก็อาจเป็นสาเหตุที่ท าให้การสื่อสารไม่สัมฤทธิ์ผลเช่นกัน ๒.๒ เนื้อหาของสาร (Message Content) หมายถึง สาระเรื่องราวต่างๆ ที่ผู้ส่งสาร ต้องการถ่ายทอดไปยังผู้รับสาร ซึ่งอาจจ าแนกออกเป็นเนื้อหาที่เป็นวิชาการ เนื้อหาบันเทิง เนื้อหา แสดงความคิดเห็น ฯลฯ ปัญหาการสื่อสารที่เกิดจากเนื้อหาสารก็คือ การสื่อสารที่มีเนื้อหาสาระ ค่อนข้างยาก มีรายละเอียดมาก ซับซ้อน ยากต่อการท าความเข้าใจ มีค าศัพท์เฉพาะ หรืออาจเป็น เนื้อหาที่ไม่เหมาะสมกับบุคคลและกาลเทศะ ๒.๓ การจัดเรียงล าดับสาร (Message Treatment) คือ รูปแบบวิธีการในการน า รหัสสารมาเรียบเรียงให้ได้ใจความตามเนื้อหาที่ต้องการ ซึ่งจะแตกต่างไปตามลักษณะโครงสร้าง ภาษา บุคลิกลักษณะ และลีลาการใช้ภาษาของแต่ละบุคคล เช่น ประโยคในภาษาไทยจะมี โครงสร้างประโยคโดยเรียงล าดับเป็น ประธาน (ส่วนขยายประธาน) กริยา กรรม (ส่วนขยายกรรม) (ส่วนขยายกริยา) หากเรียงล าดับผิดก็อาจท าให้เป็นประโยคที่ไม่สื่อความหรือเป็นคนละความหมาย นอกจากนี้ บุคลิกลักษณะและลีลาการใช้ภาษาของแต่ละคนนั้นก็มีผลต่อความสัมฤทธิ์ ผลของการสื่อสาร เช่น คนใจร้อนมักพูดเร็ว รัวหรือรวบรัด จนท าให้สาระบางส่วนขาดหายไป และผู้รับสารอาจฟังไม่ทัน หรือผู้ส่งสารที่ชอบพูดทีเล่นทีจริง อาจท าให้ผู้รับสารสับสนว่าสารใด ที่เป็นจริงและสารใดที่เป็นเท็จ ซึ่งอาจท าให้เกิดความเข้าใจผิดได้ ๓. สาเหตุที่เกิดจากสื่อหรือช่องทางการสื่อสาร (Media or Channel) สื่อ หมายถึง พาหนะที่น าพาสารจากผู้ส่งไปยังผู้รับสาร ซึ่งหมายรวมถึงประสาทสัมผัสทั้ง ๕ ของมนุษย์ ในการสื่อสารแต่ละครั้งนั้น หากใช้สื่อที่ขาดประสิทธิภาพหรือไม่มีความเหมาะสม หรือส่งสารผ่าน ช่องทางการสื่อสารที่ไม่เหมาะสมแล้ว ย่อมส่งผลโดยตรงต่อการบรรลุวัตถุประสงค์ของการสื่อสาร การใช้สื่อหรือช่องทางการสื่อสารที่ไม่เหมาะสม อาจจ าแนกได้เป็น ๔ ประเภท ดังต่อไปนี้ ๓.๑ การเลือกใช้สื่อที่ไม่เหมาะสมกับผู้ส่งสาร เช่น ครูที่ยังไม่มีความรู้ความช านาญ ในการใช้คอมพิวเตอร์ แต่ให้เจ้าหน้าที่ช่วยเตรียมสื่อการสอนด้วยโปรแกรม Ms Power Point ขณะ สอนหนังสืออาจมีปัญหา ท าให้การเรียนการสอนไม่ราบรื่น ๓.๒ การเลือกใช้สื่อที่ไม่เหมาะสมกับเนื้อหาของสาร การส่งเนื้อหาสารที่มี ความละเอียดซับซ้อนผ่านสื่อวิทยุแทนที่จะส่งสารผ่านสื่อสิ่งตีพิมพ์ อาจท าให้ผู้ฟังได้เนื้อหาสาระไม่ ครบถ้วนเพราะไม่สามารถฟังสารนั้นซ้ าเพื่อท าความเข้าใจได้อีก แต่หากส่งสารผ่านสื่อสิ่งพิมพ์อาจ ท าให้ผู้รับสารเข้าใจรายละเอียดเหล่านั้นได้ดีกว่า เนื่องจากสามารถน ากลับมาอ่านทบทวน เพื่อตีความและท าความเข้าใจได้อีกหลายครั้งจนกว่าจะเข้าใจ


๒๔ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร ๓.๓ การเลือกใช้สื่อที่ไม่เหมาะสมกับผู้รับสาร การใช้ภาพยนตร์ซึ่งเป็นสื่อที่มีราคาแพง เพียงสื่อเดียวเพื่อประชาสัมพันธ์ให้ความรู้กับประชาชนเรื่องการป้องกันโรคไข้เลือดออก ประชาชน ผู้รับสารที่มีฐานะไม่ดีอาจเข้าไม่ถึงสื่อดังกล่าว ท าให้ไม่ได้รับข้อมูลข่าวสาร ๓.๔ การเลือกใช้สื่อที่ไม่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม เช่น การใช้สื่อที่ส่งผ่านคลื่น ไม่ว่าจะเป็นสื่อโทรทัศน์หรือสื่อวิทยุ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับการคุมก าเนิดแก่ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ ภูเขาหรือเกาะที่มีสภาพอากาศแปรปรวน เป็นพื้นที่ที่ระบบสาธารณูปโภคยังเข้าไม่ถึง เนื้อหาสาระ ที่สื่อออกไปย่อมไม่ถึงผู้รับสาร หรือส่งสารด้วยการพูดในที่มีเสียงดังอึกทึก เช่น การท างานใกล้ เครื่องจักรกล อาจสื่อความได้ไม่ดีเท่ากับการส่งสารด้วยการเขียน ๔ . ส าเห ตุ ที่ เกิ ด จ าก ผู้ รับ ส า ร เนื่ องจ าก ผู้ รับ ส า รเป็ น อี กบุ ค ค ล ที่ ส าคัญ ใน กระบวนการสื่อสาร เพราะการสื่อสารจะส าเร็จหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับผู้รับสารว่ามีความรู้ ความเข้าใจ หรือมีการเปลี่ยนแปลงไปตามวัตถุประสงค์ที่ผู้ส่งสารต้องการหรือไม่ ดังนั้น สาเหตุที่จะท าให้ การสื่อสารไม่สัมฤทธิ์ผลเนื่องจากตัวผู้รับสารจึงขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้ ๔.๑ ค ว า ม รู้ ค ว า ม ส า ม า ร ถ (Knowledge and Competence) ห ม า ย ถึง การมีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับเนื้อหาสาระของผู้รับสาร หากผู้รับสารมีความรู้ หรือมีประสบการณ์ จะท าให้เข้าถึงเนื้อหาสาระที่ผู้ส่งสารถ่ายทอดมาได้อย่างถูกต้องชัดเจน และครบถ้วน นอกจากนี้ ความรู้ความสามารถของผู้รับสารยังหมายรวมถึงการมีความช านาญ ในด้านภาษาและการถอดรหัสสาร ได้แก่ ความสามารถในการอ่าน การฟัง การจับใจความ และการตีความสารอย่างถูกต้องตามเจตนาของผู้ส่งสาร เช่น การตีความหมายของค า ส านวน และค าป ระพัน ธ์ร้อยกรองที่มีโวห ารเป รียบเทียบลึกซึ้งได้ ตลอดจนมีความรู้เกี่ยวกับ กระบวนการสื่อสารและทราบบทบาทหน้าที่ของตนเอง ไม่ท าตัวเป็นอุปสรรคของการสื่อสาร เช่น การตั้งใจฟังครูบรรยายเนื้อหาวิชา ไม่พูดคุยแข่งกับผู้พูด เพราะตระหนักว่าจะรบกวนการรับสาร ของตนเอง เป็นอุปสรรคต่อผู้อื่นด้วย หรืออาจมีการเตรียมศึกษาข้อมูลล่วงหน้าเพื่อให้เข้าใจบทเรียน ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ๔.๒ บุ ค ลิ ก ลั ก ษ ณ ะ (Personalities) เป็ น สิ่งที่ เกิ ด จ า ก ก า ร อ บ ร ม เลี้ ยงดู และอาจแตกต่างกันตามสภาพแวดล้อม บุคลิกภาพของผู้รับสารที่แตกต่างไปนั้นอาจแบ่งได้ ๒ ลักษณะใหญ่ คือ บุคลิกภาพจากภายนอก เช่น รูปร่าง หน้าตา การแต่งกาย ส่วนบุคลิกภาพ จากภ ายในที่มีผลต่อการรับส าร อันได้แก่ อุปนิสัยใจคอ ปฏิภ าณไหวพ ริบ สติปัญ ญ า และความเฉลียวฉลาด ๔.๓ ทั ศ น ค ติ (Attitudes) ห ม า ย ถึง ก า ร รั บ รู้ ก า ร มี ค ว า ม รู้ สึ ก นึ ก คิ ด หรือมีความคิดเห็นต่อบุคคลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจเป็นความคิดที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก เช่น ความคิดเห็นเกี่ยวกับศาสนา การเมือง และรูปแบบการด าเนินชีวิต หรืออาจเป็นความรู้สึกนึกคิด ที่ผิวเผิน เปลี่ยนแปลงได้ง่ายตามยุคสมัย เช่น แฟชั่น ศิลปิน และแนวดนตรีต่างๆ เป็นต้น ทัศนคติ ของผู้รับสารมีความเกี่ยวข้องกับการสื่อสารอย่างมาก เพราะถ้าผู้รับสารมีความรู้สึกที่ไม่ดีหรือมีอคติ ต่อองค์ประกอบใดๆ ของการสื่อสาร ก็จะท าให้ผู้รับสารไม่สนใจ หลีกเลี่ยงหรือปิดกั้นการรับข่าวสาร


ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร | ๒๕ จากผู้ส่งสาร ดังนั้น เพื่อให้การสื่อสารสัมฤทธิ์ผลผู้รับสารควรมีทัศนคติที่ดี ๓ ประการ ดังต่อไปนี้ ๑) ทัศนคติที่ดีต่อตนเอง คือ มีความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง ภูมิใจและมั่นใจ ในความรู้ความสามารถของตนเองว่าเป็นผู้รับสารที่ดีได้ หากผู้รับสารมีทัศนคติเชิงลบกับตนเอง ประเมินค่าตนเองว่าเป็นคนโง่ ไม่เฉลียวฉลาด ไม่สามารถเรียนรู้และเข้าใจอะไรใหม่ๆ ได้ ก็จะส่งผลต่อความสามารถในการรับรู้ การตีความ และท าให้กลายเป็นคนที่ปิดกั้นตนเองจาก โลกภายนอก หรือหลีกเลี่ยงการรับข่าวสารต่างๆ ๒) ทัศนคติที่ดีต่อเนื้อหาสาร หากผู้รับสารมีความรู้สึกที่ดีต่อข้อมูลข่าวสาร ก็จะสนใจติดตามเพื่อเพิ่มเติมความรู้ให้ตนเองอยู่เสมอ แต่ถ้าผู้รับสารมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อเนื้อหาใด ก็จะพยายามหลีกเลี่ยงข้อมูลข่าวสารนั้นๆ เช่น นิสิตสายวิชาศิลปศาสตร์ส่วนมากมีทัศนคติไม่ดี ต่อวิชาคณิตศาสตร์ หากหลักสูตรบังคับให้เรียนวิชาด้านนี้ ก็ลงทะเบียนเรียนด้วยความจ าเป็น ๓ ) ทั ศ น คติที่ ดี ต่ อ ผู้ ส่งส า ร ผู้ รับ ส า รที่ มี ค ว าม รู้ สึ ก ที่ ดี ต่ อ ผู้ ส่งส า ร ไม่ว่าจะประทับใจหรือชื่นชม ย่อมก่อให้เกิดความรู้สึกในเชิงบวก กระตือรือร้นในการรับข้อมูล ข่าวสารจากผู้ส่งสาร ในทางตรงกันข้าม หากผู้รับสารมีอคติต่อผู้ส่งสาร ก็จะพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ตั้งใจ ไม่สนใจที่จะรับข่าวสารจากผู้ส่งสาร ท าให้การสื่อสารไม่ประสบผลส าเร็จตามวัตถุประสงค์ เช่น นิสิตที่มีทัศนคติต่อครูภาษาไทยในเชิงลบเพราะคิดว่าไม่ทันสมัย จึงเข้าเรียนวิชาภาษาไทย อย่างฝืนใจ ไม่เอาใจใส่ในการเรียน ท าให้ไม่ได้รับความรู้ ไม่ได้ฝึกทักษะตามที่ครูสอน เป็นเหตุให้ ท าข้อสอบไม่ได้และมีผลการเรียนที่ไม่น่าพอใจ ๔.๔ สภาพร่างกายและจิตใจ (Physical and Mental Health) หากการสื่อสาร ค รั้งนั้นเป็นไปใน ขณ ะที่ผู้ รับ ส ารมีสภ าพ ร่างก ายห รือจิตใจไม่พ ร้อม เช่น ป วดศี รษ ะ ไม่ได้รับประทานอาหาร หรือเพิ่งรับประทานอาหารจนอิ่ม อ่อนเพลียเพราะอดนอน เครียด และวิตกกังวล หรือมีเรื่องเสียใจ ฯลฯ สาเหตุเหล่านี้ล้วนมีผลต่อประสิทธิภาพในการรับสาร ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การฟัง หรือการดู ท าให้ไม่สามารถจับใจความส าคัญของเรื่องที่อ่านหรือฟัง และอาจตีความถ้อยค าส านวนผิดพลาดไปจากที่ผู้ส่งสารตั้งใจได้


๒๖ | ภ า ษ า ไ ท ย เ พื่ อ ก า ร สื่ อ ส า ร สรุป การที่เราจะเป็นผู้ส่งสารและรับสารที่ดีนั้น เราควรเรียนรู้องค์ประกอบของการสื่อสาร กระบวนการสื่อสาร ประเภทของการสื่อสาร ตลอดจนอุปสรรคของการสื่อสาร ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ว่า การสื่อสารให้เกิดผลสัมฤทธิ์นั้นต้องอาศัยความพร้อมของทุกองค์ประกอบในการสื่อสาร จึงจะท าให้กระบวนการสื่อสารด าเนินต่อไปอย่างราบรื่นและบรรลุตามวัตถุประสงค์ ดังนั้น เมื่อเราได้ทราบถึงองค์ประกอบเบื้องต้นตลอดจนสาเหตุที่ท าให้การสื่อสารไม่ประสบผลส าเร็จแล้ว ต่อไปไม่ว่าจะท าหน้าที่ใดในกระบวนการสื่อสาร หากเราทราบวัตถุประสงค์ของการสื่อสารครั้งนั้นๆ ทราบบทบาทหน้าที่ของตนเองอย่างชัดเจนแล้วเตรียมการให้พร้อม พยายามศึกษาท าความเข้าใจ เกี่ยวกับสารที่จะสื่อ เรียบเรียงเนื้อหาให้ถูกต้องชัดเจน เลือกใช้สื่อและช่องทางการสื่อสาร ให้เหมาะสมกับเนื้อหาของสารและผู้รับสาร รวมทั้งเหมาะสมกับวัฒนธรรมและกาลเทศะของ การสื่อสาร ตลอดจนไม่ท าให้ตนเองเป็นอุปสรรคขัดขวางกระบวนการสื่อสารแล้ว การสื่อสาร ครั้งนั้นๆ ย่อมมีโอกาสเป็นการสื่อสารที่สัมฤทธิ์ผลได้ในท้ายที่สุด


Click to View FlipBook Version