2.1 ความรทู้ วั่ ไปเกย่ี วกบั วิถีชวี ติ ในท้องถนิ่ จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา
พระนครศรอี ยุธยา เป็นจังหวดั หน่งึ ในภาคกลางและเปน็ เขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมทสี่ ำคัญ
และมปี ระวตั ศิ าสตรค์ วามเป็นมาท่ยี าวนาน เคยมีชอื่ เสียงในฐานะเป็นแหล่งปลูกข้าวท่สี ำคัญ
จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยาเป็นจงั หวดั เดียวในประเทศไทยที่ไมม่ อี ำเภอเมือง
แตม่ ี อำเภอพระนครศรอี ยุธยา เปน็ ศนู ย์กลางการบริหารจัดการดา้ นต่างๆแทนอำเภอเมอื ง
มพี น้ื ทที่ ั้งหมด 2,500,656 ตร.กม และมปี ระชากร 820,512 คน เป็น (ข้อมลู ล่าสุดปี 2564)
คำขวญั ประจำจังหวัด:ราชธานเี กา่ อ่ขู า้ วอู่น้ำ เลศิ ล้ำกานท์กวี คนดีศรอี ยธุ ยา เลอค่ามรดกโลก
ปจั จุบนั จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยาประกอบด้วย 16 อำเภอ 209 ตำบล ไดแ้ ก่
อำเภอพระนครศรีอยุธยา อำเภอท่าเรือ อำเภอนครหลวง อำเภอบางไทร
อำเภอบางบาล อำเภอบางปะอนิ อำเภอบางปะหัน อำเภอผักไห่ อำเภอภาชี อำเภอลาดบัวหลวง
อำเภอวังนอ้ ย อำเภอเสนา อำเภอบางซ้าย อำเภออุทยั อำเภอมหาราช อำเภอบา้ นแพรก
2.2 ประเพณีประจำทอ้ งถน่ิ จงั หวัดพระนครศรอี ยุธยา
ประเพณีทถ่ี กู จัดข้ึนทจ่ี งั หวดั พระนครศรีอยุธยาเปน็ ประเพณีทถี่ ือปฏิบตั สิ ืบทอดกนั มางาน
ประเพณสี งกรานตก์ รงุ เกา่ จดั ขึ้นในชว่ งเดือนเมษายนของทุกปี (ในช่วงเทศกาลสงกรานต์) จัดใน
บรเิ วณอทุ ยานประวัติศาสตร์พระนครศรอี ยุธยา ร่วมพธิ ีทำบญุ ตกั บาตร สรงนำ้ พระชมขบวนแห่
นางสงกรานต์ ขบวนรถบปุ ผชาติ การประกวดเทพสี งกรานต์ การแสดงทางวัฒนธรรม
งานประเพณแี ห่เทียนพรรษากรุงเก่า จดั ข้ึนก่อนวันเข้าพรรษา ๑ วนั (ในช่วงเดือนกรกฎาคม)
ชมขบวนแหเ่ ทยี นพรรษาท้ังทางบกและทางน้ำ เพือ่ นำเทยี นไปถวายตามวัดต่างๆ โดยจดั งานข้ึนท่ี
บริเวณหน้าพพิ ธิ ภัณฑ์จันทรเกษม
งานลอยกระทงตามประทีปศนู ยศ์ ิลปาชีพบางไทร จัดเปน็ ประจำทุกปี ประมาณปลายเดอื น
พฤศจกิ ายน ภายในบรเิ วณศูนยศ์ ิลปาชพี บางไทร อำเภอบางไทร
มีการประกวดนางนพมาศ ประกวดกระทง ประกวดโคมแขวน
การแสดงการละเล่นพื้นบ้าน การแขง่ เรือยาวประเพณี และ เรอื ยาวนานาชาติ
อกี ท้งั ยงั มีการจัดจำหนา่ ยผลติ ภณั ฑ์ศิลปาชีพมากมาย
งานยอยศยง่ิ ฟา้ อยุธยามรดกโลก เนื่องจากนครประวตั ิศาสตร์พระนครศรอี ยุธยา
ไดร้ บั การประกาศโดยองคก์ ารยเู นสโกให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม
เม่อื วันที่ ๑๓ ธนั วาคม พ.ศ.๒๕๓๔ ทางจังหวัดจงึ ได้จัดให้มีการเฉลิมฉลองทกุ ปี
เปน็ ระยะเวลา ๗ วนั ในงานจะมีการแสดงชวี ิตความเปน็ อยู่ ศลิ ปหัตถกรรม วัฒนธรรม และ
ประเพณขี องไทย รวมทงั้ การแสดงแสงเสยี งเก่ยี วกบั ประวัตศิ าสตร์ของกรุงศรอี ยธุ ยา
การแสดงและการละเลน่ ประจาํ ทอ้ งถ5ิน
1. ลเิ กอยธุ ยา
ลเิ กช5ือดงั เป็นชาวบา้ นหว้ ยทราย ตาํ บลโพธิDลาว อาํ เภอมหาราช ทงัG สนิG และมีลเิ กในอยธุ ยาอยหู่ ลายอยา่ ง
กระจายอยใู่ นอาํ เภอตา่ ง ๆ โดยเฉพาะในเขตเทศบาลเมือง บรเิ วณหวั รอ ประตชู ยั ตลาดสวนจิตร (ตลาด
อทุ มุ พร) และแถวสถานีรถไฟ นบั เป็นหมบู่ า้ นลเิ กแหลง่ ใหญ่สดุ ของอยธุ ยา สว่ นใหญ่คณะลเิ กจะไปเลน่ ในงาน
บวช งานศพ งานกฐิน งานผา้ ป่า งานไหวเ้ จา้ และงานประจาํ ปีของวดั ตา่ ง ๆ ปัจจบุ นั เรอ5ื งท5ีเลน่ จะแตง่ ให้
สอดคลอ้ งกบั ยคุ สมยั สว่ นเรอ5ื งจกั ร ๆ วงศ์ ๆ ท5ีเคยนิยมแตเ่ ดมิ ไมน่ ิยมเลน่ กนั เทา่ ใดนกั นอกจากในงานศพ
2. ละครแกบ้ น
ละครแกบ้ น มีปรากฎตงัG แตค่ รงัG กรุงเก่า ไมว่ า่ จะเป็นละครโนรา ละครชาตรี ละครในหรอื ละครนอก ซง5ึ เก5ียวกบั
ความเช5ือของผคู้ นท5ีมีตอ่ ส5งิ สกั ดสิD ทิ ธิDตา่ ง ๆ เม5ือบนขอส5งิ ใดแลว้ และไดผ้ ลสมตามความปรารถนาแลว้ ก็ตอ้ ง
ชดใช้
การแกบ้ นจะใชก้ ารแสดงหรอื ละครประเภทใด ขนึG อยกู่ บั ผบู้ น หากไมร่ ะบมุ กั แกบ้ นดว้ ยละครชาตรี ตอ่ มาระยะ
หลงั นิยมใชล้ ะครนอก ซง5ึ มิไดย้ ดึ ถือรูปแบบและขนัG ตอนการแสดงแบบดงัG เดมิ อีกตอ่ ไป และการ "ยกเครอ5ื ง"
จดั เป็นขนัG ตอนท5ีสาํ คญั ท5ีสดุ ของละครแกบ้ น โดยทาํ ใหเ้ สรจ็ ในชว่ งเท5ียงวนั
ละครแกบ้ นในอยธุ ยา มีหลายคณะในระบบครอบครวั งานแสดงจะมีมากในชว่ งเดือน มีนาคม-พฤษภาคม
สว่ นใหญ่ในอดีตจะเป็นการแกบ้ นในเรอ5ื งท5ีเก5ียวกบั การเจ็บไขไ้ ดป้ ่วย การใหไ้ ดม้ าในส5งิ ท5ีตนปราถนา กลายเป็น
แกบ้ นในเรอ5ื งอ5ืน ๆ
3. ป5ีพาทย ์
อยธุ ยานบั เป็นถ5ินท5ีมีวงป5ีพาทยแ์ หลง่ ใหญ่แหลง่ หนง5ึ ในทอ้ งถ5ินภาคกลาง มีอยดู่ ว้ ยกนั หลายวง โดยสบื ทอด
หลกั การทางเพลงดนตรไี ทยจากบา้ นครู จางวางท5วั พาทยโกศล ไวอ้ ยา่ งเหนียวแนน่ ไมม่ ีการเปล5ยี นแปลงแต่
อยา่ งใด จงึ มีเพลงไทยเก่าแบบโบราณอยมู่ าก
การแสดงป5ีพาทย์ จะใชแ้ สดงทงัG งานมงคลและงานอวมงคล เชน่ งานบวช งานแตง่ งานศพ ฯลฯ และเครอ5ื งใชท้ 5ี
เลน่ จะขนึG อยกู่ บั เจา้ ภาพวา่ ตอ้ งการเครอ5ื งนอ้ ยหรอื เครอ5ื งมาก
4. นางตาล
เป็นการละเลน่ ของชาวอาํ เภอทา่ เรอื จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา โดยวิธีเลน่ ในสมยั ก่อนนิยมเลน่ กนั ในตอน
กลางคืน กลางวนั เลน่ ไมไ่ ด้ โดยนาํ ใบตาลมาวางท5ีพืนG ดนิ ใชค้ รกคว5าํ ทบั ผทู้ 5ีจะเขา้ ทรงผีนางตาลไปน5งั บนกนั ครก
พนมมือไว้ คนอ5ืน ๆ จะรอ้ งเพลงไปจนกวา่ ผีจะเขา้ ทรง โดยสงั เกตจากมือท5ีพนมส5นั แลว้ น5งั เฉย เพ5ือนจะไปกระซบิ
ท5ีขา้ งหวู า่ มาจากไหน ชอบเพลงอะไร แลว้ จะชว่ ยกนั รอ้ งเพลง ซง5ึ สว่ นใหญ่จะเป็นเพลงรอ่ นหรอื เพลงแถ คนท5ี
ทรงผีจะลกู ขนึG ราํ พอเพลงจบก็จะน5งั ลง คนอ5ืน ๆ จะเขา้ ไปถามและรอ้ งเพลงใหร้ าํ อีก เม5ือเหน็ วา่ คนทรงผีเหน5ือย
มากแลว้ ก็จะไป กระโต๊ก ดงั ๆ ท5ีขา้ งหู จนกวา่ ผีจะ
ออก และจะถามหรอื เรยี กช5ือ เม5ือรูส้ กึ ตวั ก็จะเลกิ เลน่ หรอื จะสบั เปล5ยี นใหค้ นอ5ืนมาทรงผีเลน่ กนั ตลอดคืนก็ได ้
5. เพลงเรอื
เพลงเรอื เป็นเพลงพืนG บา้ นท5ีเลน่ กนั ในฤดนู าGํ หลาก เป็นเพลงปฏิพากยช์ นิดเดียวท5ีรอ้ งเลน่ กลางลาํ นาGํ โดยพอ่
เพลงและแมเ่ พลงอยคู่ นละลาํ จงั หวดั ท5ีเลน่ เพลงเรอื ไดแ้ ก่ จงั หวดั ท5ีอยรู่ มิ แมน่ าGํ ในภาคกลาง เชน่ อยธุ ยา
อา่ งทอง สงิ หบ์ รุ ี สพุ รรณบรุ ี ลพบรุ ี และ พิษณโุ ลก เพลงเรอื สว่ นใหญ่จะถนดั รอ้ งบทชิงชู้ ฉนั ทลกั ษณเ์ หมือน
เพลงปรบไก่
ลกั ษณะการรอ้ งเพลงเรอื จะเป็นการรอ้ งโตต้ อบกนั ระหวา่ งชายและหญิง ซง5ึ พายเรอื กนั ฝ่ายละลาํ แตล่ ะฝ่ายจะมี
ตน้ เสยี ง คือ คนรอ้ งนาํ และมีลกู ครู่ บั ของแตล่ ะฝ่าย เครอ5ื งดนตรใี ชป้ ระกอบ คือ กรบั และฉ5ิง การแตง่ กายฝ่าย
ชายนงุ่ กางเกงแพร หรอื โจงกระเบน ใสเ่ สอืG ไมจ่ าํ กดั สไี มจ่ าํ กดั แบบ มีผา้ ขาวมา้ คาดพงุ ฝ่ายหญิงนิยมนงุ่ โจง
กระเบนสที บึ ๆ เสอืG เป็นคอกลมแขน ๓ สว่ น นิยมใสส่ เี ดียวกนั ทงัG ลาํ เรอื สวนใสเ่ ครอ5ื งประดบั เตม็ ท5ี
โอกาสท5ีเลน่
เพลงเรอื อยธุ ยาเป็นเพลงพืนG บา้ นเลน่ อยตู่ ามลมุ่ นาGํ ท5วั ไป เลน่ เฉพาะในเทศกาลไหวพ้ ระท5ีวดั หรอื เรยี กสนัG ๆ วา่
"ไหวว้ ดั " คือ ตงัG แตเ่ ดือน ๑๑ ไปจนถงึ แรม ๘ ค5าํ และงานเทศกาลทอดกฐินและผา้ ป่า นิยมเลน่ ตอนกลางคืน
คณุ คา่
ผเู้ ลน่ ไดร้ บั ความสนกุ สนานและไดร้ ูจ้ กั ทกั ทายกนั เป็นการเกียG วกนั ระหวา่ งชายและหญิง ผชู้ มจะไดร้ บั ความ
เพลดิ เพลนิ
2.4 หาอารประจาถนิ่
ในสมยั กรุงศรีอยธุ ยาคนไทยกินอาหารเรียบงา่ ย รู้จกั การถนอมอาหาร ทาปลาเคม็ เครื่องจิ้ม กะปิ นิยมกินสตั วน์ ้ามากกว่าสตั วบ์ ก
เพราะมีแม่น้าลอ้ มรอบ และเร่ิมมีการติดต่อกบั ตา่ งประเทศ ในสมยั อยธุ ยาตอนปลายไดร้ ับอทิ ธิพลของอาหารจีนมากข้ึน รวมท้งั อาหาร
โปรตุเกสในสมยั สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เร่ิมมีความแตกตา่ งระหว่างอาหารราชสานกั กบั อาหารชาวบา้ น ราชสานกั เร่ิมมีการติดตอ่
กบั เขมร จึงอาจเป็นจุดเริ่มตน้ ของการถา่ ยเทระหวา่ งอาหารไทยและเขมร
“กบั ขา้ ว” ของชาวไทยน้นั มีน้าพริกผกั จิ้ม เรากินผกั สด ผกั ตม้ ผกั ยา่ งคู่กบั น้าพริก ค่กู บั ปลายา่ ง ปลาน่ึง ปลาแห้ง ปลาเคม็ แกงก็เป็นแกง
ง่าย ๆ ใชว้ ตั ถุดิบที่มีในทอ้ งถ่ินและที่หาไดต้ ามฤดูกาล ชาวไทยในอดีตน้นั กินง่าย
ปัจจบุ นั อาหารนา้ พรกิ กะปิ ผกั ตม้ หรือปลาย่าง กย็ งั ไดร้ บั ความนิยมอย่เู ร่ือยมา
อาหารขนึ้ ช่อื ประจาจงั หวดั อยธุ ยา ณ ปัจจบุ นั นี้
“กงุ้ แมน่ า้ เผา” ซง่ึ จบั ไดใ้ นแม่นา้ เจา้ พระยา กงุ้ แม่นา้ ท่จี บั ไดจ้ ะมีขนาดใหญ่เป็นพเิ ศษ เน่อื งดว้ ย
ความอดุ มสมบรู ณใ์ นแม่นา้ น่นั เอง หากหวิ ทอ้ งเม่ือไรก็สามารถตระเวนหากินไดต้ ามรา้ นอาหารท่ี
เรยี งรายอยตู่ ามรมิ แม่นา้ ในเกาะเมือง กินกงุ้ เผาตวั โตๆ พรอ้ มน่งั ชมวิวริมแม่นา้ มนั จะอรอ่ ยขนาด
ไหน ไปลองกนั ได้
“ก๋วยเต๋ียวเรือ” ก็เป็นอีกหน่ึงอาหารขึน้ ช่อื ของอยธุ ยา รา้ นกว๋ ยเต๋ยี วเรืออรอ่ ยๆ มอี ยทู่ ่วั เกาะเมือง
สว่ นใหญ่เป็นรา้ นกว๋ ยเต๋ียวเรือท่ยี กเรือขนึ้ บกแลว้ แต่รสชาตยิ งั เขม้ ขน้ ถงึ ใจเช่นดงั อดตี นา้
ก๋วยเต๋ยี วสขี น้ จากซอี วิ๊ ดา เตา้ หยู้ ี้ คอื เสนห่ ข์ องรสชาติท่ีลมื ไมล่ ง
“โรตสี ายไหม” ลา้ งปากสกั ชนิ้ สองชนิ้ ก็นบั วา่ เขา้ ท่าไม่นอ้ ย โรตสี ายไหมถือเป็นของกินขนึ้ ช่อื อกี
อย่างหนึง่ ของอยธุ ยาท่ไี ม่ควรพลาด แปง้ โรตที ่นี ่มุ ลิน้ ผสานกบั นา้ ตาลเสน้ ละเอยี ดด่งั ปยุ เมฆ ไดก้ ิน
แลว้ รบั รองวา่ วางไมล่ ง
ภมู ิปัญญาทอ้ งถนิ่ จงั หวัดพระนครศรีอยธุ ยา
พดั สาน
พัดสาน เปน็ ของใชส้ ำหรับโบกเตาไฟของคนไทยในสมยั กอ่ น หรือใชส้ ำหรบั โบกพัดรา่ งกายใหห้ ายคลายจากความ
ร้อนได้ สามารถทีจ่ ะนำตดิ ตวั ไปไหนมาไหนไดอ้ ยา่ งสะดวก วสั ดทุ ใ่ี ชพ้ ัดสานเปน็ ผลผลิตจากพืชพรรณธรรมชาติใน
ท้องถิน่ คือ ไมไ้ ผ่
การประดิษฐ์ดอกไม้จากตน้ โสน
คนไทย เปน็ ชนชาตหิ นึ่งที่มีนิสยั ในการประดิษฐ์คดิ คน้ สรา้ งสรรค์ และนิสัยดดั แปลง สิง่ ทมี่ ีอยู่ตามธรรมชาติและ
สงิ่ แวดล้อมในทอ้ งถิ่นต่าง ๆ เพือ่ นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวนั เช่น รจู้ กั ประดิษฐ์ดอกไม้จากต้นไม้ท่ี
ข้นึ เองตามธรรมชาติ ให้เกดิ เปน็ ศลิ ปะท่ีมีคุณคา่ ต่าง ๆ ตามประโยชน์ใชส้ อย
การทำงอบ
ศลิ ปะการทำงอบ เปน็ งานซ่งึ ต้องใช้ความชำนิชำนาญ และความประณตี ละเอยี ดอ่อนเปน็ อย่างสงู ไมแ่ พ้ผลงานจัก
สานประเภทอื่นๆ การทำงอบของไทยปรากฏอยู่โดยทั่วไปในทุกภาคซึ่งก็มศี ิลปะเฉพาะเป็นแบบฉบับของแต่ละ
ภาคท่ีแตกตา่ งกนั ไปแตก่ ลา่ วโดยสรปุ
การปั้นตุ๊กตาดินเผาชาวบ้าน
ตุ๊กตาดินเผาของไทย เป็นศิลปะพื้นบ้านที่ทำติดต่อกันมานานและทำขึ้นตามคติประเพณีการใช้สอยใน
ชีวิตประจำวันของชาวบ้านที่เกิดขึ้นตามลักษณะนิสัยของคนไทย เป็นความคิดในการประดิษฐ์ให้เป็นตุ๊กตา
ชาวบ้าน ซงึ่ ชาวบ้านมไิ ด้มกี ารเรียนรู้จากโรงเรียน แตเ่ ปน็ การเรียนรโู้ ดยการถา่ ยทอดจากการสังเกต
เคร่อื งประดับมุก
งานประดับมกุ เปน็ งานช่างอกี แขนงหน่งึ ที่อาศัยฝีมอื และความละเอียดอ่อนโดยการนำเอาเปลือกหอยบางชนดิ ท่ีมี
คุณลักษณะพิเศษ คือมีความแวววาว สามารถสะท้อนแสงแล้วเกิดเป็นสีเหลือบเรืองรองต่างๆคล้ายสีรุ้ง
คณุ ลกั ษณะของเปลือกหอยเช่นนีภ้ าษาชา่ งเรียกวา่ “มีไฟดี”
มีดอรญั ญิก
ความรเู้ ร่ืองเหล็กและเทคโนโลยใี นการถลงุ เหล็กแยกเหลก็ จากแร่ธรรมชาติ จนสามารถนำมาหลอ่ หรือตขี ้ึนรปู เป็น
เครื่องใชไ้ มส้ อย บรรพบุรษุ ของมนุษยเ์ ราไดใ้ ชก้ ารฟนั ฝา่ อปุ สรรคตา่ ง ๆ เพื่อความอยูร่ อดของชวี ิต ทำอาวุธล่าสัตว์
หาอาหาร ปลูกพชื ตัดไม้ ทำท่อี ยอู่ าศัย ปกปอ้ งตนเองและเผ่าพนั ธใ์ุ หร้ อดพน้ จากศตั รูนานาชนิด
จดุ เดน่ อตั ลกั ษณ์ เอกลกั ษณ์
ศกั ยภาพทอ้ งถนิ่ ดา้ นเศรษฐกจิ
1. การเพาะปลกู ประชากรในภาคกลางมกี ารปลกู ขา้ วเป็ นอาชพี
หลกั เพราะอยใู่ นบรเิ วณทอ่ี ดุ มสมบรู ณแ์ ละเป็ นทรี่ าบลมุ่ แมน่ ้ำ
สว่ นการปลกู พชื ไรจ่ ะปลกู บรเิ วณจังหวดั ลพบรุ ี สระบรุ ี
สพุ รรณบรุ ี นครปฐม
2. การเลยี้ งสตั ว์ มกี ารเลยี้ งสตั วเ์ พอื่ เป็ นอาหาร เชน่ สกุ ร เป็ ด
ไก่
3. การประมง มกี ารทำประมงน้ำจดื มากทสี่ ดุ สว่ นประมงน้ำเค็ม
และน้ำกรอ่ ยจะอยบู่ รเิ วณจังหวดั ทอี่ ยตู่ ดิ ชายฝั่งทะเล
4. อตุ สาหกรรม เป็ นภาคทม่ี กี ารทำอตุ สาหกรรมมากทสี่ ดุ เชน่
อตุ สาหกรรมอาหารกระป๋ อง ประกอบรถยนต์ โรงงานปนู ซเิ มนต์
ซง่ึ สว่ นใหญจ่ ะตงั้ อยใู่ นกรงุ เทพฯและจังหวดั ปรมิ ณฑล
5. การคา้ และบรกิ าร เป็ นอาชพี ทมี่ มี ากทสี่ ดุ มที งั้ การคา้ ภายใน
และตา่ งประเทศ รวมทงั้ การบรกิ ารดา้ นตา่ ง ๆ เชน่ การ
ทอ่ งเทย่ี ว การธนาคาร การแพทย์ เป็ นตน้
จดุ เดน่ อตั ลกั ษณ์ เอกลกั ษณ์ ศกั ยภาพท อ้ งถน่ิ ดา้ นสงั คม
บรเิ วณภาคกลางเป็ นแหลง่ อดุ มสมบรู ณ์ เป็ นทตี่ งั้ ของชมุ ชนทงั้
ในระดบั หมบู่ า้ น และระดบั เมอื งมาเป็ นเวลาชา้ นาน ผคู ้ นมวี ถิ ี
ชวี ติ ทแ่ี ตกตา่ งไปจากภาคเหนอื ภาคอสี าน และภาคใต ้ ดงั ท่ี
ธดิ า สาระยา กลา่ วไวใ้ นความแตกตา่ งทางภมู ศิ าสตร์ และสงั คม
แวดลอ้ มทางวฒั นธรรม ในภาคตา่ งๆ ของประเทศไทยตอนหนง่ึ
วา่ ภาคกลางพน้ื ทส่ี ว่ นใหญ่ เป็ นบรเิ วณดนิ ดอนสามเหลย่ี ม อนั
เกดิ จากการทบั ถมของแมน่ ้ำหลายสายทไ่ี หลลงสมู่ าจากภเู ขา
และทสี่ งู ทางภาคเหนอื ซง่ึ ไดแ้ ก่ ลำน้ำปิง วงั ยม นาน ทมี่ ารวม
กนั เป็ นลำน้ำเจา้ พระยา ในเขตจังหวดั นครสวรรค์ และบรรดาลำ
น้ำทไี่ หลมาจากทวิ เขาถนนธงชยั – ตะนาวศรี ทางดา้ นตะวนั จก
และทวิ เขาเพชรบรู ณ์ – ดงพระยาเย็นทางภาคตะวนั ออก ลำน้ำ
เหลา่ นส้ี ำคญั ไดแ้ ก่ แมน่ ้ำเพชรบรุ ี แมน่ ้ำแมก่ ลอง แมน่ ้ำทา่ จนี
ซงึ่ มตี น้ น้ำมาจากเทอื กเขาทางดา้ นตะวนั ตก และแมน่ ้ำลพบรุ ี
แมน่ ้ำป่ าสกั และแมน่ ้ำบางปะกง ลว้ นมตี น้ น้ำจากเทอื กเขาทาง
ดา้ นตะวนั ออก ลำน้ำเหลา่ นไี้ ดพ้ ากรวดทรายและโคลนตะกอน
มาทบั ถม ทำใหเ้ กดิ ทรี่ าบลมุ่ กวา้ งไพศาลทเ่ี รยี กวา่ ลมุ่ น้ำ
เจา้ พระยา บรเิ วณสว่ นยอดของดนิ ดอนสามเหลยี่ มอยใู่ นเขต
จังหวดั นครสวรรค์ และมฐี านทางตะวนั ตกและตะวนั ออกอยใู่ น
เขตจังหวดั เพชรบรุ ี และชลบรุ ตี ามลำดบั สว่ นใหญ่ สว่ นใหญ่
ของทร่ี าบลมุ่ หรอื ดนิ ดอนสามเหลยี่ มของแมน่ ้ำเจา้ พระยาน้ี เป็ น
ทร่ี าบลมุ่ น้ำทว่ มถงึ ในฤดนู ้ำ เหมาะแกก่ ารปลกู ขา้ วเป็ นอยา่ ง
มาก เพราะสามารถปลกู ไดท้ งั้ ขา้ วนาดำ และนาหวา่ น น่ันกค็ อื
บรเิ วณใดทเ่ี ป็ นทค่ี อ่ นขา้ งดอน หรอื ทไ่ี มล่ มุ่ จนเกนิ ไป กป็ ลกู
ขา้ วนาดำได ้ สว่ นบรเิ วณทเ่ี ป็ นทลี่ มุ่ ต่ำเวลาน้ำทว่ มมรี ะดบั สงู ก็
ตอ้ งปลกู ขา้ วชนดิ ทเี่ หมาะกบั นาหวา่ น โดยเหตทุ เี่ ป็ นบรเิ วณ
ทรี่ าบลมุ่ อดุ มสมบรู ณม์ นี ้ำหลอ่ เลยี้ งเมอ่ื ถงึ ฤดกู าล ทำใหเ้ ป็ น
แหลง่ ปลกู ขา้ ว ซง่ึ เป็ นอาหารหลกั ของคนในภมู ภิ าคเอเชยี จงึ มี
ผคู ้ นอพยพ หรอื เคลอื่ นยา้ ยลงมาตงั้ หลกั แหลง่ ในบรเิ วณลมุ่ น้ำ
เจา้ พระยามากกวา่ บรเิ วณอนื่ ๆ ของประเทศ การเคลอ่ื นยา้ ยดงั
กลา่ วนเี้ ป็ นกระบวนการเรอ่ื ยมาตงั้ แตส่ มยั ตอนปลายของยคุ กอ่ น
ประวตั ศิ าสตรแ์ ลว้
จดุ เดน่ อตั ลกั ษณ์ เอกลกั ษณ์
ศกั ยภาพทอ้ งถนิ่ ดา้ นสง่ิ แวดลอ้ ม
ภาคกลางมที วิ เขาเป็ นขอบเขตอยทู่ งั้ สามดา้ น เวน้ แตบ่ รเิ วณ
ชอ่ งวฒั นาทางดา้ นทศิ ตะวนั ออก ในตอนกลางของพน้ื ทม่ี หี มู่
ภเู ขาเล็ก ๆ ตงั้ อยบู่ า้ ง เป็ นแขนงซง่ึ กระจายออกมาจากทวิ เขาที่
เป็ นขอบเขตนั่นเอง ทวิ เขาทอ่ี ยใู่ นพนื้ ทต่ี อนในของทรี่ าบภาค
กลางมอี ยทู่ วิ เดยี วคอื ทวิ เขาเพชรบรู ณ์ ซง่ึ ไดแ้ บง่ ทร่ี าบภาค
กลางออกเป็ นสองสว่ นคอื ทร่ี าบลมุ่ น้ำเจา้ พระยา และทร่ี าบ
ลมุ่ น้ำป่ าสกั ภาคกลางมลี กั ษณะภมู อิ ากาศเป็ นแบบทงุ่ หญา้
เมอื งรอ้ น คอื มฝี นตกปานกลาง และสลบั กบั ฤดแู ลง้ บรเิ วณภาค
กลางตอนลา่ งจะมอี ากาศชมุ่ ชน้ื มากวา่ เนอื่ งจากอยใู่ กลท้ ะเล
มากกวา่ ภาคกลางตอนบน ภาคกลางไดร้ ับอทิ ธพิ ลจากลมมรสมุ
ตะวนั ตกเฉยี งใตท้ น่ี ำความชมุ่ ชนื้ มาสภู่ าคกลาง มกี ารวางตวั
ของแนวภเู ขาตะนาวศรี และภเู ขาถนนธงชยั ในลกั ษณะเหนอื -ใต ้
ทำใหส้ ว่ นทเี่ ป็ นหลงั เขามฝี นตกนอ้ ย ความใกลไ้ กลทะเลทำให ้
อณุ หภมู ขิ องอากาศแตกตา่ งกนั มากระหวา่ งฤดรู อ้ นกบั ฤดหู นาว
-ภาคกลางมอี ณุ หภมู เิ ฉลยี่ ประมาณ 27-28 องศาเซลเซยี ส ซงึ่
อากาศคอ่ นขา้ งรอ้ น -ปรมิ าณน้ำฝนของภาคเฉลย่ี ประมาณ
1,375 มลิ ลเิ มตร พน้ื ทสี่ ว่ นใหญจ่ ะอยใู่ นเขตอบั ฝน -ฝนตกมาก
สดุ ในเดอื นกนั ยายน จังหวดั ทมี่ ปี รมิ าณฝนมากทส่ี ดุ คอื
กรงุ เทพฯ และจังหวดั ทมี่ ปี รมิ าณฝนนอ้ ยทสี่ ดุ คอื นครสวรรค์
แหลง่ ทอ่ งเท*ียวทางวฒั นธรรมประจาํ ทอ้ งถ*ิน
;.วดั พระศรสี รรเพชญ ์
วดั พระศรสี รรเพชญ์ หรอื วดั พระศรสี รรเพชญ หนง*ึ ในมรดกโลกอดีตวดั หลวงประจาํ พระราชวงั โบราณอยธุ ยา ตงัN อยทู่ *ี
ตาํ บลประตชู ยั อาํ เภอพระนครศรอี ยธุ ยา เป็นอดีตวดั หลวงประจาํ พระราชวงั โบราณอยธุ ยา สรา้ งขนึN ราวปี พ.ศ. TUVW โดย
สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ วดั พระศรสี รรเพชญ์ มีจดุ ท*ีนา่ สนใจท*ีสาํ คญั คือ เจดียท์ รงลงั กาสามองคท์ *ีตงัN ตะหงา่ น เรยี ง
รายเป็นแนวอยา่ งอยา่ งโดดเดน่ เป็นโบราณสถานท*ีสาํ คญั ของไทยท*ีมีมนตเ์ สนห่ ส์ วยงาม เม*ือเดนิ ผา่ นกาํ แพงเขา้ ไป
เหมือนประตสู กู่ าลเวลา มองเหน็ เจดียท์ รงลงั กา สามองคท์ *ีตงัN ตะหงา่ นเป็นจดุ เดน่ รอบพระเจดียย์ งั รายลอ้ มดว้ ยพระ
อโุ บสถ พระวิหาร ท*ีวางผงั การก่อสรา้ งไดเ้ ป็นระเบียบ นบั วา่ โบราณสถานท*ีสาํ คญั ของไทยท*ีสบื ทอดมาจากบรรพบรุ ุษ ทกุ
อยา่ งยงั คงไวด้ ว้ ยความขลงั ศกั ดสิ[ ทิ ธิ[ มีมนตเ์ สนห่ ท์ *ีสวยงาม
T.วดั มหาธาต ุ
ตงัN อยเู่ ชิงสะพานป่าถ่าน ทางทิศตะวนั ออกของวดั พระศรสี รรเพชญ์ มีส*งิ ท*ีโดดเดน่ คือ เศียรพระพทุ ธรูปกวา่ รอ้ ยปีในราก
ไม้ โดยเศียรพระพทุ ธรูปเป็นพระพทุ ธรูปหินทรายเหลอื แคส่ ว่ นเศียร สาํ หรบั องคพ์ ระนนัN หายไปและเป็นเศียรพระพทุ ธรูป
ศลิ ปะอยธุ ยาวางอยใู่ นรากโพธิ[ขา้ งวิหาร คาดวา่ เศียรพระพทุ ธรูปนีจN ะหลน่ ลงมาอยทู่ *ีโคนตน้ ไม้ ในสมยั เสยี กรุงจนรากไม้
ขนึN ปกคลมุ ทาํ ใหม้ ีความงดงามแปลกตาทาํ ใหว้ ดั แหง่ นีN กลายเป็นวดั ท*ีมีช*ือเสยี งและเป็นท*ีรูจ้ กั ทงัN ชาวไทย และ
ชาวตา่ งชาติ โดยพระปรางคข์ นาดใหญ่ ซง*ึ ในปัจจบุ นั พงั ทลายลงมาหมดแลว้ ท*ีฐานของพระปรางค์ มีรูปราชสหี ์ หมี หงส์
นกยงู กินนร โค สนุ ขั ป่า กระบือ มงั กร เรยี งรายอยโู่ ดยรอบรูปเหลา่ นีอN าจ หมายถงึ สตั วใ์ นป่าหิมพานตท์ *ีรายลอ้ มอยเู่ ชิงเขา
พระสเุ มรุ ซง*ึ เป็นแกนกลางของจกั รวาล เจดียแ์ ปดเหล*ยี ม เป็นเจดียล์ ดหล*นั กนั ^ ชนัN _ เหล*ยี ม ชนัN บนสดุ ประดษิ ฐาน
ปรางคข์ นาดเลก็ ซง*ึ เจดียอ์ งคน์ ีN จดั วา่ เป็นเจดียท์ *ีแปลกตา พบเพียงองคเ์ ดียวในอยธุ ยา และ พระปรางคข์ นาด กลาง
ภายในพระปรางค์ มีภาพจิตรกรรม เรอื นแกว้ ซง*ึ เป็นตอนหนง*ึ ในพทุ ธประวตั Wิ ตาํ หนกั พระสงั ฆราช บรเิ วณพืนN ท*ีวา่ ง
ทางดา้ นทิศตะวนั ตก เป็นสถานท*ีท*ีเป็นท*ีตงัN พระตาํ หนกั พระสงั ฆราช ราชทตู ลงั กาไดบ้ อกไวว้ า่ เป็นตาํ หนกั ท*ีสลกั ลวดลาย
ปิดทอง มีมา่ นปักทอง พืนN ปพู รมมีขวดปักดอกไมเ้ รยี งราย เป็นแถวเพดานแขวนอจั กลบั (โคม) มีบงั ลงั ก์ T แหง่
V.วดั ภเู ขาทอง
วดั เก่าแก่ท*ีสาํ คญั ในอยธุ ยา งดงามดว้ ยโบราณสถาน คือ เจดียภ์ เู ขาทองสขี าว โดดเดน่ มองเหน็ ไดใ้ นระยะไกล มีบนั ไดสี
ขาวทอดยาวไปถงึ ยอดพระเจดีย์ มีระเบียงท*ีสามารถชมวิวทอ้ งทงุ่ นาได้ นบั เป็นเจดียท์ *ีแปลกตา เพราะปกตหิ ากนกึ ถงึ วดั
ในอยธุ ยา จะคนุ้ เคยแตภ่ าพวดั ท*ีเป็นโบราณสถานท*ีก่อดว้ ยอิฐสนี าNํ ตาล นอกจากนีภN ายในวดั ยงั มีโบราณสถานเก่าแก่ท*ีก่อ
ดว้ ยอิฐท*ีงดงามไมแ่ พก้ นั ซง*ึ ปัจจบุ นั กาํ ลงั บรู ณะซอ่ มแซม
ประวตั ขิ องวดั ภเู ขาทอง พระเจา้ หงสาวดีบเุ รงนองเป็นผสู้ รา้ งเม*ือพ.ศ. T;;T คราวยกทพั มาตีกรุงศรอี ยธุ ยาในเวลาท*ี
ประทบั อยพู่ ระนครศรอี ยธุ ยาไดส้ รา้ งพระเจดียภ์ เู ขาทองใหญ่ แบบมอญขนึN ไวเ้ ป็นท*ีระลกึ เม*ือคราวรบชนะไทย โดยรูปแบบ
ของฐานเจดียม์ ีลกั ษณะคลา้ ยกบั แบบมอญพมา่ สนั นิษฐานวา่ สรา้ งเจดียอ์ งคน์ ีขN นึN เพ*ือชยั ชนะแตท่ าํ ไดเ้ พียงรากฐานแลว้
ยกทพั กลบั ครงัN สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราชทรงกอบกเู้ อกราชกลบั คืนมา เม*ือพ.ศ. T;Tc จงึ โปรดเกลา้ ฯใหส้ รา้ งเจดียแ์ บบ
ไทยไวเ้ หนือฐานแบบมอญ และพมา่ ท*ีสรา้ งเพียงรากฐานไว้ ณ สมรภมู ิทงุ่ มะขามหยอ่ ง ฝีมือชา่ งมอญเดมิ จงึ ปรากฏเหลอื
เพียงฐานทกั ษิณสว่ นลา่ งเทา่ นนัN เจดียภ์ เู ขาทองจงึ มีลกั ษณะสถาปัตยกรรมสองแบบผสมกนั
^.วดั พทุ ไธศวรรย ์
เป็นพระอารามหลวงท*ีใหญ่โตและมีช*ือเสยี งวดั หนง*ึ ปรากฏตามตาํ นานวา่ สมเดจ็ พระรามาธิบดีท*ี ; (พระเจา้ อทู่ อง) เป็น
อีกวดั หนง*ึ ท*ีมิไดถ้ กู พมา่ ทาํ ลายเหมือนวดั อ*ืนจงึ ยงั มีโบราณสถานไวช้ มอีกมากมาย ทงัN ปรางคป์ ระธาน ศลิ ปะแบบขอม
พระวิหารหลวง บรเิ วณดา้ นหลงั ประดษิ ฐาน พระพทุ ธรูปปางไสยาสนข์ นาดใหญ่
ส*งิ ท*ีโดดเดน่ ท*ีสดุ ภายในวดั พทุ ไธศวรรยก์ ็คือ "พระมหาธาต"ุ หรอื ปรางคป์ ระธานสขี าวสะอาดตา มีลกั ษณะสถาปัตยกรรม
แบบปราสาทขอม หนั หนา้ ไปทางทิศตะวนั ออก ตงัN อยบู่ นฐานไพทีท*ีรองรบั ไปถงึ มณฑปท*ีอยทู่ างดา้ นทิศเหนือและทิศใตอ้ ีก
T หลงั มีบนั ไดขนึN T ทาง คือทางทิศตะวนั ออกและทางทิศตะวนั ตก บรเิ วณรอบพระปรางคจ์ ะมีพระระเบียง ดา้ นนอกทบึ
ดา้ นในมีเสารบั เครอ*ื งบนหลงั คาและชายคาเป็นระยะ ๆ มีพระพทุ ธรูปสที องอรา่ มศลิ ปะแบบสโุ ขทยั เรยี งรายอยอู่ ยา่ ง
สวยงาม นอกจากจะเป็นวดั ท*ีมีช*ือเสยี งดา้ นประวตั ศิ าสตรอ์ นั ยาวนานและสาํ คญั แลว้ วดั พทุ ไธศวรรยย์ งั ถกู พดู ถงึ ในแง่
ท*ีวา่ เป็นวดั ท*ีมีพระพทุ ธรูปและเครอ*ื งรางศกั ดสิ[ ทิ ธิ[ ดา้ นในอโุ บสถเป็นสถานท*ีประดษิ ฐานของ "หลวงพอ่ ดาํ " พระพทุ ธรูป
ปนู ปัNนสดี าํ ปางมารวิชยั ลกั ษณะศลิ ปะแบบอยธุ ยาตอนตน้ สมยั ก่อนใครเจ็บป่วยก็มาขอหลวงพอ่ ดาํ ใหห้ ายเจ็บป่วย ขอ
บตุ รก็จะไดบ้ ตุ ร และยงั มีการเลา่ ขานกนั วา่ อดีตวดั แหง่ นีเN ป็นสถานท*ีฝึกอาวธุ ยทุ โธปกรณข์ องทหารก่อนท*ีจะออกศกึ
สงคราม จงึ เป็นสถานท*ีศกั ดสิ[ ทิ ธิ[ดา้ นอยยู่ งคงกระพนั
Fก ก
ก . ก. .
ก . F
FF FF
กF F . F Fˈ
1. ก F
3. 2. F ก F
F Fˈ F F
Fก ก
กF
F ก ก 3.208 ก .
ก ʾ 2537- 2539
ก ก ʾ 2537- 2539 46,866,000
ʾ
Fʾ ก.
F F
ʾF ʾ 2537 46,866,000
กˈ F Fʾ ʾ 2538 46,866,000
ʾˆ ʾ Fʾ F ʾ 2539 50,299,000
F ก. ก
ก
กF 1. ก F ก .0+000 ก .1+000
Fˆ 2. F ก .1+000 ก .2+000
3. F ก .2+000 ก .3+208