๔๑ ผู้บริหารโรงพยาบาลสมเด็จพระ
ปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ
๔๒ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ เป็นโรงพยาบาลทั่วไป/ตติยภูมิ สังกัด กองทัพเรือ (กรมแพทย์ทหารเรือ) ขนาด ๔๒๐ เตียง ที่ตั้ง ๑๖๓ หมู่ ๑ ตำบลพลูตาหลวง อำเภอสัตหีบ จังหวัด ชลบุรี มีภารกิจหน้าที่บริการหลักในการดูแลสุขภาพกำลังพลและครอบครัวทหารเรือ รวมถึงประชาชนทั่วไป ด้านการรักษาโรค ส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค ฟื้นฟูสภาพ และสนับสนุนภารกิจของกองทัพเรือ เช่น ส่งทีม แพทย์สนับสนุนการฝึก ราชการสนาม ราชการเรือ สนับสนุนวิชาการด้านสุขภาพแก่หน่วยทหารในพื้นที่ การเตรียม ความพร้อมสำหรับการรับรักษา-ส่งต่อ ทหารที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงให้การดูแลผู้ป่วย ประชาชนทั่วไป ผู้ป่วยที่มีความซับซ้อนเฉพาะทาง & เวชศาสตร์ความดันบรรยากาศสูง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาโรงพยาบาลมีการพัฒนาคุณภาพมาอย่างต่อเนื่อง โดยการนำแนวทาง หลัก คิด และมาตรฐานของ HA, PMQA, และ TQA มาใช้ในกระบวนการพัฒนาคุณภาพ ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อ ความต้องการและความคาดหวังของผู้รับผลงาน ได้แก่ กองทัพเรือ กรมแพทย์ทหารเรือ ผู้รับบริการ รวมถึง สังคมและชุมชน การพัฒนาโรงพยาบาลนอกจากจะมุ่งเน้นที่ความปลอดภัยของผู้ป่วยแล้ว ยังต้องพัฒนาระบบงาน เพื่อให้โรงพยาบาลมีการบริหารจัดการและมีผลลัพธ์ที่ดี บุคลากรทุกคนมีความสุขเป็นที่น่าเชื่อถือไว้วางใจของ ผู้รับบริการและผู้เกี่ยวข้อง ในการดำเนินการของโรงพยาบาลยังมีข้อจำกัดมากมายทั้งปัจจัยภายในและ ภายนอกจึงเป็นความท้าทายของบุคลากรและผู้บริหารทุกคนที่จะร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปสู่ จุดหมายที่ตั้งไว้
๔๓ กลุ่มผู้ป่วย/ผู้รับบริการสำคัญ ๑. ตามสิทธิการรักษา ประกอบด้วย ข้าราชการทหารเรือ/ข้าราชการที่บาดเจ็บจากการสู้รบหรือจาก ราชการชายแดน/พลทหาร ครอบครัวทหารเรือ/เบี้ยหวัด, บำนาญ ทร., พลเรือนจ่ายเงินเอง/พลเรือนต้น สังกัด/ประกันสังคม/กลุ่มที่มีประกันชีวิต/กองทุนทดแทนและกลุ่มบริษัทคู่สัญญา (contact) ได้แก่ กลุ่มผู้ป่วย ห้องตรวจผู้ป่วยนอกหมายเลข ๙ ที่ส่งconsult แพทย์เฉพาะทาง, กลุ่มผู้ป่วยระดับ 3B/กลุ่มหลักประกัน สุขภาพถ้วนหน้า ได้แก่ กลุ่มฉุกเฉิน กลุ่ม refer in ๒. ตามลักษณะการเจ็บป่วย ได้แก่ กลุ่มผู้ป่วยวิกฤติฉุกเฉิน เร่งด่วน (Acute Care), กลุ่มผู้ป่วยที่ ได้รับการรักษาด้วย HBO, กลุ่มผู้ป่วยโรคเรื้อรัง (Chronic Care), กลุ่มมารดา ทารก, กลุ่มผู้ป่วยโรคระบาดที่ สำคัญ, กลุ่มผู้ป่วย Refer out, กลุ่มผู้พิการ ด้อยโอกาส ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย กองทัพเรือ/ กรมแพทย์ทหารเรือ/ กรมบัญชีกลาง/สำนักงานหลักประกันสุขภาพ/ สำนักงาน ประกันสังคม/บริษัทคู่สัญญา/ หน่วยงานของ ทร./ รพ.สมเด็จพระปิ่นเกล้า/ รพ.อาภากรเกียรติวงศ์/ หน่วย แพทย์ต่างๆ ในพื้นที่/ หน่วยงานภาครัฐ/ หน่วยงานทางสาธารณสุขในพื้นที่หน่วยงานภาคเอกชนในพื้นที่/ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นชุมชนในพื้นที่/ สถาบันการศึกษา กลุ่มประชากรที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจาก EEC: การดูแลสุขภาพและอาชีวอนามัย ทิศทางองค์กร รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พร. วิสัยทัศน์ ( Vision ) : ศูนย์การแพทย์ที่เป็นเลิศด้านบริหารจัดการ มีคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล Vision Statement : เราจะเป็นศูนย์การแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ โดยเฉพาะด้านการดูแล ผู้ป่วยอุบัติเหตุ โรคหัวใจ และการรักษาด้วย Hyperbaric Oxygen ภายใต้การบริหารจัดการที่เป็นเลิศตาม เกณฑ์รางวัลคุณภาพแห่งชาติ มีการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และได้รับการรับรองมาตรฐาน Advanced HA ภายในปี พ.ศ.๒๕๖๒ คำขวัญ ( Motto ) : Smart, High Quality and Happy Hospital พันธกิจ( Mission ) 1. ให้บริการสุขภาพแก่กำลังพลและครอบครัวกองทัพเรือ รวมถึงประชาชนทั่วไป 2. สนับสนุนภารกิจของกองทัพเรือ 3. การฝึกอบรมบุคลากรและการวิจัยทางการแพทย์ ค่านิยม ( Values ) : S R K - T O P S = Service mind & Seniority มีพฤติกรรมการทำงานที่ดีระหว่างเพื่อนร่วมงาน มีจิตสำนึกของการเป็นผู้ให้บริการ เคารพผู้อาวุโสและผู้บังคับบัญชา เอื้ออาทรและเมตตารุ่นน้องและผู้ใต้บังคับบัญชา R = Responsibility ความรับผิดชอบในงาน มีวินัย และตรงต่อเวลาการดูแลผู้ป่วยอย่างมืออาชีพและ มีจริยธรรม ความรับผิดชอบต่อสังคม ความซื่อสัตย์สุจริตโปร่งใส K = Knowledge& Sharing
๔๔ หมั่นแสวงหาความรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้การใช้ข้อเท็จจริงในการบริหารจัดการ T = Team work การสร้างคุณค่าและเสริมพลังให้กับบุคลากรการมองภาพรวมประสานและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน การทำงานเป็นทีม O = Originality การใช้หลักฐานทางวิชาการ การมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์การริเริ่มสร้างสรรค์ให้เกิดการพัฒนาคุณภาพ อย่างต่อเนื่อง P = Patient focus การมุ่งเน้นผู้ป่วย ผู้รับผลงาน โดยเฉพาะข้าราชการกองทัพเรือ ประเด็นยุทธศาสตร์ 1. การตอบสนองภารกิจของกองทัพเรือ(Medical readiness) 2. การเป็นโรงพยาบาลคุณภาพระดับตติยภูมิ(Tertiary care) 3. การพัฒนาคุณภาพสู่ความเป็นเลิศ(AHA) 4. การบริหารทรัพยากรบุคคล (Human resource) 5. การพัฒนาระบบการเงิน (Financial) 6. การพัฒนาระบบบริการ (Excellent service) 7. การพัฒนาระบบ IT & Information Management 8. การรองรับนโยบาย EEC 9. การฝึกอบรมและวิจัยทางการแพทย์(Academic)
๔๕
๔๖ ผู้บริหารโรงพยาบาลสมเด็จพระน พล.ร.ต.กิตตินัน ผู้อำนวยการโร อ.สรรชัย เลิศวีระศิริกุล น.อ.หญิง นงลักษณ์ สิงหโกวินท์ รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหาร รองผู้อำนวยการฝ่ายบริการสุขภาพ
นางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ นท์ งามศิลป์ รงพยาบาล น.อ.กิติศักดิ์ สายนุช น.อ.หญิง เรืองรอง วิยาภรณ์ รองผู้อำนวยการฝ่ายสนับสนุน รองผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาล
๔๗ โครงสร้างการจัดส่วนราชการภายใน โรงพย
ยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
๔๘ โรงพยาบาลทหารเรือกรุงเทพ กรมแพทย์ทหารเรือ ๑. ลักษณะองค์กร ก. สภาพแวดล้อมของส่วนราชการ (๑) พันธกิจหรือหน้าที่ตามกฎหมาย มีหน้าที่ให้บริการกำลังพลกองทัพเรือและครอบครัว ตลอดจนประชาชนทั่วไปรวมทั้งดำเนินการใน ด้านสุขภาพจิตและบำบัดรักษาผู้ติดยาเสพติด • จำนวนเตียงผู้ป่วยใน - จำนวนเตียงตามกรอบ/จำนวนที่ขออนุญาต ๑๒๐ เตียง - จำนวนเตียงที่เปิดให้บริการจริง (ไม่รวมเตียงเสริม) ๔๐ เตียง จำนวนเตียงผู้ป่วยใน : หอผู้ป่วย (อัตรา 120 เตียง) ภาวะปกติ รวม (สามัญ/พิเศษ) ภาวะฉุกเฉิน รวม (สามัญ/พิเศษ) ราชพฤกษ์ (จิตเวช) 15 (15/0) 30 (30/0) เจียระไน (บำบัดยาเสพติด) 20 (20/0) - (ทั่วไป) 5 (3/2) 50 (40/10) รวม 40 (32/2) 80 (70/10) รวมทั้งหมด 120 (40/80) • ขอบเขตของการให้บริการ - เวชปฏิบัติทั่วไป
๔๙ - จิตเวชและบำบัดยาเสพติด - ทันตกรรม - เวชศาสตร์ฟื้นฟู/แพทย์ทางเลือก (แพทย์แผนไทย, กายภาพบำบัด, คลินิกฝังเข็ม) - งานสร้างเสริมสุขภาพ (สร้างเสริมสุขภาพ ชมรมผู้สูงอายุ และ อสส) - ตรวจสุขภาพ • ความเชี่ยวชาญพิเศษขององค์กร - บำบัดยาเสพติด - บำบัดด้านจิตเวช - ตรวจสุขภาพ - สร้างเสริมสุขภาพ • บริการ / กลุ่มผู้ป่วยสำคัญที่ต้องส่งต่อหรือจัดบริการโดยประสานความร่วมมือ - กลุ่มผู้ป่วยทั่วไปที่ต้องรักษาด้วยการรับไว้นอนในโรงพยาบาล ประชากรในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ - กำลังพลทหารเรือ จำนวน ๑,๓๕๐ ราย - ครอบครัวทหารเรือ จำนวน ๒,๐๕๒ ครัวเรือน - ประชาชนในเขตบางนา จำนวน ๙๓,๖๗๐ ราย • ชุมชนหรือกลุ่มผู้รับบริการที่เป็นเป้าหมาย (Targeted Customers) - กำลังพล ทร.ตลอดจนข้าราชการบำนาญในพื้นที่บางนา - ครอบครัวของกำลังพล ทร. ที่อาศัยในอาคารที่พักส่วนกลางทหารเรือบางนา - ประชาชนทั่วไป
๕๐ ผู้บริหารโรงพยาบาลทหารเรือกรุงเทพ กรมแพทย์ทหารเรือ น.อ.ก่อพงศ์ หังสพฤกษ์ ผอ.รพ.ทหารเรือกรุงเทพ พร. น.อ.เกรียงไกร กลิ่นทอง รอง ผอ.รพ.ทหารเรือกรุงเทพ พร.
๕๑ วิสัยทัศน์ “เป็นโรงพยาบาลที่มีสมรรถนะสูง ด้านการตรวจประเมินสุขภาพ และการบำบัดรักษาฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ” พันธกิจ ๑. ให้บริการด้านสุขภาพแก่กำลังพลกองทัพเรือและครอบครัว ตลอดจนประชาชนทั่วไป ๒. ให้บริการด้านการรักษาพยาบาลและสร้างองค์ความรู้ด้านสุขภาพจิต การบำบัด รักษา ฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติด ๓. ให้บริการด้านการตรวจประเมินสุขภาพ ๔. สนับสนุนภารกิจต่างๆ ของกองทัพเรือ ค่านิยม ยึดมั่นคุณธรรม มุ่งมั่นพัฒนา นำพาสู่ชุมชน สื่อด้วยสัญลักษณ์ (CARETEAM) C = Community ชุมชนร่วมมือ A = Attitude ยึดถือเจตคติที่ดี R = Responsibility มีความรับผิดชอบ E = Ethics ปฏิบัติตามกรอบคุณธรรม T = Teamwork สำคัญ คือ ทีมงาน E = Empowerment ร่วมผสานเสริมพลัง A = Achievement คาดหวังสู่ความสำเร็จ M = Management พร้อมเสร็จด้วยการจัดการ
5
2
๕๓ โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ วิสัยทัศน์ เป็นศูนย์การแพทย์ทางทะเลของกองทัพเรือในปี2572 ภารกิจ มีหน้าที่ ดำเนินการด้านการแพทย์และอนามัย และให้บริการสุขภาพระดับปฐมภูมิ รวมทั้งโรคเฉพาะ ทางสาขาจิตเวช และสาขาเวชศาสตร์ใต้น้ำและการบิน เพื่อความพร้อมของกองทัพเรือ ตลอดจนดำเนินการส่ง กำลังสายแพทย์และสนับสนุนการส่งกลับผู้ป่วยพื้นที่ภาคตะวันออก พันธกิจ 1. สนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารด้านการแพทย์ให้แก่ หน่วยต่างๆของกองทัพเรือ 2. ให้การบริการสร้างเสริมสุขภาพแก่กำลังพลของกองทัพเรือและประชาชน 3. ควบคุมสมรรถภาพผู้ปฏิบัติงานด้านการบินและการปฏิบัติการทางทะเล 4. ให้การรักษาพยาบาลทั่วไป และฟื้นฟูสภาพกำลังพลของกองทัพเรือและประชาชน 5. ตรวจรักษาทางจิตเวช ยาเสพติดแก่กำลังพลกองทัพเรือและประชาชน 6. ดำเนินการด้านเวชศาสตร์ใต้น้ำ แก่กำลังพลครอบครัวของกองทัพเรือและประชาชน ค่านิยม รู้หน้าที่ มีน้ำใจ ให้ความรู้(รู้หน้าที่ A= Accountability (เป็นองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่) มีน้ำใจ B= Benefit for all (เป็นองค์กรที่มีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ทุกคน)
๕๔ ให้ความรู้K= Knowledge and sharing (เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้และส่งต่อองค์ความรู้) สมรรถนะหลักองค์กร (Core Competency) 1. งานด้านเวชศาสตร์ทางทะเล 2. ระบบบริการการแพทย์ฉุกเฉิน (Pre – hospital care) 3. งานเวชศาสตร์ใต้น้ำและการบำบัดด้วยออกซิเจนแรงดันสูง 4. งานเวชศาสตร์การบิน 5. งานด้านจิตเวชและการบำบัดยาเสพติด วัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์(Strategic objective) 1. มีศูนย์การแพทย์(Medical Center) ที่มีคุณภาพ 1.1 ศูนย์เวชศาสตร์ทางทะเล 1.2 ศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการด้านการแพทย์ทางทะเล 1.3 ศูนย์เวชศาสตร์การบิน 1.4 ศูนย์จิตเวช 1.5 ศูนย์ผู้สูงอายุ 1.6 ศูนย์การแพทย์ทางเลือก 2. การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ในด้าน 2.1 ทรัพยากรมนุษย์(Human Resource) 2.2 การเงิน (Financial) 2.3 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 3. เป็นองค์กรที่มีสมรรถนะสูง (High Performance) ในด้าน 3.1 มาตรฐานโรงพยาบาล (Hospital Accreditation) 3.2 ความพร้อมและการสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารได้อย่างเหมาะสม ทันเวลาและมีประสิทธิภาพ (Medical Readiness) Strategic Issues ประเด็นยุทธศาสตร์ 1. พัฒนาศูนย์การแพทย์ต่างๆ ประกอบด้วยศูนย์เวชศาสตร์ทางทะเลศูนย์รับแจ้งเหตุและสั่งการด้าน การแพทย์ทางทะเลศูนย์เวชศาสตร์การบิน ศูนย์จิตเวชและศูนย์ผู้สูงอายุ 2. พัฒนาการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์การเงิน เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 3. พัฒนาศักยภาพเป็นองค์กรที่มีสมรรถนะสูงในด้านมาตรฐานโรงพยาบาล และความพร้อมและการสนับสนุน ปฏิบัติการทางทหารได้อย่างเหมาะสม ทันเวลาและมีประสิทธิภาพ (Medical Readiness)
๕๕ ผู้บริหารโรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ
๕๖ ศูนย์ทันตกรรม กรมแพทย์ทหารเรือ ประวัติ กรมแพทย์ทหารเรือ เริ่มก่อตั้งเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๙ โดยให้บริการตรวจรักษาทางการแพทย์เท่านั้น ต่อมามีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงเรื่อยมาจนวันที่ ๑๖ กรกฎาคม ๒๔๘๘ กรมแพทย์ทหารเรือ เริ่มมีแผนกทันตกรรม โดยมีหน้าที่ตรวจรักษาเกี่ยวกับโรคฟัน เมื่อกรมแพทย์ทหารเรือมีการขยายและแบ่งส่วนราชการใหม่แผนกทันตกรรม จึงขึ้นตรงกับโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า มีการปรับปรุงเพิ่มบุคลากรและการรักษามากขึ้น จึงเปลี่ยนจากแผนก ทันตกรรม เป็นกองทันตกรรม โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า แบ่งเป็น ๓ แผนก คือ ๑. แผนกทันตบำบัด ๒. แผนกทันตกรรมประดิษฐ์ ๓. แผนกทันตศัลยกรรม สถานที่ตั้ง กองทันตกรรม อยู่ที่ตึกอำนวยการเก่าของกรมแพทย์ทหารเรือ เป็นตึก ๒ ชั้น บริเวณด้านหน้า ตึก อำนวยการของโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้าถนนตากสิน ธนบุรีมีหน้าที่ ๑. ตรวจ รักษาโรคฟัน เหงือก ช่องปาก และขากรรไกร ๒. ให้ความรู้แนะนำ การป้องกันโรคที่จะเกิดในช่องปาก กองทันตกรรมโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า ดำเนินการตรวจรักษาทางทันตกรรมเรื่อยมาจน วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๗ ได้ย้ายสถานที่จากเดิม ถนนตากสิน เขตธนบุรีไปอาคารใหม่ ณ บริเวณ รพ.ทหารเรือ กรุงเทพ (เดิม) ถนนอรุณอมรินทร์ แขวงศิริราช บางกอกน้อย กรุงเทพฯ และเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ กองทัพเรือ ได้ปรับปรุงโครงสร้างกองทันตกรรมใหม่ ให้เป็นหน่วยขึ้นตรงกรมแพทย์ทหารเรือใช้ชื่อว่า “ศูนย์ทัน ตกรรม กรมแพทย์ทหารเรือ” ศูนย์ทันตกรรม กรมแพทย์ทหารเรือ จัดตั้งขึ้นตามดำริของ พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ อดีต ผู้ บัญชาการทหารเรือ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ทันตแพทย์ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ที่สำคัญของกรมแพทย์ ทหารเรือ มีเส้นทางการเติบโตและก้าวหน้าในการรับราชการอย่างชัดเจน ทั้งยังมุ่งหวังให้การดำเนินการด้านการ
๕๗ รักษาทางทันตกรรม ยังคงเป็นหนึ่งของโรงพยาบาล โดยให้ถือปฏิบัติเช่นเดียวกับหน่วยขึ้นตรงโรงพยาบาลที่กอง ทันตกรรมสังกัดอยู่ วิสัยทัศน์(Vision) : “เป็นองค์กรทันตกรรมที่มีคุณภาพ ผู้รับบริการเชื่อมั่นและไว้วางใจ” พันธกิจ (Mission) 1. สนับสนุนภารกิจของกองทัพเรือและกรมแพทย์ทหารเรือในด้านทันตกรรม 2. ให้บริการทางทันตกรรม และกากับดูแลการบริการทางทันตกรรมในสถานพยาบาลกองทัพเรือ 3. กากับดูแลและสนับสนุนด้านองค์ความรู้งานวิจัย และการบริหารจัดการข้อมูลสารสนเทศขององค์กร 4. สนับสนุนการจัดหาทรัพยากร และการใช้เทคโนโลยีในสถานพยาบาลกองทัพเรือ 5. บริหารจัดการและพัฒนาทันตบุคลากร กลุ่มผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Customer segment) 1. กาลังพลกองทัพเรือและครอบครัว 2. ข้าราชการบานาญ 3. พลเรือน 4. กรมแพทย์ทหารเรือ 5. โรงพยาบาลหลักในสังกัด พร. 6. หน่วยต้นสังกัดที่กาลังพลศทก. ไปบรรจุอยู่ เช่น หน่วยแพทย์ปฐมภูมิ 7. สถาบันการศึกษา 8. เครือข่ายบริการสุขภาพอื่นๆเช่น รพ.ในสังกัดกระทรวงอื่นๆ สปสช. สานักงานประกันสังคม ค่านิยม (Values) “Royal Thai Navy Dental Center” R : Reliability : ศรัทธา เชื่อมั่น T : Teamwork : ทางานเป็นทีม N : Naval Spirit : รวมใจ D : Determination : มุ่งมั่น C : Continuous Improvement : พัฒนา
๕๘ สมรรถนะหลักขององค์กร (Core Competency) 1. การบริการด้านทันตกรรมสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของกองทัพเรือ 2. การบริหารจัดการองค์กรทางทันตกรรมของกองทัพเรือ 3. สนับสนุนองค์ความรู้ด้านต่างๆทันตกรรมแก่สถานพยาบาลของกองทัพเรือ โดยเฉพาะด้านเวชศาสตร์ทางทะเล 4. สนับสนุนการให้บริการบาบัดรักษาด้วยออกซิเจนแรงดันบรรยากาศสูงกับงานทันตกรรม วัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ์(Strategic objective) 1. กาลังพลกองทัพเรือมีทันตสุขภาพดีและสมรรถนะเหมาะสมกับการปฏิบัติหน้าที่ 2. มีความพร้อม และสามารถสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารได้เหมาะสม ทันเวลา 3. การบริการทางทันตกรรมมีคุณภาพ และผู้รับบริการมีความพึงพอใจ 4. พัฒนาและบริหารบุคลากรทางทันตกรรม 5. การบริหารจัดการองค์กรทันตกรรมมีประสิทธิภาพ 6. การศึกษาการวิจัยทางทันตกรรมได้มาตรฐาน ประเด็นยุทธศาสตร์(Strategic Issues) 1. พัฒนางานบริการทางทันตกรรม สร้างเสริมทันตสุขภาพที่ดี 2. พัฒนาศักยภาพการบริการทางทันตกรรมสนับสนุนปฏิบัติการทางทหารของกองทัพเรือ 3. การพัฒนางานบริการทางทันตกรรมเพิ่อสร้างความเชื่อมั่นของกาลังพลกองทัพเรือ ครอบครัว และประชาชน 4. พัฒนาและบริหารบุคลากรทางทันตกรรม 5. พัฒนาระบบบริหารจัดการของศูนย์ทันตกรรม 6. พัฒนาสู่การเป็นองค์กรแห่งความรู้การวิจัยทางทันตกรรม ภารกิจและขอบเขตความรับผิดชอบ ๑. อำนวยการประสานภารกิจและกำลังพล ๑.๑ การประสานนโยบาย ภารกิจ ข้อเสนอแนะ ปัญหาอุปสรรคกับหน่วยเหนือ ได้แก่ กรมแพทย์ทหารเรือ และ โรงพยาบาลหลักที่กองทันตกรรมที่ ๑ และ ๒ สังกัดอยู่ เพื่อให้สามารถดำเนินงาน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๑.๒ การบริหารจัดการด้านกำลังพลสายทันตกรรม ได้แก่ การคัดสรร บรรจุ พัฒนา โยกย้าย รวมถึงการไปราชการตามภารกิจของหน่วยเหนือ ๑.๓ การกำกับดูแลการปฏิบัติงานของหน่วยงานทันตกรรมที่ตั้งนอกโรงพยาบาลหลัก เพื่อให้ได้ มาตรฐาน ถูกต้อง ปลอดภัยและเป็นไปตามนโยบายของกรมแพทย์ทหารเรือและหน่วยงานที่สังกัดอยู่ ๑.๔ กำหนดทิศทางการดำเนินงานของหน่วยงานทันตกรรมในภาพรวม ด้วยคณะกรรมการ ซึ่งประกอบไปด้วยทันตแพทย์ชั้นยศนาวาเอกพิเศษขึ้นไป โดยมีช่องทางรับฟังข้อเสนอและความคิดเห็นจากทันต แพทย์และพยาบาลทุกระดับ เพื่อพิจารณารวบรวมเสนอให้กรมแพทย์ทหารเรือดำเนินการ ๒. ส่งเสริมให้บุคลากรมีความสุขและความก้าวหน้า ๒.๑ การจัดการด้านศึกษาต่อของทันตแพทย์และพยาบาล เพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการ และภารกิจของโรงพยาบาลและกรมแพทย์ทหารเรือ ๒.๒ การผลักดันให้กรมแพทย์ทหารเรือและโรงพยาบาลหลัก ที่กองทันตกรรมสังกัดอยู่ ให้ ความสำคัญกับขวัญและกำลังใจของบุคลากรทันตกรรม ทั้งในเรื่องค่าตอบแทน สวัสดิการ สิทธิประโยชน์ความ ยุติธรรม และความก้าวหน้าในการรับราชการ
๕๙ ๓. พัฒนาด้านการศึกษาวิชาการและงานวิจัย ๓.๑ สนับสนุนให้การพัฒนางานวิชาการ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงาน และตอบสนองต่อ วิสัยทัศน์ของโรงพยาบาลและกรมแพทย์ทหารเรือ ๓.๒ รวบรวมและติดตามการพัฒนาและการดำเนินการของหน่วยทันตกรรม โดยการเก็บเครื่องชี้ วัด เพื่อจัดทำเป็นภาพรวมของประสิทธิผลของการดำเนินงานด้านทันตกรรมทั้งระบบ ๓.๓ พัฒ นาระบบสารสนเทศ เพื่อการเก็บสถิติข้อมูล อันจะเป็นประโยชน์ในการพัฒ นา หน่วยงานทันตกรรม ๔. สนับสนุนให้ก้าวไปพร้อมกับโรงพยาบาล - สนับสนุนให้กองทันตกรรมที่สังกัดอยู่ในโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า พร. โรงพยาบาล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พร. ดำเนินการด้านการรักษา การพัฒนาคุณภาพตลอดจนร่วมกิจกรรมต่าง ๆ มี ความสอดคล้องและเป็นไปตามทิศทางนโยบายของกรมแพทย์ทหารเรือ เพื่อให้มีส่วนรวมในความสำเร็จของกรม แพทย์ทหารเรือ ๕. ส่งกำลังบำรุงสายทันตกรรม ๕.๑ ให้การสนับสนุนด้านทันตกรรม เพื่อให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้ ๕.๒ กำกับดูแล ให้คำปรึกษา และตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของหน่วยทันตกรรม
๖๐ ผู้บริหารศูนย์ทันตกรรม กรมแพทย์ทหารเรือ พล.ร.ต.หญิง กรองทิพย์ ศิริไล ผอ.ศทก.พร. น.อ.หญิง จีระวัฒน์กฤษณพันธ์ รอง ผอ.ศทก.พร. (๑) น.อ.ศักดิ์สมุทร พรหมบุตร รอง ผอ.ศทก.พร. (๒)
๖๑ หลักการทางเวชศาสตร์ทางทะเล Fundamental Maritime Medicine น.ท.เสฏฐศิริ แสงสุวรรณ / น.ต.ธนวัฒน์ ศุภนิตยานนท์ บทนำ จากอดีตถึงปัจจุบันการแพทย์นับเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่งที่มีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง การแพทย์ใน ยุคปัจจุบันจึงมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ตอบสนองต่อบริบทชีวิตของมนุษย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่าง ต่อเนื่อง และมีวิถีชีวิตที่แตกต่างไปจากอดีต ดังจะพบสาขาวิชาต่างๆ ที่เกิดขึ้นใหม่เพื่อเป็นการตอบสนองต่อลักษณะชีวิตของ มนุษย์ในปัจจุบัน มนุษย์ดำรงชีวิตได้อยู่ด้วยการใช้ชีวิตในสังคม โดยการจะดำรงชีพอยู่ได้นั้น มนุษย์มีการประกอบ อาชีพ ของตนเองตามความสามารถ ลักษณะทางภูมิศาสตร์ ลักษณะแวดล้อมทั้งมหภาค (Macroclimate) และ จุลภาค(Microclimate) ลักษณะจำเพาะของอาชีพที่มีความหลากหลาย แต่ละอาชีพมีลักษณะการทำงานที่แตกต่าง กันออกไปและประกอบไปด้วยความเสี่ยงที่หลากหลาย ดังจะเห็นตัวอย่างสาขาทางการ แพทย์ที่พัฒนาขึ้นเพื่อ ตอบสนองต่อลักษณะงานต่างๆ เช่น อาชีวเวชศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่ดูแลสภาวะ ทางสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน โดยอาชีวเวชศาสตร์นับเป็นสาขาหลักที่สำคัญที่สุดซึ่งเป็นรากฐานหลัก ขององค์ความรู้ด้านเวชศาสตร์ทางทะเล การเดินเรือ(Seafaring) นับเป็นหนึ่งในงานที่มีอันตรายสูงสุด โดยผู้ทำงานต้องประสบกับสิ่งแวดล้อม ที่ รุนแรงและมีการเปลี่ยนแปลงอย่างตลอดเวลาเช่น ภูมิอากาศ วัสดุอุปกรณ์ขนาดใหญ่บนเรือ สารเคมี สารพิษ ระยะเวลาการเดินทางข้ามเส้นแบ่งเวลา(Time zone) ความเครียดจากงาน การทำงานเป็นกะ เป็นต้น ล้วน แล้วแต่มีความเสียงที่ยากต่อการควบคุม และการแพทย์เข้าไปถึงได้อย่างจำกัด จนนับเป็นหนึ่งในสาขาที่มีการแพทย์ ในสภาวะขาดแคลนอยู่ตลอดเวลา จากสถิติพบว่าการเสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องจากการทำงาน (Work-related mortality) งานด้านประมง ใน หลายประเทศสูงกว่าการทำงานอื่นที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับทะเล เช่น ประเทศเดนมาร์ก พบการเสียชีวิตสูงกว่า การ ทำงานในฝั่ง ๒๕ - ๓๐ เท่า ประเทศสหรัฐอเมริกาพบการเสียชีวิตสูงกว่าอาชีพอื่นๆ เช่น คนทำงานขับรถ บรรทุก ๘ เท่า ตำรวจ ๑๖ เท่า และ สูงกว่าแรงงานปกติในประเทศถึง ๔๐ เท่า เป็นต้น การพัฒนาด้านการเดินเรือและอุตสาหกรรมทางทะเลเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ทำให้การบาดเจ็บและป่วยเจ็บ ทางทะเลมีความรุนแรง เดิมการทำงานใช้แรงงานของมนุษย์เป็นหลัก ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา มีการ พัฒนาโดยการ ใช้เครื่องจักร เครื่องทุ่นแรงในการทำงานแทนมนุษย์พัฒนาเรือที่มีขนาดใหญ่มีจำนวนตันกรอสที่มากขึ้น แต่กลับใช้ แรงงานมนุษย์ในการควบคุมดูแลเพียงไม่กี่คน ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุจะทำให้มีความรุนแรงเป็นอย่างมากและยากต่อ การควบคุมดูแลและให้การรักษาทางการแพทย์ เวชศาสตร์ทางทะเลเป็นสาขาวิชาชีพที่พัฒนาขึ้นใหม่ในห้วงทศวรรษที่ผ่านมาแต่ได้รับความสนใจ อย่าง กว้างขวาง เนื่องจากเป็นการรวบรวมประสบการณ์และองค์ความรู้ของสุขภาวะที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ทางทะเล ลักษณะสภาวะแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง ความเกี่ยวข้องของมนุษย์กับทะเล ซึ่งในปัจจุบันการขยายการ ทำงานและ อุตสาหกรรมทางทะเลมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นิยามในภาษาอังกฤษจากตำราเวชศาสตร์ทางทะเล โดยศูนย์เวชศาสตร์ทางทะเลประเทศนอร์เวย์ (Norwegian Centre for Maritime Medicine) โดย Dr. Aksel Schreiner กล่าวไว้ว่า “Any medical activity related to questions concerning the employment, working conditions, living conditions, health and safety of workers at sea which includes commercial fleet, the navy, the fishing fleet, sea piloting, offshore installations, and leisure boats” ซึ่งหมายถึงกิจกรรมทางการแพทย์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นด้าน สมรรถนะหลักของ พร. ด้านเวชศาสตร์ทางทะเล
๖๒ การจ้างงาน การทำงาน ความเป็นอยู่ สุขภาพและความปลอดภัยของผู้ทำงานในทะเล โดยรวมไปถึง เรือพาณิชย์ เรือ กองทัพเรือ เรือประมงนอกชายฝั่ง การบินทางทะเล อุตสาหกรรมนอกชายฝั่ง และกิจกรรมสันทนาการทางน้ำหากจะ กล่าวถึงนิยามของเวชศาสตร์ทางทะเล สามารถกล่าวได้โดยสรุปว่า “ศาสตร์ของการดูแลทางการแพทย์ในกลุ่ม ประชากรที่มีสภาวะทางสุขภาพ การเจ็บป่วย การทำงาน และความเสี่ยงที่เป็น ลักษณะเฉพาะกับงานที่เกี่ยวข้องกับ กิจกรรมทางน้ำ ทะเล และชายฝั่ง” (ธนวัฒน์ ศุภนิตยานนท์, ๒๕๕๕) การแพทย์ด้านเวชศาสตร์ทางทะเลมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากการมุ่งความสนใจ ในด้าน อาชีวเวชศาสตร์ทางทะเล (Maritime Occupational Health) โดยองค์การอนามัยโลกได้กำหนดให้มีการจัดตั้งศูนย์ เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ทางทะเลอยู่ในหลายประเทศในโลกในชื่อว่า WHO Collaborating Centres on Maritime Occupational Health นอกจากนี้วารสารทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับงานด้าน เวชศาสตร์ทางทะเลก็ได้เกิดขึ้น อย่างมากมายและเป็นที่ยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ ในวงการแพทย์เชิงประจักษ์ (Evidence-based medicine) และการ สัมมนาทางเวชศาสตร์ทางทะเลระดับนานาชาติก็ได้เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๖๒ ล่าสุดมีการจัดประชุมนานาชาติเพื่อการ รวบรวมองค์ความรู้ด้านเวชศาสตร์ทางทะเลระดับนานาชาติ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นครั้งแรก ใน ประเทศไทยช่วงต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา นับเป็นตัวแปรสำคัญที่เน้นย้ำถึงแนวโน้มการดึงทรัพยากร องค์ความรู้ และบุคคลากร เข้ามายังประเทศในแถบเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากความได้เปรียบทางแรงงาน ความมุ่งมั่นใน การพัฒนาเพื่อการเป็นผู้นำ และด้าน ภูมิศาสตร์อีกด้วย นิยามของศัพท์ด้านเวชศาสตร์ทางทะเล “เวชศาสตร์ทางทะเล” มาจากคำภาษาอังกฤษว่า Maritime Medicine ซึ่งมีคำนิยามที่หลากหลาย และถูก เข้าใจไปในทางที่ผิด ที่ผ่านมาได้มีการกำหนดขอบเขตของงานเวชศาสตร์ทางทะเลอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งนี้คำศัพท์ที่ เกี่ยวข้องกับ “เวชศาสตร์ทางทะเล”ที่มีการตีความหมายใกล้เคียงกันมี ๔ คำดังต่อไปนี้ ๑. Naval Medicine หรือ เวชศาสตร์กองทัพเรือ หรือ นาวิกเวชกิจ เป็นศาสตร์ที่ดูแลระบบการแพทย์ของกองทัพเรือ ทั้งในแง่การปฏิบัติการและภารกิจทางทหาร ทางการรบ ข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติการในเรือหลวงทั้งในและนอกชายฝั่ง นักประดาน้ำ การรักษา อธิปไตยนอก ชายฝั่ง ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ฐานทัพเรือ รวมถึงระบบสุขภาพข้าราชการทหาร ครอบครัว และพลเรือนที่ เกี่ยวข้อง ๒. Nautical Medicine หรือ เวชศาสตร์การเดินเรือ เป็นศาสตร์ที่รู้จักและแพร่หลายมากในอดีต สืบเนื่องกับการเดินทางโดยทางเรือในอดีต มีความ สำคัญ ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมสูงมาก ทั้งในด้านการพัฒนา การค้าและการล่าอาณานิคม นอกจากนี้ การเดินเรือ ในอดีตนั้นเป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยงจากอันตรายและการป่วยเจ็บสูงมาก เวชศาสตร์การเดินเรือ จะรวม ความสำคัญในการเดินเรือทั้งทางพลเรือนและทางทหาร ๓. Underwater Medicine หรือ เวชศาสตร์ใต้น้ำ เป็นศาสตร์ที่ดูแลมิติงานใต้น้ำ เช่นผู้ที่เกี่ยวข้องกับการดำน้ำ ทั้งการดำน้ำอาชีพ การดำน้ำ สันทนาการ การดำน้ำทางทหาร และผู้ที่ปฏิบัติงานในภาวะความกดบรรยากาศสูง ในปัจจุบันเป็นศาสตร์ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากการกิจกรรมการดำน้ำเป็นกีฬาที่มีการขยายตัวสูงมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และ ประเทศไทยก็ได้รับ การยกย่องให้มีแหล่งดำน้ำที่สวยงาม และเหมาะแก่ทางท่องเที่ยวมากแห่งหนึ่งในโลก ๔. Maritime Medicine หรือ เวชศาสตร์ทางทะเล เป็นศาสตร์ที่ครอบคลุมถึงการดูแลภาวะทางสุขภาพของกิจกรรมทางทะเลในภาพรวมทั้งหมด เช่น กฎหมายทางทะเล งานพานิชย์นาวี การขนส่งสินค้าทางทะเล งานนอกชายฝั่งและแท่นขุดเจาะ การเดินทาง และ ท่องเที่ยวทางทะเล เรือสำราญ งานค้นหาช่วยเหลือ และการประสานการส่งกลับ อุบัติภัยหมู่ทางทะเล การกีฬาทาง น้ำ กิจกรรมการดำน้ำ และรวมถึงกิจกรรมการแพทย์ของกองทัพเรือและเรือดำน้ำอีกด้วย
๖๓ ขอบเขตของงานด้านเวชศาสตร์ทางทะเล เวชศาสตร์ทางทะเล มีลักษณะจำเพาะแตกต่างจากหลายสาขาทางการแพทย์ บางสาขาที่มีเนื้อหาวิชา จำเพาะลงไปเฉพาะโรค การเจ็บป่วย หรือการบาดเจ็บหนึ่งใด แต่เป็นการบูรณาการณ์ (Holism) งานของสหสาขา วิชาชีพด้านการแพทย์และความปลอดภัย ทั้ง ๔ มิติด้านการแพทย์ โดยมุ่งเน้นประสิทธิภาพในการดูแลป้องกันก่อน การเกิดการโรคและการบาดเจ็บในการทำงานในทะเล การให้การรักษาผู้ป่วยเจ็บในสภาวะขาดแคลนการฟื้นฟู และส่งเสริมสุขภาพและอาชีวอนามัยทางทะเล ขอบเขตของงานด้านเวชศาสตร์ทางทะเล สามารถแบ่งตามลักษณะงานที่เกี่ยวข้องเป็น ๖ ด้านดังต่อไปนี้ ๑. อาชีวเวชศาสตร์ (Occupational Medicine) อาชีวเวชศาสตร์เป็นสาขาที่มีบทบาทสำคัญที่สุดของงานเวชศาสตร์ทางทะเล โดยดูแลด้านการทำงานในบริบททาง ทะเล ลักษณะจำเพาะของการดำรงชีวิต สภาวะทำงานปกติและสภาวะการทำงานที่ไม่ปกติ การประเมินความ เสี่ยง ก่อน ระหว่าง และหลังการทำงาน การกำหนดมาตรฐานสุขภาพทางทะเล (Medical Standard for Seafarers) โดย แบ่งตามลักษณะจำเพาะของแต่ละงาน โดยงานแต่ละชนิดมีข้อกำหนดแตกต่างกันออกไป ในหลายประเทศมีการพัฒนาคลินิกอาชีวเวชศาสตร์ทางทะเล (Occupational Maritime Clinics) ให้การ ดูแลการตรวจประเมินความเสี่ยงทางสุขภาพมาตรฐานทางสุขภาพ ออกใบประกาศทางสุขภาพเพื่อการทำงานในทะเล ตรวจประเมินที่ทำงานเปรียบเสมือนช่องทางให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่และแรงงานทางทะเล สามารถเข้าถึงการให้บริการทาง การแพทย์ทางทะเลอย่างครบถ้วน โดยอาจมีที่ตั้งใกล้ทะเลหรือไม่ก็ได้ ปัจจุบันประเทศไทยได้มีการจัดตั้งคลินิกโรคจากการประกอบอาชีพ ซึ่งมีการทำงาน ในลักษณะ เดียวกัน กับคลินิกอาชีวเวชศาสตร์ทางทะเล แต่ยังไม่มีการจำเพาะงานทางทะเลและยังไม่มีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ด้านเวชศาสตร์ ทางทะเลไปดูแลในส่วนงานดังกล่าว ๒. เวชศาสตร์ฉุกเฉิน (Emergency Medicine) เวชศาสตร์ฉุกเฉินมีความสำคัญในงานด้านเวชศาสตร์ทางทะเลอย่างมากเช่นเดียวกัน เนื่องจากมีบทบาทในการ ตอบสนองต่อภาวะฉุกเฉินทางทะเล ซึ่งสามารถเกิดได้จากปัจจัยแวดล้อมในการทำงาน ทั้งที่ควบคุมได้และควบคุม ไม่ได้ บทบาทที่สำคัญที่เกี่ยวข้องกับงานด้านเวชศาสตร์ทางทะเล เช่น ศูนย์ให้ประสานงานและช่วยเหลือภาวะฉุกเฉิน ทางทะเล (Telemedical Assistance Service -TMAS) การรักษาภาวะฉุกเฉินทางทะเล การเข้าช่วยเหลือภาวะภัย พิบัติทางทะเล (Disaster relief) การส่งกลับภาวะฉุกเฉินทางทะเลควบคู่กับงานด้านเวชศาสตร์การบิน เป็นต้น ในหลายหน่วยงานทางทะเล มีความต้องการแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยงาน โดย สาขาหลักที่มีความต้องการเพื่อตอบสนองงานหลักคือเวชศาสตร์ทางทะเล อาชีวเวชศาสตร์ และเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ดัง จะเห็นได้จากอุตสาหกรรมเรือเดินสมุทร(Cruise Medicine)จะมีความต้องการด้านเวชศาสตร์ฉุกเฉินและเวชบำบัด วิกฤต(Critical Care Medicine)เป็นหลัก เนื่องจากเรือเดินสมุทรบางลำมีความพร้อมด้านการ แพทย์ถึงระดับการดูแล ผู้ป่วยวิกฤตก่อนส่งต่ออีกด้วย ๓. นาวิกเวชกิจ (Naval Medicine) นาวิกเวชกิจ มีความหมายเทียบเคียงกับ กิจกรรมทางการแพทย์ในกองทัพเรือ จะคลอบคลุมหลายมิติทางการแพทย์ ในกองทัพเรือ ตั้งแต่การดูแลทั้ง ๔ มิติของบุคคลากร เจ้าหน้าที่ และครอบครัวของกำลังพลกองทัพเรือในสภาวะปกติ และสภาวะการรบ การดูแลสุขาภิบาลและอาชีวอนามัยของท่าเรือของกองทัพ อู่ต่อเรือ หน่วยงานประดาน้ำ หน่วยงานปฏิบัติการพิเศษทางน้ำ ซึ่งจะทำงานร่วมกับงานด้านเวชศาสตร์ใต้น้ำและความกดบรรยากาศสูง รวมไปถึง การแพทย์บนเรือรบหลวงการให้คำปรึกษาระยะไกลจากแพทย์ในสถาน ยาบาลตติยภูมิต่อพยาบาลหรือเวชกรฉุกเฉิน ผู้ปฏิบัติหน้าที่บนเรือรบหลวง ในการดูแลกำลังพลการดูแลและ ประเมินสุขภาพกำลังพลตามงานจำเพาะ และตาม ภารกิจทางการทหารที่ได้รับมอบหมายเป็นต้น
๖๔ ๔. เวชศาสตร์ใต้น้ำและความกดบรรยากาศสูง (Underwater and Hyperbaric Medicine) เนื่องจากประเทศไทยมีภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมและเอื้อต่อกิจกรรมการดำน้ำ ประเทศไทยนับเป็น ๑ ใน ๑๐ ประเทศของโลกที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวและนักดำน้ำจากทั่วโลกมากที่สุด โรคจากการดำน้ำสามารถ พบได้ทั้งในภาค พลเรือน ภาคทหาร ธุรกิจ วิทยาศาสตร์ และอุตสาหกรรม แพทย์และพยาบาลผู้ทำการดูแล ผู้ป่วยเจ็บจากการดำน้ำ ต้องผ่านการอบรมหลักสูตรเวชศาสตร์ใต้น้ำและความกดบรรยากาศสูงเพื่อที่จะมีความรู้ความสามารถในการคุมห้อง ปรับแรงดันบรรยากาศสูง (Hyperbaric Chamber) และให้การรักษาโรคจากการดำน้ำดังกล่าว โดยมีทั้งภาครัฐบาล ทหาร และเอกชน ที่มีส่วนร่วมในการดูแลงานด้านนี้ โดยกระจายอยู่ตามพื้นที่ภูมิศาสตร์ที่มีความเหมาะสมต่อการ รักษาโรคดังกล่าวที่มีกิจกรรมการดำน้ำหนาแน่นและเป็นศูนย์กลางของการเดินทางและขนส่ง เช่น กรุงเทพมหานคร ชลบุรี เกาะสมุย สุราษฏร์ธานี ภูเก็ต เป็นต้น ๕. เวชศาสตร์การบิน (Aviation Medicine) เวชศาสตร์การบินเป็นสาขาที่เกี่ยวข้องหลักกับเวชศาสตร์ทางทะเล และเวชศาสตร์ฉุกเฉิน บทบาทสำคัญ คือการขนส่งและส่งกลับทางอากาศ (Air-sea evacuation) หลังจากเกิดเหตุในทะเล โดยแบ่งออกเป็น การส่งกลับ แบบปกติ (Routine) ด่วน (Urgency) และฉุกเฉิน (Emergency) โดยจะมีเทคนิคในการ เคลื่อนย้ายผู้ป่วยและ ข้อกำหนดที่สำคัญที่ทำให้การส่งกลับทางอากาศนั้นยากกว่าสภาวะปกติบนบกมากเช่น เฮลิคอปเตอร์ต้องเดินทางด้วย การกระจัดความเร็วเท่ากับเรือที่กำลังแล่นเพื่อยกตัวผู้ป่วยหรือลงจอดบนน้ำได้ สภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลง ตลอดเวลา สภาพคลื่นลมที่มีผลกระทบต่อเรือ การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยมายังดาดฟ้าเรือ หรือจุดส่งกลับบนแท่นขุดเจาะ มุมมองและความสำคัญต่างๆ ดังกล่าว ทำให้การแพทย์ด้านเวชศาสตร์การบิน มีความจำเป็นต่อการดูแลผู้ปฏิบัติ หน้าที่ทางทะเลอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ ประวัติศาสตร์ด้านเวชศาสตร์ทางทะเล ในอดีตกาล การเดินเรือมีบทบาทต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก ทั้งในแง่การนำมาซึ่งการค้นพบดินแดนใหม่ การพัฒนาสังคมวัฒนธรรม ตลอดจนถึงการค้า โดยการแพทย์ทางทะเลนั้น มีการพัฒนาอย่างค่อยเป็นค่อยไป ตามลำดับขั้นควบคู่กับการเดินเรือ ในช่วงยุคแรกของการเดินเรือ ส่วนใหญ่เป็นการมุ่งทางทหารล่าอาณานิคม ค้นหา ดินแดนใหม่ แต่สืบเนื่องจากโรคที่เกิดจากการเดินเรือ ซึ่งมีผลต่อสุขภาพการป่วยเจ็บอย่างรุนแรงจนถึง เสียชีวิต ทำให้ มีการสังเกตและนำไปถึงการศึกษาและทดลองทางการแพทย์ทางทะเล และการแพทย์สำหรับ การเดินเรืออย่าง ต่อเนื่องในเวลาต่อมา ยุคการเดินเรือสมัยการขับเคลื่อนด้วยฝีพาย (Period of Oar Propulsion) ลักษณะการเดินเรือสมัยคริสตศตวรรษที่ ๑๓ เป็นการเดินเรือช่วงแรก มีทั้งเรือขนาดกลางและขนาดใหญ่ หลายพันตันกรอส ซึ่งเป็นนวัตกรรมของชาวกรีกและโรมัน แต่เป็นการขับเคลื่อนด้วยพลัง มนุษย์ทั้งสิ้น การเดินเรือ ส่วนใหญ่เป็นการเดินเรือในห้วงเวลาที่ไม่ยาวนานนัก (ไม่เกิน ๒ สัปดาห์) สืบเนื่องจาก การยังไม่ค้นพบการถนอม อาหาร (Preservatives) และเสบียงไม่ดีพอ จุดม่งหลายหลักเป็นการสร้างยานพาหนะทางทะเลเพื่อการรบ สภาพ ความเป็นอยู่เลวร้ายมากที่สุด มีคำกล่าวว่าเป็นการเดินทางที่ “ไม่สะดวกสำหรับผู้โดยสารแทบจะทนไม่ได้สำหรับ ลูกเรือ และเป็นตายที่สุดสำหรับทาสที่นำมาเป็น ฝีพายเรือ” ในยุคแรกของการเดินเรือ ไม่มีการมุ่งความสำคัญต่อการแพทย์หรือสุขลักษณะภายในเรือแทบจะไม่มี บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับสุขลักษณะหรือการแพทย์ทางทะเลในยุคแรก ข้อมูลแรกเกี่ยวกับการกำหนดให้มีแพทย์ในเรือ คือข้อมูลจากบันทึกของกองรักษาการณ์ของชาวเอเธนส์และชาวสปาร์ตา นอกจากนี้สมัยโรมันยังมีบันทึกว่าได้มีการ กำหนดส่วนหนึ่งในเรืออย่างชัดเจนสำหรับการดูแลทางพลาธิการ การดูแลผู้ป่วยและบาดเจ็บจากการรบ ซึ่งถือเป็น ต้นแบบของการพัฒนาเรือพยาบาลในยุคต่อมา
๖๕ กฏกองทัพเรือเกี่ยวกับการแพทย์ทางทะเล (Naval By-Laws) ได้ถูกเขียนครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.๑๓๕๔ โดย Bernardo Cabrera ในยุคสมัยของกษัตริย์เปรโดรที่ ๔ ของอารากอน ได้กำหนดให้มีแพทย์และศัลยแพทย์ในเรือ ขณะออกปฏิบัติหน้าที่แต่ไม่ถูกบังคับใช้จนถึงช่วงปีคริสตศตวรรษที่ ๑๖ ยุคการเดินเรือสมัยการขับเคลื่อนด้วยการ ล่องเรือ (Period of Sail Propulsion) ในคริสตศตวรรษที่ ๑๔ - ๑๗ นับเป็นยุคของการค้นพบดินแดนใหม่ โดยเฉพาะทวีปอเมริกาของ Christopher Columbus การเดินเรือข้ามมหาสมุทร แอตแลนติค เป็นส่งท้ายทายในการเดินเรือเพื่อไปยัง ดินแดนใหม่ โดยเป็นการ เดินเรือโดยใช้เรือใบล่องเรือ เนื่องจากเป็นการเดินทางข้ามทวีป (Transoceanic sailing) ซึ่งมีความจำเป็นต้องมุ่งเน้นด้านการบรรทุกคน เสบียง อุปกรณ์ทำการรบ เต็มความสามารถสภาพความเป็นอยู่จึงเป็นไปอย่างแออัดและผิดหลักสุขศาสตร์ เป็นอย่างยิ่ง จากหลักฐานพบว่ามีโรคที่เกิดขึ้นตามมาอย่างมากมายจากความ พยายามล่องเรือในระยะทางไกลและใช้เวลามาก โรคลักปิดลักเปิด (Scurvy) ซึ่ง เกิดจากการขาดวิตามินซี (Vitamin C deficiency) เป็นโรคที่สำคัญ ที่สุดของการ เดินเรือในยุคของการล่องเรือตลอด ๓๕๐ ปี มีการเสียชีวิตและทุพพลภาพอย่างมากมายจากการเลือดออกผิดปกติ ของชาวเรือ ตัวอย่างเช่น ในปี ๑๔๙๗ การเดินเรือของ Vasco de Gama นักเดินเรือ ที่มีชื่อเสียงชาวโปรตุเกส ออก เดินทางจากเมืองลิสบอน ประเทศโปรตุเกส (Lisboa, Portugal) มายังแหลม Cape of Good Hope ซึ่งก็คือประเทศ แอฟริกาใต้ในปัจจุบัน มีการบันทึกว่าการตายของผู้เดินเรือ เกินกว่าครึ่ง เสียชีวิตจากภาวะเลือดออกผิดปกติจากการ ขาดวิตามินซี สูงกว่าโรคอื่นๆ รวมถึงการบาดเจ็บจากการสู้รบรวมกัน โรคลักปิดลักเปิด (Scurvy) เป็นปริศนาของนักเดินเรือและทหารเรือหลายร้อยปีจนกระทั่งมีการ ค้นพบ โรคนี้โดยกัปตันเรือชาวสเปนในปี ค.ศ.๑๖๐๒ และมีการค้นพบวิตามินต่างๆ ในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังพบกาฬโรค ซึ่งเป็นโรคติดต่อจากหนู เป็นโรคที่เจอสูงอันดับสองรองจากโรคลักปิดลักเปิดในยุคนั้น จะเห็นได้ว่าการแพทย์ทางทะเลถูกพัฒนาตามลำดับเวลาอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่เป็นปัจจัยที่มีความ สำคัญยิ่งในการอนุรักษ์กำลังรบและผู้เดินเรือในทะเลตั้งแต่สมัยอดีตกาลจนถึงปัจจุบัน โดยความรู้เกี่ยวกับ ประวัติศาสตร์การแพทย์ทางทะเลในอดีตดังกล่าว สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสุขอนามัย โภชนาการ การ รักษาพยาบาล ป้องกัน และส่งเสริมสุขภาพสำหรับชาวเรือในยุคต่อมา บิดาแห่งเวชศาสตร์ทางทะเล บิดาแห่งเวชศาสตร์ทางทะเลหรือผู้ให้กำเนิดศาสตร์ในการดูแลผู้ปฏิบัติงานในทะเลนั้น ผู้ที่ได้รับการยกย่อง ให้เป็นบิดาแหงเวชศาสตร์ทางทะเลคือ เจมส์ ลินด์ (James Lind, ๑๗๑๖ - ๑๗๙๔, Father of Nautical Medicine) โดยในสมัยนั้นนิยาม คำว่า Nautical Medicine (เวชศาสตร์การเดินเรือ) เป็นที่รู้จักในวงกว้างกว่าคำว่า Maritime Medicine (เวชศาสตร์ทางทะเล) จากประเด็นสำคัญ คือการเดินทางในอดีตมีความยากลำบากอย่างมาก ปัจจัยที่ สำคัญที่ทำให้การเดินเรือดำเนินไปได้อย่างปลอดภัยคือการนำทาง (Naviation) โดยไม่มีแผนที่หรือระบบ GPS ดังใน ปัจจุบัน ต่อมา James Lind (๑๗๑๖ - ๑๗๙๔) ได้รับการเชิดชูเป็นทั้งบิดาการ เวชศาสตร์การเดินเรือและเวช ศาสตร์ทางทะเลในเวลาเดียวกัน จากผลงาน หลายอย่างที่ได้รับการบันทึกอย่างชัดเจนในหนังสือและตำราซึ่งเขาได้ เขียนระหว่างการเดินทางซึ่งเป็นประโยชน์ทางการแพทย์อย่างมากในยุคต่อมา
๖๖ เจมส์ ลินด์ เป็นศัลยแพทย์ชาวสก๊อตแลนด์ เกิดที่เมือง Edinburgh ประเทศ Scotland ศึกษาแพทย์ที่ เมืองเกิดและได้เข้าร่วมการเดินเรือหลายครั้ง ได้ทำการดูแลผู้ทำงานในทะเลอย่างต่อเนื่อง ได้เขียนตำรา และทำการ ทดลองทางการแพทย์หลายอย่าง การทดลองที่มีชื่อเสียงสูงที่สุด คือการทดลองรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคลักปิดลักเปิด (Scurvy) ในเรือหลวง Salisbury (H.M.S. Salisbury, ๑๗๔๗) โดยเขาได้ทำการแบ่งกลุ่มผู้ป่วยออกเป็น ๖ กล่ม กลุ่มละ ๒ คน โดย กำหนดให้แต่ละคนสัมผัสปัจจัยที่แตกต่างกันเพียง ๑ อย่าง คือ ปัจจัยทางอาหาร นอกจากนั้นได้ทำการ ควบคุม ประเด็นต่างๆ ตามหลักการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Study) โดยทำการรักษาด้วยการให้บริโภคอาหาร แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ดังนี้ ๑) น้ำผลไม้ ๑/๔ แกลอน ๒) เกลือกำมะถัน ๓) น้ำสัมสายชู ๔) น้ำ ทะเล ๕) น้ำส้มและน้ำมะนาว ๖) ครีมจากสมุนไพร จากการศึกษาพบว่ากลุ่มที่รับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำผลไม้ (ซึ่งมีกรดซิตริค - Citric acid) จะมีผลการรักษาที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนและหายจากอาการเลือดออกผิดปกติดังกล่าว ซึ่งการทดลองนี้นับเป็นต้นแบบ แรกของการศึกษาแบบ Clinical Trial ในเวลาต่อมา ถึงแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์แบบ เนื่องจากมีผล ทั้งดีและเสียต่อผู้ถูก ทำการศึกษาและทดลอง แต่นับเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาแบบ Clinical Trial ที่สำคัญ (McNeill WH. Plagues and People, ๑๙๘๙) ตำราที่มีชื่อเสียงและได้รับการยกย่องให้เป็นตำราการแพทย์และพยาบาลในยุคนั้นคือ ตำราโรค ลักปิดลักเปิด (A Treatise of the Scurvy) ซึ่งถูกเขียนและตีพิมพ์ในปี ๑๗๕๓ แต่ในช่วงแรกไม่เป็นที่ยอมรับ แต่ อย่างใด แต่ต่อมากัปตัน เจมส์ คุก (James Cook) ได้นำข้อมูลในตำราที่ลินด์เขียนมาใช้ในการประยุกต์โภชนาการ สำหรับการเดินเรือ ทำให้การเดินเรือข้ามทวีปของเขาเป็นหนึ่งในกลุ่มแรก ที่ประสบความสำเร็จโดยไม่มีการเจ็บป่วย หรือล้มตายจากโรคทุพโภชนาการที่สามารถป้องกันได้ นอกจากนี้ลินด์ยังเชื่อว่าการเจ็บป่วยในการเดินเรือนั้นเกิดจากหลายสาเหตุเช่น การใช้เสื้อผ้าเก่าที่ไม่ถูก สุขอนามัย การไม่ดูแลช่องปาก สภาพทั่วไปของเรือที่สกปรก การดูแลผู้ป่วยอย่างไม่ทั่วถึง ทำให้นำมาถึงการปรับปรุง ทางเวชศาสตร์ทางการเดินเรืออย่างมาก เช่น การสั่งเปลี่ยนการแต่งตัวของผู้เดินเรือให้ใหม่ และสะอาดเสมอ การ กำหนดให้บ้วนปากด้วยยาฆ่าเชื้อทุกเดือน ปรับสภาพแวดล้อมในเรือ การป้องกัน และดูแลกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการไข้ โรคไทฟัสและหนองใน เป็นต้น มาตรฐานสุขภาพทางทะเล ข้อกำหนด The Merchant Shipping (Medical Certification) Regulations ๒๐๐๙ ได้ถูกกำหนด ขึ้นและมีผลบังคับใช้เมื่อ ๖ เม.ย. ๒๕๕๓ เพื่อการกำหนดข้อกฎหมายให้มีการตรวจสุขภาพของผู้ปฏิบัติงานใน ทะเลทุกคน ตั้งแต่กัปตันเรือ ผู้ที่ถูกจ้างงาน และผู้ที่ทำงานทุกรูปแบบบนเรือทุกลำ ต้องมีใบรับรองการผ่านการ ตรวจสุขภาพ (Valid Medical Certificate) เพื่อแสดงถึงความพร้อมในการปฏิบัติห น้าที่ นอกจากนี้ยังมี อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยมาตรฐานการฝึกอบรม การออกประกาศนียบัตรและการเข้ายามของคนประจำเรือ ค.ศ. ๑๙๗๘ ตามที่แก้ไข ค.ศ. ๑๙๙๕ (International Convention on Standard of Training, Certification, and Watchkeeping for Seafarers ๑๙๗๘ as amended ๑๙๙๕: STCW ๗๘/๙๕) ยังได้กำหนดให้ผู้ที่ปฏิบัติ หน้าที่ในทะเล ต้องมีสุขภาพที่สมบูรณ์ อายุที่เหมาะสม ผ่านการฝึกอบรม มีประสบการณ์ในการเดินเรือตามที่ กำหนด เพื่อใช้ในการเดินเรืออย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีต่ออนุสัญญานี้และมีผล บังคับใช้ได้ตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๐ การตรวจสุขภาพผู้ปฏิบัติงานในทะเล ในบางประเทศต้องดำเนินการโดยเฉพาะแพทย์ที่ได้รับการรับรอง เท่านั้น (Approved Doctor: AD) ล่าสุดเมื่อวันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ กรมเจ้าท่าโดยอธิบดีกรมเจ้าท่า ได้ลงนาม ในประกาศกรมเจ้าท่า ที่ ๑๙๙/๒๕๕๔ เรื่องหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการถ่ายโอนภารกิจด้านการตรวจสุขภาพคน ประจำเรือ โดยมีการกำหนดการดูแลงานตรวจสุขภาพคนประจำเรือเพื่อออกใบประกาศนียบัตรสุขภาพ และมีการ
๖๗ กำหนด “สถานพยาบาลที่ได้รับการรับรอง” และ “แพทย์คนประจำเรือ” โดยการตรวจสุขภาพคนประจำเรือจะ สมบูรณ์ได้ต้องมีแพทย์คนประจำเรือที่ถูกรับรองโดยกรมเจ้าท่า รวมไปถึง สถานพยาบาลที่ได้รับการรับรองโดย กรมเจ้าท่าเช่นเดียวกัน จึงจะสามารถตรวจและออกใบประกาศนียบัตรสุขภาพ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญต่อ ใบอนุญาตการทำงานในทะเลต่อไป ในการดูแล แพทย์มีความจำเป็นต้องตรวจสุขภาพในเวลาที่จำกัดเพื่อคัดกรองความเสี่ยงทางสุขภาพของ ผู้ปฏิบัติงานในทะเล โดยมีข้อพิจารณาและข้อประโยชน์ในการเข้าตรวจดังนี้ -การตรวจสุขภาพทั้งร่างกายและจิตใจ โดยในแง่จิตใจต้องประเมินความเสี่ยงทั้งในเรื่องปัญหาด้าน อารมณ์และความคิด เพื่อไม่ให้เกิดผลร้ายต่อตัวเองและผู้อื่นระหว่างปฏิบัติงาน เช่น ถ้ามีอาการทางจิตเวชแล้วทำ ร้ายผู้อื่นในเรือจะทำให้ไม่สามารถเดินเรือต่อได้ โดยเฉพาะเรือขนสินค้าขนาดใหญ่ที่มีคนดูแลน้อย หรือภาวะ ความเครียดที่เพิ่มขึ้นได้สูง -การคัดกรองโรคที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการปฏิบัติหน้าที่ เช่น โรคปอดจากการสาร silicosis การเจ็บป่วย จากการทำงานซ้ำๆ การบาดเจ็บจากความร้อนในกรณีทำงานในห้องเครื่อง การบาดเจ็บจากทำงานในที่แคบ -การงดการอนุญาตออกปฏิบัติหน้าที่ในทะเล เนื่องจากความเสี่ยงของการดำเนินของโรคประจำตัวเดิม มีผลต่อการทำงาน ต่อเพื่อนร่วมงาน และต่อตนเอง เช่น การเพิ่มโอกาสในการถูกส่งกลับทางอากาศที่จะเพิ่มความ เสี่ยงต่อผู้เข้าช่วยเหลืออีกด้วย -การพิจารณาลักษณะงาน ตำแหน่งงานในเรือ กำหนดการเดินทางของเรือหรือในสถานที่ทำงานนอก ชายฝั่ง การพิจารณาเตรียมยาและเวชภัณฑ์ที่เหมาะสมและพอเพียงของแพทย์ เนื่องจากหลังเดินทางไปปฏิบัติงาน แล้ว การเข้าถึงต่อบุคลากรและการช่วยเหลือทางการแพทย์จะทำได้ยากลำบากยิ่งขึ้น -การค้นหาหรือสุขภาพที่เป็นข้อห้ามในการปฏิบัติหน้าที่อาจทำให้เกิดอันตรายต่อตัวเอง ผู้ร่วมงานและ งานที่กำลังดำเนินการอยู่ได้ เวชกรรมนอกชายฝั่ง เวชกรรมนอกชายฝั่ง หรือ Offshore Medicine นั้นนับเป็นกิจกรรมที่แพร่หลายและมีการเติบโตสูงมาก ตั้งแต่เป็นลักษณะงานขนาดย่อมในอดีต จนถึงในปัจจุบันงานด้านนี้มีความสำคัญม ากขึ้นเรื่อยๆ จนมักใช้คำว่า “อุตสาหกรรมนอกชายฝั่ง” แทนแล้ว ซึ่งอุตสาหกรรมนอกชายฝั่ง (Offshore Industry) นั้นเริ่มมาตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ.๑๙๔๗ มีการเริ่มขุดเจาะน้ำมันในอ่าวเม็กซิโก บริเวณนอกชายฝั่งหลุยส์เซียน่า ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งประสบ ความสำเร็จเป็นครั้งแรก โดยได้ทำการขุดเจาะลงไปในพื้นทะเลลึก ๑๔ เมตร ในปัจจุบันมีการพัฒนาขึ้นอย่างมาก ทั้งเทคโนโลยี ในการขุดเจาะ ขนส่ง และนำมาใช้ซึ่งทรัพยากรดังกล่าว ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก โดยงาน อุตสาหกรรมนอกชายฝั่งนี้ก็เป็นอีกประเด็นที่สำคัญของการตอบสนอง การดูแลผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลที่ สำคัญที่เป็นงานหลักงานหนึ่งของกองทัพเรือไทยในปัจจุบัน ลักษณะงานนอกชายฝั่งมีลักษณะพิเศษหลายประการ อย่างไรก็ตามมีหลายประเด็นที่แตกต่างจากงาน ประเภทอื่น เช่น ความเข้าใจในรูปแบบงานอุตสาหกรรมนอกชายฝั่งนั้น มีความสำคัญมากกว่าการเข้าใจตำราการ รักษาโรคที่มุ่งเน้นต่อโรคของการเจ็บป่วยแต่เพียงอย่างเดียว โดยตัวอย่างของลักษณะพิเศษ เช่น เป็นกลุ่มที่ทำงาน ขนาดเล็กซึ่งทำงานต่อเนื่อง ๑๔ วันตลอด ๒๔ ชั่วโมง โดยมีการทำงานและพักเป็นกะ ในพื้นที่นอกชายฝั่งแล้วเข้า มาพักในแผ่นดิน ๒๘ วัน (อาจแตกต่างกันไปตามหน่วยงาน) โดยเดินทางโดยเฮลิคอปเตอร์ ซึ่งมีเที่ยวบินและที่นั่ง จำกัด ซึ่งงานดังกล่าวมีมาตรฐานทางสุขภาพและความต้องการทางสมรรถภาพสูงมาก ค่าตอบแทนสูงกว่างาน ประเภทอื่น ซึ่งชนิดของที่ทำงานจะมีหลากหลายตั้งแต่ Fixed installations resting on the seabed (ชนิดยึด กับพื้นทะเลอยู่กับที่) Floating installation (ชนิดลอยอยู่บนผิวน้ำ) Production-ships (เรือการผลิต) Supplyships (เรือสนับสนุน) Standby-ships (เรือพร้อมปฏิบัติหน้าที่) นอกจากนี้ยังมีเรือใต้น้ำ เรือดำน้ำ เรือวางท่อ ต่าง ๆ อีกด้วย
๖๘ ลักษณะของผู้ปฏิบัติงานบนแท่นนอกชายฝั่ง มักประกอบด้วยคนงานหลายเชื้อชาติหลายภาษา และมี จำนวนคนได้ตั้งแต่ ๑๐ - ๓๕๐ คน ซึ่งค่าเฉลี่ยของอายุในกลุ่มผู้ปฏิบัติงานดังกล่าวมีช่วงอายุที่เพิ่มขึ้น ซึ่งโรคที่พบ ถึงการเจ็บป่วยฉุกเฉินที่สูงที่สุด ๓ อันดับแรกคือ ๑. Coronary heart diseases ๒. Cerebral Insults ๓. Acute Abdomen เมื่อเกิดการเจ็บป่วยแต่ละครั้งในอุตสาหกรรมนอกชายฝั่ง จะมีแนวทางการรักษาที่แตกต่างอย่างชัดเจน จากสภาวะปกติในโรงพยาบาล (Hospital setting) เนื่องจากการรักษาในพื้นที่ขาดแคลนนั้นมีความยากลำบาก อย่างมาก ตัวอย่างเช่น การขอคำปรึกษาแต่ละครั้งจากผู้เชี่ยวชาญจำเป็นต้องใช้วิธีการสื่อสารให้คำปรึกษาทางการ แพทย์ระยะไกลหรือที่เรียกว่า Telemedicine หรือถ้าบางหน่วยงานมีแพทย์ประจำสถานประกอบการ ก็จะช่วย สามารถลดปัญหาในประเด็นดังกล่าวได้ ฉะนั้นการป้องกันสำคัญมากกว่าการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ซึ่งนำมาสู่ มาตรฐานในการตรวจสุขภาพของกล่มประชากรดังกล่าวจึงมีความสำคัญสูงมากที่จะต้องคัด กลุ่มประชากรที่มี สุขภาพดีถึงดีมากและมีโอกาสต่ำที่สุดที่จะเกิดการเจ็บป่วยและอุบัติเหตุจากการทำงาน ซึ่งแนวทางป้องกันมีตั้งแต่ การคัดกรองผู้ปฏิบัติหน้าที่ที่เหมาะสมกับงาน การประเมินความเสี่ยงของงาน ขององค์บุคคล การฝึกความชำนาญ ในงาน การฝึกการเอาชีวิตรอดในทะเล (Survival at sea) การรักษาพยาบาลเบื้องต้น (First aid at sea) การ ออกจากเฮลิคอปเตอร์กรณีเครื่องตกน้ำ และอีกหลายหลักสูตรที่ผู้ที่จะทำงานในอุตสาหกรรมดังกล่าวต้องผ่านการ อบรมและได้รับการรับรองลักษณะหน่วยแพทย์ป ฐมภูมิของอุตสาหกรรมนอกชายฝั่ง สามารถแยกเป็นประเด็นที่ สำคัญๆ ดังนี้ - พยาบาล หรือเวชกรฉุกฉินสามารถให้การปรึกษา และให้การดูแลทางการแพทย์ในพื้นที่ได้ตลอด ๒๔ ชม. - แพทย์ สามารถรับการปรึกษาระยะไกลได้ตลอด ๒๔ ชม. -อุปกรณ์และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ที่เตรียมไว้อย่างเพียงพอสำหรับหน่วยแพทย์ปฐมภูมินั้น ๆ เพื่อ การรักษาต่อการเจ็บป่วยที่หลากหลาย -กรณีมีแพทย์ปฏิบัติหน้าที่ แพทย์ผู้นั้นจะต้องดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic approach) ตั้งแต่ การประเมินความพร้อมของบุคคลากรในงานและการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉิน การดูแลสุขอนามัยด้านต่างๆ ใน พื้นที่ การกำจัดพาหะโรคต่างๆ การตรวจสอบสิ่งอุปโภคและบริโภคต่างๆ การตรวจคุณภาพน้ำและอาหาร รวมไป ถึงการสืบสวนสอบสวนและรายงานอุบัติการณ์ต่างๆ ให้ครบทั้ง ๔ มิติทางการแพทย์ ได้แก่ ป้องกัน รักษา ฟื้นฟู และส่งเสริม ปัจจัยเสี่ยงทางอาชีวเวชศาสตร์ทางทะเลก็มีความสำคัญเช่นกัน การทำงานบนแท่นขุดเจาะนั้นมี อันตรายสูงกว่าการทำงานในพื้นที่อื่นๆ เนื่องจากมีความเสี่ยงอยู่รอบตัวซึ่งต้องประเมินโดยละเอียด เช่น สารเคมี แสง เสียง การสั่นสะเทือน อุณห ภูมิ แรงลม แรงคลื่น การทำงานขอ งค นและเครื่องจักร การย ศาส ตร์
๖๙ (ergonomics) รวมถึงการดูแลมาตรฐานสุขภาพผู้ป ฏิบัติงานนอกชายฝั่ง (Medical fitness for offshore workers) โดยทีมแพทย์และพยาบาลควรมีความเชี่ยวชาญหลักๆ ในสาขาดังต่อไปนี้ ๑) เวชศาสตร์ทางทะเล ๒) อาชีวเวชศาสตร์ ๓) เวชศาสตร์ฉุกเฉิน ๔) เวชศาสตร์ครอบครัว ๕) เวชศาสตร์ใต้น้ำและการบิน (เฉพาะชนิดงาน) ในหลายกรณีที่จำเป็นต้องมีการขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญระยะไกลจากฝั่งนั้น การดำเนินการบนแท่น ขุดเจาะจะมีคุณภาพที่ดีกว่าการขอคำปรึกษา telemedicine จากเรือ เนื่องจากทางเรือจะประสบปัญหา bandwidth (ความถี่ของคลื่นวิทยุ) ที่มีคุณภาพต่ำกว่าการอยู่นิ่งกว่าบนแท่นขุดเจาะต่างๆ ทั้งนี้ทั้งนั้น การใช้ telemedicine จะมีคุณภาพไม่เทียบเท่าการรักษาจริงในพื้นที่จริง ซึ่งเราจะใช้เป็นหนทางสุดท้ายกรณีที่ไม่มี ทรัพยากรใดๆ ที่เหมาะสมกับการรักษาครั้งนั้นแล้ว ในหลายประเทศมีการพัฒนาคุณภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ จาก โทรศัพท์ผ่านดาวเทียม เป็น การส่งอีเมล์ เป็น การส่งกราฟต่างๆ ชนิด Real-time จนถึง Video conference และตอนนี้มีการพัฒนาไปจนถึง Two-way high definition (HD) Video-consultant ซึ่งจะได้คุณภาพสูงสุด ซึ่ง มีการพัฒนาถึงหลายพื้นที่แล้วในบริเวณนอกชายฝั่งยุโรปตะวันตก เช่น นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร เป็นต้น อุตสาหกรรมนอกชายฝั่ง และ เวชกรรมนอกชายฝั่ง ล้วนเป็นงานที่เต็มไปด้วยความท้าทายและ ค่าตอบแทนที่สูงลิ่ว ควบคู่ไปกับความเสี่ยง ความโดดเดี่ยว ความลำบาก และอุบัติเหตุรุนแรงที่สามารถเกิดขึ้นได้ ตามที่เคยมีบันทึกและรายงานตามข่าวหน้าหนึ่งทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ เช่น Deepwater Horizon อ่าวเม็กซิโกในปี ค.ศ. ๒๐๑๐ ที่มีน้ำมันรั่วไหลจำนวนมาก หรือกรณีแท่นขุดเจาะ Endavour นอกชายฝั่งของ Nigeria ที่มีไฟไหม้ จากก๊าซรั่วไหลทำให้ต้องอพยพแรงงาน ๒๐๐ กว่าชีวิต ไปยังแท่นขุดเจาะใกล้เคียงอย่างโกลาหล ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นใน ต้นปี ค.ศ. ๒๐๑๒ ที่ผ่านมา รวมถึงล่าสุดในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ มีการรั่วไหลครั้งใหญ่ของน้ำมันดิบจากแท่นขุดเจาะ นอกชายฝั่งอ่าวไทยทำให้มีน้ำมันดิบรั่วมาถึงบริเวณ อ่าวพร้าว จังหวัดระยอง เป็นต้น
๗๐ Reference ๑ . Norwegian Centre for Maritime Medicine. Textbook of Maritime Medicine. ๒ ๐ ๑ ๐ . In: Introduction to Maritime Medicine [Internet]. Available from: http://textbook.ncmm.no. ๒. Norwegian Centre for Maritime Medicine. Textbook of Maritime Medicine. ๒๐๑๐. In: Preface [Internet]. Available from: http://textbook.ncmm.no. ๓.ธนวัฒน์ ศุภนิตยานนท์. เวชศาสตร์ทางทะเล (Fundamental Maritime Medicine). หลักสูตรพยาบาลศาสตร์ วิทยาลัยพยาบาลกองทัพเรือ กรมแพทย์ทหารเรือ; ๑๖ มีนาคม ๒๕๕๕. p.๖. ๔.ธนวัฒน์ศุภนิตยานนท์. เวชศาสตร์ทางทะเล เพื่อความเป็นเลิศ. ข่าวสารแพทย์นาวี. ๒๕๕๔; ปีที่ ๕๓ เล่มที่ ๔ (๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔):๔. ๕.ธนวัฒน์ ศุภนิตยานนท์. ประวัติงานเวชศาสตร์ทางทะเล. ข่าวสารแพทย์นาวี. ๒๕๕๔;ปีที่ ๕๓ เล่มที่ ๕ (๑ มีนาคม ๒๕๕๔):๔. ๖. Winge M. James Lind, founder of maritime medicine. ๑๙๘๕ (๐๐๘๔-๙๕๘๘ (Print)). dan. ๗. Bartholomew M. James Lind and scurvy: A revaluation. Journal for Maritime Research. ๒๐๐๒; ๔(๑): ๑-๑๔. ๘. Nogueroles PJ, Ojeda AB. Module ๑ - Master in Maritime Medicine. Introduction to Maritime Health - Naval History; ๒๐๐๙. ๙. ธนวัฒน์ ศุภนิตยานนท์. ข้อบังคับในการตรวจสุขภาพผู้ปฏิบัติงานในทะเล. ข่าวสารแพทย์นาวี. ๒๕๕๔; ปีที่ ๕๓ เล่มที่ ๑๒ (๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๔):๔ ๑๐.ประกาศกรมเจ้าท่า. เรื่องหลักเกณฑ์และเงื่อนไขการถ่ายโอนภารกิจด้านการตรวจสุขภาพคนประจำเรือ, (๒๕๕๔). ๑๑. ธนวัฒน์ ศุภนิตยานนท์. ข้อบังคับในการตรวจสุขภาพผู้ปฏิบัติงานในทะเล. ข่าวสารแพทย์นาวี. ๒๕๕๔; ปีที่ ๕๓ เล่มที่ ๑๒ (๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๔):๔ ๑๒. Dahl E. Cruise medicine: call for an international standard. Int Marit Health ๒๐๐๑; ๕๒(๑- ๔):๒๔-๖. ๑๓. Ulven A. Offshore Medicine. Maritime Medicine Conference. Pattaya, Thailand. ๒๐๑๒. __________________________
๗๑ เนื่องด้วยการปฏิบัติการทางทหารของกองทัพเรือมีหลายมิติ ทั้งภาคพื้น อากาศ และใต้น้ำ กำลังพลที่ ปฏิบัติการทางอากาศนาวีและการปฏิบัติการใต้น้ำ ได้แก่ นักประดาน้ำ นักทำลายใต้น้ำ นักดำเรือดำน้ำ ทั้งใน อดีตและปัจจุบัน ทำให้กรมแพทย์ทหารเรือต้องถึงพร้อมในการรองรับการปฏิบัติการดังกล่าว และเป็นผู้นำในองค์ ความรู้ด้านเวชศาสตร์ใต้น้ำ ซึ่งเป็นศาสตร์การแพทย์เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการปกป้อง ดูแลรักษามนุษย์จากการป่วย เจ็บอันเกิดจากผลกระทบของสิ่งแวดล้อมใต้น้ำซึ่งรวมถึงความดันบรรยากาศสูงเป็นสำคัญ การถือกำเนิดของงานเวชศาสตร์ใต้น้ำน่าจะถือกำเนิดนับตั้งแต่ห้วงเวลาที่ราชนาวีมีการประจำการของ เรือดำน้ำ และอาจนับได้ว่าลงหลักปักฐานมั่นคงเริ่มจากการจัดตั้งแผนกเวชศาสตร์ใต้น้ำและการบิน กองวิทยาการ กรมแพทย์ทหารเรือ ขึ้นเป็นครั้งแรกในกองทัพไทยและประเทศ เมื่อ ๒๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๑๖ ต่อมาได้จัด ขยายอัตราและจัดตั้งเป็น กองเวชศาสตร์ใต้น้ำและการบิน ขึ้นโดยตรงกับกรมแพทย์ทหารเรือ เมื่อ ๒๘ กันยายน พ.ศ.๒๕๓๐ กรมแพทย์ทหารเรือได้มอบหมายให้ กองเวชศาสตร์ใต้น้ำและการบิน เป็นหน่วยงานหลักสำคัญร่วมมือกับ หน่วยงานสำคัญอีกแห่งคือ กองเวชศาสตร์ใต้น้ำและการบิน โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ ฐานทัพเรือสัตหีบ ในการ ดำเนินการทางเวชศาสตร์ใต้น้ำและการบิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาองค์ความรู้เฉพาะทางนี้ โดยงานสำคัญหลัก ได้แก่ งานเวชศาสตร์ใต้น้ำ เน้นในด้านการนิรภัยเวชกรรมใต้น้ำ ซึ่งประกอบไปด้วย การควบคุม ดูแลและป้องกัน การรองรับและการสอบสวนการป่วยเจ็บจากการดำน้ำ ซึ่งนับเป็นงานอาชีวเวชศาสตร์อย่างหนึ่งให้กับผู้ปฏิบัติงาน ใต้น้ำของกองทัพเรือ ตลอดจนการศึกษาฝึกอบรมบุคลากรให้มีความรู้ทางด้านเวชศาสตร์ใต้น้ำ ซึ่งปัจจุบันมีขีด ความสามารถในการผลิตบุคลากรสายเวชศาสตร์ใต้น้ำขึ้นได้เองเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศ โดยปัจจุบัน ร่วมมือกับกองวิทยาการ กรมแพทย์ทหารเรือ ได้แก่ หลักสูตรแพทย์เวชศาสตร์ใต้น้ำ (Diving Medical Officer) และหลักสูตรเทคนิคเวชศาสตร์ใต้น้ำ (Diving Medical Technician) (เดิมเป็นหลักสูตรพยาบาลเวชศาสตร์ใต้น้ำ) ให้กับทั้งกำลังพลของกองทัพและพลเรือน ไม่เพียงแต่หลักสูตรหลักเท่านั้น กองเวชศาสตร์ใต้น้ำและการบิน ยังจัด หลักสูตรระยะสั้นทางด้านเวชศาสตร์ใต้น้ำให้กับบุคลากรทางพลเรือน ทำให้ปัจจุบันเวชศาสตร์ใต้น้ำแพร่หลายมาก ยิ่งขึ้นในพลเรือน ปัจจุบันกองทัพเรือมีหน่วยงานเวชศาสตร์ใต้น้ำ คลอบคลุมพื้นที่ของกองทัพ ได้แก่ กองเวชศาสตร์ใต้น้ำ และการบิน โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ โรงพยาบาลฐานทัพเรือสงขลา โรงพยาบาลฐานทัพเรือพังงา และมี หน่วยย่อยสมทบกับหน่วยงานทหาร ได้แก่ หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษทางเรือ และกองประดาน้ำและ ถอดทำลายอมภัณฑ์ กรมสรรพาวุธทหารเรือ ซึ่งปัจจุบันกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาระบบการจัดการห้องปรับ แรงดันบรรยากาศสูง (Hyperbaric Chamber) ให้มีความพร้อมใช้ในทุกพื้นที่ของกองทัพเพื่อความพร้อมทาง ทหาร และสามารถให้การสนับสนุนกับทางพลเรือนเพื่อตอบรับการป่วยเจ็บจากการดำน้ำ ที่เรียกว่าโรคจากการ ลดความดันอากาศ (Decompression Illness ; DCI) ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่า “โรคน้ำหนีบ” หรือ “น็อคน้ำ” เช่น โรคเหตุลดความดันอากาศ (Decompression Sickness ; DCS) และภาวะฟองก๊าซ อุดตันหลอดเลือดแดง (Arterial Gas Embolism) ซึ่งสามารถพบได้เช่นกันในการดำน้ำพื้นบ้านโดยใช้เครื่อง ปั๊มลมของชาวเล/ ชาวประมง และการดำน้ำสคูบาของอุตสาหกรรมการดำน้ำทางการท่องเที่ยวของประเทศ เพื่อเป็นการใช้ระบบห้องปรับแรงดันบรรยากาศสูงให้มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกเหนือจากการใช้รักษาโรค จากการดำน้ำ ทำให้มีการพัฒนาต่อยอดศาสตร์แขนงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เวชศาสตร์ความดันบรรยากาศสูง (Hyperbaric Medicine) โดยศาสตร์นี้มีการบำบัดหรือหัตถการ หลักคือ “การบำบัดด้วยออกซิเจนแรงดันสูง” (Hyperbaric Oxygen Therapy) เพื่อใช้ในการดูแลรักษาผู้ป่วยทางคลินิกในโรงพยาบาลตติยภูมิของกรมแพทย์ สมรรถนะหลักของ พร. ด้านเวชศาสตร์ใต้น้ำและการบิน
๗๒ ทหารเรือ ได้แก่ โรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า และโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ในการดูแลรักษาผู้ป่วย หลายโรคหรือภาวะอันเป็นที่มาส่วนหนึ่งของโครงการความเป็นเลิศด้านเวชศาสตร์ใต้น้ำและความกดบรรยากาศสูง (ชื่อโครงการขณะนั้น) ของโครงการพัฒนาระบบตติยภูมิ ของกรมแพทย์ทหารเรือ ทำให้กรมแพทย์ทหารเรือมีระบบ ห้องปรับแรงดันบรรยากาศสูงที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ติดตั้งในโรงพยาบาลตติยภูมิของกรมแพทย์ทหารเรือ ทั้งสองแห่ง และเป็นการถือกำเนิดที่สำคัญของศูนย์เวชศาสตร์ความดันบรรยากาศสูง ของโรงพยาบาลสมเด็จ พระปิ่นเกล้า และโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ในปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเพื่อตอบสนองต่อการศึกษาวิจัยทาง คลินิกเพื่อความเป็นเลิศทางด้านเวชศาสตร์ความดันบรรยากาศสูงทางคลินิกต่อไป นอกจากนี้แล้ว ระบบบริหารจัดการคุณภาพในการบำบัดด้วยออกซิเจนแรงดันสูงมีความสำคัญมาก นอกเหนือไปจากการมีอุปกรณ์ที่ทันสมัย กองเวชศาสตร์ใต้น้ำและการบิน ได้ดำเนินการพัฒนาระบบดังกล่าว เรื่อยมา จนกระทั่งได้รับการรับรองคุณภาพจากชมรมเวชศาสตร์ใต้ทะเลและความดันบรรยากาศสูง (Undersea and Hyperbaric Medical Society; UHMS) ซึ่งปัจจุบันเป็นหน่วยงานแรกและแห่งเดียวของโลก ในการให้การ รับรองระดับนานาชาติ ในลักษณะคล้ายคลึงกันกับ Joint Commission International (JCI) เป็นแห่งแรกใน เอเชีย เมื่อ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๘ และพร้อมที่จะเป็นผู้ให้การรับรองคุณภาพการรักษาด้วยออกซิเจนแรงดันสูง ให้กับหน่วยงานอื่น ในลักษณะเดียวกันกับของสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาลของประเทศต่อไป ในส่วนของงานเวชศาสตร์การบิน ได้พัฒนางานเวชศาสตร์การบิน โดยกองเวชศาสตร์ใต้น้ำและการบิน กรมแพทย์ทหารเรือ ร่วมกับกองเวชศาสตร์ใต้น้ำและการบิน โรงพยาบาลอาภากรเกียรติวงศ์ และหน่วยงานที่ เกี่ยวข้องในการพัฒนาการลำเลียงทางอากาศด้วยอากาศยานปีกนิ่ง การส่งกลับทางอากาศด้วยอากาศยานปีกหมุน และนิรภัยเวชกรรมการบิน ให้มีความพร้อมในระดับกองทัพและสามารถตอบสนองต่อภารกิจในการช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยทางทะเลของกองทัพ ทั้งงานเวชศาสตร์ใต้น้ำและเวชศาสตร์การบิน มีความสำคัญต่อกรมแพทย์ทหารเรือเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ที่สำคัญ และได้รับการพิจารณาให้พัฒนาขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องและจริงจัง เพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของกรมแพทย์ทหารเรือในการที่จะเป็นผู้นำทางด้านเวชศาสตร์ทางทะเล และเพื่อ พัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างไม่หยุดนิ่ง
๗๓ ระเบียบเกี่ยวข้องที่ควรทราบ
๗๔ ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยพนักงานราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยที่เป็นการสมควรกำหนดให้มีการปรับปรุงกระบวนการจ้างงานภาครัฐในส่วนของลูกจ้างของส่วน ราชการให้มีความหลากหลาย เพื่อให้เกิดความเหมาะสมในการใช้กำลังคนภาครัฐและให้การปฏิบัติราชการมีความ คล่องตัวเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยสอดคล้องตามแนวทางการบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ คณะรัฐมนตรีจึงเห็นสมควรให้มีการจ้างพนักงานราชการสำหรับการปฏิบัติงานของส่วนราชการ อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๑๑ (๘) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี จึงวางระเบียบไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยพนักงานราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗” ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เป็นต้นไป ข้อ ๓ ในระเบียบนี้ “คณะกรรมการ” หมายความว่า คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ “ส่วนราชการ” หมายความว่า กระทรวง ทบวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะเป็น กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐที่มีฐานะเป็นส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการแผ่นดินและ กฎหมายว่าด้วยการปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม เว้นแต่ราชการส่วนท้องถิ่น “หัวหน้าส่วนราชการ” หมายความว่า ปลัดกระทรวง ปลัดทบวง อธิบดีหรือหัวหน้าส่วนราชการที่เรียกชื่อ อย่างอื่นและมีฐานะเป็นกรม หรือหัวหน้าหน่วยงานอื่นของรัฐที่มีฐานะเป็นส่วนราชการ และผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างพนักงานราชการ “พนักงานราชการ” หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับการจ้างตามสัญญาจ้างโดยได้รับค่าตอบแทนจาก งบประมาณของส่วนราชการ เพื่อเป็นพนักงานของรัฐในการปฏิบัติงานให้กับส่วนราชการนั้น “สัญญาจ้าง” หมายความว่า สัญญาจ้างพนักงานราชการตามระเบียบนี้ ข้อ ๔ บรรดากฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ ข้อบังคับ คำสั่ง หรือมติคณะรัฐมนตรีที่กำหนดให้ข้าราชการ หรือลูกจ้างของส่วนราชการมีหน้าที่ต้องปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหรือเป็นข้อห้ามในเรื่องใด ให้ถือว่าพนักงาน ราชการมีหน้าที่ต้องปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหรือต้องห้ามเช่นเดียวกับข้าราชการหรือลูกจ้างด้วย ทั้งนี้ เว้นแต่ เรื่องใดมีกำหนดไว้แล้วโดยเฉพาะในระเบียบนี้หรือตามเงื่อนไขของสัญญาจ้าง หรือเป็นกรณีที่ส่วนราชการประกาศ กำหนดให้พนักงานราชการประเภทใดหรือตำแหน่งในกลุ่มงานลักษณะใด ได้รับยกเว้นไม่ต้องปฏิบัติเช่นเดียวกับ ข้าราชการ หรือลูกจ้างในบางเรื่องเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการปฏิบัติงานของพนักงานราชการในกรณีที่ คณะกรรมการเห็นสมควรอาจกำหนดแนวทางการดำเนินการตามวรรคหนึ่ง เพื่อเป็นมาตรฐานทั่วไปให้ส่วน ราชการปฏิบัติก็ได้ ข้อ ๕ ให้เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนรักษาการตามระเบียบนี้
๗๕ หมวด ๑ พนักงานราชการ ข้อ ๖ พนักงานราชการมีสองประเภท ดังต่อไปนี้ (๑) พนักงานราชการทั่วไป ได้แก่ พนักงานราชการซึ่งปฏิบัติงานในลักษณะเป็นงานประจำทั่วไปของ ส่วนราชการในด้านงานบริการ งานเทคนิค งานบริหารทั่วไป งานวิชาชีพเฉพาะ หรืองานเชี่ยวชาญเฉพาะ (๒) พนักงานราชการพิเศษ ได้แก่ พนักงานราชการซึ่งปฏิบัติงานในลักษณะที่ต้องใช้ความรู้หรือความ เชี่ยวชาญสูงมากเป็นพิเศษเพื่อปฏิบัติงานในเรื่องที่มีความสำคัญและจำเป็นเฉพาะเรื่องของส่วนราชการ หรือมี ความจำเป็นต้องใช้บุคคลในลักษณะดังกล่าว ข้อ ๗ ในการกำหนดตำแหน่งของพนักงานราชการ ให้กำหนดตำแหน่งโดยจำแนกเป็นกลุ่มงานตามลักษณะ งานและผลผลิตของงาน ดังต่อไปนี้ (๑) กลุ่มงานบริการ (๒) กลุ่มงานเทคนิค (๓) กลุ่มงานบริหารทั่วไป (๔) กลุ่มงานวิชาชีพเฉพาะ (๕) กลุ่มงานเชี่ยวชาญเฉพาะ (๖) กลุ่มงานเชี่ยวชาญพิเศษ ในแต่ละกลุ่มงานตามวรรคหนึ่ง คณะกรรมการอาจกำหนดให้มีกลุ่มงานย่อยเพื่อให้เหมาะสมกับลักษณะ งานของพนักงานราชการได้การกำหนดให้พนักงานราชการประเภทใดมีตำแหน่งในกลุ่มงานใด และการกำหนด ลักษณะงานและคุณสมบัติเฉพาะของกลุ่มงาน ให้เป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการส่วนราชการซึ่งเป็นผู้ ว่าจ้างพนักงานราชการอาจกำหนดชื่อตำแหน่งในกลุ่มงานตามความเหมาะสมกับหน้าที่การปฏิบัติงานของ พนักงานราชการที่จ้างได้ ข้อ ๘ ผู้ซึ่งจะได้รับการจ้างเป็นพนักงานราชการ ต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม ดังต่อไปนี้ (๑) มีสัญชาติไทย (๒) มีอายุไม่ต่ำกว่าสิบแปดปี (๓) ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย (๔) ไม่เป็นผู้มีกายทุพพลภาพจนไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ไร้ความสามารถหรือจิต ฟั่นเฟือนไม่ สมประกอบ หรือเป็นโรคตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน (๕) ไม่เป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรรมการพรรคการเมือง หรือเจ้าหน้าที่ในพรรคการเมือง (๖) ไม่เป็นผู้เคยต้องรับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกเพราะกระทำความผิดทางอาญา เว้นแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ (๗) ไม่เป็นผู้เคยถูกลงโทษให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานอื่น ของรัฐ (๘) ไม่เป็นข้าราชการหรือลูกจ้างของส่วนราชการ พนักงานหรือลูกจ้างของหน่วยงานอื่นของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือพนักงานหรือลูกจ้างของราชการส่วนท้องถิ่น (๙) คุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามอื่นตามที่ส่วนราชการกำหนดไว้ในประกาศการสรรหาหรือการ เลือกสรรบุคคลเพื่อจ้างเป็นพนักงานราชการ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปเพื่อความจำเป็นหรือเหมาะสมกับภารกิจของส่วน ราชการนั้น
๗๖ ความใน (๑) ไม่ให้ใช้บังคับกับพนักงานราชการชาวต่างประเทศซึ่งส่วนราชการจำเป็นต้องจ้างตามข้อผูกพัน หรือตามความจำเป็นของภารกิจของส่วนราชการในกรณีที่เห็นสมควรคณะกรรมการอาจประกาศกำหนด คุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามเพิ่มขึ้น หรือกำหนดแนวทางปฏิบัติของส่วนราชการในการจ้างพนักงานราชการ เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการกำหนดให้มีพนักงานราชการตามระเบียบนี้ ข้อ ๙ ให้ส่วนราชการจัดทำกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการเป็นระยะเวลาสี่ปีโดยให้สอดคล้องกับ เป้าหมายการปฏิบัติราชการของส่วนราชการและแผนงบประมาณเชิงกลยุทธ์ทั้งนี้ ตามแนวทางการจัดกรอบ อัตรากำลังพนักงานราชการที่คณะกรรมการกำหนดกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการของส่วนราชการตามวรรค หนึ่ง จะต้องเสนอต่อคณะกรรมการเพื่อให้ความเห็นชอบ เมื่อคณะกรรมการให้ความเห็นชอบแล้ว ให้สำนัก งบประมาณสนับสนุนงบประมาณเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายด้านบุคคลตามความจำเป็นและสอดคล้องกับกรอบอัตรากำลัง พนักงานราชการดังกล่าว ทั้งนี้ การเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามประเภทรายจ่ายที่ได้รับการจัดสรรตาม หลักเกณฑ์และวิธีการที่กระทรวงการคลังกำหนดในกรณีที่มีเหตุผลความจำเป็น ส่วนราชการอาจขอให้เปลี่ยน กรอบอัตรากำลังพนักงานราชการได้ โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ และแจ้งให้สำนักงบประมาณ ทราบ ข้อ ๑๐ การสรรหาและการเลือกสรรบุคคลเพื่อจ้างเป็นพนักงานราชการให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดในกรณีที่ส่วนราชการใดจะขอยกเว้นหรือเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสรรหาหรือการ เลือกสรรตามที่คณะกรรมการกำหนดตามวรรคหนึ่ง ให้สามารถกระทำได้โดยทำความตกลงกับคณะกรรมการ ข้อ ๑๑ การจ้างพนักงานราชการให้กระทำเป็นสัญญาจ้างไม่เกินคราวละสี่ปีหรือตามโครงการที่มี กำหนดเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดไว้ โดยอาจมีการต่อสัญญาจ้างได้ ทั้งนี้ ตามความเหมาะสมและความจำเป็นของแต่ ละส่วนราชการแบบสัญญาจ้างให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด การทำสัญญาตามวรรคหนึ่ง ให้หัวหน้าส่วน ราชการหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจาก หัวหน้าส่วนราชการเป็นผู้ลงนามในสัญญาจ้างกับผู้ได้รับการสรรหาหรือการ เลือกสรรเป็นพนักงานราชการ ข้อ ๑๒ การแต่งกายและเครื่องแบบปกติ ให้เป็นไปตามที่ส่วนราชการกำหนดเครื่องแบบพิธีการให้เป็นไป ตามที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๑๓ วันเวลาการทำงาน หรือวิธีการทำงานในกรณีที่ไม่ต้องอยู่ปฏิบัติงานประจำส่วนราชการ ให้เป็นไป ตามที่ส่วนราชการกำหนด ซึ่งอาจแตกต่างกันได้ตามหน้าที่ของพนักงานราชการในแต่ละตำแหน่ง โดยคำนึงถึง ผลสำเร็จของงาน
๗๗ หมวด ๒ ค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ ข้อ ๑๔ อัตราค่าตอบแทนของพนักงานราชการให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด ข้อ ๑๕ ส่วนราชการอาจกำหนดให้พนักงานราชการประเภทใดหรือตำแหน่งในกลุ่มงานใดได้รับสิทธิ ประโยชน์อย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ (๑) สิทธิเกี่ยวกับการลา (๒) สิทธิในการได้รับค่าตอบแทนระหว่างลา (๓) สิทธิในการได้รับค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลางาน (๔) ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง (๕) ค่าเบี้ยประชุม (๖) สิทธิในการขอรับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ (๗) การได้รับรถประจำตำแหน่ง (๘) สิทธิอื่น ๆ ที่คณะกรรมการประกาศกำหนด หลักเกณฑ์การได้รับสิทธิตามวรรคหนึ่ง ให้เป็นไปตามที่ส่วนราชการกำหนด ทั้งนี้ เท่าที่ไม่ขัดหรือแย้งกับ หลักเกณฑ์ที่กำหนดเกี่ยวกับการได้รับสิทธินั้นตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ หรือมติคณะรัฐมนตรี ในกรณีที่ เห็นสมควรคณะกรรมการอาจเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อให้แก้ไขกฎหมาย กฎ ระเบียบ ประกาศ หรือมติ คณะรัฐมนตรี เพื่อให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามวรรคหนึ่งในกรณีที่เห็นสมควรคณะกรรมการอาจกำหนดมาตรฐาน ทั่วไปเกี่ยวกับการกำหนดสิทธิประโยชน์ให้แก่พนักงานราชการเพื่อให้ส่วนราชการปฏิบัติก็ได้ ข้อ ๑๖ ให้คณะกรรมการพิจารณาทบทวนอัตราค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ของพนักงานราชการตาม ข้อ ๑๔ และข้อ ๑๕ เพื่อปรับปรุงให้เหมาะสมเป็นธรรมและมีมาตรฐานโดยคำนึงถึงค่าครองชีพที่เปลี่ยนแปลง ค่าตอบแทนของเอกชน อัตราเงินเดือนของข้าราชการพลเรือน และฐานะการคลังของประเทศ รวมทั้งปัจจัยอื่นที่ เกี่ยวข้อง ข้อ ๑๗ ให้พนักงานราชการได้รับสิท ธิป ระโยชน์และมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามกฎห มายว่าด้วยการ ประกันสังคม ข้อ ๑๘ ส่วนราชการอาจกำหนดให้พนักงานราชการประเภทใดหรือตำแหน่งในกลุ่มงานใดได้รับค่าตอบแทน การออกจากงานโดยไม่มีความผิดได้ตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการกำหนด หมวด ๓ การประเมินผลการปฏิบัติงาน ข้อ ๑๙ ในระหว่างสัญญาจ้าง ให้ส่วนราชการจัดให้มีการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานราชการ ดังต่อไปนี้ (๑) การประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานราชการทั่วไป ให้กระทำในกรณีดังต่อไปนี้ (ก) การประเมินผลการปฏิบัติงานประจำปี (ข) การประเมินผลการปฏิบัติงานเพื่อต่อสัญญาจ้าง (๒) การประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานราชการพิเศษ ให้กระทำในกรณีการประเมินผลสำเร็จ ของงานตามช่วงเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานราชการตามวรรคหนึ่ง
๗๘ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่ส่วนราชการกำหนด ในการนี้คณะกรรมการอาจกำหนดแนวทางการ ประเมินผลการปฏิบัติงานดังกล่าวเพื่อเป็นมาตรฐานทั่วไปให้ส่วนราชการปฏิบัติก็ได้ ข้อ ๒๐ พนักงานราชการผู้ใดไม่ผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานตามข้อ ๑๙ ให้ถือว่าสัญญาจ้างของ พนักงานราชการผู้นั้นสิ้นสุดลง โดยให้ส่วนราชการแจ้งให้พนักงานราชการทราบภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่ทราบผล การประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานราชการผู้นั้น ข้อ ๒๑ ให้ส่วนราชการรายงานผลการดำเนินการจ้างพนักงานราชการ รวมทั้งปัญหาอุปสรรคหรือ ข้อเสนอแนะต่อคณะกรรมการภายในเดือนธันวาคมของทุกปี หมวด ๔ วินัยและการรักษาวินัย ข้อ ๒๒ พนักงานราชการมีหน้าที่ต้องปฏิบัติงานตามที่กำหนดในระเบียบนี้ ตามที่ส่วนราชการกำหนด และ ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้าง และมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดย ชอบด้วยกฎหมายและระเบียบของทางราชการ ข้อ ๒๓ พนักงานราชการต้องรักษาวินัยโดยเคร่งครัดตามที่กำหนดไว้เป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ส่วน ราชการกำหนดพนักงานราชการผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้ามหรือไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติตามวรรคหนึ่ง พนักงานราชการผู้นั้น เป็นผู้กระทำผิดวินัยจะต้องได้รับโทษทางวินัย ข้อ ๒๔ การกระทำความผิดดังต่อไปนี้ ถือว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง (๑) กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการ (๒) จงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ หรือเงื่อนไขที่ทางราชการกำหนดให้ปฏิบัติ จนเป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง (๓) ปฏิบัติหน้าที่โดยประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง (๔) ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดในสัญญา หรือขัดคำสั่งหรือหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของ ผู้บังคับบัญชาตามข้อ ๒๒ จนเป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง (๕) ประมาทเลินเล่อจนเป็นเหตุให้ทางราชการได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง (๖) ละทิ้งหรือทอดทิ้งการทำงานเป็นเวลาติดต่อกันเกินกว่าเจ็ดวัน สำหรับตำแหน่งที่ส่วนราชการ กำหนดวันเวลาการมาทำงาน (๗) ละทิ้งหรือทอดทิ้งการทำงานจนทำให้งานไม่แล้วเสร็จตามระยะเวลาที่กำหนดจนเป็นเหตุให้ ทางราชการได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง สำหรับตำแหน่งที่ส่วนราชการกำหนดการทำงานตามเป้าหมาย (๘) ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง หรือกระทำความผิดอาญาโดยมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหรือหนัก กว่าโทษจำคุก (๙) การกระทำอื่นใดที่ส่วนราชการกำหนดว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง ข้อ ๒๕ เมื่อมีกรณีที่พนักงานราชการถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงให้หัวหน้าส่วนราชการจัดให้ มีคณะกรรมการสอบสวนเพื่อดำเนินการสอบสวนโดยเร็ว และต้องให้โอกาสพนักงานราชการที่ถูกกล่าวหาชี้แจง และแสดงพยานหลักฐานเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในกรณีที่ผลการสอบสวนปรากฏว่าพนักงานราชการผู้นั้น กระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรงให้หัวหน้าส่วนราชการมีคำสั่งไล่ออก แต่ถ้าไม่มีมูลกระทำความผิดให้สั่งยุติเรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการการสอบสวนพนักงานราชการ ให้เป็นไปตามที่ส่วนราชการกำหนด ข้อ ๒๖ ในกรณีที่ปรากฏว่าพนักงานราชการกระทำความผิดวินัยไม่ร้ายแรงตามที่ส่วนราชการกำหนด ให้ หัวหน้าส่วนราชการสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินค่าตอบแทน หรือลดขั้นเงินค่าตอบแทน ตามควรแก่กรณีให้
๗๙ เหมาะสมกับความผิดในการพิจารณาการกระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ให้หัวหน้าส่วนราชการพิจารณาสอบสวน ให้ได้ความจริงและยุติธรรมตามวิธีการที่เห็นสมควร ข้อ ๒๗ ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นสมควรอาจกำหนดแนวทางการดำเนินการทางวินัยแก่พนักงานราชการ เพื่อเป็นมาตรฐานทั่วไปให้ส่วนราชการปฏิบัติก็ได้ หมวด ๕ การสิ้นสุดสัญญาจ้าง ข้อ ๒๘ สัญญาจ้างสิ้นสุดลงเมื่อ (๑) ครบกำหนดตามสัญญาจ้าง (๒) พนักงานราชการขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามระเบียบนี้หรือตามที่ส่วนราชการ กำหนด (๓) พนักงานราชการตาย (๔) ไม่ผ่านการประเมินผลการปฏิบัติงานตามข้อ ๑๙ (๕) พนักงานราชการถูกให้ออก เพราะกระทำความผิดวินัยอย่างร้ายแรง (๖) เหตุอื่นตามที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้หรือตามข้อกำหนดของส่วนราชการหรือตามสัญญาจ้าง ข้อ ๒๙ ในระหว่างสัญญาจ้าง พนักงานราชการผู้ใดประสงค์จะลาออกจากการปฏิบัติงาน ให้ยื่นหนังสือขอ ลาออกต่อหัวหน้าส่วนราชการตามหลักเกณฑ์ที่ส่วนราชการกำหนด ข้อ ๓๐ ส่วนราชการอาจบอกเลิกสัญญาจ้างกับพนักงานราชการผู้ใดก่อนครบกำหนดตามสัญญาจ้างได้ โดย ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่เป็นเหตุที่พนักงานราชการจะเรียกร้องค่าตอบแทนการเลิกสัญญาจ้างได้ เว้นแต่ ส่วนราชการจะกำหนดให้ในกรณีใดได้รับค่าตอบแทนการออกจากงานโดยไม่มีความผิดไว้ ข้อ ๓๑ เพื่อประโยชน์แห่งทางราชการ ส่วนราชการอาจสั่งให้พนักงานราชการไปปฏิบัติงานนอกเหนือจาก เงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาจ้างได้ โดยไม่เป็นเหตุให้พนักงานราชการอ้างขอเลิกสัญญาจ้างหรือเรียกร้องประโยชน์ ตอบแทนใด ๆ ในการนี้ส่วนราชการอาจกำหนดให้ค่าล่วงเวลาหรือค่าตอบแทนอื่นจากการสั่งให้ไปปฏิบัติงาน ดังกล่าวก็ได้ ข้อ ๓๒ ในกรณีที่บุคคลใดพ้นจากการเป็นพนักงานราชการแล้ว หากในการปฏิบัติงานของบุคคลนั้นใน ระหว่างที่เป็นพนักงานราชการก่อให้เกิดความเสียหายแก่ส่วนราชการให้บุคคลดังกล่าวต้องรับผิดชอบในความ เสียหายดังกล่าว เว้นแต่ความเสียหายนั้นเกิดจากเหตุสุดวิสัยในการนี้ส่วนราชการอาจหักค่าตอบแทนหรือเงินอื่นใด ที่บุคคลนั้นจะได้รับจากส่วนราชการไว้เพื่อชำระค่าความเสียหายดังกล่าวก็ได้ ข้อ ๓๓ ในกรณีที่คณะกรรมการเห็นสมควรอาจกำหนดแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการเลิกสัญญาจ้าง ตามหมวดนี้ เพื่อเป็นมาตรฐานทั่วไปให้ส่วนราชการปฏิบัติก็ได้ หมวด ๖ คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ ข้อ ๓๔ ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่งเรียกว่า “คณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ” เรียกโดยย่อว่า “คพร.” ประกอบด้วยรองนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีซึ่งนายกรัฐมนตรีมอบหมาย เป็นประธานกรรมการ เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน เป็นรองประธานกรรมการ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการ คณะกรรมการกฤษฎีกา เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เลขาธิการสำนักงาน ประกันสังคม อัยการสูงสุด อธิบดีกรมบัญชีกลาง ผู้แทนกระทรวงกลาโหม ผู้แ ทนกระทรวงการคลัง ผู้แทน กระทรวงแรงงาน ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการมาตรฐานการบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น เป็นกรรมการ และ
๘๐ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนสี่คนซึ่งประธานกรรมการแต่งตั้งจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาการบริหารงานบุคคล กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ และแรงงานสัมพันธ์ สาขาละหนึ่งคน ให้ผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพล เรือน เป็นกรรมการและเลขานุการ และผู้แทนสำนักงบประมาณและผู้แทนกรมบัญชีกลาง เป็นกรรมการและ ผู้ช่วยเลขานุการ ข้อ ๓๕ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิให้มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสองปี กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งพ้นจาก ตำแหน่งอาจได้รับแต่งตั้งอีกได้ ข้อ ๓๖ นอกจากการพ้นจากตำแหน่งตามวาระแล้ว กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิพ้นจากตำแหน่ง เมื่อ (๑) ตาย (๒) ลาออก (๓) ประธานกรรมการให้ออก ในกรณีที่มีการแต่งตั้งกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิแทนตำแหน่งที่ว่างหรือแต่งตั้งเพิ่มขึ้นให้ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งมีวาระ เท่ากับวาระการดำรงตำแหน่งที่เหลืออยู่ของกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งยังอยู่ในตำแหน่ง ข้อ ๓๗ ให้คณะกรรมการมีอำนาจหน้าที่ดังนี้ (๑) กำหนดแผนงานและแนวทางปฏิบัติ รวมทั้งเสนอแนะส่วนราชการในการปรับปรุงหรือแก้ไข ระเบียบหรือประกาศเกี่ยวกับการบริหารพนักงานราชการเพื่อให้เป็นไปตามระเบียบนี้ (๒) กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการสรรหาและการเลือกสรรบุคคลเพื่อจ้างเป็น พนักงานราชการ รวมทั้งแบบสัญญาจ้าง (๓) กำหนดกลุ่มงานและลักษณะงานในกลุ่มงาน และคุณสมบัติเฉพาะของกลุ่มงานของพนักงาน ราชการ (๔) ให้ความเห็นชอบกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการที่ส่วนราชการเสนอ (๕) กำหนดอัตราค่าตอบแทนและวางแนวทางการกำหนดสิทธิประโยชน์อื่นของพนักงานราชการ (๖) กำหนดมาตรฐานการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานราชการ (๗) ตีความและวินิจฉัยปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้บังคับระเบียบนี้ (๘) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการตามที่เห็นสมควร (๙) อำนาจหน้าที่อื่นตามที่กำหนดไว้ในระเบียบนี้หรือกฎหมายอื่น ข้อ ๓๘ ให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนรับผิดชอบในงานธุรการของคณะกรรมการและ ปฏิบัติหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมอบหมาย ข้อ ๓๙ ในกรณีที่เรื่องใดตามระเบียบนี้กำห นดให้ส่วนราชการกำหนดหลักเกณฑ์หรือปฏิบัติในเรื่องใด คณะกรรมการอาจกำหนดให้เรื่องนั้นต้องกระทำโดย อ.ก.พ. กรมองค์การบริหารงานบุคคลอื่นของส่วนราชการ หรือให้หัวหน้าส่วนราชการแต่งตั้งคณะกรรมการเป็นผู้ดำเนินการก็ได้ บทเฉพาะกาล ข้อ ๔๐ ในระหว่างที่ยังไม่มีคณะกรรมการตามระเบียบนี้ ให้คณะกรรมการบริหารงานลูกจ้างสัญญาจ้างตาม คำสั่งคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ ที่ ๓/๒๕๔๖ เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการ บริหารงานลูกจ้างสัญญาจ้าง ลงวันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๖ ปฏิบัติหน้าที่เป็นคณะกรรมการตามระเบียบนี้ จนกว่าคณะกรรมการตามระเบียบนี้จะเข้ารับหน้าที่ ข้อ ๔๑ ในกรณีที่ส่วนราชการยังจัดทำกรอบอัตรากำลังพนักงานราชการไม่แล้วเสร็จถ้ามีความจำเป็นต้อง จ้างพนักงานราชการในกลุ่มงานเชี่ยวชาญพิเศษ ให้ดำเนินการจ้างได้ในกรณีที่มีงบประมาณและโครงการแล้ว หรือ สำหรับโครงการใหม่ โดยเสนอคณะกรรมการพิจารณาอนุมัติการจ้าง
๘๑ ข้อ ๔๒ ในกรณีที่อัตราลูกจ้างประจำว่างลงและคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคน ภาครัฐกำหนดให้จ้างเป็นลูกจ้างชั่วคราว ส่วนราชการจะดำเนินการจ้างเป็นพนักงานราชการตามระเบียบนี้ได้ตั้งแต่ ปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นต้นไป หรือตามที่คณะกรรมการกำหนด ข้อ ๔๓ ในกรณีที่อัตราลูกจ้างประจำว่างลงระหว่างปี ในปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งต้องยุบเลิกตำแหน่ง นั้นตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๓ กันยายน ๒๕๔๖ หากส่วนราชการยังมีความจำเป็นและไม่ใช่กรณีการจ้าง เหมาบริการ ให้ขออนุมัติคณะกรรมการเพื่อพิจารณากำหนดให้เป็นพนักงานราชการ ประกาศ ณ วันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๗ (ลงชื่อ) พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร (ทักษิณ ชินวัตร) นายกรัฐมนตรี
๘๒ ระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยพนักงานราชการ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๙ โดยที่เป็นการสมควรแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยพนักงานราชการให้เหมาะสมยิ่งขึ้น จึง วางระเบียบไว้ดังต่อไปนี้ ข้อ ๑ ระเบียบนี้เรียกว่า “ระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยพนักงานราชการ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๔๙” ข้อ ๒ ระเบียบนี้ให้ใช้บังคับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้อ ๓ ให้เพิ่มความต่อไปนี้เป็นข้อ ๔.๘ แห่งระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยพนักงานราชการ พ.ศ.๒๕๔๗ “๔.๘ “ปี” หมายความว่า ปีงบประมาณ (๑ ตุลาคม – ๓๐ กันยายน)” ข้อ ๔ ให้ยกเลิกความในข้อ ๕ แห่งระเบียบกระทรวงกลาโหมว่าด้วยพนักงานราชการพ.ศ.๒๕๔๗ ข้อ ๕ ให้ยกเลิกความใน ข้อ ๒๔, ข้อ ๓๒, ข้อ ๔๒, ข้อ ๔๓, ข้อ ๔๖, ข้อ ๖๐ และข้อ ๘๑ แห่งระเบียบ กระทรวงกลาโหมว่าด้วยพนักงานราชการ พ.ศ.๒๕๔๗ และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “ข้อ ๒๔ การสรรหาและเลือกสรรพนักงานราชการ สามารถกำหนดค่าสมัครสอบได้ตามความจำเป็นและ เหมาะสม ซึ่งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นให้ดำเนินการตามข้อบังคับกระทรวงการคลังว่าด้วยเงินค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ สอบแข่งขันบุคคลเข้ารับราชการ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยอนุโลม ข้อ ๓๒ สิทธิประโยชน์อื่น ๆ ได้แก่ ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการ ค่าเบี้ยประชุมสิทธิตามกฎหมายว่า ด้วยการประกันสังคม ค่าตอบแทนระหว่างลา ค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ ค่าใช้จ่ายในการ ฝึกอบรม ค่าตอบแทนการออกจากราชการโดยไม่มีความผิด การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ การได้รับ รถประจำตำแหน่ง และสิทธิอื่น ๆ ตามประกาศคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการตามระเบียบสำนัก นายกรัฐมนตรี ข้อ ๔๒ ให้พนักงานราชการมีสิทธิได้รับค่าตอบแทน ดังนี้ ๔๒.๑ ค่าตอบแทนระหว่างลา ๔๒.๑.๑ ลาป่วย ให้ได้รับค่าตอบแทนระหว่างลาได้ปีหนึ่งไม่เกิน ๓๐ วัน ๔๒.๑.๒ ลาคลอดบุตร ให้ได้รับค่าตอบแทนระหว่างลาได้ไม่เกิน ๔๕ วันอีก ๔๕ วันให้รับ จากสำนักงานประกันสังคม ทั้งนี้ ตามสิทธิที่เกิดขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยประกันสังคม ๔๒.๑.๓ ลากิจ ให้ได้รับค่าตอบแทนระหว่างลาได้ปีหนึ่งไม่เกิน ๑๐ วัน ๔๒.๑.๔ ลาพักผ่อนประจำปี ให้ได้รับค่าตอบแทนระหว่างลาได้ปีหนึ่ง ไม่เกิน ๑๐ วัน ๔๒.๑.๕ ลาเพื่อเข้ารับการเรียกพล ให้ได้รับค่าตอบแทนระหว่างลาได้ปีหนึ่งไม่เกิน ๖๐ วัน ในกรณีที่พนักงานราชการเข้าทำงานไม่ถึง ๑ ปี ให้ทอนสิทธิที่จะได้รับค่าตอบแทนการลากิจ และการลาพักผ่อน ลงตามส่วนของจำนวนวันที่จ้าง
๘๓ ๔๒.๒ ค่าตอบแทนการออกจากราชการโดยไม่มีความผิดในกรณีที่ส่วนราชการบอกเลิกสัญญาจ้าง กับพนักงานราชการผู้ใดก่อนครบกำหนดเวลาจ้าง โดยมิใช่ความผิดของพนักงานราชการดังกล่าว ให้พนักงาน ราชการผู้นั้นได้รับค่าตอบแทนการออกจากราชการโดยไม่มีความผิด ดังนี้ ๔๒.๒.๑ ผู้ที่ได้ปฏิบัติงานติดต่อกันครบ ๔ เดือน แต่ไม่ครบ ๑ ปีให้จ่ายค่าตอบแทนเท่ากับ อัตราค่าตอบแทนที่ได้รับอยู่ก่อนวันออกจากราชการ ๔๒.๒.๒ ผู้ที่ได้ปฏิบัติงานติดต่อกันครบ ๑ ปี แต่ไม่ครบ ๓ ปีให้จ่ายค่าตอบแทนจำนวนสาม เท่าของอัตราค่าตอบแทนที่ได้รับอยู่ก่อนวันออกจากราชการ ๔๒.๒.๓ ผู้ที่ได้ปฏิบัติงานติดต่อกันครบ ๓ ปี แต่ไม่ครบ ๖ ปีให้จ่ายค่าตอบแทนจำนวนหก เท่าของอัตราค่าตอบแทนที่ได้รับอยู่ก่อนวันออกจากราชการ ๔๒.๒.๔ ผู้ที่ได้ปฏิบัติงานติดต่อกันครบ ๖ ปี แต่ไม่ครบ ๑๐ ปีให้จ่ายค่าตอบแทนจำนวน แปดเท่าของอัตราค่าตอบแทนที่ได้รับอยู่ก่อนวันออกจากราชการ ๔๒.๒.๕ ผู้ที่ได้ปฏิบัติงานติดต่อกันครบ ๑๐ ปีขึ้นไปให้จ่ายค่าตอบแทนจำนวนสิบเท่าของ อัตราค่าตอบแทนที่ได้รับอยู่ก่อนวันออกจากราชการ ข้อ ๔๓ กรณีที่พนักงานราชการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการปกติหรือวันหยุดราชการประจำสัปดาห์และ ประจำปี ให้ส่วนราชการปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจ่ายเงินตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลา ราชการ โดยอนุโลม ข้อ ๔๖ หากพนักงานราชการได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกรรมการ หรืออนุกรรมการหรือเลขานุการ และ ผู้ช่วยเลขานุการในคระกรรมการหรือคณะอนุกรรมการ และต้องเข้าร่วมประชุมหากการประชุมดังกล่าวสามารถ เบิกจ่ายค่าเบี้ยประชุมตามระเบียบของทางราชการได้ ให้พนักงานราชการสามารถเบิกจ่ายค่าเบี้ยประชุมได้ใน อัตราเดียวกัน ข้อ ๖๐ พนักงานราชการมีสิทธิลาได้ห้าประเภท คือ ๖๐.๑ การลาป่วย มีสิทธิลาป่วยเท่าที่ป่วยจริง การลาป่วยตั้งแต่ ๓ วันขึ้นไปผู้มีอำนาจอนุญาตอาจ สั่งให้มีใบรับรองแพทย์จากสถานพยาบาลที่ทางราชการรับรองประกอบการลาด้วยก็ได้ ๖๐.๒ การลาคลอดบุตร มิสิทธิลาคลอดบุตรได้ ๙๐ วัน ๖๐.๓ การลากิจ มีสิทธิลากิจได้ปีละไม่เกิน ๑๐ วัน ๖๐.๔ การลาพักผ่อนประจำปี มิสิทธิลาพักผ่อนได้ปีละ ๑๐ วันทำการสำหรับพนักงานราชการที่ ได้รับการจ้างในปีแรกยังไม่ครบ ๖ เดือน ไม่มีสิทธิลาพักผ่อน ๖๐.๕ การลาเพื่อเข้ารับการเรียกพล มีสิทธิลาตามวันที่เข้ารับการฝึกอบรมและเมื่อพ้นกำหนดแล้ว ให้รายงานตัวกลับเข้าปฏิบัติงานภายใน ๗ วัน การจ่ายค่าตอบแทนระหว่างลาหยุดราชการ ให้ถือปฏิบัติตามหมวด ๔ ค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ ตามข้อ ๔๒ และข้อ ๔๓ ข้อ ๘๑ ส่วนราชการอาจบอกเลิกสัญญาจ้างกับพนักงานราชการผู้ใดก่อนครบกำหนดตามสัญญาจ้างได้ โดย ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่เป็นเหตุให้พนักงานราชการจะเรียกร้องค่าตอบแทนการเลิกสัญญาจ้างได้ เว้นแต่ ส่วนราชการจะกำหนดให้ในกรณีใดได้รับค่าตอบแทนการออกจากราชการตามข้อ ๔๒.๒ ประกาศ ณ วันที่ ๓๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๔๙ (ลงชื่อ) พลเอก ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา (ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
๘๔ หมายเหตุ :- หลักการและเหตุผลในการประกาศใช้ระเบียบนี้ คือ แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่า ด้วยพนักงานราชการ ให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เพื่อให้พนักงานราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหมได้รับสิทธิการลา และ สิทธิประโยชน์อื่น ๆ ตามประกาศคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ ลงวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๔๘ เรื่อง ค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ของพนักงานราชการ (ฉบับที่ ๓) จึงจำเป็นต้องวางระเบียบนี้
๘๕ ระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยการแต่งตั้งยศและการเลื่อนยศของข้าราชการทหาร พ.ศ. ๒๕๔๑ ฯลฯ ข้อ ๖ การเลื่อนยศต้องมีหลักเกณฑ์ครบถ้วนดังต่อไปนี้ ๖.๑ มีตำแหน่งอัตราที่จะเลื่อนได้โดยต้องดำรงตำแหน่งที่กำหนดอัตราชั้นยศในวันที่เลื่อนยศ ถ้า บรรจุให้รักษาราชการในตำแหน่งใดจะขอเลื่อนยศตามอัตราตำแหน่งที่รักษาราชการไม่ได้ ๖.๒ มีจำนวนปีที่รับราชการตามที่กำหนด ๖.๓ รับเงินเดือนไม่ต่ำกว่าชั้นเงินเดือนชั้นต่ำสุดของยศที่จะเลื่อน ยกเว้นการเลื่อนยศต่ำกว่าชั้น ยศ พันตรีนาวาตรีนาวาอากาศตรีลงไป ข้อ ๗ ผู้อยู่ในตำแหน่งประจำหน่วย (อัตราไม่จำกัดชั้นยศและจำนวน) เพื่อการศึกษาให้ได้รับการเลื่อนยศ เป็น ร้อยโท เรือโท เรืออากาศโท และ ร้อยเอก เรือเอก เรืออากาศเอก ได้โดยอนุโลมถือว่าเป็นผู้ครองตำแหน่ง อัตราที่เลื่อนได้ ตามข้อ ๖.๑ การเลื่อนยศนายทหารสัญญาบัตรที่มีคุณวุฒิทางการศึกษาสูง ซึ่งดำรงว่าที่ยศและมีสิทธิที่จะได้รับการเลื่อน ยศสูงขึ้นก่อนกำหนดการรับพระราชทานยศนั้น ๆ ให้ขอเลื่อนยศสูงขึ้นได้ตามวาระการเลื่อนยศ ฯลฯ ข้อ ๑๔ การเลื่อนยศของนายทหารสัญญาบัตร ๑๔.๑ ผู้ซึ่งจะได้รับการพิจารณาเลื่อนยศ โดยปกติต้องมีเวลารับราชการในแต่ละชั้นยศไม่น้อย กว่าจำนวนปีที่รับราชการแต่ละชั้นยศ หรือไม่น้อยกว่าจำนวนปีที่รับราชการรวม ตามที่กำหนดไว้ดังนี้ ยศทหาร จำนวนปีที่รับราชการ แต่ละชั้นยศ จำนวนปีที่รับ ราชการรวม ร้อยตรี ร้อยโท ร้อยเอก พันตรี พันโท พันเอก พลจัตวา (พันเอกพิเศษ) พลตรี พลโท พลเอก จอมพล เรือตรี เรือโท เรือเอก นาวาตรี นาวาโท นาวาเอก พลเรือจัตวา (นาวาเอกพิเศษ) พลเรือตรี พลเรือโท พลเรือเอก จอมพลเรือ เรืออากาศตรี เรืออากาศโท เรืออากาศเอก นาวาอากาศตรี นาวาอากาศโท นาวาอากาศเอก พลอากาศจัตวา (นาวาอากาศเอกพิเศษ) พลอากาศตรี พลอากาศโท พลอากาศเอก จอมพลอากาศ ๓ ปี ๔ ปี ๔ ปี ๓ ปี ๓ ปี ๓ ปี ๒ ปี - - - - - ๓ ปี ๗ ปี ๑๑ ปี ๑๔ ปี ๑๗ ปี ๒๐ ปี ๒๒ ปี - - - - -