ขน้ั การผลติ บทเรยี นโมดลู
การจดั ทาเนือ้ หาบทเรียนโมดูล
ในการจัดเนื้อหา มแี นวทางท่ใี ช้ในการพจิ ารณาอยู่ 2 มติ ิ ได้แก่ มติ ดิ า้ นขอบเขตของเนือ้ หา (scope)
และมติ ิดา้ นลาดับของเนือ้ หา (sequence) (Print, 1993)
1. ขอบเขตของเนอ้ื หา (scope) หมายถงึ ความกวา้ งและความลกึ ของเน้อื หาท่ี
เรียนใน ช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ในการพิจารณาขอบเขตเนื้อหาผู้สอนอาจใช้
แนวคาถามต่อไปนใ้ี นการรวบรวมขอ้ มลู เพือ่ กาหนดเปน็ ขอบเขตของเนอ้ื หา
1) ในสัดส่วนของเวลาทจ่ี ัดไว้ มีเนอ้ื หาอะไรบา้ งท่ีผู้เรยี นควรเรยี นรู้
2) ในเรอื่ งท่ีจดั ใหเ้ รยี น ควรมรี ายละเอียดอะไรบา้ ง
3) เนอื้ หาอะไรทไ่ี ม่จาเปน็ ต้องบรรจไุ ว้
2. ลาดับของเน้อื หา (sequence) หมายถงึ ลาดับกอ่ นหลงั ของเนอื้ หาท่ี
นาเสนอต่อผู้เรียนในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ในการพิจารณาจัดลาดับเนื้อหา
ผสู้ อนอาจใช้แนวคาถามต่อไปน้ี
1) อะไรคอื เกณฑท์ ่ีใช้ในการกาหนดลาดับของเนือ้ หา
2) ควรจดั เน้อื หาอะไรไวก้ ่อน อะไรไว้หลังเพราะอะไร
3) นักเรียนควรได้รับความรนู้ นั้ เม่ือไร
เกณฑท์ ี่ใชใ้ นการจดั ลาดับกอ่ นหลังของเนื้อหาท่นี ยิ มใชก้ ัน แบง่ ไดด้ งั น้ี
1) จ า ก ง ่ า ย ไ ป ย า ก ( simple to complex) 2) การเรียนรู้พื้นฐานที่ต้องมีมาก่อน
เ ป ็ น เ ก ณ ฑ ์ แ บ บ ด ั ้ ง เ ด ิ ม ท ี ่ ย ั ง ค ง น ิ ย ม ใ ช ้ กั น (prerequisite learnings) เป็นการจัดลาดับ
โดยจัดเนื้อหาเป็นขั้นตอนจากเรื่องที่ง่ายและ เนื้อหาโดยความเชื่อที่ว่า การเรียนรู้กฎข้อ
เป็นพื้นฐานไปสู่สิ่งที่ยากหรือ ซับซ้อน ต่อไป ผู้เรียนจาเป็นต้องรู้กฎที่มีมาก่อนเป็น
การจัดเนื้อหารูปแบบนี้มักพบในวิชา พื้นฐาน มักใช้กับ เนื้อหาวิชาที่เต็มไปด้วยกฎ
วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หลักภาษา ดนตรี และหลักการ เช่น ฟิสิกส์ ไวยากรณ์ และ
ภาษาตา่ งประเทศ เป็นต้น เรขาคณิต เปน็ ตน้
3) ตามลาดับเวลาของเหตุการณ์ (chronology) 4 ) ส ่ ว น ร ว ม ไ ป ส ู ่ ส ่ ว น ย ่ อ ย ( whole to parts)
เป็นการจัดเนื้อหาซึ่งเป็นไปตามบันทึก เหตุการณ์ การจัดเนื้อหาโดยให้เรียนรู้เรื่องราวโดยรวมก่อน
พบในวิชาประวัติศาสตร์ ประวัติดนตรี วรรณคดี จะช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ของส่วนย่อย และ
พัฒนาการด้านวิทยาศาสตร์ การจัดเนื้อหา น าไปสู่ความเข้าใจรายละเอียดได้ดีเมื่อเรียนรู้
ใน ลักษณะนอี้ าจจดั ในลักษณะเริ่มจากปัจจุบันย้อน ส่วนย่อย เช่นการเรียนวรรณคดีเริ่ม จากการอ่าน
ไปสู่อดีต หรืออดตี มาส่ปู ัจจุบันกไ็ ด้ ให้เข้าใจเรอื่ งทัง้ หมดกอ่ น จึงวเิ คราะห์องค์ประกอบ
ย่อยของวรรณคดี เพื่อเรียนรู้ความหมาย
5) จ า กรูปธรรมไ ปสู่นา มธรรม ( increasing ของศัพท์ หลกั ไวยากรณ์ หลักการแตง่ บทประพันธ์
abstraction) ให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าใจ เปน็ ต้น
ในเนื้อหาที่เรียนได้ง่าย คล้ายเกณฑ์ข้อที่ 1
เหมาะสาหรับการเรียนรู้ ความคิดรวบยอดที่เป็น 6) การจัดลาดับแบบก้าวเวียน (spiral sequencing)
นามธรรมซึ่งต้องการคาอธิบาย ผู้สอนอาจ เปน็ วิธีการจัดเนือ้ หาที่ผู้เรียนไดร้ ับ แนวคิดพน้ื ฐานของ
เริ่มต้นจากตัวอย่างของจริง เพื่อนาไปสู่การสรุป เนื้อหาซ้าเพื่อสร้างความเข้าใจพื้นฐานและความคิด
อา้ งอิงไปสู่ขอ้ ความทเ่ี ปน็ หลักการท่ัวไป รวบยอดที่ต่อยอดขึ้นไปในที่สุด ผู้เรียนก็จะรู้และเข้าใจ
ค ว า ม ค ิ ด ร ว บ ย อ ด ท ั ้ ง ห ม ด ท ี ่ เ ช ื ่ อ ม โ ย ง กั น
การจัดเนื้อหาแบบก้าวเวียนนี้จะพบใน การจัดหลักสตู ร
ที่จัดให้เรียนในหัวข้อเรื่องเดิมที่ซ้ากันในแต่ละช่วงชั้น
แตม่ คี วามแตกต่างกนั ในความคิด รวบยอดทเี่ พม่ิ ข้ึนใน
แต่ละช่วงช้นั ทส่ี ูงข้ึน