วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช เอกสารประกอบการเรียนปฏิบัติเอกเครื่องหนัง กลุ่มสาระการเรียนรู้ปี่ พาทย์ส าหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา กลองแขก ณัฐเศรษฐ ด าเนินผล กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาปี่พาทย์ภาควิชาดุริยางค์ไทย วิทยาลัยนาฏศิลปนครศรีธรรมราช สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม
ค าน า เอกสารประกอบการเรียนการสอนเล่มน้ีจดัทา ข้ึนเพื่อใชเ้ป็นแนวทางในการจดักิจกรรม การเรียนการสอนส าหรับนักศึกษาในระดับมัธยมศึกษาปี ที่ 4 ของนักเรียนที่เลือกเรียนในสาขาวิชา ปี่ พาทย์เป็ นเอกสารประกอบการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาชีพเฉพาะปี่ พาทย์(เครื่อง หนัง) เพื่อให้การเรียนรู้ตรงตามจุดประสงค์ ผู้เรียนมีคุณภาพมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งผู้สอนได้ ศึกษาโครงสร้างหลกัสูตรการศึกษาข้นัพ้ืนฐาน ของสถาบนับณัฑิตพฒันศิลป์ที่ไดจ้ดัทา ข้ึนโดยยดึ หลกัสูตรการศึกษาข้นัพ้ืนฐานพุทธศกัราช๒๕๕๑ซึ่งเป็ นหลักสูตรแกนกลางมาเป็ นแนวทาง ผสู้อนหวงัเป็นอยา่งยงิ่วา่แผนการจดัการเรียนรู้เล่มน้ี จะสามารถพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ให้ เป็ นไปตามวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๕๑ กล่าวคือเป็ นคนดีมีสติปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดี ด ารงชีวิตอย่างมีความสุขในสังคมแห่ง ยุคโลกาภิวัฒน์ รวมท้งัมีความรู้ความสามารถ ในการศึกษาต่อหรือประกอบอาชีพได้ ตาม ศักยภาพของแต่ละบุคคล หากเอกสารประกอบการเรียนการสอนเล่มน้ี มีข้อบกพร่องอันใดก็ตาม ผู้สอนในฐานะ ผจู้ดัทา ขอนอ้มรับเพื่อนา ไปปรับปรุงและพฒันาใหส้มบูรณ์ยงิ่ข้ึน เพื่อจะท าให้การจัดกิจกรรมการ เรียนรู้บังเกิดผลสัมฤทธิ์ สูงสุด และกราบขอบพระคุณผู้ที่ให้ค าแนะน าในการจัดท าแผนการจัดการ เรียนรู้ทุกท่านไว้อย่างสูงอานิสงฆ์อันใดก็ตาม ที่เกิดจากเอกสารเล่มน้ีขออุทิศใหแ้ด่บุพการีผมู้ี พระคุณ ตลอดจนโบราณาจารย์ทางด้านดุริยางคศิลป์ ไทยทุกท่าน (นายณัฐเศรษฐ ด าเนินผล) ต าแหน่ง ครูช านาญการ
กลองแขก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กลองชวา เป็ นเครื่องดนตรีประเภทตีที่มีรูปร่างยาวเป็ นรูปทรง กระบอก ข้ึนหนงัสองขา้งดว้ยหนงัลูกววัหรือหนงัแพะหนา้ใหญ่กวา้งประมาณ 20 ซม เรียกว่า “หน้ารุ่ย” ส่วนหน้าเล็กกว้างประมาณ 17 ซม เรียกว่า“หน้าด่าน” ตวักลองแขกทา ดว้ยไมแ้ก่น เช่น ไมช้ิงชนัหรือไมม้ะริดการข้ึนหนงัใชเ้ส้นหวายผา่ซีกเป็นสายโยง เร่งเสียง โยงเส้นห่างๆในปัจจุบนั อาจใช้เส้นหนังแทนเนื่อง จากหาหวายได้ยาก กลองแขกส าหรับหนึ่งมี 2 ลูกลูกเสียง สูงเรียก “ตัวผู้” ลูกเสียงต ่าเรียก“ตัวเมีย”ตีดว้ยฝ่ามือท้งัสองขา้งใหส้อดสลบักนัท้งัสองลูก กลองแขกเป็ นกลองสองหน้า ยาวประมาณ ๖๐ ซม. ตัวกลองท าด้วยไม้ขึงหนัง ๒ หน้า เสียงต ่า เส้นผ่าศูนย์กลาง ๒๕ ซม. เสียงสูงเส้นผ่าศูนย์กลาง ๒๑ ซม. ดึงให้ตึงด้วยเชือกหนัง ชุดหนึ่งมี ๒ ลูก ตีคู่กัน เป็ นตัวเมีย (เสียงต ่า) ลูกหนึ่งกับตัวผู้ (เสียงสูง) ลูกหนึ่ง หน้ากลอง หน้าลุ่ย (หน้าใหญ่) หนังเลียด หุ่นกลอง รัดอกกลองกลองแขก หน้ากลอง หน้าต่าน (หน้าเล็ก) ลักษณะรูปร่างของกลองสองหน้า
ประวัติ กลองแขก เป็นเครื่องหนงัที่จดัอยใู่นประเภทที่ใชส้ายโยงเร่งเสียง ข้ึนหรือหุม้หนงัท้งั 2 หน้า มีชื่อเรียกอีกชื่ออีกหนึ่งว่า “ กลองชวา “ เพราะเข้าใจว่าเราได้แบบอย่างมาจากชวา สมเด็จพระ เจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาด ารงราชานุภาพ ได้อธิบายถึงเรื่องกลองมลายูและกลองแขก ไว้ใน ต านานมโหรีปี่ พาทย์ว่า “ เครื่องปี่พาทยเ์ราทีใชก้นัอยทูุ่กวนัน้ีมีเครื่องดนตรีที่เราไดม้าจาก 2 อย่าง คือ กลองแขกและกลองมลายูเขา้ใจวา่มาจาพวกชวา ท้งัสองอยา่งน้ีมีรูปร่างที่คลา้ยคลึงกนัจะผิด กันที่การผสมวง และการน าเอาไปใช้ “ และยังได้อธิบายถึงการเข้ามาของกลองแขกไว้อีก ใน ระยะแรกน้นักลองเขา้มาใชใ้นการตีประกอบการฟ้อนร า เช่น การร ากระบี่กระบอง ส่วนทา นองวง น้นัจะมาจากแขกร ากริชก่อน วงที่ใชน้ ้นัจะประกอบไปดว้ย ปี่ชวา 1 เลา กลองแขก 1 คู่และฉิ่ง ใน ขบวนแห่ก็ใช้เหมือนกัน เช่น ใช้ตีน าขบวนแห่โสกันต์และน าขบวนแห่เสด็จพระราชด าเนิน กระบวนช้างและกระบวน เรือ ซึ่งคล้ายคลึงกับกลองมลายูที่ใช้ตีในกระบวนแห่ สงสัยว่าเดิมอาจจะ ใชก้ลองมลายตูีก่อน ต่อมาภายหลงัอาจเห็นวา่กลองมลายนู้นั ใชต้ีในงานศพ อาจเป็นที่รังเกียจ จึง นา เอากลองแขกมาตีแทน โดยลดฆอ้งเหม่งออกแลว้นา ฉิ่งมาตีแทน การนา เอากลองแขกเขา้มาตีใน วงปี่ พาทย์ เห็นจะเป็ นเมื่อคราวบรรเลงประกอบกาแสดงละครเรื่องอิเหนาของชวา มาเล่นเป็ นละคร ของไทยเมื่อคร้ังกรุงศรีอยธุยา โดยใชต้ีตอนละครร าเพลงแขก เช่น การร ากริช เป็นตน้คร้ันต่อมา เมื่อปี่ พาทย์จะบรรเลงเพลงใดอันเนื่องมาจากแขก เช่น เพลงเบ้าหลุด สะระบุหร่ง ก็จะน าเอากลอง แขกเข้ามาตีแทนตะโพน ปัจจุบันจะพบเห็นกลองแขกตีกับจังหวะหน้าทับแทนตะโพนและสอง หน้าอยู่ในวงปี่ พาทย์เสมอ จนกลายเป็ นส่วนหนึ่งในวงดนตรีไทย โอกาสที่บรรเลง 1. บอกเวลา ๑๑.๐๐ น. (เพล) เฉพาะตามวดัและเป็นสัญญาณหมายรู้กนั ในละแวกบา้นน้นัๆ กบัวดั 2. ประสมวงปี่ พาทย์บรรเลงในทุกโอกาส จังหวะในดนตรีไทย “จังหวะ” มีความหมายถึงมาตราส่วนของระบบดนตรีที่ด าเนินไปในช่วงของการบรรเลง เพลงอย่างสม ่าเสมอ เป็ นตัวก าหนดให้ผู้บรรเลงจะต้องใช้เป็ นหลักในการบรรเลงเพลง จังหวะ ของดนตรีไทยจ าแนกได้ 3 ประเภท คือ 1.จังหวะสามัญ หมายถึงจงัหวะทวั่ ไปที่จะตอ้งยดึถือเป็นหลกัสา คญัของการขบัร้องและ บรรเลงแมจ้ะไม่มีสิ่งใดเป็นเครื่องใหส้ ัญญาณจงัหวะก็ตอ้งมีความรู้สึกอยใู่นใจตลอดเวลาจังหวะ สามญัน้ีอาจแบ่งซอยลงไปไดเ้ป็นข้นัๆ แต่ละข้นัจะใชเ้วลาส้ันลงคร่ึงหน่ึงเสมอไป (ยกเวน้เพลง พิเศษที่เป็ นอัตราผสม เช่นเพลงจังหวะ 6/8 หรือ 9/8 เป็ นต้น)และเมื่อจงัหวะส้ันลงคร่ึงหน่ึงจา นวน จงัหวะก็มากข้ึนอีกเท่าตวั ในวงดนตรีจะมี3 ระดับ คือ จังหวะช้า ใช้กับเพลงที่มีอัตราจังหวะ สามช้นั จังหวะปานกลาง ใช้กับเพลงที่มีอัตราจังหวะ สองช้นั
จังหวะเร็ว ใช้กับเพลงที่มีอัตราจังหวะ ช้นัเดียว อุทาหรณ์ : เพลงหนึ่งมี 8 จังหวะ กินเวลาบรรเลง 128 วินาที จึงเป็ นจังหวะละ 16 วินาทีจะซอย ส่วนจงัหวะลงไดด้งัน้ี จังหวะละ 16 วินาที เป็ นเพลง 8 จังหวะ ถ้าจังหวะละ 8 วินาที ก็เป็ นเพลง 16 จังหวะ ถ้าจังหวะละ 4 วินาทีก็เป็ นเพลง 32 จังหวะ ถ้าจังหวะละ 2 วินาที ก็เป็ นเพลง 64 จังหวะ ถ้าจังหวะละ1 วินาที ก็เป็ นเพลง 128 จังหวะ 2. จังหวะฉิ่ง หมายถึง จงัหวะที่ใช้ฉิ่ง เป็นหลกัในการตีโดยปกติจงัหวะฉิ่งจะตี“ฉิ่ง… ฉับ” สลบักนัไป ตลอดท้งัเพลงแต่จะมีเพลงบางประเภทตีเฉพาะ “ฉิ่ง” ตลอดเพลง บางเพลงตี “ฉิ่ง ฉิ่ง ฉับ” ตลอดท้งัเพลง หรืออาจจะตีแบบอื่นๆ ก็ได้จงัหวะฉิ่งน้ีนกั ฟังเพลงจะใชเ้ป็นแนวใน การพิจารณาวา่ช่วงใดเป็นอตัราจงัหวะ สามช้นัสองช้นัหรือ ช้นัเดียวก็ได้เพราะฉิ่งจะตีเพลงสาม ช้นั ใหม้ีช่วงห่างตามอตัราจงัหวะของเพลง หรือ ตีเร็วกระช้นัจงัหวะในเพลงช้นัเดียว การตีฉิ่งแบบธรรมดา อัตราจังหวะ 3 ชั้น - - - - - - - ฉิ่ง - - - - - - - ฉับ - - - - - - - ฉิ่ง - - - - - - - ฉับ อัตราจังหวะ 2 ชั้น - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - ฉิ่ง - - - ฉับ อัตราจังหวะชั้นเดียว - ฉิ่ง - ฉับ - ฉิ่ง - ฉับ - ฉิ่ง - ฉับ - ฉิ่ง - ฉับ - ฉิ่ง - ฉับ - ฉิ่ง - ฉับ - ฉิ่ง - ฉับ -ฉิ่ง - ฉับ การตีฉิ่งแบบพิเศษ เพลงพิเศษบางเพลงอาจตีแต่เสียงที่ดงัฉิ่งลว้น ๆ หรือฉับล้วน ๆ ก็ได้ เพลงส าเนียงจีนหรือ ญวนมักตีเป็ น “ฉิ่งฉิ่งฉบั ” แต่นี่เป็นการแทรกเสียงฉิ่งพยางคท์ ี่2 เขา้มาอีกพยางคห์น่ึงเท่าน้นัมิได้ เป็ นจังหวะพิเศษอย่างใด ส่วนเพลงจังหวะพิเศษ เช่น เพลงจ าพวกโอ้โลม ชมตลาด และญาณี การตี ฉิ่งมีจงัหวะกระช้นั ในตอนทา้ยประโยคเพราะเป็ นเพลงประเภทประโยคละ 7 จังหวะ ถ้าเทียบกับ โน้ตสากลก็เป็ นจังหวะ 7/4 ห้องหนึ่งมีจังหวะ 4/4 กับ 3/4 รวมกัน จังหวะหนัก (ฉับ) จะตกที่จังหวะ ที่ 1 กับที่5 ตลอดไป หรือจะเขียนเป็ น 4/4 ห้องหนึ่ง ? หอ้งหน่ึงสลบักนัไปก็ได้ถา้เขียนดงัน้ี จังหวะ
การตีฉิ่งแบบฉิ่งตัด เช่น ในเพลงชมตลาด - - - - - - - ฉิ่ง - - - - - - - ฉับ - - - - - - - ฉิ่ง - - - ฉับ การตีฉิ่งในเพลงส าเนียงจีน - - - - - - - ฉิ่ง - - - ฉิ่ง - - - ฉับ - - - - - - - ฉิ่ง - - - ฉิ่ง - - - ฉับ การตีฉิ่งแบบ “ฉิ่ง” อย่างเดียวเช่น เพลงสาธุการเพลงเชิด เพลงกราวใน เป็ นต้น - - - ฉิ่ง - - - ฉิ่ง - - - ฉิ่ง - - - ฉิ่ง - - - ฉิ่ง - - - ฉิ่ง - - - ฉิ่ง - - - ฉิ่ง การตีฉิ่งแบบ “ฉับ” อย่างเดียวเช่น เพลงเชิดจีน เป็ นต้น - - - ฉับ - - - ฉับ - - - ฉับ - - - ฉับ - - - ฉับ - - - ฉับ - - - ฉับ - - - ฉับ 3. จังหวะหน้าทับ หมายถึง กระสวนการตีจังหวะกลอง กระสวนจังหวะหน้าทับใช้ หลักเกณฑ์ส าเนียงภาษาดนตรีและโครงสร้างรูปลักษณ์ของเพลง เช่น เพลงหน้าพาทย์ก็ใช้จังหวะ หน้าทับของตะโพนและกลองทัด เพลงตับ เพลงเถา เพลงเรื่อง เพลงเบ็ดเตล็ด เพลงภาษา เพลงหาง เครื่อง เพลงลูกหมด ก็จะใช้กระสวนจังหวะตามลักษณะ และประเภทของเพลน้ันๆ และที่ส าคญั ที่สุด กระสวนจังหวะหน้าทับเป็ นตัวบอก หรือกา หนดความส้ันยาวของเพลงวา่เพลงน้นัมีความส้ัน ยาวเท่ากับกี่ประโยค ทา นองวดัความส้ันยาวของเพลง เพลงไทยที่ใช้กลองแขกประกอบการขับร้องและบรรเลงอยู่ในปัจจุบันมีอยู่มากมาย มีท้งั เพลงเก่าสมยัโบราณ เพลงที่ดัดแปลงจากของเก่าและเพลงที่แต่งข้ึนใหม่สามารถแยกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามลักษณะ และวิธีใช้ได้หลายประเภท ดงัน้ี เพลงเถา เพลงเถา เป็ นเพลงขนาดยาว เกิดข้ึนจากการนา เอาเพลงหน่ึงเพลงใดมาบรรเลง ติดต่อกัน ในอตัราลดหลนั่กนั ไปตามลา ดบัท้งั ๓ อัตรา ฉะน้ันเพลงเถา จึงประกอบดว้ยอตัรา สามช้ัน สองช้ัน ช้ันเดียว ตามล าดับ เพื่อน ามาบรรเลงให้ครบเป็ นเพลงเถา เพลงเถานิยมใช้ บรรเลงและขับร้อง ในลักษณะเพลงรับร้อง คือเมื่อร้องจบท่อน ดนตรีก็บรรเลงรับละปฏิบตัิเช่นน้ี ตลอดทุกอัตรา ไม่นิยมน าเพลงเถามาร้องให้ดนตรีบรรเลงคลอหรือบรรเลงล าลองแต่อย่างใด เพลงสามชั้นค าว่า “ สามช้นั “ เป็ นชื่ออัตราจังหวะที่ด าเนินลีลาไปด้วยประโยคขนาดยาว และเชื่องช้า เพลงสามช้นัจึงเพลงที่มีจงัหวะชา้ ต้องใช้เวลาบรรเลงและขับร้องนานกว่าเพลงใน อัตราอื่น ๆ ถา้สังเกตเสียงฉิ่งจะเห็นว่า ช่วงระหว่างเสียงฉิ่งและฉับห่างกนัมาก มีทา นองร้อง จะมี การร้องเอ้ือนยาว ๆ ทางดนตรีไทยไดน้า เพลงสองช้นัมาขยายออกไปอีกหน่ึงเท่าตวัเพลงสามช้นั นิยมใชข้บัร้องและบรรเลงในโอกาสทวั่ ไป
เพลงสองชั้น ค าว่า “ สองช้นั “ เป็ นชื่ออัตราจังหวะที่ด าเนินลีลาปานกลาง ไม่ช้าและ เร็วเกินไป เพลงสองช้ันจึงเพลงจงัหวะปานกลาง ส่วนใหญ่เป็นเพลงส้ัน ๆ ที่ร้องและจา ทา นอง ง่าย ถา้จะเทียบกบัเพลงช้นัเดียว เพลงสองช้นัจะ มีความยาวมากกวา่เพลงช้นัเดียวหน่ึงเท่าตวั โดย สังเกตเสียงฉิ่งและฉับห่างกนั ปานกลาง ไม่เร็วและช้าจนเกินไป มีทา นองร้องที่มีเอ้ือนไม่มากไม่ น้อย ทางดนตรีไทยมกันิยมนา เพลงเร็วมาขยายข้ึนอีกเท่าตวัเป็นเพลงสองช้นั เพื่อใช้บรรเลงและ ขับร้องประกอบการแสดงโขน ละคร และมหรสพต่าง ๆ เพลงชั้นเดียว ค าว่า “ ช้ันเดียว “ เป็ นชื่ออัตราจังหวะชนิดหนึ่ งที่ด าเนินลีลาไปด้วย ประโยคส้ัน ๆ และรวดเร็ว ดังน้ันเพลงช้ันเดียวจึงหมายถึงเพลงที่มีจังหวะเร็ว หรือที่เรียนกัน โดยทวั่ ไปวา่เพลงเร็วการที่จะเขา้ใจวา่เพลงช้นัเดียวเป็นอย่างไร วิธีง่าย ๆ ก็โดยสังเกตเสียงฉิ่ง ซ่ึง ตามปกติแล้ว การตีฉิ่งจะเริ่ม เสียงฉิ่งและจบดว้ยเสียงฉับ ถา้ช่วงเสียงฉิ่ง ฉับเร็วกระชบัติดกนัก็ แสดงว่าเป็นเพลงช้นัเดียว หรือสังเกตไดจ้ากทา นองร้อง ถา้เอ้ือนร้องน้อย บางเพลงอาจไม่มีร้อง เอ้ือนเลยก็เป็นเพลงช้นัเดียว เพลงเรื่องคือเพลงที่ผปู้ระดิษฐ์ข้ึน โดยน าเอาเพลงที่มีลักษณะใกล้เคียงกันหลาย ๆ เพลง มาบรรเลงติดต่อกันเป็ นชุด เป็ นเรื่อง เพื่อความสะดวกในการบรรเลงในโอกาสต่าง ๆ เช่น เพลง เรื่อง เพลงนางหงส์ ใช้บรรเลงประกอบพิธีศพ เพลงเรื่อง เพลงฉิ่งพระฉัน ใช้ประกอบพระฉัน ภัตตาหาร นอกจากน้ันยงัรวบรวมเพลงที่มีลักษณะคล้าย ๆ กันไวด้ ้วยกัน เพื่อสะดวกในการ จดจ า และเพื่อให้ลูกศิษย์ที่เรียนดนตรี ใช้ฝึ กหัดบรรเลงอีกด้วย แต่ละเรื่องน ามาเรียบเรียงเป็ น ชุด จะมีจ านวนเพลงมากน้อยบ้างแตกต่างกันไป มักจะนิยมบรรเลงโดยเฉพาะดนตรีไม่มีร้อง เพลงหางเครื่องคือ เพลงเล็ก ๆ ส้ัน ๆ ที่บรรเลงต่อจากเพลงแม่บท ( เพลงเถาหรือเพลง สามช้นั ) โดยทนัทีทนั ใดหลงัจากที่บรรเลงเพลงน้ันจบลง คร้ังเรียกว่า เพลงลูกบท เพลงหาง เครื่องเป็นเพลงในอตัราสองช้นัหรือช้นัเดียว ที่มีท่วงท านองค่อนข้างเร็ว กระฉับกระเฉง ให้ ความเพลิดเพลิน สนุ กสนาน เป็ นเพลงที่มีส าเนี ยงคล้ายกับเพลงแม่บทที่น ามาบรรเลง ก่อน นิยมบรรเลงเฉพาะดนตรีอย่างเดียว ไม่มีร้อง เพลงลูกหมด เป็ นเพลงเล็ก ๆ ส้ัน ๆ มีจังหวะเร็ว เทียบเท่าเพลงช้ันเดียว ส าหรับ บรรเลงต่อท้ายเพลงต่าง ๆเพื่อแสดงว่า จบเพลง หรือเรียกกันว่า ออกลูกหมด การบรรเลงเพลง ลูกหมดนอกจากจะมีความหมายว่า เพลงได้จบลงแล้ว ยังเป็ นการให้เสียงคนร้อง ช่วยให้คน ร้องร้องได้ตรงกับระดับเสียงของวงดนตรีที่บรรเลง เพลงลูกหมดจะใชบ้รรเลงต่อจากเพลงสามช้นั เพลงเถาและเพลงหางเครื่องแล้วแต่กรณีไม่มีร้อง เพลงภาษาและออกภาษา หมายถึง เพลงไทยที่มีชื่อเป็ นชาติอื่น ๆ เช่น เพลงจีนเข็ม เล็ก เพลงเขมรพายเรือ เพลงมอญร าดาบ เพลงพม่าร าขวาน เพลงแขกยิงนก เพลงฝรั่งร าเทา้ เป็ น ต้น เพลออกภาษานักดนตรีไดแ้ต่งข้ึนเอง โดยเลียนส าเนียงภาษาต่าง ๆ เหล่าน้ันเป็นเพลงอตัรา สองช้นั คล้ายเพลงหางเครื่อง เพลออกภาษาที่บรรเลงติดต่อกันหลาย ๆ ภาษา เรียกกันว่า “
ออกสิบสองภาษา” การบรรเลงออกภาษาที่นิยมใชบ้รรเลงกนัอยู่โดยทวั่ ไป มีหลักว่า ต้องออก ๔ ภาษาแรก คือ จีน เขมร มอญ พม่า เสียก่อนแลว้จึงออกภาษาอื่น ๆ ต่อไป การบรรเลงเพลง ออกภาษาเป็ นที่นิยมกันมาก บางที่บรรเลงเพลงสามช้นัส าเนียงแขกก็ออกภาษาแขกต่อทา้ย บางที น ามาต่อท้าย ๒-๓ เพลง ติดต่อกัน เพลงออกภาษาที่ใช้การบรรเลงมาแต่ดังเดิม จะใช้บรรเลง เฉพาะดนตรีล้วน ๆ ไม่มีร้อง แต่ในปัจจุบัน ได้น าเอาเน้ือร้อง เข้ามาประกอบเพลงออกภาษา ด้วย เพื่อเป็นการสร้างความสนุกสนานใหแ้ก่ผชู้มและผฟู้ ังอีกแบบหน่ึง การตีกลองแขกตัวผู้ให้ได้เสียง “ติง” และ “โจ๊ะ” กลองแขกชุดหนึ่ งมี 2 ตัว แต่ละตัวขึงหนังไว้ 2 ด้านตรงกันข้ามกันโดยมีขนาด เส้นผ่าศูนย์กลางไม่เท่ากัน เวลาบรรเลงใช้นักดนตรีบรรเลงร่วมกัน 2คนโดยตีกันคนละตัว ตัวที่มี ขนาดเล็กเรียกว่า “กลองแขกตัวผู้” เวลาตีผูบ้รรเลงจะนั่งชันเข่าขา้งหน่ึง หนุนตวักลองให้อยู่ใน ลักษณะเอนเฉียงๆ เมื่อใช้ฝ่ ามือตีลงไปบนหน้าใหญ่ของกลองแขกตัวผู้อย่างแรงและเร็ว พร้อมกับ เปิดมือข้ึนจะเป็นเสียง “ติง” และเมื่อใช้ฝ่ ามืออีกข้างหนึ่งตีลงไปบนหน้าเล็กในลักษณะเดียวกัน จะ ได้เสียง “โจ๊ะ” เสียงที่เรียกว่า ติง หรือโจ๊ะ น้ีนักดนตรีบางคนอาจเรียกแตกต่างกนั ไปบา้งตามการ ไดย้นิของแต่ละคน แต่โดยรวมๆแลว้ก็นิยมใชค้า เช่นที่กล่าวมาน้ี การตีกลองแขกตัวเมียให้ได้เสียง “ทั่ม” และ “จ๊ะ”กลองแขกตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่ากลอง แขกตัวผู้ จึงให้เสียงที่ลึกกว่า และนิยมวางบรรเลงในแนวนอน โดยวางไว้บนตักของผู้บรรเลง เมื่อ ใช้ฝ่ามือขา้งหน่ึตีลงไปบนหน้าใหญ่อย่างแรงและเร็วแลว้เปิดมือข้ึนจะไดย้ินเสียง “ทมั่ ” เมื่อใช้ฝ่ า มืออีกข้างหนึ่งตีลงไปบนหน้าเล็กโดยไม่เปิ ดฝ่ ามือจะได้เสียง “จ๊ะ” จากรูปแบบวลีการตีหน้าทับ เพียง 4 พยางคน์ ้ีสามารถนา มาจดัรูปแบบการบรรเลงหนา้ทบัไดม้ากมาย เพื่อให้เขา้กบัลกัษณะของ ท่วงท านองเพลงอันหลากหลายเช่นเพลงที่ออกส าเนียงไทย ลาว เขมร พม่า มอญ แขก จีน ฯลฯ ดัง ตัวอย่างที่ได้แสดงไว้ในตอนท้ายของเอกสาร อัตราจังหวะหน้าทับ ได้แก่ 1. หน้าทับปรบไก่ใช้ประกอบจังหวะในเพลงประเภทที่มีส าเนียงไทย และเพลง ส าเนียงมอญ ส าเนียงเขมร ส าเนียงแขก ที่เป็ นเพลงเถาที่เกิดจากการขยายจากเพลงเดิมในอัตรา 2 ช้นัและข้นัเดียวขยายข้ึนเป็น 3 ช้นัเพื่อให้ครบเป็นเพลงเถา หลายเพลงใชห้นา้ทบั ปรบไก่ในอตัรา 3 ช้นัส่วนอตัรา 2 ช้นัหรือช้นัเดียวอาจจะใชห้นา้ทบั ปรบไก่หรือหนา้ทบัสา เนียงน้นัๆ จนคบเถาก็ ได้ * เพลงลาวดวงเดือน ขยายให้ครบเถา เป็ นเพลงโสมส่องแสง อัตรา 3 ช้นั ใชห้นา้ทบัสองไม้ อัตรา 2 ช้นั ใชห้นา้ทบัลาว อตัราช้นัเดียว ใชห้นา้ทบัสองไม้
2. หน้าทับสองไม้ใช้บรรเลงประกอบเพลงที่มีส าเนียงลาว และส าเนียงพิเศษ เช่น เพลงทยอย เพลงสองไม้รวมท้งัเพลงะไทยบางเพลงอาจมีประเภทส าเนียงแขกอยู่บา้ง ท้งัน้ีข้ึนอยู่ กับผู้ประพันธ์เพลง จะก าหนดให้ใช้หน้าทับอะไร 3. หน้าทับเขมร ใชป้ระกอบเพลงที่มีส าเนียงเขมรเท่าน้นัท้งัเพลงเถา เพลงตบัเพลง เรื่อง เพลงเกร็ด เพลงเบ็ดเตล็ด เช่นเพลงเขมรเอวบาง เพลงเขมรละออองค์ ฯลฯ แต่มีเพลงส าเนียง เขมรหลายเพลงที่ใช้หน้าทับอื่น ไดแ้ก่หนา้ทบั ปรบไก่เช่น เพลงเขมรไทรโยคถึงจะใชบ้นั ไดเสียง เขมร หรือบันไดเสียง ฟ ก็ตาม แต่เป็ นเพลงที่สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัติวงค์ทรงน าเพลง ขอมกล่อมลูกที่มีลักษณะส าเนียงไทยน าท านองมาแต่งเป็ นเขมรไทรโยค ดงัน้นันกัดนตรีจึงนิยมใช้ หนา้ทบั ปรบไก่ประกอบจงัหวะแต่จะใชห้นา้ทบัเขมรก็ได้( ที่เป็นเช่นน้ีข้ึนอยู่กบัที่มาของเพลงว่า ผู้ประพันธ์น าต้นแบบมาจากส าเนียงอะไร ) 4. หน้าทับแขกใชบ้รรเลงประกอบเพลงที่มีสา เนียงแขก ท้งัเพลงตบัเพลงเรื่อง เพลง ภาษา เพลงเบ็ดเตล็ด ฯลฯ แต่เพลงส าเนียงแขกบางเพลงน าท านองต้นแบบ ที่มีส าเนียงอื่นมา ประพันธ์ใหม่ให้เป็ นส าเนียงแขก แต่ผู้ประพันธ์เพลงอาจจะใช้หน้าทับส าเนียงต้นแบบเดิมแทน ส าเนียงแขกก็ได้ เช่น เพลงแขกต่อยหม้อ อ.มนตรี ตราโมท ได้นึกท านองต้นแบบที่มีส าเนียง โครงสร้างเพลงสองไม้หรือลาว แต่ไม่ทราบชื่อเพลงอะไร ดังน้ันจงัใช้หน้าทับสองไม้บรรเลง จังหวะเพลงแขกต่อยหม้อ นอกจากน้ียงัมีการนา ส าเนียงเพลง 2 ส าเนียงข้ึนไปมาแต่งให้เป็นเพลง เดียวกัน เพื่อแสดงถึงความเป็ นอัจฉริยะของผู้ประพันธ์ เช่น เพลงแขกมอญ เพลงแขกมอญบางขุน พรหม เป็นตน้ท้งั 2 เพลงน้ีจะใช้หน้าทบั ปรบไก่บรรเลงประกอบจงัหวะยืนพ้ืน แต่ในช่วงลูกโยน ของเพลงที่ทา นองเพลงมีลกัษณะเด่นทางส าเนียงภาษา ไดแ้ก่ลูกโยนภาษามอญ และลูกโยนภาษา แขกก็จะใช้หน้าทับแขก หรือหน้าทับมอญบรรเลงประกอบจังหวะ นอกจากน้ียงัมีเพลงแขกลพบุรีเถา ซ่ึงเป็นเพลงประเภทเพลงทยอยใชจ้งัหวะหนา้ทบัสองไมย้นืพ้ืน แต่ในช่วงลูกโยนซึ่งมีท านองส าเนียงแขกเป็ นลักษณะเด่น ก็จะใช้หน้าทับแขกประกอบจังหวะ รูปแบบการเขียนหน้าทับเพลงไทย การเขียนหน้าทับเพลงไทยนิยมเขียนเป็ น 4 พยางค์ต่อ 1 ห้องโดยหนึ่ งบรรทัดจะไม่เกิน 8 ห้อง พยางค์เสียงใดที่เป็ นจังหวะหยุดจะใช้เครื่องหมาย “-“ เขียนแทนชื่อของพยางคเ์สียงน้นัรูปแบบการ เขียนสามารถแบ่งออกได้เป็ น 8 ลกัษณะดงัน้ี(จะใช้เฉพาะเสียง “ติง” เป็ นตัวอย่าง) รูปแบบที่1 - - - ติง (เว้น 3 พยางค์แรกแล้วตีเฉพาะพยางค์สุดท้ายในห้อง) รูปแบบที่2 - - ติง ติง (เว้น 2 พยางค์แรกแล้วตี 2 พยางค์สุดท้ายต่อเนื่องกัน) รูปแบบที่3 - ติง ติง ติง (เว้นพยางค์แรกแล้วตี 3 พยางค์สุดท้ายต่อเนื่องกัน) รูปแบบที่4 ติง ติง ติง ติง (ตีทุกพยางค์ต่อเนื่องกัน) รูปแบบที่5 ติง ติง – ติง (ตีเหมือนรูปแบบที่ 4 แต่เว้นเฉพาะพยางค์ที่3) รูปแบบที่6 - ติง - ติง (ตีเฉพาะพยางค์ที่ 2 และ 4)
รูปแบบที่7 ติง ติง - - (ตี 2 พยางค์แรกต่อเนื่องกันและเว้น 2 พยางค์หลัง) รูปแบบที่8 - ติง - - (ตีเฉพาะพยางค์ที่ 2) เพื่อใหเ้ขา้ใจไดง้่ายข้ึนจะขอยกตวัอยา่งรูปแบบของหนา้ทบัมาใหดู้สัก 2 ตวัอยา่งดงัน้ี หน้าทับสองไม้ (ลาว) อัตรา 2 ชั้น จากตัวอย่างที่น ามาแสดงเป็ นส าเนียงการบรรเลงหน้า ทับของ โทน ร ามะนา โดยร ามะนาจะบรรเลงเฉพาะเสียง “ติง” เท่าน้นัส่วนโทนจะบรรเลง 2 เสียง คือ เสียง “จ๋ง” และเสียง “ทมั่ ” เมื่อบรรเลงสอดประสานกันแล้ว จะได้รูปแบบเสียงที่กลมกลืนกับ ท่วงท านองเพลงไทยส าเนียงลาวในอัตรา 2 ช้นัทุกเพลง หน้าทับสองไม้ (ไทย) อัตรา 2 ชั้นหน้าทบัสองไม้(ไทย) น้นับางทีนิยมเรียกว่า “หน้าทับ ทยอย” มักใช้บรรเลงกับเพลงในอัตรา 2 ช้ันที่มีลีลาโศกเศร้ารันทดใจเช่นเพลง ทยอยญวน หรือ เพลงช้าโหย เนื่องจากทา นองการบรรเลงหนา้ทบัมีลกัษณะสะอึกสะอ้ืนรันทดใจเช่นเดียวกนั บทสรุปการบรรเลงหน้าทบัเพลงไทยดว้ยกลองแบบต่างๆ เป็นการเพิ่มรสชาติให้กบั การฟังดนตรีมากยงิ่ข้ึน เคยมีผูเ้ปรียบเทียบไวอ้ยา่งน่าฟังวา่ “การฟังดนตรีไทยหากขาดเสียงฉิ่งเสียง กลองเสียแล้ว ก็เหมือนแกงจืดที่ขาดเกลือฉะน้ัน” ดังน้ันการบรรเลงหน้าทับจึงเป็นเรื่องส าคัญ ส าหรับวงดนตรีไทย ท้งัยงัเป็นการแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาของนักดนตรีไทย ที่สามารถน าเอา พยางค์เสียงของกลองมาผูกเป็ นรูปแบบการบรรเลง ให้สอดประสานสัมพันธ์กับท่วงท านองเพลง ได้อย่างไพเราะเหมาะสม นับเป็ นภาษาของดนตรีที่งดงามอีกแบบหนึ่ง ที่เป็ นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนของชาติใดๆ ยิ่งบรรเลงเพลงที่ออกส าเนียงภาษาเช่น ลาวแขกจีน ญวน เขมร มอญ พม่า ฯลฯ และใชห้นา้ทบัสา หรับตีกลองใหถู้กตอ้งแลว้จะเพิ่มอรรถรสในการฟังเพลงไดม้ากทีเดียว รูปแบบการบรรเลงหน้าทับเพลงไทย หน้าทับปรบไก่ 3 ชั้น - - ทมั่ติง ทมั่ ติงโจ๊ะจ๊ะ- -โจ๊ะ จ๊ะ - โจ๊ะ-จ๊ะ - - - - - โจ๊ะ-จ๊ะ - โจ๊ะ จ๊ะ - โจ๊ะ จ๊ะ - ติง - ติง - ทมั่ติงทมั่ติงทมั่ - ติง - โจ๊ะ-จ๊ะ - ติง - ทมั่ - ติง - ติง - ทมั่ - ติง - ติง - ทมั่ หน้าทับปรบไก่ 2 ช้นั - - ทมั่ติง ทมั่ ติงโจ๊ะจ๊ะ - -โจ๊ะจ๊ะ - -โจ๊ะจ๊ะ - ติง - ทมั่ - ติง - ติง - ทมั่ - ติง - ติง - ทมั่ หน้าทับปรบไก่ ช้นัเดียว - - ติง ทมั่ - ติง - - ติง ทมั่ - ติง - ทมั่ติงทมั่ หน้าทับสองไม้3 ช้นั
- - ทมั่ติง ทมั่ ติงโจ๊ะจ๊ะ- -โจ๊ะ จ๊ะ - -โจ๊ะ จ๊ะ - ติง – ติง - ทมั่ติง ทมั่ - ติง – ติง - ทมั่ติง ทมั่ หน้าทับสองไม้2 ช้นั (ติง)- -โจ๊ะจ๊ะ ติงติง-ติง - -โจ๊ะ จ๊ะ ติงติง-ทมั่ หน้าทับสองไม้ช้นัเดียว (ติง)- -โจ๊ะจ๊ะ ติงติง-ทมั่ หน้าทับเขมร 3 ช้นั - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ -โจ๊ะ - จ๊ะ - - - - -โจ๊ะ - จ๊ะ -โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทงั่ - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทมั่ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทมั่ - ติง - ทมั่ -โจ๊ะ - จ๊ะ หน้าทับเขมร 2 ช้นั - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทมั่ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทมั่ - ติง - ทมั่ -โจ๊ะ - จ๊ะ หน้าทับเขมร ช้นัเดียว - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทมั่ - ติง - ทมั่ -โจ๊ะ - จ๊ะ หน้าทับแขก 3 ช้นั - - ทมั่ติง ทมั่ ติงโจ๊ะจ๊ะ - -โจ๊ะ จ๊ะ - -โจ๊ะ จ๊ะ - - - - - -โจ๊ะ จ๊ะ - -โจ๊ะ จ๊ะ - -โจ๊ะ จ๊ะ - - ติง ติง - - ทงั่ทมั่ - - ทมั่ทมั่ - - ติง ติง - - ติง ติง - ติง - ทมั่ - ติง - ทมั่ติง ทมั่ - ติง หน้าทับแขก 2 ช้นั - - ทมั่ติง ทมั่ ติงโจ๊ะจ๊ะ- - โจ๊ะ จ๊ะ - - โจ๊ะ จ๊ะ - ติง - ทมั่ติง ทมั่ - ติง - ติง - ทงั่ติง ทมั่ - ติง หน้าทับแขก ช้นัเดียว - - โจ๊ะ จ๊ะ - โจ๊ะ - จ๊ะ - ติง - ทมั่ติง ทมั่ - ติง หน้าทับลาว (2 ชั้น) - ติง -โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทมั่ - ติง - ทมั่
หน้าทับมอญ (2 ชั้น) - - - - - โจ๊ะ - จ๊ะ - - ทมั่ติง - - ทงั่ติง หน้าทับญวน (2 ชั้น) - - - - - ติง - ทมั่ - ติง - ทมั่ - ติง - ติง หน้าทับกลองแขก และหน้าทับ 12 ภาษา หน้าทับ สดายง 3 ชั้น - ทั่ม ติง โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ - - - ติง - ติง - ทั่ม - - - ทั่ม - - - ติง - - - ติง - ติง - ทั่ม - ติง - ทั่ม ติงทั่ม-ติง หน้าทับสดายง 2 ชั้น - ทั่ม ติง โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ - ติง - ทั่ม ติงทั่ม-ติง - ติง - ทั่ม ติงทั่ม-ติง หน้าทับสดายง ชั้นเดียว - - โจ๊ะ จ๊ะ -โจ๊ะ -จ๊ะ - ติง - ทั่ม ติงโจ๊ะทั่มติง หน้าทับมอญ 3 ชั้น - ทั่ม ติง โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ - ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม ติงทั่ม-ติง - โจ๊ะ -จ๊ะ - ติง-ทั่ม - ติง - ติง - ทั่ม - ติง - ติง – ทั่ม หน้าทับมอญ 2 ชั้น - - - - - ติง - - - - ทั่มติง - - ทั่มติง หน้าทับมอญ ชั้นเดียว - ติงทั่ม - ติง - - ติงทั่ม-ติง -ทั่มติงทั่ม หน้าทับสองไม้(ไทย) 3 ช้นั - - ทงั่ติง ทมั่ ติงโจ๊ะจ๊ะ- -โจ๊ะ จ๊ะ - -โจ๊ะ จ๊ะ - ติง – ติง - ทมั่ติง ทมั่ - ติง – ติง - ทงั่ติง ทมั่
หน้าทับสองไม้(ไทย) 2 ช้นั - -โจ๊ะจ๊ะ ติงติง-ติง - -โจ๊ะ จ๊ะ ติงติง-ทมั่ หน้าทับสองไม้(ไทย) ช้นัเดียว - -โจ๊ะจ๊ะ ติงติง-ทมั่ หน้าทับลาว 3 ชั้น - ทั่ม - ติง โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ –จ๊ะ - ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม - ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม หน้าทับลาว 2 ชั้น - ติง-โจ๊ะ - ติง - ติง - - ติง ทั่ม - ติง - ทั่ม หน้าทับลาว ชั้นเดียว - -โจ๊ะจ๊ะ ติง ติง- ทั่ม หน้าทับจีน 3 ชั้น - ทั่ม - ติง โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ –จ๊ะ - ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม - ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม หน้าทับจีน 2 ชั้น - - - - - - - ติง - ติง - - - ติง - ติง หน้าทับจีน ชั้นเดียว - -โจ๊ะจ๊ะ ติงติง-ทั่ม หน้าทับญวน 3 ชั้น - - ทมั่ติง ทมั่ ติงโจ๊ะจ๊ะ- -โจ๊ะ จ๊ะ - -โจ๊ะ จ๊ะ - ติง – ติง - ทมั่ติทมั่ - ติง – ติง - ทมั่ติงทมั่ หน้าทับญวน 2 ชั้น - - - - - - -ทั่ม - ติง-ทั่ม - ติง - ติง หน้าทับญวน ชั้นเดียว - -โจ๊ะจ๊ะ ติงติง-ทั่ม
หน้าทับพม่า 3 ชั้น - ทั่ม ติง โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ โจ๊ะ -จ๊ะ - ติง - ติง - ทั่มติงทั่ม ติงทั่ม-ติง - โจ๊ะ -จ๊ะ - ติง-ทั่ม - ติง - ติง - ทั่ม - ติง - ติง – ทั่ม หน้าทับพม่า 2 ชั้น - - - - - - -ทั่ม - ทั่ม - - -ทั่ม-ทั่ม หน้าทับพม่า ชั้นเดียว - ติงทั่ม - ติง - - ติงทั่ม-ติง -ทั่มติงทั่ม หน้าทับเจ้าเซ็น 3 ชั้น - - ทมั่ตลิง -โจ๊ะ-จ๊ะ -โจ๊ะ-จ๊ะ -โจ๊ะ-จ๊ะ - ติง – ติง - ทมั่ติงทมั่ - ติง – ติง - ทมั่ติงทมั่ หน้าทับเจ้าเซ็น 2 ชั้น - ติง-จ๊ะ - โจ๊ะ-ติง - ติง - - - ติง - ทั่ม หน้าทับเจ้าเซ็น ชั้นเดียว - โจ๊ะจ๊ะ ติงติง-ทั่ม หน้าทับฝร่ัง 3 ชั้น - - ทมั่ตลิง -โจ๊ะ-จ๊ะ -โจ๊ะ-จ๊ะ -โจ๊ะ-จ๊ะ - ติง – ติง - ทมั่ติงทมั่ - ติง – ติง - ทมั่ติงทมั่ หน้าทับฝร่ัง 2 ชั้น - ติงติงติง -ติง-ทั่ม -ติง-ทั่ม - ติง - ทั่ม หน้าทับฝร่ัง ชั้นเดียว - โจ๊ะจ๊ะ ติงติง-ทั่ม
หน้าทับกลองแขก หน้าทับพิเศษ สี่บท ตัวอย่างรายชื่อหน้าทับเพลงไทย 1 หนา้ทบั ปรบไก่ 2 หน้าทับสองไม้ (แบบด้น) 3 หน้าทับสองไม้ (แบบสีนวล) 4 หน้าทับสองไม้ (แบบเพลงเรื่อง) 5 หนา้ทบัสาธุการ(สองช้นั ) 6 หนา้ทบัสาธุการ(ช้นัเดียว) 7 หน้าทับรัวสามลา 8 หน้าทับรัวลาเดียว 9 หนา้ทบัตน้เขา้ม่าน (สองช้นั ) 10 หน้าทับปฐม 11 หนา้ทบัลา (สองช้นั ) 12 หนา้ทบัลา (ช้นัเดียว) 13 หนา้ทบัลา (คร่ึงช้นั ) 14 หน้าทับปลูกต้นไม้ 15 หน้าทับชายเรือ (ใช้เรือ) 16 หนา้ทบัโอด (สองช้นั ) 17 หน้าทับโอด (ช้นัเดียว) 18 หน้าทับตระหญ้าปากคอก 19 หน้าทับตระปลายพระลักษณ์ 20 หน้าทับตระมารละม่อม 21 หน้าทับตระเชิงเทียน 22 หน้าทับตระสันนิบาต (สามช้นั ) 23 หนา้ทบัตระสันนิบาต (สองช้นั ) 24 หน้าทับตระเสือขับหรือเล็บเสือ 25 หน้าทับตระย้อนรอย 26 หน้าทับตระเชิงกระแชง 27 หนา้ทบัเสมอ(สองช้นั ) 28 หนา้ทบัเสมอ(ช้นัเดียว) 29 หน้าทับเสมอ(คร่ึงช้นั ) 65 หน้าทับองค์พระพิราพเต็มองค์ 66 หน้าทับญวน 67 หน้าทับลาว 68 หน้าทับมอญ 69 หน้าทับเจ้าเซ็น 70 หน้าทับแขก 71 หน้าทับพม่า 72 หนา้ทบัฝรั่ง 73 หน้าทับสะระหม่าแขก 74 หนา้ทบันางหงส์(หกช้นั ) 75 หนา้ทบันางหงส์(สามช้นั ) 76 หนา้ทบันางหงส์(สองช้นั ) 77 หน้าทับนางหงส์(ช้นัเดียว) 78 หนา้ทบันางหงส์(คร่ึงช้นั ) 79 หน้าทับนางหน่าย 80 หน้าทับบัวลอย 81 หน้าทับไฟชุม 82 หน้าทับกระดีด 83 หน้าทับกาจับปากโลงี่ 84 หน้าทับแร้งกระพือปี ก 85 หน้าทับจีน 86 หน้าทับข่า 87 หน้าทับเขมร 88 หน้าทับสดายง 89 หน้าทับรัวประลองเสภา 90 หน้าทับพระทอง 91 หน้าทับเบ้าหลุด 92 หน้าทับสะระบุหร่ง 93 หนา้ทบับหลิ่ม (บะหลิ่ม)
30 หนา้ทบัเชิด (สามช้นั ) 31 หนา้ทบัเชิด (สองช้นั ) 32 หนา้ทบัเชิด (ช้นัเดียว) 33 หน้าทับเชิดฉาน 34 หน้าทับตะคุกรุกร้น 35 หน้าทับกลม 36 หน้าทับช านาญ 37 หน้าทับกราวใน 38 หน้าทับเหาะ 39 หน้าทับโล้ 40 หน้าทับเตียว 41 หนา้ทบักราวร า (สองช้นั ) 42 หน้าทับกราวร า (ช้นัเดียว) 43 หนา้ทบัชุบ (หนา้ทบัตน้เขา้ม่านช้นัเดียว) 44 หน้าทับตระจอมศรี 45 หน้าทับตระท้าวน้อย 46 หน้าทับตระนิมิต 47 หน้าทับตระเชิญ 48 หน้าทับตระบรรทมไพร 49 หน้าทับตระบรรทมสินธุ์ 50 หน้าทับตระพระปรคนธรรพ 51 หน้าทับตระบองกัน (โปรยข้าวตอก) 52 หน้าทับบาทสกุนี(สิบสี่ไม้) 53 หน้าทับบาทสกุนี (สิบหกไม้) 54 หน้าทับเสมอสามลา 55 หน้าทับเสมอเถร 56 หน้าทับเสมอข้ามสมุทร 57 หน้าทับพราหมณ์เข้า 58 หน้าทับพราหมณ์ออก 59 หน้าทับด าเนินพราหมณ์ 60 หน้าทับคุกพาทย์ 61 หนา้ทบันงั่กิน (หนา้ทบัทา ขวญั ) 94 หนา้ทบัข้ึนมา้ 95 หน้าทับชมดง 96 หน้าทับลงสรง 97 หน้าทับม้าย่อง 98 หน้าทับกระบี่ลีลา 99 หน้าทับสมิงทอง 100 หน้าทับโยน 118 หน้าทับกรงทอง 101 หน้าทับแปลง 119 หน้าทับแน 102 หน้าทับสะระหม่าไทย 103 หน้าทับรัว (กลองมลายู) 104 หน้าทับกลองโยน 105 หน้าทับสามไม้หนีสี่ไม้ไล่ 106 หน้าทับซัดชาตรี 107 หน้าทับชาตรีตลุง 108 หน้าทับร่ายชาตรี ๑ 109 หน้าทับร่ายชาตรี ๒ 110 หน้าทับร่ายชาตรี ๓ 111 หน้าทับเพลงเดินชาตรี 112 หน้าทับประจ าวัด 113 หน้าทับประจ าบ้าน 114 หน้าทับเชิญผี 115 หนา้ทบัมอญ (สองช้นั ) 116 หนา้ทบัทอญ (ช้นั เดียว) 117 หน้าทับสองกุมาร 118 หน้าทับกรงทอง 119 หน้าทับแน 120 หน้าทับย ่าค ่า 121 หน้าทับย ่าเที่ยง 122 หนา้ทบัพม่า (สองช้นั ) 123 หน้าทับพม่า (ช้นัเดียว) 124 หน้าทับพม่าชมเดือน 125 หน้าทับพม่าชะเวดากอง
62 หน้าทับเซ่นเหล้า 63 หน้าทับลงสรง 64 หนา้ทบัเช้ือ 126 หน้าทับพม่าตะเลงล าพอง 127 หน้าทับพม่าตะเลงรัญจวน 128 หน้าทับเฉพาะเพลง หมายเหตุรายชื่อหนา้ทบัเหล่าน้ีเป็นเพียงส่วนหน่ึงเท่าน้นั ยังมีหน้าทับเพลงไทยอีกมากที่มิได้น ามา ลงไว้