รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาสัมมนาทางรัฐประศาสนศาสตร์เชิงพุทธ ตามหลักสูตรปริญญารัฐประศาสนศาสนบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสศาสตร์ วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๖๖ รายงาน เรื่อง ปัญหาการจัดการของภาครัฐ จัดทำโดย ภาคภูมิรักคณะ
รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาสัมมนาทางรัฐประศาสนศาสตร์เชิงพุทธ ตามหลักสูตรปริญญารัฐประศาสนศาสนบัณฑิต สาขาวิชารัฐประศาสศาสตร์ วิทยาลัยสงฆ์เชียงราย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๕๖๖ รายงาน เรื่อง ปัญหาการจัดการของภาครัฐ จัดทำโดย ภาคภูมิรักคณะ
ค คำนำ รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชาสัมมนาทางรัฐประศาสนศาสตร์เชิงพุทธ รหัสวิชา ๔๐๒๓๐๒ ชั้นปีที่๓เทียบโอน (คฤหัสถ์) โดยมีจุดประสงค์เพื่อศึกษาความรู้ที่ได้จากเรื่องปัญหา การจัดการของภาครัฐ ซึ่งรายงานนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรู้จาก ผลงานทางวิชาการของ นักวิชาการหลายๆท่าน ผู้จัดท าได้เลือกหัวข้อนี้ในการท ารายงาน เนื่องมาจากเป็นเรื่องที่น่าสนใจและ ต้องขอขอบคุณ ดร.ฤทธิชัย แกมนาค อาจารย์ผู้สอนประจ ารายวิชา ผู้ให้ความรู้และแนวทาง การศึกษา เพื่อน ๆ ทุกคนที่ให้ ความช่วยเหลือมาโดยตลอดผู้จัดท าหวังว่ารายงานฉบับนี้จะให้ ความรู้ และเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านทุก ๆ ท่าน ภาคภูมิ รักคณะ ผู้จัดทำ สิงหาคม ๒๕๖๖
ง สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ข บทที่ ๑ แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการองค์การ ๑ บทที่ ๒ การจัดการองค์การภาครัฐของไทย ๑๔ บรรณานุกรม ๒๑
บทที่ ๑ แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการองค์การ ขอบข่ายเนื้อหา ๑.๑ บทน า ๑.๒ จริยธรรมในองค์กรณ์ภาครัฐ ๑.๓ สรุป ๑.๑ บทนำ องค์การเป็นศูนย์รวมของกลุ่มบุคคลที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นองค์การประเภทใด ล้วนต้องอาศัยทรัพยากรบุคคลทุกระดับที่มีความรู้ความสามารถ และมีความเข้าใจในองค์กา รนั้น อย่างชัดเจนที่สุดทั้งการจัดองค์การ กระบวนการจัดองค์การ เข้าใจในโครงสร้าง การจัดแผนกงาน และสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้องค์การบรรลุวัตถุประสงค์ คือ การรู้จักและเข้าใจในอำนาจหน้าที่ความ รับผิดชอบ ปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังที่ได้รับมอบหมายงาน ผู้บริหารก็ต้องมีความสามารถและความ เข้าใจในการมอบหมายงานเป็นอย่างดี การจัดองค์การ หรือ การจัดรวบรวมบุคลากรมากกว่า ๒ คน ขึ้นไปอย่างมีระบบมีระเบียบด้วยความตั้งใจที่จะทำให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้บางอย่า งที่มี ความจำเพาะเจาะจงองค์การคือที่ที่คนทำงานด้วยกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน (Common purpose) เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่สามารถทำให้สมาชิกแต่ละคนทำงานมากกว่าการไปให้ถึง ความสำเร็จของแต่ละคน องค์การทุกขนาดและทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นองค์การธุรกิจที่แสวงหาผล กำไร หรือองค์การของภาครัฐที่ไม่แสวงหาผลกำไรก็มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้ แล้วจากมุมมองของ สังคม องค์การจะมีวัตถุประสงค์อย่างกว้างร่วมกันเป็นต้นว่า ผลิตสินค้าหรือบริการที่เป็นประโยชน์ และระหว่างการประกอบกิจการทุกขั้นตอนนั้นองค์การจะต้องมอบคุณค่าให้กับสังคมไปพร้อมๆ กับ การตอบสนองความต้องการของลูกค้าไปด้วยเพื่อเป็นหลักประกันว่าองค์การจะคงอยู่ต่อไปได้ และ การจัดองค์การ (Organizing) จึงถือว่าเป็นการตัดสินใจเลือกวิธีการในการจัดแบ่งกลุ่มกิจกรรมและ ทรัพยากรต่าง ๆ ขององค์การออกเป็นหมวดหมู่ อย่างเป็นระเบียบ เพื่อให้การประสานงานระหว่าง กลุ่มกิจกรรม และ กลุ่มบุคคลต่าง ๆ เป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล
๒ ๑.๒ แนวคิดเกี่ยวกับการจัดการองค์การ ในทางเศรษฐศาสตร์ องค์กร หรือ องค์การ (อังกฤษ: organization) หมายถึง บุคคลกลุ่ม หนึ่งที่มารวมตัวกัน โดยมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน และดำเนิน กิจกรรมบางอย่างร่วมกันอย่างมีขั้นตอนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ นั้น โดยมีทั้ง องค์กรที่แสวงหาผล กำไร คือองค์กรที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อการแข่งขันทางเศรษฐกิจ เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วน ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ และ องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร คือองค์กรที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อ สาธารณประโยชน์เป็นหลัก เช่น สมาคม สถาบัน มูลนิธิ เป็นต้น องค์การ (Organization) เป็นระบบการทำงานที่เกิดจากการแปรสภาพเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตาม ต้องการ โดยจะประกอบด้วยการนำเข้าทรัพยากรมาจัดการในระบบ จากนั้นองค์การก็จะมีการ ปรับเปลี่ยนแปรสภาพสิ่งที่นำเข้าไปด้วยวิธีการและเครื่องมือเช่น กระบวนการจัดการ กระบวนการ ผลิต เครื่องมือเครื่องจักร และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ตั้งเป้าหมายไว้เช่น สินค้า ผลิตภัณฑ์ การบริการและการค้า ภายในระบบขององค์การธุรกิจจะประกอบด้วยระบบย่อยมากมาย ซึ่งต้องมีการแปรสภาพจนกระทั่งเป็นสินค้าและบริการ องค์การ มีการสรุปประเด็นสำคัญความหมายไว้ ดังนี้ - องค์การ ประกอบด้วยบุคคลตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป - องค์การ มีการดำเนินงานและมีการปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันภายในองค์การ - องค์การ มีวัตถุประสงค์และเป้าหมายในการดำเนินงาน - องค์การ มีระบบการเชื่อมโยงกับสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกเพื่อความอยู่รอด ขององค์การ - องค์การ มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มขีดความสามารถ องค์การ คือ การรวมตัวของบุคคลตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ก่อให้เกิดระบบสังคม วัฒนธรรม ค่านิยม และบรรทัดฐาน เพื่อดำเนินกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง ให้บรรลุวัตถุประสงค์เป้าหมายที่ได้ กำหนดตั้งไว้ และเป็นที่ยอมรับของกลุ่มบุคคลภายในองค์การ รวมทั้งมีการปรับเปลี่ยนระบบภายใน องค์การ ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่มีทั้งภายในและภายนอก องค์การที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ เสมอ องค์การ คือ การรวมตัวของบุคคลที่ดำเนินกิจกรรมร่วมกันอย่างมีจิตสำนึกองค์การ มี ลักษณะเป็นระบบมีการบริหารการจัดการเป็นกระบวนการ และบูรณาการสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและ ภายนอก ให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารองค์การจึงจำเป็นต้องบริหารองค์การโดย รวบรวมเอากลุ่มกิจกรรมต่าง ๆ ขององค์การนำไปสู่การปฏิบัติ โดยตระหนักถึงบทบาทความร้บผิด ชอบ วัตถุประสงค์แนวคิดและหน้าที่ในการบริหารองค์การ ตลอดจนทักษะของนักบริหารองค์การใน
๓ แต่ละคนโดยเฉพาะทักษะของ นักบริหารระดับสูง ระดับกลาง และระดับตัน ประกอบกับการบริหาร ทรัพยากรภายในองค์การ เช่น คน เงิน วัสดุอุปกรณ์ เครื่องจักร และวิธีการบริหาร ด้วยการบูรณาการ อย่างมีประสิทธิภาพประสิทธิผลและประหยัด ทั้งนี้องค์การยังต้องปรับตัวเองพัฒนาตนเองให้เป็น องค์การแห่งอนาคตที่สามารถอยู่ได้ในอนาคตอย่างยั่งยืนและประสบความสำเร็จอีกด้วย การศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับองค์การ จะช่วยให้ผู้บริหารองค์กรมีความเข้าใจสามารถ บริหารองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือแม้แต่ผู้ที่ปฏิบัติงานในองศ์การที่เป็นส่วนสำคัญก็จะเข้าใจ และทำงานได้ตามเป้าหมายองค์การ นักบริหารที่ดีต้องมีการจัดการหรือบริหารองศ์การให้อยู่ได้อย่าง ดีมีเสถียรภาพมั่งคงและเติบโตได้ดี แม้จะอยู่ภายใต้สภาวะการแข่งขันและสภาพแวดล้อมที่มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นักบริหารต้องบริหารองค์การโดยรวบรวมเอากลุ่มกิจกรรมที่มีในองค์การ มาวางแผนและจัดการให้เหมาะสม เช่น การวางแผน (Planning) การจัดองค์การ (Organizing) การ จัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) การตัดสินใจ (Decision Making) ภาวะผู้นำ ( Leadership ) และการควบคุม (Controlling) เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่สอดคล้องและ กลมกลืน ทำให้เกิดความสำร็จในเป้าหมายขององค์การ โดยมีประสิทธิภาพ (Eficiency) ประสิทธิผล (Effectiveness) และความประหยัด (Economy) หรือที่เรามักพูดกันสั้น ๆ ว่าเป้าหมายที่จะต้อง ได้ผล ๓ ด้านคือ ถูกต้อง ถูกใจ และถูกเงิน ๑.๒.๑ ความหมายของการจัดการองค์การ การจัดองค์การ หมายถึง การจัดระบบความสัมพันธ์ระหว่างส่วนงานต่าง ๆ และบุคคลใน องค์การโดยกำหนดภารกิจ อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบให้ชัดเจน เพื่อให้การดำเนินงานตาม ภารกิจขององค์การให้บรรลุวัตถุประสงค์ และเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ในทางเศรษฐศาสตร์ องค์กร หรือ องค์การ (อังกฤษ: organization) หมายถึง บุคคลกลุ่ม หนึ่งที่มารวมตัวกัน โดยมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน และดำเนิน กิจกรรมบางอย่างร่วมกันอย่างมีขั้นตอนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ นั้น โดยมีทั้ง องค์กรที่แสวงหาผล กำไร คือองค์กรที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อการแข่งขันทางเศรษฐกิจ เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วน ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ และ องค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร คือองค์กรที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อ สาธารณประโยชน์เป็นหลัก เช่น สมาคม สถาบัน มูลนิธิ เป็นต้น โดยเริ่มแรกนั้น คำว่า "องค์การ" เดิมเป็นศัพท์บัญญัติมาจากคำภาษาอังกฤษ organization ในขณะที่ คำว่า "องค์กร" เป็นศัพท์บัญญัติมาจากคำว่า organ โดยที่องค์กรหมายถึงหน่วยย่อยของ องค์การ แต่ในปัจจุบันใช้ในความหมายเดียวกัน ดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น ในทางเศรษฐศาสตร์ องค์การ หรือ องค์กร (อังกฤษ: organization) หมายถึง บุคคลกลุ่ม หนึ่งที่มารวมตัวกัน โดยมีวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน และดำเนิน
๔ กิจกรรมบางอย่างร่วมกันอย่างมีขั้นตอนเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ นั้น โดยมีทั้ง องค์การที่แสวงหาผล กำไร คือองค์การที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อการแข่งขันทางเศรษฐกิจ เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วน ห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆ และ องค์การ ที่ไม่แสวงหาผลกำไร คือองค์การที่ดำเนินกิจกรรมเพื่อ สาธารณประโยชน์เป็นหลัก เช่น สมาคม สถาบัน มูลนิธิ เป็นต้น โดยเริ่มแรกนั้น คำว่า "องค์การ" เดิมเป็นศัพท์บัญญัติมาจากคำภาษาอังกฤษ organization ในขณะที่ คำว่า "องค์กร" เป็นศัพท์บัญญัติมาจากคำว่า organ โดยที่องค์กรหมายถึงหน่วยย่อยของ องค์การแต่ในปัจจุบันใช้ในความหมายเดียวกัน ดังที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น๑ ๑.๒.๓ ลักษณะขององค์การ องค์การโดยทั่วไป แบ่งออกเป็น ๓ ลักษณะใหญ่ ๆ คือ องค์การทางสังคม, องค์การทาง ราชการ และองค์การเอกชน ลักษณะขององค์การ (Organizational characteristics) ๑. องค์การ เป็นโครงสร้างของความสัมพันธ์เป็นหน่วยงานย่อยที่มีความสัมพันธ์กัน มีการกำหนดขอบเขตหน้าที่ความรับผิดชอบของแต่ละหน่วยงานย่อย ๒. องค์การ เป็นกลุ่มของบุคคลที่มีเป้าหมายร่วมกันจะแสวงหาความร่วมมือจาก บุคคลอื่น การทำงานร่วมกับบุคคลอื่นก็เพื่อสนองความต้องการของตน ๓. องค์การ เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเพื่อนำปัจจัยต่าง ๆ ในองค์การมาใช้ คือ คน เงิน วัสดุ และอุปกรณ์ต่างๆ ๔. องค์การ เป็นกระบวนการจัดกลุ่มงานที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน มารวมกันไว้มี การแบ่งงานกันทำตามความถนัดและร่วมมือกันทำงาน ๑ เอกสารประกอบการสอน องคากรละการจัดการ บทที่ ๑, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฏสวน สุนันทา), ๒๕๖๔, สืบค้นจากhttps://elcpg.ssru.ac.th/paranee_sr/pluginfile.php/ ๒๗/block_html/content/%E๐%B๙%๘๐%E๐%B๘%AD%E๐%B๘%๘๑%E๐%B๘%AA%E๐%B๘%B๒%E ๐%B๘%A๓%E๐%B๘%๙B%E๐%B๘%A๓%E๐%B๘%B๐%E๐%B๘%๘๑%E๐%B๘%AD%E๐%B๘%๙A%E ๐%B๘%๘๑%E๐%B๘%B๒%E๐%B๘%A๓%E๐%B๘%AA%E๐%B๘%AD%E๐%B๘%๙๙.pdf, เมื่อวันที่ ๒๒ สิหาคม ๒๕๖๖.
๕ ๕. องค์การ เป็นระบบระบบเปิด ประกอบด้วยระบบย่อย ๆ โดยมีปัจจัยนำเข้า (Input) กระบวนการ (process) ผลผลิต (output) ข้อมูลย้อนกลับ (feedback) และ สิ่งแวดล้อม (environment)๒ ๑.๒.๔ ความสำคัญของการจัดองค์การ ๑.ความสำคัญต่อองค์การ การจัดโครงสร้างองค์การที่ดีและเหมาะสมจะทำให้องค์การบรรลุวัตถุประสงค์ ทำให้งานไม่ซ้ำซ้อน และองค์การสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้ง่าย ๆ ๒.ความสำคัญต่อผู้บริหาร การบริหารงานง่าย สะดวก รู้ว่าใครรับผิดชอบอะไร มีหน้าที่อะไร สามารถแก้ปัญหาการทำงาน ซ้ำซ้อนได้ง่ายซึ่งทำให้งานไม่คั่งค้าง ณ จุดใดจุดหนึ่ง และการมอบอำนาจทำได้ง่าย ซึ่งขจัดปัญหาการ เกี่ยงกันทำงานหรือปัดความรับผิดชอบ ๓.ความสำคัญต่อผู้ปฏิบัติงาน ทำให้รู้อำนาจหน้าที่และขอบข่ายการทำงานของตน เกิดความยุติธรรมในการแบ่งงานให้พนักงาน อย่างเหมาะสม ทำให้เกิดความคิดริเริ่มในการทำงาน และเกิดความสัมพันธ์กับฝ่ายอื่น ๆ๓ ๑.๒.๕ องค์ประกอบของการจัดการองค์การ องค์ประกอบขององค์การ (Elements of Organization) ประกอบด้วย ๑. คน (Man) ในองค์การคนที่กล่าวจะ ประกอบด้วยคนตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ส่วนใหญ่องค์การ จะมีคนเป็นจำนวนมากปฏิบัติงานร่วมกัน หรือแบ่งงานกันทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด ซึ่งกล่าว ได้ว่าการดำเนินงานขององค์การ ไม่อาจสำเร็จได้ถ้าคนหรือทรัพยากรมนุษย์ขององค์การขาดคุณภาพ การที่คนจะปฏิบัติงานร่วมกันได้จำเป็นต้องอาศัย ความรู้ทางพฤติกรรมศาสตร์ เพื่อเรียนรู้และทำ ความข้าใจซึ่งกันและกันในการอยู่ร่วมกัน ๒ เกียรติพงษ์ อุดมธนะธีระ, การศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้, กรุงเทพธุรกิจ, Org ลักษณะของ องค์การ (Organizational characteristics), ๒๕๖๓, สืบค้นจาก https://www.iok๒u.com/article/businessadministrator/org-organizational-characteristics, เมื่อวันที่ ๒๒ สิหาคม ๒๕๖๖. ๓ แนวความคิดเกี่ยวกับการจัดองค์การ, (ประจวบคีรีขันธ์: วิทยาลัยการอาชีพบางสะพาน), ๒๕๕๖, สืบค้นจากhttp://www.bspc.ac.th/files/๒๑๐๖๐๙๑๓๑๓๔๑๐๕๔๐_๒๑๑๒๑๔๑๔๑๔๐๙๑๓.pdf, เมื่อวันที่ ๒๒ สิหาคม ๒๕๖๖.
๖ ๒. กระบวนการ (Method) การบริหารองค์การต้องอาศัย ขั้นตอนการทำงานเทคนิค วิทยาการ หรือที่เรียกว่า เทคโนโลยี เพื่อช่วยในการทำงานและการตัดสินใจในการแก้ไขปัญหา เช่น ระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) การวิเคราะห์จุดคุ้มทุน (Break-even Point Analysis) มูลค่า ปัจจุบันสุทธิ (NPV : Net Present Value) เป็นตันในปัจจุบันนี้องค์การไม่สามารถจะบริหารงานได้ โดยอาศัยแต่เฉพาะ หรืออาจกล่าวได้ว่าประสบการณ์ ความเชื่อ ความเฉลียวฉลาดของนักบริหาร เท่านั้น ในหลายกรณีนักบริหารต้องอาศัยเทคนิดทางการบริหาร เพื่อการตัดสินใจหรือการแก้ไข ปัญหาให้กับองค์การ และในขณะเดียวกันก็เป็นการลดความเสี่ยงในระดับหนึ่งอีกด้วย ๓. ความรู้ข้อมูลข่าวสารหรือสารสนเทศ ในการปฏิบัติงานการตัดสินใจตลอดจนการแก้ไข ปัญหา สำหรับการบริหารองค์การต้องอาศัย ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ เพื่อความเข้าใจ เพื่อการ วิเคราะห์คาดคะเนแนวโน้มในอนาคตอีกด้วย ๔. โครงสร้างขององค์การ การจัดโครงสร้างองค์การที่เหมาะสมสอดคล้องกับงาน จะช่วย กำหนดอำนาจหน้าที่ สายบังคับบัญชา และความรับผิดชอบ เพื่อให้งานขององศ์การบรลุความสำเร็จ ตามป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๕. วิสัยทัศน์เป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ ต้องมีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนเป็นไปได้มี เหตุมีผล สามารถที่จะบรรลุเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ตามต้องการได้๔ ซึ่งหลักสำคัญของการจัดองค์การ ควรมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน, อำนาจหน้าที่ความ รับผิดชอบ , ความรับผิดชอบของผู้บังคับบัญชา , สายบังคับบัญชา , ช่วงการบังคับบัญชา , การ ประสานงาน , หลักของการทำงานเฉพาะอย่าง และเอกภาพในการบังคับบัญชา องค์ประกอบขององค์การ (Elements of Organization) ประกอบด้วย ๑. การแบ่งงานกันทำ (Division of work) ๒. การจัดแผนกงาน (Departmentalization) ๓. การกระจายอำนาจหน้าที่ (Distribution of Authority) ๔. การประสานงาน (Co-ordination) เพื่อให้เห็นการแบ่งแยกกลุ่มงาน ผู้รับผิดชอบ ตามลำดับลดหลั่นกันไป การแบ่งงาน (Division of work) ๔ เกียรติพงษ์ อุดมธนะธีระ, การศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้, กรุงเทพธุรกิจ, Org องค์ประกอบของ องค์การ (Elements of Organization), ๒๕๖๓, สืบค้นจากhttps://www.iok๒u.com/article/businessadministrator/org-elements-of-organization, เมื่อวันที่ ๒๒ สิหาคม ๒๕๖๖.
๗ นักวิชาการที่มีชื่อเสียงที่ให้มีการสนับสนุน ให้คนทำงานเฉพาะอย่างตามความถนัดของแต่ ละคน คือ Frederick W. Taylor บิดาของการบริหารการจัดการเชิงวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า การ แบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ แล้วให้คนงานแต่ละคนรับผิดชอบงานที่ตนเองถนัด จะทำให้เกิดความ ชำนาญในหน้าที่งาน ซึ่งเรียกว่า ความชำนาญเฉพาะอย่าง ( Specialization ) และจะทำให้เกิด ประสิทธิภาพในการผลิต ( Productivity ) ดังนั้น การแบ่งงานในองค์การจึงเป็นการแบ่งงานทุกชนิด ขององค์การให้อยู่ในรูปของกลุ่มงานต่างๆ เพื่อให้เกิดความชำนาญเฉพาะอย่าง และเกิดประสิทธิภาพ แต่อย่างไรก็ตามการแบ่งงานยังต้องพิจารณาถึงปัจจัยของงานที่เกี่ยวข้องคือ ๑. ขอบข่ายของงาน ( Job Scope ) หมายถึงจำนวนงานที่ได้รับมอบหมายและต้อง รับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน ๒.ความลึกของงาน ( Job Depth ) เป็นการจัดระดับของการควบคุมที่ผู้ปฏิบัติมีอยู่หรืองาน ที่ตนรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นความอิสระความรวดเร็วตลอดจนการประสานงานกับหน่วยงาน อื่นที่เกี่ยวข้อง ๓. ลักษณะงาน (Task Characteristics) การจัดคนให้เข้าลักษณะงานที่ทำย่อมทำให้เกิด ประสิทธิภาพ และเกิดความพึงพอใจในการทำงานสูง การลาออก การขาดงานจะต่ำ การจัดแผนกงาน ( Departmentalization) การจัดแผนกงานหมายถึง การจัดรวบรวมงานชนิดต่าง ๆ หรือขั้นตอนของงานต่าง ๆ หรือ กระบวนการทำงานต่าง ๆ ให้เข้ามาอยู่ในหน่วยงานใหญ่เดียวกัน เพื่อให้งานมีความสัมพันธ์กันมาก ขึ้น การกระจายอำนาจหน้าที่ ( Distribution of Authority ) อำนาจหน้าที่หมายถึง อำนาจอย่างถูกต้องที่ได้รับจากหน้าที่งานหรือองค์การ ซึ่งอำนาจ หน้าที่นี้จะมีความสัมพันธ์กับตำแหน่งงานที่ได้รับอำนาจหน้าที่ส่วนมากมักจะเกี่ยวข้องกับการบังคับ บัญชาการตัดสินใจการจัดการต่าง ๆ ขององค์การ ส่วนการกระจายอำนาจขององค์การก็คือ การ กำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบสำหรับงานนั้น ๆ พร้อมทั้งมอบหมายหน้าที่ และการตัดสินใจในการ บริหาร ประเภทของอำนาจหน้าที่ ( Types of Authority ) อำนาจหน้าที่ในองค์การแต่ละแห่งจะมีหน้าที่ความรับผิดชอบที่หลากหลาย เพราะฉะนั้น อำนาจหน้าที่จึงจำเป็นที่จะต้องหลากหลายด้วยเช่นกัน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอำนาจหน้าที่ที่พบเห็นมีอยู่ ๓ ประเภท ดังนี้
๘ ๑. อำนาจหน้าที่ที่เป็น Line ( Line Authority ) เป็นอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการตัดสินใจ การมอบอำนาจงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชา รวมไปถึงการควบคุมดูแล เพื่อให้งานที่ปฏิบัติบรรลุ วัตถุประสงค์ขององค์การ การมอบหมายงานของอำนาจหน้าที่นี้เรียกว่า เป็นการมอบหมายงาน ตามสายการบังคับบัญชา ๒. อำนาจหน้าที่ที่เป็น Staff ( Staff Authority ) เป็นหน่วยงานที่ช่วยเหลืองานที่เป็น Line เป็นหน่วยงานที่อยู่นอกสายการบังคับบัญชาขององค์การ แต่จะมีความสำคัญพอ ๆ กับงานที่ Line ปฏิบัติ คนทำงานจะบรรลุวัตถุประสงค์ไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เป็น Stafเช่น ฝ่ายคอมพิวเตอร์ ฝ่ายตรวจสอบคุณภาพ เป็นต้น ๓. อำนาจหน้าที่ที่เป็น Functional ( Function Authority ) เป็นอำนาจพิเศษที่ให้กับ หน่วยงานที่เป็น Line หรือ Staff เพื่อที่จะให้งานหรือโครงการพิเศษบางประเภทสามารถ ดำเนินการไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้ที่ได้รับมอบอำนาจหน้าที่นี้จะสามารถบังคับบัญชาบุคคลอื่น ๆ ที่อยู่นอกสายการบังคับบัญชาของตนได้ การมอบหมายงาน (Delegation Process) เกิดจากแนวคิดจากเหตุผลที่คนหนึ่งคนใดไม่สามารถที่จะทำงานทั้งหมดให้สำเร็จได้ จะต้อง อาศัยคนหลาย ๆ คนช่วยกันทำ ปกติแล้วผู้บริหารจะมอบหมายงาน และอำนาจหน้าที่ให้กับ ผู้ใต้บังคับบัญชา ที่อยู่ในความรับผิดชอบของตนรับไปดำเนินการ การมอบหมายงานสามารถ กำหนดการมอบได้ ดังนี้คือ ๑. การกำหนดความรับผิดชอบให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ( Responsibility ) ความรับผิดชอบก็คือ หน้าที่ งานหรือภาระกิจอย่างหนึ่งอย่างใด ที่ผู้บริหารหรือสมาชิกอื่น ๆ ใน องค์การจะต้องทำให้แล้วเสร็จ ๒. การมอบหมายอำนาจหน้าที่ให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของตน (Authority) จะได้สามารถ ทำงานที่ตนรับผิดชอบอยู่ให้สำเร็จลุล่วงไปได้ โดยมีสิทธิที่จะสั่งการ บังคับบัญชา ตัดสินใจ เพื่อที่จะทำให้งานที่อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบของตนสามารถบรรลุความสำเร็จ อนึ่ง อำนาจหน้าที่ และความรับผิดชอบเป็นหัวใจที่สำคัญของการมอบหมายงาน ที่จะต้องมีความสมดุลมิฉะนั้นแล้วงาน จะดำเนินไปอย่างล่าช้า ๓. ทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดความสำนึกถึงภาระหน้าที่ (Accountability) ที่ตนจะต้อง ปฏิบัติ และผู้ใต้บังคับบัญชาจะได้ปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมายด้วยความเต็มใจ การรวมอำนาจและการกระจายอำนาจ (Centralization and Decentralization)
๙ การรวมอำนาจเป็นการที่ผู้บริหารระดับสูง เก็บรักษาอำนาจหน้าที่ไว้กับตนเอง โดยไม่ ยอมให้ผู้ใต้บังคับบัญชาในระดับล่าง มีสิทธิในการตัดสินใจหรือดำเนินการใด ๆ ในเรื่องที่สำคัญ แต่ ผู้บริหารระดับสูงอาจจะให้ผู้บริหารระดับล่างมีสิทธิในการตัดสินใจได้ในเรื่องเล็กๆ น้อย ๆ บางเรื่อง ภายใต้กฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้อย่างละเอียดรัดกุมและชัดเจน ส่วนการกระจายอำนาจนั้น ผู้บริหารระดับสูงกระจายอำนาจหน้าที่ลงไปให้กับผู้บริหาร และพนักงานในระดับล่าง โดยที่ผู้บริหารและพนักงานในระดับล่าง สามารถที่จะตัดสินใจในเรื่อง ต่างๆ ได้ค่อนข้างมากขอบเขตและกฎเกณฑ์ที่ใช้เป็นกรอบสำหรับการตัดสินใจเป็นไปอย่างกว้าง ๆ การจะกำหนดระดับการกระจายอำนาจ หรือรวมอำนาจมากน้อยแค่ไหน ต้องพิจารณาปัจจัยที่ เกี่ยวข้องอื่นๆด้วยคือ ๑. ขอบเขตภูมิประเทศที่ครอบคลุม องค์การที่มีสาขาอยู่ภูมิภาคต่าง ๆ มาก จำเป็นต้องมี การมอบหมายอำนาจ เพราะสำนักงานใหญ่แห่งเดียวไม่สามารถที่จะดูแลงานที่มีกว้างขวางได้อย่าง ทั่วถึง เช่น สถาบันการเงิน หรือธนาคารพาณิชย์เป็นต้น ๒. ขนาดขององค์การ ถ้าองค์การที่มีขนาดใหญ่จำเป็นต้องกระจายอำนาจ เพราะงานที่ ปฏิบัติอยู่จะล่าช้าและไม่สามารถสู้กับคู่แข่งขันได้ ๓. ความไม่แน่นอนของสภาวะแวดล้อม ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา องค์การควร จะต้องใช้ระบบการกระจายอำนาจหน้าที่ เพื่อให้การปฏิบัติขององค์การมีความยืดหยุ่น จึงจะ สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงตามสภาวพแวดล้อมได้ ๔. ความซับซ้อนของเทคโนโลยี องค์การที่มีการใช้เทคโนโลยีชั้นสูง มีความสลับซับซ้อน มาก จำเป็นต้องมีการมอบหมายอำนาจแก่ผู้บริหาร เพื่อรับผิดชอบและเพื่อการควบคุมในแต่ละ ระดับ การประสานงาน (Co-ordination) หมายถึง การเชื่อมโยงกิจกรรมหรือการประสานงานต่าง ๆ ของคนในหน่วยงานหรือ องค์การ ให้นำมารวมเข้าด้วยกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของ องค์การ การประสานจะมีประสิทธิภาพหรือไม่เพียงไร ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการด้วยกันคือ สายการบังคับบัญชา เอกภาพในการบังคับบัญชา และขนาดของการควบคุม๕ ๕ เอกชัย เอก ขุนฤทธิ์, การจัดองค์การ (Organizing), บจก. ปิยะวัฒนา, ๒๕๔๘ ,สืบค้นจาก https://www.gotoknow.org/posts/๕๑๘๓๐๙, เมื่อวันที่ ๒๒ สิหาคม ๒๕๖๖.
๑๐ องค์ประกอบขององค์การ (Elements of Organization) อีกรูปแบบหนึ่ง ประกอบด้วย ๑. อำนาจทางการบริหารจัดการ (Power) ๒. การกำหนดหน้าที่การงาน (Function) ๓. การแบ่งงาน (Division of Work) ๔. หน่วยงานสำคัญขององค์การ (Key Unit of the Organization) ๕. สายการบังคับบัญชา (Chain of Command) ๖. ช่วงการควบคุม (Span of Control) ๗. เอกภาพในการบังคับบัญชา (Unit of Command) ทฤษฎีองค์การ ทฤษฎีองค์การอาจแบ่งได้๓ ทฤษฎี คือ 1. ทฤษฎีดั้งเดิม (Classical Organization Theory) แนวความคิดทฤษฎีดั้งเดิมวิวัฒนาการจากการปกครองแบบทหาร จนถึงปลายศตวรรษที่ ๑๙ ได้นักบริหารสร้างรูปแบบการบริหารในระบบราชการขึ้น คือ แมค วีเบอร์ และสร้างรูปแบบการ บริหารโดยใช้การจัดการทางวิทยาศาสตร์ คือ เฟรดเดอริค เทย์เลอร์ ทฤษฎีนี้มีหลักการว่า “คนเป็น เครื่องมือที่ทำให้องค์การไปสู่จุดมุ่งหมายปลายทางได้” ซึ่งจะได้กล่าวรายละเอียดต่อไปนี้ ๑. การจัดองค์การแบบราชการ (Bureaucracy) ของ แมค วีเบอร์( Max Weber ) ได้เน้นให้ เห็นถึงการจัดโครงการที่เป็นระเบียบ สาระสำคัญที่ แมค วีเบอร์ ได้เน้นคือ องค์การแบบราชการใน อุดมคตินั้น จะต้องประกอบด้วย (๑) จะต้องมีการแบ่งงานกันทำ โดยให้แต่ละคนปฏิบัติงานในสาขาที่ตนมีความชำนาญ (๒) การยึดถืองานให้ยึดถือกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยโดยเคร่งครัด เพื่อที่จะให้ได้มาตรฐานของ งานเท่าเทียมกัน การยึดถือกฎเกณฑ์นี้จะช่วยขจัดพฤติกรรมที่บุคลแตกต่างกันสามารถมาประสานกัน ได้ (๓) สายการบังคับบัญชาต้องชัดเจน โดยผู้บังคับบัญชามอบหมายอำนาจหน้า ที่และควา ม รับผิดชอบลดหลั่นกันลงไป (๔) บุคคลในองค์การต้องไม่คำนึกถึงความสัมพันธ์ส่วนบุคคล โดยพยายามทำงานให้ดีที่สุด เพื่อเป้าหมายขององค์การ
๑๑ (๕) การคัดเลือกบุคคล การว่าจ้าง ให้ขึ้นอยู่กับความสามารถ และการเลื่อนตำแหน่งให้ คำนึงถึงการประสบความสำเร็จในการงานและอาวุโสด้วย จุดอ่อนขององค์การแบบราชการก็คือ การ เน้นที่องค์การโดยละเลยการพิจารณาถึงปัญหาของคน และเชื่อว่าการที่มีโครงสร้างที่รัดกุมแน่นอนจะ ช่วยให้บุคคลปรับพฤติกรรมให้เป็นไปตามความต้องการขององค์การได้ ๒. การจัดองค์การแบบวิทยาศาสตร์(Scientific Management) ของ เฟรดเดอริค เทย์เลอร์ (FcedericTaylor) เป็นการจัดองค์การแบบนำเอาวิธีการศึกษาวิทยาศาสตร์มาวิเคราะห์และแก้ปัญหา เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพขององค์การให้ดีขึ้นการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ได้เริ่มจากการหา ความสัมพันธ์ระหว่างงานและคนงานโดยการใช้การทดลอง เป็นเกณฑ์เพื่อหามาตรการทำงานที่มี ประสิทธิภาพสูงสุดโดยที่คนงานจะถูกพิจารณาว่าต้องการทำงานเพื่อเศรษฐกิจด้านเดียว โดยละเลย การศึกษาถึงแรงจูงใจ อารมณ์ และความต้องการในสังคมของกลุ่มคนงานเพราะเชื่อว่าเงินตัวเดียวจะ ล่อใจให้คนท างานได้ดีที่สุด ๒. ทฤษฎีสมัยใหม่ (Neo-Classical Organization Theory) ทฤษฎีสมัยใหม่เป็นทฤษฎีที่พัฒนามาจากดั้งเดิม ทฤษฎีนี้มีหลักการว่า “คนเป็นปัจจัย สำคัญและมีอิทธิพลต่อการเพิ่มผลผลิตขององค์การ” โดยเน้นให้เห็นถึงความสำคัญของคนที่ทำหน้าที่ ร่วมกันในองค์การถือว่าองค์การประกอบไปด้วยบุคคลซึ่งทำงานโดยมีเป้าหมายร่วมกันและกลุ่ม คนงานจะเป็นผู้มีส่วนร่วมในการกำหนดผลผลิตด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเป็นปัจจัยที่สำคัญ และมีอิทธิพลต่อการกำหนดการผลิต กล่าวโดยสรุปว่าทฤษฎีนี้ได้เน้นเรื่องมนุษยสัมพันธ์โดยได้มี การศึกษาและค้นพบว่าบุคคลแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน ขวัญในการทำงานเป็นสิ่งสำคัญ การ เข้ามีส่วนร่วมในกิจกรรมและการตัดสินใจระหว่างฝ่ายบริหาร และฝ่ายคนงานย่อมจะสร้างควา มพึ่ง พอใจให้กับทุกฝ่ายโดยได้สร้างผลผลิตอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้ทฤษฎีที่มีส่วนสำคัญมากต่อ กระบวนการมนุษยสัมพันธ์ได้แก่ ทฤษฎีของ เอลตัน เมโย ( Elton Mayo) ซึ่งได้ทำการทดลองวิจัย และค้นพบว่าขวัญของคนงานมีความส าคัญต่อการเพิ่มผลผลิตกลุ่มคนงานจะพยายามสร้างปทัสถาน ของกลุ่มตน และคนงานจะทำงานเป็นทีมโดยมีการกำหนดมาตรฐานของกลุ่มขึ้นเอง ๓. ทฤษฎีสมัยปัจจุบัน (Modern Organization Theory) ทฤษฎีนี้กล่าวว่าเป็นการศึกษารูปแบบขององค์การในปัจจุบันโดยเน้นที่การวิเคราะห์องค์การ ในเชิงระบบ (Systems Analysis of Organization) กล่าวคือ นักทฤษฎีได้พิจารณาองค์การใน ลักษณะที่เป็นส่วนรวมทั้งหมด ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างส่วนต่างๆ ที่อยู่ภายในองค์การ การศึกษาว่าองค์การเป็นระบบหนึ่งๆ นั้นได้คำนึงถึงองค์ประกอบภายในองค์การทุกส่วน ได้แก่ ตัว ป้อน กระบวนการ ผลผลิต ผลกระทบ และสิ่งแวดล้อม ( Input, Process, Output, Feedback, and Environment ) การศึกษาองค์การในรูประบบนั้นได้พยายามที่จะมององค์การในลักษณะการ
๑๒ เคลื่อนไหว(Dynamic) และปรับเข้ากับรูปแบบองค์การได้ในทุกสภาวะแวดล้อม ทั้งนี้เพราะนักทฤษฎี ปัจจุบันได้มององค์การในลักษณะกระบวนการทางด้านโครงสร้างที่บุคคลต่างๆจะต้องเกี่ยวพันซึ่งกัน และกันเพื่อบรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการ จึงมีการศึกษาพฤติกรรมองค์การในลักษณะใหม่ๆ เช่น พฤติกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การบริการแบบมีส่วนร่วม การพัฒนาองค์การ คิว.ซี. และการบริหาร แบบอนาคตนิยม เป็นต้น๖ ๑.๓ สรุป การศึกษาทำความเข้าใจเกี่ยวกับองค์การ จะช่วยให้ผู้บริหารองค์กรมีความเข้าใจสามารถบริหาร องค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือแม้แต่ผู้ที่ปฏิบัติงานในองศ์การที่เป็นส่วนสำคัญก็จะเข้าใจและ ทำงานได้ตามเป้าหมายองค์การ นักบริหารที่ดีต้องมีการจัดการหรือบริหารองศ์การให้อยู่ได้อย่างดีมี เสถียรภาพมั่งคงและเติบโตได้ดี แม้จะอยู่ภายใต้สภาวะการแข่งขันและสภาพแวดล้อมที่มีการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว นักบริหารต้องบริหารองค์การโดยรวบรวมเอากลุ่มกิจกรรมที่มีในองค์การ มาวางแผนและจัดการให้เหมาะสม เช่น การวางแผน (Planning) การจัดองค์การ (Organizing) การ จัดการทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Management) การตัดสินใจ (Decision Making) ภาวะผู้นำ ( Leadership ) และการควบคุม (Controlling) เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติที่สอดคล้องและ กลมกลืน ทำให้เกิดความสำร็จในเป้าหมายขององค์การ โดยมีประสิทธิภาพ (Eficiency) ประสิทธิผล (Effectiveness) และความประหยัด (Economy) หรือที่เรามักพูดกันสั้น ๆ ว่าเป้าหมายที่จะต้อง ได้ผล ๓ ด้านคือ ถูกต้อง ถูกใจ และถูกเงิน องค์การเป็นศูนย์รวมของกลุ่มบุคคลที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นองค์การประเภทใด ล้วนต้องอาศัยทรัพยากรบุคคลทุกระดับที่มีความรู้ความสามารถ และมีความเข้าใจในองค์กา รนั้น อย่างชัดเจนที่สุดทั้งการจัดองค์การ กระบวนการจัดองค์การ เข้าใจในโครงสร้าง การจัดแผนกงาน และสิ่งสำคัญที่สุดที่จะทำให้องค์การบรรลุวัตถุประสงค์ คือ การรู้จักและเข้าใจในอำนาจหน้าที่ความ รับผิดชอบ ปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังที่ได้รับมอบหมายงาน ผู้บริหารก็ต้องมีความสามารถและความ เข้าใจในการมอบหมายงานเป็นอย่างดี การจัดองค์การ หรือ การจัดรวบรวมบุคลากรมากกว่า ๒ คน ๖ เอกสารประกอบการสอน องค์การละการจัดการ ในเนื้อหาเกี่ยวกับทฤษฎีองค์การ, (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา), ๒๕๖๔, สืบค้นจาก https://elcpg.ssru.ac.th/paranee_sr/pluginfile.php/ ๔๓/block_html/content/๑%๒๐%E๐%B๘%๘๑%E๐%B๘%B๒%E๐%B๘%A๓%E๐%B๘%๘๘%E๐%B ๘%B๑%E๐%B๘%๙๔%E๐%B๘%AD%E๐%B๘%๘๗%E๐%B๘%๘๔%E๐%B๙%๘C%E๐%B๘%๘๑%E๐% B๘%B๒%E๐%B๘%A๓.pdf, เมื่อวันที่ ๒๒ สิหาคม ๒๕๖๖.
๑๓ ขึ้นไปอย่างมีระบบมีระเบียบด้วยความตั้งใจที่จะทำให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้บางอย่า งที่มี ความจำเพาะเจาะจงองค์การคือที่ที่คนทำงานด้วยกันเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน (Common purpose) เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่สามารถทำให้สมาชิกแต่ละคนทำงานมากกว่าการไปให้ถึง ความสำเร็จของแต่ละคน องค์การทุกขนาดและทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นองค์การธุรกิจที่แสวงหาผล กำไร หรือองค์การของภาครัฐที่ไม่แสวงหาผลกำไรก็มีลักษณะเช่นเดียวกันนี้ แล้วจากมุมมองของ สังคม องค์การจะมีวัตถุประสงค์อย่างกว้างร่วมกันเป็นต้นว่า ผลิตสินค้าหรือบริการที่เป็นประโยชน์ และระหว่างการประกอบกิจการทุกขั้นตอนนั้นองค์การจะต้องมอบคุณค่าให้กับสังคมไปพร้อมๆ กับ การตอบสนองความต้องการของลูกค้าไปด้วยเพื่อเป็นหลักประกันว่าองค์การจะคงอยู่ต่อไปได้ และ การจัดองค์การ (Organizing) จึงถือว่าเป็นการตัดสินใจเลือกวิธีการในการจัดแบ่งกลุ่มกิจกรรมและ ทรัพยากรต่าง ๆ ขององค์การออกเป็นหมวดหมู่ อย่างเป็นระเบียบ เพื่อให้การประสานงานระหว่าง กลุ่มกิจกรรม และ กลุ่มบุคคลต่าง ๆ เป็นไป อย่างมีประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล
บทที่ ๒ การจัดการองค์การภาครัฐของไทย ขอบข่ายเนื้อหา ๒.๑ บทน า ๒.๒ การจัดองค์กรฝ่ายปกครอง หรือ หลักการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน ๒.๓ สรุป ๒.๑ บทนำ การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดินของไทยในปัจจุบัน หรือ การจัดระเบียบบริหารตามกฎหมาย มี การแบ่งการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็น ๓ ส่วน คือ ๑. ระเบียบการบริหารราชการส่วนกลาง ระเบียบการบริหารราชการส่วนกลาง หมายถึง การบริหารประเทศภายใต้ความรับผิดชอบของรัฐบาล โดยคณะรัฐมนตรีมีภาระหน้าที่ในการควบคุมดูแล เพื่อประชาชนอยู่ดีกินดี มีความสุขหรือเพื่อ ประโยชน์ของประเทศชาติเป็นส่วนรวม มิได้มุ่งท าประโยชน์ส าหรับบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือท้องถิ่น หนึ่งท้องถิ่นใด ๒. ระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค ระเบียบบริหารราชการส่วนภูมิภาค หมายถึง การบริหารราชการของรัฐในส่วนกลาง แต่แบ่งงานและ อำนาจหน้าที่บางส่วนให้ส่วนราชการที่ตั้งอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการ การจัด ระเบียบราชการส่วนภูมิภาค ใช้หลักการแบ่งอำนาจ โดยความสำคัญของการบริหารอยู่ในส่วนกลาง หน่วยงานบริหาร หรือการปกครองย่อยในส่วนภูมิภาคจะต้องปฏิบัติตามนโยบายและการควบคุม กำกับดูแลของราชการบริหาร ในส่วนกลางได้แก่การบริหารระดับจังหวัดและอำเภอ ๓. ระเบียบราชการส่วนท้องถิ่น
๑๕ การจัดระเบียบราชการส่วนท้องถิ่น หมายถึง การแบ่งแยกหน่วยการปกครองออกไปจากส่วนกลา ง โดยใช้หลักการกระจายอำนาจการปกครอง และให้หน่วยการปกครองที่จัดตั้งขึ้นนั้นมีอำนาจอิสระใน การดำเนินกิจการภายในท้องถิ่นของตนได้ และสอดคล้องกับหลักการปกครองตนเอง ๒.๒ การจัดองค์กรฝ่ายปกครอง หรือ หลักการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน การจัดระเบียบการปกครองรัฐ หรือเรียกว่า การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน คือ การ จัดโครงสร้างหน่วยงานราชการและองค์กรภาครัฐ รวมถึงการจัดสรรอำนาจหน้าที่และความ รับผิดชอบ เพื่อให้หน่วยงานดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ ของรัฐนั้น คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาลเป็นองค์กรที่สำคัญที่สุดโดยทำหน้าที่บริหา รกิจกรรมของรัฐ คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบาย วางแนวทางในการปกครองประเทศ ส่วนฝ่ายที่จะ นำไปปฏิบัติให้สำเร็จตามนโยบายและดำเนินงานเป็นประจำนั้น คือ ฝ่ายปกครอง ซึ่งฝ่ายปกครองมี อำนาจหน้าที่และมีกำลังคน ตลอดจนมีเครื่องมือที่จะดำเนินการในรายละเอียดเป็นปกติประจำวัน ฝ่ายปกครองปฏิบัติงานต่างๆ เพื่อสนองความต้องการหรือประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน ซึ่ง เรียกว่า บริการสาธารณะ (Public Service) ส่วนอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารนั้นอาจแบ่งได้เป็น ๒ ส่วน ซึ่งฝ่ายบริหารเสมือนสวมหมวกสองใบในการทำงาน ใบที่หนึ่งอยู่ในฐานะรัฐบาล และ ใบที่สอง ฐานะฝ่ายปกครอง ๑. ในฐานะรัฐบาล ฝ่ายบริหารมีอำนาจหน้าที่ที่จะกำหนดและดำเนินนโยบายของรัฐบาล กิจการที่ฝ่ายบริหารปฏิบัติในฐานะของรัฐบาลนั้น คือ กิจการประเภทสำคัญๆ เกี่ยวกับการดำเนิน นโยบายของรัฐบาลที่จัดทำเพื่อเศรษฐกิจของประเทศ ความปลอดภัย ความเจริญ และความมั่นคง ของประเทศ เช่น การวางแผนเศรษฐกิจเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนและของประเทศ การทำ สนธิสัญญากับต่างประเทศ ฯลฯ ๒. ในฐานะฝ่ายปกครอง ฝ่ายบริหารมีอำนาจหน้าที่ซึ่งก็คือนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีของ แต่ละกระทรวงใช้ในการบริหารงานของกระทรวง คือ อำนาจหน้าที่ในการดำเนินการที่ต้องปฏิบัติเป็น ประจำหรือทำเป็นปกติธุระ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและนโยบายที่คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาลได้วาง แนวนโยบายไว้การปฏิบัติกิจการในทางปกครองนั้น นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแต่ละ คนพร้อมด้วยข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐตามกระทรวงทบวงการเมืองต่างๆ เป็นผู้ปฏิบัติ คณะรัฐมนตรีไม่จำต้องวินิจฉัยสั่งการด้วยตนเองทุกเรื่องไปเหมือนกับกิจการในหน้าที่ของรัฐบาล เว้น แต่ ในเรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับนโยบายซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงย่อมจะนำขึ้นเสนอขอคำวินิจฉัยจาก คณะรัฐมนตรีก่อนปฏิบัติ เพราะฉะนั้นกิจการใน หน้าที่ของฝ่ายปกครองรัฐบาลจึงมอบหมายให้ กระทรวงและทบวงการเมืองต่างๆ เป็นผู้ปฏิบัติแทนโดยตลอดกิจการที่ฝ่ายบริหารปฏิบัติในฐานะของ ฝ่ายปกครองก็คือ กิจการต่างๆ ที่อยู่ในหน้าที่ของกระทรวงทบวงการเมืองต่างๆ เช่น การรักษาความ
๑๖ สงบเรียบร้อยของประชาชน การป้องกันประเทศ การสาธารณสุข การคมนาคม การอุตสาหกรรม เป็นต้น โดยกิจการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลจะทำได้แต่โดยรัฐบาลเท่านั้น คณะรัฐมนตรีจะต้อง ปฏิบัติและรับผิดชอบกิจการนั้นร่วมกัน แต่กิจการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของฝ่ายปกครองรัฐบา ลจะ มอบให้องค์การปกครองอื่นๆ รับไปจัดทำก็ได้เช่น มอบอำนาจหน้าที่ในจัดบริการสาธารณะบางอย่า ง ให้แก่เทศบาล ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ หรือมอบให้เอกชนรับไปทำแทนก็ ได้ เช่น การให้สัมปทานเอกชนจัดทำบริการสาธารณะบางอย่าง เป็นต้น หลักของการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน แบ่งได้ดังนี้ ๑. หลักการรวมอำนาจปกครอง เป็นการรวมอำนาจในการปกครองประเทศทั้งหมดไว้ที่ “ส่วนกลาง” คือ กระทรวง ทบวง กรม ของรัฐ และมีเจ้าหน้าที่ของส่วนกลางซึ่งขึ้นต่อกันตา มลำดับ ชั้นการบังคับบัญชาเป็นผู้ดำเนินการปกครองทั่งทั้งประเทศ การรวมอำนาจปกครองมีลักษณะสำคัญ คือ มีการรวมกำลังในการบังคับต่างๆ อันได้แก่ กำลังทหารและกำลังตำรวจให้ขึ้นต่อส่วนกลาง มีการ รวมอำนาจวินิจฉัยสั่งการไว้ที่ส่วนกลาง และมีลำดับชั้นการบังคับบัญชาเจ้าหน้าที่ การรวมอำนาจการ ปกครองสามารถจำแนกได้ ๒ แบบ คือ การรวมศูนย์อำนาจการปกครอง (concentration) และการ กระจายการรวมศูนย์อำนาจการปกครอง ( deconcentration) (๑.๑) การรวมศูนย์อำนาจการปกครอง ได้แก่ การปกครองภายในประเทศรูปแบบหนึ่งที่ กำหนดให้อำนาจในการตัดสินใจทั้งหลายที่เกี่ยวกับการปกครองประเทศหรือเกี่ยวกับกา รจัดท ำ บริการสาธารณะเป็นของส่วนกลางโดยไม่มีการมอบอำนาจในการตัดสินใจในบางเรื่องไปให้แก่ เจ้าหน้าที่ของส่วนกลางที่ถูกส่งไปประจำอยู่ในภูมิภาค การปกครองประเทศด้วยวิธีการรวมศูนย์ อำนาจการปกครองนี้เป็นการปกครองนี้เป็นการปกครองประเทศที่สร้างภาระให้กับส่วนกลางเป็นอัน มาก เพราะส่วนกลางจะต้องเป็นผู้ดำเนินการด้วยตนเองทุกเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการปกครองและการ จัดทำบริการสาธารณะซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก (๑.๒) การแบ่งอำนาจปกครองหรือการแบ่งอำนาจให้แก่ส่วนภูมิภาค ได้แก่ รูปแบบการ ปกครองที่ส่วนกลางได้มอบอำนาจในการตัดสินใจบางเรื่องบางระดับแก่ตัวแทนหรือเจ้า หน้าที่ของ ส่วนกลางที่ได้ถูกส่งไปประจำยังส่วนภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ โดยตัวแทนหรือเจ้าหน้า ที่เหล่านั้น สามารถดำเนินการวินิจฉัยสั่งการบางเรื่องได้ตามแนวทางที่ส่วนกลางกำหนดหลักการกระจายการรวม ศูนย์อำนาจการปกครองนี้มีข้อดีคือ นับได้ว่าเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่การกระจายอำนาจการปกครอง เพราะเมื่อมีการมอบอำนาจในการตัดสินใจบางเรื่องบางระดับให้แก่ตัวแทน หรือเจ้าหน้าที่ของ ส่วนกลางที่ถูกส่งไปประจำส่วนภูมิภาค ก็เสมือนกับเป็นการมอบกิจการให้ตัวแทน หรือเจ้าหน้าที่ของ ตนจัดทำเองได้บางส่วน และการกระจายการรวมศูนย์อำนาจก็ยังทำให้กิจการต่างๆ ดำเนินไปรวดเร็ว
๑๗ ขึ้น ไม่ต้องส่งเรื่องให้ส่วนกลางตัดสินใจทุกเรื่อง ซึ่งหากให้ส่วนกลางดำเนินการทุกเรื่องจะเป็นการ ล่าช้าและไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ทันท่วงที ๒. การกระจายอำนาจปกครอง การกระจายอำนาจปกครองเป็นการจัดการปกครองที่รัฐได้มอบอำนาจการปกครองบางส่วน ให้กับองค์กรอื่นนอกจากองค์กรของส่วนกลางเพื่อจัดทำบริการสาธารณะบางอย่างโดยให้มีควา มเป็น อิสระในการดำเนินการและไม่อยู่ในการบังคับบัญชาของส่วนกลาง แต่จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ส่วนกลาง การกระจายอำนาจปกครองประกอบด้วยลักษณะสำคัญ ๕ ประการ คือ ๑. มีการแยกหน่วยงานออกไปเป็นเป็นองค์กรนิติบุคคลจากส่วนกลาง ๒. มีการเลือกตั้งสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น ๓. มีความเป็นอิสระในการปกครองตนเอง ๔. มีเจ้าหน้าที่ของตนเอง และ ๕. มีงบประมาณและรายได้เป็นของตนเอง ในประเทศไทยนั้นแม้จะมีการจัดระบบการปกครองส่วนท้องถิ่นมาเป็นเวลานาน แต่ก็ปรากฏ ว่า การกระจายอำนาจของไทยนั้นยังกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่นไม่มากนัก โดยมีการบัญญัติเรื่อง การกระจายอำนาจท้องถิ่นไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับปีพ.ศ.๒๕๔๐ หมวด ๙ การปกครองส่วนท้องถิ่น มาตรา ๒๘๒ “ภายใต้บังคับมาตรา ๑ รัฐจะต้องให้ความเป็นอิสระแก่ท้องถิ่นตามหลักแห่งการ ปกครองตนเองตามเจตนารมณ์ของประชาชนในท้องถิ่น” อีกทั้งรัฐธรรมนูญปี ๒๕๔๐ ยังกำหนดให้ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นองค์กรมีสิทธิในการจัดบริการสาธารณะ ซึ่งเป็นที่มาพระราชบัญญัติ กำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ อีกด้วย ความแตกต่างระหว่างหลักการแบ่งอำนาจปกครองกับหลักการกระจายอำนาจปกครอง (๑) หลักการแบ่งอำนาจปกครอง เป็นการจัดระเบียบราชการบริหารตามหลักการรวม อำนาจปกครอง ไม่ใช่การกระจายอำนาจปกครองให้แก่ท้องถิ่น เพราะว่าการมอบอำนาจหน้าที่ให้แก่ เจ้าหน้าที่ของราชการบริหารส่วนกลางในส่วนภูมิภาค เป็นแค่การแบ่งอำนาจวินิจฉัยสั่งการบางเรื่อง จากกระทรวง ทบวง กรม ในส่วนกลางไปให้เจ้าหน้าที่ของส่วนกลางที่เป็นหัวหน้าในส่วนภูมิภาค เท่านั้น อำนาจบังคับบัญชาและวินิจฉัยสั่งการในขั้นสุดท้าย ยังอยู่กับราชการบริหารส่วนกลาง แต่ตาม หลักการกระจายอำนาจปกครอง เป็นการถ่ายโอนภารกิจบางอย่างให้แก่ส่วนท้องถิ่นไปดำเนินการ ไม่ ต้องอยู่ใต้การบังคับบัญชาสั่งการของราชการบริหารส่วนกลาง (๒) เจ้าหน้าที่ในส่วนภูมิภาคเป็นเจ้าหน้าที่ของกระทรวง ทบวง กรม อันเป็นราชการ บริหารส่วนกลาง ซึ่งราชการบริหารส่วนกลางเป็นผู้แต่งตั้ง โยกย้าย และถอดถอน แต่เจ้าหน้าที่ของ
๑๘ ส่วนท้องถิ่นตามหลักการกระจายอำนาจปกครอง ไม่ไดเป็นเจ้าหน้าที่ของราชการบริหารส่วนกลาง แต่ เป็นเจ้าหน้าที่ขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นนั้นๆเอง การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ส่วนภูมิภา คก็ยึดถือ หลักการแต่งตั้งเป็นเกณฑ์ ไม่ถือหลักการเลือกตั้ง เหมือนกับการกระจายอำนาจให้แก่ท้องถิ่น ซึ่งตาม หลักการเป็นผู้ที่ได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชนในท้องถิ่นนั่นเอง เช่น นายกเทศมนตรี สมาชิกสภา เทศบาล เป็นต้น ข้อดีของหลักการแบ่งอำนาจปกครอง คือ (๑) การใช้หลักนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่จะนำไปสู่การกระจายอำนาจปกครอง คือ เมื่อราชการ ส่วนกลางได้มอบอำนาจวินิจฉัยสั่งการให้แก่เจ้าหน้าที่ในส่วนภูมิภาคก็เท่ากับเป็นการมอบหมาย กิจการให้เจ้าหน้าที่ส่วนภูมิภาคจัดทำได้เองบางส่วน ดังนั้นหากจะเปลี่ยนรูปจากการจัดระเบียบ ราชการบริหารส่วนภูมิภาคไปเป็นการจัดระเบียบราชการบริหารส่วนท้องถิ่นตามหลักการกระจาย อำนาจปกครองก็สามารถทำได้ง่ายขึ้น เพียงแค่เปลี่ยนเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงา นจา กเจ้า หน้า ที่ของ ราชการบริหารส่วนกลางให้เป็นเจ้าหน้าที่ของท้องถิ่นนั้น แล้วมอบกิจการให้ท้องถิ่นรับไปจัดทำเองใน รูปองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น เช่น เทศบาล เป็นต้น (๒) การแบ่งอำนาจให้แก่ส่วนภูมิภาคทำให้กิจการต่างของทางราชการดำเนินไปรวดเร็วขึ้น เพราะเจ้าหน้าที่ในส่วนภูมิภาคมีอำนาจในการวินิจฉัยสั่งการ และจัดทำกิจการอันเป็นเรื่องง่ายๆ ได้ โดยไม่ต้องเสนอขอคำสั่งจากส่วนกลางทุกเรื่องไป (๓) การบริหารราชการส่วนท้องถิ่นสามารถการติดต่อประสานงานและควบคุมดูแลองค์การ บริหารส่วนท้องถิ่นได้ใกล้ชิดขึ้น เพราะราชการบริหารส่วนกลางมีผู้แทนอยู่ในส่วนภูมิภาคที่จะคอย ควบคุมดูแลองค์การบริหารส่วนท้องถิ่นในจังหวัดของตน ทำให้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นติดต่อกับ ราชการบริหารส่วนกลางได้สะดวกขึ้นโดยทางผู้ว่าราชการจังหวัด (๔) การจัดระเบียบราชการบริหารส่วนภูมิภาคตามหลักการแบ่งอำนาจปกครองมีประโยชน์ และความจำเป็นมากสำหรับประเทศที่ประชาชนยังอ่อนด้อยความสามารถในการที่จะปกครองตนเอง ซึ่งหากมอบอำนาจให้ประชาชนในท้องถิ่นต่างๆ ปกครองตนเอง ราชการส่วนกลางมองว่าอาจจะเกิด ผลเสียมากกว่าผลดีในกรณีแบบนี้ราชกลางส่วนกลางจึงจำเป็นต้องยับยั้งการกระจายอำนาจให้แก่ ท้องถิ่นไว้ก่อน และจัดเจ้าหน้าที่ของราชการบริหารส่วนกลางไปดำเนินการปกครองท้องที่ต่า งๆ แทนที่จะให้ราษฎรเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ขึ้นมาบริหารกิจการของท้องถิ่นนั้นเอง และเมื่อประชา ชนมี ความรู้ความสามารถเพียงพอที่จะปกครองตนเองได้ จึงค่อยกระจายอำนาจการปกครอง๑ ๑ ศิวพร โพธิวิทย์, การจัดองค์กรฝ่ายปกครอง : หลักการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา), ๒๕๖๓, สืบค้นจากhttps://site.bsru.ac.th/padm/wpcontent/uploads/๒๐๒๐/๐๓/%E๐%B๘%๘๑%E๐%B๘%B๒%E๐%B๘%A๓%E๐%B๘%๘๘%E๐%B๘%B
๑๙ ๒.๓ สรุป การจัดระเบียบการปกครองรัฐ หรือเรียกว่า การจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน คือ การจัดโครงสร้างหน่วยงานราชการและองค์กรภาครัฐ รวมถึงการจัดสรรอำนาจหน้าที่และควา ม รับผิดชอบ เพื่อให้หน่วยงานดำเนินการตามอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ ของรัฐนั้น คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาลเป็นองค์กรที่สำคัญที่สุดโดยทำหน้าที่บริหารกิจกรรมของรัฐ คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบาย วางแนวทางในการปกครองประเทศ ส่วนฝ่ายที่จะ นำไปปฏิบัติให้สำเร็จตามนโยบายและดำเนินงานเป็นประจำนั้น คือ ฝ่ายปกครอง ซึ่งฝ่ายปกครองมี อำนาจหน้าที่และมีกำลังคน ตลอดจนมีเครื่องมือที่จะดำเนินการในรายละเอียดเป็นปกติประจำวัน ฝ่ายปกครองปฏิบัติงานต่างๆ เพื่อสนองความต้องการหรือประโยชน์ส่วนรวมของประชาชน ซึ่ง เรียกว่า บริการสาธารณะ (Public Service) ส่วนอำนาจหน้าที่ของฝ่ายบริหารนั้นอาจแบ่งได้เป็น ๒ ส่วน ซึ่งฝ่ายบริหารเสมือนสวมหมวกสองใบในการทำงาน ใบที่หนึ่งอยู่ในฐานะรัฐบาล และ ใบที่สอง ฐานะฝ่ายปกครอง ๑. ในฐานะรัฐบาล ฝ่ายบริหารมีอำนาจหน้าที่ที่จะกำหนดและดำเนินนโยบายของรัฐบาล กิจการที่ฝ่ายบริหารปฏิบัติในฐานะของรัฐบาลนั้น คือ กิจการประเภทสำคัญๆ เกี่ยวกับการดำเนิน นโยบายของรัฐบาลที่จัดทำเพื่อเศรษฐกิจของประเทศ ความปลอดภัย ความเจริญ และความมั่นคง ของประเทศ เช่น การวางแผนเศรษฐกิจเพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนและของประเทศ การทำ สนธิสัญญากับต่างประเทศ ฯลฯ ๒. ในฐานะฝ่ายปกครอง ฝ่ายบริหารมีอำนาจหน้าที่ซึ่งก็คือนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี ของแต่ละกระทรวงใช้ในการบริหารงานของกระทรวง คือ อำนาจหน้าที่ในการดำเนินการที่ต้องปฏิบัติ เป็นประจำหรือทำเป็นปกติธุระ เพื่อให้เป็นไปตามกฎหมายและนโยบายที่คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาลได้ วางแนวนโยบายไว้การปฏิบัติกิจการในทางปกครองนั้น นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง แต่ละคนพร้อมด้วยข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐตามกระทรวงทบวงการเมืองต่า งๆ เป็นผู้ปฏิบัติ คณะรัฐมนตรีไม่จำต้องวินิจฉัยสั่งการด้วยตนเองทุกเรื่องไปเหมือนกับกิจการในหน้าที่ของรัฐบาล เว้น แต่ ในเรื่องสำคัญที่เกี่ยวกับนโยบายซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงย่อมจะนำขึ้นเสนอขอคำวินิจฉัยจาก คณะรัฐมนตรีก่อนปฏิบัติ เพราะฉะนั้นกิจการในหน้าที่ของฝ่ายปกครองรัฐบาลจึงมอบหมายให้ กระทรวงและทบวงการเมืองต่างๆ เป็นผู้ปฏิบัติแทนโดยตลอดกิจการที่ฝ่ายบริหารปฏิบัติในฐานะของ ๑%E๐%B๘%๙๔%E๐%B๘%AD%E๐%B๘%๘๗%E๐%B๘%๘๔%E๐%B๙%๘C%E๐%B๘%๘๑%E๐%B ๘%A๓%E๐%B๘%๙D%E๐%B๙%๘๘%E๐%B๘%B๒%E๐%B๘%A๒%E๐%B๘%๙B%E๐%B๘%๘๑%E ๐%B๘%๘๔%E๐%B๘%A๓%E๐%B๘%AD%E๐%B๘%๘๗-.pdf, เมื่อวันที่ ๒๒ สิหาคม ๒๕๖๖.
๒๐ ฝ่ายปกครองก็คือ กิจการต่างๆ ที่อยู่ในหน้าที่ของกระทรวงทบวงการเมืองต่างๆ เช่น การรักษาความ สงบเรียบร้อยของประชาชน การป้องกันประเทศ การสาธารณสุข การคมนาคม การอุตสาหกรรม เป็นต้น โดยกิจการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลจะทำได้แต่โดยรัฐบาลเท่านั้น คณะรัฐมนตรีจะต้อง ปฏิบัติและรับผิดชอบกิจการนั้นร่วมกัน แต่กิจการที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของฝ่ายปกครองรัฐบา ลจะ มอบให้องค์การปกครองอื่นๆ รับไปจัดทำก็ได้เช่น มอบอำนาจหน้าที่ในจัดบริการสาธารณะบางอย่า ง ให้แก่เทศบาล ซึ่งเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้ดำเนินการ หรือมอบให้เอกชนรับไปทำแทนก็ ได้ เช่น การให้สัมปทานเอกชนจัดทำบริการสาธารณะบางอย่าง เป็นต้น
บรรณานุกรม ๑. เอกสารประกอบการสอน องค์การและการจัดการ บทที่ ๑, (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยราช ภัฏสวนสุนันทา), ๒๕๖๔, สืบค้นจาก https://elcpg.ssru.ac.th/paranee_sr/pluginfile.php/๒๗/block_html/content/%E ๐%B๙%๘๐%E๐%B๘%AD%E๐%B๘%๘๑%E๐%B๘%AA%E๐%B๘%B๒%E๐%B ๘%A๓%E๐%B๘%๙B%E๐%B๘%A๓%E๐%B๘%B๐%E๐%B๘%๘๑%E๐%B ๘%AD%E๐%B๘%๙A%E๐%B๘%๘๑%E๐%B๘%B๒%E๐%B๘%A๓%E๐%B ๘%AA%E๐%B๘%AD%E๐%B๘%๙๙.pdf, เมื่อวันที่ ๒๒ สิหาคม ๒๕๖๖. ๒. เกียรติพงษ์ อุดมธนะธีระ, การศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้, กรุงเทพธุรกิจ, Org ลักษณะของ องค์การ (Organizational characteristics), ๒๕๖๓, สืบค้นจาก https://www.iok๒ u.com/article/business-administrator/org-organizational-characteristics, เมื่อวันที่ ๒๒ สิหาคม ๒๕๖๖. ๓. แนวความคิดเกี่ยวกับการจัดองค์การ, (ประจวบคีรีขันธ์ : วิทยาลัยการอาชีพบางสะพาน), ๒๕๕๖, สืบค้นจาก http://www.bspc.ac.th/files/๒๑๐๖๐๙๑๓๑๓๔๑๐๕๔๐_ ๒๑๑๒๑๔๑๔๑๔๐๙๑๓.pdf, เมื่อวันที่ ๒๒ สิหาคม ๒๕๖๖. ๔. เกียรติพงษ์ อุดมธนะธีระ, การศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้, กรุงเทพธุรกิจ, Org องค์ประกอบขององค์การ (Elements of Organization), ๒๕๖๓, สืบค้นจาก https://www.iok๒u.com/article/business-administrator/org-elements-oforganization, เมื่อวันที่ ๒๒ สิหาคม ๒๕๖๖. ๕. เอกชัย เอก ขุนฤทธิ์, การจัดองค์การ (Organizing), บจก. ปิยะวัฒนา, ๒๕๔๘ ,สืบค้นจาก https://www.gotoknow.org/posts/๕๑๘๓๐๙, เมื่อวันที่ ๒๒ สิหาคม ๒๕๖๖. ๖. เอกสารประกอบการสอน องค์การละการจัดการ ในเนื้อหาเกี่ยวกับทฤษฎีองค์การ, (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา), ๒๕๖๔, สืบค้นจาก
๒ https://elcpg.ssru.ac.th/paranee_sr/pluginfile.php/๔๓/block_html/content/๑% ๒๐%E๐%B๘%๘๑%E๐%B๘%B๒%E๐%B๘%A๓%E๐%B๘%๘๘%E๐%B๘%B๑%E ๐%B๘%๙๔%E๐%B๘%AD%E๐%B๘%๘๗%E๐%B๘%๘๔%E๐%B๙%๘C%E๐%B ๘%๘๑%E๐%B๘%B๒%E๐%B๘%A๓.pdf, เมื่อวันที่ ๒๒ สิหาคม ๒๕๖๖. ๗. ศิวพร โพธิวิทย์, การจัดองค์กรฝ่ายปกครอง : หลักการจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน, (กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา), ๒๕๖๓, สืบค้นจาก https://site.bsru.ac.th/padm/wp-content/uploads/๒๐๒๐/๐๓/%E๐%B๘%๘๑%E ๐%B๘%B๒%E๐%B๘%A๓%E๐%B๘%๘๘%E๐%B๘%B๑%E๐%B๘%๙๔%E๐%B ๘%AD%E๐%B๘%๘๗%E๐%B๘%๘๔%E๐%B๙%๘C%E๐%B๘%๘๑%E๐%B๘%A ๓%E๐%B๘%๙D%E๐%B๙%๘๘%E๐%B๘%B๒%E๐%B๘%A๒%E๐%B๘%๙B%E ๐%B๘%๘๑%E๐%B๘%๘๔%E๐%B๘%A๓%E๐%B๘%AD%E๐%B๘%๘๗-.pdf, เมื่อ วันที่ ๒๒ สิหาคม ๒๕๖๖.