สารบัญ บทที่ หน้า ๑ บทนำ ๑ ความสำคัญของกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ๑ วัตถุประสงค์ของการจัดทำองค์ความรู้ ๓ วิธีดำเนินการจัดทำองค์ความรู้ ๓ ขอบเขตของเนื้อหา ๓ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ๓ ๒ แนวความคิดของการปรับเป็นพินัย ๔ ๒.๑ แนวความคิดการปรับเป็นพินัยของต่างประเทศ ๔ ๒.๑.๑ ประเทศเยอรมนี ๔ ๒.๑.๒ ประเทศโปรตุเกส ๖ ๒.๑.๓ ประเทศอิตาลี ๗ ๒.๑.๔ ประเทศฝรั่งเศส ๗ ๒.๒ แนวความคิดการปรับเป็นพินัยของประเทศไทย ๘ ๓ พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ๑๒ ๓.๑ เหตุผลและความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ๑๒ ๓.๒ สาระสำคัญของพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ๑๓ ๔ ทหารกับการปรับเป็นพินัย ๓๑ ๔.๑ ผู้กระทำผิดทางพินัย ๓๑ ๔.๒ ตัวอย่างความผิดตามกฎหมายในบัญชี ๑ ท้ายพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ๓๑ พ.ศ. ๒๕๖๕ ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัยที่กำลังพลควรทราบ ๔.๓ แนวทางปฏิบัติเมื่อกระทำผิดทางพินัย ๓๔ ๕ บทสรุป ๔๑ ผนวก ก. พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ข. พระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. ๒๔๙๘ เฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้อง บรรณานุกรม
บทที่ ๑ บทนำ ๑. ความสำคัญของกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๕ มีผลบังคับใช้ใน ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๖ ซึ่งมีหลักการและเหตุผล กล่าวคือ รัฐธรรมนูญ แห่งราชอาณาจักรไทย กำหนดให้รัฐพึงกำหนดโทษอาญาเฉพาะความผิดร้ายแรง ดังนั้น จึงสมควรกำหนดให้ การกระทำความผิดในลักษณะที่เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายในกรณีที่ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง และโดยสภาพไม่กระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนอย่างร้ายแรง หรือไม่มีผลกระทบ ต่อส่วนรวมอย่างกว้างขวาง เป็นความผิดทางพินัย โดยไม่ถือเป็นความผิดอาญา และให้กำหนดค่าปรับเป็นพินัย สำหรับผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม โดยไม่ถือเป็นโทษอาญา คำว่า “พินัย” ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ หมายความว่า เงินค่าปรับ ที่จ่ายให้ทางราชการ ส่วน “ปรับเป็นพินัย” ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ หมายความว่า สั่งให้ผู้กระทำความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินที่กฎหมายกำหนด โดยพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ นั้น ได้มีการปรับเปลี่ยนโทษทางอาญาบางประการ ที่มุ่งต่อการปรับเป็นเงินตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัติเป็นมาตรการปรับเป็นพินัยที่ไม่มีสภาพเป็นโทษทางอาญา และมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในทางสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติเพื่อใช้ในการพิจารณาและกำหนดค่าปรับ สำหรับความผิดที่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย ซึ่งมีสาระสำคัญกล่าวโดยสังเขป ดังนี้ ๑. ความผิดทางพินัย คือ การกระทำหรืองดเว้นการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและกฎหมายนั้นบัญญัติให้ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย (มาตรา ๓) ๒. การปรับเป็นพินัยหรือคำสั่งปรับเป็นพินัยไม่ถือเป็นการกระทำทางปกครองหรือคำสั่งทางปกครอง และไม่เป็นโทษทางอาญา (มาตรา ๕) ๓. ผู้ที่มีอำนาจในการกำหนดค่าปรับทางพินัย คือ เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือศาล (มาตรา ๗) ๔. หลักเกณฑ์ในการพิจารณากำหนดค่าปรับตามที่กฎหมายบัญญัติ เช่น พิจารณาจากระดับ ความรุนแรงของผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ชุมชนหรือสังคมจากการกระทำความผิดทางพินัย เหตุปัจจัยของผู้กระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นอายุ สติปัญญา สุขภาพ ภาวะแห่งจิต รวมถึงต้องพิจารณาประโยชน์ที่ผู้กระทำความผิดทางพินัย หรือบุคคลอื่นได้รับ ตลอดจนสถานะทางเศรษฐกิจของผู้กระทำความผิดทางพินัยด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้เหมาะสม กับข้อเท็จจริง (มาตรา ๙) ๕. แนวทางในการชำระค่าปรับ ให้ผู้กระทำความผิดทางพินัยอาจร้องขอผ่อนชำระค่าปรับ ทางพินัยได้อีกทั้งยังกำหนดให้ผู้กระทำความผิดทางพินัยที่ไม่มีเงินชำระค่าปรับเป็นพินัย อาจยื่นคำร้อง ขอให้กำหนดค่าปรับเป็นพินัยต่ำกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ หรือขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์ แทนค่าปรับเป็นพินัยได้ทั้งนี้ ตามที่กฎหมายกำหนด (มาตรา ๑๐) ๖. ผลของการกระทำความผิดทางพินัย คือ ผู้กระทำความผิดจะต้องชำระค่าปรับเป็นพินัยเท่านั้น โดยไม่อาจต้องโทษจำคุก หรือต้องโทษกักขังแทนค่าปรับ และไม่มีการลงบันทึกประวัติอาชญากรรมหรือทะเบียน ประวัติอาชญากร
๒ ๗. ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดทางพินัยปฏิเสธข้อกล่าวหา หรือไม่ชำระค่าปรับเป็นพินัย ภายในกำหนด เจ้าหน้าที่ของรัฐจะสรุปสำนวนและส่งให้พนักงานอัยการเพื่อดำเนินการฟ้องต่อศาล (มาตรา ๒๓) ๘. ศาลแขวง ศาลจังหวัด ศาลอาญา หรือศาลชำนัญพิเศษตามที่กฎหมายบัญญัติ เป็นศาล ที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีความผิดทางพินัย (มาตรา ๒๘) จะเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ กำหนดมาตรการใหม่ ที่เรียกว่า “การปรับเป็นพินัย” ซึ่งมิใช่การลงโทษปรับในทางอาญา แต่เป็นมาตรการปรับสำหรับผู้ฝ่าฝืน หรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่ไม่ใช่ความผิดร้ายแรงและไม่กระทบโดยตรงต่อความสงบเรียบร้อยหรือความปลอดภัย ของประชาชน นอกจากนี้ยังได้นำการปรับเป็นพินัยมาใช้แทนโทษปรับทางปกครอง เพื่อให้ระบบการลงโทษปรับ มีมาตรฐานเดียวกันด้วย ซึ่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ มีความเกี่ยวข้องกับกำลังพล ของกระทรวงกลาโหม ไม่ว่าจะในฐานะที่อาจตกเป็นผู้กระทำผิดทางพินัย หรือในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ที่มีอำนาจในการออกคำสั่งปรับเป็นพินัย อีกทั้งความผิดทางพินัยมีผลกระทบต่ออำนาจการพิจารณาพิพากษาคดี ของศาลทหาร ดังนั้น จึงสมควรจัดทำองค์ความรู้เรื่อง“การปรับเป็นพินัย” เผยแพร่แก่กำลังพล ของกระทรวงกลาโหมทราบ อันจะก่อให้เกิดการพัฒนาความรู้ พัฒนาขีดความสามารถ และการทำงาน ให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น
๓ ๒. วัตถุประสงค์ของการจัดทำองค์ความรู้เกี่ยวกับการปรับเป็นพินัยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับ เป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ๒.๑ เพื่อให้กำลังพลมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ๒.๒ เพื่อให้กำลังพลทราบถึงกระบวนการพิจารณาความผิดทางพินัย ๒.๓ เพื่อป้องกันมิให้กำลังพลกระทำความผิดทางพินัย ๒.๔ เพื่อให้กำลังพลทราบแนวทางการปฏิบัติเมื่อตกเป็นผู้กระทำความผิดทางพินัย ๓. วิธีดำเนินการจัดทำองค์ความรู้ การจัดทำองค์ความรู้นี้ (Knowledge Management) ได้มีการศึกษาจากบทบัญญัติของพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ และกฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงแนวทางปฏิบัติของหน่วยงานราชการ หนังสือ เอกสารวิชาการ บทความทางวิชาการ วารสาร วิทยานิพนธ์ ข้อมูลจากสื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อถือได้ ๔. ขอบเขตของเนื้อหา องค์ความรู้เกี่ยวกับการปรับเป็นพินัยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ มุ่งอธิบายถึงที่มา แนวความคิด และเหตุผลของมาตรการปรับเป็นพินัย ซึ่งเป็นมาตรการในการลงโทษแบบใหม่ ของประเทศไทยเพื่อใช้ในการจัดการต่อความผิดเล็กน้อยที่ไม่กระทบต่อความสงบสุขของสังคม โดยมีการเทียบเคียง ระหว่างระบบกฎหมายไทยกับระบบกฎหมายของต่างประเทศ รวมถึงอธิบายแนวทางการปฏิบัติเมื่อกำลังพล ของกระทรวงกลาโหมตกเป็นผู้ต้องหาในความผิดทางพินัย ๕. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ๕.๑ ทำให้กำลังพลมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการปรับเป็นพินัย ๕.๒ ทำให้กำลังพลทราบถึงกระบวนการพิจารณาความผิดทางพินัย ๕.๓ ทำให้เกิดการป้องกันมิให้กำลังพลกระทำความผิดทางพินัย ๕.๔ ทำให้กำลังพลทราบแนวทางการปฏิบัติเมื่อตกเป็นผู้กระทำความผิดทางพินัย
บทที่ ๒ แนวความคิดของการปรับเป็นพินัย ๒.๑ แนวความคิดการปรับเป็นพินัยของต่างประเทศ ๒.๑.๑ ประเทศเยอรมนี๑ มีแนวคิดว่าอาชญากรรมทางเศรษฐกิจเป็นการกระทำที่เป็นภัยอันตรายร้ายแรง ต่อประโยชน์อันสำคัญยิ่งของสังคม โดยบั่นทอนความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจของประเทศ จึงสมควรกำหนด ให้เป็นความผิดทางอาญา ในขณะที่ “การฝ่าฝืนกฎระเบียบในทางเศรษฐกิจ” ไม่สมควรกำหนดให้อยู่ในแดน ของกฎหมายอาญา แต่ควรกำหนดให้เป็น “ความผิดต่อกฎระเบียบ” ซึ่งผู้กระทำความผิดต้องชำระ “ค่าปรับ” ซึ่งไม่ใช่โทษปรับทางอาญา และเป็นมาตรการที่ไม่มีลักษณะเป็นการประณามผู้กระทำความผิด ในปี ค.ศ. ๑๙๕๒ ได้มีการตรารัฐบัญญัติว่าด้วยความผิดต่อกฎระเบียบ (Act on Regulatory Offences ค.ศ. ๑๙๕๒) (พ.ศ. ๒๔๙๕) หรือเรียกว่ากฎหมายว่าด้วยความผิดทางปกครอง ซึ่งเป็นกฎหมายกลางเพื่อใช้ในการพิจารณาและกำหนดโทษสำหรับความผิดที่ไม่ร้ายแรง โดยมีการกำหนด หลักเกณฑ์ทางสารบัญญัติและวิธีสบัญญัติที่เกี่ยวกับกฎระเบียบและการลงโทษในชั้นเจ้าหน้าที่ ชั้นอัยการ ชั้นศาล การบังคับคำสั่งปรับ และความสัมพันธ์กับคดีอาญา ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๖๘ (พ.ศ. ๒๕๑๑) ได้มีการปรับปรุงกฎหมาย โดยยกเลิก “ความผิดผสม” (ความผิดที่อาจเป็นได้ทั้งความผิดอาญาและความผิดต่อกฎระเบียบ ซึ่งให้อำนาจ ผู้ใช้กฎหมายมีดุลพินิจในการพิจารณาความผิด) เนื่องจากเห็นว่าไม่ควรให้เป็นอำนาจการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่ หรือศาลซึ่งเป็นผู้ใช้กฎหมาย แต่ควรต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติในการกำหนดความผิดให้ชัดเจน กฎหมายว่าด้วยความผิดต่อกฎระเบียบได้ทำการยกร่างโดยใช้ประมวลกฎหมายอาญาและประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญาเป็นต้นแบบ แต่ได้มีการปรับให้สอดคล้องกับลักษณะของความผิดต่อกฎระเบียบ (ความผิด ที่ไม่ร้ายแรง) โดยมีหลักคิด ดังนี้ ๑. เมื่อบุคคลกระทำความผิดที่ไม่ร้ายแรง สิ่งที่ผู้นั้นสมควรได้รับจึงต้องเป็นมาตรการ ที่ไม่รุนแรงเพื่อให้ได้สัดส่วนกับสิ่งบุคคลนั้นได้กระทำและสอดคล้องกับหลักความได้สัดส่วน ดังนั้น มาตรการบังคับ ที่จะใช้กับการฝ่าฝืนกฎหมายที่ไม่ร้ายแรงตามกฎหมายว่าด้วยความผิดต่อกฎระเบียบ คือ การปรับ ไม่มีการจำคุก หรือกักขัง ตลอดจนอำนาจของเจ้าหน้าที่ในการสอบสวนการกระทำความผิดก็จำเป็นที่จะต้องสอดคล้อง กับความร้ายแรงของความผิดด้วย ในกรณีความผิดต่อกฎระเบียบจึงมีการจำกัดอำนาจสอบสวนของเจ้าหน้าที่ ไม่ให้เทียบเท่ากับอำนาจของพนักงานสอบสวนในคดีอาญา ๒. เมื่อมาตรการบังคับที่จะใช้กับผู้กระทำความผิดเป็นมาตรการที่ไม่รุนแรง (ปรับสถานเดียว) ในขณะที่จำนวนการกระทำความผิดมีปริมาณมาก จึงมีความจำเป็นต้องลดขั้นตอนและความยุ่งยากในกระบวนการ พิจารณาคดีความผิดต่อกฎระเบียบ โดยเฉพาะการกำหนดให้เจ้าหน้าที่มีอำนาจสอบสวน สั่งปรับ และยึดอายัด ๑ ธำรงลักษณ์ ลาพินี. ทำไมต้องปรับเป็นพินัย? (ออนไลน์). แหล่งที่มา. http://web.krisdika.go.th/pdfPage.jsp : สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
๕ ทรัพย์สินเพื่อนำมาชำระค่าปรับได้โดยไม่ต้องฟ้องศาล รวมทั้งกำหนดให้อำนาจเจ้าหน้าที่ริบทรัพย์สินที่มีไว้ หรือใช้ในการกระทำความผิดได้ โดยถือเป็นมาตรการข้างเคียง ๓. เมื่อกฎหมายให้อำนาจเจ้าหน้าที่ในการสอบสวน สั่งปรับ และบังคับตามคำสั่ง ได้ด้วยตัวเองทำให้คดีความผิดต่อกฎระเบียบจำนวนมากจบได้ในชั้นเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จึงมีความสำคัญมาก ในกระบวนการพิจารณาความผิดต่อกฎระเบียบ และอาจกล่าวได้ว่าเป็นกลุ่มหลักที่ใช้กฎหมายฉบับนี้ ซึ่งการบังคับใช้ กฎหมายในประเทศเยอรมนีส่วนใหญ่ถูกกำหนดให้เป็นอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ดังนั้น เจ้าหน้าที่ ผู้มีอำนาจพิจารณาความผิดต่อกฎระเบียบ ในประเทศเยอรมนีส่วนใหญ่จึงเป็นเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น ซึ่งอาจไม่ได้เป็น นักกฎหมาย การนำประมวลกฎหมายอาญามาปรับใช้จึงต้องปรับให้ง่ายต่อการทำความเข้าใจและใช้งาน โดยเฉพาะ ในกรณีที่ผู้ไม่ใช่นักกฎหมาย ในขณะที่กฎหมายในส่วนวิธีสบัญญัติก็ต้องมีความละเอียดเพียงพอให้สามารถปฏิบัติได้ โดยไม่ต้องตีความ จุดเด่นของกฎหมายว่าด้วยความผิดต่อกฎระเบียบ คือ กระบวนการพิจารณาความผิด ต่อกฎระเบียบ ซึ่งได้กำหนดกระบวนการให้เหมาะสมกับความผิดที่ไม่ร้ายแรง โดยการลดรูปแบบกระบวนการ ในการพิจารณาความผิดทางอาญาลง ดังนี้ ๑. หน่วยงานทางปกครองดำเนินการสอบสวนและออกคำสั่งปรับ ๒. หากผู้ต้องหาไม่โต้แย้งคำสั่งปรับภายใน ๒ สัปดาห์ เจ้าหน้าที่มีอำนาจบังคับให้เป็น ไปตามคำสั่ง โดยนำวิธีการบังคับทางปกครองมาใช้โดยอนุโลม ๓. หากผู้ต้องหาโต้แย้งคำสั่ง เจ้าหน้าที่จะพิจารณาทบทวนคำสั่งอีกครั้งหนึ่ง ๔. ถ้าเจ้าหน้าที่เห็นด้วยกับคำโต้แย้ง ก็จะเพิกถอนคำสั่ง แต่ถ้าไม่เห็นด้วย ก็จะส่งสำนวน ไปยังพนักงานอัยการเพื่อพิจารณาฟ้องเป็นคดีต่อศาล ๕. ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่ามีการกระทำความผิดจริง ก็จะยื่นฟ้องต่อศาลยุติธรรม คือ ศาลแขวง และมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการพิจารณาของศาลให้กระชับ รวดเร็ว โดยลดกระบวนการ และวิธีพิจารณาของศาลให้เหมาะสมกับการกระทำผิดที่ไม่ร้ายแรง เช่น ศาลสามารถพิจารณาลับหลังจำเลยได้ จึงไม่จำเป็นต้องนำตัวผู้ต้องหาไปศาลอย่างกรณีความผิดอาญา การสืบพยานไม่จำเป็นต้องอ่านคำให้การของโจทก์ และจำเลย การเขียนคำพิพากษาสามารถเขียนสั้น ๆ พอเข้าใจ และที่สำคัญมีการกำหนดหลักเกณฑ์การพิจารณา ของศาลในการปรับเปลี่ยนการพิจารณาโทษจากคดีอาญากับคดีความผิดที่ไม่ร้ายแรง หรือในทางกลับกันกรณี ที่มีการฟ้องเป็นคดีอาญาแต่ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นคดีความผิดที่ไม่ร้ายแรง ศาลก็จะใช้กระบวนการพิจารณา ในลักษณะของคดีความผิดที่ไม่ร้ายแรงได้ ๖. ผู้ต้องหาสามารถอุทธรณ์คำพิพากษาศาลได้เพียงครั้งเดียว คดีจึงสิ้นสุดที่ศาลอุทธรณ์ ภายหลังจากที่มีการตรากฎหมายว่าด้วยความผิดต่อกฎระเบียบ ก็ได้มีการตรากฎหมาย ที่เปลี่ยนความผิดอาญามาเป็นความผิดต่อกฎระเบียบหลายฉบับ ได้แก่ ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการจราจร ทางบก กฎหมายการแข่งขันทางการค้า กฎหมายผังเมือง และกฎหมายสิ่งแวดล้อม ซึ่งความผิดต่อกฎระเบียบ หรือความผิดทางปกครองตามระบบกฎหมายของประเทศเยอรมนีใช้กับการฝ่าฝืนกฎหมายที่ไม่ร้ายแรงในลักษณะ mala prohibita ที่ไม่ใช่ความผิดลหุโทษตามประมวลกฎหมายอาญา และต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๗๕ ได้มีการลด
๖ หรือเปลี่ยนโทษทางอาญาด้วยการลดและเลิกความผิดอาญาลหุโทษและกำหนดให้การกระทำส่วนหนึ่ง ไม่เป็นความผิดอีกต่อไป เช่น การขอทานและเร่ร่อนในที่สาธารณะ ๒.๑.๒ ประเทศโปรตุเกส๒ รับแนวคิดในการลดและเลิกโทษอาญามาจากประเทศเยอรมนี โดยนักวิชาการได้เสนอ เกณฑ์ว่าด้วยเนื้อหาของการกระทำความผิดเพื่อใช้ในการแบ่งแยกความผิดที่สมควรกำหนดให้เป็นความผิดอาญา และความผิดที่ไม่ร้ายแรงที่ไม่ควรเป็นความผิดอาญา ให้แยกการกระทำที่ไม่มีข้อตำหนิในเชิงจริยธรรม ออกจากความผิดอาญาไปเป็นความผิดทางปกครอง และในปี ค.ศ. ๑๙๗๙ ก็ได้มีการตรารัฐกำหนด ฉบับที่ ๒๓๒/๗๙ ลงวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ค.ศ. ๑๙๗๙ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการลงโทษทางปกครองไว้โดยเฉพาะ ซึ่งในคำปรารภของรัฐกำหนดดังกล่าวได้อธิบายเหตุผลความจำเป็นในการตรากฎหมายไว้ว่า “เพื่อเป็นการสร้าง ระบบกฎหมายว่าด้วยการลงโทษที่แตกต่างไปจากโทษอาญา โดยควรยกเลิกโทษอาญาที่มีมากเกินความจำเป็น สำหรับการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ที่มีขึ้นอันเป็นความผิดที่ไม่มีข้อตำหนิในเชิงจริยธรรม เพื่อประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ของฝ่ายปกครอง ซึ่งการลดและเลิกโทษอาญาจะช่วยให้กระบวนการยุติธรรมทางอาญาสามารถใช้เวลา ในการป้องกันและปราบปรามการก่ออาชญากรรมได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอาชญากรรมที่ร้ายแรง” ต่อมา จึงได้มีการตรารัฐกำหนด ฉบับที่ ๔๓๙/๘๒ ลงวันที่ ๒๗ ตุลาคม ค.ศ. ๑๙๘๒ เพื่อเป็นกฎหมายกลาง ในการกำหนหลักเกณฑ์และวิธีการลงโทษทางปกครองตามกฎหมายเฉพาะเรื่องต่าง ๆ ขึ้นมา โดยในคำปรารภของรัฐ กำหนดดังกล่าวได้อธิบายเหตุผลความจำเป็นในการตรากฎหมายไว้ว่า “กฎหมายว่าด้วยการกระทำความผิด ทางปกครองเป็นผลสืบเนื่องมาจากพัฒนาการของรัฐสมัยใหม่ที่เข้าไปแทรกแซงและควบคุมกิจการต่าง ๆ ในทางเศรษฐกิจ การศึกษา วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ดังนั้น เพื่อให้การสั่งการของรัฐในกิจการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง มีสภาพบังคับอย่างแท้จริง รัฐธรรมนูญจึงกำหนดให้มีระบบกฎหมายพิเศษขึ้นเป็นการเฉพาะ" โดยกฎหมายดังกล่าว ได้กำหนดให้การกระทำความผิดทางปกครองมี "โทษปรับทางปกครอง” เป็นโทษหลัก และอาจมีโทษเสริม เช่น การริบทรัพย์สิน การห้ามประกอบวิชาชีพหรือประกอบกิจการ การเพิกถอนสิทธิรับเงิน หรือการเพิกถอนใบอนุญาต ต่าง ๆ และหลังจากมีกฎหมายดังกล่าวก็ได้มีการตรากฎหมายเพื่อเปลี่ยนความผิดอาญามาเป็นความผิดทางปกครอง อย่างต่อเนื่อง โดยการกระทำที่กฎหมายกำหนดให้เป็นการกระทำความผิดทางปกครองส่วนใหญ่จะเป็นการกระทำ ที่มิได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประโยชน์ของปัจเจกชนโดยตรง แต่เป็นการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ที่ฝ่ายปกครองใช้ควบคุม กำกับการดำเนินกิจการต่าง ๆ และในปี ค.ศ. ๒๐๐๖ ได้มีการตรารัฐบัญญัติ ฉบับที่ ๓๐/๒๐๐๖ ลงวันที่ ๑๑ มิถุนายน ค.ศ. ๒๐๐๖ ปรับเปลี่ยนความผิดลหุโทษในความผิดหลายฉบับมาเป็นความผิดทางปกครอง ๒ ธำรงลักษณ์ ลาพินี. ทำไมต้องปรับเป็นพินัย? (ออนไลน์). http://web.krisdika.go.th/pdfPage.jsp : สำนักงาน คณะกรรมการกฤษฎีกา
๗ ๒.๑.๓ ประเทศอิตาลี๓ ประเทศอิตาลีได้นำโทษปรับทางปกครองมาใช้แก้ปัญหาโทษอาญาเฟ้อ โดยเริ่มใช้โทษปรับ ทางปกครองมาใช้แทนโทษทางอาญาสำหรับการกระทำผิดที่ไม่ร้ายแรง ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๖๐ รัฐบาลอิตาลีมีนโยบาย ลดและเลิกโทษอาญาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดภาระของศาลในการพิจารณาคดีอาญาที่มีอัตราโทษน้อย และจำกัด การใช้โทษอาญาที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ โดยระยะแรกจำกัดเฉพาะเรื่อง เช่น การจราจรทางบกและการฝ่าฝืน ข้อบัญญัติท้องถิ่นเกี่ยวกับการใช้ทางและการขนส่ง ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๗๕ ได้มีการเปลี่ยนความผิดที่มีโทษปรับ สถานเดียวตามกฎหมายต่าง ๆ มาเป็นโทษปรับทางปกครอง ยกเว้นความผิดที่มีผลกระทบต่อสวัสดิภาพหรือสุขภาพ เช่น แรงงาน อาหาร สิ่งแวดล้อม หรือสุขอนามัยของประชาชน ที่ยังกำหนดให้มีโทษอาญา นอกจากนั้น ยังได้กำหนดโทษทางปกครอง เช่น กฎหมายเกี่ยวกับการล่าสัตว์ การค้า และการก่อสร้างและผังเมือง ต่อมา ปี ค.ศ. ๑๙๘๑ รัฐบาลอิตาลีได้ตรารัฐบัญญัติ ฉบับที่ ๖๘๙ ลง ๒๔ พฤศจิกายน ค.ศ. ๑๙๘๑ ว่าด้วยการปรับปรุง ระบบกฎหมายอาญา เพื่อใช้เป็นกฎหมายกลางเกี่ยวกับการลงโทษทางปกครองสำหรับการกระทำความผิด ที่มีโทษปรับทางปกครอง และมีโทษเสริม เช่น การริบทรัพย์สิน หรือการห้ามประกอบกิจการ แต่ไม่ใช้บังคับ กับการกระทำความผิดเกี่ยวกับภาษีอากร เนื่องจากมีกฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์ไว้เป็นพิเศษโดยเฉพาะ นอกจากนั้น ในกฎหมายฉบับนี้ยังได้ยกเลิกโทษอาญาและใช้โทษปรับทางปกครองแทนโทษทางอาญา สำหรับความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียวในความผิดอาญาลหุโทษ ซึ่งมีโทษปรับที่เรียกว่า “ammenda” และความผิดอาญาระดับกลาง (delitti) ซึ่งมีโทษปรับที่เรียกว่า “multa” รวมทั้งการกระทำผิดที่มีทั้งโทษปรับ และโทษจำคุกในบางเรื่อง เช่นการกระทำทารุณกรรมต่อสัตว์ การจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยไม่ถูกต้อง ตามกฎหมาย แต่การกระทำผิดที่มีลักษณะร้ายแรงยังคงมีโทษอาญาเช่นเดิม เช่น การทำแท้ง การกระทำผิดเกี่ยวกับ อาวุธปืน สุขภาพ หรืออาหาร ต่อมาได้มีการตรารัฐกำหนด ฉบับที่ ๕๐๗ ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ค.ศ. ๑๙๙๙ เปลี่ยนความผิดอาญาไม่ร้ายแรงที่กำหนดในกฎหมายฉบับต่าง ๆ มาเป็นความผิดทางปกครองที่มีโทษปรับ ทางปกครอง เช่น กฎหมายว่าด้วยอาหาร การจราจรทางบก การเดินเรือ ภาษีอากร หรือธนาคารพาณิชย์ ๒.๑.๔ ประเทศฝรั่งเศส๔ การนำโทษทางปกครองมาใช้มีการเชื่อมโยงกับ “บทบาทของรัฐ” ในยุคต่าง ๆ ซึ่งเดิม การลงโทษทางปกครองถือเป็นเอกสิทธิ์ของฝ่ายปกครองโดยแท้ และในระหว่างปี ค.ศ. ๑๙๑๘ - ๑๙๓๙ รัฐได้ขยาย ภารกิจในทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม รวมทั้งให้เอกชนเข้ามามีบทบาทในการทำบริการสาธารณะ หากเอกชนฝ่าฝืนข้อกำหนดในการจัดทำบริการสาธารณะ ก็จะมีการลงโทษทางปกครองโดยเพิกถอนการรับรอง ให้เป็นผู้จัดทำบริการสาธารณะ ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๔๐ – ๑๙๔๔ ซึ่งเป็นรัฐบาลเผด็จการ ได้มีการจัดตั้งองค์การ จัดระเบียบทางเศรษฐกิจและองค์กรควบคุมวิชาชีพซึ่งมีอำนาจลงโทษการฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ในเรื่องที่ควบคุม อันทำให้ ฝ่ายปกครองมีอำนาจลงโทษการกระทำทางเศรษฐกิจแทบทั้งสิ้น รวมถึงมีการกักขังทางปกครองซึ่งเป็นมาตรการ ๓ นายศุภวัฒน์ สิงห์สุวงษ์, เกณฑ์พิจารณาในการเลือกกำหนดโทษทางปกครองแทนโทษอาญาเอกสารประกอบการ บรรยายตามโครงการสัมมนาเรื่อง หลักเกณฑ์การกำหนดโทษทางปกครองในการตรากฎหมาย วันศุกร์ที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๐ ณ ห้องประชุมปรีดี พนมยงค์ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เข้าถึงได้จาก http://web.krisdika.go.th/data/outsitedata/article77/file77/c06.pdf หน้า ๒๐ ๔ นายศุภวัฒน์ สิงห์สุวงษ์ เรื่องเดียวกัน, หน้า ๒๑ - ๒๓
๘ ที่รุนแรงกำหนดไว้ในกฎหมายที่เกี่ยวกับความมั่นคง เช่น กฎหมายในเรื่องคนต่างด้าว บุคคลที่รับฟังวิทยุของต่างชาติ หรือการส่งกำลังบำรุง หลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยังได้มีการนำโทษทางปกครองมาใช้เป็นเครื่องมือของรัฐ ในการแทรกแซงกิจการต่าง ๆ เพื่อฟื้นฟูและพัฒนาประเทศ ในช่วงทศวรรษที่ ๑๙๕๐ และ ๑๙๖๐ มีการกำหนด โทษทางปกครองในหลายเรื่อง รวมถึงเรื่องการขนส่ง และการจราจรทางบก และในทศวรรษที่ ๑๙๗๐ มีการ เปลี่ยนแนวความคิดในบทบาทของรัฐจากเดิม “รัฐสวัสดิการ” เป็น “รัฐที่ควบคุมกำกับ” มีการจัดตั้ง “องค์กรอิสระ ทางปกครอง” ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐในรูปแบบใหม่ที่มีอำนาจในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลและป้องกัน การแทรกจากฝ่ายการเมืองในด้านข้อมูลข่าวสาร การประกอบกิจการวิทยุโทรทัศน์ หรือการแข่งขันทางการค้า โดยองค์กรนี้มีอำนาจในการให้ความเห็น ข้อเสนอแนะ ออกกฎ และคำสั่งทางปกครอง รวมทั้งมีอำนาจพิจารณาโทษ ผู้ที่ฝ่าฝืนหลักเกณฑ์ในเรื่องที่ควบคุมกำกับ โดยมองว่าองค์กรดังกล่าวมีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง จึงสามารถ พิจารณาลงโทษการกระทำผิดในเรื่องที่ควบคุมได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากกว่าศาล ปัจจุบันได้มีการนำโทษปรับทางปกครองมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะการกระทำ ทางด้านเศรษฐกิจ สาธารณสุข สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีสารสนเทศ เหตุผลสำคัญที่ผู้ตรากฎหมายใช้โทษ ทางปกครองแทนโทษอาญา เนื่องจากมีกระบวนการพิจารณาที่เรียบง่ายและรวดเร็วอันทำให้การลงโทษ มีประสิทธิภาพ อีกทั้งได้มีข้อพิจารณาเกี่ยวกับการลดและเลิกโทษอาญาโดยมองว่าโทษทางปกครองเป็นมาตรการ ที่เหมาะสมกับการกระทำผิดที่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นที่ควรกำหนดให้มีโทษอาญา จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยป้องกัน ไม่ให้มีการกำหนดโทษอาญาเกินความจำเป็น อย่างไรก็ดี ในช่วงหลังเริ่มมีการนำโทษทางปกครองมาใช้แทนที่ โทษอาญามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ เช่น กฎหมายว่าด้วยการแข่งขันทางการค้าซึ่งผู้ตรากฎหมาย ได้ยกเลิกความผิดอาญาในบางฐานความผิด ๒.๒ แนวความคิดการปรับเป็นพินัยของประเทศไทย สำหรับประเทศไทยซึ่งประสบปัญหาภาวะกฎหมายอาญามากเกินจำเป็นหรือกฎหมายอาญาเฟ้อ (overcriminalization) ในระยะแรกได้มีการแก้ไขปัญหาในการกำหนดให้โทษทางอาญาโดยให้มีการเปรียบเทียบ และเมื่อผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามที่พนักงานสอบสวนหรือพนักงานเจ้าหน้าที่กำหนดจะมีผลให้คดีอาญาเลิกกัน ซึ่งระยะแรกจะกำหนดให้โทษทางอาญาที่สามารถเปรียบเทียบได้เฉพาะโทษปรับสถานเดียว แต่ต่อมาได้มี การกำหนดกฎหมายบางฉบับให้โทษอาญาที่มีโทษจำคุกหรือปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับสามารถเปรียบเทียบได้ เพื่อลดการนำคดีขึ้นสู่ศาล เช่น มาตรา ๒๘๐ แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ที่กำหนดให้ผู้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๗๗ มาตรา ๗๙ หรือมาตรา ๘๐ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน ๑ ปี หรือปรับไม่เกิน ๓๐๐,๐๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แต่มาตรา ๓๑๗ กำหนดให้ความผิดดังกล่าวสามารถ เปรียบเทียบได้อันแสดงให้เห็นว่าในมีการตรากฎหมายที่เริ่มยอมรับให้การฝ่าฝืนกฎหมายในทางเศรษฐกิจสามารถ เปรียบเทียบได้แต่อย่างไรก็ดีการเปรียบเทียบของเจ้าหน้าที่รัฐยังคงประสบปัญหาดังนี้ ๑. มีความเห็นว่าควรให้ฝ่ายปกครองมีอำนาจเปรียบเทียบเฉพาะโทษปรับ และไม่ควรมีอำนาจ เปรียบเทียบโทษอาญาที่มีโทษจำคุก เนื่องจากเห็นว่ากรณีผู้กระทำผิดจงใจฝ่าฝืนกฎหมายอย่างร้ายแรงถึงขั้น ต้องจำคุก จะต้องฟ้องคดีต่อศาลโดยไม่มีการเปรียบเทียบ
๙ ๒. มีความแตกต่างกันเกี่ยวกับการปฏิบัติในเรื่องความยินยอมให้เจ้าหน้าที่รัฐเปรียบเทียบ เนื่องจากมีกฎหมายบัญญัติไว้เป็น ๒ แนวทาง กล่าวคือ แนวทางที่ ๑ การเข้าสู่กระบวนการเปรียบเทียบต้องได้รับ ความยินยอมจากผู้ต้องหา เช่น มาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ ที่กำหนดว่า ถ้าพนักงานสอบสวนพบว่าบุคคลใดกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ และบุคคลนั้นยินยอมให้เปรียบเทียบ ให้พนักงานสอบสวนส่งเรื่องมายังคณะกรรมการหรือผู้ซึ่งคณะกรรมการมอบหมายให้มีอำนาจเปรียบเทียบ ภายใน ๗ วันนับแต่วันที่ผู้นั้นแสดงความยินยอมให้เปรียบเทียบ ส่วนแนวทางที่ ๒ การเข้าสู่กระบวนการเปรียบเทียบได้ โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้ต้องหา เช่น มาตรา ๑๒๖ ทวิแห่งพระราชบัญญัติยา พ.ศ. ๒๕๑๐ ที่กำหนดว่า บรรดาความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษปรับสถานเดียว ให้เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา หรือผู้ซึ่งเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยามอบหมายมีอำนาจเปรียบเทียบได้ ๓. การลดคดีขึ้นสู่ศาลควรมีกฎหมายบัญญัติให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ดุลพินิจลดค่าปรับได้ ในทำนองเดียวกับการพิจารณาในชั้นศาลตามมาตรา ๗๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญา จะเห็นได้ว่า การกำหนดให้โทษทางอาญาโดยให้มีการเปรียบเทียบเพื่อแก้ไขปัญหาอาญาเฟ้อ ยังคงมีปัญหาอยู่ ต่อมาได้มีการนำ “โทษปรับทางปกครอง” มาบังคับใช้แทนโทษทางอาญาโดยให้อำนาจหน่วยงาน ทางปกครองพิจารณาและกำหนดโทษปรับได้ซึ่งระยะแรกมาตรา ๓๓๓ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ ได้กำหนดให้คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดินมีอำนาจกำหนดโทษปรับทางปกครอง หลังจากนั้น ได้มีการตรากฎหมายเพื่อนำโทษปรับทางปกครองมาใช้มากขี้น ซึ่งส่วนใหญ่จะนำโทษทางปกครองมาใช้กับการฝ่าฝืน หลักเกณฑ์ในการประกอบกิจการในทางการค้า หรือกฎหมายที่มีลักษณะในทางเศรษฐกิจและธุรกิจต่อมามาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ บัญญัติให้การกำหนดโทษอาญาพึงใช้กับการฝ่าฝืน กฎหมายที่ร้ายแรง จึงได้เริ่มมีการนำโทษปรับทางปกครองมาใช้กับการฝ่าฝืนกฎหมายที่ไม่ร้ายแรงและไม่เกี่ยวกับ การประกอบธุรกิจ ในการพิจารณาและลงโทษปรับทางปกครองนั้น ประเทศไทยไม่มีกฎหมายกลางที่กำหนด หลักเกณฑ์ไว้แต่จะมีการบัญญัติกฎหมายในแต่ละฉบับที่กำหนดหลักเกณฑ์อย่างกว้างให้เจ้าหน้าที่ในหน่วยงาน ทางปกครองใช้ในการพิจารณาสั่งลงโทษปรับทางปกครอง เช่น พฤติการณ์แห่งการกระทำ, ความร้ายแรง แห่งพฤติกรรมที่กระทำผิด ขนาดของกิจการ ความหนักเบาของโทษ เป็นต้น รวมถึงมีการกำหนดให้ใช้โทษ ทางปกครองอย่างอื่นกรณีมีการกระทำความผิดซ้ำ เช่น การพักใช้หรือเพิกถอนใบอนุญาต หรือกำหนดให้เจ้าหน้าที่ มีอำนาจตักเตือนโดยไม่ลงโทษผู้กระทำความผิด หรือสั่งให้แก้ไขหรือตักเตือนก่อนได้เป็นต้น อีกทั้งกฎหมาย บางฉบับไม่ได้กำหนดกรอบในการพิจารณาไว้แต่กำหนดให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายลำดับรอง ส่วนการบังคับตามคำสั่งลงโทษปรับทางปกครอง กฎหมายได้กำหนดหลักเกณฑ์ไว้แบ่งได้ เป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มที่ ๑ กำหนดให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการบังคับทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติ ราชการทางปกครองมาใช้บังคับโดยอนุโลม เช่น พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๖ พระราชบัญญัติ การยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ และพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ เป็นต้น
๑๐ กลุ่มที่ ๒ กำหนดให้นำบทบัญญัติเกี่ยวกับการบังคับทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติ ราชการทางปกครองมาใช้บังคับโดยอนุโลม และให้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อบังคับชำระค่าปรับ ได้ โดยมีการกำหนดเงื่อนไขว่า “ในกรณีที่ไม่มีเจ้าหน้าที่ดำเนินการบังคับตามคำสั่ง หรือมีแต่ไม่สามารถดำเนินการ บังคับทางปกครองได้ให้เจ้าหน้าที่หรือคณะกรรมการมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลปกครองเพื่อบังคับชำระค่าปรับได้ ในการนี้ ถ้าศาลปกครองเห็นว่าคำสั่งให้ชำระค่าปรับนั้นชอบด้วยกฎหมาย ให้ศาลปกครองมีอำนาจพิจารณา พิพากษา และบังคับให้มีการยึดหรืออายัดทรัพย์สินขายทอดตลาดเพื่อชำระค่าปรับได้” เช่น พระราชบัญญัติ หลักประกันสุขภาพแห่งชาติพ.ศ. ๒๕๔๕ พระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. ๒๕๔๗ พระราชบัญญัติการดูแล ผลประโยชน์ของคู่สัญญา พ.ศ. ๒๕๕๑ และพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. ๒๕๖๒ เป็นต้น กฎหมายกลุ่มนี้ได้แก้ไขปัญหาโดยกำหนดให้หน่วยงานนำคดีไปฟ้องศาลเพื่อบังคับชำระค่าปรับได้ เนื่องจากระยะเริ่มแรกศาลปกครองจะไม่รับคำฟ้องกรณีที่หน่วยงานขอให้บังคับชำระค่าปรับ โดยศาลเห็นว่า มีกฎหมายที่กำหนดให้หน่วยงานดำเนินการบังคับได้เอง เช่น คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๑๓๓/๒๕๔๔, คำสั่ง ศาลปกครองสูงสุดที่๗๔/๒๕๔๖, คำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๓๗/๒๕๔๗ และ คำสั่งศาลปกครองสูงสุด ที่ ๗๖๗/๒๕๔๗ เป็นต้น อันทำให้หน่วยงานมีปัญหาในการดำเนินการบังคับทางปกครองตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติ ราชการทางปกครอง กลุ่มที่ ๓ กำหนดให้ฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคดีอาญาได้ เช่น พระราชบัญญัติ เรือไทย พระพุทธศักราช ๒๔๘๑ พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๔ เป็นต้น ซึ่งกฎหมายจะบัญญัติว่า “ถ้าผู้ถูกปรับตามมาตรา...ไม่ชำระค่าปรับทางปกครองให้ (พนักงานเจ้าหน้าที่ หรือคณะกรรมการ) มีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคดีอาญาเพื่อบังคับชำระค่าปรับ ทางปกครอง ในการนี้ ถ้าศาลพิพากษาให้ชำระค่าปรับทางปกครอง หากผู้นั้นไม่ชำระค่าปรับทางปกครอง ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา ให้ยึดทรัพย์สินของผู้นั้นเพื่อชดใช้แทนค่าปรับทางปกครองแต่มิให้ นำมาตรการกักขังแทนค่าปรับมาใช้แก่ผู้นั้น” จะเห็นได้ว่ากฎหมายกลุ่มนี้ได้กำหนดให้ศาลยุติธรรมมีอำนาจ ในการพิจารณาค่าปรับและบังคับชำระค่าปรับทางปกครอง แต่ยังขาดหลักเกณฑ์ในรายละเอียดทางวิธีสบัญญัติ ว่าศาลจะใช้หลักเกณฑ์ในการพิจารณาอย่างไร ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยกำหนดให้เจ้าหน้าที่สามารถร้องขอต่อศาลเพื่อให้ออกหมายบังคับและให้กรมบังคับคดีเข้าไป ช่วยดำเนินการยึด อายัด ทรัพย์สินและขายทอดตลาดเพื่อนำเงินมาชำระตามคำสั่งทางปกครองที่กำหนดให้ชำระเงิน นอกจากนั้น ยังได้มีการนำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้แทนโทษทางอาญาบางฐานความผิด เช่น พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๓๑๗/๒ กำหนดว่าในกรณีที่มีการร้องทุกข์ หรือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวนในคดีเกี่ยวกับการกระทำความผิดตามมาตรา ๓๑๗/๑๕ ให้พนักงานสอบสวน ๕ มาตรา ๓๑๗/๑ ให้การกระทำความผิดดังต่อไปนี้ เป็นการกระทำความผิดที่อาจดำเนินมาตรการลงโทษ ทางแพ่งกับผู้กระทำความผิดนั้นได้ (๑) กระทำการอันไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ อันเป็นความผิดตาม มาตรา ๒๙๖ หรือมาตรา ๒๙๖/๑ (๒) แสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งในสาระสำคัญ อันเป็นความผิดตามมาตรา ๒๗๘ หรือมาตรา ๒๘๑/๑๐
๑๑ ส่งเรื่องให้สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ภายใน ๓๐ วันนับแต่วันที่มีการร้องทุกข์ หรือกล่าวโทษเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไปตามบทบัญญัติในหมวดนี้ และในกรณีที่คณะกรรมการพิจารณา มาตรการลงโทษทางแพ่งเห็นสมควรใช้มาตรการลงโทษทางแพ่ง ให้สำนักงานฯ แจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบด้วย นอกจากนี้มาตรา ๓๑๗/๗ ยังได้กำหนดด้วยว่า เมื่อผู้กระทำความผิดยินยอมที่จะปฏิบัติตามมาตรการลงโทษ ทางแพ่งตามที่กำหนด ให้สำนักงานฯ จัดทำบันทึกการยินยอมและเมื่อผู้นั้นได้ชำระเงินครบถ้วนแล้ว ให้สิทธิในการ นำคดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับ แต่ปรากฏว่ามาตรการลงโทษทางแพ่งตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้กำหนดให้อำนาจเจ้าหน้าที่ของรัฐในการพิจารณาได้ว่าจะใช้มาตรการลงโทษ ทางแพ่งหรือจะลงโทษทางอาญา แต่ไม่มีการกำหนดกรอบหรือหลักเกณฑ์ในการใช้ดุลพินิจ ซึ่งอาจเป็นกลไก ในการจูงใจให้มีการยอมรับโทษทางแพ่งเพื่อให้คดีอาญาระงับได้คณะกรรมการพัฒนากฎหมายจึงได้แนะนำ ให้เปลี่ยนเป็นบทบัญญัติเป็นสภาพบังคับอื่น เช่น โทษปรับทางปกครองหรือปรับเป็นพินัย เนื่องจากเห็นว่า เรื่องทางแพ่งในระบบประมวลกฎหมาย หมายถึงเรื่องระหว่างเอกชนกับเอกชนเท่านั้น แต่การละเมิดกฎหมาย ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นเรื่องระหว่างรัฐหรือ หน่วยงานของรัฐซึ่งต้องรักษาความสงบเรียบร้อยให้แก่บุคคล จึงไม่ใช่เรื่องทางแพ่ง อย่างไรก็ดี ในข้อเสนอแนะของคณะกรรมการพัฒนากฎหมายที่คณะรัฐมนตรีมีมติ ให้ความเห็นชอบเมื่อ ๑๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑ เสนอว่าการนำโทษปรับทางปกครองมาใช้แทนโทษอาญา ต้องมีการตรากฎหมายว่าด้วยการดำเนินการปรับและระงับคดีที่มีโทษปรับทางปกครองเป็นการเฉพาะในลักษณะ เป็นกฎหมายกลางหรือกฎหมายพิเศษที่กำหนดหลักเกณฑ์กลางในการใช้โทษทางปกครองให้ครอบคลุมถึงวิธีการ ปรับและการจัดการเงินที่ปรับ และกำหนดให้มีหน่วยงานกลางในการบังคับใช้กฎหมายเป็นผู้มีหน้าที่และอำนาจ ลงโทษปรับเพื่อให้ค่าปรับตกเป็นของแผ่นดิน และลดการทุจริต รวมถึงกำหนดอายุความในการบังคับโทษปรับ ทางปกครอง ต่อมาคณะกรรมการพัฒนากฎหมายได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการศึกษาและยกร่างกฎหมายว่าด้วย การดำเนินการปรับและระงับคดีที่มีโทษปรับทางปกครองเป็นการเฉพาะ ลง ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๖๑ เพื่อศึกษา และยกร่างกฎหมายว่าด้วยการดำเนินการปรับและระงับคดีที่มีโทษปรับทางปกครองเป็นการเฉพาะ ซึ่งเป็นข้อเสนอ ตามแนวคิดหรือระบบกฎหมายที่มีอยู่ในขณะนั้น คือ มีการนำโทษปรับทางปกครองมาใช้แทนโทษอาญาเพื่อช่วยให้ ประชาชนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดที่ไม่ร้ายแรงไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการทางอาญาและไม่มีประวัติ อาชญากรรมติดตัว ซึ่งต่อมาหลังจากมีการศึกษาและยกร่างกฎหมายดังกล่าวคณะกรรมการพัฒนากฎหมาย ได้เปลี่ยนเป็นโทษปรับเป็นพินัย (๓) ไม่ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะกรรมการหรือผู้บริหารตามมาตรา ๘๙/๗ อันเป็นความผิด ตามมาตรา ๒๘๑/๒ วรรคหนึ่ง (๔) ยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์หรือบัญชีธนาคารที่ใช้ชำระค่าซื้อ ขาย หลักทรัพย์หรือใช้บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์หรือบัญชีธนาคารของบุคคลอื่น อันเป็นความผิดตามมาตรา ๒๙๗ การนำมาตรการลงโทษทำงแพ่งมาใช้บังคับแก่ผู้กระทำความผิดตามวรรคหนึ่ง ให้คำนึงถึงความร้ายแรงของการกระทำ ผลกระทบต่อตลาดทุน พยานหลักฐานที่อาจนำมาใช้พิสูจน์ความผิด และ ความคุ้มค่าในการดำเนินมาตรการนั้น
บทที่ ๓ สรุปพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ๓.๑ เหตุผลและความจำเป็นในการตราพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๗๗ บัญญัติให้รัฐพึงกำหนดโทษอาญา เฉพาะความผิดร้ายแรง ประกอบกับแผนการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายได้กำหนดให้มีการปรับปรุง กฎหมายในการกำหนดโทษอาญาให้เหมาะสมกับสภาพความผิดหรือกำหนดมาตรการลงโทษให้เหมาะสม กับการกระทำความผิด และฐานะของผู้กระทำความผิดเพื่อไม่ให้บุคคลต้องรับโทษหนักเกินสมควร หรือต้องรับภาระในการรับโทษที่แตกต่างกันอันเนื่องมาจากฐานะทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน เนื่องจาก กฎหมายที่กำหนดโทษปรับ ผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจดีย่อมสามารถชำระค่าปรับได้ แต่ผู้มีฐานะยากจน และไม่อยู่ในฐานะที่จะชำระค่าปรับได้จะถูกกักขังแทนค่าปรับซึ่งกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ อย่างรุนแรง ซึ่งบางกรณีประชาชาชนเป็นผู้กระทำผิดเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรือกระทำไปเพราะ ความยากจน และเมื่อกระทำความผิดแล้วจะต้องถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมทางอาญา เช่น ถูกจับกุม คุมขัง พิมพ์ลายนิ้วมือ และลงบันทึกประวัติอาชญากรเป็นประวัติติดตัวตลอดไป อันสร้างรอยด่าง ให้เกิดแก่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้ว่าการกำหนดมาตรการอันเป็นโทษที่ผู้กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติ ตามกฎหมายเป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีเพื่อกฎหมายมีสภาพบังคับ แต่โทษนั้นไม่จำเป็นต้องใช้โทษทางอาญา เสมอไปนานาประเทศได้เริ่มปรับเปลี่ยนบทลงโทษจากความผิดอาญาเป็นมาตรการอื่นที่มิใช่โทษอาญา มากขึ้น รวมทั้งการใช้มาตรการอื่นแทนการลงโทษทางอาญา เช่น การคุมประพฤติ ประเทศไทยจึงสมควรพัฒนากฎหมายไทยให้สอดคล้องกับนานาประเทศ และเกิดประโยชน์ แก่ประชาชนยิ่งขึ้น โดยปรับเปลี่ยนโทษอาญาบางประการที่มุ่งต่อการปรับเป็นเงิน เปลี่ยนเป็นมาตรการ ปรับเป็นพินัยที่สร้างขึ้นใหม่ไม่ให้มีสภาพเป็นโทษอาญา โดยกำหนดหลักเกณฑ์ให้ใช้ดุลพินิจกำหนดค่าปรับ ที่ต้องชำระให้เหมาะสมกับสภาพความร้ายแรงแห่งการกระทำและฐานะทางเศรษฐกิจของผู้กระทำความผิด ให้สอดคล้องกัน และในกรณีที่ผู้กระทำความผิดไม่มีเงินชำระค่าปรับ อาจขอทำงานบริการสังคมหรือทำงาน สาธารณประโยชน์แทนการชำระค่าปรับได้โดยไม่มีการกักขังแทนค่าปรับดังเช่นที่เป็นอยู่ในคดีอาญา ซึ่งการเปลี่ยนสภาพบังคับไม่ให้เป็นโทษทางอาญา จะเป็นกลไกทางกฎหมายเพื่อสร้างความเป็นธรรม และขจัดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และส่งเสริมการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากนี้ สำหรับกฎหมายบางฉบับที่กำหนดให้มีโทษทางปกครอง แต่บัญญัติให้ฟ้องคดี ต่อศาลที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาคดีอาญาเพื่อบังคับชำระค่าปรับทางปกครองไว้แล้ว สมควร เปลี่ยนโทษดังกล่าวเป็นมาตรการปรับเป็นพินัยเช่นเดียวกัน
๓.๒ สาระสำคัญของพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ๓.๒.๑ ความหมายที่เกี่ยวกับการปรับเป็นพินัย คำที่เกี่ยวข้อง ความหมาย หมายเหตุ “พินัย” เงินค่าปรับที่จ่ายให้ทางราชการ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ “ปรับเป็นพินัย” สั่งให้ผู้กระทำความผิดทางพินัยต้อง ชำระค่าปรับเป็นพินัยไม่เกินที่ กฎหมายกำหนด มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วย การปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ “ความผิดทางพินัย” การกระทำหรืองดเว้นการกระทำอัน เป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตาม กฎหมาย และกฎหมายนั้นบัญญัติให้ ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วย การปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ คำว่า “พินัย”เป็นถ้อยคำที่เคยใช้ในกฎหมายตราสามดวงและปรากฎในกฎหมาย ลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ และในกฎหมายเก่า ๆ บางฉบับ เช่น พระราชบัญญัติจัดวางการรถไฟและทางหลวง พุทธศักราช ๒๔๖๔ ซึ่งในพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายว่า หมายถึง “เงินค่าปรับที่จ่ายให้ทางราชการ” โดยผู้ที่เสนอให้ใช้คำว่า "พินัย" สำหรับมาตรการบังคับทางการเงิน ทำนองเดียวกับโทษปรับที่ให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองสามารถกำหนดได้เอง คือ ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.คณิต ณ นคร ซึ่งท่านเคยใช้คำนี้ในตอนที่กล่าวถึงมาตรการบังคับทางการเงินทำนองเดียวกับ “โทษปรับ” แต่ในกฎหมายว่าด้วยการกระทำที่ฝ่าฝืนระเบียบของประเทศเยอรมนีไม่เรียกว่า โทษปรับ แต่เรียกว่า “พินัย” คณะกรรมการพัฒนากฎหมายพิจารณาแล้วเห็นว่า การใช้คำว่า “ปรับเป็นพินัย” สามารถทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นมาตรการหรือการกำหนดโทษอีกลักษณะหนึ่ง ที่ไม่ใช่โทษทางอาญา โทษทางปกครอง หรือโทษทางวินัย และเมื่อได้สร้างระบบการปรับเป็นพินัยขึ้นมาเพื่อใช้เป็นมาตรการ ลงโทษสำหรับการกระทำหรืองดเว้นการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายที่ไม่ร้ายแรง และเป็นการลงโทษต่อทรัพย์สินโดยการสั่งปรับผู้กระทำความผิดแต่เพียงอย่างเดียวทำนองเดียว กับโทษปรับทางปกครอง จึงควรนำหลักเกณฑ์การปรับเป็นพินัยมาใช้กับความผิดที่มีโทษปรับทางปกครองด้วย เพื่อให้ระบบกฎหมายสอดคล้องเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ทำนองเดียวกับการนำหลักเกณฑ์การปรับ เป็นพินัยมาใช้กับความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนโทษปรับทางปกครอง ให้เป็นการปรับเป็นพินัยเพื่อให้การพิจารณาและกำหนดค่าปรับโดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองใช้กระบวนการ เดียวกัน ๘ ๓.๒.๒ ผู้กระทำผิดพินัย ๘ ธำรงลักษณ์ ลาพินี. ๒๕๖๕. ทำไมต้องปรับเป็นพินัย? (ออนไลน์). แหล่งที่มา : สำนักงานคณะกรรมการ กฤษฎีกา ผู้กระทำผิดพินัย คือ? ผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และกฎหมายนั้นบัญญัติไว้ให้ต้อง ชำระค่าปรับเป็นพินัย ๑๓
๓.๒.๓ รายชื่อกฎหมายที่จะมีการเปลี่ยนความผิดทางอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวและความผิด ที่มีโทษปรับทางปกครองเป็นความผิดทางพินัยตามบัญชี ๑ - ๓ ท้ายพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ๙ ดังนี้ ๑) กฎหมายในบัญชี ๑ ท้ายพระราชบัญญัติฯ ที่ถูกเปลี่ยนความผิดทางอาญาที่มีโทษปรับ สถานเดียวเป็นความผิดทางพินัย จำนวน ๑๖๘ ฉบับ ได้แก่ ๑. พระราชบัญญัติกองทุนการออมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๒. พระราชบัญญัติกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๖๒ ๓. พระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๓๘ ๔. พระราชบัญญัติกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ พ.ศ. ๒๕๓๐ ๕. พระราชบัญญัติกักพืช พ.ศ. ๒๕๐๗ ๖. พระราชบัญญัติการกีฬาแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ๗. พระราชบัญญัติการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ พ.ศ. ๒๕๔๘ ๘. พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ๙. พระราชบัญญัติการขุดดินและถมดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ ๑๐. พระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พุทธศักราช ๒๔๘๕ ๑๑. พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑๒. พระราชบัญญัติการฌาปนกิจสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๔๕ ๑๓. พระราชบัญญัติการท่าเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ ๑๔. พระราชบัญญัติการทางพิเศษแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๐ ๑๕. พระราชบัญญัติการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๒๒ ๑๖. พระราชบัญญัติการบัญชี พ.ศ. ๒๕๔๓ ๑๗. พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ๑๘. พระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. ๒๕๔๒ ๑๙. พระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๑ ๒๐. พระราชบัญญัติการมาตรฐานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๑ ๒๑. พระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒๒. พระราชบัญญัติการรถฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ ๒๓. พระราชบัญญัติการเรียกเงินสมทบเข้ากองทุนระหว่างประเทศเพื่อชดใช้ ความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๒๔. พระราชบัญญัติการเล่นแชร์ พ.ศ. ๒๕๓๔ ๒๕. พระราชบัญญัติการศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. ๒๕๔๕ ๒๖. พระราชบัญญัติการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ๒๗. พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. ๒๕๓๕ ๒๘.พระราชบัญญัติกำลังพลสำรอง พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒๙. พระราชบัญญัติกำหนดสวามผิดเกี่ยวกับท้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัดสมาคม และมูลนิธิ พ.ศ. ๒๔๙๙ ๙ พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ มาตรา ๓๙ - ๔๓ ๑๔
๓๐. พระราชบัญญัติกำหนดค่าธรรมเนียมการใช้ยานยนตร์บนทางหลวงและสะพาน พ.ศ.๒๔๙๗ ๓๑. พระราชบัญญัติกีฬามวย พ.ศ. ๒๕๔๒ ๓๒. พระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. ๒๕๔๕ ๓๓. พระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. ๒๕๖๑ ๓๔. พระราชบัญญัติคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ ๓๕. พระราชบัญญัติคลังสินค้า ไซโล และห้องเย็น พ.ศ. ๒๕๕๘ ๓๖. พระราชบัญญัติควบคุมการขายทอดตลาดและค้าของเก่า ,พุทธศักราช ๒๔๙๔ ๓๗. พระราชบัญญัติควบคุมการฆ่าสัตว์เพื่อการจำหน่ายเนื้อสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๓๘. พระราชบัญญัติควบคุมการโฆษณาโดยใช้เครื่องขยายเสียง พ.ศ. ๒๔๙๓ ๓๙. พระราชบัญญัติควบคุมการเรี่ยไร พุทธศักราช ๒๔๘๗ ๔๐. พระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๔๑. พระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ๔๒.พระราชบัญญัติควบคุมน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๒ ๔๓. พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๔๔. พระราชบัญญัติควบคุมยาง พ.ศ. ๒๕๔๒ ๔๕. พระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ๔๖. พระราชบัญญัติควบคุมโรคจากการประกอบอาชีพและโรคจากสิ่งแวดล้อม พ.ศ. ๒๕๖๒ ๔๗. พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ๔๘. พระราชบัญญัติความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ๔๙. พระราชบัญญัติความรับผิดทางแพ่งต่อความเสียหายจากมลพิษน้ำมันอันเกิดจากเรือ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๕๐. พระราชบัญญัติคุ้มครองชากดึกดำบรรพ์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ๕๑. พระราชบัญญัติคุ้มครองแบบผังภูมิของวงจรรวม พ.ศ. ๒๕๔๓ ๕๒. พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. ๒๕๒๒ ๕๓. พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๕๔. พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้รับงานไปทำที่บ้าน พ.ศ. ๒๕๕๓ ๕๕. พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ ๕๖. พระราชบัญญัติคุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๔๒ ๕๗. พระราชบัญญัติคุ้มครองสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๔๖ ๕๘. พระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร พุทธศักราช ๒๔๗๗ ๕๙. พระราชบัญญัติเครื่องแบบนักเรียน พ.ศ. ๒๕๕๑" ๖๐. พระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ๖๑. พระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ. ๒๕๕๘ ๖๒. พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ ๖๓. พระราชบัญญัติงาช้าง พ.ศ. ๒๕๕๘ ๖๔. พระราชบัญญัติเงินตรา พ.ศ. ๒๕๐๑ ๖๕. พระราชบัญญัติจดทะเบียนเครื่องจักร พ.ศ. ๒๕๑๔ ๖๖. พระราชบัญญัติจดหมายเหตุแห่งชาติ ท.ศ. ๒๕๕๖ ๑๕
๖๗. พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ ๖๘. พระราชบัญญัติจัดระเบียบกิจการแพปลา พ.ศ. ๒๔๙๖ ๖๙. พระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ท.ศ. ๒๕๕๘ ๗๐. พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ๗๑. พระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๗๒. พระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ. ๒๔๙๙ ๗๓. พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ ๗๔. พระราชบัญญัติทางหลวงสัมปทาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ๗๕. พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ ๗๖. พระราชบัญญัตินาคารแห่งประเทศไทย พุทธศักราช b๔๘๕ ๗๗. พระราชบัญญัติธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก็ พ.ศ. ๒๕๕๑ ๗๘. พระราชบัญญัติธุรกิจรักษาความปลอดภัย พ.ศ. ๒๕๕๘ ๗๙. พระราชกำหนดนิติบุคคลเฉพาะกิจเพื่อการแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๐ ๘๐. พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. ๒๕๓๕ ๘๑. พระราชบัญญัติบัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๖ ๘๒. พระราชบัญญัติบำรุงพันธุ์สัตว์ พ.ศ. ๒๕๐๙ ๘๓. พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. ๒๕๓๕ ๘๔. พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. ๒๕๓๕ ๘๕. พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. ๒๕๓๓ ๘๖. พระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๗ ๘๗. พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. ๒๕๓๙ ๘๘. พระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ๘๙. พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ๙๐. พระราชบัญญัติปุ้ย พ.ศ. ๒๕๑๘ ๙๑. พระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. ๒๕๑๘ ๙๒. พระราชบัญญัติเพิ่มอำนาจตำรวจในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดทางน้ำ พ.ศ. ๒๔๙๖ ๙๓. พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวิดิทัศน์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ๙๔. พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. ๒๕๖๒ ๙๕. พระราชบัญญัติภาษีป้าย พ.ศ. ๒๕๑๐ ๙๖.พระราชบัญญัติมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม พ.ศ. ๒๕๑๑ ๙๗. พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าเกษตร พ.ศ. ๒๕๕๑ ๙๘. พระราชบัญญัติมาตรฐานสินค้าขาออก พ.ศ. ๒๕๐๓ ๙๙. พระราชบัญญัติมาตราชั่งตวงวัด พ.ศ. ๒๕๔๒ . ๑๐๐. พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ ๑๐๑. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ ๑๐๒. พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา พ.ศ. ๒๕๔๒ ๑๐๓. พระราชบัญญัติรักษาคลองประปา พ.ศ. ๒๕๒๖ ๑๐๔. พระราชบัญญัติรักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑๖
๑๐๕. พระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ ๑๐๖. พระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช ๒๔๘๑ ๑๐๗. พระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑๐๘. พระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๓ ๑๐๙. พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ๑๑๐. พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑๑๑. พระราชบัญญัติโรคพิษสุนัขบ้า พ.ศ: ๒๕๓๕ ๑๑๒. พระราชบัญญัติโรคระบาดสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑๑๓. พระราชบัญญัติโรงงานผลิตอาวุธของเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ ๑๑๔. พระราชบัญญัติโรงรับจำนำ พ.ศ. ๒๕๐๕ ๑๑๕. พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ ๑๑๖. พระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ๑๑๗. พระราชบัญญัติเลื่อยโซ่ยนต์ พ.ศ. ๒๕๔๕ ๑๑๘. พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ ๑๑๙. พระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๔ ๑๒๐. พระราชบัญญัติว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๔๒ ๑๒๑. พระราชบัญญัติวิชาชีพกายภาฬบำบัด พ.ศ. ๒๕๔๗ ๑๒๒. พระราชบัญญัติวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ พ.ศ. ๒๕๒๘ ๑๒๓. พระราชบัญญัติวิชาชีพการแพทย์แผนไทย พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑๒๔. พระราชบัญญัติวิชาชีพการสัตวแพทย์ พ.ศ. ๒๕๔๕ ๑๒๕. พระราชบัญญัติวิชาชีพการสาธารณสุขชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑๒๖. พระราชบัญญัติวิชาชีพทันตกรรม พ.ศ. ๒๕๓๗ ๑๒๗. พระราชบัญญัติวิชาชีพเทคนิคการแพทย์ พ.ศ. ๒๕๔๗ ๑๒๘. พระราชบัญญัติวิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ. ๒๕๓๗ ๑๒๙. พระราชบัญญัติวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑๓๐. พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและ ครอบครัว พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑๓๑. พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาฝีมือแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๕ ๑๓๒. พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑๓๓. พระราชบัญญัติส่งเสริมการพาณิชยนาวี พ.ศ. ๒๕๒๑ ๑๓๔. พระราชบัญญัติส่งเสริมกิจการฮัจย์ พ.ศ. ๒๕๒๔ ๑๓๕. พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ๑๓๖. พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑๓๗. พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑๓๘. พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม พ.ศ. ๒๕๔๓ ๑๓๙. พระราชบัญญัติสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ พ.ศ. ๒๕๕๔ ๑๔๐. พระราชบัญญัติสถานบริการ พ.ศ. ๒๕๐๙ ๑๔๑. พระราชบัญญัติสถานพยาบาล ท.ศ. ๒๕๔๑ ๑๔๒. พระราชบัญญัติสถานพยาบาลสัตว์ พ.ศ. ๒๕๓๓ ๑๗
๑๔๓. พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. ๒๕๕๑ ๑๔๔. พระราชบัญญัติสถาบันอุดมศึกษาเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๖ ๑๔๕. พระราชบัญญัติสถาปนิก พ.ศ. ๒๕๔๓ ๑๔๖. พระราชบัญญัติสถิติ พ.ศ. ๒๕๕๐ ๑๔๗. พระราชบัญญัติสภาการเหมืองแร่ พ.ศ. ๒๕๒๖ ๑๘๘. พระราชบัญญัติสภาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑๔๙. พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ ๑๕๐. พระราชบัญญัติสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๘ ๑๕๑. พระราชบัญญัติสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๔ ๑๕๒. พระราชบัญญัติสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๐ ๑๕๓. พระราชบัญญัติสมาคมการค้า พ.ศ. ๒๕๐๙ ๑๕๔. พระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑๕๕. พระราชบัญญัติสัตว์พาหนะ พุทธศักราช ๒๔๘๒ ๑๕๖. พระราชบัญญัติสัตว์เพื่องานทางวิทยาศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑๕๗. พระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ. ๒๕๑๗. ๑๕๘. พระราชบัญญัติสำหรับรักษาช้างป่า พระพุทธศักราช ๒๔๖๔ ๑๕๙. พระราชบัญญัติสุสานและฌาปนสถาน พ.ศ. ๒๕๒๘ ๑๖๐. พระราชบัญญัติหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑๖๑. พระราชบัญญัติหอการค้า พ.ศ. ๒๕๐๙ ๑๖๒. พระราชบัญญัติหอพัก พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑๖๓. พระราชบัญญัติให้อำนาจปฏิบัติการเกี่ยวกับกองทุนการเงินและธนาคารระหว่าง ประเทศ พ.ศ. ๒๔๙๔ ๑๖๔ พระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการ วิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ๑๖๕. พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐ ๑๖๖. พระราชบัญญัติอ้อยและน้ำตาลทราย พ.ศ. ๒๕ไ๒๗ ๑๖๗. พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียม อาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ ๑๖๘. พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑๘
๒) กฎหมายในบัญชี ๒ ท้ายพระราชบัญญัติฯ จะเปลี่ยนความผิดอาญาที่มีโทษปรับ สถานเดียวเป็นความผิดทางพินัยได้โดยการตราเป็นพระราชกฤษฎีกา จำนวน ๓๓ ฉบับ ได้แก่ ๑. พระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. ๒๕๔๓ ๒. พระราชบัญญัติการจัดสรรที่ดิน พ.ศ. ๒๕๔๓ ๓. พระราชบัญญัติการเดินอากาศ พ.ศ. ๒๔๙๗ ๔. พระราชบัญญัติการทะเบียนคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๔๕๓ ๕. พระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๖๐ ๖. พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต พ.ศ. ๒๕๔๕ ๗. พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. ๒๕๔๖ ๘. พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. ๒๕๖๑ ๙. พระราชกำหนดการประมง พ.ศ. ๒๕๕๘ ๑๐. พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. ๒๕๒๒ ๑๑. พระราชบัญญัติควบคุมการส่งเสริมการตลาดอาหารสำหรับทารกและเด็กเล็ก พ.ศ. ๒๕๖๐ ๑๒. พระราชบัญญัติช่างรังวัดเอกชน พ.ศ. ๒๕๓๕ ๑๓. พระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๕ ๑๔. พระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงิน พ.ศ. ๒๕๕๑ ๑๕. พระราชบัญญัติน้ำบาดาล พ.ศ. ๒๕๒๐ ๑๖. พระราชกำหนดบริษัทบริหารสินทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๔๑ ๑๗. พระราชบัญญัติไปรษณีย์ พุทธศักราช ๒๔๗๗ ๑๘. พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์สมุนไพร พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑๔. พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. ๒๕๕๘ ๒๐. พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ. ๒๕๑๔ ๒๑. พระราชบัญญัติภาษีสรรพสามิต พ.ศ. ๒๕๖๐. ๒๒. พระราชบัญญัติยา พ.ศ. ๒๕๑๐ ๒๓. ประมวลกฎหมายยาเสพติด ๒๔. พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐ ๒๕. พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. ๒๕๓๕ ๒๖. พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ ๒๗. พระราชบัญญัติว่าด้วยสิทธิการประมงในเขตต์การประมงไทย พุทธศักราช ๒๔๘๒ ๒๘. พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๖๐ ๒๔. พระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๒ ๓๐. พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. ๒๕๔๖ ตด. พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๕ ๓๒. พระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. ๒๕๒๒ ๓๓. พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ๓. กฎหมายในบัญชี ๓ ท้ายพระราชบัญญัติฯ จะเปลี่ยนความผิดที่มีโทษปรับทางปกครอง เป็นความผิดทางพินัย จำนวน ๓ ฉบับ ได้แก่ ๑. พระราชบัญญัติป่าชุมชน พ.ศ. ๒๕๖๒ ๒. พระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช ๒๔๘๑ ๓. พระราชบัญญัติส่งเสริมวิสาหกิจเพื่อสังคม พ.ศ. ๒๕๖๒ ๑๙
๓.๒.๔ ผลใช้บังคับความผิดทางอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวและความผิดที่มีโทษปรับ ทางปกครองที่มีการเปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัย ผลใช้บังคับ ๑. ความผิดทางอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียว ตามกฎหมายในบัญชี ๑ ท้ายพระราชบัญญัติฯ ๑) เปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัยตั้งแต่ ๒๕ ต.ค.๖๖ ๒) ให้ถือว่าอัตราโทษปรับอาญาที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย ดังกล่าว เป็นอัตราค่าปรับเป็นพินัย ๒. ความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวตาม กฎหมายในบัญชี ๒ ท้ายพระราชบัญญัติฯ เปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัยได้แต่โดยการตราเป็นพระ ราชกฤษฎีกา ๓. ความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียวตาม ข้อบัญญัติท้องถิ่น ๑)อำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในการออกข้อบัญญัติ ท้องถิ่นกำหนดโทษปรับอาญาเปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัย ตั้งแต่ ๒๕ ต.ค.๖๖ ๒) ให้ถือว่าอัตราโทษปรับอาญาในข้อบัญญัติท้องถิ่น เป็น อัตราค่าปรับเป็นพินัย ๔. ความผิดที่มีโทษปรับทางปกครองตาม กฎหมายในบัญชี ๓ ท้ายพระราชบัญญัติฯ ๑) เปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัยตั้งแต่ ๒๕ ต.ค.๖๖ ๒) ให้ถือว่าอัตราโทษปรับทางปกครองที่มีบัญญัติไว้ตาม กฎหมายดังกล่าว เป็นอัตราค่าปรับเป็นพินัย ๒๐
๓.๒.๕ การชำระค่าปรับเป็นพินัย แนวทาง อธิบาย มาตรา ๑) ชำระคราวเดียว ผู้กระทำความผิดทางพินัยต้องชำระค่าปรับเป็น พินัยตามจำนวนเงินที่เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือศาล กำหนด มาตรา ๗ ๒) ผ่อนชำระเป็นงวด หากผู้กระทำความผิดทางพินัยไม่สามารถชำระ ค่าปรับเป็นพินัยได้ในคราวเดียว ผู้กระทำความผิด ทางพินัยสามารถยื่นคำร้องขอต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือศาลเพื่อขอผ่อนชำระค่าปรับเป็นงวดได้ มาตรา ๙ วรรคสอง ๓) ขอลดค่าปรับ หากผู้กระทำความผิดทางพินัยได้กระทำความผิด ทางพินัยไปด้วยความยากจนหรือเพราะ ความจำเป็นอย่างแสนสาหัสในการดำรงชีวิต ผู้กระทำความผิดอาจยื่นคำร้องเพื่อขอให้กำหนด ค่าปรับเป็นพินัยต่ำกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ๔) ขอทำงานบริการสังคม/ ทำงานสาธารณประโยชน์ แทนค่าปรับเป็นพินัย ๔.๑) หากผู้กระทำความผิดทางพินัยได้กระทำ ความผิดทางพินัยไปด้วยความยากจนหรือเพราะ ความจำเป็นอย่างแสนสาหัสในการดำรงชีวิต ผู้กระทำความผิดอาจยื่นคำร้องเพื่อขอทำงาน บริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทน ค่าปรับเป็นพินัยได้ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ๔.๒) หากผู้กระทำความผิดทางพินัยไม่มีเงินมา ชำระค่าปรับทางพินัย ผู้กระทำความผิดสามารถ ยื่นคำร้องโดยแสดงเหตุอันสมควรเพื่อขอทำงาน บริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทน ค่าปรับเป็นพินัยได้ มาตรา ๑๐ วรรคสอง หมายเหตุการชำระค่าปรับเป็นพินัยอาจชำระผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์และ วิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง ๒๑
๓.๒.๖ ผู้มีอำนาจปรับเป็นพินัย๑๐ ๑๐ พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ มาตรา ๙ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๔ มาตรา ๑๙ และ มาตรา ๒๓ เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของหน่วยงานของ รัฐที่รับผิดชอบการบังคับใช้ กฎหมายที ่บัญญัติความผิด ทางพินัยไว้เป็นผู้มีอำนาจ ปรับเป็นพินัย แสวงหาข้อเท็จจริง แ ล ะ ร ว บ ร ว ม พยานหลักฐาน และ ต ้ อ ง ใ ห ้ โ อ ก า ส ผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง หรือแก้ข้อกล่าวหา อำนาจหน้าที่ หมายความว่า “พนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าพนักงาน นายทะเบียน คณะ บุคคล และเจ้าหน้าที่ ของรัฐที่เรียกชื่ออย่าง อื่น บรรดาที่กฎหมาย บัญญัติให้มีอำนาจปรับ เป็นพินัย” มีคำสั่งปรับเป็นพินัย มีดุลพินิจให้ผ่อนชำระได้ ถ้าผู้กระทำผิดทางพินัย ปฏิเสธข้อกล่าวหา หรือ ไม่ชำระค่าปรับทางพินัย ต้อง สรุปสำนวนส่งพนักงาน อัยการเพื่อดำเนินการ ฟ้องคดีต่อศาล ค่าปรับเป็นพินัยที่กฎหมายบัญญัติไว้ มีอัตราอย่างสูงไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท ค่าปรับเป็นพินัยที่กฎหมายบัญญัติไว้มี อัตราอย่างสูงเกิน ๑๐,๐๐๐ บาท เจ้าหน้าที่ของรัฐคนเดียวมีอำนาจปรับได้ องค์คณะเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่น้อยกว่า ๓ คน มีอำนาจปรับ ยื่นคำร้องของผู้กระทำ ผิดพินัยต่อศาลเพื่อให้ ศาลมีคำสั่งลดค่าปรับ/ ขอทำงานบริการสังคม แทนค่าปรับ ๒๒
๓.๒.๗ หลักเกณฑ์ในการพิจารณากำหนดค่าปรับทางพินัย เจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องพิจารณากำหนดค่าปรับทางพินัยให้เหมาะสมกับข้อเท็จจริง ซึ่งมีหลักเกณฑ์กำหนดไว้ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ มาตรา ๙ หลักเกณฑ์ ในการพิจารณา ค่าปรับเป็นพินัย ระดับความรุนแรงของ ผลกระทบที่เกิดขึ้น แก่ชุมชนหรือสังคม และ พฤติการณ์อื่นอันเกี่ยวกับ สภาพความผิดทางพินัย สภาพของผู้กระท าผิด เช่น ความรู้ผิดชอบ อายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา สุขภาพ การศึกษาอบรม นิสัย สิ่งแวดล้อม การกระท าความผิดซ้ า ผลประโยชน์ที่ผู้กระท า ความผิดทางพินัยหรือ บุคคลอื่นได้รับจาก การกระท าความผิด ทางพินัย สถานะทางเศรษฐกิจของ ผู้กระท าความผิดทางพินัย ๒๓
๓.๒.๘ ผลเมื่อผู้กระทำผิดทางพินัยปฏิเสธข้อกล่าวหา หรือไม่ชำระค่าปรับเป็นพินัย ปฏิเสธข้อกล่าวหา ผู้กระทำผิดทางพินัย ไม่ชำระค่าปรับเป็นพินัย ผิดนัดงวดหนึ่งงวดใด โดยไม่มีเหตุอันสมควร อายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สิน เพื่อชำระค่าปรับเป็นพินัย ถูกบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินเพื่อชำระ ค่าปรับเป็นพินัย ศาลพิจารณาพิพากษา ให้ชำระค่าปรับเป็นพินัย รวบรวมพยานหลักฐานและ สรุปสำนวนส่งพนักงานอัยการ เพื่อดำเนินการฟ้องคดีต่อศาล เจ้าหน้าที่ของรัฐ ถ้าไม่ชำระค่าปรับตามคำพิพากษา ๒๔
๓.๒.๙ อายุความ๑๑ ๓.๒.๑๐ คดีทางพินัยเป็นอันยุติ ๑๑ พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ มาตรา ๑๑ และมาตรา ๑๒ ๒ ปี ๕ ปี คดีทางพินัยเป็นอันยุติ ช าระค่าปรับเป็นพินัย/ ท างานสาธารณประโยชน์ แทนค่าปรับเป็นพินัย ครบถ้วนแล้ว โดยความตาย ของผู้กระท า ความผิดทางพินัย เมื่อมี การเปรียบเทียบ ความผิดอาญา เมื่อคดี ขาดอายุความ เมื่อพ้น ก าหนดเวลา ช าระค่าปรับ ตามที่ กฎหมาย ก าหนด คดีขาดอายุความ กรณีที่ไม่ได้มีคำสั่งปรับเป็นพินัยหรือ ฟ้องคดีภายในกำหนด ๒ ปี นับแต่วันกระทำความผิด คดีเป็นอันขาดอายุความ กรณีที่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาอันเป็นที่สุดให้ชำระ ค่าปรับเป็นพินัย ถ้าผู้กระทำความผิดทางพินัยไม่ได้ ชำระค่าปรับหรือชำระค่าปรับไม่ยังครบถ้วน และคดีเกิน ๕ ปี นับแต่วันที่มีคำสั่งหรือ คำพิพากษาดังกล่าว จะบังคับตามคำสั่งหรือ คำพิพากษาต่อผู้นั้นไม่ได้ ๒๕
๓.๒.๑๑ กระบวนการปรับเป็นพินัย ได้แก่ ชั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ชั้นพนักงานอัยการ และชั้นศาล โดยมีสาระสำคัญดังนี้ ชั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๑) หลักเกณฑ์ในการพิจารณาความผิดทางพินัย๑๒ (๑) กรณีกรรมเดียวเป็นความผิดทางพินัยหลายบท - ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้กฎหมายบทที่กำหนดค่าปรับเป็นพินัยสูงสุดในการปรับผู้กระทำความผิด ทางพินัย - หากความปรากฏต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐก่อนที่ผู้กระทำความผิดทางพินัยจะชำระค่าปรับเป็นพินัยว่า การกระทำนั้นเป็นความผิดทางพินัยตามกฎหมายอื่นที่กำหนดค่าปรับเป็นพินัยสูงกว่าด้วย ให้ระงับ การรับชำระค่าปรับเป็นพินัยและส่งสำนวนให้เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจปรับเป็นพินัยสำหรับความผิดที่ กฎหมายกำหนดค่าปรับเป็นพินัยสูงกว่า เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป - กรณีที่ได้มีคำสั่งปรับเป็นพินัยและมีการชำระค่าปรับไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนในความผิด ทางพินัยบทใดบทหนึ่งแล้วไม่ว่าจะเป็นบทที่กำหนดค่าปรับเป็นพินัยสูงสุดหรือไม่ ให้ความผิดทางพินัยสำหรับ การกระทำความผิดในบทอื่นเป็นอันยุติ (๒) กรณีกรรมเดียวเป็นทั้งความผิดทางพินัยและความผิดอาญา - ถ้าความผิดอาญานั้นไม่อาจเปรียบเทียบได้ ให้ระงับการดำเนินการปรับเป็นพินัยและแจ้งพนักงาน สอบสวนเพื่อดำเนินคดีอาญาต่อไป -ถ้าเจ้าหน้าที่ของรัฐได้ปรับเป็นพินัยไปก่อนแล้ว การปรับเป็นพินัยนั้นไม่เป็นการตัดอำนาจของ พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการที่จะดำเนินคดีอาญา - กรณีที่ศาลในคดีอาญามีคำพิพากษาถึงที่สุดลงโทษอาญาแก่ผู้กระทำความผิด ให้ความผิด ทางพินัยเป็นอันยุติและให้ศาลในคดีอาญาสั่งคืนค่าปรับเป็นพินัยที่ได้ชำระแล้วให้แก่ผู้กระทำความผิด - กรณีที่ศาลในคดีอาญาพิพากษาลงโทษปรับ ไม่ว่าจะลงโทษจำคุกด้วยหรือไม่ก็ตาม ให้ศาล ในคดีอาญาสั่งให้นำค่าปรับเป็นพินัยที่ชำระแล้วมาหักกลบกับโทษปรับ แต่หากยังมีจำนวนเงินค่าปรับเป็น พินัยที่ชำระแล้วเหลืออยู่ ให้ศาลในคดีอาญาสั่งให้คืนเงินที่เหลือนั้นให้แก่ผู้กระทำความผิดด้วย -ถ้าความผิดอาญานั้นเปรียบเทียบได้ และผู้กระทำความผิดได้ชำระค่าปรับเป็นพินัยหรือทำงาน บริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับเป็นพินัยตามคำสั่งของศาลแล้วให้คดีอาญานั้นเป็นอัน เลิกกัน แต่ไม่ตัดสิทธิผู้เสียหายที่จะเรียกค่าเสียหายจากการกระทำของผู้กระทำความผิดนั้น -ถ้าความผิดอาญานั้นเปรียบเทียบได้ และได้มีการชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบแล้ว ให้ความผิด ทางพินัยนั้นเป็นอันยุติ (๓) กรณีความผิดหลายกรรมต่างกัน - หากการกระทำความผิดทางพินัยอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ปรับเป็นพินัยผู้นั้น ทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป - ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นผู้ดำเนินการปรับเป็นพินัย และความผิดทางพินัยนั้นอยู่ในอำนาจ ของเจ้าหน้าที่ของรัฐต่างหน่วยงานกัน ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐปรับเป็นพินัยในความผิดที่อยู่ในอำนาจของตน และ แจ้งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีอำนาจพิจารณาในความผิดทางพินัยอื่นทราบเพื่อดำเนินการต่อไปด้วย ๑๒ พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ มาตรา ๑๕ มาตรา ๑๖ และมาตรา ๑๗ ๒๖
ชั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๒) แนวทางปฏิบัติในการปรับเป็นพินัยของเจ้าหน้าที่ของรัฐ (๑) หากมีเหตุอันควรสงสัย หรือมีการกล่าวหา หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐพบเห็นว่ามีการกระทำ ความผิดทางพินัย ต้องดำเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำ ความผิด โดยให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงหรือแก้ข้อกล่าวหาตามสมควร (๒) เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานเพียงพอแล้วเชื่อว่าได้มีการกระทำผิดทางพินัยจริง ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีคำสั่งปรับเป็นพินัยและส่งคำสั่งนั้นให้ผู้กระทำผิดทางพินัยทราบ (๓) การส่งคำสั่งปรับให้แจ้งส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับและให้ถือว่าผู้นั้นได้รับแจ้ง ตั้งแต่ครบ ๑๕ วันนับแต่วันที่ปรากฎในทะเบียนตอบรับ (๔) คำสั่งปรับให้ทำเป็นหนังสือโดยมีรายละเอียดตามมาตรา ๒๑ กำหนดไว้ ได้แก่ - ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำความผิดทางพินัย - จำนวนเงินค่าปรับเป็นพินัย - ระยะเวลาที่ต้องชำระ (ต้องไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน แต่ไม่เกิน ๓๐ วันนับแต่วันที่ได้รับแจ้ง) - กระบวนการที่เจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องดำเนินการต่อไป ถ้ามีการปฏิเสธข้อกล่าวหาหรือ ไม่ชำระค่าปรับเป็นพินัยภายในระยะเวลาที่กำหนด - สิทธิในการขอผ่อนชำระหรือการยื่นคำร้องขอทำงานบริการสังคมหรือทำงาน สาธารณประโยชน์แทนค่าปรับเป็นพินัย - รายละเอียดอื่นใดที่เห็นสมควรอันจะทำให้ผู้ถูกกล่าวหาเข้าใจสภาพแห่งการกระทำ ความผิดหรือที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ถูกกล่าวหา (๕) หากผู้ถูกกล่าวหาปฏิเสธข้อกล่าวหา หรือไม่ชำระค่าปรับภายในระยะเวลาที่กำหนด เจ้าหน้าที่ของรัฐต้องสรุปข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย พยานหลักฐาน และส่งสำนวนให้พนักงานอัยการเพื่อ ดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลต่อไป หรืออาจฟ้องคดีต่อศาลได้เองโดยไม่ต้องส่งสำนวนให้พนักงานอัยการ หากกฎหมายซึ่งบัญญัติความผิดทางพินัยได้บัญญัติให้เจ้าหน้าที่ของรัฐมีอำนาจฟ้องคดีต่อศาลได้ (๖) หากผู้กระทำความผิดทางพินัยได้ชำระค่าปรับเป็นพินัยครบถ้วนตามจำนวนที่เจ้าหน้าที่ ของรัฐกำหนดก่อนฟ้องคดีต่อศาล ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐยุติการดำเนินการฟ้องคดี ๒๗
ชั้นพนักงานอัยการ เมื่อพนักงานอัยการได้รับสำนวนคดีความผิดทางพินัยจากเจ้าหน้าที่ของรัฐแล้วต้องพิจารณาว่ามี พยานหลักฐานเพียงพอต่อการฟ้องคดีหรือไม่ โดยพนักงานอัยการจะมีความเห็นและดำเนินการดังนี้ ๑) กรณีพนักงานอัยการเห็นควรสั่งฟ้อง ให้ฟ้องคดีต่อศาล โดยจะมีหรือไม่มีตัวผู้ถูกกล่าวหาไปศาลด้วยก็ได้ ๒) กรณีพนักงานอัยการเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง ให้แจ้งหัวหน้าหน่วยงานของรัฐทราบ พร้อมทั้งเหตุผล หากหัวหน้าหน่วยงานของรัฐไม่เห็น ด้วยกับคำสั่งของพนักงานอัยการ ให้ทำความเห็นแย้งเสนอไปยังผู้ดำรงตำแหน่งเหนือพนักงานอัยการที่มี คำสั่งเพื่อชี้ขาด และหากมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี ให้พนักงานอัยการแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบเป็น หนังสือ ๓) กรณีพยานหลักฐานยังไม่เพียงพอ พนักงานอัยการมีอำนาจแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม รวมทั้งมีหนังสือเรียกให้บุคคลมาให้ ถ้อยคำได้ตามที่เห็นสมควร หรือจะสั่งให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการเรียกบุคคลมาให้ถ้อยคำเพิ่มเติมก็ได้ ๔) กรณีเห็นว่าสำนวนคดีความผิดทางพินัยเป็นความผิดทางอาญา หรือมีความผิดทาง อาญารวมอยู่ด้วย ให้พนักงานอัยการแจ้งให้พนักงานสอบสวนเพื่อพิจารณาดำเนินคดีอาญาต่อไป ๕) กรณีเห็นว่าสำนวนคดีทางอาญาเป็นความผิดทางพินัย หรือมีการกระทำผิดความผิดทาง พินัยรวมอยู่ด้วย ให้พนักงานอัยการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องพิจารณาดำเนินการปรับทางพินัยต่อไป ๖) กรณีชำระค่าปรับเป็นพินัยครบถ้วนก่อนฟ้องคดี หากผู้กระทำความผิดทางพินัยได้ชำระค่าปรับเป็นพินัยครบถ้วนตามจำนวนที่เจ้าหน้าที่ของ รัฐกำหนดก่อนพนักงานอัยการฟ้องคดีต่อศาล ให้พนักงานอัยการยุติการดำเนินการฟ้องคดี ๒๘
ชั้นศาล ๑) ศาลที่มีอำนาจในการพิจารณาคดีความผิดทางพินัย คือ ศาลแขวง ศาลจังหวัด ศาลอาญาที่มีเขตอำนาจ หรือศาลชำนัญพิเศษตามที่กฎหมาย บัญญัติ ๒) วิธีพิจารณาคดีความผิดทางพินัย เป็นไปตามข้อบังคับของประธานศาลฎีกา โดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ๓) เขตอำนาจศาล (๑) กรณีความผิดทางพินัยเกิดในท้องที่เดียว ให้ฟ้องต่อศาลที่ความผิดทางพินัยเกิดขึ้น อ้าง หรือเชื่อว่าได้เกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลนั้น (๒) กรณีความผิดทางพินัยเกิดขึ้นในหลายท้องที่ ให้ฟ้องคดีต่อศาลที่มีเขตอำนาจ ในท้องที่ใดท้องที่หนึ่งก็ได้ (๓) กรณีไม่ปรากฏแน่ชัดว่าความผิดทางพินัยเกิดขึ้นในท้องที่ใด ให้ฟ้องคดี ต่อศาลที่ผู้กระทำความผิดมีที่อยู่ แต่ถ้าไม่ทราบที่อยู่ให้ถือที่อยู่ที่ปรากฎตามหลักฐานทางทะเบียนราษฎร (๔) กรณีที่มีผู้กระทำผิดหลายคน ให้ฟ้องคดีต่อศาลที่ผู้กระทำความผิดคนใด คนหนึ่งมีที่อยู่ ๔) กรณีไม่ชำระค่าปรับตามคำพิพากษา หากผู้ใดต้องคำพิพากษาให้ชำระค่าปรับเป็นพินัย ไม่ชำระค่าปรับภายในเวลาที่ ศาลกำหนด ศาลมีอำนาจออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของ ผู้กระทำความผิดเพื่อชำระค่าปรับเป็นพินัย ๕) การอุทธรณ์คำพิพากษา ผู้กระทำความผิดทางพินัยไม่สามารถอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลในปัญหาข้อเท็จจริงและ จำนวนค่าปรับเป็นพินัยได้ แต่มีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาได้เฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย โดยคำพิพากษาของ ศาลชั้นอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด ๖) การบังคับคดี ให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม โดยให้เจ้าพนักงานศาลที่ ได้รับแต่งตั้งและพนักงานอัยการเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการบังคับคดีและให้เจ้าพนักงาน บังคับคดีมีอำนาจหน้าที่ยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของผู้กระทำความผิดทางพินัย และขายทอดตลาดตามที่ได้รับแจ้งจากศาลหรือพนักงานอัยการ ๗) กรณีชำระค่าปรับเป็นพินัยครบถ้วน (๑) หากผู้กระทำความผิดชำระค่าปรับเป็นพินัยครบตามจำนวนที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกำหนดก่อน ศาลมีคำพิพากษา ให้ศาลสั่งจำหน่ายคดี (๒) หากชำระค่าปรับเป็นพินัยครบถ้วนตามคำพิพากษา คดีความผิดทางพินัยเป็นอันยุติ ๒๙
กระบวนการปรับเป็นพินัย ชั้นเจ้าหน้าที่ของรัฐ ชั้นพนักงานอัยการ ชั้นศาล เมื่อมีเหตุอันควรสงสัย/ มีการกล่าวหา/เจ้าหน้าที่ของรัฐพบเห็น ว่ามีการกระทำความผิดทางพินัย เจ้าหน้าที่ของรัฐ ๑. แสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวม พยานหลักฐาน ๒. ให้โอกาสผู้กล่าวหาได้ชี้แจงหรือแก้ ข้อกล่าวหาตามสมควร หากพยานหลักฐานเพียงพอให้ เจ้าหน้าที่ของรัฐมีคำสั่งปรับเป็นพินัย ผู้ถูกกล่าวหา ชำระค่าปรับเป็น พินัยครบถ้วน คดียุติ ผู้ถูกกล่าวหาปฏิเสธ ข้อกล่าวหา/ไม่ชำระ ค่าปรับ เมื่อพนักงานอัยการได้รับสำนวนคดี ความผิดทางพินัย มีคำสั่งฟ้อง มีคำสั่งไม่ฟ้อง ดำเนินการฟ้องคดี ต่อศาล โดยจะมี หรือไม่มีตัวผู้ถูก กล่าวหาไปศาลก็ได้ ให้แจ้งหน่วยงาน ของรัฐทราบ พร้อมเหตุผล หน่วยงานของรัฐ ไม่เห็นด้วยกับคำสั่ง คำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดี ให้พนักงานอัยการแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหา ทราบเป็นหนังสือ มีคำสั่งปรับ โดยส่งคำร้องทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ตอบรับไปยังที่อยู่ของผู้ถูกกล่าวหา เจ้าหน้าที่ของรัฐ สรุปข้อเท็จจริง/ ข้อกฎหมาย/ พยานหลักฐาน ส่งสำนวนให้ พนักงานอัยการเพื่อ ดำเนินการฟ้องคดีต่อ ศาล หน่วยงานของ รัฐเห็นด้วยกับ คำสั่ง ให้ทำความเห็นแย้ง เสนอไปยังผู้ดำรง ตำแหน่งเหนือ พนักงานอัยการ ที่มีคำสั่งเพื่อชี้ขาด ศาลแขวง ศาลจังหวัด ศาลอาญาที่มีเขตอำนาจ หรือ ศาลชำนัญพิเศษ ตามกฎหมาย ว่าด้วยการนั้น เป็นศาลที่มีอำนาจ พิจารณาพิพากษาคดี ความผิดทางพินัย วิธีพิจารณาคดีความผิดทางพินัย เป็นไปตามข้อบังคับของประธาน ศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของที่ ประชุมใหญ่ศาลฎีกา กรณีผู้ต้องคำพิพากษาให้ชำระ ค่าปรับเป็นพินัย ไม่ชำระค่าปรับ ให้ศาลออกหมายบังคับคดีเพื่อยึด ทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้อง เพื่อชำระค่าปรับเป็นพินัย ห้ามมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาของ ศาลในปัญหาข้อเท็จจริงและ จำนวนค่าปรับเป็นพินัย คำพิพากษาศาลชั้นอุทธรณ์ เป็นที่สุด ๓๐
บทที่ ๔ ทหารกับการปรับเป็นพินัย พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ได้กำหนดให้เปลี่ยนความผิดอาญา ที่มีโทษปรับสถานเดียวตามท้ายพระราชบัญญัตินี้ เป็นความผิดทางพินัย และการปรับทางพินัยไม่มีสภาพ เป็นโทษทางอาญา ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ของรัฐมีพยานหลักฐานเชื่อว่าบุคคลใดกระทำความผิดทางพินัย เจ้าหน้าที่ ของรัฐจะมีคำสั่งปรับเป็นพินัย โดยผู้กระทำความผิดทางพินัยจะต้องชำระค่าปรับดังกล่าว แต่หากไม่ชำระค่าปรับ บุคคลนั้นอาจถูกฟ้องคดีต่อศาลได้ อย่างไรก็ดี พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ เป็นกฎหมาย ที่มีกระบวนการแตกต่างจากกระบวนพิจารณาคดีอาญา คดีแพ่ง หรือคดีปกครอง และอาจเกี่ยวข้องกับกำลังพล ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งกำลังพลของกระทรวงกลาโหมควรทราบแนวทางปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วย การปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ เมื่อตกเป็นผู้กระทำความผิดทางพินัย ดังนี้ ๔.๑. ผู้กระทำผิดทางพินัย คือ ผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ซึ่งกฎหมายนั้นได้บัญญัติให้การกระทำดังกล่าว เป็นความผิดทางพินัย และผู้กระทำความผิดทางพินัยจะต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย ๔.๒ ตัวอย่างความผิดตามกฎหมายในบัญชี ๑ ท้ายพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัยที่กำลังพลควรทราบ กฎหมาย ตัวอย่างความผิด บทกำหนดโทษ ๑. พระราชบัญญัติการจราจร ทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒ - ข้ามทางนอกทางม้าลาย (มาตรา ๑๐๔) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๕๐๐ บาท (มาตรา ๑๔๗) - แบก หาม ลาก หรือนำสิ่งของไปบนทางที่เป็น การกีดขวางการจราจร (มาตรา ๑๑๕) - ไม่รัดเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลาในขณะขับรถยนต์ (มาตรา ๑๒๓ วรรคหนึ่ง) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๔๘) - ขับขี่ขับรถในลักษณะกีดขวางการจราจร - ขับรถน่าหวาดเสียวซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายแก่ คนอื่นหรือทรัพย์สิน - ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ในขณะขับรถ (มาตรา ๔๓ (๓) (๔) (๖) (๗) หรือ (๙)) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๔,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๕๗) - ขับรถแซงเมื่อขึ้นสะพานหรืออยู่ในทางโค้ง - ขับรถแซงภายในระยะ ๓๐ เมตรก่อนถึงทางข้าม / ทางร่วมทางแยก/วงเวียน - ขับรถแซงเมื่อมีหมอก ฝน ฝุ่นหรือควัน จนทำให้ไม่ อาจเห็นทางข้างหน้าได้ในระยะ ๖๐ เมตร - ขับรถแซงเมื่อเข้าที่คับขันหรือเขตปลอดภัย (มาตรา ๔๖) ๒. พระราชบัญญัติกำลังพล สำรอง พ.ศ. ๒๕๕๘ - นายจ้างที่ไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างซึ่งเป็นกำลังพล สำรองที่ลาไปรับราชการทหาร ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๔๐)
๓. พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒ - ใช้รถที่ยังไม่ได้จดทะเบียน (มาตรา ๖ (๑)) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๕๙) - ไม่เสียภาษีรถยนต์ประจำปี ต้องระวางโทษไม่เกิน ๒,๐๐๐ บาท (มาตรา ๖๐) - การจดทะเบียนรถเป็นอันระงับเมื่อรถค้างชำระภาษี ประจำปีติดต่อกันครบ ๓ ปี โดยเจ้าของรถต้องส่งคืน แผ่นป้ายทะเบียนรถ (มาตรา ๓๕/๓) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท (มาตรา ๖๑) ๔ . พ ร ะ ร า ช บ ั ญ ญ ั ติ อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และ สิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ - ทำอาวุธปืนที่ได้รับอนุญาตหายแล้วไม่แจ้งเหตุ ภายใน ๑๕ วันนับแต่วันทราบเหตุ (มาตรา ๒๑) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท (มาตรา ๘๓) - ใบอนุญาตให้มีอาวุธปืนสูญหายเป็นอันตรายหรือลบ เลื่อนอ่านไม่ออก ให้ผู้รับใบอนุญาตยื่นคำขอรับใบ แทนใบอนุญาตต่อนายทะเบียนท้องที่ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วันที่ทราบเหตุนั้น (มาตรา ๖๙) ๕. พระราชบัญญัติการ ชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ๒๕๕๘ - จัดการชุมนุมสาธารณะ โดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อ ผู้รับแจ้ง (มาตรา ๑๐) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๒๘) - ผู้จัดการชุมนุมไม่แจ้งการเดินขบวนต่อหัวหน้าสถานี ตํารวจซึ่งมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลการชุมนุมสาธารณะ (มาตรา ๑๗) - ผู้จัดการชุมนุมไม่ดูแลการชุมนุมสาธารณะให้เป็นไป โดยสงบและปราศจากอาวุธ - ผู้จัดการชุมนุมไม่ดูแลการชุมนุมสาธารณะไม่ให้ ขัดขวางการใช้ที่สาธารณะ (มาตรา ๑๕) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๓๐) - ผู้ชุมนุมก่อให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้ที่ สาธารณะ - ผู้ชุมนุมปิดบังหรืออำพรางตนโดยจงใจมิให้ มีการระบุตัวบุคคลได้ถูกต้อง (มาตรา ๑๖) ๖. พระราชบัญญัติการ ฌาปนกิจสงเคราะห์พ.ศ. ๒๕๔๕ - ห้ามมิให้บุคคลใดนอกจากสมาคมฌาปนกิจ สงเคราะห์และการฌาปนกิจ สงเคราะห์ที่ได้ขึ้น ทะเบียนแล้ว ใช้คำแสดงชื่อในธุรกิจว่า “ฌาปนกิจ สงเคราะห์” หรือคำอื่นใดที่มีความหมายเช่นเดียวกัน ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท และ ปรับอีกไม่เกินวันละ ๕๐๐ร้อยบาท จนกว่าจะเลิกใช้(มาตรา ๖๓) ๗. พระราชบัญญัติการเล่น แชร์พ.ศ. ๒๕๓๔ - ห้ามโฆษณาชี้ชวนให้ประชาชนเข้าร่วมในการเล่น แชร์ (มาตรา ๙) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๙) ๘. พระราชบัญญัติการขาย ตรงและตลาดแบบตร ง พ.ศ. ๒๕๔๕ - การขายสินค้าโดยตรง ผู้ขายต้องได้รับอนุญาตจาก ผู้บริโภคก่อน และจะต้องไม่ก่อการรบกวนหรือ ก่อความรำคาญแก่ผู้บริโภคพร้อมทั้งต้องแสดงบัตร ประชาชนและบัตรประจำตัวผู้จำหน่ายอิสระด้วย หากไม่ทำก่อนขายสินค้าจะมีความผิด (มาตรา ๒๖) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๕๑) ๙. พระราชบัญญัติควบคุม ยุทธภัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๓๐ - ทำใบอนุญาตสูญหาย/ลบเลือน/ชำรุด หากไม่ยื่น คำขอรับใบแทนใบอนุญาตภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่ ทราบว่าใบอนุญาตสูญหาย ลบเลือน หรือชำรุด จะมี ความผิด (มาตรา ๒๘) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท (มาตรา ๔๘) ๓๒
๑๐. พระราชบัญญัติควบคุม ผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. ๒๕๖๐ - ห้ามผู้ขายปลีกผลิตภัณฑ์ยาสูบ แจก/แถม/ให้หรือ แลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ยาสูบกับสินค้าอื่น การ ให้บริการ หรือสิทธิประโยชน์อื่น - ขายสินค้าหรือให้บริการโดยมีการแจก/แถม/ให้ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ หรือแลกเปลี่ยน กับผลิตภัณฑ์ยาสูบ (มาตรา ๒๗) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๔๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๕๔) ๑ ๑ . พ ร ะ ร า ช บ ั ญญ ั ติ เ ค ร ื ่ อ ง แ บ บ ท ห า ร พุทธศักราช ๒๔๗๗ - แต่งกายคล้ายเครื่องแบบทหารซึ่งอาจนำความ ดูหมิ่น เกลียดชัง หรือความเสื่อมเสียมาสู่ ราชการทหาร หรือทำให้คนอื่นหลงเชื่อว่าเป็นทหาร (มาตรา ๖ ทวิ) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๒๐๐ บาท (มาตรา ๖ ทวิ) ๑ ๒ . พ ร ะ ร า ช บั ญ ญ ั ติ คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พ.ศ. ๒๕๓๕ - หากเจ้าของรถไม่ทำประกันความเสียหายสำหรับ ผู้ประสบภัยโดยประกันภัยกับบริษัท (มาตรา ๗) ต้องระวางโทษ ปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๓๗) - ใช้รถที่ไม่ได้จัดให้มีการประกันความเสียหาย (มาตรา ๑๑) ต้องระวางโทษ ปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๓๙) ๑๓. พระราชบัญญัติบัตร ประจำตัวประชาชน พ.ศ. ๒๕๒๖ - ผู้ถือบัตรประจำตัวประชาชนไม่สามารถแสดงบัตร เมื่อเจ้าพนักงานตรวจบัตรขอตรวจบัตร (มาตรา ๑๗) ต้องระวาง โทษปรับไม่เกิน ๒๐๐ บาท (มาตรา ๑๗) ๑๔. พระราชบัญญัติว่าด้วย ราคาสินค้าและบริการ พ.ศ. ๒๕๔๒ - ผู้ผลิต ผู้จําหน่าย ผู้ซื้อเพื่อจําหน่ายหรือผู้นําเข้าเพื่อ จําหน่ายสินค้าหรือบริการไม่แสดงราคาหรือ ไม่ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด (มาตรา ๔๐) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๔๐) ๑๕. พ ร ะ ร า ช บ ั ญ ญ ั ติ โรงงานผลิตอาวุธของ เอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ - ผู้รับใบอนุญาตให้ประกอบกิจการทำ/ประกอบ/ ซ่อมแซม หรือเปลี่ยนลักษณะอาวุธ ไม่แสดง ใบอนุญาตไว้ในที่เปิดเผยและเห็นได้งง่าย ณ สถาน ที่ตั้งของโรงงานที่ได้ระบุไว้ในใบอนุญาต(มาตรา ๑๕) - เมื่อมีการเปลี่ยนชื่อโรงงานหรือชื่อผู้รับใบอนุญาต แต่ผู้รับใบอนุญาต ไม่แจ้งเป็นหนังสือให้ รมว.ทราบ ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่มีการเปลี่ยน (มาตรา ๑๗) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๕๐) ๑๖. พระราชบัญญัติว่าด้วย การกระทำความผิดเกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ พ.ศ. ๒๕๕๐ - ส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ให้ คนอื่นโดยปกปิดหรือปลอมแปลงแหล่งที่มา - ส่งข้อมูลคอมพิวเตอร์หรือจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ แก่บุคคลอื่นอันมีลักษณะเป็นการก่อให้เกิด ความเดือดร้อนรําคาญแก่ผู้รับข้อมูล (มาตรา ๑๑) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๑๑) ๑๗. พระราชบัญญัติสวนป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ - ผู้ทำสวนป่าที่นายทะเบียนสั่งรับขึ้นทำเบียนทำ สวนป่าไม่จัดทำบัญชีแสดงชนิดและจำนวนไม้ที่ทำ การปลุกบำรุงรักษา (มาตรา ๖ วรรคสอง) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๒๒/๓) - ทำบัญชีแสดงชนิดและจำนวนไม้ที่ทำการปลุก บำรุงรักษาอันเป็นเท็จ ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๒๒/๓) ๑๘. พระราชบัญญัติอุทยาน แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๖๒ ผู้ใดนำเครื่องมือสำหรับล่าสัตว์หรือจับสัตว์ หรืออาวุธ ใด ๆ เข้าไปภายในอุทยานแห่งชาติ (มาตรา ๑๙ (๗)) ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท (มาตรา ๔๕) ๓๓
๔.๓ แนวทางปฏิบัติเมื่อกระทำผิดทางพินัย เมื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐเชื่อและมีหลักฐานเพียงพอว่าบุคคลใดกระทำความผิดทางพินัย เจ้าหน้าที่ของรัฐจะมีคำสั่งปรับเป็นพินัยและส่งคำสั่งให้ผู้กระทำความผิดทราบทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ ไปยังที่อยู่ของบุคคลดังกล่าว โดยผู้กระทำความผิดทางจะต้องดำเนินการดังนี้ ๑. ผู้ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิดทางพินัยมีโอกาสชี้แจงหรือแก้ข้อกล่าวหานั้น ตามสมควร ๒. ผู้กระทำความผิดทางพินัยมีสิทธิยื่นคำร้องขอผ่อนชำระค่าปรับเป็นพินัยต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ ๓. หากได้กระทำความผิดทางพินัยด้วยเหตุผลเพราะความยากจนเหลือทนทานหรือเพราะ ความจำเป็นอย่างแสนสาหัสในการดำรงชีวิต ผู้กระทำความผิดทางพินัยสามารถยื่นคำร้องเพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ กำหนดค่าปรับเป็นพินัยต่ำกว่าที่กฎหมายบัญญัติไว้ หรือขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์ แทนค่าปรับเป็นพินัยได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐจะดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อพิจารณามีคำสั่งต่อไป ๔. ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดทางพินัยไม่มีเงินชำระค่าปรับเป็นพินัยสามารถยื่นคำร้อง โดยแสดงเหตุผลอันสมควรเพื่อขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับเป็นพินัยได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐจะดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลที่มีเขตอำนาจเพื่อพิจารณามีคำสั่งต่อไป ๕. ผู้กระทำความผิดมีสิทธิแต่งตั้งทนายความหรือบุคคลอื่นซึ่งมีคุณสมบัติตามที่กำหนด ในข้อบังคับให้มาต่อสู้คดีแทนได้ ๖. เมื่อศาลมีคำพิพากษา ผู้กระทำความผิดทางพินัยไม่อาจคำพิพากษาของศาลในปัญหา ข้อเท็จจริงและจำนวนค่าปรับ แต่สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ได้แต่เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายตามเงื่อนไขที่กำหนด ในข้อบังคับของประธานศาลฎีกาโดยความเห็นชอบของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ๗. หากผู้กระทำความผิดทางพินัยไม่ชำระค่าปรับทางพินัย หรือปฏิเสธข้อกล่าวหา เจ้าหน้าที่ ของรัฐจะสรุปข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย พยานหลักฐาน และส่งสำนวนให้พนักงานอัยการเพื่อดำเนินคดี ต่อศาลต่อไป ๘. ศาลที่มีอำนาจในการพิจารณาพิพากษาในคดีความผิดทางพินัย ได้แก่ ศาลแขวง ศาลจังหวัด ศาลอาญาที่มีเขตอำนาจ หรือศาลชำนัญพิเศษ ทั้งนี้ ตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น เป็นศาลที่มีอำนาจ พิจารณาพิพากษาคดีความผิดทางพินัย ๙. ศาลที่มีเขตอำนาจในการพิจารณาพิพากษา คือ ศาลที่ความผิดทางพินัยเกิดขึ้น อ้างหรือเชื่อว่าเกิดขึ้นในเขตอำนาจของศาลนั้น แต่ถ้าความผิดทางพินัยเกิดขึ้นในหลายท้องที่ ให้ฟ้องต้องศาล ที่มีเขตอำนาจในท้องที่ใดท้องที่หนึ่งก็ได้ ๑๐. คดีความผิดทางพินัยเป็นอันสิ้นสุดตามกรณีดังต่อไปนี้ ๑๐.๑ เมื่อมีการชำระค่าปรับเป็นพินัย หรือทำงานบริการสังคม หรือทำงาน สาธารณประโยชน์แทนค่าปรับเป็นพินัยครบถ้วนแล้ว ๑๐.๒ โดยความตายของผู้กระทำความผิดทางพินัย ๑๐.๓ กรณีการกระทำความผิดกรรมเดียวเป็นทั้งความผิดทางพินัยและความผิดอาญา โดย ในความผิดอาญานั้นสามารถเปรียบเทียบปรับได้และได้มีการชำระค่าปรับตามที่เปรียบเทียบแล้ว ๑๐.๔ กรณีมิได้มีคำสั่งปรับเป็นพินัยหรือฟ้องภายในกำหนด ๒ ปี นับแต่วันกระทำ ความผิด เว้นแต่กฎหมายซึ่งบัญญัติความผิดทางพินัยจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ๑๐.๕ กรณีที่คดีความผิดทางพินัยได้มีคำพิพากษาอันเป็นที่สุดให้ผู้ใดชำระค่าปรับ เป็นพินัย แล้วผู้นั้นมิได้ชำระ หรือชำระไม่ครบเกิน ๕ ปี นับแต่วันที่มีคำสั่งหรือคำพิพากษา ๓๔
เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ได้มีการประกาศใช้บังคับ และกำหนดว่า การปรับเป็นพินัยไม่เป็นโทษอาญา ทั้งยังกำหนดให้เปลี่ยนความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียวตามกฎหมายบางฉบับ ที่มีโทษอาญา ให้เป็นความผิดทางพินัยซึ่งต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย จึงส่งผลให้คดีอาญาบางประเภทจะเปลี่ยนเป็น ความผิดทางพินัยที่ต้องดำเนินคดีในศาลยุติธรรม นอกจากนั้น ในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่จะมีอำนาจในการกำหนดค่าปรับเป็นพินัยและสั่งให้ผู้กระทำ ความผิดทางพินัยชำระค่าปรับได้นั้น จะต้องเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบการบังคับใช้กฎหมาย ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีท้ายพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ซึ่งกฎหมายตามท้ายบัญชี พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ที่เกี่ยวข้องกับกำลังพลของกระทรวงกลาโหมในฐานะเจ้าหน้าที่ ของรัฐ เช่น พระราชบัญญัติกำลังพลสำรอง พ.ศ. ๒๕๕๘, พระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๓๐, พระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร พุทธศักราช ๒๔๗๗พระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗ และพระราชบัญญัติโรงงานผลิตอาวุธของเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นต้น ดังนั้น กำลังพลของกระทรวงกลาโหมซึ่งเป็น เจ้าหน้าที่ของรัฐมีหน้าที่และอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ แม้ว่าผู้กระทำความผิดจะชำระค่าปรับเป็นพินัยและคดียุติก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวอาจเข้าข่าย ที่ผู้กระทำอาจถูกดำเนินการทางวินัยซึ่งผู้บังคับบัญชามีอำนาจลงโทษทางวินัยได้ ๓๕
๓๖
๓๗
๓๘
๓๙
๔๐
บทที่ ๕ บทสรุป พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๕ มีผลบังคับใช้ใน ๒๒ มิถุนายน ๒๕๖๖ ซึ่งกฎหมายฉบับนี้จะมีการปรับเปลี่ยนโทษทางอาญาที่ มุ่งต่อการปรับเป็นเงินซึ่งกำหนดไว้ในบัญชี ๑ - ๓ ท้ายพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ เปลี่ยนเป็นมาตรการปรับเป็นพินัยที่ไม่มีสภาพเป็นโทษทางอาญา อันมีผลทำให้ผู้กระทำความผิดที่มีโทษปรับ สถานเดียวตามบัญชีท้ายพระราชบัญญัตินี้ซึ่งเดิมเป็นผู้กระทำความผิดทางอาญาจะปรับเปลี่ยนเป็นผู้กระทำผิด ทางพินัย ไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการทางอาญา ไม่ต้องถูกคุมขัง ไม่มีประวัติอาชญากรติดตัว นอกจากนั้น พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้กำหนดหลักเกณฑ์ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ดุลพินิจกำหนดค่าปรับทางพินัยให้เหมาะสมกับ สภาพความร้ายแรงของการกระทำความผิด และฐานะทางเศรษฐกิจของผู้กระทำความผิด อีกทั้ง หากผู้กระทำ ความผิดไม่มีเงินชำระค่าปรับ อาจขอทำงานบริการสังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนการชำระค่าปรับได้ ความหมายของคำว่า“พินัย” ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ให้ความหมาย ไว้หมายความว่า “เงินค่าปรับที่จ่ายให้ทางราชการ” ส่วนคำว่า “การปรับเป็นพินัย” ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ กำหนดไว้หมายความว่า “การกระทำหรืองดเว้น การกระทำอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และกฎหมายนั้นบัญญัติให้ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย” จะเห็นได้ว่า การเป็นผู้กระทำผิดทางพินัยที่จะชำระค่าปรับเป็นพินัยได้นั้น จะต้องมีกฎหมายที่ บัญญัติให้การกระทำนั้นเป็นความผิดที่ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย ซึ่งกฎหมายดังกล่าวจะกำหนดไว้ในบัญชีท้าย พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ดังนี้ ๑. ความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวตามกฎหมายในบัญชี ๑ มีจำนวน ๑๖๘ ฉบับ เช่น พระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ พ.ศ. ๒๕๕๘, พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒, พระราชบัญญัติกำลัง พลสำรอง พ.ศ. ๒๕๕๘, พระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๓๐, พระราชบัญญัติเครื่องแบบทหาร พุทธศักราช ๒๔๗๗, พระราชบัญญัติป้องกันการทารุณกรรมและการจัดสวัสดิภาพสัตว์ พ.ศ. ๒๕๕๗, พระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ. ๒๕๒๒, พระราชบัญญัติรับราชการทหาร พ.ศ. ๒๔๙๗, พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นต้น ซึ่งความผิดอาญาที่มีโทษปรับ สถานเดียวตามกฎหมายดังกล่าวจะเปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัยตั้งแต่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๖ และให้ถือว่าอัตรา โทษปรับอาญา เป็นอัตราค่าปรับเป็นพินัย (มาตรา ๓๙) ๒. ความผิดอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวตามกฎหมายในบัญชี ๒ มีจำนวน ๓๓ ฉบับ เช่น ประมวลกฎหมายยาเสพติด, พระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ. ๒๕๓๕ เป็นต้น จะเปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัยได้ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา (มาตรา ๔๐) ๓. ความผิดที่มีโทษปรับทางปกครองตามกฎหมายในบัญชี ๓ มีจำนวน ๓ ฉบับ เช่น พระราชบัญญัติเรือไทย พุทธศักราช ๒๔๘๑ ซึ่งความผิดตามกฎหมายดังกล่าวจะเปลี่ยนเป็นความผิดทางพินัยตั้งแต่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๖๖ และให้ถือว่าอัตราโทษปรับทางปกครอง เป็นอัตราค่าปรับเป็นพินัย (มาตรา ๔๓)
พระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ สรุปได้ดังนี้ เปลี่ยนความผิดทางอาญาที่มีโทษปรับสถานเดียวและความผิดที่มีโทษปรับทาง พระราชบัญญัติ ปกครองเป็นความผิดทางพินัย ว่าด้วยการปรับ เป็นพินัย พ.ศ. ๒๕๖๕ ผ ล ข อ ง ก า ร ก ร ะ ท ำ ความผิดทางพินัย คือ ผู้กระทำความผิดทางพินัย ต้องชำระค่าปรับเป็นพินัย ผู้มีอำนาจกำหนดค่าปรับ คือ เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือศาล แล้วแต่กรณีโดยมี หลักเกณฑ์ในการพิจารณาค่าปรับเป็นพินัยให้เหมาะสมกับสภาพความผิดและฐานะ ของผู้กระทำความผิดทางพินัย อายุความ ๑) ถ้ามิได้มีคำสั่งปรับเป็นพินัยหรือฟ้องภายใน ๒ ปี นับแต่วันกระทำความผิด คดีความผิดทางพินัยเป็นอันขาดอายุความ ๒) เมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาอันเป็นที่สุดให้ชำระค่าปรับเป็นพินัย ถ้าผู้กระทำ ความผิดทางพินัยมิได้ชำระค่าปรับหรือชำระค่าปรับไม่ครบถ้วน และเกิน ๕ ปี นับแต่วันที่มีคำสั่งหรือคำพิพากษาดังกล่าว จะบังคับตามคำสั่งหรือคำพิพากษา ต่อมิได้ วิธีการชำระค่าปรับ ได้แก่ ๑) ชำระคราวเดียว ๒) ผ่อนชำระเป็นงวด ๓) ขอลดค่าปรับ ๔) ขอทำงานบริการสังคม/ ทำงานสาธารณประโยชน์แทนการชำระ ค่าปรับ * สามารถชำระค่าปรับผ่านระบอิเล็กทรอนิกส์ ศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีความผิดทางพินัย คือ ศาลแขวง ศาล จังหวัด ศาลอาญา หรือศาลชำนัญพิเศษตามที่กฎหมายบัญญัติ หมายเหตุแม้ว่าผู้กระทำความผิดจะชำระค่าปรับเป็นพินัยและคดียุติก็ตาม แต่การกระทำดังกล่าวอาจ เข้าข่ายที่ผู้กระทำอาจถูกดำเนินการทางวินัยซึ่งผู้บังคับบัญชามีอำนาจลงโทษทางวินัยได้ “ความผิดทางพินัย” หมายความว่า การกระทำหรืองดเว้นการกระทำอันเป็นการ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และกฎหมายนั้นบัญญัติให้ต้องชำระค่าปรับเป็น พินัย ถ้าผู้กระทำความผิดทางพินัยกระทำไปความผิดไปด้วยความความยากจนหรือ เพราะความจำเป็นในการดำรงชีวิต อาจขอลดค่าปรับหรือขอทำงานบริการ สังคมหรือทำงานสาธารณประโยชน์แทนค่าปรับเป็นพินัยได้ ๔๒
การนำมาตรการปรับเป็นพินัยมาใช้แทนการลงโทษทางอาญาและการลงโทษทางปกครอง มีข้อดี คือ ๑. เป็นมาตรการที่ไม่มีสภาพเป็นโทษทางอาญาอันทำให้ผู้กระทำความผิดทางพินัยไม่มีความผิด อาญาติดตัว ไม่ต้องถูกคุมขังและจำคุก รวมถึงผู้กระทำความผิดทางพินัยจะไม่ถูกบันทึกประวัติอาชญากรรม ๒. ผู้กระทำผิดทางพินัยอาจยื่นคำร้องขอลดค่าปรับหรือขอทำงานบริการสังคมหรือทำงาน สาธารณประโยชน์แทนการชำระค่าปรับเป็นพินัยได้ใน ๒ กรณี ๒.๑ กระทำความผิดไปด้วยความความยากจนหรือเพราะความจำเป็นในการดำรงชีวิต ๒.๒ ไม่มีเงินมาชำระค่าปรับทางพินัย ๓. มีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาค่าปรับทางพินัยให้เหมาะสมกับสภาพความผิดและให้ดุลพินิจ เจ้าหน้าที่ของรัฐในการกำหนดค่าปรับให้เหมาะสมกับฐานะของผู้กระทำความผิด ๔. มีการกำหนดให้ชำระค่าปรับผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อให้เกิดความสะดวกในการชำระ ค่าปรับเป็นพินัย ๕. มีการกำหนดให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีวางระเบียบปฏิบัติในการ ปรับเป็นพินัย รวมทั้งระยะเวลาในการดำเนินการ โดยจะมีผลบังคับใช้เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา อันทำให้ มีมาตรฐานในการปฏิบัติที่เหมือนกัน อย่างไรก็ดี แม้ผู้กระทำความผิดทางพินัยจะชำระค่าปรับทางพินัยครบถ้วนอันทำให้คดีทางพินัย เป็นอันยุติแล้วก็ตาม แต่ทหารจะต้องประพฤติตามแบบธรรมเนียมของทหาร โดยวินัยเป็นหลักสำคัญที่ทหารทุกคนต้อง รักษาโดยเคร่งครัด ผู้บังคับบัญชาจึงมีหน้าที่ต้องกวดขันและจัดการระวังรักษาวินัยทหาร ดังนั้น หากผู้บังคับบัญชา พิจารณาแล้วเห็นว่าการกระทำผิดดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดทางวินัย ผู้บังคับบัญชามีอำนาจลงโทษทางวินัยแก่ ผู้กระทำความผิดทางพินัยได้ เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการปรับเป็นพินัย พ.ศ.๒๕๖๕ เป็นกฎหมายที่บัญญัติขึ้นใหม่ ซึ่งมีกระบวนการพิจารณาความผิดทางพินัยในรูปแบบใหม่ และเกี่ยวข้องกับกำลังพลของกระทรวงกลาโหมที่ อาจตกเป็นผู้กระทำความผิดทางพินัย ดังนั้น กำลังพลของกระทรวงกลาโหม จึงควรศึกษากฎหมายดังกล่าวให้เกิด ความรู้ ความเข้าใจ และทราบถึงขั้นตอนและวิธีการของกฎหมายดังกล่าวเพื่อให้สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องและ มีประสิทธิภาพต่อไป ๔๓
๔๔