ความรูเ้ กยี่ วกบั เครอื่ งประกอบเกยี รตยิ ศ
พระโกศและหบี ศพบรรดาศกั ดิ์
กลมุ่ อำนวยกำรพธิ กี ำรศพทไี่ ดร้ บั พระรำชทำน ที่ ๑๔ พงั งำ
สานกั งานวฒั นธรรมจงั หวดั พงั งา
เรียบเรียงโดย...นายศภุ รกั ษ์ พรหมอนุรักษ์ นกั วิชาการวัฒนธรรม
โกศ
พระบรมโกศ พระโกศและโกศ คือ ที่ใส่พระบรมศพพระมหากษัตริย์ พระบรมราชินีและพระบรมวงศ์กับโกศท่ี
พระราชทานสำหรับศพข้าราชการ ตามคตินิยมของพราหมณ์ที่เชื่อว่าต้องตั้งพระบรมศพ พระศพและศพในท่ายืน, นั่ง,
คุกเข่า หรือกอดเข่าประสานมือ เพื่อส่งดวงพระวิญญาณ/วิญญาณกลับสู่สรวงสวรรค์ในสมัยปัจจุบันโกศมักจะเป็นเพียง
เครอ่ื งประกอบเกยี รติยศเทา่ นัน้ เพราะส่วนมากจะเชิญลงหีบไว้ด้านหลงั
พระโกศที่ประดิษฐานพระบรมศพ พระศพ ตลอดจนโกศที่บรรจุศพข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ดำรงตำแหน่งสำคัญ
หรอื บรรดาผู้ทไ่ี ดร้ บั พระราชทานเคร่อื งราชอสิ ริยาภรณช์ ั้นสายสะพายขนึ้ ไปนั้นเท่าท่ีเห็น ณ ทีป่ ระดษิ ฐานหรือท่ีต้ังบำเพ็ญ
กศุ ลอยนู่ ้นั มี ๒ ช้นั คอื ชน้ั ในและช้นั นอก
ชนั้ ใน เปน็ โลหะทรงกระบอกผิวเกลย้ี งปากผายเอวคอดเลก็ นอ้ ย ฝามยี อดแต่ไม่สงู นัก ทาสีทองหรอื ปิดทองตลอด
ชั้นนอก สำหรับประกอบหุ้มชั้นในไว้ให้มิดชิด ทรงกระบอกปากผาย เอวคอด ยกเหลี่ยมเป็นแปดเหลี่ยมก็มี
เป็นสี่เหลี่ยมคล้ายมณฑปพระไตรปิฎกก็มี เป็นสี่เหลี่ยมเอวคอดย่อมุมไม้สิบสองก็มี และทรงกลมไม่มีเหลี่ยมก็มี ส่วนใหญ่
ทำด้วยไม้ ด้านนอกจำหลักลวดลายบุทองคำแท้ก็มี จำหลักเป็นลายบัวกลีบขนุนซ้อนลงรักปิดทองแกมแก้วก็มี เป็นลาย
กนกฝั่งมุกก็มี ฝาแหลมสูงขึ้นเหมือนยอดมงกุฎที่เรียกกันว่า ยอดทรงมงกุฎบ้าง ยอดดังยอดมณฑปบ้าง ยอดดังปราสาท
บ้าง มีพุ่มข้าวบิณฑ์ประดับยอดบ้าง มีเฟื่องห้อยรอบฝาบ้างไม่มีบ้าง แล้วแต่ชนิดของโกศ ถ้าเป็นโกศเจ้านายส่วนมาก
ประดับพ่มุ เฟ่ืองทง้ั นน้ั ฐานท่รี องรับทำคล้ายแบบฐานสิงห์ หรอื ฐานบัว เชิงฐานผายออกทำใหเ้ ชิงฐานสว่ นลา่ งสดุ กวา้ งเสมอ
ปากที่ผายออก และโดยเฉพาะองค์ที่หุ้มทองคำมีดอกไม้เพชรเป็นพุ่มข้าวบิณฑ์ มีดอกไม้ไหวที่ทำด้วยเงินประดับรัตนชาติ
แทรกระหว่างบวั กระจังบนฝาและมดี อกไมเ้ อวท้งั หมดทำด้วยเงนิ ประดบั รตั นชาติขาวเช่นกนั
ดังอธิบายย่อๆ พอเป็นเค้า ก็ก็ทำให้เกิดภาพพจน์บ้างว่า ชั้นนอกนั้นงามวิจิตรกว่าชั้นในมากนัก แต่ชื่อที่เรียก
กลบั กนั ไปกลับกนั มาสบั สน ในบางคร้ังบางสมยั ก็เรียกชน้ั นอกวา่ “พระลอง” ช้ันในวา่ “พระโกศ” บางสมยั กเ็ รียกชั้นนอก
ว่า “พระโกศ” ชัน้ ในวา่ “พระลอง” แต่ในปจั จุบันมีการเรยี ก “พระโกศทองใหญ่” เปน็ ตน้
พระลอง พระโกศทองใหญ่
*พระโกศ - พระลอง ในหมายเหตุท้ายเล่มจากหนังสืองานพระเมรุมาสสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ หนังสือที่ระลึกพระราชพิธี
ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗, กรมศิลปากร, อมรินทร์การพิมพ์, กรุงเทพ,
พ.ศ.๒๕๒๘, หนา้ ๔๑๓ - ๔๑๖
เรื่องการพระบรมศพในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น ไม่ปรากฏรายละเอียดในพระราชพิธีพงศาวดารแต่อย่างใด
มาปรากฏเรื่องการถวายพระเพลิงพระบรมศพที่พอจะให้ทราบพิธีการโดยสังเขปบ้าง ก็คราวพระเมรุมาศ
สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สมเด็จพระนารายณ์มหาราช สมเด็จพระเพทราชา
สมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั บรมโกษฐ์ แตไ่ มล่ ะเอียดพอทจ่ี ะให้ทราบได้วา่ ท่ีท่านเรยี กพระบรมโกศหรือพระโกศนั้นคือชั้นนอกหรือ
ชั้นใน เพราะเรียกรวม ๆ กันไป เช่นความในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาที่กล่าวถึง การเชิญพระบรมศพ
สมเด็จพระนารายณ์มหาราชสู่กรุงศรีอยุธยามีความว่า “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (พระเพทราชา) ก็อัญเชิญพระบรมโกษฐ
ลงสู่เรือพระที่นั่งศรีสรรถชัย อันอำไพด้วยเศวตมยุรฉัตร บังรวิวร บังแทรกไสว แห่เหนไปโดยลำดับ ชลมารควิถี ฯลฯ”
และในตอนถวายพระเพลิงพระบรมศพ มคี วามวา่ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ให้อัญเชิญพระบรมโกษฐลงจากพระมหาปราสาท
ที่นั่งสุริยามรินทร์ ประดิษฐานเหนือบุษบกพระมหาพิชัยราชรถ อันอลังการด้วยสุวรรณวิจิตรต่างๆ สรรพด้วยเศวตฉัตร
บวรฉตั รขนดั พระอภริ ุมชุมสายพรายพรรณ บังสรุ ิยันบงั แทรกสลอน พลแตรงอน แตรฝร่งั อโุ ฆษสังข์น่สี นั่น บนั ลอื ด้วยศัพท์
สำเนียงเสียงดุริยางค์ดนตรี ปีกลองชนะประโคมครั่นครื้นกึกก้องกาหลนนฤนาท และรถสมเด็จพระสังฆราชสำแดง
พระอภิธรรมคาถา และรถโปรยข้าวตอก ดอกไม้ รถโยง รถท่อนจันทน์ และรูปนานาสัตว์จตุบาทบวิบาททั้งหลาย
หลังมีสังเค็ดใส่ไตรจีจรเป็นคู่ ๆ แห่ดูมโหฬาราดิเรกพันลึก อทึกด้วยพลแห่เหนแน่นนันเป็นขนัด โดยกระบวนซ้ายขวา
หน้าหลงั ฝร่ังพรอ้ มด้วยท้าวพระยาเสนาบดีมนตรีลูกขุน ขา้ ทูลละอองธุลีพระบาทท้ังหลาย ลว้ นแต่งกายนงุ่ ผ้าขาวท้องขาว
กรวยเชิง ใส่ลอมพอกเสือ้ ครุยแวดล้อมพระพิชัยราชรถ และตามไปเบอื้ งหลังเปน็ อนั มาก ตามอยา่ งราชประเพณมี าแต่ก่อน
จึงขยายพยุหยาตราไปโดยรัถยาราชวัตรอันรายรื่นเรี่ยทรายสะอาดตาฯ ถึงพระเมรุมาศจึงเชิญพระบรมโกษฐประดิษฐาน
ในพระเมรุทอง”
จากข้อความดังกล่าวไม่ปรากฏคำว่า “พระลอง” มีแต่คำว่า “พระโกษฐ” ซึ่งน่าจะตีความว่า ท่านหมายรวมกัน
ทั้งชั้นนอกและชั้นใน ไม่มีการเรียกแยกให้เห็นพอจะถือเป็นบรรทัดฐานได้ แต่ที่ทราบกันโดยแจ่มชัดว่ามัยกรุงศรีอยุธยา
เรียกองค์ที่อยู่ชั้นใน ซึ่งเป็นโลหะผิวเกล้ียงที่ทรงพระบรมศพว่า “พระโกศ” และเรียกองค์ที่ประกอบชั้นนอกที่แลดงู ดงาม
นั้นว่า “พระลอง” เมื่อพบต้นฉบับเดิมเรื่อง “กฎหมายงานพระบรมศพครั้งกรุงเก่าฯ” ที่บันทึกไว้แต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธ์ ซึ่งทรงดำรงตำแหน่งราชเลขานุการอยู่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ท่านได้ไปต้นฉบับ
จดหมายเหตุดังกล่าวในห้องอาลักษณ์มีเรื่องเกี่ยวกับการพระบรมศพเจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาในสมเด็จ
พระนารายณ์มหาราช และทรงดำรงตำแหน่งสมเด็จพระอัครมเหสีฝ่ายซ้ายในสมเด็จพระเพทราชา จึงได้ทรงนำขึ้น
ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเมื่อทรงแล้วก็ตรัสว่าเป็นหนังสือให้ความรู้เกี่ยวกับ
ขนบธรรมเนียมครั้งกรุงเก่าดีมาก จึงพระราชทานให้ผู้โดยเสด็จในการศึกษาโบราณคดีด้วยกันอ่าน ต่อมาได้มีการตีพิมพ์
เผยแพร่เป็นครั้งแรกภายใต้ชื่อเรื่องว่า “สมเด็จพระบรมศพ” เมื่อ พ.ศ.๒๔๕๓ และพิมพ์เป็นครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ อีกเมื่อ
พ.ศ.๒๔๕๙ และ พ.ศ.๒๕๐๙ ในจดหมายเหตุดังกล่าวปรากฏความตอนหนึ่งว่า “พระยาราชโกษา ชาวพระมาลา
จึงเชิญพระลองออกจากพระบรมโกศแล้ว ชาวที่ ชาวพระมาลาจึงเชิญพระเสลี่ยงเงินเข้ารับสมเด็จพระบรมศพไปใน
พระเมรุแล้ว เวียนนอกเสาแฝดสามรอบแล้ว จึงเชิญสมเด็จพระบรมศพขึ้นตั้งเหนือพระเบญจา แล้วเชิญพระลอง
ประกอบเข้าไว”้
แต่ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เท่าที่มีหลักฐานปรากฏ ไม่ว่าจะในพระราชพงศาวดารหรือเอกสารอันเกี่ยวกับพระ
บรมศพ พระศพ เช่น หมายกำหนดการ ตลอดจนในหนังสือ “ตำนานพระโกศและหีบศพบรรดาศักดิ์” ซึ่งพระบรมวงศ์
ผปู้ รากฏพระนามว่าเป้นผู้ทรงรอบรู้ทง้ั ในทางศิลป์ ทางโบราณคดี และทางขนบธรรมเนียมราชประเพณีถึง ๓ พระองค์ คือ
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
และพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระสมมตอมรพันธ์ ทรงช่วยกันเรียบเรียงไว้ บ่งบอกว่ามีการเรียกพระโกศทรงพระบรมศพ
พระศพ และศพผู้มีบรรดาศักดิ์สูง ตรงข้ามกับที่เรียกอยู่ในเรื่อง “สมเด็จพระบรมศพ” คือ เรียกชั้นในที่ทรงพระบรมศพ
พระศพ ว่า “พระลอง” เรียกที่ประกอบชั้นนอกที่แกะสลักบุทอง หรือลงรักปิดทองทั้งอย่างทองแกมแก้ว ทองล้วนว่า
“พระโกศ” ดังจะขอยกข้อความในหนังสือ “ตำนานพระโกศ” มาเป็นข้อความอ้างอิง คือท่านเขียนไว้ว่า “ยังมีเครื่อง
ประกอบสำหรับพระโกศอีกหลายอย่าง เช่น พระโกศทองใหญ่มีดอกไม้เพชร เป็นพุ่มข้าวบิณฑ์ ดอกไม้ไหว เฟื่อง ดอกไม้
เอว ของเหล่านี้ประดับทุกอย่างแก่พระบรมศพ ถ้าพระราชทานให้ทรงพระศพเจ้านายโดยปกติไม่มีเครื่องประดับ”
เครือ่ งประดับเหลา่ น้ีประดับไดแ้ ต่องค์ท่ีประกอบชั้นนอกเท่านนั้ ดงั นนั้ ทที่ า่ นเรียกเครื่องประดับเหล่านี้ว่า ประดับพระโกศ
ทองใหญ่ คำว่า “พระโกศ” ท่ายจงึ หมายถึง องค์ทปี่ ระกอบข้างนอกแน่นอน สว่ นความอีกตอนหน่ึงชดั กว่าที่กลา่ วแล้ว คือ
ท่านเขียนอธิบายตำนานการสร้างโกศเกราะไว้ว่า “โกศเกราะ” สร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๔ เมื่อปีกุน จุลศักราช ๑๒๒๕
(พ.ศ.๒๔๐๖) สำหรบั ศพเจ้าพระยานิกรบดินทร (โต กลั ยาณมิตร) ดว้ ยทา่ นอว้ น ศพลงลองสามัญไม่ได้ต้องทำลองส่ีเหล่ียม
จึงโปรดให้ทำโกศข้ึนประกอบที่เรียกว่า “โกศเกราะ” เพราะลายสลักเป็นเกราะรัด
ส่วนในหมายกำหนดการพระบรมศพก็ดี พระศพก็ดี ระบุแจ้งชัดว่าแต่ต้นยุคกรุงรัตนโกสินทร์จนถึงกาลที่
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ เป็นเวลากว่า ๑๕๐ กว่าปี ท่านถือคำว่า “พระโกศ” หมายถึง
องคท์ ่ีประกอบภายนอก ส่วนองคท์ ่ีอยู่ภายในคอื “พระลอง” ทีเ่ ปน็ เชน่ น้ีจึงน่าจะเขา้ ใจว่าเป็นการเรียกตามธรรมเนียมของ
กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งบัญญัติโดยพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ด้วยหมายกำหนดการทุกฉบับดังกล่าว
นนั้ เปน็ พระราชโองการทง้ั สิ้น แมท้ า่ นจะพบการเรยี กเป็นอย่างอน่ื ในเรื่องสมเดจ็ พระบรมศพก็ไม่ทรงเปลย่ี นธรรมเนียมการ
เรียกของสมัยกรุงรตั นโกสินทรใ์ หเ้ ปน็ ไปตามสมยั กรุงศรีอยุธยา
อนึ่ง คำว่า “โกศ” ก็เขียนตัวสะกดต่างกันเป็นหลายอย่างด้วย ในจดหมายเหตุเรื่อง “สมเด็จพระบรมศพ” ใช้ตวั
“ศ” สะกด ในพระราชพงศาวดารท่เี ขียนคร้ังต้นยุคกรุงรัตนโกสินทร์ใช้ตวั “ษฐ” สะกด ในเรือ่ ง “ราชูปโภค” ของพระยา
เทวาธิราช เป็นสมุหพระราชพิธี มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับการพระราชพิธีในพระราชสำนัก ใช้ตัว “ ษ” สะกด
พจนานกุ รมฉบบั ราชบัณฑิตยสถานท่านใหใ้ ช้ไดท้ ัง้ “โกษ” และ “โกศ” แต่คำแรกท่านวา่ เป็นคำโบราณ ส่วน “โกษฐ” น้ัน
เลิกใช้ แต่ถ้าเห็นในหนงั สอื เก่ากโ็ ปรดเขา้ ใจวา่ เป็นคำที่มีความหมายเดียวกนั
ลาดบั พระโกศ,โกศ
ปัจจบุ นั พระโกศ หรอื โกศ มีอยทู่ ัง้ สน้ิ ๑๔ ลำดับ โดยเรียงลำดับยศ ดงั นี้
๑. พระโกศทองใหญ่ ๘. พระโกศมณฑปน้อย
๒. พระโกศทองรองทรง(นับเสมอพระโกศทองใหญ่) ๙. พระโกศไมส้ บิ สอง
๓. พระโกศทองเล็ก ๑๐. พระโกศพระองคเ์ จ้า เดิมเรยี กวา่ โกศลงั กา
๔. พระโกศทองนอ้ ย ๑๑. โกศราชนกิ ุล
๕. พระโกศกุดน่ั ใหญ่ ๑๒. โกศเกราะ
๖. พระโกศกดุ น่ั น้อย ๑๓. โกศแปดเหล่ียม
๗. พระโกศมณฑปใหญ่ ๑๔. โกศโถ
พระโกศทองใหญ่
สร้างในรัชกาลที่ ๑ เมื่อปีมะโรง จุลศักราช ๑๑๗๐ (พ.ศ. ๒๓๕๑) พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
โปรดใหร้ อื้ ทองทห่ี ุ้มกระโกศกุด่ันมาทำพระโกศทองใหญข่ ้ึนไว้สำหรับพระบรมศพของพระองค์ เมอ่ื ทำพระโกศองค์น้ีสำเร็จ
แล้วโปรดฯให้เข้าไปตั้งถวายทอดพระเนตรในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในปีนั้นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้า ฯ กรมหลวง
ศรีสุนทรเทพสิ้นพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระอาลัยมากและใคร่จะทอดพระเนตรพระโกศ
ทองใหญ่ออกพระเมรุตั้งพระเบญจา จึงโปรดฯให้เชิญพระโกศทองใหญ่ไปประกอบพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ
เจ้าฟ้าฯ กรมหลวงศรีสุนทรเทพ เป็นครั้งแรก เลยเป็นประเพณีในรัชกาลต่อมาที่พระราชทานพระโกศทองใหญ่ให้ ทรง
พระศพอ่ืนเปน็ พิเศษนอกจากพระบรมศพ
พระโกศทองรองทรง นับเสมอพระโกศทองใหญ่
รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นปราบปรปักษ์ สร้างขึ้นเมื่อปีชวด รัตนโกสินทรศก ๑๑๙ (พ.ศ. ๒๔๔๓)
พระโกศองค์นี้นับเหมือนพระโกศองค์ใหญ่ สำหรับใช้แทนที่พระโกศทองน้อยเวลาที่จะต้องหุ้มทองคำเพื่อจะไม่ให้ต้องหุ้ม
เข้าและร้อื ออกบอ่ ยๆ
พระโกศทองเล็ก
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นปราบปรปักษ์ สร้างขึ้นเมื่อปีกุน
จุลศักราช ๑๒๔๙ (พ.ศ. ๒๔๓๐) ทรงพระศพสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าสิริราชกกุธภัณฑ์ เป็นครั้งแรก
และหลังจากนั้นแล้วได้ใช้ทรงพระศพสมเด็จเจ้าฟ้าตรีเพชรุตม์ธำรง,เจ้าฟ้านิภาจรจำรัสศรี,กรมขุนสุพรรณภาควดี
และพระองคเ์ จ้าอุรุพงษ์รชั สมโภช
พระโกศทองน้อย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระเทเวศร์วัชรินทร์สร้างขึ้น
ตามแบบอย่างพระโกศทองใหญ่เมื่อใน ปีกุน จุลศักราช ๑๒๑๓ (พ.ศ. ๒๓๙๔) สำหรับทรงพระบรมศพพระบาทสมเด็จ
พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยูห่ วั เมือ่ ผลดั พระโกศทองใหญไ่ ปแต่งก่อนออกงานพระเมรุ เมอื่ ทรงพระบรมศพหรอื ตง้ั งานพระศพคู่กับ
พระโกศทองใหญ่แล้วหุ้มทองคำถ้าใช้งานอื่นไม่หุ้ม กรมพระสมมติอมรพันธุ์ทรงจดคราวที่ได้หุ้มทองคำชั่วคราว คือ
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, สมเด็จเจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพชรรัตน์
พระโกศทองน้อยน้ี เจา้ พระยาธรรมาธิกรณาธบิ ดี (มรว.ป้มุ มาลากลุ ณ อยุธยา) สร้างเม่ือในรชั กาลท่ี ๕ อกี องค์หนง่ึ
พระโกศกดุ นั่ ใหญ่ และ พระโกศกุด่นั น้อย
พระโกศกุดั่น ๒ พระโกศ สร้างในรัชกาลที่ ๑ เมื่อปีมะแม จุลศักราช ๑๑๖๑ (พ.ศ. ๒๓๔๒) ทรงพระศพ
สมเด็จพระพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดีและเจ้าฟ้ากรมพระศรีสุดารักษ์ เมื่อทรงพระศพสมเด็จพระพี่นาง เธอ
หุ้มทองคำทั้งสองโกศ ตามคำที่ว่ากันว่าพระโกศกุดั่นนั้นชำรุดหายไปเสียองค์หนึ่ง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ทรงค้นได้มาแต่ตัวพระโกศจงึ ทรงทำฝาและฐานใหม่ประกอบเข้า พระโกศองค์นี้เรียกว่า
"กุดั่นใหญ่" ฝีมือทำซึ่งปรากฏอยู่ที่กาบพระโกศนั้นงามอยา่ งยิ่งสมกับที่มตี ำนานว่าเป็นของทำในรัชกาลท่ี ๑ อีกองค์หน่ึง
เรียกว่า "กุดั่นน้อย" องค์นี้ที่ว่าไม่ชำรุดสูญหายแต่ดูทำนองลายในกาบไม่ค่อยเทียมทันเสมอกันกับพระโกศกุดั่นใหญ่
อันมีตำนานวา่ ทำพร้อมกันอาจจะเป็นตวั แทนเสียแล้วกไ็ ด้ พระโกศท้ังสององค์นีเ้ กียรตยิ ศใชต้ ่างกนั ทกุ วันนี้ถือว่าพระโกศ
กุดั่นใหญ่เกียรติยศสูงกว่าพระโกศกุดั่นน้อย และพระโกศกุดั่นน้อยนี้ กรมหมื่นบำราบปรปักษ์ได้ทรงสร้างเติมขึ้นเมื่อใน
รัชกาลที่ ๕ อกี องค์หน่ึง
พระโกศมณฑปใหญ่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ให้กรมขุนราชสีหวิกรมคิดอย่าง สร้างข้ึน
แต่ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อปีกุน จุลศักราช ๑๒๒๕ (พ.ศ. ๒๔๐๖) เอาแบบมาแต่พระโกศมณฑปน้อยทรงพระศพ
กรมพระพิทักษ์เทเวศร์ก่อน ด้วยกรมพระพิทักษ์เทเวศร์พระรูปใหญ่โตพระศพลงลองพระโกศสามัญไม่ได้
ต้องทำลองสี่เหล่ียมขึ้นโดยเฉพาะ จงึ โปรดฯให้สรา้ งพระโกศมณฑปน้สี ำหรับประกอบลองส่ีเหล่ียม พระโกศมณฑปใหญ่น้ี
ตอ่ มาสรา้ งขน้ึ อีกองคห์ น่ึง
พระโกศมณฑปน้อย
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ ัว รัชกาลท่ี ๔ โปรดเกลา้ ฯ ให้สมเด็จเจา้ พระยาบรมมหาพิไชยญาติสร้างขึ้น
สำหรบั ทรงพระศพพระเจ้าลกู เธอทยี่ ังทรงพระเยาว์ ถา้ ทรงพระศพสมเดจ็ พระเจ้าลกู เธอ พระโกศนห้ี มุ้ ทองคำเฉพาะงาน
พระโกศไมส้ บิ สอง
มีตำนานว่าสร้างในรัชกาลที่ ๑ เมื่อปีกุน จุลศักราช ๑๑๖๕ (พ.ศ. ๒๓๔๖) ทรงพระศพกรมพระราชวังบวร
มหาสุรสีหนาท ครั้งนั้นหุ้มทองคำ ในบัดนี้พระโกศไม้สิบสองมี ๒ องค์ ว่าเป็นของเก่าองค์หนึ่งเป็นของสร้างเตมิ ขึ้นใหม่
อีกองค์หนึ่ง แต่ไม่ได้ความว่าสร้างเติมขึ้นเม่ือไร และทั้ง ๒ องค์นั้นรูปทรงก็ไม่เหมือนกัน องค์หนึ่งยอดเป็นทรงมงกุฎ อีก
องค์หนึ่งยอดเดิมเป็นทรงปริกต่อมาแก้เป็นทรงมงกุฎ เห็นได้ว่าทำได้ต่างคราวต่างชั้นมิได้ถ่ายอย่างออกจากกัน และมิได้
ประสงคใ์ ช้แทนกันหรือต้ังคกู่ ัน แตห่ ากคราวใดคราวหน่งึ ต้องการตง้ั คจู่ งึ ค่อยต่อยอดขน้ึ พอใหด้ เู ทยี มทนั กนั ไปได้
พระโกศพระองคเ์ จา้
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั ทรงพระราชดำริ สรา้ งขนึ้ แต่ครั้งยังทรงผนวช เป็นลองส่เี หลี่ยมหุ้มผ้าขาว
ยอดเป็นฉัตรระบายผ้าขวา เมื่อในรัชกาลที่ ๔ ทรงพระศพพระเจ้าลูกเธอท่ียังทรงพระเยาวอ์ ยู่ ครั้นมีพระโกศมณฑปน้อย
พระโกศน้ีใช้สำหรับทรงพระศพพระองค์เจ้าวังหน้าและพระองค์เจ้าตั้ง มาถึงรัชกาลที่ ๕ สมเด็จ เจ้าฟ้าฯ
กรมพระยาบำราบปรปักษ์ จึงทรงคิดทำประกอบนอกขึ้นมีรูปทรงคงเดิม แปลงแต่ยอดเป็นทรงชฏาพอก ต่อมากรมหมื่น
ปราบปรปักษ์ทำเติมขึ้นใหม่อีกพระโกศหนึ่ง จึงมีอยู่ในเวลานี้ ๒ พระโกศด้วยกัน เดิมเรียกว่า โกศลังกา ปัจจุบันเรียกว่า
โกศราชวงศ์
โกศราชนิกุล
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯให้กรมขุนราชสีหวิกรมสร้างขึ้นแต่ในรัชกาลที่ ๔ เมื่อปีขาล
จลุ ศกั ราช ๑๒๒๘ (พ.ศ. ๒๔๐๖) พระราชทานให้ประกอบศพพระยามนตรสี ุรยิ วงศ์ (ชุม่ บุนนาค) ก่อนผูอ้ ่ืน
โกศเกราะ
สร้างขึ้นในรัชกาลที่ ๔ เมื่อปีกุน จุลศักราช ๑๒๒๕ (พ.ศ. ๒๔๐๖) สำหรับศพเจ้าพระยานิกรบดินทร
(โต กัลยาณมิตร) ด้วยท่านอ้วน ศพลงลองสามัญไม่ได้ ต้องทำลองสี่เหลี่ยม จึงโปรดฯให้ทำโกศเกราะขึ้นประกอบ
ท่ีเรยี ก "โกศเกราะ" เพราะลายสลักเป็นเกราะรัด
โกศแปดเหลีย่ ม
เดิมมีอยู่ ๔ โกศด้วยกัน แต่โกศหนึ่งนั้นเก่ามาก ไม่ทราบตำนานว่าสร้างครั้งไร สังเกตทำนองลวดลายเห็นเป็น
อย่างเดียวกับช่างครั้งรัชกาลที่ ๑ แต่ฝีมือทำนั้นหยาบมาก ถ้าจะกะเอาว่าสร้างแต่ครั้งกรุงธนบุรีก็เห็นว่าจะเป็นการ
สมควรด้วยเหตุ ข้อ ๑ ยุคนั้นเวลาว่างการทัพศึกมีน้อย งานพระเมรูต้องรบี ทำในเวลาว่างอันเปน็ เวลาสัน้ จึงต้องเร่งทำเอา
แต่พอให้ใช้ได้ทันงานจะให้งดงามถึงที่ไม่ได้ ข้อ ๒ โกศแปดเหลี่ยมนี้เป็นอย่างเดียวกันกับพระโกศกุดั่น อันมีตำนาน
ปรากฏว่าสร้างครั้งแรกในรัชกาลที่ ๑ โกศแปดเหลี่ยมต้องมีอยู่ก่อนแล้ว พระโกศกุดั่ นทำเอาอย่างจึงจะเป็นได้
ซึ่งโกศแปดเหลี่ยมจะทำทีหลัง เอาอย่างพระโกศกุดั่นนั้นเป็นไปไม่ได้ ใช่ประกอบศพที่ต่ำศักดิ์เป็นกรรโชก เข้าใจว่า
โกศแปดเหลี่ยมนีเ้ ก่าแก่กว่าโกศชนิดอื่นหมด ด้วยทำยอดเป็นหลังคาคงเป็นแบบแรกที่แปลงมาจากเหมตั้งแตค่ รัง้ กรุงเกา่
ยังอกี ๓ โกศนน้ั โกศหนึ่งก็ไม่ทราบแน่วา่ สร้างเมื่อไร แตส่ งั เกตฝีมือเหน็ ว่าคงทำราวรัชกาลท่ี ๓ หรอื รัชกาลท่ี ๔ เหตุท่ี
ทำขึ้นอีกก็คงเป็นด้วยโกศเดียวไม่พอใช้ อีกโกศหนึ่งกรมหม่ืนปราบปรปักษ์ทำขึ้นในรชั กาลที่ ๕ ใช้ประกอบศพหม่อมแม้น
ในสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดชเป็นคราวแรก อีกโกศหนึ่ง กรมหลวงสรรพศาสตร์ศุภกิจ
ขอพระบรมราชานุญาตทำถวายในรัชกาลนี้ ใช้ประกอบศพเจ้าจอมมารดาสังวาลเป็นเดิม ด้วยประสงค์ความงาม
เช่นเดยี วกัน
โกศโถ
เดิมมีอยู่ ๒ โกศ โกศหนึ่งน้ันเก่ามาก ลวดลายและฝมี อื เหมือนกบั โกศแปดเหล่ยี มใบเกา่ เห็นไดว้ า่ ทำรุ่นราวคราว
เดียวกัน ไม่ปรากฏตำนานว่าสร้างเมื่อไร ได้ยินแต่กล่าวกันว่าเป็นโกศเก่าแก่ ใช้มาแต่รัชกาลที่ ๑ แล้ว คำกล่าวเช่นนี้
ประกอบกับฝีมือทท่ี ำรุ่นเดียวกับโกศแปดเหลีย่ ม ให้นา่ เชอื่ ข้นึ อีกว่าโกศแปดเหล่ียมและโกศโถท้ังสองอย่างนี้ สร้างแต่ครั้ง
กรุงธนบุรี เหตุใดจึงเรียกโกศโถก็เข้าใจไม่ได้รูปก็ไม่เหมือนโถ ทรงอย่างโกศแปดเหลี่ยมนั้นเองแต่ถากแปลงเป็นกลม
แกย้ อดเปน็ ทรงมงกฎุ เหมือนชฎาละครคงทำทีห่ ลังโกศแปดเหล่ียม และเห็นจะใชเ้ ปน็ ยศสูงกว่าโกศแปดเหลย่ี ม ด้วยยอด
ทรงมงกุฎพาให้เข้าใจเช่นนั้น แต่เดี๋ยวนี้ถือว่ายศต่ำกว่าโกศแปดเหลี่ยม ใช้สำหรับพระราชทานพระราชาคณะและ
ข้าราชการที่มีบรรดาศักดิ์ ได้รับพระราชทานโกศเป็นชั้นต้น อีกโกศหนึ่งเป็นของทำเติมขึ้นใหม่ พระวรวงศ์เธอ
พระองค์เจ้าอลังการเป็นผูท้ ำ โดยรับสั่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยาบำราบปรปักษ์ เม่ือในรัชกาลที่ ๕
*ตำนานพระโกศและหีบศพบรรดาศักดิ์, ฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักพระราชวัง, อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,
กรงุ เทพฯ, พมิ พค์ รัง้ ท่ี ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๙, หน้า ๑ - ๗ และ หนา้ ๕๒ – ๕๔
*ตำนานพระโกศและหบี ศพบรรดาศกั ดิ์และระเบยี บการศพ พมิ พ์เปน็ อนสุ รณใ์ นงานพระราชทานเพลิงศพ พลตรี ไชย พงศป์ ระยูร
ป.ม., ท.ช. ณ เมรุหนา้ พลับพลาอศิ ริยาภรณ์ วดั เทพศิรนิ ทราวาส, กรมศลิ ปากร, โรงพมิ พ์ชวนพมิ พ,์ พิมพค์ รัง้ ท่ี: 3, ปที พี่ ิมพ:์ 2523
วนิ ิจฉยั เรอื่ งตานานพระโกศ
ในรัชกาลที่ ๖ พร้อมด้วย กรมพระสมมตอมรพันธุ์ กรมพระดำรงราชานภุ าพ และกรมพระนริศรานุวัติวงศ์ได้แตง่
หนังสือเรื่องตำนานพระโกศให้หอพระสมุด ต่อมาได้พิจารณาความรู้เรื่องในตำนานพระโกศเพิม่ เติมอกี หลายข้อจึงได้เขยี น
ลงไว้เป็นลานลักษณอ์ ักษร คือ
ข้อ ๑ พิจารณาดูโกศต่างๆ ซงึ่ สร้างช้ันเก่าในกรุงรัตนโกสินทร์น้ี ดูเหมอื นจะมีแบบกำหนดศักด์ิโกศเป็น ๓ ชั้นโดย
ลำดับกนั พงึ สังเกตได้ดว้ ยรูปทรงฝาโกศ
ช้ันท่ี ๑ โกศฝาเปน็ ทรงมงกฏุ เชน่ พระโกศทองใหญ่ซ่ึงพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดฯให้
สร้างสำหรับทรงพระบรมศพของพระองค์เอง และมีโกศไม้สิบสองใบหน่ึงซ่ึงทรงเป็นฝามงกุฎ (เป็นฝมี ือชา่ งคร้ังรัชกาลที่ ๒
หรอื ที่ ๓) แต่นา่ สนั นษิ ฐานว่าทำตามรูปพระโกศไมส้ ิบสอง ซึ่งในหนงั สอื พงศาวดารว่าสรา้ งทรงพระศพกรมพระราชวังบวร
รัชกาลที่ ๑ (เมื่อก่อนสร้างพระโกศทองใหญ่) โกศฝาทรงมงกุฎสำหรับแต่ทรงพระบรมศพ กับพระศพเจ้านายซึ่ง
พระราชทานเกยี รติยศอยา่ งสงู สดุ
ชั้นที่ ๒ โกศฝาเป็นทรงยอดปราสาท เช่นโกศกุดั่นซึ้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกโปรดฯ
ให้สร้าง(ก่อนโกศไม้สิบสองฝาทรงมงกุฎ และพระโกศทองใหญ่) สำหรับทรงพระศพสมเด็จพระพี่นาง ๒ พระองค์
และโกศ ๘ เหลยี่ มใช้ทรงพระศพเจา้ นายแต่กอ่ น
ชั้นที่ ๓ โกศฝาปริก เช่น โกศไม้สิบสองอีกใบหนึ่ง(แต่ปลีเป็นยอดเมื่อภายหลัง) กับโกศโถสำหรับใส่ศพ
ขุนนาง
หรือว่าโดยย่อ โกศต่างกันเป็น ๓ ชั้น คือ โกศสำหรับทรงพระบรมศพทำฝาเป็นมงกุฎ โกศสำหรับทรงพระศพ
เจ้านายทำฝาเป็นทรงยอดปราสาท และโกศสำหรับศพขุนนางทำฝาเป็นทรงปริก เป็นแบบแผนมาดังนี้ตั้งแต่ครั้งกรุงศรี
อยุธยา ข้อนี้รู้ได้ด้วยมีโกศสร้างครั้งกรุงธนบุรีอยู่ ๒ ใบ ใบหนึ่งเป็นโกศกลมฝาทรงมงกุฎ อีกใบหนึ่งเป็นโกศแปดเหลี่ยม
ฝาเป็นทรงปราสาท มีเรื่องในพงศาวดารส่อให้เห็นว่าโกศฝาทรงมงกุฎนั้น พระเจ้ากรุงธนบุรีคงโปรดฯให้สร้างสำหรับทรง
พระศพกรมพระเทพามาตย์ พระราชชนนพี นั ปีหลวง ซึง่ ถวายพระเพลิงเมอ่ื พ.ศ. ๒๓๑๘ โกศใบท่ยี อดเปน็ ทรงปราสาทก็คง
ให้สร้างสำหรับทรงพระศพเจ้านายครั้งกรุงธนบุรี ตามแบบอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา เพราะฉะนั้นถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงโปรดฯให้สร้างโกศตามแบบเดียวกันสืบมา เป็นแต่แก้พระโกศทองใหญ่เป็น
แปดเหลี่ยมและแก้แบบโกศแปดเหลี่ยมฝาทรงยอดปราสาทสำหรับทรงพระศพเจ้านาย ซึ่งของเดิมตัวโกศเป็นแต่จำหลัก
ปดิ ทองใหป้ ระดับกระจกเพิ่มขึ้นจึงเรียกวา่ โกศกดุ ั่น เมื่อมีพระโกศกุดนั่ ข้ึนแล้ว โกศแปดเหลย่ี มฝาทรงยอดปราสาทของเดิม
กล็ ดศกั ดิ์ลงมาสำหรบั เจา้ นายสามญั และทส่ี ดุ เอาไปใส่ศพเจ้าพระยา และสตรมี ีบรรดาศักดสิ์ งู ก็มี คงเรม่ิ พระราชทานเฉพาะ
แต่ศพที่เปน็ พระญาตแิ ลว้ จึงเลยกลายไปเปน็ ตามยศ
โกศสำหรับใส่ศพขุนนาง เดิมเห็นจะมีแต่ที่เรียกว่าโกศโถอย่างเดียว มาสร้างโกศไม้สิบสองเพ่ิ มขึ้นเมื่อภายหลัง
รัชกาลที่ ๓(อันฝีมือทำโกศนั้นส่อให้เห็น) แต่โกศไม้สิบสอง ๒ ในนั้นผิดกันชอบกล น่าพิจารณาอยู่ คือ ใบหนึ่งฝาเป็นทรง
ปริก ส่อให้เห็นว่าสรา้ งสำหรับศพขุนนาง คงเป็นชั้นเจ้าพระยาอคั รมหาเสนาบดีซ่ึงสูงศักดิ์กว่าเจา้ พระยาจตุสดมภ์ที่ใช้โกศ
โถ แต่โกศไม่สิบสองอีกใบหนึ่งนั้นฝาเป็นทรงมงกุฎและตัวโกศจำหลักลายเป็นอย่างอื่นไม่เหมือนเป็นโกศไม้สิบสองที่เป็น
คู่กัน ส่อให้เห็นว่าสร้างแต่คราวและเพื่อกิจต่างกัน ลองคิดค้นว่าจะสร้างสำหรับศพบุคคลชั้นไหน เพราะโกศเจ้าก็มีโกศ
แปดเหลี่ยมฝาทรงยอดปราสาทอยู่แลว้ ศพขุนนางก็มีโกศโถกับโกศไม้สิบสองฝาทรงปริกอยู่แลว้ เหน็ ว่าบุคคลจำพวกเดียว
ที่ศักดิ์ไม่เข้ากันกับโกศอย่างใดทั้งสองอย่างนั้น คือที่เป็นเจ้าของพระราชวงศ์ เช่น กรมขุนสุนทรภูเบศร (เรื่องชาวเมือง
ชลบุรี ผู้ได้กระทำสัตย์เป็นพระภาดากับกรมพระราชวังบวรฯ รัชกาลที่ ๑ มาแต่ก่อน) ซึ่งศักดิ์เหมาะแก่โกศชั้นนั้น
(บางทีจะสร้างเมื่อศพกรมขุนสุนทรภูเบศรนั่นเอง จึงเอารูปหุ่นพระโกศกรมพระราชวังบวรฯเป็นแบบ) นอกจาก
กรมขุนสุนทรภูเบศร เมื่อพระศพกรมหมื่นนริทรภักดี(พระสามีของกรมหลวงนรินทรเทวี) ก็เห็นจะใช้โกศไม้สิบสอง
ใบเดียวกัน เพราะฉะนั้นต่อมาจึงใช้โกศไม้สิบสองใบนั้นสำหรับพระศพเจ้านายต่างกรมวังหน้าเป็นยุติ (ชั้นหลังมาใช้โกศ
ไม้สิบสองใบนั้นคละกันไป ไม่ได้แยกเป็นโกศสำหรับพระศพเจ้านายใบ ๑ สำหรับศพขุนนางใบ ๑ ตามลักษณะตัวโกศ
คติเดมิ จงึ สญู ไป)
ข้อ ๒ โกศต่างๆที่ลงบัญชีไว้ในหนงั สือตำนานพระโกศนัน้ สังเกตดูเป็นของสรา้ งต่อในรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕
โดยมาก มีโกศซึ่งสร้างก่อนนั้นน้อยทีเดียว และยังเป็นโกศของสงวน เช่น พระโกศทองใหญ่และโกศกุดั่นก็หลายใบ
เหลือโกศสำหรับใช้สกั สามสี่ใบ เจ้านายและผู้มีบรรดาศักดิ์ศพใส่โกศก็มีมาก แม้นในสมัยชั้นหลงั เมื่อมีโกศมากขึ้นแล้ บาง
คราวยังต้องเปลือ้ งโกศศพเก่าทง้ิ ไว้แตล่ องใน เอาโกศไปประดับศพใหมม่ ีเนอื่ งๆ เมื่อโกศมีนอ้ ยจะทำอยา่ งไรกนั อธบิ ายข้อน้ี
ไปแลเห็นธรรมเนยี มเก่า ปรากฎอยใู่ นสำนวนจดหมายเหตุกรมวังคร้ังกรุงศรีอยุธยา แต่งว่าดว้ ยงานพระศพ (เรียกในนั้นว่า
"สมเด็จพระบรมศพ") เจ้าฟ้ากรมหลวงโยธาเทพ พระราชธิดาสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เมื่อ พ.ศ. ๒๒๗๘ ใช้คำเรียก
ลองในซึ่งทรงพระศพว่า "พระโกศ" เรียกพระโกศที่ประกอบนอกว่า "พระลอง" พิเคราะห์ถูกต้องตามจริง (แต่เหตุใดมาถึง
สมยั กรุงรัตนโกสินทรจ์ ึงเรียกกลบั กนั ไปเสีย ข้อนห้ี าทราบไม่) สำนวนในจดหมายเหตนุ น้ั ส่อใหเ้ ห็นว่าท่ีเรยี กศพใสโ่ กศ คือใส่
ลองในเท่านั้น ที่เราเรียกว่าโกศเดี๋ยวนี้เป็นแต่เครื่องประดับ ถ้าพระศพศักดิ์สูงก็ประกอบ "พระลอง" ประดับอยู่เสมอ ถ้า
เปน็ ศพสามญั ชนั้ ต่ำลงมาก็ใส่แต่ "โกศ" ตง้ั ไว้แต่ในเวลามีงานหน้าศพหรือเม่ือแห่ตง้ั ที่เมรุ จงึ ประกอบลอง(คือโกศนอก)เป็น
เครอื่ งประดับ ประเพณเี ดิมเหน็ จะเป็นอย่างว่าน้ี โกศลองในแม้ใส่ศพศักดิช์ ั้นต่ำจงึ ปิดทองทึบ (อยา่ งเดียวกับหีบทองทึบซ่ึง
เป็นหีบสูงศักดิ์รองโกศลงมา) ด้วยจะตั้งไว้ให้คนดู ถ้าเป็นของสำหรับซ่อนมีสิ่งอื่นปิดบังอยู่ข้างนอก ก็คงไม่ปิดทองให้
ส้ินเปลอื งเปลา่ ๆ
*วินิจฉัยเรื่องตำนานพระโกศ, กรมพระสมมตอมรพันธุ์ กรมพระดำรงราชานุภาพ และกรมพระนริศรานุวัติวงศ์ ,
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=rattanakosin2 2 5 &group=2 &date=2 8 - 0 3 - 2 0 0 7 &gblog=5 5 ,
28 มนี าคม 2550
หบี
นอกจากโกศต่าง ๆ ยังมีหีบหลวงสำหรับพระราชทานรองศพข้าราชการโดยชั้นยศบันดาศักดิ์เป็นอันดับกัน
มกี ำหนดศักด์เิ ป็น ๓ ชนั้ คือ
ช้ันที่ ๑ "หบี ทอง" เดิมเปน็ หบี ทองทบึ อย่างเดียว แต่ภายหลงั ทำข้นึ เมอ่ื ในรชั กาลท่ี ๕ อีกเรยี กว่า “หบี ทองทราย”
“หบี ทองเครอื อังหงุน่ ” “หีบทองลายก้านขด” นับศักดิ์เสมอกนั ทง้ั ๔ อยา่ ง เปน็ หีบช้นั สูงสดุ รองโกศลงมา
ชั้นที่ ๒ "หีบกุดั่น" ของเก่ามี ๒ อย่าง เรียกว่า “หีบลายทรงเข้าบิณฑ์” “หีบลายมังกร” ทำเติมขึ้นใหม่เมื่อใน
รชั กาลท่ี ๔ เรียกวา่ “หีบกุดน่ั ” ซ่งึ ควรจะมีคำต่อว่า “ลายเทศ” อีกอยา่ ง ๑
ชนั้ ที่ ๓ "หีบเชงิ ชาย" มีอยา่ งเดียว
หีบทองทึบ
หบี ชนิดนีม้ ีมานานต้ังแตด่ กึ ดำบรรพแ์ ลทำใชส้ ืบประเพณีมาจนทุกวนั น้ี แต่เด๋ยี วนคี้ น้ หาหบี เก่าจะดูสกั ใบหนึ่งก็ไม่มี
มีแต่หีบทำใหม่ ๆ อยมู่ ากมาย เหตดุ ว้ ยหีบทองทึบเป็นหีบช้ันสูง ผู้ที่ไดร้ บั พระราชทานไปประดับเกยี รติยศย่อมล้วนแต่เป็น
ผู้ท่สี งู ศักดิ์ กอปดว้ ยกำลังและทรัพย์ บุตรหลานเหน็ หีบหลวงเก่าคร่ำคร่า ไมพ่ อแก่ใจ มีกำลงั สามารถทำได้ก็ทำขึ้นแทนใหม่
เมื่อเสร็จงานศพแล้ว ก็มอบให้แก่เจ้าพนักงานผู้รักษาหีบหลวงสำหรับไว้ใช้สำรองราชการต่อไป เพราะนอกจากได้
พระราชทานแล้วใครจะใช้หบี อย่างน้ันไม่ได้ เจ้าพนักงานได้หีบใหม่แล้วก็ทิ้งหีบเก่าไม่คิดที่จะซ่อมแซมเลยสูญหายไปหมด
หบี เก่ารปู พรรณสณั ฐานเปนอยา่ งไรถามใครก็ไม่ได้ความแน่ กล่าวกนั แต่ว่า "โต" นกึ สงสัยว่า หบี เกา่ จะเป็นรปู อย่างก้นสอบ
ปากผาย หีบเดี๋ยวนี้เปนรูปได้เหล่ียม มีฝา เหลาเกลี้ยง ปิดทองทึบ มีฐานฉลัก ปิดทอง ประดับกระจก แต่ก่อนนี้จนกระท่งั
ในรัชกาลที่ ๔ ตอนแรก พระศพพระองค์เจ้าวังหน้าก็ยังว่า ใช้หีบทองทึบ มาบัดนี้ใช้สำหรับพระราชทานประดับ
เกียรติยศศพหม่อมเจ้ากับข้าราชการอันมีบันดาศักดิ์เป็นพระยาสามัญและพระซึ่งเป็นราชนิกูล หม่อมราชนิกูล
กบั ทัง้ ข้าราชการอนั มยี ศเป็นนายพลทหารบก ทหารเรอื เจ้ากรมพระตำรวจ และหัวหมน่ื มหาดเล็ก
หบี ทองทราย
หีบทองทราย คือ หีบทองทึบนั้นเอง แต่โรยทรายเม็ดหยาบเสียก่อนแล้วจึงปิดทองทับ กรมหมื่นปราบปรปักษ์
สรา้ งขึน้ ในรัชกาลท่ี ๕ พระราชทานรองศพหมอ่ มทบั ในกรมหม่นื ปราบฯ มารดาเจา้ พระยาธรรมาธกิ รณ์เปน็ ทีแรก เม่อื เวลา
สรา้ งขน้ึ น้ัน สำหรบั พระราชทานประดบั เกียรตยิ ศรองจากโกศ นบั ว่า บันดาศักดส์ิ งู กวา่ หีบทองทบึ เดี๋ยวน้ี ใชส้ ำหรับหม่อม
ห้ามแลภรรยาข้าราชการช้นั ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ทุตยิ จุลจอมเกล้าฝ่ายใน กับทงั้ ข้าราชการฝ่ายหน้าช้ัน
ทไ่ี ด้รบั พระราชทานโตะ๊ ทองกาทอง
หบี ทองเครอื อังหงนุ่
หีบทองลายเครืออังหงุ่น แบบหีบทองทึบนั้นเอง แต่ตัวหีบฉลักเปนลายเครืออังหงุ่น นับเป็นหีบต่อโกศ เกียรติยศ
เสมอกันกบั หีบลายก้านขด สำหรบั ใชแ้ ทนกัน กรมหม่นื ปราบปรปักษส์ ร้างข้นึ เมื่อในรชั การที่ ๕ ทราบว่า พระราชทานรอง
ศพพระยาอรรคราชนาถภักดี (หวาด บนุ นาค) เปน็ ทแี รก ศพน้ันไวท้ ี่เมืองจันทบรุ ีช้านานจึงไดฝ้ ัง เพราะฉน้ัน หีบใบน้ีจึงได้
เงียบหายไปเสียหลายปี
หบี ทองลายกา้ นขด
หีบทองลายก้านขด แบบหีบทองทึบนั้นเอง แต่ตัวหีบสลักเปนลาย ตั้งใจจะให้เป็นกนกก้านขด ปิดทองล้วน
ใช้เป็นหีบรองโกศ ถ้าผู้ใดที่มีเกียรติยศสูงไม่ได้พระราชทานโกศก็ได้รับพระราชทานหีบนี้ ตกอยู่ในข้าราชการชั้นที่ได้รับ
พระราชทานพานทองเป็นพน้ื
ปจั จุบันหีบทองลายเครอื อังหง่นุ และ หบี ทองลายกา้ นขด ใชเ้ รยี กเปน็ หบี ทองลายสลกั
หบี ลายทรงเขา้ บิณฑ์
หีบลายทรงเข้าบิณฑ์ เป็นรูปก้นสอบ ปากผาย สลักเปนลายทรงเข้าบิณฑ์ มีขอบอย่างม่าน ดอกปิดทอง ฝังแวว
กระจก พื้นล่องชาด ฝีมือทำรุ่นเดียวกับหีบเชิงชาย สร้างในรัชกาลที่ ๑ ด้วยกัน เข้าใจว่า ทำพร้อมกันเปนหีบคู่
สำหรับเกียรติยศชั้นกลางใบหนึ่ง ชั้นต่ำใบหนึ่ง แต่จะสูงต่ำเพียงไร ที่ได้พระราชทานอยู่แต่ก่อนนั้นหาทราบไม่
ใช้พระราชทานประดับบนั ดาศักด์ศิ พข้าราชการชั้นพระกับข้าราชการอันมยี ศเปน็ ปลดั กรมพระตำรวจแลจา่ มหาดเล็ก
หบี ลายมังกร
หีบลายมังกร ใช้สำหรับพระราชทานประดับบนั ดาศักดิ์ศพข้าราชการชั้นพระชัน้ หลวง แต่เจ้าพนักงานจำเพาะจะ
จัดใหแ้ กศ่ พพระหลวงที่เปนเชื้อจีน มีขนุ นางเจา้ ภาษี เป็นตน้ ได้ใช้นอกไปจากที่เป็นจีนบ้างก็เปน็ แต่บางคราวเมื่อมีงานศพ
พ้องกันมากจนหีบไม่พอจ่าย เป็นความคิดของเจ้าพนักงานจะเล่นให้เป็นกลเม็ดด้วยสำคัญใจว่า ลายมังกรเป็นลายจีน
เหมาะแก่ข้าราชการที่เป็นจีน แต่ความสำคัญเช่นนั้นผิด เพราะมังกรในลายนั้นหาใช่มังกรจีนไม่ เป็นมังกรไทยสองตัวหัน
หน้าเข้าหากันดั้นอยู่ในกนกเครือเหมือนลายพนักพระแกลที่พระวิมานในพระราชวังบวรหรือที่หอพระมนเทียรธรรม
งามไม่มีที่เปรียบ หีบหลวงทั้งหมดใบไหนจะงามเสมอใบนี้ไม่มี ไม่มีที่สงสัยว่า จะสร้างรัชกาลไหนนอกไปจากรัชกาลที่ ๑
เพราะรูปหีบก็เป็นรูปชนิดก้นสอบ ปากผาย ไม่มีฝา ไม่มีฐาน สมอย่างรัชกาลที่ ๑ ลายมังกร (ไทย) ก็เป็นลายที่ถนัดทำอยู่
ในรัชกาลที่ ๑ ยุคเดียว หีบใบนี้เดีมทีเห็นจะใช้เป็นเกียรติยศสูงเหนือหีบลายทรงเข้าบิณฑ์ขึ้นไป เห็นได้ที่ฝีมือทำ
ประณีตกว่า และปิดทองทัง้ ตวั พื้นก็ประดับกระจก แววกฝ็ ังกระจก
หบี กดุ ่นั
หีบกุดั่น พูดกันว่า กรมขุนราชสีหวิกรมสร้างขึ้นโดยพระบรมราชโองการเมื่อในรัชกาลที่ ๔ สำหรับพระราชทาน
ประดับเกียรติยศศพเจ้าจอมผู้ซึ่งได้รับพระราชทานหีบหมากกาไหล่ทอง แล้วภายหลังใช้พระราชทานมหาดเล็กหุ้นแพร
ผู้ซึ่งเป็นราชินิกูลด้วย เป็นหีบชนิดมีฝา มีฐาน รูปไม่ผาย ตัวหีบสลักเป็นลายเทศ ปิดทองทั้งพื้นทั้งลาย ฝังแววกระจก
ดูฝีมอื สมควรกันแล้วกบั ทีว่ ่า สร้างในรชั กาลที่ ๔
หีบลายกา้ นแยง่
หีบลายก้านแย่ง เป็นหีบที่ เจ้าพระยาวรพงศพิพัฒน์(ม.ร.ว.เย็น อิศรเสนา) เมื่อครั้งเป็นเสนาบดีกระทรวงวัง
ในรัชกาลที่ ๗ ได้ขอพระบรมราชานุญาตทำขึ้นใหม่ เรียกว่า “หีบลายก้านแย่ง” ใช้แทน หีบลายทรงเข้าบิณฑ์ และ
หีบลายมังกร ทช่ี ำรุดเสียหายใชก้ ารไมไ่ ด้
หบี เชิงชาย
หบี เชงิ ชาย เป็นหีบรปู กน้ สอบ ปากผาย พ้นื ทาแดง ขอบสลกั เปนลายปิดทอง ประดับแววกระจก ไมม่ ฝี า ไม่มีฐาน
ตามที่รกู้ นั มาว่า สร้างแตค่ รั้งรชั กาลท่ี ๑ สงั เกตลวดลายประกอบทั้งรูป เห็นจรงิ ไมม่ สี งสัย ยังไดย้ นิ เลา่ กนั ต่อไปข้ึนไปอีกว่า
หีบเชิงชาย หีบลายทรงเข้าบิณฑ์ เดิมทีเป็นพนังแผงหุ้มสักหลาดสีตรึงลายทองแผ่นลวดฉลุเหมือนอย่างม่านเรือ
ทำไว้เปน็ ส่ีกระแบะ เวลาจะประกอบศพ ผูกสมี่ มุ หมุ้ นอกกลองใน แต่ความข้อนี้เท็จจรงิ ประการใดอยู่แก่ผู้กล่าว ถ้าหากว่า
เป็นอย่างนั้น คงเป็นมาแต่ครั้งกรุงธนบุรีหรือเป็นประเพณีมาแต่ครั้งกรุงเก่า แต่อย่างไรก็ดีข้อที่กล่าวเช่นนี้เป็นความงาม
สมจริงยิ่งหนัก ใช้หีบนี้สำหรับพระราชทานประดับศพข้าราชการอันมีบันดาศักดิ์เป็นหลวงเป็นขุนกับทั้งเถ้าแก่พนักงาน
ฝ่ายใน หีบเชิงชายนี้ กรมหมื่นบำราบปรปักษ์ทำขึ้นใหม่เมื่อในรัชกาลที่ ๕ อีกใบ ๑ แต่ผิดกันกับของเก่าที่รูปเป ็นหีบ
ก้นปากเท่ากัน ไม่ผาย มีฝา ฝีฐาน กับมีลายดอกไม้ร่วงฉลุทองแถมลงในที่พื้นแดงด้วย สำหรับพระราชทานไปประดับ
บันดาศักดิ์ศพข้าราชการชั้นที่เป็นหลวงเป็นขุน กับข้าราชการอันมียศในกรมมหาดเล็กชั้นหุ้นแพรและฝ่ายทหาร
ชั้นนายน้อยกับทั้งเถ้าแก่พนักงานฝ่ายใน และภรรยาข้าราชการซึ่งได้รับพระราชทานเครื่องราชอิศริยาภรณ์จุลจอมเกล้า
ฝา่ ยในชน้ั ตตยิ จลุ จอมเกลา้ แลจตุตถจุลจอมเกล้า
ในอดีตบรรดาหีบทุกอย่างตามที่กล่าวมานี้ ยังต้องมีเครื่องประกอบอีกสิ่งหนึ่ง คือ ผ้าเยี่ยรบับคลุมบนหลังหีบ
หีบเชิงชาย หีบลายมังกร หีบลายทรงเข้าบิณฑ์ จำเป็นอยู่ที่จะต้องมีผ้าคลุม เพราะไม่มีฝา หีบอื่นนอกนั้นไม่จำเป็นเลยที่
จะต้องคลุมผา้ เพราะมฝี าแล้ว ทำด้วยหลงกนั เลย ๆ มา ศพราษฎรบางรายยังหลงกนั สนกุ ยิง่ ข้นึ ไปกว่านั้นอีกต้องมีไม้ไผ่ผูก
เป็นคั่นเหมือนบันไดวางลงไว้บนหลังหีบก่อนแล้วจึงคลุมผ้าทับเคยมีคนสงสัยคิดไม่เห็นประโยชน์ ถามกันว่าสำหรับอะไร
เคยได้ยินมีคนแปลว่า สำหรับให้คนตายก้าวขึ้นสวรรค์ ที่แท้นั้นคือ เคยทำมาแต่ครั้งหีบยงั ไม่มีฝา ใช้ผ้าคลุมแทนถ้าเป็นผา้
ชนิดที่หนาหนักกต็ กท้องช้างเลยหลุดลงไปเสียในหีบ จึงต้องผูกไม้เป็นคานพาดปากหีบรับผ้าไว้กนั ไม่ให้ตกลงไป ทุกวันนี้มี
การเปลี่ยนแปลงไปศพทเ่ี จา้ ภาพมีกำลัง มักใช้ดอกไมส้ ดกรองปกแทนผา้ ในเวลาออกงาน
*ตำนานพระโกศและหีบศพบรรดาศักดิ์, ฝ่ายประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักพระราชวัง, อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง,
กรุงเทพฯ, พิมพค์ ร้งั ท่ี ๑ ธนั วาคม พ.ศ.๒๕๓๙, หนา้ ๓๕ – ๓๗
*ดำรงราชานุภาพ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ; นริศรานุวัดติวงศ์, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระ; และ
สมมตอมรพันธ์ุ, พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระ. (2468). เรื่องตำนานพระโกษฐ์แลหีบศพบันดาศักดิ์. พระนคร: โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒ
ธนากร. (พิมพใ์ นงารพระศพพระเจ้าบรมวงศเธอ พระองคเ์ จ้านารรี ัตนา ครบปัญญาสมวาร ณวันท่ี 3 สิงหาคม ปีฉลู พ.ศ. 2468)
*โกศ หีบศพ, คลงั ความร้,ู คลงั ภาพทรงคณุ ค่า, รายละเอยี ดคลังภาพทรงคณุ ค่า, สำนักหอจดหมายเหตแุ ห่งชาติ