The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

งานนำเสนอโครงร่างวิจัยครูปาริฉัตร ป.โทบริหาร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nooneung935, 2021-06-26 21:58:31

โครงร่างวิจัยป.โทบริหารการศึกษา

งานนำเสนอโครงร่างวิจัยครูปาริฉัตร ป.โทบริหาร

โครงรา่ งงานวิจยั

แนวทางการพฒั นาระบบดแู ลช่วยเหลือนักเรยี นโดยใช้วนิ ัยเชงิ บวก
ของระดบั ช้ันมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนชลกนั ยานุกลู

ปาริฉตั ร ทองแกว้ เกิด

สารนิพนธน์ ้เี ปน็ ส่วนหนงึ่ ของการศกึ ษาตามหลักสตู รศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ
สาขาวชิ าการบรหิ ารการศึกษา

คณะศกึ ษาศาสตร์ มหาวิทยาลยั มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย
มกราคม 2564

(ลิขสทิ ธ์ิเปน็ ของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย)

บทที่ 1
บทนา

ความสาคญั และทีม่ าของปัญหา
กระแสโลกาภิวัตน์ (Globalization) ก่อให้การเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดดในทุกมิติ ทั้งด้าน

เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และวัฒนธรรม โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
นับเป็นปัจจัยเร่งที่สาคัญทาให้โลกไร้พรมแดน เกิดการแพร่กระจายของข้อมูล ข่าวสารท้ังทางบวกและทางลบ
แปรเปล่ียนวิถีชีวิต ค่านิยมของคนในสังคม โดยให้ความสาคัญกับวัตถุนิยมมากกว่าคุณค่าทางจิตใจ

สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน. (2547 ก : 2-6) ระบุว่าการพัฒนาประเทศในช่วงเวลา
ผ่านมาส่งผลกระทบต่อคนและสังคมไทยหลายประการ ทาให้เกิดพฤติกรรมท่ีเป็นปัญหาของเด็กและ
เยาวชนซ่ึงเป็นผลจากการเลี้ยงดูด้วยวิธีการที่ไม่เหมาะสม ส่งเสริมให้แสดงออกในทางที่ไม่ถูกต้องปล่อย
ปละละเลย เรียนรู้การใช้ความรุนแรงจากสมาชิกในครอบครัว ครอบครัวแตกแยกผู้ปกครอง
บบี บงั คบั กดดนั และคาดหวงั ในตวั เดก็ มากกว่าความเป็นจริง ไม่มีบรรยากาศที่สร้างความรัก ความอบอุ่น
ประกอบกับโรงเรียนซ่ึงเป็นบ้านหลังที่สองของเด็กเป็นบ่อเกิดของคุณงามความดี โดยเฉพาะการพัฒนา
ศักยภาพความรู้ ความสามารถของเด็กและเยาวชนให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าของสังคม
แต่โรงเรียนจานวนไม่นอ้ ยยังขาดความพร้อมท่ีจะทาให้เด็กและเยาวชนเป็นคนท่ีสมบูรณ์ตามความมุ่งหวัง
ของสังคม จากการติดตามพบว่า โรงเรียนขาดการดูแล ไม่เอาใจใส่นักเรียนอย่างจริงจัง ขาดการจัดการ
ท่ีเหมาะสมตอ่ การพทิ กั ษ์ ปกป้อง ค้มุ ครองและใหก้ ารดแู ลชว่ ยเหลอื ได้อย่างเท่าทัน ท่วั ถึง ถูกต้องและเป็น
ธรรมจัดกจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยไมค่ านึงถงึ ความแตกต่างระหว่างบคุ คล ให้ความสาคัญกฎระเบียบมากกว่า
ชีวิตจิตใจของนักเรียน พัฒนาผู้เรียนโดยไม่คานึงถึงองค์รวม ตลอดถึงการจัดการกับปัญหาของนักเรียน
โดยขาดการมีส่วนร่วม และยังเลือกใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาพฤติกรรมนักเรียน อีกท้ังเด็กและ
เยาวชน แตล่ ะคนมีภาวะดา้ นพัฒนาการแตกต่างกันมีบุคลิกภาพภายในและภายนอกตามสภาพความเป็น
ตัวตนท่ีมีลักษณะเฉพาะ เช่น มีข้อจากัดเก่ียวกับพัฒนาการทางสมองและการรับรู้ ไม่มีความตระหนักใน
คุณค่าและความสาคัญของตนเอง ขาดทักษะในการคิด บกพร่องทางการเรียนรู้ ปฏิเสธค่านิยมหรือหลัก
ศาสนาที่คนส่วนใหญ่นับถือ ไม่มีทักษะในการส่ือสาร ปฏิเสธไม่เป็น ควบคุมอารมณ์และความเครียดไม่ได้
รวมท้ังการมีปัญหาด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิต ฉะน้ันกล่าวได้ว่าหากโรงเรียนไม่มีการดูแลเอาใจใส่
นักเรียนอย่างทั่วถึง ย่อมจะก่อให้เกิดปัญหามากมายทั้งในครอบครัวและสังคมดังกล่าวมา ปัญหาที่เกิด
จากการไม่มีระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน เช่น จากการวิจัยของอุทัย สวัสิด์พานิชย์ (2552) พบว่า
ปัญหาทพี่ บมากทีส่ ุดในแต่ละดา้ นและแนวทางแกป้ ัญหาการดาเนนิ งานระบบดูแล ช่วยเหลือนักเรียน เรียง
ตามลาดับค่าเฉลี่ย 3 ลาดับแรกได้แก่ปัญหาด้าน การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล คือ ไม่มีข้อมูลนักเรียน
ข้อมูลไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ในการเยี่ยมบ้าน รวมท้ังบ้านนักเรียนอยู่ไกล ส่วนปัญหารองลงมา คือ ด้านการ
คัดกรองนักเรียน ไม่มีเกณฑ์การคัดกรองที่ชัดเจนและปัญหาด้านการส่งเสริม และพัฒนานักเรียน คือ
ผู้ปกครองยากจน ขาดการดูแลเอาใจใส่นกั เรียน

นอกจากนี้ยังมีปัญหาจากการไม่มีระบบการจัดการดังกล่าวน้ัน ทางกระทรวงศึกษาธิการ
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน (2547: 1) ก็มิได้น่ิงนอนใจ เพ่ือให้มีการแก้ไขปัญหาเชิง
ระบบ จึงได้มีระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน เป็นการดาเนินงานท่ีมีประสิทธิภาพระบบหน่ึงที่

กระทรวงศึกษาธิการ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐานและกระทรวงสาธารณสุขโดยกรม
สุขภาพจิต ได้ร่วมกันวางรากฐานเพื่อการพัฒนาคุณภาพนักเรียน ซึ่งมีแนวทางการดาเนินงาน คือ
1) ปรบั เปล่ยี นบทบาทและทัศนคตขิ องผบู้ ริหาร ครู อาจารยใ์ ห้ส่งเสริมดูแลพัฒนานักเรียนท้ังด้านร่างกาย
จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ และสังคม 2) วางระบบท่ีจะสร้างความมั่นใจว่า นักเรียนจะมีครูอาจารย์อย่างน้อย
1 คน ทจ่ี ะคอยดูแลทุกข์สุขอย่างใกล้ชิดและต่อเน่ือง 3) สนับสนุนให้ครูอาจารย์มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ
ผู้ปกครองเพ่ือให้บ้าน โรงเรียน ชุมชน เชื่อมประสาน และร่วมมือ กันเป็นเครือข่ายในการเฝ้า ระวังดูแล
ช่วยเหลือนักเรียน 4) ประสานสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน ชุมชน และผู้ชานาญการในสาขาต่าง ๆ เพื่อให้มี
การส่งต่อและรับช่วงการแก้ไข ส่งเสริม พัฒนานักเรียนและเยาวชนในรูปแบบสหวิทยาการ
ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ Durrant (2010: 114) ได้กล่าวถึง การดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้วินัยเชิงบวก
ว่าการอบรมสั่งสอนเด็กโดยปราศจากความรุนแรง และเคารพศักด์ิศรีความเป็นมนุษย์ เป็นวิธีการสอน
ท่ีช่วยให้เด็กได้รับข้อมูลท่ีจาเป็นต่อการเรียนรู้ ส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก และทาให้เด็กประสบ
ความสาเร็จในชีวิตวินัยเชิงบวกมีลักษณะ 1) เป็นการแก้ปัญหาระยะยาวที่ช่วยพัฒนาวินัยในตนเองของเด็ก
2) เปน็ การสือ่ สารท่ีชัดเจนและสมา่ เสมอระหว่างครกู บั เดก็ 3) เป็นการสื่อสารเก่ยี วกับความคาดหวังของครู
ระเบียบ กฎเกณฑ์ของช้ันเรียนโดยมีขอบเขตที่ชัดเจนเสมอต้นเสมอปลาย และสนับสนุนให้เด็กปฏิบัติ
เช่นนั้น 4) เป็นการสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความเคารพ การให้เกียรติกันและกันระหว่างครูกับเด็ก
5) เป็นการสอน และฝกึ ทกั ษะการแก้ปัญหาให้เด็ก เพื่อสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ และ
6) เปน็ การส่งเสริมความสามารถของเด็ก และสง่ เสรมิ ความเชอื่ มนั่ ในการจัดการกบั ความท้าทายที่เกิดจาก
การเรียนและสถานการณ์ทางสังคมท่ีเป็นปัญหา กล่าวได้ว่าหลักการของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน
ของกระทรวงศกึ ษาธิการ สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและกระทรวงสาธารณสุขโดยกรม
สขุ ภาพจิตและแนวคิดของ Durrant (2010: 114) เปน็ แนวทางแกไ้ ขปัญหาให้ทนั กับยุคกระแสโลกาภิวัตน์
(Globalization) อยา่ งทนั ทว่ งที

การดาเนินงานจัดระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ครูประจาช้ันหรือครูที่ปรึกษาเป็นผู้ที่อยู่
ใกล้ชิดกับนักเรียนมากที่สุด จึงมีบทบาทหน้าท่ีตามแนวทางการดาเนินงาน คือ การรู้จักนักเรียน เป็น
รายบุคคลมีการศึกษาเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบ คัดกรองนักเรียนตามเกณฑ์ ท่ีกาหนด
สรุปผลจาแนกนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ดาเนินการส่งเสริมพัฒนา และจัดกิจกรรมการป้องกันและแก้ไข
ปัญหา การช่วยเหลือนักเรียนอย่างเหมาะสม การดูแลช่วยเหลือนักเรียนมีความสาคัญ ต่อการพัฒนา
คุณภาพชีวิตของนักเรียนทุกคนให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ สามารถดารงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างสงบสุข
การดูแลช่วยเหลือนักเรียนเป็นระบบท่ีมีกระบวนการชัดเจน 5 ด้าน ประกอบด้วย การรู้จักนักเรียนเป็น
รายบุคคล การคัดกรองนักเรียน การส่งเสริมพัฒนานักเรียน การป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน และ
การส่งต่อนักเรียน ดังน้ันต้องอาศัยความร่วมมือจากบุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายใน
การดาเนนิ งาน (สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา, 2549, หน้า 18-19)

โรงเรียนชลกันยานุกูล ตั้งอยู่หมู่ที่ 31 ตาบลบางปลาสร้อย อาเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี
เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี1 ถึงมัธยมศึกษาปีท่ี 6 มีจานวนนักเรียนระดับช้ัน
มัธยมศึกษาตอนต้น 2,051 คน ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย 2,015 คน รวมมีนักเรียนท้ังสิ้นจานวน
4,066 คน จานวนครู 270 คน จากเอกสารสถิติของงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ฝ่ายกิจการนักเรียน
ย้อนหลงั 3 ปี ต้ังแต่ พ.ศ. 2561 - พ.ศ. 2563 มนี ักเรียนกระทาผดิ ฝ่าฝนื ระเบยี บของโรงเรียนเป็นจานวน

มากโดยเฉพาะนักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลายถึงร้อยละ 7.00 เฉล่ีย 140-150 คนต่อวัน ที่มา
โรงเรยี นสาย นอกจากน้ันยังมีการฝ่าฝืนระเบียบเร่ืองทรงผมผิดระเบียบ แต่งกายผิดระเบียบร้อยละ 5.00
เฉลี่ยประมาณ 100 คน นอกนั้นฝ่าฝืนระเบียบเรื่องหนีเรียนและลักทรัพย์ ร้อยละ 3.00 เฉล่ียประมาณ
50-60 คน จากการสมั ภาษณค์ รฝู ่ายกิจการนักเรียน และครูผู้สอน จานวน 50 คน พบว่า สาเหตุของการ
ทาผิด ฝา่ ฝืนระเบยี บของนักเรยี นชน้ั มัธยมศกึ ษาตอนปลายมาจากโรงเรียนมีนักเรียนจานวนมาก ประกอบ
กับนักเรยี นส่วนใหญ่มักมีแหล่งที่มาจากหลากหลายอาเภอของจังหวัดชลบุรี นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจาก
ปัญหาเศรษฐกิจ สังคม ครอบครัวท่ีมีปัญหาหลากหลาย หลายครอบครัวมีฐานะยากจน ปัญหาหย่าร้าง
แยกกันอยู่ นกั เรียนบางส่วนอาศัยอยูก่ ับปู่ ยา่ ตา ยาย

จากสภาพสังคมไทยปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีปัจจัยหลายด้านที่ทาให้
นักเรียนมีปัญหา ซ่ึงตัวนักเรียน ครูผู้ปกครอง ชุมชน และสังคม จะต้องช่วยกันแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วน
และสถานศึกษาต้องพัฒนานักเรียนทุกคนให้มีคุณภาพตามศักยภาพโดยการบริหารระบบการดูแล
ช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษา ณัฐริน เจริญเกียรติบวร (2557: 58-59) ศึกษาถึงการดูแลช่วยเหลือ
นกั เรียนกลมุ่ เส่ยี งตอ้ งมีระบบและกลไกในการดาเนินงาน โดยผบู้ รหิ ารและบุคคลในองค์กรร่วมมือกัน เช่น
การดาเนินงาน กากับ ติดตาม ประเมินผล และขับเคลื่อนการบริหารงานมีความเหมาะสมและเป็น
ประโยชน์ย่อมสามารถนาผลลัพธ์ที่ได้จากระบบดูแลช่วยเหลือไปจัดทารายงานประจาปี อีกทั้งยังช่วย
สะท้อนถึงประสิทธิภาพท่ีเข้มแข็งของสถานศึกษาได้ และจากการสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนของ ณัฏฐวิภา
คาปันศรี (2559: 45-46) พบว่า ส่วนใหญ่นักเรียนยังขาดคุณธรรม จริยธรรม จึงจาเป็นท่ีจะต้องแก้ไข
พฤตกิ รรมท่ไี ม่เป็นประสงค์และปญั หาต่าง ๆ ซึง่ การสรา้ งความรู้ ความเขา้ ใจกับครูให้มีความรู้เก่ียวกับการ
ดาเนินงานตามระบบ การดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียนอย่างถูกตอ้ ง และเหมาะสม เพ่ือให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องตาม
สภาพความเปน็ จรงิ ของนักเรยี นมากทส่ี ดุ เพราะครูเปน็ บุคคลทใ่ี กลช้ ิด มีบทบาทในการกากับดูแลให้ความ
ช่วยเหลือกับนักเรียนมากที่สุด และส่งผลให้การ ดาเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนประสบ
ผลสาเรจ็ ในการแกไ้ ขปัญหาของนกั เรยี นทั้ง 5 ดา้ น ตามระบบดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียน

การพัฒนาระบบช่วยเหลือนักเรียนในปัจจุบันมีความสาคัญมากขึ้น ดังน้ันจากปัญหาดังกล่าว
เบ้ืองต้นผู้วิจัยในฐานะครูผู้รับผิดชอบในคณะกรรมการ งานดูแลช่วยเหลือนักเรียน ฝ่ายกิจการนักเรียน
จงึ สนใจศกึ ษาแนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียนโดยใชว้ ินัยเชงิ บวกของระดับช้ันมัธยมศึกษา
ตอนปลายโรงเรียนชลกนั ยานุกูล เพือ่ นาขอ้ มลู สารสนเทศทีไ่ ดไ้ ปใช้ในการวางแผนการบริหารจัดการระบบ
ดูแลช่วยเหลอื นักเรียนทีม่ ปี ระสิทธภิ าพและประสิทธผิ ลสงู สดุ ต่อไป

2. วตั ถุประสงค์ของการวิจยั

1. เพ่ือศึกษาสภาพปัจจุบันปัญหาการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของระดับช้ัน

มธั ยมศกึ ษาตอนปลายโรงเรยี นชลกลั ยานกุ ลู

2. เพื่อหาแนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้วินัยเชิงบวกของระดับช้ัน

มธั ยมศกึ ษาตอนปลายโรงเรยี นชลกัลยานกุ ลู

3. คาถามการวิจยั
1. ปัญหาการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย

โรงเรียนชลกัลยานุกูลเป็นอยา่ งไรบ้าง
2. สาเหตขุ องปญั หาการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของระดับช้ันมัธยมศึกษาตอน

ปลายโรงเรียนชลกลั ยานกุ ูลเป็นอยา่ งไรบา้ ง
3. การใช้กฎระเบียบแบบเดมิ กับวินยั เชงิ บวกมผี ลแตกต่างกนั อยา่ งไร
4. ระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นักเรยี นระดับชั้นมธั ยมศึกษาตอนปลายของโรงเรียนชลกลั ยานกุ ลู เป็นอยา่ งไร
5. แนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้วินัยเชิงบวกของนักเรียนระดับช้ัน

มัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนชลกลั ยานกุ ูลควรเป็นอย่างไร

4. กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั (Conceptual Frame work)
ในการศึกษาวิจัยเรื่อง “แนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้วินัยเชิงบวก

ของระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนชลกันยานุกูล” คร้ังน้ีผู้วิจัยได้ศึกษาแนวทางการเขียนกรอบ
แนวคิดในการวิจัยของ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (2552:1) กล่าวถึงระบบการดูแล
ช่วยเหลือนักเรียน เป็นการดาเนินงานท่ีมีประสิทธิภาพระบบหน่ึงท่ีกระทรวงศึกษาธิการ สานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและกระทรวงสาธารณสุขโดยกรมสุขภาพจิต ได้ร่วมกันวางรากฐาน
เพื่อการพัฒนาคุณภาพนักเรียน นอกจากน้ียังมีแนวทางของ Durrant (2010:114) ได้กล่าวถึงการดูแล
ช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้ วินัยเชิงบวก ว่าการอบรมสั่งสอนเด็กโดยปราศจากความรุนแรง และเคารพ
ศกั ด์ศิ รีความเปน็ มนุษย์ เป็นวธิ กี ารสอนท่ีช่วยให้เด็กได้รับข้อมูลที่จาเป็นต่อการเรียนรู้ ส่งเสริมพัฒนาการ
ของเด็ก และทาให้เด็กประสบความสาเร็จในชีวิต และงานวิจัยของ อุทัย สวัสด์ิพานิชย์ ได้ศึกษาเร่ือง
การดาเนินงานระบบดแู ลชว่ ยเหลือนักเรียน ในสถานศึกษา ขั้นพื้นฐานช่วงช้ัน ที่ 1-2 สังกัดสานักงานเขต
พ้ืนท่ีการศึกษา กาญจนบุรี มาเป็นกรอบแนวคิดการวิจัย เพ่ือเป็นแนวทางในการสร้างเคร่ืองมือสาหรับ
เก็บรวบรวมข้อมลู เพ่ือตอบวตั ถุประสงคท์ ่ีตัง้ ไว้ดังน้ี

กรอบแนวคดิ แนวทางการพัฒนาระบบดแู ลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้วนิ ยั เชงิ บวก
ของระดับชนั้ มธั ยมศึกษาตอนปลายโรงเรยี นชลกันยานกุ ูล

สภาพปัจจบุ นั ปัญหาการดาเนนิ งาน
ระบบดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียนของ
ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาตอนปลาย

โรงเรยี นชลกันยานกุ ลู

การศกึ ษาเอกสาร การวเิ คราะห์ปัจจยั การสัมภาษณเ์ กี่ยวกบั
สภาพแวดลอ้ ม สภาพและปัญหา ระบบดแู ล
ท่ีเกี่ยวกบั ปญั หาการ (SWOT Analysis) ช่วยเหลอื นกั เรยี นของระดบั ชั้น
ดาเนินงานระบบดูแล มัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรยี นชล
ช่วยเหลือนักเรียนของ ที่สง่ ผลต่อระบบดูแลช่วยเหลอื
ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาตอน กนั ยานกุ ูล
ปลายโรงเรยี นชลกันยานกุ ูล นกั เรียนโดยใชว้ นิ ยั เชงิ บวกของ
ระดับชนั้ มธั ยมศึกษาตอนปลาย

โรงเรียนชลกันยานุกลู

การจัดสนทนากล่มุ
(Focus group discussion)
เพอ่ื หาแนวทางการพัฒนาระบบดแู ล
ช่วยเหลือนักเรยี นโดยใช้วินัยเชิงบวก
ของระดบั ชน้ั มธั ยมศึกษาตอนปลาย

โรงเรียนชลกันยานกุ ลู

แนวทางการพฒั นาระบบดูแลช่วยเหลือ
นักเรียนโดยใชว้ ินยั เชงิ บวกของระดับช้ัน
มธั ยมศกึ ษาตอนปลายโรงเรยี นชลกันยานกุ ูล

5. ประโยชนท์ ่ีไดค้ าดวา่ จะได้รบั จากการวจิ ยั
1. ทาให้ทราบสภาพปัจจุบันปัญหาการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของระดับช้ัน

มัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนชลกัลยานุกูลไดช้ ัดเจนมากขน้ึ
2. ทาให้ทราบแนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้วินัยเชิงบวกของระดับช้ัน

มัธยมศกึ ษาตอนปลายโรงเรยี นชลกลั ยานกุ ูลสู่การปฏิบตั ิไดช้ ัดเจนมากข้นึ
3. ผลทีไ่ ดจ้ ากการวจิ ัยสามารถนาเสนอต่อผู้บังคับบัญชาระดับสูงเพ่ือใช้เป็นแนวทางในการกาหนด

นโยบาย การแก้ไขปัญหาการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้วินัยเชิงบวกของระดับชั้น
มัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรยี นชลกลั ยานุกูลสู่การปฏบิ ัติไดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพมากขนึ้

6. ขอบเขตของการวจิ ยั
การศึกษาวิจัยเรื่อง แนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้วินัยเชิงบวกของ

ระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนชลกันยานุกูลเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ (Quanlitative
Research) ผูว้ ิจยั ไดก้ าหนดขอบเขตของการศกึ ษาวจิ ัยได้ ดงั นี้

6.1 ขอบเขตดา้ นกล่มุ เปา้ หมาย
ได้แก่ บุคลากรโรงเรียนชลกันยานุกูลสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี
ระยอง ปีการศึกษา 2563 ประกอบด้วยผู้ที่เกี่ยวข้องกับระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน คือ ผู้บริหารโรงเรียน
จานวน 2 คน ครูหัวหนา้ ฝ่ายงาน 4 ฝา่ ย คือ ดา้ นการบริหารงานวชิ าการ ดา้ นการบรหิ ารงานกิจการนักเรียน ด้าน
การบริหารงานบุคคล และด้านการบริหารท่ัวไป จานวน 4 คน ครูหัวหน้าระดับ จานวน 6 คน ครูกลุ่ม
บรหิ ารงานกิจการนักเรยี น 5 คน ครูแนะแนว 6 คน ตวั แทนนกั เรียน 15 คน รวมท้ังหมด 42 คน
6.2 ขอบเขตดา้ นเน้ือหา

การวจิ ัยในครัง้ นม้ี ุ่งศกึ ษาแนวทางการพฒั นาระบบดูแลชว่ ยเหลือนักเรียนโดยใช้วินัยเชิงบวก
ของระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนชลกันยานุกูลสังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา
ชลบุรี ระยอง ประกอบด้วย แนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้วินัยเชิงบวกของ
ระดับชน้ั มธั ยมศกึ ษาตอนปลายโรงเรยี นชลกนั ยานุกูล โดยจาแนกเปน็ 3 ด้านได้แก่

1) การพฒั นา
2) ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรยี น
3) วนิ ยั เชงิ บวก
6.3 ขอบเขตดา้ นสถานท่ี
สถานที่ทาการวิจัยได้แก่ โรงเรียนชลกันยานุกูล จังหวัดชลบุรี สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษามธั ยมศกึ ษาชลบุรี ระยอง

7.คานิยามศพั ทเ์ ฉพาะที่ใช้ในการวจิ ัย
การพฒั นา หมายถึง ทิศทางของการเปลี่ยนแปลงในลักษณะที่ก้าวหน้าหรือการเปลี่ยนแปลง

ไปในทางท่ีดีข้ึน โดยการใช้แนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้วินัยเชิงบวกของ
ระดับช้ันมัธยมศกึ ษาตอนปลายโรงเรยี นชลกันยานุกูล

ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน หมายถึงกระบวนการดาเนินงานดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างมี
ขั้นตอน พร้อมด้วยวิธีการและเคร่ืองมือการทางานท่ีชัดเจนโดยมีครูที่ปรึกษาเป็นบุคลากรหลักในการ
ดาเนินการดังกล่าว และมีการประสานความร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับครูท่ีเก่ียวข้อง ผู้ปกครองหรือ
บคุ คลภายนอกท่มี ีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เพอื่ ชว่ ยสนับสนุนส่งเสริม พัฒนาให้นักเรียนมีคุณลักษณะท่ี
พึงประสงค์ และมีคุณภาพ ตามที่สังคมต้องการ โดยการใช้แนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือ
นกั เรียนโดยใชว้ ินัยเชิงบวกของระดับชั้นมัธยมศกึ ษาตอนปลายโรงเรียนชลกนั ยานกุ ลู

วินัยเชิงบวก หมายถึง การอบรมส่ังสอน และ การปลูกฝังวินัย เพ่ือให้เด็กมีพฤติกรรมที่
เหมาะสม และเคารพกฎระเบยี บในสงั คม โดยการเน้นที่พฤติกรรมที่เด็กจาเป็นต้องเรียนรู้ และพัฒนาการ
ทางด้านอารมณ์ และสงั คมของเด็ก เปน็ สาคัญ โดยการใชแ้ นวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
โดยใช้วนิ ัยเชงิ บวกของระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนปลายโรงเรียนชลกันยานุกลู

บทที่ 2
เอกสารและงานวิจยั ที่เก่ียวข้อง
การศึกษาวิจัยเรื่องแนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้วินัยเชิงบวกของ
นักเรียนระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนชลกันยานุกูล ผู้วิจัยจะได้ทาการศึกษาเอกสารและ
งานวิจยั ท่ีเกย่ี วข้อง เพอื่ ใชเ้ ป็นแนวทางการวจิ ัยตามลาดบั ดงั นี้
1. แนวคิดเกี่ยวกับระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรยี น
1.1 ความหมายของระบบดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น
1.2 ความสาคัญของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน
1.3 ประโยชนข์ องระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรียน
1.4 การพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
2. การดาเนินงานระบบดแู ลชว่ ยเหลือนักเรยี น
2.1 การรู้จักนักเรียนเปน็ รายบุคคล
2.2 การคัดกรองนกั เรยี น
2.3 การส่งเสรมิ นกั เรยี น
2.4 การปอ้ งกันและแก้ปญั หา
2.5 การสง่ ต่อ
3. วนิ ัยเชงิ บวก
4. การสนทนากลุม่ (Focus Group)
5. สภาพปจั จบุ ันและบริบทของโรงเรยี นชลกนั ยานุกลู
6.งานวิจัยทเ่ี กย่ี วขอ้ ง

1. แนวคิดเก่ยี วกับระบบดูแลช่วยเหลอื นกั เรยี น

1.1 ความหมายของระบบดแู ลช่วยเหลือนักเรยี น

สานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (2551, 30) กล่าวว่า ระบบ
การดูแลชว่ ยเหลือนักเรยี น หมายถึง กระบวนการดาเนินงานดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างมีขั้นตอน พร้อม
วธิ กี ารและเคร่ืองมือการทางานทีช่ ัดเจน ซงึ่ มคี รูทีป่ รึกษาเป็นบุคลากรหลักในการดาเนินงาน ดังกล่าวและ
มีการประสานงานอย่างใกล้ชิดกับครูที่เกี่ยวข้องหรือบุคคลภายนอก รวมทั้งการ สนับสนุนส่งเสริมจาก
โรงเรียน

รังสรรค์ เพ็งนู (2551,15) กล่าวว่า ระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นักเรยี น หมายถึง กระบวนการการ
ดาเนินงานดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างเป็นระบบ มีข้ันตอน มีครูที่ปรึกษาเป็นบุคลากรหลักในการ
ดาเนินงาน โดยการมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกฝ่ายท่ีเกี่ยวข้องท้ังภายในและภายนอกสถานศึกษา ได้แก่
คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน ผู้บริหารและครูทุกคน ซึ่งมีวิธีการและเครื่องมือที่ชัดเจน มี
มาตรฐานคณุ ภาพและมีหลักฐานการทางานท่ีตรวจสอบได้

สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (2552, 12-13)กล่าว
ว่า ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน หมายถึง กระบวนการดาเนินงานดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างเป็น
ระบบ มีข้นั ตอน มีครูท่ปี รกึ ษาเป็นบุคลากรหลักในการดาเนินงาน โดยการมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกฝ่าย
ท่ีเก่ียวข้องทั้งภายในและนอกสถานศึกษา อันได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน
ผู้บริหารและครูทุกคน มีวิธีการและเครื่องมือท่ีชัดเจน มีมาตรฐานคุณภาพและมีหลักฐานการทางานที่
ตรวจสอบได้

สันติสุข สันติศาสนสุข (2552, 8) กล่าวว่า ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน หมายถึง
กระบวนการดาเนินงานดูแลช่วยแหลือนักเรียนอย่างเป็นระบบมีข้ันตอน มีครูที่ปรึกษาเป็นบุคลากรหลัก
ในการดาเนินงาน โดยมีส่วนรว่ มของบคุ ลากรทุกฝ่ายท่เี กย่ี วขอ้ งทั้งภายในและนอกสถานศึกษาได้แก่ คณะ
กรมการสถานศึกษาผู้ปกกรอง ชุมชน ผู้บริหารและครูทุกคนมีวิธีการและเครื่องมือที่มีมาตรฐานคุณภาพ
และมหี ลักฐานการทางานทตี่ รวจสอบได้

กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (2555, 3) กล่าวว่า ระบมการดูแลช่วยเหลือ
นักเรียนหมายถึง กระบวนการดาเนินงานอย่างมีข้ันตอน พร้อมด้วยวิธีการและเครื่องมือการทางานท่ี
ชัดเจนโดยมีครูที่ปรึกมาเป็นบุคลากรหลักในการดาเนินงานดังกล่าวและมีการประสานความร่วมมืออย่าง
ใกล้ชิดกับครูที่เก่ียวข้องหรือบุคลากร รวมท้ังการสนับสนุน ส่งเสริมจากโรงเรียนและการดูแลช่วยเหลือ
นักเรียนหมายถงึ การสง่ เสรมิ การปอ้ งกนั และการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการและเครื่องมือสาหรับครูท่ีปรึกษา
ตลอดจนบุคลากรท่ีเกี่ยวข้อง เพ่ือใช้ในการดาเนินงานพัฒนานักเรียนใหม่คุณลักษณะที่พึงประสงค์และ
ปลอดภยั จากสารเสพตดิ

สุทัศน์ เอ่ียมแสง (2558, 9) กล่าวว่า ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน หมายถึง การส่งเสริม
พัฒนาป้องกันและแก้ปัญหา เพ่ือเพิ่มศักยภาพให้นักเรียนเป็นบุคคลท่ีมีคุณภาพท้ังด้านร่างกาย จิตใจ
สติปัญญาและปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม นักเรียนสามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข มีวิถีชีวิตที่
พอเพยี งเนือ่ งจากการเปล่ยี นแปลงอยา่ งรวดเร็วในยุคปัจจุบัน

จากความหมายของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนท่ีนักวิชาการและหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องได้
กล่าวไว้ข้างต้น ผู้วิจัยสรุปได้ว่า ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน หมายถึง กระบวนการ ดาเนินงานในการ
ดูแลนักเรียนอย่างเป็นระบบมีขั้นตอน ซึ่งมีครูประจาชั้น ครูที่ปรึกษาเป็นบุคลากรหลักในการดาเนินงาน
ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยประสานความร่วมมือกับผู้เก่ียวข้องเพ่ือดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้มี
พั ฒ น า ก า ร ส่ ง เ ส ริ ม พั ฒ น า ป้ อ ง กั น แ ล ะ แ ก้ ไ ข ปั ญ ห า มี ภู มิ คุ้ ม กั น ท า ง จิ ต ใ จ ท่ี เ ข้ ม แ ข็ ง
มีคณุ ภาพชวี ิตที่ดี มีทกั ษะในการดารงชีวติ ตลอดจนสามารถดารงชีวติ อยูใ่ นสงั คมได้อยา่ งมคี วามสขุ

1.2 ความสาคัญของระบบการดูแลช่วยเหลือนกั เรียน

กรมสขุ ภาพจิต กระทรวงสาธารณสขุ (2554, 10) กล่าวว่า การพัฒนานักเรียนให้เป็นบุคคล
ท่ีมีคุณภาพท้ังด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความสามารถ มีคุณธรรม จริยธรรมและมีวิถีชีวิตที่เป็นสุข
ต า ม ท่ี สั ง ค ม มุ่ ง ห วั ง ผ่ า น ก ร ะ บ ว น ก า ร ท า ง ก า ร ศึ ก ษ า น้ั น น อ ก จ า ก จ ะ ด า เ นิ น ก า ร โ ด ย
การสง่ เสรมิ สนบั สนุนนักเรียนแลว้ การปอ้ งกนั และการชว่ ยเหลือปญั หาต่าง ๆ ที่เกดิ ข้นึ กับนักเรียนเป็นส่ิง
สาคัญอีกประการหนึ่งของการพัฒนา เน่ืองจากสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากท้ังด้านการสื่อสาร
เทคโนโลยีต่าง ๆ นอกจากจะส่งผลกระทบต่อผู้คนในเชิงบวกแล้ว ยังส่งผลกระทบในเชิงลบได้เช่นกัน เช่น
ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาการระบาดของสารเสพติด ปัญหาการแข่งขันในรูปแบบต่าง ๆ ปัญหาครอบครัวซึ่งก่อ
เ กิ ด ค ว า ม ทุ ก ข์ ค ว า ม วิ ต ก กั ง ว ล ค ว า ม เ ค รี ย ด ก า ร ป รั บ ตั ว ท่ี ไ ม่ เ ห ม า ะ ส ม ห รื อ อ่ื น ๆ
ที่เป็นผลเสียต่อสุขภาพจิตและสภาพกายของทุกคนที่เก่ียวข้อง ดังน้ันความสาเร็จท่ีเกิดจากการพัฒนา
นักเรียนให้เป็นไปตามความมุ่งหวังจะต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายทุกคน โดยเฉพาะ
บุคลากรครูทุกคนในโรงเรียน ซ่ึงมีครูที่ปรึกษาเป็นหลักสาคัญในการดาเนินการต่าง ๆ เพื่อการดูแล
ช่วยเหลือนักเรียนอย่างใกล้ชิดด้วยความรักและเมตตาท่ีมีต่อศิษย์ และภาคภูมิใจในบทบาทท่ีมี
ส่วนสาคัญต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของเยาวชนให้เติบโตงอกงามเป็นบุคลท่ีคุณค่าของสังคมต่อไป

กรมสุขภาพจิต (2556, 36) อธิบายถึง กรอบแนวคิดระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนสรุปได้ดังนี้
เป็นไปเพื่อพัฒนานักเรียนให้เป็นบุคคลท่ีมีคุณภาพทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความสามารถ มี
คุณธรรม จริยธรรม และมีวิถีชีวิตที่เป็นสุขตามที่สังคมมุ่งหวัง ซ่ึงผ่านกระบวนการทางการศึกษานั้น
นอกจากจะดาเนินการด้วยการส่งเสริม สนับสนุนนักเรียนแล้ว การป้องกันและช่วยเหลือแก้ไขปัญหาต่าง
ๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ กับนักเรียนย่อมเป็นสิ่งสาคัญประการหนึ่งของการพัฒนา เน่ืองจากสภาพสังคมท่ีเปล่ียนแปลง
ไปอย่างมากทงั้ ดา้ นการสื่อสารเทคโนโลยตี ่าง ๆ นอกจากจะส่งผลกระทบต่อผู้คนเชิงบวกแล้วในเชิงลบก็มี
ปรากฏเช่นกัน ซึ่งมีปัญหาด้านต่าง ๆ ดังนี้ ด้านเศรษฐกิจ ปัญหาการระบาดของสารเสพติด ปัญหาการ
แข่งขันในรูปแบบต่าง ๆ ปัญหาครอบครัวซ่ึงก่อให้เกิดความทุกข์ ความวิตกกังวลความเครียด มีการ

ปรับตัวท่ีไม่เหมาะสม หรืออื่น ๆ ท่ีเป็นผลต่อสุขภาพจิตและสุขภาพกายของทุกคนท่ีเกี่ยวข้อง ดังนั้นจึง
จาเป็นต้องอาศัยความร่วมมือในการพัฒนาจากทุกฝ่ายทุกคน โดยเฉพาะครูทุกท่านในโรงเรียนซึ่งเป็นท่ี
ปรึกษาจะเป็นหลกั สาคัญในการดาเนนิ การตา่ ง ๆ ตามระบบเพอื่ ช่วยเหลือนักเรียนในความดูแลของตนเอง
ดว้ ยความรักและเมตตาท่ีมีตอ่ ศิษย์ ตลอดจนเป็นการพัฒนาตนเองของครูเพ่ือให้เป็นไปตามท่ีกาหนดไว้ใน
มาตรฐานวิชาชีพครู ที่ระบุไว้ในมาตรฐานท่ี 2 ครูมีคุณธรรม จริยธรรม คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ โดยมี
ตวั ช้วี ัดท่สี าคัญและเกี่ยวข้องกับบทบาทหนา้ ทขี่ องครูในการพฒั นานักเรียน คือ มีความรัก ความเอ้ืออาทร
และการเอาใจใส่ดูแลผู้เรียนอย่างสม่าเสมอเพ่ือให้ผู้เรียนมีมนุษย์สัมพันธ์และสุขภาพจิตที่ดีพร้อมช่วย
แนะนาและร่วมกนั แก้ไขปญั หาของผูเ้ รยี นเพ่ือการพฒั นาตนเองให้เข้าสู่ความเป็นครมู ืออาชพี

กระทรวงศึกษาธิการ (2551, 65) กล่าวว่า การดูแลช่วยเหลือนักเรียนเป็นการส่งเสริมพัฒนา
ป้องกันและแก้ไขปัญหา เพื่อให้นักเรียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ มีคุณลักษณะที่พึ่งประสงค์
มีภูมิคุ้มกันทางจิตใจท่ีเข้มแข็งมีคุณภาพชีวิตท่ีดี มีทักษะในการดารงชีวิตและรอกพ้นจากวิกฤติทั้งปวง
ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน คือ กระบวนการดาเนินงานดูแลช่วยเหลือนักเรียนอย่างเป็นระบบ
มขี ั้นตอนชัดเจนพรอ้ มทง้ั มวี ิธีการและเคร่ืองมือทม่ี มี าตรฐาน มคี ณุ ภาพ และมีหลักฐานท่ีตรวจสอบได้ โดย
มคี รูท่ปี รึกษาเปน็ บคุ ลากรหลักในการทางาน ซ่ึงมีส่วนร่วมของบุคลากรทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งภายนอกและ
ภายในสถานศึกษา ได้แก่ คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน ผู้บริหารและคณะครูทุกคน เป็น
ต้น

การศึกษาเป็นกลไกสาคัญในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ โดยพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พุทธศักราช 2542 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2546) ได้บัญญัติไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพ่ือพัฒนา
ค น ไ ท ย ใ ห้ เ ป็ น ม นุ ษ ย์ ท่ี ส ม บู ร ณ์ ทั้ ง ร่ า ง ก า ย จิ ต ใ จ ส ติ ปั ญ ญ า ค ว า ม รู้ แ ล ะ คุ ณ ธ ร ร ม
มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิตตลอดจนสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และ
การจัดกระบวนการเรียนการสอนนั้นต้องคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ให้ผู้เรียนรู้จัก
การประยกุ ตค์ วามรู้มาใชเ้ พอ่ื ป้องกันและแก้ไขปญั หา

การจัดทาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเพื่อให้มีกระบวนการทางานเป็นระบบ มีความชัดเจน มี
การประสานความร่วมมือของผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในโรงเรียนและนอกโรงเรียน รวมทั้งมีวิธีการ กิจกรรม
และเครอื่ งมอื ตา่ ง ๆ ท่มี ีคุณภาพในการดแู ลช่วยเหลอื นกั เรยี นเพ่ือจะส่งผลให้ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
ประสบความสาเร็จ โดยมแี นวคิดหลกั ในการดาเนินงาน ดังน้ี

1. มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ตลอดชีวิต เพียงแต่ใช้เวลาและวิธีการ
แตกต่างกัน เน่ืองจากแต่ละคนมีความเป็นปัจเจกบุคคล ดังน้ันการยึดนักเรียนเป็นสาคัญใน
การพฒั นาเพือ่ ดูแลชว่ ยเหลือทัง้ ด้านการปอ้ งกนั แกไ้ ขปญั หาหรอื การสง่ เสริมจึงเป็นสิ่งจาเปน็

2. ความสาเร็จของงาน ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมทั้งร่วมใจ ร่วมคิด ร่วมทาของทุกฝ่ายท่ีมีส่วน
เก่ียวขอ้ ง

3. การปรับเปลี่ยนบทบาทและเจตคติของผู้บริหารและครูอาจารย์ให้ไปสู่ความรับผิดชอบ
ที่จะดูแลพัฒนาการของนักเรยี นอย่างเปน็ องค์รวม

4. การวางระบบที่จะสร้างความม่ันใจว่านักเรียนทุกคนมีครูอาจารย์อย่างน้อยหน่ึงคนท่ีจะดูแล
ทกุ ขส์ ุขอยา่ งใกลช้ ดิ และตอ่ เนื่อง

5. การสนบั สนุนใหค้ รูอาจารย์ ได้มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ปกครอง เพื่อให้การดูแลทางโรงเรียนและ
ชุมชนประสานกัน

6. การส่งเสรมิ ให้ผู้ปกครองรวมกลมุ่ เป็นเครือข่ายท่จี ะช่วยกันเฝา้ ระวังดูแลบุตรหลาน

7. การประสานสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียน ชุมชน และผู้ชานาญในสาขาต่าง ๆ เพ่ือให้มีการส่งต่อ
และการรับช่วงการแก้ไขและส่งเสริมการพัฒนาเด็กและเยาวชนในรูปแบบสหวิทยาการ ระบบดูแล
ช่วยเหลือนักเรียนมีจุดมุ่งหมายสาคัญท่ีคุณภาพนักเรียน ให้มีความพร้อมสมบูรณ์ทั้งร่างกาย สติปัญญา
ความรู้ ความสามารถ ด้านจิตใจ คุณธรรม จริยธรรม มีชีวิติสงบสุขให้สมกับข้อความท่ีว่า “เก่ง ดี มีสุข”
โดยบุคลากรทุกคนในโรงเรียนร่วมมือกันทั้งผู้บริหารและครู ที่สาคัญ คือ ความดูแลเอาใจใส่ของครูที่
ปรึกษาหรือครูประจาชั้นท่ีมีให้แก่นักเรียนทุกคนอย่างเต็มกาลังความสามารถด้วยความรัก ความเมตตา
และความเขา้ ใจนกั เรียนแตล่ ะคน ซงึ่ มีความสาคัญย่ิงต่อการพัฒนานักเรียนให้พร้อมที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่
ในอนาคตอยา่ งมีคุณภาพรอบดา้ นเปน็ กาลังสาคัญของสงั คมและสามารถนาพาความรุ่งเรืองและความสงบ
สุขสู่ประเทศชาตติ ่อไป

บทบาทของครูในการดูแลช่วยเหลือนักเรียนจึงมีคุณค่าและน่า ภูมิใจอย่างย่ิงที่มี
สว่ นร่วมในการสรา้ งคนใหเ้ ป็นคนท่ีสมบูรณท์ งั้ รา่ งกายและจิตวิญญาณให้เกิดในโรงเรียน ในสังคมประเทศ
หรอื รวมทั้งสังคมโลกด้วยเชน่ กนั

มธุรดา ดวงจันทร์ (2553, 14) กล่าวว่า การบริหารการดาเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือ
นักเรียนนั้น มีความสาคัญต่อความสาเร็จและประสิทธิภาพในการดาเนินงาน โดยคณะกรรมการ
ผู้เก่ียวข้องของแต่ละฝ่ายน้ันต้องมีความเข้าใจ และมีแนวคิดไปในทางเดียวกัน ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันใน
การดาเนินงานตามเหมาะสมอย่างสม่าเสมอและต่อเนื่อง ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเป็น
กระบวนการที่มีข้ันตอน ขอบข่ายโครงสร้างในการดาเนินงาน มีวิธีการและเคร่ืองมือที่ชัดเจน
มีมาตรฐานคุณภาพ มีหลักฐานการทางานที่ตรวจสอบได้ เม่ือดาเนินงานผลประโยชน์ที่ได้รับย่อมจะ เกิด
ขน้ึ กบั หลายฝา่ ย และสิง่ ทมี่ กั ทาใหก้ ารดาเนินงานระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรยี นเป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพ
นัน้ จะมีปจั จัยตา่ ง ๆ เปน็ สว่ นสาคญั ท่ีสนับสนุนความสาเร็จของการดาเนินงาน

บุปผาชาติ เข็มวิชัย (2558, 9) กล่าวถึง ความสาคัญของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน เป็น
งานท่ีทุกภาคส่วนให้ความสาคัญ เพื่อพัฒนานักเรียนในสถานศึกษา ซึ่งครูท่ีปรึกษาควรเอาใจใส่ ดูแล
ชว่ ยเหลอื และปอ้ งกนั แก้ไขปญั หาให้นกั เรยี นทุกคนอย่างเปน็ ระบบ กระบวนการทางานท่ีชัดเจนมีร่องรอย
หลักฐานการปฏิบัติงานสามารถตรวจสอบและประเมินผลได้ นอกจากครูท่ีปรึกษาแล้วยังมีคณะบุคคล
ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา คณะครู ผู้ปกครอง กรรมการสถานศึกษา ชุมชน และหน่วยงานอ่ืน ๆ ที่
เกยี่ วข้อง ให้ความรว่ มมือเพือ่ สง่ เสรมิ พฒั นาควบคุมและแก้ไขความประพฤติของนักเรียนให้อยู่ในระเบียบ

วินัยให้เกิดความสงบเรียบรอ้ ยในการอยรู่ ่วมกัน เพื่อดูแลช่วยเหลือส่งเสริมและพัฒนาเต็มตามศักยภาพให้
เป็นคนทสี่ มบูรณท์ ั้งทางดา้ นร่างกาย อารมณ์ สงั คม และสตปิ ญั ญาและเพ่ือคุ้มครอง ดูแล รักษา ตลอดจน
ให้การอบรมศีลธรรม จรรยา และมารยาทที่ดีงามให้แก่นักเรียน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่นักเรียน
ต่อไป

จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนเป็นระบบท่ีสาคัญ เป็นกระบวนการท่ีมี
ข้ันตอน มีขอบข่ายโครงสร้างในการดาเนินงาน มีวิธีการและเคร่ืองมือท่ีชัดเจน มีมาตรฐานคุณภาพ
หลักฐานการทางานที่ตรวจสอบได้ เป็นการพัฒนาให้นักเรียนเป็นบุคคลท่ีมีคุณภาพทั้งด้านร่างกาย จิตใจ
สตปิ ญั ญา ความสามารถ มีคุณธรรม จริยธรรม นักเรียน มีวิถีชีวิตที่สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
ผู้เกี่ยวข้องต้องมีความเข้าใจและมีแนวคิดไปในทางเดียวกัน ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันในการดาเนินงานตาม
เหมาะสมอยา่ งเป็นระบบและต่อเนื่อง

1.3 ประโยชนข์ องระบบดแู ลชว่ ยเหลือนักเรียน

กรมสขุ ภาพจิต (2551,3) กล่าวถึง ประโยชนข์ องระบบการดูแลชว่ ยเหลอื นักเรียน ดังน้ี

1. นักเรยี นไดร้ ับการดแู ลช่วยเหลืออยา่ งทว่ั ถงึ และตรงตามสภาพปญั หา

2. สมั พนั ธภาพระหว่างครูกับนักเรียนเป็นไปดว้ ยดแี ละอบอนุ่

3. นักเรยี นร้จู กั ตนเองและควบคมุ คนเองได้

4. นกั เรยี นเรียนรอู้ ย่างมคี วามสุข

5. นกั เรียนมีการพฒั นาความฉลาดทางอารมณ์

กลุ่มส่งเสริมการจัดการศึกษา สพร.สระบุรี (2551, 31) ได้กล่าวถึง ประโยชน์ของการ
จดั ระบบดแู ลช่วยเหลอื นกั เรียน ดงั น้ี

1. นักเรยี นไดร้ ับการดแู ลชว่ ยเหลืออย่างท่ัวถงึ และตรงตามสภาพปญั หา

2. สัมพันธภาพระหว่างครูกับนกั เรียนเป็นไปดว้ ยดีและอบอนุ่

3. นกั เรยี นรู้จกั ตนเองและควบคมุ ตนเองได้

4. นักเรียนเรยี นรูอ้ ย่างมีความสุขและไดร้ บั การสง่ เสรมิ พัฒนาเตม็ ตามศักยภาพ

5. ผู้เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาคุณภาพนักเรียนอย่างเข้มแข็งและจริงจังด้วย
ความเสยี สละเอาใจใส่

สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน (2552, 12) ได้กล่าวถึง ประโยชน์ของการ
จดั ระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรยี น ไว้ดังนี้

1. นกั เรยี นได้รบั การดูแลอยา่ งท่วั ถึงและตรงตามสภาพปญั หา

2. สัมพันธภาพระหว่างครูกับนักเรียนเปน็ ไปด้วยดีและอบอนุ่

3. นักเรยี นรจู้ กั ตนเองและควบคุมตนเองได้

4. นกั เรียนเรยี นรู้อย่างมีความสุข

5. นกั เรยี นมพี ฒั นาการความฉลาดทางอารมณ์

สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2554, 5) ได้สรุปคุณค่าของระบบดูแล
ช่วยเหลอื นักเรยี น ไว้ดังนี้

1. นักเรยี นไดร้ ับการดูแลอย่างทั่วถงึ และตรงตามสภาพปัญหา

2. สัมพันธภาพระหว่างครูกับนักเรยี นเป็นไดด้ ้วยดแี ละอบอุ่น

3. นกั เรยี นรูจ้ ักตนเองและควบคุมตนเองได้

4. นกั เรยี นเรียนรอู้ ยา่ งมีความสุขและไดร้ บั การพฒั นาตามศักยภาพโดยรอบดา้ น

5. ผู้ทเ่ี กีย่ วขอ้ งมีส่วนร่วมในการพฒั นาคณุ ภาพนกั เรียนอยา่ งเข้มแข็ง

บุปผาชาติ เข็มวิชยั (2558, 12) กลา่ วว่า งานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนเป็นงานที่มี
ประโยชน์เป็นอย่างย่ิงต่อทุก ๆ ฝ่ายที่เก่ียวข้องเพราะเป็นการส่งเสริม การป้องกันและแก้ไขปัญหาที่เกิด
ขึน้ กบั ตวั นกั เรียนซ่ึงผลท่ีเกิดขน้ึ จะลงไปสู่นักเรียนโดยตรง โดยการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือ
นักเรียน มผี ลต่อประสิทธิภาพของการดาเนินงานเพราะเป็นงานท่ีคือการร่วมมือกันกับทุกฝ่ายท่ีเก่ียวข้อง

จากประโยชน์ของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนท่ีกล่าวมา สรุปได้ว่า งานระบบดูแลเหลือ
นกั เรียนผ้เู ก่ยี วขอ้ งมสี ่วนร่วมในการพัดนาคณุ ภาพนักเรียน โดยการบรหิ ารจัดการระบบการและช่วยเหลือ
นกั เรียน มีผลตอ่ ประสทิ ธิภาพของการดาเนินงานเพราะเป็นงานท่ีต้องร่วมมือกัน เป็นงานท่ีมีประโยชน์ซึ่ง
ต่อทุกๆ ฝ่าย ตามขั้นตอนกระบวนการต่าง ๆ ที่ถูกต้องเหมาะสม นักเรียนได้รับการดูแลช่วยเหลืออย่าง
ทั่วถึงและตรงตามสภาพปัญหา ท้ังน้ีผู้วิจัยได้สรุปประโยชน์ของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน มีดังนี้ 1)
นั ก เ รี ย น ไ ด้ รั บ ก า ร ดู แ ล แ ล ะ ไ ด้ รั บ ก า ร แ ก้ ไ ข ปั ญ ห า อ ย่ า ง ท่ั ว ถึ ง แ ล ะ ต ร ง จุ ด
2) สมั พนั ธภาพเพระหว่างครกู ับนักเรียนเป็นได้ด้วยดี นักเรียนเกดิ ความอบอุ่นใจ 3) นักเรียนรู้จักตนเอง มี
ความฉลาดทางอารมณ์ และสามารถควบคุมตนเองได้อย่าง เหมาะสมในสถานการณ์ต่าง ๆ
4) นักเรียนเรียนรู้อย่างมีความสุข สามารถพัฒนาศักยภาพได้อย่างรอบด้าน และ 5) ผู้ที่เก่ียวข้องมีส่วน
รว่ มในการพฒั นาคุณภาพนักเรยี นอย่างจรงิ จงั เข้มแขง็ และเอาใจใสอ่ ยา่ งเต็มท่ี

1.4 การพัฒนาระบบดแู ลช่วยเหลือนักเรียน
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน (2554, 238) กล่าวว่า การพัฒนา หมายถึง

การทา ความเจริญ การเปลี่ยนแปลงในทางที่เจริญข้ึน การคลี่คลายไปในทางที่ดี ถ้าเป็นกริยาใช้คาว่า
“พัฒนา” ซง่ึ หมายความวา่ ทาให้เจรญิ คือ ทาใหเ้ ตบิ โตได้งอกงาม ทาให้งอกงามและมากขน้ึ

สนธยา พลศรี (2547, 2) กลา่ ววา่ การพัฒนา หมายถงึ การเปล่ยี นแปลงสิง่ ใดสงิ่ หน่ึงให้เกิด
คุณภาพดีขึ้นกว่าเดิม ความหมายนี้ นับว่าเป็นความหมายที่รู้จักกันโดยท่ัวไปเพราะนามาใช้มากกว่า
ความหมายอืน่ ๆ แม้วา่ จะ ไมเ่ ปน็ ทีย่ อมรบั ของนกั วชิ าการก็ตาม

บุปผาชาติ เข็มวิชัย (2558, 13) กล่าวว่า การพัฒนา คือ การเปล่ียนแปลงสิ่งใดสิ่งหน่ึง
ใหเ้ กดิ ความเจริญงอกงาม มีคณุ ภาพดีขนึ้ กว่าเดมิ เป็นระบบ

จากที่กล่าวมาสามารถสรุปได้ว่า การพัฒนา คือ การเปล่ียนแปลงในทางที่เจริญข้ึนมีการ
ปรับปรุงให้ดีขึ้นและเหมาะสมกว่าเดิมหรืออาจก้าวหน้าไปถึงขั้นที่สมบูรณ์อย่างเป็นระบบเมื่อนามาคาว่า"
พัฒนา" มารวมกับ "ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน" ผู้วิจัยจึงสรุปว่า การพัฒนาระบบแลช่วยเหลือนักเรียน
หมายถึง การเปล่ียนแปลงระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ปรับปรุงให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยมีการดาเนินงาน
อย่างเป็นระบบ

ดังน้ันจากความหมายความสาคัญ ประโยชน์ของระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนและ
การพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนดังที่ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ ผู้วิจัยได้สามารถสรุปได้ว่า ระบบดูแล
ช่วยเหลอื นกั เรยี นเป็นกระบวนการดาเนนิ งานชว่ ยเหลือนักเรียนอย่างเป็นระบบ มีข้ันตอนการดาเนินงาน
ทช่ี ดั เจนและเครอื่ งมือการดาเนนิ งานมมี าตรฐาน มหี ลักฐานการดาเนนิ งานที่สามารถตรวจสอบได้เพ่ือช่วย
พัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพอย่างเป็นระบบซ่ึงมีครูประจาชั้นหรือครูที่ปรึกษาเป็นบุคลากรหลัก ในการ
ดาเนินงาน โดยมีการประสานความร่วมมือกับทุกฝ่ายที่เก่ียวข้องท้ังภายในและภายนอก สถานศึกษา มี
ความสาคัญและความจาเป็นต่อการพัฒนาให้นักเรียนเป็นบุคคลที่มีคุณภาพท้ังด้าน ร่างกาย จิตใจ
สติปัญญา ความสามารถ มีคุณธรรม จริยธรรม ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันในการ ดาเนินงานตามเหมาะสม
อยา่ งเปน็ ระบบและต่อเนื่องเพ่ือส่งเสริม พัฒนา ควบคุมและแก้ไข ประพฤติของนักเรียนให้อยู่ในระเบียบ
วินัย โดยการบริหารจัดการระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ตามข้ันตอนกระบวนการต่าง ๆ ท่ีถูกต้อง
เหมาะสม เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นไดร้ ับการดูแลช่วยเหลอื อย่างท่ัวถงึ และสอดคลอ้ งตรงตามสภาพปัญหาของแต่ละ
บคุ คล

2. การดาเนนิ งานระบบดแู ลช่วยเหลือนกั เรยี น

2.1 การรู้จกั นักเรียนเป็นรายบคุ คล

กรมสุขภาพจิต (2551, 7-10) ได้กล่าวว่า ด้วยความแตกต่างของนักเรียนแต่ละคน
มีพื้นฐานของชีวิตท่ีไม่เหมือนกัน หล่อหลอมให้เกิดพฤติกรรมที่หลากหลายรูปแบบ ทั้งด้านบวกและด้านลบ
ดังน้ันการรู้ข้อมูลท่ีจาเป็นเกี่ยวกับตัวนักเรียนจึงเป็นสิ่งสาคัญที่จะช่วยให้ครูประจาชั้นหรือครูท่ีปรึกษามี
ความเข้าใจนักเรียนมากขึ้น สามารถนาข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อการคัดกรองนักเรียนเป็นประโยชน์ในการ
ส่งเสริมพัฒนาการป้องกัน แก้ไขและช่วยเหลือนักเรียนได้ถูกทางซ่ึงเป็นข้อมูลเชิงประจักษ์มีการใช้
ความรู้สึกหรือคาดเดาโดยเฉพาะ ในการแก้ไขปัญหานักเรียนซึ่งจะทาให้ไม่เกิดข้อผิดพลาดต่อการ
ชว่ ยเหลอื นกั เรียนหรือเกดิ ไดน้ ้อยท่ีสดุ

สานักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน(2549,
37) กล่าวถึงวิธกี ารและเคร่ืองมือในการรู้จกั นักเรียนเปน็ รายบุคคล สามารถดาเนนิ งานได้ ดงั นี้

1. สงั เกต

2. สัมภาษณ์

3. การเย่ยี มบา้ น

4. ศกึ ษาข้อมูลจากระเบยี นสะสม

5. ผลการประเมนิ และทดสอบต่าง ๆ

ทั้งนีว้ ิธีการและเคร่อื งมือในการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ครูประจาชั้นหรือครูที่ปรึกษาควรใช้
วิธีการและเคร่ืองมือท่ีหลากหลาย เพื่อให้ได้ข้อมูลนักเรียนที่ครอบคลุมทั้งด้านความสามารถด้านสุขภาพ
และด้านครอบครวั ทีส่ าคัญ ไดแ้ ก่

1. ระเบยี นสะสม เปน็ เอกสารทร่ี วบรวมขอ้ มูล ข้อเท็จจรงิ และรายละเอียดในด้านต่าง ๆ ของ
นักเรียนของแต่ละคนอย่างมีแบบแผน เช่น ประวัติส่วนตัว ครอบครัว รายงานการเรียนการทดสอบ
สุขภาพ ความถนัด ความสนใจ กิจกรรมพิเศษ โครงการศึกษา และอาชีพในอนาคตบันทึก
การสัมภาษณ์ การให้คาปรึกษาและรายงานอื่น ๆ ท่ีทางโรงเรียนต้องการทราบเก่ียวกับตัวนักเรียน การ
สังเกต ระเบียบพฤติกรรม การสัมภาษณ์ อัตชีวประวัติ และสังคมมิติโดยเก็บรวบรามไว้ในระเบียนสะสม
มีทั้งข้อมูลในอดีต ปัจจุบันและอนาคต ซึ่งการบริการรวมรวมและศึกษาข้อมูลเพ่ือการรู้จักนักเรียนเป็น
รายบุคคล โดยให้เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ โดยเก็บไว้มิดชิดในตู้เอกสารให้สะดวกใช้และการ
บริการข้อมูลเด็กเป็นรายบุคคลเป็นบริการสาคัญ เพราะการรวบรวมข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับเด็กที่
แตกต่างกัน เพื่อช่วยให้ครูแนะแนว ผู้ปกครองและผู้บริหารสถานศึกษา สามารถเข้าใจเด็กได้อย่างลึกซึ้ง
และสามารถดแู ลชว่ ยเหลือเด็กได้อยา่ งถูกต้องและตรงตามความต้องการของผเู้ รยี น

2. แบบประเมินพฤติกรรมเด็กหรือแบบประเมินตนเอง (SDQ) โดยสานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (2546, 138-140) ได้กล่าวว่า แบบประเมินพฤติกรรมเด็กหรือแบบ
ประเมินตนเอง (SDQ) ว่า เป็นแบบประเมินของสานักพัฒนาสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต กระทรวง
สาธารณสุข ซ่ึงพัฒนาจาก (The Strengths and Difficulties Questionnaire: SDQ) เป็นเคร่ืองมือท่ี
ผ่านการวิจัยแล้วว่า มีประสิทธิภาพในการคัดกรองปัญหาเด็กได้ดี สามารถช่วยเหลือครูในการคัดกรอง
ปญั หาและใหก้ ารชว่ ยเหลอื เบ้อื งต้นแกเ่ ด็กในโรงเรยี น แบบ SDQ น้ีเหมาะสมที่จะใช้กับเด็กอายุระหว่าง 4-
16 ปี แบบประเมินแต่ละชุดมี 2 หน้า หน้าแรกเป็นลักษณะพฤติกรรม จานวน 25 ข้อ ซ่ึงมีลักษณะของ
พฤติกรรมท้งั ด้านบวกและดา้ นลบ โดยสามารถจดั เป็นกลมุ่ พฤตกิ รรมได้ 5 ดา้ น ดงั นี้

2.1 พฤติกรรมด้านอารมณ์ (5 ข้อ)

2.2 พฤติกรรมอยู่ไม่น่งิ สมาธสิ ้นั (5 ข้อ)

2.3 พฤตกิ รรมเกเร/ความประพฤติ (5 ข้อ)

2.4 พฤตกิ รรมด้านความสัมพนั ธก์ ับเพ่อื น (5 ข้อ)

2.5 พฤติกรรมดา้ นสมั พันธภาพทางสงั คม (5 ขอ้ )

3. การเย่ียมบ้านนักเรียน โดยนงลักษณ์ วิชัยรัตน์ และคณะ (2553, 13) กล่าวถึง การ
เยี่ยมบ้านนักเรียนว่า เป็นวิธีการหนึ่งของกระบวนการเก็บรวมรวมข้อมูลเก่ียวกับนักเรียน

ซึ่งหมายถึง การท่ีครูประจาชั้นหรือครูท่ีปรึกษาไปเยี่ยมบ้านได้พบและสนทนากับผู้ปกครองของนักเรียน
เพื่อจะได้รู้เห็นสภาพแวดล้อมสภาพความเป็นอยู่ที่แท้จริงของนักเรียน ทราบเจตคติของผู้ปกครองที่มีต่อ
นักเรียนและต่อโรงเรียนและทาให้ครูประจาชั้นและครูท่ีปรึกษาได้ข้อมูลที่ชัดเจนย่ิงขึ้น เป็นประโยชน์ต่อ
การชว่ ยเหลือ แก้ไข หรอื สง่ เสริมนักเรียนได้ถูกต้องย่ิงข้ึน การเยี่ยมบ้านนักเรียนเป็นวิธีการหนึ่งที่จะสร้าง
ความสัมพันธ์อันดีระหว่างบ้านกับโรงเรียนอีกทางหน่ึงด้วย การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล จาเป็นต้อง
อาศัยข้อมูลของนักเรียนในด้านต่าง ๆ อย่างครบถ้วนถูกต้อง และเป็นปัจจัยซ่ึงต้องอาศัย เทคนิค และ
เครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลที่เหมาะสมกับสภาพของนักเรียนแต่ละคน ตลอดทั้งรายละเอียดที่เกี่ยวกับ
นั ก เ รี ย น อ ย่ า ง ถู ก ต้ อ ง แ ล ะ จ ะ เ ป็ น แ น ว ท า ง ใ ห้ ค รู ที่ ป รึ ก ษ า
ครปู ระจาชนั้ ช่วยเหลอื ได้ทันท่วงทแี ละตรงกับสภาพทีน่ ักเรยี นประสบอยู่ การดาเนินงานให้มีการวิเคราะห์
ข้ อ มู ล ล ง ใ น ร ะ เ บี ย น ส ะ ส ม แ ล้ ว เ ก็ บ ไ ว้ เ ป็ น ร ะ บ บ ส ะ ด ว ก ใ น ก า ร ใ ช้ ท้ั ง ค อ ย ติ ด ต า ม ผ ล
การปฏบิ ัติงานของผู้รบั ผิดชอบอยา่ งตอ่ เนอื่ ง

นอกจากน้ี สมคิด บุญมา (2552, 29) ได้กล่าวว่า การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล
หมายถึง การรู้จกั ขอ้ มลู ท่ีจาเป็นเกี่ยวกับตัวนักเรียนที่จะช่วยให้ครูที่ปรึกษา ได้รู้จักนักเรียนดีขึ้น นักเรียน
แตล่ ะคนทมี่ ีพ้นื ฐานความเป็นมาของชีวิตท่ีต่างกัน มีพฤติกรรมหลายรูปแบบท้ังด้านบวกและด้านลบ การ
รู้จักข้อมูลท่ีจาเป็นจึงเปน็ สง่ิ ท่สี าคญั

2.2 การคัดกรองนกั เรยี น

สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน(2549,
43-4) กล่าวถึง การคัดกรองนักเรียนว่าเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลท้ังหมดท่ีได้จากการรู้จักนักเรียนเป็น
ร า ย บุ ค ค ล แ ล ะ น า ผ ล ที่ ไ ด้ ม า จ า แ น ก ต า ม เ ก ณ ฑ์ ก า ร คั ด ก ร อ ง ที่ ส ถ า น ศึ ก ษ า ไ ด้ จั ด ท า ข้ึ น
ซ่ึงสถานศกึ ษาควรมกี ารประชุมครูกาหนดเกณฑ์การคัดกรอง เพื่อจัดกลุ่มนักเรียนร่วมกันให้เป็นที่ยอมรับ
ของครูในสถานศึกษาและสอดกล้องกับสภาพความเป็นจริง รวมทั้งให้มีการกาหนดเกณฑ์ว่าความรุนแรง
หรือความถี่เท่าไรจึง จัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือกลุ่มมีปัญหา ท้ังนี้การจัดกลุ่มนักเรียนให้ถือเป็นความลับการ
คัดกรองนกั เรียนจะแบง่ นกั เรยี นเปน็ 3 กลุ่ม

- กลุ่มปกติ หมายถึง นักเรียนท่ีไม่มีพฤติกรรมที่เป็นปัญหาและส่งผลกระทบต่อ
ชีวติ ประจาวนั ของตนเองหรือสังคมสว่ นรวมในดา้ นลบ

- กลุ่มเส่ียง หมายถึง นักเรียนท่ีมีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไปจากปกติ เช่น เก็บตัวแสดงออก
เกินขอบเขต การปรบั ตวั ทางเพศไม่เหมาะสม ทดลองส่ิงเสพตดิ ผลการเรยี นเปล่ยี นแปลงไปในทางลบ

- กลุม่ มีปัญหา หมายถึง นกั เรียนท่ีมีพฤติกรรมที่เป็นปญั หาชดั เจนมผี ลกระทบตอ่ ถึง

ชวี ติ ประจาวันของตนเองหรือสงั คมส่วนรวมในด้านลบ

2.3 การสง่ เสรมิ นักเรยี น

กรมสุขภาพจิต (2551, 15) กล่าวถึงเก่ียวกับความสาคัญของการส่งเสริมนักเรียนว่าเป็น
การสนับสนุนให้นักเรียนทุกคนที่อยู่ในการดูแลของครูท่ีปรึกษาไม่จะเป็นนักเรียนกลุ่มปกติหรือกลุ่มสี่ยง
และกลุ่มมีปัญหาให้มีคุณภาพมากข้ึน มีความภูมิใจในตนเองในด้านต่างๆ ซ่ึงจะช่วยป้องกัน
มิให้นักเรียนท่ีอยู่ในกลุ่มปกติ กลายเป็นนักเรียนกลุ่มเสี่ยงและกลุ่มมีปัญหาและเป็นการช่วยให้นักเรียน
กลุ่มเส่ียงและกลุ่มมีปัญหากลับมาเป็นนักเรียนกลุ่มปกติและมีคุณภาพตามที่โรงเรียนหรือชุมชนคาดหวัง
ตอ่ ไปวิธีการและเครอื่ งมอื เพ่อื การส่งเสริมนักเรียนการส่งเสริมนักเรียนมีหลายกิจกรรมท่ีโรงเรียนสามารถ
พจิ ารณาดาเนนิ งานได้ แต่มีกจิ กรรมหลักสาคญั ท่ีโรงเรยี นตอ้ งดาเนินงาน ได้แก่

2.3.1 การจัดกิจกรรมโฮมรูม (Homeroom) เป็นกิจกรรมที่ดาเนินงานเพ่ือส่งเสริม
นักเรียนเป็นรายบุคคลหรือเป็นกลุ่มก็ได้ซึ่งสถานที่ที่ใช้จัดกิจกรรมโฮมรูม อาจเป็นที่ห้องเรียนหรือนอก
ห้องเรยี นใหม้ ีบรรยากาศเสมือนครทู ีป่ รึกษาและนักเรยี นเป็นด่งั สมาชกิ ในครอบครัว

2.3.2 การจัดประชุมผู้ปกครองชั้นเรียน (Classroom Meeting) การพบปะกันระหว่าง
ครทู ่ีปรึกษากับผูป้ กครองนักเรียนทีค่ รูทป่ี รกึ ษาดแู ลอยู่ถอื ว่าเปน็ การสร้างความสมั พันธ์อันดีตอ่ กนั และร่วมมือ
กนั ดูแลชว่ ยเหลอื นกั เรยี นระหวา่ งบา้ น โรงเรยี นและผู้ปกครองดว้ ยกนั การประชมุ ผูป้ กครองดงั กล่าวจะทา
ให้นักเรียนได้รับความเอาใจใส่ดูแลจากผู้ปกครองมากข้ึน ท้ังการส่งเสริมให้นักเรียนมีคุณภาพมี
ความสามารถยิง่ ขนึ้ หรือการใหค้ วามรว่ มมอื กบั ทางโรงเรียนในการปอ้ งกนั หรือแก้ไขปัญหาของนกั เรียน

สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา สานักคณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ (2552, 20-21) กล่าววา่ การส่งเสริมนักเรียนเป็นการสนับสนุนให้นักเรียนทุกคน ไม่
ว่าจะเป็นนักเรียนกลุ่มปกติหรือกลุ่มเส่ียงหรือมีปัญหา กลุ่มมีความสามารถพิเศษให้มีคุณภาพเพ่ิมข้ึน ได้
พัฒนาเต็มศักยภาพ มีความภูมิใจในตนเองในด้านต่าง ๆ ซ่ึงจะช่วยป้องกันมิให้นักเรียนที่อยู่ในกลุ่มปกติ
และกลุ่มพิเศษกลายเป็นกลุ่มส่ียงหรือกลุ่มมีปัญหาและเป็นการช่วยให้นักเรียนกลุ่มส่ียงหรือกลุ่มมีปัญหา
กลับมาเป็นนักเรียนกลุ่มปกติ และมีคุณภาพตามมาตรฐานท่ีโรงเรียนหรือชุมชนคาดหวัง การส่งเสริม
นักเรียนมีหลายกิจกรรมท่ีโรงเรียนสามารถพิจารณาดาเนินงานได้แต่มีกิจกรรมหลักสาคัญที่โรงเรียนต้อง
ดาเนินงาน ได้แก่

1. การจดั กจิ กรรมโฮมรมู

2. การเย่ียมบ้าน

3. การจัดประชมุ ผปู้ กครองในช้นั เรยี น (Classroom Meeting)

4. การจัดกจิ กรรมสรา้ งเสริมทักษะการดารงชวี ิตและกจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น

2.4 การปอ้ งกันและแกป้ ัญหา

กรมวิชาการ (2546, 18-27) กล่าวถึง การให้คาปรึกษาในยุคแห่งสังคมท่ีซับซ้อนและ
สบั สน เยาวชนมคี วามเปราะบางทางอารมณ์ บทบาทในการให้คาปรึกษาถือเป็นบทบาทหน้าท่ีและภารกิจ
ที่มีความสาคัญของการทาหน้าที่ครูประจาช้ันและครูท่ีปรึกษา ท้ังการให้คาปรึกษาอย่างเป็นทางการและ
การให้คาปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการ เรื่องเล็กๆ น้อย ๆ โดยทาไปองค์ความรู้เก่ียวกับการให้คาปรึกษา
ตลอดจนเทคนิควิธีการที่การพิจารณาและคานึงถึงมีหลายประการ ดังนี้การให้คาปรึกษาคือ บทบาท
หน้าที่และกระบวนการหนึ่งที่ครูประจาช้ันและครูท่ีปรึกษาจะสามารถช่วยเหลือผู้เรียนให้สมารถรู้จัก
เข้าใจ ยอมรับตนเองและมองเห็นปัญหาของตนเองจนสามารถตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดว้ ยตนเอง สามารถวางแผนการในอนาคตได้

กรมสุขภาพจิต (2551, 18) กล่าวว่า วิธีการและเครื่องมือเพื่อการป้องกันและแก้ไข
ปัญหา โดยการให้การปรึกษาเบ้ืองต้นกับนักเรียนเป็นการช่วยเหลือ ผ่อนคลายปัญหาให้น้อยลง
ท้ังด้านความรู้สึก ความคิด และการปฏิบัติตนของนักเรียนในทางท่ีไม่ถูกต้อง โดยมุ่งหวังให้นักเ รียน
มีการเปล่ียนแปลงพฤติกรมไปในทางท่ีดีงามหรือพึงประสงค์ ปัจจัยสาคัญที่ช่วยให้การปรึกษาเบื้องต้นมี
ประสทิ ธิภาพในการชว่ ยเหลือนกั เรยี น ครทู ี่ปรกึ ษาการมีความรู้และทกั ษะพ้นื ฐาน ดังน้ี

1. จติ วิทยาวัยรนุ่

2. ความตอ้ งการพื้นฐานของมนุษย์ทงั้ ร่างกายและจติ ใจ

3. กระบวนการและทักษะการปรึกษาเบ้ืองต้นที่สาคัญๆ คือ การสร้างสัมพันธภาพโดย
การใชค้ าถาม การรับฟังทงั้ เนอื้ หาและความร้สู กึ

2.5 การสง่ ตอ่

การปอ้ งกันและแก้ไขปญั หาของนกั เรยี นในบางคร้งั ครูท่ปี รึกมาอาจพบหรือเผชิญกับปัญหา
ท่ีไม่สามารถแก้ไขได้โดยลาพัง ก็ควรดาเนินงานต่อไปยังผู้ท่ีเชี่ยวชาญเก่ียวกับด้านต่อไป ดังที่ กรม
สุขภาพจิต (2551, 21) ได้สรุปไว้ว่า ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาของนักเรียน โดยครูที่ปรึกษาตาม
กระบวนการทีก่ ลา่ วมานนั้ อาจมีบางกรณีทป่ี ัญหาทคี่ วามยากต่อการช่วยเหลือหรือช่วยเหลือแล้วนักเรียน
มีพฤติกรรมไม่ดีข้ึนก็ควรส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านต่อไป เพื่อให้ปัญหาของนักเรียนได้รับการ
ช่วยเหลืออย่างถูกทาง และรวดเร็วข้ึน หากปล่อยให้เป็นบทบ าทหน้าท่ีของครูที่ปรึกษา
หรือครูคนใดคนหน่ึงเพียงลาพังฟัง ความยุ่งยากของปัญหาอาจมีมากข้ึนหรือลุกลามจนเป็นปัญหาใหญ่โด
ยากแก้ไข ซ่ึงครูที่ปรึกษาสามารถดาเนินได้ตั้งตกระบวนการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล หรือ
คัดกรองนักเรียนก็ได้ ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับลักษณะของปัญหาของนักเรียนในแต่ละกรณีการส่งต่อนักเรียน แบ่ง
ออกเปน็ ได้แก่

1. การส่งต่อภายใน กรูที่ปรึกษาส่งต่อไปยัดรูท่ีสมารถให้การช่วยเหลือนักเรียนได้ทั้งนี้
ขึน้ อยกู่ บั ลกั ษณะปัญหา เชน่ ครูแนะแนว ครูพยาบาล ครูประจาวิชาหรอื ฝ่ายปกกรอง เปน็ ดั้น

2. การส่งต่อภายนอก ครูแนะแนวหรือฝ่ายปกครองเป็นผู้ดาเนินงานส่งต่อไปยัง
เชยี่ วชาญภายนอก

3. วินัยเชิงบวก

การสร้างวินัยเชิงบวกนัน้ มคี วามแตกตา่ งจากการลงโทษปกติ เพราะการลงโทษโดยทั่วไปนั้น เป็น
การบังคับให้หยุดพฤติกรรมจากภายนอก ซ่ึงสามารถหยุดพฤติกรรมท่ีไม่พึงประสงค์ของเด็กได้ทันที แต่ไม่
อาจจะทาใหเ้ ด็กสานึกได้ด้วยตัวเอง และยิ่งลงโทษมากเท่าไหร่การแสดงพฤติกรรมต่อต้านของเด็กก็มีมาก
ข้ึนเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากการสร้างวินับเชิงบวกที่เน้นการพูดคุยปรับความเข้าใจระหว่างกัน เพ่ือหาทาง
แก้ปัญหาในพฤตกิ รรมท่ไี มพ่ ึงประสงคข์ องเดก็ ถึงแมว้ า่ วิธีนี้อาจต้องใช้เวลาในการปรับพฤติกรรมนานกว่า
วธิ แี รก แต่ถ้าสามารถทาใหส้ าเร็จ จะทาให้เด็กมีวินัยจากใจของตัวเองและจะเป็นผลท่ีดีต่อเด็กไปในระยะ
ยาว

3.1 ความหมายวินัยเชงิ บวก
สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2552, 1-4) นิยามของการสร้างวินัยการสร้างวินัย

มักเปน็ คาทีใ่ ชก้ นั มาอยา่ งผิด ๆ โดยเอาไปสับสนกับการลงโทษ สาหรบั ครหู ลายคนคาวา่ สรา้ งวินัย คือการ
ลงโทษ การสร้างวินัย คือ การสอนหรือฝึกคนให้เชื่อฟังกฎระเบียบหรือแนวทางการปฏิบัติตนทั้งในระยะ
ส้ันและระยะยาว ในขณะท่ีการลงโทษมุ่งท่ีจะควบคุมพฤติกรรมของเด็ก การสร้างวินัยจะมุ่งพัฒนา
พฤตกิ รรมมากกวา่ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในด้าน การมีความประพฤตทิ เี่ หมาะสม ซึ่งหมายถึงการท่ีครูจะสอน
เด็กให้รู้จักควบคุมตนเอง และเช่ือมั่นในตนเอง โดยน้ันหนักที่สั่งซ่ึงต้องการให้เด็กเรียนรู้ตามระดับ
ความสามารถของเด็ก เป็นการสร้างรากฐานให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างสมดุลไปสู่ความกลมกลืนกับ
ตนเองและคนอื่น ๆ เป้าหมายสูงสุดของการสร้างวินัยก็คือ ให้เด็กเข้าใจพฤติกรรมของตนเอง ริเริ่มทาส่ิง
ต่าง ๆ ด้วยตัวเองรับผิดชอบต่อส่ิงท่ีตนเองเลือกทาและเคารพตนเองและผู้อื่นกล่าวอีกนัยหน่ึงก็คือเป็น
การปลูกฝังกระบวนการเกดิ และพฤติกรรมเชิงบวกท่ีอาจมผี ลไปตลอดชวี ติ ของนักเรียน

3.2 การสรา้ งวนิ ัยเชิงบวก

เด็กจาเป็นต้องได้รับการอบรมส่ังสอนเพ่ือให้เข้าใจและปฏิบัติตามระเบียบของสังคม แต่ไม่
มคี วามจาเป็นอะไรท่จี ะตอ้ งเฆี่ยนตีหรือทารุณทาร้ายเด็ก เพราะจะเกิดความเสียหายต่อเด็กเป็นอย่างมาก
หลักฐานจากการวิจัยแสดงให้เห็นว่าเด็กท้ังหญิงและชายจะตอบสนองต่อวิธีการเชิงบวกได้ดีกว่าซ่ึงหมาย
รวมถึงการต่อรอง และการสร้างระบบการใหร้ างวลั มากกว่าการลงโทษด้วยการทาร้ายร่างกายหรือใช้วาจา
ทารา้ ยจติ ใจ

3.2.1 หลกั 7 ประการของการสร้างวินยั เชงิ บวก

1. เคารพศกั ดศ์ิ รีของเดก็

2. พยายามพฒั นาพฤตกิ รรมท่ีพงึ ประสงค์ การมวี นิ ัย และบคุ ลิกลักษณะทด่ี ี

3. พยายามใหเ้ ดก็ มีส่วนร่วมมากท่สี ุด

4. คานงึ ถึงความต้องการทางพฒั นาการและคณุ ภาพชีวติ ของเด็ก

5. คานงึ ถึงแรงจงู ใจและโลกทัศน์ของเด็ก

6. พยายามใหเ้ กิดความยุตธิ รรม เทา่ เทียมกัน และ ไมเ่ ลือกปฏบิ ตั ิ

7. เสรมิ สรา้ งความสามัคคกี ลมเกลยี วในกลมุ่

3.2.2 ขน้ั ตอนของการสร้างวินยั เชิงบวก

ในขณะที่การลงโทษใช้เพียงพฤติกรรมใดพฤติกรรมหน่ึง เพียงอย่างเดียวแต่การ
สร้างวินัยเชิงบวกเป็นกระบวนการ 4 ข้ันตอน ที่แสดงให้เห็นการรับรู้และให้รางวัลพฤติกรรมท่ีพึง
ปรารถนาในลักษณะต่อไปน้ี

1. มกี ารบรรยายถึงพฤติกรรมท่ีเหมาะสม เช่น "ตอนน้ีครูขอให้ทุกคนเงียบก่อน
นะ"

2. มีการให้เหตผุ ลทีช่ ดั เจน เช่น "เราจะเรมิ่ เรียนคณติ ศาสตร์บทใหม่แล้ว ทุกคน
ต้องต้ังใจฟังนะ" ซ่งึ หมายความวา่ การเงียบโดยเร็วเป็นการเคารพสิทธิผู้อ่ืน เป็นตัวอย่างของการปฏิบัติต่อ
ผอู้ ่ืนเหมอื นกบั ทเ่ี ราอยากให้เขาปฏิบัตติ ่อเรา

3. ขอให้นักเรียนแสดงอาการรับรู้ เช่น "เธอเห็นรึยังว่าทาไมการเงียบก่อนเร่ิม
เรยี นจึงเปน็ สงิ่ สาคัญ" แล้วคอ่ ยให้นกั เรยี นแสดงอาการรบั ร้แู ละเหน็ ชอบด้วยกอ่ นทาอยา่ งอืน่ ต่อไป

4. มีการให้รางวัลหรือแสดงความช่ืนชมต่อพฤติกรรมท่ีเหมาะสมเช่น โดยการ
สบตา พยักหน้า ย้ิมหรือให้เวลาพักเพิ่ม การให้คะแนนเพิ่ม การแสดงความช่ืนชมในความสาเร็จของ
นกั เรียนต่อหนา้ ช้นั

ครูท่ีใช้การสร้างวินัยเชิงบวกจะเช่ือมั่นในความสามารถของนักเรียนและส่ือให้รู้ถึง ความ
อบอุ่น ห่วงใยและเคารพในศักด์ิศรีของนักเรียน เมื่อครูมีความมุ่งมั่นที่จะใส่ใจ คอยสังเกตนั กเรียนและ
ตอบสนองในลักษณะที่เป็นการสนับสนุนพฤติกรรมเชิงบวก นักเรียนก็จะเริ่มมีความรับผิดชอบต่อ
พฤตกิ รรมของตนเองมากขน้ึ และจะลดโอกาสที่จะมีพฤติกรรมท่ีไม่พึงปรารถนาให้นอ้ ยลง

4. การสนทนากลุ่ม (Focus Group)

รัตนะ บัวสนธ์ (2552) กล่าวถึง การสนทนากลุ่มไม่ใช่การสัมภาษณ์กลุ่ม แม้ว่าลักษณะการดา
เนินงานจะอาศัยการสัมภาษณ์พูดคุยระหว่างนักวิจัยกับกลุ่มบุคคลก็ตาม โดยปรากฏความแตกต่าง
กล่าวคือ ประการที่หน่ึง การสัมภาษณ์กลุ่มจะเป็นการซักถามบุคคลต่างๆในกลุ่มตามประเด็นที่นักวิจัย
กาหนด โดยมงุ่ ใหบ้ คุ คลโตต้ อบ มปี ฏิสัมพันธก์ บั นกั วิจัยเป็นหลักโดยตรง การสัมภาษณ์กลุ่มจะอาศัยความ
คดิ เห็นจากสมาชกิ ของกลมุ่ ให้รว่ มกันตอบและตรวจสอบซงึ่ กนั และกันตามประเดน็ คาถามของ ผู้สัมภาษณ์
ประการทีส่ องสาหรบั การสนทนากลุ่ม กลุ่มบุคคลผู้เข้าร่วมสนทนาจะเป็นกลุ่มบุคคลที่ นักวิจัยได้คัดเลือก

กาหนดให้เข้าร่วม โดยพิจารณาตามคุณสมบัติต่างๆแล้วกาหนดให้บุคคลเหล่าน้ีมี ปฏิสัมพันธ์กันให้มาก
ท่ี สุ ด คื อ มุ่ ง ใ ห้ บุ ค ค ล ใ น ก ลุ่ ม ไ ด้ มี ก า ร อ ภิ ป ร า ย โ ต้ แ ย้ ง กั น ป ร ะ ก า ร ท่ี ส า ม
การสนทนากลุ่มจะใชร้ ะยะเวลาในการเก็บข้อมูลไม่ยาวนานเหมือนการสัมภาษณ์กลุ่ม การสนทนากลุ่มจะ
ใช่ช่วงเวลาทส่ี น้ั นกว่า โดยใช้เฉพาะการเก็บข้อมูลตามประเดน็ ทตี่ อ้ งการและเมื่อไดคาตอบแลว้ กจ็ ะยุติ

ชาย โพธิสิตา (2547) กล่าวถึงการสัมภาษณ์กลุ่ม คือ การมุ่งหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเร่ืองท่ี
นักวิจัยต้องการ ซ่ึงอาจเป็นข้อมูลเชิงปริมาณหรือเชิงคุณภาพ เช่น การสัมภาษณ์กลุ่มผู้นาชุมชนพร้อมๆ
กันหลายคน ท้ังนี้เพื่อรวบรวมข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับชุมชนเน้นๆในเร่ืองที่เกี่ยวกับประชากร เศรษฐกิจ
การศกึ ษาและ สุขอนามัยของคนในชุมชนโดยรวม เป็นต้น โดยการสัมภาษณ์กลุ่มเช่นนี้ ผู้สัมภาษณ์มักใช้
แบบสอบถามทีม่ ีคา่ คาถามมีปลายเปิดและปลายปิด แต่การสนทนากลุ่มเป็นการอภิปรายมากกว่าจะเป็น
การสมั ภาษณ์

อาภา ยังประดิษฐ (2552) กล่าวว่า การสนทนากลุ่มจะต้องมีสมาชิกในกลุ่มไม่ควรเกิน 12 คน
ลักษณะของสมาชิกเป็นผู้ที่มีข้อมูล มีประสบการณ์ในเร่ืองน้ันๆเป็นอย่างดีโดยในกลุ่มควรมีลักษณะของ
บุคลากรท่ีเป็นกลุ่มคน ลักษณะเดียวกัน จริยธรรมการวิจัย ผู้วิจัยจะต้องมีมาตรการรักษาความลับ เช่น
ปรากฏเฉพาะแต่ การบันทึกเสียง และการเผยถึงข้อมูลส่วนบุคคลเท่าท่ีจาเป็นและได้รับอนุญาตเท่านั้น
รวมท้ังการลงนามในหนงั สือแสดงเจตนายนิ ยอมรว่ มการวจิ ัย อีกทัง้ ผูว้ จิ ัย เปน็ ต้องปฏิบัติตามคามั่นสัญญา
อยา่ งเครง่ ครัด

สรุปได้ว่าการสนทนากลุ่ม คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการสนทนาของผู้ให้ข้อมูล ซึ่งเป็น
บุคคลท่ีสามารถให้คาตอบในประเด็นท่ีต้องการศึกษาได้ โดยจัดให้มีกลุ่มสนทนาประมาณ 6-12 คน ซ่ึง
กลุ่มที่จะมีลักษณะโต้ตอบโต้แย้งกันดีท่ีสุดคือ 7-8 คน และจะต้องมีดาเนินการสนทนา(Moderator) เป็นผู้
คอยจุดประเด็นในการสนทนา เพ่ือชักจูงให้กลุ่มเกิดแนวคิดและแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นหรือแนว
ทางการสนทนาอย่างกว้างขวางละเอยี ดลกึ ซึง้

5. สภาพปจั จบุ ันและบริบทของโรงเรียนชลกันยานกุ ูล

5.1 ข้อมูลพ้นื ฐานของโรงเรียน

โรงเรียนแห่งหน่ึงในเขตอาเภอเมืองชลบุรี เป็นโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ ต้ังอยู่เลขที่ 31
ถนนตาหนักน้า ตาบลบางปลาสร้อย อาเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี สังกัดสานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษา
มัธยมศึกษาเขต 18 รหัสไปรษณีย์ 20000 โทรศัพท์ 0-3828-2559 และ 0-3828-512รหัสไปรษณีย์
285369 หรือโทรสาร 0-3827-7122 อีเมล์ [email protected] เว็บไซต์
http://www.chonkanya.ac.th เปิดสอนระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงระดับช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6
มแี ผนการจัดชนั้ เรียน 17-17-17 โดยตง้ั อยูบ่ นเน้ือที่ 27 ไร่ 2 งาน 46 ตารางวา ในเขตพื้นที่บริการอาเภอ
เมอื งชลบรุ ี

5.2 วิสัยทัศน์
โรงเรียนมุ่งเน้นการจัดการเรียนการสอนท่ีม่งมาตรฐานสากล ให้นักเรียนใช้ชีวิตบนพ้ืนฐาน

ของคุณธรรม ตามหลักเศรษฐกิจพอเพยี ง ร่วมกนั พฒั นาสิง่ แวดลอ้ มและพรอ้ มก้าวเขา้ สปู่ ระชาคมโลก
5.3 พันธกจิ
1. สง่ เสรมิ การบริหารจัดการดว้ ยระบบคุณภาพและการจัดการเรยี นการสอนเทียบเคียง

มาตรฐานสากล
2. ส่งเสริมสมรรถนะหลัก คุณลักษณะที่พึงประสงค์และค่านิยมหลัก 12 ประการ

อยา่ งเป็นรูปธรรม
3. ส่งเสรมิ การจัดกิจกรรมเพื่อสุขภาพกายและสุขภาพจติ ท่ีดี
4. ส่งเสริมบุคลากรให้มีการวิจัยเพ่อื นาขอ้ มูลสารสนเทศมาใชใ้ นการพัฒนา
5. พัฒนาผลสัมฤทธิท์ างการเรยี นให้สงู ขึ้น
6. พฒั นาระบบดูแลช่วยเหลอื นักเรียนอยา่ งเปน็ รูปธรรม
7. สง่ เสรมิ พฒั นาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศอย่างมคี ุณภาพ
8. ส่งเสริมการอนุรกั ษส์ ิง่ แวดลอ้ มและประหยดั พลงั งาน
9. เตรียมความพรอ้ มเขา้ สูป่ ระชาคมอาเซยี นและประชาคมโลก
10. แสวงหาความร่วมมือเครือข่ายคู่พัฒนา (MOU) กับสถาบันการศึกษาในประเทศและ

ต่างประเทศ
5.4 เปา้ ประสงค์
1. โรงเรียนมีการบริหารจัดการด้วยระบบคุณภาพและจัดการเรียนการสอนเทียบเคียง

มาตรฐานสากล
2. นักเรียนมีคุณธรรม จริยธรรม มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทยและยึดถือปฏิบัติ

ในการดาเนินชีวิต
3. บคุ ลากรมสี ุขภาพ พลานามัยทแี่ ขง็ แรงสมวยั มจี ิตใจร่าเริงแจม่ ใส ปลอดจากส่ิงเสพติด
4. ครทู กุ คนนาผลจากการวจิ ัยมาใช้ในการพฒั นาการจัดการเรยี นรู้
5. นักเรยี นมผี ลสัมฤทธ์ิทางการเรียนและผลการทดสอบทางการศึกษาแหง่ ชาติ (O-NET) สูงข้ึน
6. นกั เรยี นเป็นคนดี เก่ง และมที กั ษะในการดารงชวี ิต
7. มีเทคโนโลยีทางการศึกษาอย่างเพียงพอ บุคลากรสามารถผลิตและใช้นวัตกรรม

ในการเรยี นการสอนอย่างมีประสทิ ธภิ าพและคุม้ ค่า
8. บุคลากรรักษาสิ่งแวดลอ้ ม ประหยัดน้า ไฟฟ้า และใชท้ รพั ยากรอย่างคุ้มค่า
9. มีการจัดหลักสูตรอาเซียนศึกษาจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจ

สังคมและวัฒนธรรมอาเซียน
10. มีเครือขา่ ยความร่วมมอื ทางวชิ าการระดับประถมศกึ ษา มัธยมศึกษา และอุดมศึกษาทั้ง

ในประเทศและต่างประเทศ
5.5 ประวตั ิโรงเรยี น
โรงเรียนชลกันยานุกูล สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 18 สานักงาน

คณะกรรมการการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธิการ มีเนื้อท่ีจานวนรวม 27 ไร่ 2 งาน 46 ตารางวา
เปิดสอนต้ังแต่ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 1 ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีเขตพื้นท่ีบริการคือ เทศบาล

เมอื งชลบรุ ี ได้แก่ ตาบลบางปลาสร้อย ตาบลมะขามหย่ง ตาบลบ้านโขด ตาบลบ้านสวน (หมู่ 2, 3, 4, 5, 8)
ตาบลเสม็ด (หมู่ 1, 2, 3) ตาบลหว้ ยกะปิ (หมู่ 1, 3) และตาบลหนองข้างคอก (หมู่ 1, 4)โรงเรียนชลกันยานุกูล
ก่อตั้งเม่ือปี พ.ศ. 2458 โดยพระยาปราศรัยสุรเดช ข้าหลวงประจาจังหวัดชลบุรี เปิดการเรียนการสอน
เป็นทางการเมื่อปี พ.ศ. 2460 โดยย้ายนักเรียนจากโรงเรียนพินิจบูรพากร (วัดต้นสน) และโรงเรียนอุดม
พิทยา (วัดกาแพง) มาเรียน โดยมีนายชม ชมสุนทรี เป็นครูใหญ่คนแรก ใช้ชื่อว่า “โรงเรียนประจาจังหวัด
ชลบุรี” เปดิ สอนถงึ ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 6 แบบสหศกึ ษา

ปี พ.ศ. 2474 กระทรวงธรรมการ มีคาส่ังให้แยกนักเรียนหญิง-ชาย เป็นคนละโรงเรียน ทาง
ฝ่ายโรงเรียนหญิงมีนางสาวอุ่นจิต ติรัตนะ เป็นครูใหญ่ และสถาปนาเป็นโรงเรียนชลกันยานุกูล เมื่อวันท่ี
10 กันยายน พ.ศ. 2479 นบั ตงั้ แต่ก่อตงั้ โรงเรียนถึงปจั จบุ นั โดยเปิดสอนต้ังแต่ระดับชั้นมัธยมศึกษา ปีท่ี 1
ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาชลบุรี เขต 1 กระทรวงศึกษาธิการ เป็น
โรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น เป็นนักเรียนหญิงล้วนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอน
ปลาย เป็นนกั เรยี นชายและหญิงรวมกัน

ปัจจุบันโรงเรียนชลกันยานุกูล มีอาคารเรียน 8 หลัง หอประชุม 1 หลัง อาคารพลศึกษา 1
หลัง อาคารอเนกประสงค์วิทยาการ 1 หลัง เรือนเกียรติยศชลกันยา 1 หลัง เรือนไทยกลางน้า 2 หลัง มี
มลู นธิ เิ พ่อื การศกึ ษาจานวนท้งั ส้ิน 19 มูลนิธิ และ 3 กองทุน โรงเรียนดาเนินการจัดการเรียนการสอนเป็น
ที่ยอมรับของชุมชน จนได้รับรางวัลโรงเรียนพระราชทานขนาดใหญ่พิเศษ 6 คร้ัง เม่ือปี พ.ศ. 2525,
2532, 2542, 2548, 2552 และ 2556 ได้รับรางวลั เกยี รติบัตรทองคา จากการท่ีเป็นโรงเรียนท่ีมีระบบการ
จัดการศึกษามีคุณภาพยอดเยี่ยมจนได้รับรางวัลพระราชทาน 3 คร้ัง ภายใน 10 ปี ได้รับคัดเลือกเป็น
โรงเรียนต้นแบบการบริหารจัดการด้วยระบบคุณภาพของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพื้นฐาน
(OBECQA) รุ่นท่ี 1 โรงเรียนปฏิรูปการศึกษาดีเด่น โรงเรียนต้นแบบในการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาข้ัน
พ้ืนฐาน โรงเรียนจัดกิจกรรมรณรงค์ต่อต้านยาเสพติดดีเด่น สถานศึกษาสนับสนุนการใช้ภาษาไทยดีเด่น
รางวลั สถานศึกษาทีม่ มี ารยาทไทยดีเดน่ ระดบั จังหวดั ของสานกั งานวฒั นธรรม จงั หวดั ชลบุรี

5.6 หลกั สูตรและกระบวนการจดั การเรียนการสอน
โรงเรียนจัดหลักสูตรเป็นไปตามคุณลักษณะเด่นของโรงเรียน ได้แก่ การจัดหลักสูตรที่

สามารถตอบสนองความต้องการของผู้เรียน เสริมสร้างความสามารถเฉพาะได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นท่ี
ยอมรับของผู้ปกครอง ได้แก่ โปรแกรมการเรียนท่ีเสริมความสามารถทางวิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์
เสรมิ สร้างความสามารถทางด้านภาษา เสริมสร้างความสามารถทางการปฏิบัติวิชาชีพความพร้อมต่อการ
เปล่ียนแปลงและการเรียนรู้ตลอดชีวิต และคุณลักษณะทั่วไป คือ มิติด้านความรู้ทักษะและทัศนคติ ทาให้
นักเรียนสามารถเข้าศึกษาต่อยังสถาบันอุดมศึกษาได้ทุกคน โดยการปรับปรุงหลักสูตรจะคานึงถึง
ความก้าวหน้าทางการเรียนในหลักสูตรการเรียนวิชาท่ีเก่ียวข้องความต้องการของตลาดแรงงาน และผู้ใช้
นั ก เ รี ย น ต ล อ ด จ น ส ภ า ว ก า ร ณ์ เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง ข อ ง สั ง ค ม โ ล ก ม า เ ป็ น ข้ อ พิ จ า ร ณ า
ในการปรับปรุงหลักสูตรบริการท่ีส่งเสริมการเรียนรู้และบริการการศึกษาอื่น ๆ เพื่อตอบสนองความ
คาดหวังของกลุ่มผู้เรียน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และการตลาดเพ่ือดึงดูดผู้เรียนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
กลุ่มใหมแ่ ละสร้างโอกาสในการขยายความสัมพนั ธ์กับผูเ้ รียนและผมู้ สี ว่ นได้สว่ นเสียในปัจจุบัน

การค้นหาและการสร้างนวตั กรรมให้กับหลักสตู รโรงเรียนชลกนั ยานกุ ลู มีวธิ ีการค้นหาและ
สร้างนวัตกรรมให้แกห่ ลักสตู รบรกิ ารทสี่ ่งเสรมิ การเรยี นรู้และบริการการศึกษาอ่ืน ๆ ได้แก่

1. การเปิดการรับฟังความคิดเห็นจากการประชุมคณะครูของโรงเรียนเพื่อเปิดรับฟัง
ข้อเสนอแนะในการปรับปรงุ หลกั สูตร

2. การใช้ข้อมูลจาก สพฐ. ในการกาหนดโครงสร้างและข้อกาหนดต่าง ๆ ของหลักสูตร

3. การรับฟังความเห็นจากสถาบันอุดมศึกษา ศิษย์เก่า กรรมการเครือข่ายผู้ปกครองต่อ
ทิศทางของหลักสูตรและการพฒั นาโรงเรียน

4. การฟังขอ้ เสนอแนะจากคณะกรรมการสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานในการปรบั ปรุงหลักสูตร
5. การรับฟังความคิดเห็นของผู้เรียนและผู้ปกครองต่อบริการที่ส่งเสริมการเรียนรู้และ
บริการการศึกษาอ่ืน ๆ เช่นการรับฟังความคิดเห็นของนักเรียนก่อนสาเร็จการศึกษาในวันปัจฉิมนิเทศซึ่ง
นักเรยี นไดส้ ะทอ้ นภาพหลักสตู รรายวิชาครผู ู้สอนและการจัดการเรียนการสอนในโรงเรียนและได้นาข้อมูล
ไปเข้าท่ีประชุม และวางแผนที่จะปรับปรุงส่ิงต่าง ๆ เพื่อให้การเรียนการสอน
มีประสทิ ธิภาพย่งิ ข้นึ
6. การใช้ข้อมูลจากการส่งแบบสอบถามโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ปกครอง ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อ
คุณภาพการจัดการการศึกษา เช่น สรุปผลการประเมินการใช้หลักสูตรสถานศึกษาจากการสอบถามผู้ปกครอง
และผูม้ ีสว่ นได้ส่วนเสีย เป็นต้น ซ่ึงจากวิธีการค้นหาและสร้างนวัตกรรมดังกล่าว หลักสูตรของโรงเรียนชล
กนั ยานกุ ูลมจี ุดเดน่ ท่สี าคัญ ได้แก่

6.1 หลักสูตรท่ีส่งเสริมศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ โดยการเปิดโปรแกรมการเรียน
Gifted โปรแกรมการเรียนวิทย์ คณติ TOP STAR โปรแกรมทางดา้ นภาษา และ English Program

6.2 หลักสูตรท่ีเปิดวิชาเลือกให้นักเรียนได้เลือกเรียนวิชาเสริมสร้างศักยภาพทาง
ความสามารถเฉพาะ เช่น ความสามารถทางศิลปะ ความสามารถทางคหกรรม ความสามารถการจัดสวน
ถาด ความสามารถทางกีฬาและความสามารถทางเทคโนโลยี

นอกจากนี้โรงเรียนชลกันยานุกูล มีหลักสูตรที่เปิดสอนในปีการศึกษา 2562
ในระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนต้น และช้ันมัธยมศึกษาตอนปลายจัดการเรียนการสอนโดยการใช้หลักสูตร
สถานศกึ ษาโรงเรยี นชลกนั ยานุกลู เทียบเคียงมาตรฐานสากล ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 และจัดกลุ่มการเรียนสาหรับนักเรียนท่ีต้องการเพิ่มศักยภาพด้านวิทยาศาสตร์
คณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษ และมีกลุ่มการเรียนหรือจุดเน้นการพัฒนาผู้เรียน
ท่ีต้องการเน้นพิเศษ จัดการเรียนรู้บูรณาการหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เน้นทักษะการคิดจัดการ
เรยี น 8 กลุ่มการเรียน ดังน้ี

1) กลมุ่ การเรียนคณิตศาสตร์-วทิ ยาศาสตร์
2) กลมุ่ การเรยี นคณิตศาสตร์-อังกฤษ
3) กลุ่มการเรียนภาษาองั กฤษ-ภาษาจนี
4) กลุ่มการเรยี นภาษาอังกฤษ-ภาษาญ่ีปนุ่
5) กลุ่มการเรยี นภาษาอังกฤษ-ภาษาฝร่ังเศส
6) กลมุ่ การเรยี นภาษาอังกฤษ-ภาษาเกาหลี
7) กลุ่มการเรียนห้องพิเศษโครงการหลักสูตรภาคภาษาอังกฤษ (English Program)

8) กลุ่มการเรียนห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี (Gifted)

5.7 บริการทสี่ ่งเสริมการเรยี นรูแ้ ละบรกิ ารทางการศกึ ษาของโรงเรียน
โรงเรียนชลกันยานุกูล มีบริการท่ีส่งเสริมการเรียนรู้และบริการทางการศึกษาของโรงเรียน

เพอื่ พฒั นาคณุ ภาพผูเ้ รียนและสนองกลยุทธ์ของโรงเรยี น ดงั น้ี
1) โครงการห้องเรียนพิเศษวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์และเทคโนโลยี (Gifted) ระดับช้ัน

มัธยมศึกษาตอนต้นและระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย เป็นโครงการในความร่วมมือระหว่างสานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน (สพฐ.) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ
(สสวท.) สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
แห่งชาติ (สวทช.) เพอื่ ส่งเสริมผูเ้ รียนทีม่ คี วามสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี
ให้ได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ พร้อมทั้งปลูกฝังให้มีเจตคติทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และมี
ความเป็นนักวิจัยอย่างลึกซ้ึง นักเรียนได้รับการพัฒนาและส่งเสริมกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์เพิ่มพิเศษ
ดาเนนิ การจดั ค่าย (สอวน.)

2) โครงการส่งเสริมวินัย คุณธรรม จริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนชลกันยานุกูลเป็น
โครงการสร้างคุณธรรม จริยธรรมของนักเรียน โดยมีกิจกรรมท่ีให้นักเรียนได้สืบสานความเป็นคนไทยท่ีมี
ศาสนาพุทธเป็นเครื่องเหนี่ยวนาจิตใจและสร้างความรัก ความสามัคคีของนักเรียนในโรงเรียน
ในการส่งเสริมและพฒั นาคุณธรรมจริยธรรมและคุณลกั ษณะที่พึงประสงคใ์ นดา้ นต่าง ๆ

3) โครงการทูบีนัมเบอร์วัน ชลกันยาร่วมใจต้านภัยยาเสพติด เอดส์และอบายมุขเป็น
โครงการท่สี ่งเสริมใหผ้ เู้ รียนรู้จักวิธีในการท่ีจะหลีกเลี่ยงห่างไกลจากยาเสพติด โดยผ่านทากิจกรรมและใช้
เวลาว่างให้เปน็ ประโยชน์ สร้างความตระหนกั ให้เยาวชนหาทางหลีกเลี่ยงจากยาเสพติด

4) โครงการส่งเสริมประชาธิปไตย ซึ่งเป็นโครงการท่ีส่งเสริมให้นักเรียนมีความรู้
ความเข้าใจในการดาเนินการตามระบอบประชาธิปไตย มีความรักมีความภาคภูมิใจในสถาบันของตนเอง
รจู้ กั ทางานร่วมกับผอู้ นื่ ไดอ้ ยา่ งมคี วามสุข และมจี ิตสานึกท่ดี ใี นการทาประโยชน์ตอ่ ส่วนรวม

5) โครงการเสริมสร้างศกั ยภาพการขับเคล่ือนเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อน้อมนาหลักปรัชญา
เศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นหลักโดยสอดแทรกในกระบวนการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้นักเรียนเข้าใจ
ตระหนักและนาไปปฏบิ ตั ใิ นชีวิตประจาวนั

6) ศนู ยอ์ าเซียนจัดต้งั ข้ึนเพือ่ ส่งเสริมการเรียนรูเ้ กีย่ วกับอาเซียน เป็นแหล่งในการค้นคว้า
ข้อมลู เก่ียวกบั อาเซียน ซง่ึ ประกอบไปดว้ ยส่อื สงิ่ พิมพ์ หลกั สูตรอาเซียน กจิ กรรมการจัดการเรียนรู้เกี่ยวกับ
อาเซยี น

7) ศูนย์พัฒนาการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ (ERIC) เป็นศูนย์ประสานงานเครือข่ายของ
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน ในการดาเนินงานตามโครงการต่าง ๆ ที่ได้รับงบประมาณ
เชน่ การจัดการแข่งขนั การพูดภาษาอังกฤษและกิจกรรมอน่ื ๆ

5.8 การพฒั นาบุคลากร
บุคลากรทุกกลุ่มสาระได้รับการส่งเสริมเงินสนับสนุนการพัฒนาความรู้ความสามารถ

ประสบการณ์ และโอกาสความก้าวหน้าทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติ โรงเรียนชลกันยานุกูล
มีระบบและคณะทางานเพื่อส่งเสริมสนับสนุนทุนบุคลากรทุกสายงานด้วยรูปแบบต่าง ๆ เช่น ส่งเสริม

การศึกษาต่อฝึกอบรมดูงาน การทาวิจัยนาเสนอผลงานหรือร่วมประชุมวิชาการการตีพิมพ์เผยแพร่
ผลงานวจิ ัยหรอื รูปแบบอื่น ซงึ่ ผูอ้ านวยการจะเป็นผวู้ นิ จิ ฉยั อนุมตั ิโดยโรงเรยี นมีคณะกรรมการและคณะทา
งานท่ีจะพิจารณาตามความจาเป็นความเหมาะสมตามตาแหน่งงานภาระหน้าที่ที่รับผิดชอบหรือความ
จาเป็นของโรงเรียน โดยมีแนวทางดังนี้ การพัฒนารายบุคคลตามสิทธิเสรีภาพบุคลากร
แต่ละลาดับช้ันหรือตาแหน่งงานจะวิเคราะห์ตนเองว่าขาดทักษะในด้านใดและต้องการรับการพัฒนาด้าน
ใดแล้วจะเสนอขอเข้ารับการพัฒนาในวิธีการและรูปแบบต่าง ๆ โดยการส่งแบบเสนอโครงการเสนอต่อ
ผู้บังคับบัญชาตามลาดับช้ัน และใช้โควตาต่อบุคคลที่โรงเรียนให้การสนับสนุนบุคลากรทั้งสายครูผู้สอน
และสายสนับสนุนการสอน การพัฒนาบคุ คลตามความต้องการขององค์กรโดยทั่วไปจะมีผลในการผลักดัน
และสอดคล้องกับทิศทางของพันธกิจและวิสัยทัศน์ของ องค์กรมี 2 วิธีกล่าว คือ
1) หัวหนา้ กลุ่มสาระต่าง ๆ ได้พจิ ารณาเหน็ ว่าสมควรสง่ บุคลากรเข้ารบั การพัฒนาจะเสนอต่อผู้บริหารเพ่ือ
พิจารณาในการจัดส่ง เช่น การอบรมด้านคอมพิวเตอร์อบรมการใช้อุปกรณ์เครื่องมือต่าง ๆ
2) โรงเรียนพิจารณาเห็นความจาเป็นและกาหนดเป็นโครงการเพื่อพัฒนาทักษะในด้านนั้น ๆ เช่น อบรม
ภาษาองั กฤษสาหรับบุคลากรเพือ่ เตรยี มความพร้อมสาหรับการดาเนนิ งานส่คู วามเป็นนานาชาติ

6. งานวจิ ยั ท่เี กยี่ วขอ้ ง

จิรัฐิพร จีนสายใจ สายสุดา เตียเจริญ (2558) ศึกษาเร่ืองระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน

ในโรงเรียนโสตศึกษา จังหวัดนครปฐม โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือทราบ 1) ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน

ในโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครปฐม 2) ผลการเปรียบเทียบระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียน

โสตศึกษาจังหวัดนครปฐม 3) ข้อเสนอแนะเก่ียวกับการพัฒนาและปรับปรุงระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน

ในโรงเรียนโสตศึกษา จังหวัดนครปฐม กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้บริหาร ครู และผู้ปกครอง โรงเรียนโสตศึกษา

จังหวัดนครปฐม รวมท้ังส้ิน 175 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์

ข้อมูลคือ ค่าความถ่ี ค่าร้อยละ ค่ามัฌชิมเลขคณิต ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน และ

การวิเคราะห์ความแปรปรวน ผลการวิจัยพบว่า 1) ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนโสตศึกษา

จังหวัดนครปฐม โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านพบว่า การดาเนินงานระบบดูแล

ช่วยเหลือนักเรียนอยู่ในระดับมากทุกข้อ โดยเรียงตามค่ามัชฌิมเลขคณิตจากมากไปน้อย ดังน้ี ด้านการ

ส่งเสริม และพัฒนานักเรียน การป้องกันและแก้ไขปัญหา การรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล

การคัดกรองนกั เรยี น และการสง่ ตอ่ นักเรียน ตามลาดบั 2) ผลการเปรยี บเทียบความคิดเห็นเก่ียวกับระบบ

ดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนโสตศึกษาจังหวัดนครปฐม จาแนกตามวุฒิการศึกษาสูงสุด

และตาแหน่งหน้าท่ี ของผ้ตู อบแบบสอบถาม มคี วามคดิ เหน็ ในภาพรวมและรายด้านไม่แตกต่างกัน

บุศรินทร์ ประคามินทร์ และประสาท อิศรปรีดา (2558) การดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือ
นักเรียนในโรงเรียนอาเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาการดาเนินงาน
ระบบดแู ลช่วยเหลอื นักเรยี นในโรงเรียน และ 2) เปรียบเทียบการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
ในโรงเรียนอาเภอธาตุพนม จังหวดั นครพนม จาแนกตามตาแหน่งและขนาดของโรงเรียน ประชากร ได้แก่
ผู้บริหารโรงเรียนและครทู ีป่ รกึ ษา โรงเรียนอาเภอธาตพุ นม จังหวัดนครพนม จานวน 247 คน จาแนกเป็น
ผู้บริหารโรงเรียน จานวน 56 คน และครูที่ปรึกษา จานวน 191 คน กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน

จานวน 34 คน และครูที่ปรึกษา จานวน 11 คน ซ่ึงได้มาโดยวธิ กี ารสมุ่ แบบแบง่ ชัน้ ตามตาแหน่ง เคร่ืองมือ

ทีใ่ ช้เป็นแบบสอบถามมาตราสว่ น ประมาณค่า 5 ระดบั สถิตทิ ใ่ี ชว้ เิ คราะหข์ อ้ มูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย

ส่ ว น เ บ่ี ย ง เ บ น ม า ต ร ฐ า น แ ล ะ ค่ า t-test ผ ล ก า ร วิ จั ย พ บ ว่ า

1) การดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนโดยรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก

โดยดา้ นทม่ี คี ่าเฉลยี่ สูงสดุ ได้แก่ ดา้ นการจัดประชมุ ผ้ปู กครองในช้ันเรียน และด้านที่มีค่าเฉล่ียต่าสุด ได้แก่

การให้คาปรึกษาเบ้ืองต้น และ 2) ผู้บริหารโรงเรียนและครูท่ีปรึกษาที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนท่ีมีขนาด

ต่างกันมีความคิดเห็นโดยรวมแตกต่างกัน อย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .01 โดยครูท่ีปรึกษา

มีการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในโรงเรียนมากกว่าผู้บริหารโรงเรียน เมื่อพิจารณาเป็นราย

ด้าน พบว่า ครูท่ีปรึกษามีการดาเนินงานด้านการจัดกิจกรรมโฮมรูมและด้านการให้คาปรึกษาเบื้องต้น

มากกว่าผบู้ ริหารโรงเรียน เมื่อจาแนกตามขนาดของโรงเรียน โดยรวมแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสาคัญ เม่ือ

พิจารณาเป็นรายด้าน พบว่า ผู้บริหารโรงเรียนและครูที่ปรึกษาในโรงเรียนขนาดกลางและโรงเรียนขนาด

ใหญ่ มีความคิดเห็นต่อการดาเนินงานด้านการจัดกิจกรรมเพ่ือป้องกันและแก้ไขปัญหามากกว่าโรงเรียน

ขนาดเล็ก

ศิริ โชคสกุล (2559) ได้ศึกษาเรื่องการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียน

รัตนโกสิทธิ์ 9 จังหวัดสมุทรปราการ โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือ

นักเรียนโรงเรียนรัตนโกสินทร์ 9 จังหวัดสมุทรปราการ ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้บริหาร และคณะ

ครูในโรงเรียนรัตนโกสินทร์ ฯ จานวน 5 คน เคร่ืองมือที่ใช้ในการเก็บรวบรามข้อมูล เป็นแบบประเมิน

มาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ มีค่าอานาจจาแนกรายข้อ ระหว่าง 0.20-0.73 ความเช่ือมั่นท้ังฉบับ

เท่ากับ 0.9 ผลการวิจัย พบว่า สภาพปัจจุบันของการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียน

รัตนโกสินทร์ 9 จังหวัดสมุทรปราการในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ซ่ึงควรปรับปรุงให้ดีข้ึนตามลาดับถือ

ด้านการคัดกรองนักเรียน ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านการป้องกันปัญหานักเรียน ด้นการ

ส่งเสริมนักเรียน ด้านการส่งต่อนักเรียน และด้านการแก้ไขปัญหานักเรียนสภาพที่ควรจะเป็นของการ

ดาเนินงานระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียน ในภาพรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด ซ่ึงจะต้องพัฒนาต่อไป

ตามลาดับ ด้านการส่งต่อนักเรียน ด้านการแก้ไขปัญหานักเรียน ด้านการป้องกันปัญหานักเรียนด้านการ

ส่งเสริมนักเรียน ด้านการคัดกรองนักเรียน และด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคลดัชนีความต้องการ

จาเป็นในการพัฒนาการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในภาพรวมอยู่ในระดับต้องการพัฒนา

ได้แก่ ด้านการกัดกรองนักเรียน ด้านการป้องกันปัญหานักเรียน ด้านการส่งต่อนักเรียน ด้านการรู้จัก

นักเรียนเป็นรายบุคคล ด้านการส่งเสริมนักเรียน และด้านการแก้ไขปัญหานักเรียนและข้อคิดเห็นและ

ข้ อ เ ส น อ แ น ะ ต่ อ ก า ร พั ฒ น า ก า ร ด า เ นิ น ง า น ร ะ บ บ ดู แ ล ช่ ว ย เ ห ลื อ นั ก เ รี ย น

ลดั ดาวลั ย์ เพชรจันทร์ (2559) ได้ศึกษาเร่ืองปัญหาและแนวทางพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือ

นักเรียนของครูที่ปรึกษาโรงเรียนบ้านปลวกแดง สังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาประถมศึกษาระยอง

เขต 1 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระดับและเปรียบเทียบปัญหาการดาเนินงานตามระบบดูแลช่วยเหลือ

ของครูท่ีปรึกษาโรงเรียนบ้านปลวกแดง สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาระยอง เขต 1

จาแนกตามเพศและประสบการณ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้มาจากการสุ่มแบบแบ่งชั้น

ประกอบด้วย ครูที่ปรึกษา จานวน 38 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจัยเป็นแบบสอบถามแบบมาตราส่วน

ประมาณค่า 5 ระดับ มีผลการวิจัยพบว่า การศึกษาปัญหาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของครูท่ีปรึกษา

โรงเรยี นบ้านปลวกแดง สังกดั สานกั งานเขตพน้ื ทก่ี ารศกึ ษาประถมศกึ ษาระยอง เขต 1 โดยรวมอยู่ในระดับ

ปานกลาง โดยเรียงลาดับจากค่าเฉลย่ี มากไปหาคา่ เฉลีย่ น้อย คือ ด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหานักเรียน
ด้ า น ก า ร ส่ ง ต่ อ นั ก เ รี ย น ต้ น ก า ร ส่ ง เ ส ริ ม พั ฒ น า นั ก เ รี ย น
การรูจ้ กั นกั เรียนเปน็ รายบคุ คลและด้านการคดั กรองนักเรียน

จาเริญ นาคอุไร และเบญจวรรณ ก่ีสุขพันธ์ (2559) ศึกษาเรื่องการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือ
นักเรียน โ รงเรียนเบจมราชาลัยในพระบรมราชนูปถัมภ์ โดยมีวัตถุประสงค์การศึกษา
เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โรงเรียนเบญจมราชาลัยใน
พระบรมราชูปถัมภ์ โดยใชว้ ธิ กี ารวิจัยเชงิ สารวจจากกลมุ่ ตวั อยา่ งทเ่ี ปน็ ครู จานวน 66 คน เคร่ืองมือท่ีใช้ใน
การรวบรวมข้อมูล คือ แบบสอบถาม สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย
สว่ นเบ่ียงเบนมาตรฐาน สถิตทิ ดสอบที การวิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว และการเปรียบเทียบรายคู่
โดยวิธีเซฟเฟ ผลการศึกษาพบว่า 1) การบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียน
ในภาพรวมและรายด้านทุกด้านอยู่ในระดับมาก โดยมีการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในด้านการ
เตรียมและการวางแผนในการดาเนนิ งานเป็นอนั ดับท่หี น่งึ และ 2) ผลการทดสอบสมมติฐาน พบว่า ครูที่มี
อายุต่างกันมีความคิดเห็นต่อการบริหารระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนแตกต่างกั นอย่างมี
นัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนครูที่มีเพศระดับการศึกษา ตาแหน่ง และประสบการณ์ในตาแหน่ง
ต่ า ง กั น มี ค ว า ม คิ ด เ ห็ น ต่ อ ก า ร บ ริ ห า ร ร ะ บ บ ดู แ ล ช่ ว ย เ ห ลื อ นั ก เ รี ย น ไ ม่ แ ต ก ต่ า ง กั น

เฉลิมพงษ์ สุขสมพนารักษ์ (2561) ศึกษาเรื่องการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโรงเรียน
บ้านช่างหม้อ อาเภอแม่สะเรียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาระบบ
ดูแลช่วยเหลือนักเรียน เพ่ือพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนและเพื่อศึกษาความพึงพอใจ
ในการใช้ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนบ้านช่างหม้อ เก็บรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์
ผู้บริหารสถานศึกษา คณะกรรมการสถานศึกษา ครูที่ปรึกษานักเรียนชั้นประถม ศึกษาปีที่ 4-6 สอบถาม
ความพึงพอใจจากผู้ปกครองของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีที่ 4-6 และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4-6
รวมทัง้ สิน้ 59 คน เคร่อื งมอื ท่ใี ช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ แบบสัมภาษณ์และแบบสอบถามความพึงพอใจ
วิ เ ค ร า ะ ห์ ข้ อ มู ล โ ด ย ก า ร ห า ค่ า ร้ อ ย ล ะ ค่ า เ ฉ ล่ี ย ค่ า เ บ่ี ย ง เ บ น ม า ต ร ฐ า น
โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป ผลการวิจัยพบว่า 1) โรงเรียนบ้านช่างหม้อ อาเภอแม่สะเรียง จังหวัด
แม่ฮ่องสอนได้ดาเนินการตามขั้นตอนของระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน แต่ยังมีบางประการที่ยังต้อง
ปรับปรุง ได้แก่ การไม่เข้าไปแก้ไขปัญหาในครอบครัวของนักเรียนอย่างทันท่วงที และการขาดการ
ประสานงานกับผู้ปกครองอย่างต่อเนื่อง 2) ผู้วิจัยได้จัดทาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของโรงเรียนบ้าน
ช่างหม้อ โดยใช้กระบวนการ PDCA และ 3) กลุ่มเป้าหมายมีความพึงพอใจต่อการพัฒนาระบบดูแล
ชว่ ยเหลอื นักเรยี นอยใู่ นระดับดี

วิรากานต์ บุตรพรม (2562) ศึกษาเร่ืองแนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของ
สถานศึกษาสงั กัดสานกั งานเขตพืน้ ทีก่ ารศึกษาเขต 24 โดยมีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัจจุบันและ
สภาพพึงประสงค์ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา สังกัดสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
มัธยมศึกษา เขต 24 และ 2) เพ่ือศึกษาแนวทางพัฒนาระบบดูแล ช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา
ผลการวิจัยพบว่า 1) สภาพปัจจุบันระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา โดยรวมอยู่ในระดับปาน

กลาง สภาพที่พึงประสงค์ ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษาโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก 3) แนว
ทางการพัฒนาระบบช่วยเหลือนักเรียนของสถานศึกษา พบว่า มีแนวทางการพัฒนา 5 ด้าน ได้แก่ (1)
ด้านการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ควรมีเครื่องมือในการใช้ในขั้นตอนการรู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล
อย่างหลากหลายครอบคลุมทุกรายละเอียดพฤติกรรมทุกด้านของนักเรียนได้อย่างถูกต้อง และมีการ
วางแผนจัดการ เวลาในการออกเยี่ยมบ้านนักเรียนให้ครบทุกคน (2) ด้านการคัดกรองนักเรียน ควรมีจัด
อบรมเพ่ือสร้างองค์ ความรู้ตามกระบวนการดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้กับทุกฝ่ายท่ีเก่ียวข้อง เพ่ือเกิด
ค ว า ม รู้ ค ว า ม เ ข้ า ใ จ ใ น ก ร ะ บ ว น ก า ร ท่ี ถู ก ต้ อ ง พ ร้ อ ม ท้ั ง มี ก า ร ใ ช้ เ ค รื่ อ ง มื อ ใ น ก า ร
คัดกรองนักเรียนท่ีหลากหลาย (3) ด้านการส่งเสริมนักเรียนควรมีการจัดงบประมาณเพื่อสนับสนุน
กิจกรรมต่าง ๆ ท่ีสนองความต้องการของนักเรียนได้อย่างหลากหลาย (4) ด้านการป้องกันและแก้ไข
ปัญหาควรจัดกิจกรรมที่มีความหลากหลาย ต่อเนื่องให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเกิดความร่วมมือในการแก้ไข
ปัญหานักเรียนอย่างจริงจัง สร้างความรู้ท่ีถูกต้องและ เพียงพอในการให้ความช่วยเหลือนักเรียนและเพ่ิม
บทบาทหน้าที่ให้ครูท่ีปรึกษาได้ดูแลและแก้ไขปัญหาเบ้ืองต้น สามารถให้คาปรึกษาแก่นักเรียนได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ และ (5) ด้านการส่งต่อควรมีการจัดกิจกรรมเพื่อแก้ไข ปัญหาให้ตรงตามสภาพปัญหา มีการ
ประสานความร่วมมอื จากหน่วยงานภายนอกที่สามารถแก้ไขปญั หาของนักเรยี นจากผู้เช่ียวชาญได้อย่างถูก
วิธี ซ่ึงทั้ง 5 ด้าน จะต้องมีการวางแผนในการดาเนินงาน ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
อย่างเป็นระบบ มีการประชุมช้ีแจงให้ครู และผู้ปกครอง รวมทั้งนักเรียนมีความรู้ความเข้าใจที่ตรงกัน
นาข้อมูลท่ีไดม้ าใชพ้ ฒั นาในการดาเนนิ งานใหม้ ีประสทิ ธภิ าพยง่ิ ขึ้น

ณัฎฐกานต์ ญาติ และวรชัย วิภูปรโคตร (2563) ศึกษาเร่ืองแนวทางการบริหารร ะบบดูแล
ช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษาสังกัดสานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2
โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาแนวทางการบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษาสังกัด
สานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 2 จังหวัดจันทบุรี กลุ่มตัวอย่างคือ ครูผู้สอนใน
โรงเรียนประถมศึกษา จานวน 306 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ แบบสอบถามมาตราส่วนประมาณค่า
5 ระดับ สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย
พบว่า การบริหารงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในสถานศึกษาฯ โดยภาพรวมอยู่ในระดับดีมาก
เรียงลาดับค่าเฉล่ียจากมากไปหาน้อย ดังน้ี ด้านการพัฒนา และส่งเสริมนักเรียน ด้านการจัดการป้องกัน
และแก้ไขปัญหา ด้านการบริหารการคัดกรองนักเรียน ด้านการบริหารการส่งต่อนักเรียน
และด้านการบริหารให้รู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ตามลาดับ แนวทางการพัฒนาการบริหารระบบดูแล
ช่วยเหลอื นกั เรยี นในสถานศึกษา 1) ด้านการบริหารให้รู้จักนักเรียนเป็นรายบุคคล ครูจะต้องรู้จักนักเรียน
เป็นรายบุคคลให้ได้รอ้ ยเปอรเ์ ซ็นต์ 2) ดา้ นการบรหิ ารการคัดกรองนกั เรียน ครูต้องใช้เคร่ืองมือมีมาตรฐาน
มาใชจ้ าแนกคดั กรองนักเรียนออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ และวางแผนในการดาเนินงานกับกลุ่มนักเรียนนั้น ๆ 3)
ด้ า น ก า ร จั ด ก า ร ป้ อ ง กั น แ ล ะ แ ก้ ไ ข ปั ญ ห า ส ถ า น ศึ ก ษ า จ ะ ต้ อ ง ด า เ นิ น กิ จ ก ร ร ม
ท่ีส่งเสริมการป้องกันปัญหาและให้ความรู้ ความเข้าใจกับผู้เรียน และ 4) ด้านการพัฒนาและส่งเสริม
นักเรียน ผู้บริหารจะต้องสนับสนุนการพัฒนา และส่งเสริม นักเรียน ให้เกิดพัฒนาการท่ีเหมาะสมกับวัย และ

เปน็ การตอ่ ยอดส่คู วามเป็นเลิศ และ 5) ด้านการบริหารการส่งต่อนักเรียน สถานศึกษาต้องประสานความ
รว่ มมอื กบั ผูเ้ ชี่ยวชาญและหนว่ ยงานท่ีเก่ยี วขอ้ งเพอื่ มาเขา้ ดูแลชว่ ยเหลือนกั เรยี น

ณัฐพัชร์ ทะไร และคึกฤททธ์ิ ศิลาลาย (2564) ศึกษาเรื่องการศึกษาการดาเนินงานระบบดูแล
ช่วยเหลือนักเรยี นของโรงเรยี นในกล่มุ สหวทิ ยาวังทองหลาง โดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือศึกษาและเปรียบเทียบ
ค ว า ม คิ ด เ ห็ น ข อ ง ค รู ที่ มี ต่ อ ก า ร ด า เ นิ น ง า น ร ะ บ บ ดู แ ล ช่ ว ย เ ห ลื อ นั ก เ รี ย น ข อ ง โ ร ง เ รี ย น
ในกล่มุ สหวิทยาเขตวังทองหลาง สังกดั สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 2 กรุงเทพฯ จานวน
230 คน จาก 4 โรงเรยี น โดยใช้การสมุ่ ตัวอยา่ งอย่างง่าย และเครื่องมือท่ีใช้เป็นแบบสอบถาม มาตราส่วน
ประมาณค่า 5 ระดับ สถิติที่ใช้ คือ ค่าความถ่ี ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าที่และการ
ทดสอบความแปรปรวนทางเดียว เมื่อพบความแตกต่างจึงทดสอบเป็นรายคู่ด้วยวิธีของ Sheffe พบว่า 1)
ครูมีความคิดเห็นเกี่ยวกับสภาพการปฏิบัติของโรงเรียนในการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดย
ภาพรวมและรายด้านอยู่ในระดับมาก เรียงลาดับค่าเฉลี่ยจากมากไปน้อย ได้แก่ ด้านการป้องกันและแก้ไข
ปญั หานักเรียน ดา้ นการร้จู ักนกั เรยี นเป็นรายบุคคล ด้านการส่งเสริมนักเรียน ด้านการส่งต่อนักเรียน และ
ดา้ นการคดั กรองนกั เรยี น ตามลาดบั 2) ผลการเปรยี บเทียบความคิดเห็นของครูท่ีมีระดับการศึกษาต่างกัน
มี ค ว า ม คิ ด เ ห็ น เ กี่ ย ว กั บ ส ภ า พ ก า ร ป ฏิ บั ติ ข อ ง โ ร ง เ รี ย น
ในการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนในภาพรวมและรายด้านแตกต่างกัน และ 3) ผลการ
เปรียบเทียบความคิดเห็นของครูท่ีมีประสบการณ์ทางานต่างกันมีความคิดเห็นเก่ียวกับสภาพการ ปฏิบัติ
ของโรงเรียนในการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน แต่รายด้านพบว่า ด้าน
การคัดกรองนักเรยี นมคี วามคดิ เหน็ แตกตา่ งกนั อย่างมีนยั สาคัญทางสถิตทิ รี่ ะดบั .05

บทท่ี 3
วิธดี าเนนิ การวจิ ัย

การวิจัย เร่ือง แนวทางการพฒั นาระบบดูแลชว่ ยเหลือนกั เรียนโดยใชว้ นิ ยั เชงิ บวกของ
ระดับช้นั มัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรยี นชลกนั ยานุกลู คร้ังน้ี มขี ัน้ ตอนการดาเนินการศึกษาดงั นี้

1. กลมุ่ เป้าหมาย
2. วธิ ีดาเนินการวิจยั
3. เครอื่ งมือท่ีใช้ในการวจิ ัย
4. ขนั้ ตอนการสร้างและทดลองเครือ่ งมือ
5. การเกบ็ รวบรวมข้อมลู การวเิ คราะห์ขอ้ มลู
6. สถิตทิ ่ใี ช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมลู
โดยรายละเอียดแตล่ ะข้ันตอนมีดงั ตอ่ ไปน้ี

กลุ่มเปา้ หมาย

ได้แก่ บุคลากรโรงเรียนชลกันยานุกูลสังกัดสานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษามัธยมศึกษาชลบุรี
ระยอง ปีการศึกษา 2563 ประกอบด้วยผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน คือ ผู้บริหารโรงเรียน
จานวน 2 คน ครูหวั หนา้ ฝ่ายงาน 4 ฝ่าย คือ ดา้ นการบรหิ ารงานวิชาการ ด้านการบรหิ ารงานกิจการนักเรียน ด้าน
การบริหารงานบุคคล และด้านการบริหารท่ัวไป จานวน 4 คน ครูหัวหน้าระดับ จานวน 6 คน ครูกลุ่ม
บริหารงานกิจการนกั เรียน 5 คน ครแู นะแนว 6 คน ตวั แทนนักเรยี น 15 คน รวมทัง้ หมด 42 คน

วธิ ีดาเนินการวจิ ัย

วิธดี าเนนิ การวจิ ยั เปน็ รปู แบบ การวิจยั เชงิ คุณภาพ (Qualitative Research) ผู้วิจัยดาเนินการ
วิจยั 2ขน้ั ตอนดังนี้

ข้ันตอนที่ 1 ศึกษาสภาพปัจจุบันปัญหาการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของระดับช้ัน
มัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนชลกันยานุกูลโดยวิธีการศึกษาเอกสารท่ีเกี่ยวกับปัญหาการดาเนินงาน
ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนชลกันยานุกูลเช่นแผนพัฒนา
แผนปฏิบัติงานประจาปี บันทึกสถิติการทาผิดระเบียบ สรุปรายงานประเมินภายใน(SAR) การสัมภาษณ์
ผู้เกี่ยวข้องเก่ียวกับ สภาพและปัญหา ระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนของระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลาย
โรงเรียนชลกันยานุกูล และการวิเคราะห์ปัจจัย สภาพแวดล้อม(SWOT Analysis)ที่ส่งผลต่อระบบดูแล
ช่วยเหลอื นักเรียนโดยใชว้ นิ ยั เชงิ บวกของระดบั ชั้นมธั ยมศกึ ษาตอนปลายโรงเรียนชลกัลยานุกลู

ข้ันตอนท่ี 2 หาแนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้วินัยเชิงบวกของระดับช้ัน
มัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนชลกันยานุกูล โดยวิธีการสนทนากลุ่ม( Focus Group Research ) เพื่อ
การกาหนด หาแนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนโดยใช้วินัยเชิงบวกของระดับช้ัน

มธั ยมศกึ ษาตอนปลายโรงเรียนชลกัลยานุกูล โดยการสนทนากลุ่มผู้เชี่ยวชาญที่รับผิดชอบและเข้าใจดีใน
ด้านประกันคณุ ภาพการศึกษาของสถานศึกษา ซง่ึ มีขั้นตอนตอ่ ไปนี้

1. การดาเนินการคัดเลือกผ้เู ข้าร่วมสนทนากลมุ่
2. เคร่อื งมือที่ใชใ้ นการสนทนากลมุ่
3. การเก็บรวบรวมข้อมลู
4. การวิเคราะห์ข้อมลู
การกาหนดการพัฒนาแนวทางการพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือนักเรยี นโดยใชว้ ินยั เชงิ บวกของ
ระดับชัน้ มัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนชลกันยานุกลู

1. การคัดเลือกผูเ้ ขา้ ร่วมสนทนากลุ่ม
การคัดเลือกผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่ม เพ่ือกาหนดแนวทางการพฒั นาระบบดูแลช่วยเหลือ

นักเรียนโดยใช้วินยั เชงิ บวกของระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาตอนปลายโรงเรียนชลกันยานกุ ูล เพ่ือให้ได้ขอ้ มลู ที่
เปน็ ประโยชน์สงู สุด ผวู้ ิจัยใชห้ ลกั การเลือกผเู้ ข้าร่วมสนทนาท่มี ีภมู หิ ลังคล้ายคลึงกนั ในการดาเนินงาน
ระบบดแู ลชว่ ยเหลอื นกั เรียน โดยตรง

การคดั เลือกผเู้ ขา้ ร่วมสนทนากลุม่ แบบเจาะจง(Purposive sampling) จานวน 3 กลุ่ม กลุ่มละ
2 คน ได้แก่ กลมุ่ ผเู้ ชีย่ วชาญดา้ นการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน กลุ่มผู้บริหารการศึกษาและ
กลุ่มอาจารย์ผู้สอน โดยกาหนดเกณฑ์การพิจารณาคุณสมบัติข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อ ดังนี้ (1) ทางาน
ด้านการศึกษาและ/หรือ(2) มีประสบการณ์ทางานด้านท่ีเช่ียวชาญอย่างน้อย 3 ปี ผลการคัดเลือก
ผเู้ ชยี่ วชาญไดผ้ เู้ ชี่ยวชาญ 6 คน ซงึ่ จาแนกตามความเช่ยี วชาญ ดงั แสดงในตารางที่ 1

กลุม่ ผู้เชี่ยวชาญ ความเชยี่ วชาญ ด้านอาจารย์ผ้สู อน
ด้านผบู้ ริหาร
คนที่1 / การศกึ ษา /
คนที่2 / /
คนที่3 / /
คนท่ี4 /
คนท่ี5
คนท่ี6
คนท่ี 7

ตารางท่ี 1 การคัดเลือกผเู้ ข้าร่วมสนทนากลมุ่

เครื่องมือท่ีใช้ในการสนทนากลุม่
เคร่อื งมอื ที่ใช้ในการสนทนากลุ่มคร้ังนค้ี ือ

1. กลุม่ ผดู้ าเนนิ การจัดสนทนากล่มุ ได้แกผ่ ูด้ าเนินการสนทนา(Moderator)จานวน 1 ทา่ น
คอื นางสาวปาริฉัตร ทองแก้วเกดิ ผูจ้ ดบนั ทกึ การสนทนา ( Note – Taker) จานวน 1
ท่าน และผบู้ รกิ ารทวั่ ไปจานวน 1 ท่าน

2.แนวทางการสนทนากล่มุ มขี ้ันตอนการสรา้ งดงั น้ี
ข้ันตอนที่ 1 ผู้วจิ ยั นาผลการศกึ ษาปญั หาการดาเนินงานระบบดูแลชว่ ยเหลือนกั เรียน

เปน็ กรอบในการกาหนดโครงสรา้ งแนวคาถาม
ข้ันตอนที่ 2 สรา้ งคู่มือการสนทนากลมุ่ ตามแนวคิดไพบูลย์ เปานิล (2546)และ

คณะกรรมการประกันคุณภาพภายในระดบั อดุ มศึกษา(2558)เปน็ โครงสร้างแนวคาถามทีก่ าหนดไวซ้ ่ึง
ประกอบดว้ ยคาถามหลกั และคาถามขยายท่ีมีความยดื หยุ่นสามารถปรับเปลยี่ นได้ตามสถานการณ์ของ
กลมุ่

ข้นั ตอนท่ี 3 นาคูม่ ือการสนทนากลุ่มท่สี รา้ งขึ้นให้ผู้ทรงคุณวฒุ พิ จิ ารณาตรวจสอบความ
ตรงของเนือ้ หาและความเหมาะสมของข้อคาถามก่อนหลงั ในคาถามหลักรวมถึงความเหมาะสมและเป็นไป
ไดข้ องคาถามขยาย

ขั้นตอนท่ี 4 ปรับปรุงแก้ไขคู่มือการสนทนากลุ่มตามข้อเสนอแนะจนสมบรู ณ์พร้อมที่จะ

นาไปใช้จริง

การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
รายละเอียดของแหลง่ ของการเก็บรวบรวมข้อมลู ดังนี้
1.แหล่งข้อมูลทุติยภูมิ(Secondary source) การรวบรวมข้อมูลจากแหล่งทุติยภูมิของการ
วิจัยนี้ใช้วิธีการศึกษาเอกสาร(Documents) เพ่ือวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ระหว่างปัญหาการวิจัยและ
แนวคดิ รวมทง้ั ทฤษฎีตลอดจนงานวจิ ยั ท่ีเกย่ี วขอ้ งซึง่ เปน็ องค์ความรู้ท่นี ามากาหนดกรอบแนวคิดและกรอบ
ในการวิเคราะห์เก่ียวกับบริบทการดาเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน รวมท้ังแนวคิดทฤษฎีและ
งานวิจยั ทเี่ กย่ี วข้อง
2. แหลง่ ขอ้ มูลปฐมภูมิ(Primary source) ประกอบด้วยข้อมลู ด้านการดาเนนิ งานระบบดูแล
ชว่ ยเหลอื นักเรียน ผ้บู รหิ าร ครผู ู้สอน
3. การเตรยี มตวั ทางานภาคสนาม

3.1 ผวู้ จิ ยั ขอหนงั สอื ขอเชิญผูเ้ ข้ารว่ มสนทนากลมุ่ พร้อมทงั้ ติดต่อประสานงานกับ
สถานศกึ ษาทบ่ี ุคลากรผเู้ ข้าร่วมสนทนากลมุ่

3.2 จดั เตรยี มวัสดุอปุ กรณท์ ่ใี ช้ในการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ภาคสนามได้แก่ สมดุ บันทึก เทป
บนั ทกึ เสียง กล้องถา่ ยรปู ของทรี่ ะลกึ และคู่มอื การสนทนากล่มุ

3.3 ซกั ซ้อมทาความเข้าใจในหลกั การ วิธีการและขนั้ ตอนการจัดสนทนากลมุ่ เพอื่ ให้
ผู้ดาเนนิ การ ผ้จู ดบนั ทกึ การสนทนาและผบู้ รกิ ารท่ัวไปมีความพร้อมในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล

4. การดาเนนิ การสนทนากลุ่ม
3.4.1 คณะผู้วจิ ยั จัดเตรียมสถานท่ี

3.4.2 ผดู้ าเนนิ รายการสร้างความสัมพนั ธท์ ี่ดเี มื่อผเู้ ข้ารว่ มสนทนาเดินทางมาถงึ โดย
คณะผวู้ ิจยั และผู้ทีเ่ กี่ยวข้องในการจัดสนทนาทุกคนพยายามพดู คุยและซักถามอย่างเปน็ มิตรเพื่อสรา้ ง
บรรยากาศท่ีดีก่อนเร่มิ ต้นสนทนา

3.4.3 ในขณะทสี่ นทนากลมุ่ คณะผูว้ จิ ัยเก็บรวบรวมข้อมลู โดยการบันทกึ เทปและจด
บนั ทกึ การสนทนาซ่ึงต้องมีการชแ้ี จงถึงความจาเป็นกอ่ นที่จะดาเนนิ การบนั ทึกขอ้ มูล เพื่อใหผ้ ้รู ่วมสนทนา
เขา้ ใจและมีความสบายใจในการแสดงความคิดเห็น

3.4.4 เมือ่ สนทนาเสรจ็ ส้นิ ลงผู้วิจัยแสดงความขอบคุณ ผรู้ ่วมสนทนาทกุ คน และดูแล
อานวยความสะดวกจนผรู้ ว่ มสนทนาเดินทางกลบั

วเิ คราะหข์ อ้ มลู
1. การวิเคราะห์ขอ้ มลู เบื้องตน้

ผูว้ จิ ัยดาเนนิ การทันทีท่กี ารสนทนาส้นิ สุดลง โดยสรุปจากความคิดเห็นของผู้ดาเนินการ
สนทนา ผ้จู ดบันทึก ผู้บริการท่วั ไป และจากการสังเกตของผวู้ จิ ัยเพ่อื การตรวจสอบข้อมูลและพัฒนากรอบ
ประเด็นในการวิเคราะหข์ อ้ มลู เบอื้ งต้น

2. การเตรียมข้อมลู เพอ่ื วิเคราะห์อย่างละเอยี ด
ในการเตรียมข้อมูลเพื่อการวิเคราะห์ ผู้วิจัยใช้วิธีการถอดรายละเอียดจากเทปบันทึก

การสนทนากลุ่มโดยตรวจสอบกับบันทึกการสนทนาที่ผู้จดบันทึกได้จดไว้ ซ่ึงการถอดเทปจะถอด
รายละเอียดทุกคาพูด และบรรยากาศในการสนทนาลงไปด้วย ทั้งนี้เพ่ือใช้ประกอบในข้ันตอนการ
วิเคราะห์ข้อมลู

3. วิธีการวิเคราะห์
เป็นการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis) เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลท่ีได้จาก

เอกสารบันทึกการสนทนาของผู้จดบันทึก และเอกสารจากการถอดเทปโดยสรุปใจความจากเอกสาร
ความถ่ีของคาและเน้ือหาทีส่ นใจซง่ึ คานึงถงึ สถานการณ์ของสนทนากลมุ่


Click to View FlipBook Version