The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รายงานผลการเข้ารับการฝึกอบรมนักสังคมสงเคราะห์ รุ่น 3

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Rung Boonsiri, 2024-06-27 03:45:03

รายงานผลการเข้ารับการฝึกอบรมนักสังคมสงเคราะห์ รุ่น 3

รายงานผลการเข้ารับการฝึกอบรมนักสังคมสงเคราะห์ รุ่น 3

รายงานการฝึ กอบรม หลักสูตรนักสังคมสงเคราะห์รุ่นที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๔ – ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๗ นางสาวรุ่งฤดี บุญศิริ ต าแหน่ง นักสังคมสงเคราะห์ช านาญการ เทศบาลเมืองปราจีนบุรี


แบบรายงานผลการเข้ารับการฝึกอบรม ๑. ชื่อ - สกุล นางสาวรุ่งฤดี บุญศิริ ตำแหน่ง นักสังคมสงเคราะห์ ระดับ ชำนาญการ สังกัด เทศบาลเมืองปราจีนบุรี ๒. โครงการฝึกอบรม “หลักสูตรนักสังคมสงเคราะห์ รุ่นที่ ๓” จัดโดย กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น โดยสถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น ๓. ระยะเวลาในการเดินทางไปเข้ารับการฝึกอบรม ระหว่างวันที่ ๔-๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๗ ๔. สถานที่ฝึกอบรม ณ สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น ซอยคลองหลวง ๘ ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี ๕. วัตถุประสงค์ในการเข้ารับการฝึกอบรม ๕.๑ เพื่อพัฒนาให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้ทักษะ และสมรรถนะที่เหมาะสมกับการดำรง ตำแหน่ง ๕.๒ เพื่อพัฒนาให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบ และสามารถนำความรู้ที่ได้รับไปประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ๕.๓ เพื่อพัฒนาให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มีทัศนคติที่ดีต่อการทำงานร่วมกับผู้อื่น และสามารถทำงานในลักษณะทีมงานได้อย่างเหมาะสม ๕.๔ เพื่อพัฒนาให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีความรู้ที่ทันสมัย สามารถนาเทคโนโลยีสารสนเทศ และ นวัตกรรมมาปรับใช้กับการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ ๕.๕ เพื่อพัฒนาให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมมีจิตสำนึกด้านคุณธรรม และจริยธรรมในการปฏิบัติตน และ การปฏิบัติงาน ๕.๖ เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมได้มีโอกาสในการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์เกี่ยวกับการ ปฏิบัติงานระหว่างกันและสร้างสัมพันธภาพในการติดต่อประสานงานระหว่างกันในอนาคต ๖. งบประมาณในการฝึกอบรม จำนวน 40,00 บาท (-สี่หมื่นบาทถ้วน-) ๗. สรุปเนื้อหาสาระที่ได้จากการฝึกอบรม วันอังคารที่ ๔ มิถุนายน 2567 ลงทะเบียนและปฐมนิเทศ โดยนางสาวฐิติมา ปุยอ๊อต ผู้อำนวยการกลุ่มงานวิชาการเพื่อการพัฒนา บุคลากรท้องถิ่น ให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาบุคลากรในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในประเด็นดังต่อไปนี้ 1. การพัฒนา...


- 2 - ๑. การพัฒนาทรัพยากรบุคคล เพื่อสร้างกระบวนการเรียนรู้อย่างเป็นระบบและเพื่อเพิ่มพูนสมรถถนะ ในการปฏิบัติงานของบุคคลในองค์กร ซึ่งจะทำให้เกิดความก้าวหน้าต่อตนเองและองค์กร ๒. การพัฒนาสมรรถนะ ด้านความรู้ และความเข้าใจ ๓. ความสำคัญของการพัฒนา เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาการขาดความรู้และสมรรถนะที่จำเป็นในการ ปฏิบัติงาน เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้ตามเป้าหมาย ระดับองค์กร ระดับสายงาน ระดับตนเอง ๔. กรอบแนวทางการจัดทำหลักสูตรเพื่อการพัฒนาบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเป้าหมาย การพัฒนาบุคลากรองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๕. PRE-TEST การทำแบบประเมินความรู้เกี่ยวกับหน้าที่ความรับผิดชอบ ระเบียบและกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการปฏิบัติงานด้านสังคมสงเคราะห์ วันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๗ เวลา 09.00 -16.00 น. 1. อาจารย์ ดร.อาคร ประมงค์ วิชา ศิลปะการพูด เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมสามารถนำความรู้ที่ได้รับในการพูดในที่สาธารณะ และการนำเสนอ ผลงานต่าง ๆ นำไปพัฒนาตนเอง และประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ 1.1 ให้ความรู้หลักการทำงานร่วมกันให้มีประสิทธิภาพ การสร้างมนุษยสัมพันธ์ที่ดีเป็นบ่อ เกิดของการทำงานที่มีประสิทธิภาพที่ทำให้องค์กรประสบความสำเร็จ โดยมีองค์ประกอบหลัก ๆ ดังนี้ 1.1.1 เข้าใจตนเอง คือ ทุกคนต้องรู้จักตัวเราเองให้มากที่สุด รู้ว่าอะไรคือจุดอ่อน จุดแข็ง ควรจะปรับแก้จุดอ่อนอย่างไรให้ดีขึ้น ควรจะใช้จุดแข็งของตนให้เป็นประโยชน์อย่างไร ข้อดีข้อเสีย ของตนเองคืออะไร อะไรที่จะทำให้การทำงานเกิดปัญหา อะไรที่โดดเนที่จะช่วยเพิ่มความสำเร็จของงานได้ดี เมื่อเรารู้จักตนเองแล้ว เราก็จะสามารถประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมว่าอะไรควรหรือไม่ควรทำ อะไรที่เกิดประโยชน์ อะไรที่ทำแล้วสร้างผลกระทบต่อคนอื่น เป็นต้น ๑.๑.๒ เข้าใจผู้อื่น คือ เมื่อเรารู้จักตนเองอย่างดีแล้วเราก็ควรจะเรียนรู้การรู้จักผู้อื่นด้วย เช่นกัน การเรียนหมายถึงการใส่ใจ ให้ความสำคัญระหว่างกัน รวมไปถึงการเคารพซึ่งกันและกันด้วย การรู้จักความสามารถ จุดอ่อน จุดแข็งของผู้อื่น ทำให้เราสามารถปรับตัวในการทำงานร่วมกันได้ดี หรือช่วย สนับสนุนเกื้อกูลกันได้ ๑.๑.๓ ยอมรับความแตกต่างระหว่างบุคคล คือ เมื่อรู้เขารู้เราแล้ว ก็ควรที่จะเรียนรู้ความ แตกต่างระหว่างบุคคล ไม่มีใครในโลกนี้ที่เหมือนกัน ทุกคนย่อมมีความคิดเป็นของตนเอง แต่ทุกคนก็ต้อง เรียนรู้ที่จะฟังความคิดเห็นของผู้อื่น และยอมรับในความแตกต่างระหว่างกัน การยอมรับความแตกต่างไม่ใช่ การที่จะต้องปรับความคิดให้เหมือนกันหรือไปในทิศทางเดียวกันเสียหมด การเห็นต่างนั้นไม่ใช่สิ่งผิดแต่การ ยอมรับฟังจะทำให้เราสามารถเห็นข้อมูลได้รอบด้านขึ้น วิเคราะห์ได้หลายมิติขึ้น และอาจได้แนวทางการ แก้ไขที่ดีที่สุดก็เป็นได้ แล้วก็ต้องมีความเข้าใจว่าความแตกต่างไม่ใช่การแบ่งพวก แบ่งฝักแบ่งฝ่าย แต่เป็น การแสดงความคิดเห็นที่มีเหตุผลคนละรูปแบบ เห็นต่างได้ แต่ก็ต้องยอมรับความเห็นต่างระหว่างกัน และ ท้ายที่สุดต้องยอมรับข้อสรุปสุดท้ายร่วมกันให้ได้ เพื่อที่จะดำเนินการร่วมกันในทิศทางเดียวกัน หลักการทำงานร่วมกันให้มีประสิทธิภาพ ประกอบได้ด้วย สร้างการยอมรับ สร้างความ สนิทสนม สร้างความร่วมมือ และการมีเป้าหมายเดียวกันการสร้าง... การสร้าง...


- 3 - การสร้าง Growth Mindset คือวิธีคิดที่เชื่อว่าทักษะและความรู้ความสามารถของเราสามารถพัฒนาได้ผ่านการเรียนรู้และการ พยายามฝึกฝน ไม่มีอะไรที่อยู่เหนือความพยายามและความตั้งใจ ดังนี้ 1. ไม่ย่อท้อต่อปัญหา รักที่จะเรียนรู้ไป 2. เราพัฒนาศักยภาพและความสามารถได้ 3. ให้ความสำคัญกับกระบวนการ (Process) 4. สร้าง Feedback ในกระบวนการทำงาน 10 ทักษะยากที่ควรเรียนรู้เพื่อความคุ้มค่าตลอดชีวิต 1. จัดการเวลา ก่อนเวลาจัดการเราหากเราทำงานจะต้องรู้จักวิธีที่จัดลำดับความสำคัญของงานดังนี้ 1.1 สำคัญเร่งด่วน 1.2 สำคัญแต่ไม่เร่งด่วน 1.3 ไม่สำคัญแต่เร่งด่วน 1.4 ไม่สำคัญไม่เร่งด่วน 2. เอาใจใส่ผู้อื่น 2.1 เอาใจใส่ธุรกิจ …ธุรกิจคุณก็เจริญก้าวหน้า 2.2 เอาใจใส่ลูกค้า …สินค้าคุณก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า 2.3 เอาใจใส่ทีมงาน …ทีมงานคุณก็มีแรงจูงใจ มีไฟในการทำงานมากขึ้น 2.4 เอาใจใส่ครอบครัว …ครอบครัวก็แฮปปี้ มีความสุขมากขึ้น 2.5 เอาใจใส่ตัวเอง …คุณก็ดูดีขึ้น สวยขึ้นหล่อขึ้น ฟิตแอนด์เฟิร์ม 2.6 เอาใจใส่เพื่อนร่วมงาน …การทำงานเข้าขากันมากขึ้น งานลื่นขึ้น 3. ชาร์จแบตชีวิต 3.1 อ่านหนังสือก่อนนอน 1 ชั่วโมง 3.2 นั่งสมาธิ สวดมนต์ไหว้พระ ก่อนนอน 30 นาที 3.3 นอนฟังเพลงบรรเลงเบาๆ เปิดแอร์เย็นๆ 3.4 หาหมอนข้างมานอนกอด หมอนคนก็ได้ ถ้าคุณหาได้ 3.5 ดูทีวี ดูหนังตลก ก่อนนอนผ่อนคลายสมอง 3.6 สำรวจดูว่า หมอนแข็งไป นุ่มไปถึงเวลาเปลี่ยนใหม่แล้วรึยัง 4. เปล่งวาจาประกาศิตบวก คือการคิดในทางที่ดีในทุกๆ เรื่อง 4.1 ฉันเห็นโอกาสทำเงินทุกหนทุกแห่ง 4.2 ที่ไหนมีปัญหาที่นั่นมีเงิน 4.3 ฉันคือสุดยอดนักขาย 4.4 ฉันคือนักการตลาดที่เก่งที่สุด 4.5 ลูกค้าและเงินทองหลั่งไหลมา 4.6 หาฉันมากมาย...


- 4 - 4.6 หาฉันมากมายและง่ายดาย 4.7 ฉันร่ำรวย มั่งคั่ง เกินใจใฝ่ฝัน 4.8 ฉันมีอิสรภาพทางการเงินและเวลา 4.9 ฉันมีความสุขกับชีวิตทุกวัน 4.10 ฉันรักตัวเอง ฉันรักตัวเอง 4.11 ฉันมีความสุขกับชีวิตทุกวัน 5. ความต่อเนื่อง กฎ 10,000 ชั่วโมง บอกไว้ว่า…ถ้าคุณอยู่กับสิ่งไหนได้นานถึง10,000 ชั่วโมง คุณจะเป็น กูรู ผู้เชี่ยวชาญ 6. ขอความช่วยเหลือ ถ้าคุณสงสัยหรือไม่เข้าใจเรื่องอะไร ยกมือถามไปเลยครับ ถามผู้รู้ ถามอาจารย์ ถามคนที่เขามี ประสบการณ์(ขอความช่วยเหลือจากเขาเลย) ไม่ต้องกลัวว่าจะกลายเป็นคนโง่เพราะถ้าคุณไม่รู้ แล้วเอาไปทำ แบบผิดๆ ผลคือ …“เสียหายหนักกว่าเดิม หรือทำให้คุณเสียเวลา” 7. รู้ว่าเมื่อไหร่ควรเงียบ เมื่อไหร่ควรพูด เงียบ จังหวะไหนควรพูด เพราะถ้าคุณหลุดพูดอะไรไม่ดีออกไปส่งผลเสียทั้งภาพลักษณ์ ชื่อเสียง หน้าที่การงาน ระวังคลิปหลุดประจานไม่รู้ตัว แล้วคุณก็มานั่งเสียใจทีหลังว่าอยู่คนเดียวระวัง “ความคิด”อยู่หลายคนระวัง “คำพูด” ต้องเรียนรู้จังหวะไหนควรเงียบ จังหวะไหนควรพูด เพราะถ้าคุณหลุดพูดอะไรไม่ดีออกไป ส่งผลเสียทั้ง ภาพลักษณ์ ชื่อเสียงหน้าที่การงาน ระวังคลิปหลุดประจานไม่รู้ตัว แล้วคุณก็มานั่งเสียใจทีหลังว่า“ถ้าย้อนเวลา กลับไปได้จะไม่ทำเลย” การโต้ตอบที่ดีที่สุดคือ การเงียบ … 8. ฟัง ฟัง ฟัง - ฟังลูกค้าพูด …ค้นพบ ความต้องการของลูกค้า - ฟังเจ้านายพูด …ค้นพบ จุดประสงค์ของเจ้านาย - ฟังลูกน้องพูด …ค้นพบความในใจของลูกน้อง - ฟังคนขายพูด …ค้นพบความต้องการของตัวเอง - ฟังตัวเองพูด …ค้นพบความชัดเจนในสิ่งที่ทำ 9. ดูแลงานหรือธุรกิจคุณให้ดี 10. ปรมาจารย์-ความคิดของตัวคุณเอง ความคิดทำให้เราแตกต่างจากสัตว์ มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับศักยภาพที่พัฒนาได้ทักษะนี้คุณต้อง เรียนรู้การควบคุมความคิดของตัวคุณเอง …ก่อนที่มันจะควบคุมคุณ Generation คืออะไร Generation หรือที่เรียกสั้นๆว่า Gen คือ การแบ่งกลุ่มประชากรตามหลักประชากรศาสตร์ (Demography) โดยมีการแบ่ง Gen ตามช่วงปีเกิด โดยจะแบ่งเป็น 5 Gen คือ Gen B, Gen X, Gen Y, Gen Z และ Gen Alpha ซึ่งแต่ละรุ่นมีข้อดีและลักษณะพิเศษที่แตกต่างกัน ดังนี้ Gen B…


- 5 – Gen B คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2489-2507 (1946-1964) บรรดาคนพวกนี้เกิดมา ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง ที่เรียกคนพวกนี้ว่าเจนบีเพราะว่าในระหว่างสงครามบรรดาผู้ชายต้องถูก เกณฑ์ไปเป็นทหาร ครั้นสงครามสงบลงก็เลยกลับมาแต่งงานแล้วรีบมีลูกกันยกใหญ่แบบว่าอั้นไว้นาน คน ที่เป็น เจนบีนี้เยอะมาก พ่อแม่ของคนพวกนี้ประสบความลำบากยากแค้นมาตลอดชีวิตจากวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำครั้ง ใหญ่ทั่วโลกเมื่อ พ.ศ.2472 ที่ส่งผลให้เกิดสงครามโลกครั้งที่สองในที่สุด คน Gen B เติบโตขึ้นมาด้วยการรับรู้ความยากลำบากของพ่อแม่ จึงเป็นคนที่มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์ กติกา อดทนให้ความสำคัญกับผลงานแม้ว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าจะประสบความสำเร็จ อีกทั้งยังมีแนวคิดที่จะทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว มีความทุ่มเทกับการทำงานและองค์กรมาก ให้ความสำคัญของครอบครัวรองลงมาจากงาน ข้อดีGen B เป็นยุคสิ้นสุดสงคราม คนเจนนี้จะมีชีวิตเพื่อการทำงาน สุขุม รอบคอบ ประหยัดอดออม สู้งาน เคารพกฎเกณฑ์ อดทนสูง มีประสบการณ์สูง มีความสามารถทางด้านการเข้าสังคม จงรักภักดีต่อ นายจ้าง ให้ความสำคัญกับผลงาน ยินดีทำงานหนักเพื่อสร้างเนื้อสร้างตัว ไม่เปลี่ยนงานบ่อย เคร่งครัดในจารีต ประเพณี Gen X คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2508-2522 (1965-1979) คนกลุ่มนี้ก็คือลูกหลาน ของพวกเจนบีนั่นเองซึ่งช่วง พ.ศ.2508-2522 นี้เป็นช่วงของสันติภาพ ความมั่งคั่งขยายไปทั่วโลก และ แนวความคิดคุมกำเนิดพร้อมทั้งยาคุมกำเนิดเกิดมีขึ้นมากมาย จำนวนการเกิดของเด็กช่วงนี้จึงลดลงมาก บางที ก็เรียกพวกนี้ว่า Baby Bust Generation (Bust นี่ตรงกันข้ามกับบูม) บรรดาเด็กที่เกิดในช่วงนี้ เติบโตขึ้นมา ได้เห็นการดำเนินชีวิตของพ่อแม่ ซึ่งเด็กพวกนี้ไม่เห็นด้วย ทำให้คนที่เติบโตมาในช่วงนี้มีลักษณะพฤติกรรมชอบ อะไรง่ายๆ ไม่ต้องเป็นทางการ ให้ความสำคัญกับเรื่องความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว (Work-life Balance) ข้อดีGen X เป็นรุ่นที่มีความเข้มแข็งและปรับตัวได้ง่าย พวกเขามีความคิดเป็นระบบ และมีความ รับผิดชอบสูงในการทำงาน พวกเขามีประสบการณ์และความรู้ในองค์กรมากกว่ารุ่นอื่น จึงเหมาะที่จะเป็นผู้นำ และสามารถให้คำปรึกษาแก่รุ่นอื่นได้ Gen Y หรือ Millennials คือ กลุ่มคนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ.2523-2540 (1980-1997) เป็น กลุ่มคนที่โตมาพร้อมกับคอมพิวเตอร์-อินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีไอที พวกนี้เป็นลูกของพวกเจนเอ็กซ์ ที่ได้ชื่อ ว่าเจนวายก็เนื่องจากเห็นพ่อแม่กับ ปู่ ย่า ตา ยายทะเลาะเถียงกันในค่านิยมที่แตกต่างกันและเมื่อทะเลาะกัน มากเข้าเรื่องก็ มาลงที่เด็กที่ไม่รู้เรื่องอะไร


- 6 - วันที่ 6 มิถุนายน 2567 เวลา 09.00 – 12.00 น. 1.รศ.ดร.อัฉรา ชลายนนาวิน วิชาแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจการเมืองและนวัตกรรมสมัยใหม่ 1.1 นวัตกรรม คือ การสร้างสิ่งต่างๆด้วยวิธีการใหม่ๆ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงทางความคิด การผลิต กระบวนการ หรือองค์กรหรือการพัฒนาต่อยอดรวมทั้งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเพื่อสะท้อนหรือแก้ปัญหาทาง สังคม ซึ่งนวัตกรรมมักจะได้รับการยกย่อง ว่าเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจ 1.2 สาเหตุการเกิดนวัตกรรมสมัยใหม่ - นวัตกรรมเกิดจากปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้น ปัญหาทางด้านสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และการศึกษา ฯลฯ - สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ เช่น การประกอบกิจการในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 ทำให้บางกิจการ ไม่สามารถดำเนินการได้ จึงต้องมีการปรับตัว หรือการดัดแปลงไปใช้ประโยชน์ใน ด้านอื่นๆ - สถานการณ์ทางด้านการศึกษา เช่น รูปแบบการศึกษาในปัจจุบัน ถูกกำหนดให้มีกรอบและ หลักสูตรที่เป็นไปในรูปแบบเดียวกันส่งผลให้บางคนต้องเรียนในสิ่งที่ตนเองไม่ถนัดจึงเกิดนวัตกรรมทางด้าน การศึกษา ที่เรียกว่า pre – college school เพื่อให้คนได้ทดลองเรียนในวิชาชีพที่ตนเองสนใจ ว่ามีความ เหมาะสมกับตนเองหรือไม่ และเพื่อเป็นการค้นหาตนเอง นอกจากนี้ยังเป็นการวางแผนการเลือกศึกษาต่อใน อนาคต - สถานการณ์ทางการเมือง เช่น การกำหนดนโยบายของท้องถิ่นให้สอดคล้องกับกลุ่มคนที่ อาศัยอยู่ในพื้นที่เพื่อทำให้เกิดการพัฒนา 1.3 ประโยชน์ของนวัตกรรม - นวัตกรรมสร้างขึ้นเพื่อให้สังคมเกิดการพัฒนาแบบก้าวกระโดด - นวัตกรรมที่สร้างขึ้นจะต้องสามารถคงอยู่ในสังคมและได้รับการพัฒนาให้เข้ากับบริบททาง สังคม - สามารถตอบสนองความต้องการทางสังคม - ให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างนวัตกรรม 1.4 ข้อเสียของนวัตกรรม หลายคนสามารถเข้าถึงนวัตกรรมที่เกิดขึ้นได้แต่ยังคงมีกลุ่มคนบางกลุ่ม ที่เข้าไม่ถึงนวัตกรรม ที่สร้างขึ้นนั้นเนื่องจากปัจจัยหลายๆ อย่าง เช่น ปัญหาความยากจน ปัญหายาเสพติดการว่างงาน หรือคน เร่ร่อน ทั้งนี้ นวัตกรรมทางสังคม จะดีหรือไม่นั้นย่อมขึ้นอยู่กับบริบทของสังคมนั้นๆ ดังนั้น หากจะสร้างนวัตกรรมอะไรขึ้นมาเราจะต้องออกจากกรอบความคิด หรือ comfort zone และกล้าที่จะเผชิญความผิดพลาด และนำความผิดพลาดนั้นไปพัฒนาเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำอีก 2. รศ.ดร.ศุภสวัสดิ์...


- 7 - 2. รศ.ดร.ศุภสวัสดิ์ ชัชวาล เวลา 13.00 – 16.00 น. วิชายุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี 1.1 รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 หมวด 6 มาตรา 65 รัฐพึงจัดให้มียุทธศาสตร์ชาติ เป็นเป้าหมายการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน ตามหลักธรรมาภิบาล 1.2. พรบ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ.2560 2. องค์ประกอบ สาระสำคัญของยุทธศาสตร์ชาติ 2.1 วิสัยทัศน์ 2.2 เป้าหมายการพัฒนาประเทศ 2.3 ประเด็นยุทธศาสตร์ชาติ 2.4 การประเมินผลการพัฒนา 3. วิสัยทัศน์ประเทศไทย 2580 3.1 มั่นคง - ความมั่นคงทางอาหาร / ความมั่นคงทางพลังงาน 3.2 มั่งคั่ง – การขยายตัวของเศรษฐกิจ / ความเหลื่อมล้ำของสังคม 3.3 ยั่งยืน - การพัฒนาความเจริญด้านใดได้ และคุณภาพชีวิตของประชาชน ในวิสัยทัศน์ของประเทศไทย 2580 ก็ยังคงยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง 4. ยุทธศาสตร์ชาติด้านต่างๆได้แก่ 4.1 ยุทธศาสตร์ชาติด้านความมั่นคง 4.2 ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขัน 4.3 ยุทธศาสตร์ชาติด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ 4.4 ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม 4.5 ยุทธศาสตร์...


- 8 - 4.5 ยุทธศาสตร์ชาติด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 4.6 ยุทธศาสตร์ชาติด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารการจัดการภาครัฐ 5. ความเชื่อมโยงของแผนระดับชาติ ระดับที่ 1 ยุทธศาสตร์ชาติ ระดับที่ 2 แผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ แผนปฏิรูปประเทศ 12 ด้าน แผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ นโยบายและแผนระดับชาติว่าด้วยความมั่นคงแห่งชาติ ระดับที่ 3 แผนปฏิบัติการ แผนปฏิบัติราชการ (ราย 5 ปี และรายปี) แผนอื่นๆ 6. ข้อจำกัดของระบบและกระบวนการแผนต่างๆในประเทศไทย ความหลากหลายของแผนพัฒนาที่มีในประเทศไทยกลไกที่ทำหน้าที่ในการประสานและเชื่อมโยงแผน เหล่านั้น คือ กลไกใด ทั้งนี้ อาจต้องพิจารณาในระดับพื้นที่ด้วยกระบวนการในจัดทำแผน ที่มีลักษณะจาก “บนลงล่าง” มากกว่าจาก “ล่างขึ้นบน” ทำให้ความต้องการที่แท้จริงจากระดับพื้นที่ถูกละเลยไป การมีส่วนร่วมจากประชาชนและภาคส่วนอื่นๆที่มิใช่ภาครัฐ อาจมีอย่างจำกัด รัฐหรือราชการเป็นกลไกที่มี บทบาทนำในการจัดทำแผนในระดับพื้นที่ ระบบแผนและงบประมาณยังไม่สะท้อนหลักการบริหารเชิงพื้นที่ (Area-based Approach) 7. ผลลัพธ์ของการพัฒนาประเทศที่ผ่านมา ประเทศไทยยังคงติดกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลาง การพัฒนาที่ยังก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทั้ง ในทางเศรษฐกิจ และสังคม การกระจายความเจริญไปยังภูมิภาคต่างๆ ยังมีจำกัด เกิดเมือง “โตเดี่ยว” แบบกรุงเทพมหานคร การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ยังสามารถทำได้มากกว่านี้ความมั่นคงทางด้าน ทรัพยากรธรรมชาติยังมีจำกัด ฯลฯ วันที่ 7 มิถุนายน 2567 เวลา 13.00 – 16.00 น. 1. นางสาวเอื้อมพร นาวี วิชาการปฏิบัติราชการตามหลักการทรงงานในรัชกาลที่ 9 ความสำคัญของสถาบัน พระมหากษัตริย์ต่อการดำรงอยู่ของชาติไทยแนวคิดหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามหลักคิดในรัชกาลที่ 9 แนวคิดจิตอาสาเพื่อการพัฒนาตามหลักคิดในรัชกาลที่ 10 ข้าราชการที่ดี คือ ข้าราชการที่มุ่งมั่น ปฏิบัติงานในหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ด้วยหัวใจที่รักประชาชนเพื่อประชาชน โดยยึดมั่นพระบรมราโชวาท เป็นหลัก และแนวทางประพฤติปฏิบัติ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ สูงสุดแก่ประชาชน สังคมและประเทศชาติสืบไป ประวัติศาสตร์ยุครัตนโกสินทร์ กษัตริย์นักพัฒนา 1. การฟื้นฟูและบูรณะบ้านเมือง ( รัชกาลที่ 1-2-3 ) 2. การเปิดความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ( รัชกาลที่ 3-4-5 ) 3. การรักษาเอกราชให้พ้นภัยจักรวรรดินิยม ( รัชกาลที่ 4-5-6 ) 4. การเข้าสู่ประชาคมโลกบนความเสมอภาค ( รัชกาลที่ 6 ) 5. การเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศ ( รัชกาลที่ 7) 6. การกู้ชาติในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ( รัชกาลที่ 8 ) 7. การพัฒนาเศรษฐกิจภายใต้ทุนนิยมโลกาภิวัตน์ ( รัชกาลที่ 9-10 ) พระราชกรณียกิจ...


- 9 - พระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ ๙ หลักการทรงงาน 1. ซื่อสัตย์ สุจริต จริงใจต่อกัน 2. อ่อนน้อม ถ่อมตน 3. ความเพียร 4. รู้รัก สามัคคี 5. ทำเรื่อย ๆ ทำแบบสังฆทาน 6. มีความสุขในการทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น 7. ศึกษาข้อมูลอย่างเป็นระบบ ทำงานอย่างผู้รู้จริง 8. ระเบิดจากข้างใน 9. ทำตามลำดับขั้น 10. ภูมิสังคม 11. องค์รวม 12. ประหยัด เรียบง่าย ได้ประโยชน์สูงสุด 13. ขาดทุนคือกำไร 14. ปลูกป่าในใจคน 15. ใช้ธรรมชาติช่วยธรรมชาติ 16. อธรรมปราบอธรรม 17. ประโยชน์ส่วนรวม 18. การพึ่งตนเอง 19. เศรษฐกิจพอเพียง 20. เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา 21. แก้ปัญหา...


- 10 - 21. แก้ปัญหาที่จุดเล็ก คิด Macro เริ่ม Micro 22. ไม่ติดตำรา ทำให้ง่าย 23. การมีส่วนร่วม 24. พออยู่พอกิน 25. บริการรวมที่จุดเดียว 26. ร่าเริง รื่นเริง คึกคัก ครึกครื้น กระฉับกระเฉง มีพลังเป็นปัจจัยของการทำงานที่มีประสิทธิภาพ 27. ชัยชนะของการพัฒนา ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง(Philosophy of Sufficiency Economy) เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับ ครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไป ในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจเพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียงหมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจาเป็นที่จะต้องมีระบบ ภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆอันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินงานทุกขั้นตอน และขณะเดียวกันจะต้องเสริมพื้นฐานจิตใจของ คนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสานึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย มีสติปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางทั้งด้านวัตถุสังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี ระบบภูมิคุ้มกันด้านวัฒนธรรม ภูมิคุ้มกันเข้มแข็ง - มั่นคงในวัฒนธรรมไทยและเชิดชูวัฒนธรรมท้องถิ่น - เข้าใจและเป็นมิตรต่อวัฒนธรรมต่างถิ่น ต่างชาติ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง - เหยียดหยาม มุ่งร้าย ต่อต่างวัฒนธรรม - ย่อหย่อน ไม่ใส่ใจ รู้สึกเป็นปมด้อย ในวัฒนธรรมไทย วัฒนธรรม ท้องถิ่น จิตอาสา - จิตแห่งการให้ความดีงามแก่เพื่อนมนุษย์โดยเต็มใจสมัครใจ - เสียสละเวลา แรงกาย แรงสติปัญญา เพื่อสาธารณประโยชน์ - ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน และมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น - จิตที่พร้อมช่วยเหลือความทุกข์ยากที่เกิดขึ้นกับผู้คน - จิตที่มีความสุขเมื่อได้ทาความดี - จิตที่เปี่ยมด้วย “บุญ” คือความสงบเยือก และลดอัตตาในตนเอง จิตอาสา...


- 11 - จิตอาสา “เราทำความดี เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์” หมายถึง ประชาชนทุกหมู่เหล่าทั้งในและต่างประเทศที่สมัครใจช่วยเหลือผู้อื่นยอมเสียสละ เวลา แรงกาย แรงใจ และสติปัญญาใน การทางานที่เป็นสาธารณประโยชน์ โดยไม่หวังผลตอบแทนใด ๆ จิตอาสาตามพระราโชบาย แบ่งเป็น ๓ ประเภท ดังนี้ 1. จิตอาสาพัฒนา - เพื่อพัฒนาท้องถิ่นของแต่ละชุมชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น - กิจกรรมบาเพ็ญสาธารณประโยชน์ การอนุรักษ์ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม - การอานวยความสะดวกความปลอดภัยในการดารงชีวิตประจาวัน - การประกอบอาชีพ - การสาธารณสุข 1.1 จิตอาสาพัฒนา แบ่งตามภารกิจ 8 กลุ่มงาน ดังนี้ ๑. จิตอาสาพัฒนาชุมชนเข้มแข็ง ประชามีสุข ๒. จิตอาสางานประดิษฐ์และเผยแพร่งานศิลปาชีพ ๓. จิตอาสาฝ่ายกิจกรรมการแสดงและนิทรรศการ 4. จิตอาสาฝ่ายแพทย์และสาธารณสุข 5. จิตอาสาฝ่ายทะเบียนและข้อมูล 6. จิตอาสาฝ่ายส่งกาลังบารุงและสนับสนุน 7. จิตอาสาฝ่ายประชาสัมพันธ์ 8. จิตอาสาฝ่ายรักษาความปลอดภัยและจราจร 1.2 จิตอาสาภัยพิบัติ คือ จิตอาสาพระราชทาน ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อเฝ้าตรวจ เตือน และเตรียมการรองรับภัยพิบัติ ทั้งที่เกิด จากธรรมชาติ และเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่โดยรวม และการเข้าช่วยเหลือ บรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากภัยพิบัติ ดังกล่าว เช่น อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย เป็นต้น 1.3 จิตอาสาเฉพาะกิจ มีวัตถุประสงค์ให้ปฏิบัติในงานพระราชพิธีหรือการรับเสด็จ ในโอกาสต่างๆ เป็นการใช้กาลังพลจิต อาสาร่วมปฏิบัติ กับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือหรืออานวยความสะดวก แก่ประชาชนที่มา ร่วมงานรวมทั้งการเตรียมการ การเตรียมสถานที่และการฟื้นฟูสถานที่ภายหลัง การปฏิบัติในพระราชพิธีและ การเสด็จฯ นั้นๆ ให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย 2. นางสาวาสนา เก้านพรัตน์ผู้อำนวยการมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก เวลา 13.00 – 16.00 น. วิชา การพัฒนาระบบการคุ้มครองเด็กในชุมชน สาระสำคัญอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก เป็นผลงานของคณะทางาน ในคณะกรรมาธิการ ด้านสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งเริ่มต้นร่างในปีเด็กสากล 2522 เสร็จสิ้น และสมัชชาสหประชาชาติได้รับรองอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2532 และมีผล...


- 12 - และมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 กันยายน 2533 ซึ่งเป็นวาระครบรอบ 10 ปีของปีเด็กสากลและครบรอบ 30 ปี ของปฏิญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก2502 ประเทศไทยได้ลงนามในภาคยานุวัติสารเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็กเมื่อ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2535 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 26 เมษายน2535 เจตนารมณ์ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก คำนึงถึงว่า เด็กโดยเหตุที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ จึงต้องการการพิทักษ์และการดูแลเป็นพิเศษ รวมถึงต้องการการคุ้มครอง ทางกฎหมายที่เหมาะสมทั้งก่อนและหลังการเกิด หลักการคุ้มครองเด็กตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก - ในอารัมภบท ยอมรับว่า เพื่อให้เด็กพัฒนาบุคลิกภาพได้อย่างกลมกลืนและเต็มที่ เด็กควรจะ เติบโตในสิ่งแวดล้อมของครอบครัว ในบรรยากาศแห่งความผาสุก ความรักและความเข้าใจ - บิดามารดา ผู้ปกครองเป็นผู้รับผิดชอบเบื้องต้นในการอุปการะเลี้ยงดูและพัฒนาเด็ก โดยมี รัฐให้การสนับสนุนช่วยเหลือ - รัฐภาคีจะรับผิดชอบคุ้มครองให้เด็กปลอดพ้นจากการกระทารุนแรงหรือการกระทาอันมิ ชอบทั้งปวง ไม่ว่าจะเจตนาหรือละเลย เจตนารมณ์ของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก - ยอมรับว่า เพื่อให้เด็กพัฒนาบุคลิกภาพได้อย่าง กลมกลืนและเต็มที่ เด็กควรจะเติบโตใน สิ่งแวดล้อมของครอบครัว ในบรรยากาศแห่งความผาสุก ความรักและความเข้าใจ - เชื่อว่าครอบครัวในฐานะเป็นกลุ่มพื้นฐานของสังคมและเป็นสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ สา หรับการเจริญเติบโตและความอยู่ดีกินดีของสมาชิกทุกคนโดยเฉพาะเด็ก เนื้อหาของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก - หลักทั่วไปและการปฏิบัติต่อเด็ก - สิทธิพลเมืองของเด็ก - สิทธิของเด็กด้อยโอกาส - สิทธิเหนือร่างกายชีวิตและเสรีภาพ - สิทธิของเด็กที่มีความขัดแย้งต่อกฎหมาย - สิทธิที่จะได้รับการพัฒนาด้านต่าง ๆ สรุปภาพรวมสาระสำคัญอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก 4 ด้าน 1. สิทธิที่จะอยู่รอด (Survival Rights) สิทธิที่จะอยู่รอดครอบคลุมสิทธิในการมีชีวิตรอดและสิทธิที่จะได้รับการดูแลทางสุขภาพและ การเลี้ยงดูอย่างดีที่สุดที่จะหาได้ครอบคลุมด้านต่าง ๆ - ได้รับโภชนาการที่ดี - ได้รับความรัก/ความเอาใจใส่จากครอบครัวและสังคม - บริการด้านสุขภาพ - ให้การศึกษาและทักษะชีวิตที่ถูกต้อง - ให้ที่อยู่อาศัยและการเลี้ยงดู -สังคมต้อง...


- 13 - - สังคมต้องรับรองการมีชีวิตรอดและ/หรือส่งเสริมชีวิต 2. สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครอง(Protection Rights) สิทธิที่จะได้รับการคุ้มครอง ครอบคลุมสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครองจากการถูกแสวงหา ผลประโยชน์การเลือกปฏิบัติ ถูกกลั่นแกล้ง รังแก ทอดทิ้ง ถูกเอาเปรียบทางเศรษฐกิจหรือทางเพศและจาก ผลร้ายของสงครามซึ่งครอบคลุมด้านต่อไปนี้ คือ - ชื่อ / สัญชาติ - การไม่แบ่งแยก การไม่เลือกปฏิบัติ - การคุ้มครองเด็กที่ไม่มีครอบครัว - เด็กพิการ เด็กชนพื้นเมือง แรงงานเด็ก การเอารัดเอาเปรียบทางเพศ - การขาย / การลักพาตัว การกลับคืนสู่ครอบครัว - การใช้ยาเสพติด - การคุ้มครองจากภาวะสงคราม 3. สิทธิจะได้รับการพัฒนา(Development Rights) สิทธิจะได้รับการพัฒนาหมายรวมถึงสิทธิที่จะได้รับการศึกษาทุกประเภท (ในระบบและนอก ระบบ) และสิทธิในมาตรฐานการดารงชีวิตที่เพียงพอสาหรับการพัฒนาด้านร่างกาย สมอง จิตใจ ศีลธรรม และ สังคมของเด็กซึ่งครอบคลุมเรื่องต่อไปนี้ - ได้รับการศึกษา - การเล่น การนันทนาการ - เสรีภาพทางความคิด มโนธรรม ศาสนา - การพัฒนาบุคลิกภาพทั้งด้านร่างกายและจิตใจ - สิทธิที่จะมีผู้รับฟัง - มีเอกลักษณ์ทั้งในด้านสัญชาติและชื่อ - ครอบครัว 4. สิทธิในการมีส่วนร่วม (Participation Rights) สิทธิในการมีส่วนร่วมหมายถึงสิทธิที่เด็กจะแสดงความคิดเห็นในทุกเรื่อง ที่มีผลต่อตัวเด็กเอง ความคิดและการแสดงออกของเด็กจะต้องได้รับการเอาใจใส่และให้ความสำคัญอย่างเหมาะสม (ขึ้นอยู่กับอายุ และความเป็นผู้ใหญ่) มีโอกาสให้เด็กได้มีบทบาทในชุมชนและในประเทศต่าง ๆ ซึ่งครอบคลุมเรื่องต่อไปนี้ - ทัศนะของเด็ก - เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น - เสรีภาพในการติดต่อเกี่ยวข้อง - การได้รับข่าวสารที่เหมาะสม - การได้รับข่าวสารเกี่ยวกับอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก แผนปฏิบัติการด้านการคุ้มครองเด็กแห่งชาติ วิสัยทัศน์“มุ่งสนับสนุนให้ครอบครัวและชุมชนสามารถรถส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนมีความเป็นอยู่ที่ดี ผ่านงานเชิงป้องกันทางเศรษฐกิจ สังคม และสุขอนำมัย โดยทำงานร่วมกับชุมชนและครอบครัวในการ สนับสนุนเด็ก และครอบครัวที่ต้องกำรความช่วยเหลือ” วัตถุประสงค์...


- 14 - วัตถุประสงค์ 1. ครอบครัวมีความเข้มแข็งและความสามารถในการส่งเสริมและคุ้มครองสวัสดิภาพ ของเด็ก รวมไป ถึงการจัดการข้อท้าทายที่ส่งผลต่อการเลี้ยงดูบุตรได้ 2. เด็ก ครอบครัว และชุมชนมีส่วนร่วมในระบบคุ้มครองเด็กและมีบทบาทเป็นผู้นำในการ จัดกิจกรรม เชิงป้องกันโดยได้รับการสนับสนุนจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 3.ระบบคุ้มครองเด็กมีความพร้อมในกำรทำงำนเชิงรุกและเชิงป้องกัน และมีกลไกตอบสนองต่อ สถานการณ์และภัยคุกคาม พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ. 2546 “เด็ก”หมายความว่า บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ แต่ไม่รวมถึงผู้ที่บรรลุนิติภาวะ ด้วยการสมรส “บิดามารดา”หมายความว่า บิดามารดาของเด็กไม่ว่าจะสมรสกันหรือไม่ “ผู้ปกครอง”หมายความว่า บิดา มารดา ผู้อนุบาล ผู้รับบุตรบุญธรรม และผู้ปกครองตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้หมายความรวมถึงพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยง ผู้ปกครองสวัสดิภาพ นายจ้าง ตลอดจนบุคคลอื่นซึ่งรับเด็กไว้ในความอุปการะเลี้ยงดูหรือซึ่งเด็กอาศัยอยู่ด้วย คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดและไม่ เลือกปฏิบัติ มาตรา 22 การปฏิบัติต่อเด็กไม่ว่ากรณีใด ให้คำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นสำคัญและ ไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมการกระทำใดเป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของเด็ก หรือเป็นการเลือก ปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อเด็กหรือไม่ ให้พิจารณาตามแนวทำที่กำหนดในกฎกระทรวง พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 มาตรา 23 ผู้ปกครองต้องให้การอุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอนและพัฒนาเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแล ของตน ตามสมควรแก่ขนบธรรมเนียมประเพณี และ วัฒนธรรมแห่งท้องถิ่น แต่ทั้งนี้ต้องไม่ต่ำกว่ามาตรฐานขั้น ต่ำตามที่กาหนดในกฎกระทรวง และต้องคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแลของตนมิให้ตกอยู่ใน ภาวะอันน่าจะเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 คุ้มครองเด็กกลุ่ม ผู้ปกครองต้องไม่กระทำการ ดังต่อไปนี้ (มาตรา 25) (1 ) ทอดทิ้งเด็กไว้ในสถานรับเลี้ยงเด็กหรือสถานพยาบาลหรือไว้กับบุคคลที่รับจ้างเลี้ยงเด็กหรือที่ สาธารณะหรือสถานที่ใด โดยเจตนาที่จะไม่รับเด็กกลับคืน (2) ละทิ้งเด็กไว้ในสถานที่ใด ๆ โดยไม่จัดให้มีการป้องกันดูแลสวัสดิภาพหรือให้การเลี้ยงดูที่เหมาะสม (3) จงใจหรือละเลยไม่ให้สิ่งที่จำเป็นแก่การดำรงชีวิตหรือสุขภาพอนามัยจนน่าจะ เกิดอันตรายแก่ ร่างกายหรือจิตใจของเด็ก (4) ปฏิบัติต่อเด็กในลักษณะที่เป็นการขัดขวางการเจริญเติบโตหรือพัฒนาการของเด็ก (5) ปฏิบัติต่อเด็กในลักษณะที่เป็นการเลี้ยงดูโดยมิชอบ ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการดังต่อไปนี้ มาตรา 26 ภายใต้บังคับบทบัญญัติแห่งกฎหมายอื่น ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ ห้ามมิให้ผู้ใดกระทา การ ดังต่อไปนี้ (1) กระทำ...


- 15 - (1) กระทำหรือละเว้นการกระทำอันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก (2) จงใจหรือละเลยไม่ให้สิ่งจำเป็นแก่การดำรงชีวิตหรือการรักษาพยาบาลแก่เด็กที่อยู่ในความดูแล ของตนจนน่าจะเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจของเด็ก (3) บังคับ ขู่เข็ญ ชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควรหรือน่าจะทาให้เด็กมีความ ประพฤติเสี่ยงต่อการกระทำผิด (4) โฆษณาทางสื่อมวลชนหรือเผยแพร่ด้วยประการใด เพื่อรับเด็กหรือยกเด็กให้แก่บุคคลอื่นที่มิใช่ ญาติของเด็ก เว้นแต่เป็นการกระทาของทางราชการหรือได้รับอนุญาตจากทางราชการแล้ว (5) บังคับ ขู่เข็ญ ชักจูง ส่งเสริม ยินยอม หรือกระทำด้วยประการใดให้เด็กไปขอทาน เด็กเร่ร่อน หรือ ใช้เด็กเป็นเครื่องมือในการขอทานหรือการกระทาผิดหรือกระทำด้วยประการใดอันเป็นการแสวงหาประโยชน์ โดยมิชอบจากเด็ก (6) ใช้จ้างหรือวานเด็กให้ทำงานหรือกระทำการอันอาจเป็นอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจมีผลกระทบ ต่อการเจริญเติบโต หรือขัดขวางต่อพัฒนาการของเด็ก (7) บังคับ ขู่เข็ญ ใช้ ชักจูง ยุยง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กเล่นกีฬาหรือให้กระทำการใด เพื่อแสวงหา ประโยชน์ทางการค้าอันมีลักษณะเป็นการขัดขวางต่อการเจริญเติบโตหรือพัฒนาการของเด็กหรือมีลักษณะเป็น การทารุณกรรมเด็ก (8) ใช้หรือยินยอมให้เด็กเล่นการพนันไม่ว่าชนิดใดหรือเข้าไปในสถานที่เล่นการพนัน สถานค้าประเวณี หรือสถานที่ที่ห้ามมิให้เด็กเข้า (9) บังคับ ขู่เข็ญ ใช้ ชักจูง ยุยง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กแสดงหรือกระทาการอันมีลักษณะลามก อนาจาร ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าตอบแทนหรือเพื่อการใด (10) จำหน่าย แลกเปลี่ยน หรือให้สุราหรือบุหรี่แก่เด็ก เว้นแต่การปฏิบัติทางการแพทย์เด็กที่พึงได้รับ การสงเคราะห์ (มาตรา 32) 1. เด็กเร่ร่อน หรือเด็กกำพร้า 2. เด็กที่ถูกทอดทิ้งหรือพลัดหลง ณ ที่ใดที่หนึ่ง 3. เด็กที่ผู้ปกครองไม่สามารถอุปการะเลี้ยงดูได้ด้วยเหตุใด ๆ เช่น ถูกจำคุก กักขัง พิการ ทุพพลภาพ เจ็บป่วยเรื้อรัง ยากจน เป็นผู้เยาว์ หย่า ถูกทิ้งร้าง เป็นโรคจิต หรือโรคประสาท 4. เด็กที่ผู้ปกครองมีพฤติกรรมหรือประกอบอาชีพไม่เหมาะสมอันอาจส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทาง ร่างกายหรือจิตใจของเด็กที่อยู่ในความปกครองดูแล 5. เด็กที่ได้รับการเลี้ยงดูโดยมิชอบ ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการกระทำหรือแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ถูกทารุณกรรม หรือตกอยู่ในภาวะอื่นใดอันอาจเป็นเหตุให้เด็กมีความประพฤติเสื่อมเสียในทางศีลธรรมอันดี หรือเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ 6. เด็กพิการ 7. เด็กที่อยู่ในสภาพยากลำบาก 8. เด็กที่อยู่ในสภาพที่จะต้องได้รับการสงเคราะห์ตามที่กาหนดในกฎกระทรวง “การเลี้ยงดู...


- 16 - “การเลี้ยงดูโดยมิชอบ” “การเลี้ยงดูโดยมิชอบ” หมายความว่า การไม่ให้การอุปการะเลี้ยงดู อบรมสั่งสอน หรือพัฒนาเด็กตาม มาตรฐานขั้นต่ำที่กำหนดในกฎกระทรวง จนน่าจะเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจของเด็ก “เด็กที่อยู่ในสภาพยากลำบาก” “เด็กที่อยู่ในสภาพยากลำบาก”หมายความว่า เด็ก ที่อยู่ในครอบครัวยากจนหรือบิดามารดาหย่าร้าง ทิ้งร้าง ถูกคุมขัง หรือแยกกันอยู่และได้รับความำาบากหรือ เด็กที่ต้องรับภาระหน้าที่ในครอบครัวเกินวัยหรือ กำลังความสามารถและสติปัญญา หรือเด็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ กฎกระทรวงกำหนดเด็กที่อยู่ในสภาพที่จะต้องได้รับการสงเคราะห์ พ.ศ. 2549 เด็กที่อยู่ในสภาพที่จะต้องได้รับการสงเคราะห์ตามมาตรา 32 (8) เด็กซึ่งกระทำผิดหรือต้องหาว่า กระทำผิด หรือเด็กซึ่งได้รับความเสียหายจากการกระทำความผิดทางอาญา ที่ศาลพนักงานอัยการ หรือ พนักงานสอบสวนเห็นว่าตามพฤติการณ์หรือสภาพแวดล้อมจะต้องได้รับการสงเคราะห์ เด็กที่พึงได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพ (มาตรา 40) 1. เด็กที่ถูกทารุณกรรม 2. เด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด 3. เด็กที่อยู่ในสภาพที่จะต้องได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพตามที่กำหนดในกฎกระทรวง กฎกระทรวงกำหนดเด็กที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด พ.ศ. 2549 ข้อ 1 เด็กที่ประพฤติตนไม่สมควร ได้แก่เด็กที่มีพฤติกรรมอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้ (1) ประพฤติตนเกเรหรือข่มเหงรังแกผู้อื่น (2) มั่วสุมในลักษณะที่ก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น (3) เล่นการพนันหรือมั่วสุมในวงการพนัน (4) เสพสุรา สูบบุหรี่ เสพยาเสพติดให้โทษหรือของมึนเมาอย่างอื่น เข้าไปในสถานที่ เฉพาะเพื่อการจาหน่ายหรือดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ (5) เข้าไปในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ (6) ซื้อหรือขายบริการทางเพศ เข้าไปในสถานการค้าประเวณีหรือเกี่ยวข้องกับการ ค้าประเวณีตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี (7) ประพฤติตนไปในทางชู้สาว หรือส่อไปในทางลามกอนาจารในที่สาธารณะ (8) ต่อต้านหรือท้าทายคำสั่งสอนของผู้ปกครองจนผู้ปกครองไม่อาจอบรมสั่งสอนได้ (9) ไม่เข้าเรียนในโรงเรียนหรือสถานศึกษาตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ กฎกระทรวงกาหนดเด็กที่เสี่ยงต่อการกระทาผิด พ.ศ. 2549 ข้อ 2 เด็กที่ประกอบอาชีพที่น่าจะชักนำไปในทางกระทำผิดกฎหมายหรือขัดต่อศีลธรรมอันดี ได้แก่ เด็กที่ประกอบอาชีพ ดังต่อไปนี้ (1) ขอทานหรือกระทำการส่อไปในทางขอทาน โดยลาพังหรือโดยมี ผู้บังคับ ชักนายุยง หรือส่งเสริม หรือ (2) ประกอบอาชีพหรือกระทำการใดอันเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยกฎหมาย หรือขัดต่อศีลธรรมอันดี ข้อ 3 เด็ก...


- 17 - ข้อ 3 เด็กที่คบหาสมาคมกับบุคคลที่น่าจะชักนำไปในทางกระทำผิดกฎหมาย หรือขัดต่อศีลธรรมอันดี ได้แก่ เด็กที่คบหาสมาคมกับบุคคล ดังต่อไปนี้ (1) บุคคลหรือกลุ่มคนที่รวมตัวกันมั่วสุม เพื่อก่อความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่น หรือกระทำการอันขัด ต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี หรือ (2 ) บุคคลที่ประกอบอาชีพที่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี ข้อ 4 เด็กที่อยู่ในสภาพแวดล้อมหรือสถานที่อันอาจชักนำไปในทางเสียหาย ได้แก่ เด็กที่อยู่ใน สภาพแวดล้อมหรือสถานที่ ดังต่อไปนี้ (1) อาศัยอยู่กับบุคคลที่มีพฤติกรรมเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษหรือให้บริการทางเพศ (2) เร่ร่อนไปตามสถานที่ต่าง ๆ โดยไม่มีที่พักอาศัยเป็นหลักแหล่งที่แน่นอน หรือ (3) ถูกทอดทิ้งหรือถูกปล่อยปละละเลยให้อยู่ในสภาพแวดล้อมอันอาจชักนาไปในทางเสียหาย กฎกระทรวงกาหนดเด็กที่อยู่ในสภาพที่จาต้องได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพเด็ก พ.ศ.2549 เด็กที่อยู่ในสภาพที่จำต้องได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพตามมาตรา 40(3) (1) เด็กที่ต้องหาว่ากระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด แต่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์ต้องรับโทษทาง อาญา (2) เด็กที่ศาลหรือผู้อำนวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนส่งมารับการคุ้มครองสวัสดิภาพ และไม่มีผู้ปกครองหรือผู้ให้การอุปการะเลี้ยงดูหรือมีแต่ไม่อยู่ในสภาพที่จะให้การดูแลเอาใจใส่ต่อเด็กได้ (3) เด็กที่ประกอบอาชีพที่น่าจะเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจหรือประกอบอาชีพในบริเวณที่เสี่ยง อันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ (4) เด็กที่อาศัยอยู่กับบุคคลที่มีพฤติกรรมที่น่าสงสัยว่าประกอบอาชีพไม่สุจริตหรือหลอกลวงประชาชน พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ ๒๙)พ.ศ. ๒๕๖๕ พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๕ อายุเด็กที่ไม่ต้องรับโทษทางอาญาแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ ๒๙ ประกาศในราช กิจจานุเบกษาวันที่ ๗พฤษภาคม ๒๕๖๕มีผลบังคับใช้ วันที่ ๘พฤษภาคม ๒๕๖๕ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๓ “เด็กอายุยังไม่เกินสิบสองปี กระทำการอันกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด เด็กนั้นไม่ต้องรับโทษ” การแจ้งเหตุ มาตรา 29 ผู้ใดพบเห็นเด็กตกอยู่ในสภาพจะต้องได้รับการสงเคราะห์หรือคุ้มครองสวัสดิภาพตาม หมวด 3 หมวด 4 จะต้องแจ้งให้การช่วยเหลือเบื้องต้นและแจ้งต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจ หรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามมาตรา 24โดยมิชักช้า แพทย์ พยาบาล นักจิตวิทยา นัก สังคมสงเคราะห์ หรือเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ที่รับตัวเด็กไว้รักษาพยาบาล ครู อาจารย์ หรือนายจ้าง ซึ่งมีหน้าที่ ดูแลเด็กที่เป็นศิษย์หรือลูกจ้าง จะต้องรายงานให้พนักงานเจ้าหน้าที่หรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตาม มาตรา 24 โดยมิชักช้า หากเป็นที่ปรากฎชัด หรือ น่าสงสัยว่าเด็กถูกทารุณกรรม หรือเจ็บป่วยเนื่องจากการ เลี้ยงดูโดยมิชอบ การแจ้งหรือการายงานตามมาตรานี้ เมื่อได้กระทำโดยสุจริตย่อมได้รับการคุ้มครองและไม่ต้องรับผิด ทั้งทางแพ่ง ทางอาญาหรือทางปกครอง ผู้มีหน้าที่...


- 18 - ผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กตามมาตรา 24 มาตรา 24 ปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการจังหวัด ผู้อานวยการเขต นายอำเภอ ปลัดอำเภอผู้เป็นหัวหน้า ประจากิ่งอำเภอ หรือผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กที่อยู่ในเขตพื้นที่ที่ รับผิดชอบ ไม่ว่าเด็กจะมีผู้ปกครองหรือไม่ก็ตาม รวมทั้งมีอำนาจและหน้าที่ดูแลและตรวจสอบสถานรับเลี้ยง เด็ก สถานแรกรับ สถานสงเคราะห์ สถานคุ้มครองสวัสดิภาพ สถานพัฒนาและฟื้นฟู และสถานพินิจที่ตั้งอยู่ใน เขตอำนาจ แล้วรายงานผลการตรวจสอบต่อคณะกรรมการ คณะกรรมการคุ้มครองเด็กกรุงเทพมหานคร หรือ คณะกรรมการคุ้มครองเด็กจังหวัด แล้วแต่กรณี เพื่อทราบ และให้มีอานาจและหน้าที่เช่นเดียวกับพนักงาน เจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ การแจ้งเหตุตามมาตรา 41 มาตรา 41 ผู้ใดพบเห็นหรือประสบพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่ามีการกระทำทารุณกรรมต่อเด็กให้ รีบแจ้งหรือรายงานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ หรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพ เด็กตามมาตรา 24 เมื่อพนักงานเจ้าหน้าที่ พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ หรือผู้มีหน้าที่คุ้มครองสวัสดิภาพ เด็กตามมาตรา 24 ได้รับแจ้งเหตุตามวรรคหนึ่ง หรือเป็นผู้พบเห็นหรือประสบพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่ามีการ กระทำทารุณกรรมต่อเด็กในสถานที่ใด ให้มีอำนาจเข้าตรวจค้น และมีอำนาจแยกตัวเด็กจากครอบครัวของเด็ก เพื่อคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กโดยเร็วที่สุด การแจ้งหรือการรายงานตามมาตรานี้ เมื่อได้กระทำโดยสุจริตย่อมได้รับความคุ้มครองและ ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่ง ทางอาญาหรือทางปกครอง คุ้มครองสวัสดิภาพเด็กระหว่างการสืบเสาะพินิจตามมาตรา 42 - จัดให้เด็กรับการตรวจรักษาทางร่างกายและจิตใจทันที - อาจส่งตัวเด็กไปสถานแรกรับ หรือไปรับการสงเคราะห์มาตรา 33 - อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ กรณีนี้มีเงื่อนเวลาจำกัดไม่เกิน 7 วัน หรือร้องขอศาล เพื่อขยายได้ รวมไม่เกิน 30วัน - พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องสืบค้น/รวบรวมข้อเท็จจริง ที่เป็นประเด็นแห่งคดีคุ้มครองเด็ก จนสามารถ กำหนดวิธีการคุ้มครองสวัสดิภาพที่เหมาะสมทันเงื่อนเวลา หากไม่ทันเวลา หมดอำนาจคุ้มครองเด็ก ต้องคืน เด็กให้ผู้ปกครอง การคุ้มครองสวัสดิภาพ 41 และ 42 เพื่อไม่ให้เด็กตกอยู่ในอันตราย พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจนำตัวเด็กมาไว้ในอารักขาได้ทันที เพียงแต่ เกิดหรือมีพฤติการณ์ที่น่าเชื่อว่ามีการกระทำทารุณกรรมต่อเด็ก ไม่จำเป็นจะต้องมีพยานหลักฐานชัดเจนยืนยัน ว่า เด็กถูกกระทำทารุณกรรมหรือใครเป็นผู้ลงมือกระทำก็ได้ พนักงานเจ้าหน้าที่มีอำนาจตรวจค้นตามมาตรา 30 และมีอำนาจแยกตัวเด็กจากครอบครัวของเด็กเพื่อไว้ในอารักขาโดยเร็วที่สุดจัดให้เด็กรับการตรวจรักษา ทางร่างกายและจิตใจทันที อาจส่งตัวเด็กไปสถานแรกรับหรือไปรับการสงเคราะห์ตาม ม.33 อำนาจของ...


- 19 - อำนาจของพนักงานเจ้าหน้าที่ กรณีนี้มีเงื่อนเวลาจำกัดไม่เกิน 7 วัน หรือร้องขอศาลเพื่อขยายได้ รวมไม่เกิน 30 วันเท่านั้น พนักงานเจ้าหน้าที่ต้องสืบค้น/รวบรวมข้อเท็จจริงที่เป็นประเด็นแห่งคดีคุ้มครองเด็ก จนสามารถกำหนดวิธีการคุ้มครองสวัสดิภาพที่เหมาะสมทันเงื่อนเวลา หากไม่ทันเวลาหมดอำนาจคุ้มครองเด็ก วันที่ 8 มิถุนายน 2567 1. นางสาวสิริรัตน์ แตงรอด วิชา การบริหารงานบุคคล และการดำเนินการทางวินัย เวลา 09.00 – 12.00 น. 1. ระบบคุณธรรมการบริหารงานบุคคลประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบ 1.1 หลักความรู้ความสามารถของบุคคล เช่น การบรรจุแต่งตั้งการเลื่อนระดับเลื่อน เงินเดือนต้องเป็นไปตามหลักความรู้ความสามารถซึ่งประกอบไปด้วยหลักการทางาน 70% และพฤติกรรม 30% 1.2 หลักความมั่นคงในอาชีพราชการ เช่น กรณีของท้องถิ่นเส้นทางของการโต้แย้ง หากได้รับความไม่เป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชา ต้องให้นายกฯเป็นคนพิจารณาและวินิจฉัยภายใน 15 วันหาก นายกไม่วินิจฉัยและวินิจฉัยไม่เป็นธรรมหรือได้รับความไม่เป็นธรรมจากตัวนายกเอง ให้เสนอต่อ ก. จังหวัดจะ รับพิจารณาต่อ 1.3 หลักความเป็นกลางทางการเมือง เช่น ต้องยึดที่หลักการมากกว่ายึดที่ตัวบุคคล ยกตัวอย่างเช่น การทางาน ตามระเบียบโดยที่ไม่ทาตามนโยบายของผู้ที่มีอานาจ เพียงอย่างเดียว 1.4 หลักความเสมอภาคในโอกาส เช่น ทุกคนต้องได้รับ ความเท่าเทียมเว้นแต่กรณี การประเมิน หากมีคนที่ทางานมากกว่าแล้วได้คะแนนมากกว่าต้องเป็นสิ่งที่ยอมรับร่วมกัน 2. ความสำคัญของวินัยกับกระบวนการบริหารงานบุคคล การคัดคนต้องรู้จักคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม อาทิบุคคลล้มละลาย คนที่มีคดียักยอกเงิน การเป็น โรคอันตราย หรือกรณีเป็นโรคทางจิตเช่น Bipolar เคยมีกรณีการให้ออกเพราะหย่อนความสามารถ และ การกระทาการทุจริตด้วยเจตนาบุคคลเหล่านี้จะไม่ได้เข้าสู่ระบบราชการ 3. มาตรการทางบริหารระหว่างการดาเนินการทางวินัย ได้แก่สั่งพักราชการ/สั่งให้ออกจาก ราชการ/สั่งประจาอปท.การสั่งพรรคการสภาพความเป็นราชการยังมีอยู่ ตำแหน่งจะไม่ว่าง แตกต่างจากสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ตำแหน่งจะว่าง และมีคนสามารถลงแทนได้ หากมี การตัดสินแล้วพบว่าไม่มีความผิดให้ดำเนินการ บรรจุเข้าตาแหน่งเดิมหากมีคนมาแทนแล้วให้หาตำแหน่งอื่นที่ มีความเทียบเท่ากับตำแหน่งเดิม โดยมีโทษทางวินัย 5 สถาน คือ 1. ภาคทัณฑ์ 2. ตัดเงินเดือน 3. ลดเงินเดือน 4. ปลดออก 5. ไล่ออก 2.น.ต.ดร.ชวพงศธร...


- 20 - 2. น.ต.ดร.ชวพงศธร ไวสาริกรรม วิชา เทคโนโลยีและดิจิตอลสาหรับนักสังคมสงเคราะห์ เวลา 13.00 – 16.00 น. 1. พัฒนาการของนวัตกรรมต่างๆ เพื่อนาไปปรับใช้ในงานสังคมสงเคราะห์เช่น การพัฒนาของ Apple History Of Innovation 2. กฎหมายเกี่ยวกับการใช้เทคโนโลยีเช่น พรบ.คุ้มครองข้อมูล ส่วนบุคคล (PDPA) พรบ.การปฏิบัติ ราชการทางอิเล็กทรอนิกส์พ.ศ. 2565 3. ความรู้ทักษะ ความเข้าใจและประโยชน์ของการใช้เทคโนโลยีดิจิตอล เพื่ออานวยความสะดวกใน การให้บริการ และลดขั้นตอน ในการทางาน เช่น IOT การพิมพ์ด้วยเสียง การแปลงไฟล์ด้วย MS 4. การเรียนรู้โปรแกรมสำเร็จรูปต่างๆ เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว อาทิเช่น - COPILOT เป็นโปรแกรมในการช่วยสร้างและค้นหาข้อมูล (AI) ตามคาสั่ง เช่น การสร้าง รูปภาพ เพลง การเขียนโครงการ - Remove.bg เป็นโปรแกรมลบพื้นหลังและตกแต่งภาพ - Anyflip.org เป็นโปรแกรมทา E-book - Sway.com เป็นโปรแกรมสร้างเว็ปไซต์หรือนาเสนอข้อมูลอย่างง่าย 5.ทักษะความเข้าใจและความสามารถในการใช้เทคโนโลยีหรือ Digital Literacy แบ่งเป็น 4 มิติคือ 5.1 ใช้(Use) หมายถึง ความคล่องแคล่วทางเทคนิคที่จาเป็น ในการใช้คอมพิวเตอร์และ อินเทอร์เน็ต 5.2 เข้าใจ (Understand) คือ ชุดของทักษะที่จะช่วยให้เข้าใจบริบทและประเมินสื่อดิจิทัล เพื่อให้สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับอะไรที่ทา และพบบนโลกออนไลน์เพราะเทคโนโลยีและโลกอินเทอร์เน็ต มี การเปลี่ยนแปลงเร็ว และส่งผลต้องพฤติกรรมและมุมมองของ ผู้ใช้อย่างมาก ทาให้ความเข้าใจมีความจาเป็น อย่างมากที่จะช่วยให้ผู้ใช้เทคโนโลยีและดิจิทัลมีวิจารณญาณในการใช้งาน 5.3 สร้าง (Create) คือ ความสามารถในการผลิตเนื้อหาและ การสื่อสารอย่างมี ประสิทธิภาพผ่านเครื่องมือสื่อดิจิทัลและเทคโนโลยีที่หลากหลาย 5.4 เข้าถึง (Access) คือ การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การค้นหาข้อมูลผ่าน Search engine รู้จักช่องทางการค้นหา ซึ่งนี่เป็นฐานรากในการพัฒนาของผู้ใช้งาน วันที่ 9 มิถุนายน 2567 1. ดร.นราธิป อ่ำเที่ยงตรง วิชา การพัฒนาความเข็มแข็งของชุมชนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตกลุ่มเป้าหมาย เวลา 09.00-12.00 น. ก่อนการพัฒนาให้เป็นชุมชนท่องเที่ยว เราจะต้องดูภูมิประเทศ และองค์ประกอบหลายๆ อย่างใน ชุมชน และเรียนรู้สังคมตามหลักมนุษยวิทยา ภูมิสังคม จิตใจ ของคนในชุมชน เพื่อให้คนในชุมชนมความ ภาคภูมิใจในทุนของชุมชน และทรัพยากรในชุมชนของตนเอง รวมทั้งการสร้างให้กลุ่มเป้าหมายภูมิใจในถิ่น กำเนิด คนในชุมชนสามารถหาเลี้ยงตนเองได้หาเลี้ยงครอบครัวได้ มีความสุขทั้งต่อตนเองและคนในครอบครัว มีความเป็นอยู่ที่ดี แต่ในบางครั้งการพัฒนาสิ่งหนึ่งให้ดีขึ้น อาจทำให้บางสิ่งแย่ลง เราจึงต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ภูมิคุ้มกัน (Immunity) ภูมิคุ้มกัน...


- 21 - - ภูมิคุ้มกัน (Immunity) คือ การสร้างค่านิยมใหม่ในสังคม สำหรับคนที่เข้าในว่าเรื่องที่ไม่ดีเป็นเรื่องที่ ดี ให้เขาสร้างคุณค่าในตนเอง และมองว่าชีวิตตนเองมีความหมาย รู้ว่าเกิดมาเพื่ออะไร และตนเองมีศักยภาพ ในการช่วยเหลือผู้อื่น แนวทางการยกระดับและสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน ด้วยแนวทาง I R P C I K ดังนี้ 1. I : Issue คือ ประเด็นที่เกิดขึ้นในชุมชน ประเด็นที่อ่อนแอ หรือประเด็นที่อยากทำให้แข็งแรง 2. R : Reason คือ “เหตุ” ที่ทำให้อ่อนแอ หรือไม่เข้มแข็ง 3. P : Purpors คือ เป้าประสงค์ ความมุ่งมาดปรารถนาในการสร้างความเข้มแข็ง 4. C : Unique Community Capital คือ ทุนชุมชน โดยการวิเคราะห์ชุมชน ความสามารถ (competencies) ที่ชุมชนมี ที่โดดเด่น และเอื้อต่อการสร้างความเข้มแข็งรวมถึงทุนทางธรรมชาติ 5. I : Ideate คือ การคิดสร้างสรรค์เพื่อแนวทางการสร้างความเข้มแข็ง 6. K : Key Partners คือ พันธมิตรที่จะร่วมสร้างความเข้มแข็ง 3. ทุนชุมชน (Community Capital) - ทุนธรรมชาติ : ดิน น้ำ อากาศ - ทุนกายภาพ : ทุนที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น อาคาร ตึก งานศิลปะ ภาพเขียน เขื่อน ฝาย อ่างเก็บน้ำ - ทุนมนุษย์ : ผู้ใหญ่บ้าน ปราชญ์ชาวบ้าน ครู เกษตรกร ฯลฯ หรือผู้มีบทบาทองค์ความรู้ที่นำมา พัฒนาได้ - ทุนสังคม : ความสัมพันธ์ของคนในสังคม 2. ผศ.ว่าที่ ร.อ. ด.ร.ธนู ทดแทนคุณ วิชา ระเบียบงานสารบรรณและการจัดทำเอกสารราชการ เวลา 13.00 – 16.00 น. ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 และที่แก้ไขเพิ่มเติมจนถึงฉบับที่ 4 พ.ศ. 2564 เป็นระเบียบที่ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินงานด้านเอกสารของทางราชการ ที่เรียกว่า "งานสารบรรณ" คือ งานที่เกี่ยวกับการบริหารงานเอกสาร เริ่มตั้งแต่ การจัดทํา การรับ การส่ง การเก็บรักษา การยืม และการทําลายเอกสาร 1. กลยุทธ์การเขียนและรูปแบบการพิมพ์หนังสือราชการ 1. ครุฑในหนังสือราชการ 2. T-FORM ในการพิมพ์หนังสือราชการทุกชนิด 3. การตั้งค่าไม้บรรทัด (ระยะการพิมพ์/ระยะบรรทัด) 4. การกั้นหน้าซ้าย-ขวา/บน-ล่าง 5. ขนาดของตัวอักษร 6. การเว้นวรรค 7. การตั้งระยะห่างระหว่างบรรทัด 8. การพิมพ์หน้าต่อ เมื่อเนื้อหาไม่พอในหน้าเดียว 9. การเขียน...


- 22 - 9. การเขียนส่วนหัวหนังสือภายนอก 10. การเขียนส่วนหัวหนังสือภายใน-บันทึก 11. การเขียน ชื่อเรื่อง 12. การเขียนคำขึ้นต้น 13. การใช้คำนำหน้านามในหนังสือราชการ 14. การเขียน “อ้างถึง” ในหนังสือราชการภายนอก 15. การเขียน “อ้างถึง” ในหนังสือราชการภายใน/บันทึกข้อความ 16. การเขียน “สิ่งที่ส่งมาด้วย” ว่าเป็นเอกสารอะไร จำนวนเท่าไหร่ 17. องค์ประกอบของเนื้อหา (ภาคเหตุ/ภาคความประสงค์/ภาคสรุปความ) 18. การเขียนคำขึ้นต้นเนื้อหา (ด้วย.../เนื่องด้วย.../ตาม.../ตามที่...) 19. การเขียนข้อความต่อท้ายย่อหน้า 20. การเขียนข้อความแต่ละภาคของเนื้อหา ให้บอกแต่สาระสำคัญให้ชัดเจน กระชับ เข้าใจง่าย 21. การเขียนส่วนราชการข้าวของเรื่อง หมายเลขโทรศัพท์และโทรสาร วันที่ 10 มิถุนายน 2567 1. อาจารย์กิตติการต์ รู้รอบดี วิชา สิทธิประโยชน์ของข้าราชการ อปท. เวลา 09.00 – 12.00 น. แนวทางการปฏิบัติในการเบิกจ่ายค่าเช่าบ้าน 1. ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าเช่าบ้านของข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2548 2. ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าเช่าบ้านของข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2551 3. ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าเช่าบ้านของข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2559 4. ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าเช่าบ้านของข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2562 5. ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยค่าเช่าบ้านของข้าราชการส่วนท้องถิ่น (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2565 6. หนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท ๐๘๐๘.๒/ว ๕๘๖๒ ลงวันที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๙ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการเบิกจ่ายเงินค่าเช่าบ้านของข้าราชการส่วนท้องถิ่น 7. หนังสือกระทรวงมหาดไทย ที่ มท 0808.2/ว 0679 ลงวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2561 เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจัดข้าราชการส่วนท้องถิ่นเข้าพักอาศัยในที่พักขององค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่น ฯลฯ 2. ข้าราชการ...


- 23 - 2. ข้าราชการส่วนท้องถิ่นผู้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้าน 2.1 ได้รับคำสั่งให้เดินทางไปประจำสำนักงานในต่างท้องที่ 2.2 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่จัดที่พักอาศัยให้อยู่ 2.3 ไม่มีเคหสถานอันเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองหรือคู่สมรสในท้องที่ไปประจำ สำนักงานใหม่ 2. ข้อสังเกต/ข้อควรระวัง/แนวทางการแก้ไข 2.1 ข้าราชการส่วนท้องถิ่นที่บรรจุครั้งแรกและกลับเข้ารับราชการใหม่ไม่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้าน 2.2 ต้องเป็นการเช่าบ้าน/ซื้อบ้าน/ปลูกสร้างบ้าน เพื่ออยู่อาศัยและได้อาศัยอยู่จริง 2.3 การเช่าบ้านบิดา มารดา ต้องเช่าจริงอยู่จริง หากข้อเท็จจริงเป็นการอยู่อาศัยแต่ทำนิติกรรม อำพรางว่าเป็นการเช่าย่อมไม่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้าน 2.4 ไม่สามารถแต่งตั้งฝ่ายการเมืองเป็นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง 2.5 กรณีมีคู่สมรสรับราชการในท้องที่เดียวกันและมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านทั้งสองคน เบิกได้คนเดียว 2.6 การนำบ้านซึ่งอยู่ต่างท้องที่กับที่ปฏิบัติราชการซึ่งไม่เคยใช้สิทธิเบิกค่าเช่าซื้อมาใช้สิทธิโดยอ้าง คำพิพากษาศาลปกครองไม่สามารถเบิกจ่ายได้ 2.7 การจ่ายเงินค่าเช่าบ้านต้องจ่ายในวันสิ้นเดือนหรือต้นเดือนของเดือนถัดไป และหากมีการโอนย้าย ระหว่างเดือนให้จ่ายเงินค่าเช่าบ้านตามจำนวนวัน จะจ่ายเต็มเดือนไม่ได้ 3. การเบิกเงินค่าเช่าบ้าน มี 3 ประเภท ได้แก่ 3.1 เช่าบ้าน 3.2 เช่าซื้อบ้าน 3.3 ผ่อนชำระเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้าน (ซื้อบ้าน/ปลูกสร้างบ้าน) 4. การอนุมัติ 4.1 ผู้อนุมัติการเบิกค่าเช่าบ้านของข้าราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่ นายกองค์กรปกครองส่วน ท้องถิ่นหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย 4.2 เมื่อมีการรับรองการใช้สิทธิขอรับค่าเช่าบ้านแล้ว ให้ผู้มีอำนาจอนุมัติการเบิกค่าเช่าบ้าน แต่งตั้งข้าราชการส่วนท้องถิ่นจ้านวนไม่น้อยกว่า ๓ คน เป็นคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงและ รายละเอียด ดังต่อไปนี้ (1) กรณีเช่าบ้าน ให้ตรวจสอบว่าได้เช่าบ้านและอาศัยอยู่จริง ระยะเวลาเริ่มต้นของการเช่า บ้านและการเข้าพักอาศัย ตลอดจนความเหมาะสมของอัตราค่าเช่าบ้านเมื่อเปรียบเทียบกับสภาพแห่งบ้าน (2) กรณีเช่าซื้อบ้านหรือเงินกู้เพื่อชำระราคาบ้าน ให้ตรวจสอบสัญญาเช่าซื้อบ้านหรือสัญญา เงินกู้เพื่อชำระราคาบ้าน วงเงินเช่าซื้อหรือวงเงินกู้ เอกสารหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง และวันเริ่มต้นการเข้าพัก อาศัยจริงในบ้าน (3) เมื่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและรายละเอียดครบถ้วนแล้ว ให้จัดทำรายงาน การตรวจสอบการขอรับค่าเช่าบ้าน เสนอต่อผู้มีอำนาจอนุมัติเพื่อพิจารณาอนุมัติการเบิกจ่าย 5.การเบิกจ่าย...


- 24 - 5. การเบิกจ่ายเงิน 5.1 การเบิกจ่ายข้าราชการส่วนท้องถิ่นซึ่งได้รับอนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้านตามสิทธิ ยื่นแบบขอ เบิกเงินค่าเช่าบ้าน (แบบ ๖๐๐๖) พร้อมหลักฐานการช้าระเงิน ณ สำนักงานผู้เบิก 4.2 ผู้มีอ้านาจอนุมัติการเบิกจ่ายเงินค่าเช่าบ้านของข้าราชการส่วนท้องถิ่น ได้แก่ นายก องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย 6. การนำไปปรับใช้ 6.1 เข้าใจถึงสิทธิประโยชน์ของข้าราชการท้องถิ่น 6.2 ไปปรับใช้ในการใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน เช่าซื้อ และผ่อนชำระเงินกู้ 6.3 ใช้สิทธิค่าเช่าบ้าน เช่าซื้อได้อย่างถูกต้องตามระเบียบ 2. นางสาวพรทิพย์ น้อมนำทรัพย์ วิธีการเบิกจ่ายเงิน วิธีปฏิบัติตามระเบียบต่างๆ และการตรวจสอบการเงิน การคลังการพัสดุ ของ อปท. เวลา 13.00 – 16.00 น. หลักการบริหารงานและการใช้จ่ายเงินของ อปท. การบริหารงาน : การดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ ตามกฎหมาย (หลัก/ส่งเสริม) โดย ดำเนินการตามกฎหมายจัดตั้ง กฎหมายภารกิจถ่ายโอน และกฎหมายอื่นๆ การใช้จ่ายเงินของ อปท : ให้ดำเนินการตามข้อปฏิบัติ(ระเบียบ/ข้อบังคับ) หากไม่มีจ่ายไม่ได้ งบประมาณต้องคำนึงหลักความคุ้มค่า เกิดผลสัมฤทธ์ มีประสิทธิภาพประสิทธิผล เป็นไปตามวิธีงบประมาณ โดยใช้ดุลพินิจ(ชอบด้วยกฎหมาย) จำเป็นเหมาะสม และประหยัด โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีหลักฐานชี้แจง ระเบียบ/กฎหมาย - พระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอำนาจให้แก่ อปท. พ.ศ. 2542 - พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537 เพิ่มเติม(ฉบับที่ 7) พ.ศ. 2562 - พระราชบัญญัติเทศบาล พ.ศ. 2496 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 14) พ.ศ.2562 - พระราชบัญญัติองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2540 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2562 - ประกาศสํานักนายกรัฐมนตรีเรื่อง การกําหนดหน่วยงานผู้มีอํานาจหน้าที่รับผิดชอบดําเนินการ เกี่ยวกับการคุ้มครอง การส่งเสริม และการสนับสนุนผู้สูงอายุในด้านต่าง ๆตามพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ. ๒๕๔๖ พ.ศ. ๒๕๕๓ การโอนเงินงบประมาณ - ข้อ 26 การโอนเงินงบประมาณรายจ่ายต่าง ๆ ให้เป็นอำนาจอนุมัติของคณะผู้บริหารท้องถิ่น - ข้อ 27 การโอนเงินงบประมาณรายจ่ายในหมวดค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้างที่ทำให้ลักษณะ ปริมาณ คุณภาพเปลี่ยน หรือโอนไปตั้งจ่ายรายการใหม่ ให้เป็นอำนาจอนุมัติของสภาท้องถิ่น 4. การแก้ไขเปลี่ยนแปลง...


- 25 - การแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำชี้แจง - ข้อ 28 การแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำชี้แจงประมาณการรายรับหรืองบประมาณรายจ่ายให้เป็นอำนาจ อนุมัติของผู้บริหารท้องถิ่น - ข้อ 29 การแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำชี้แจงงบประมาณรายจ่ายในงบลงทุน ที่ทำให้ลักษณะ ปริมาณ คุณภาพเปลี่ยน หรือเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้าง ให้เป็นอำนาจอนุมัติของสภาท้องถิ่น - ข้อ 30 การแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำชี้แจงงบประมาณรายการที่ได้กันเงินหรือขยายเวลา การเบิกจ่ายเงิน ไว้แล้วจะกระทำได้ต่อเมื่อได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจให้กันเงินหรือขยายเวลาการเบิกจ่ายเงิน - ข้อ 31 การแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำชี้แจงงบประมาณรายการที่ไดก่อหนี้ผูกพันไว้แล้วหากมิได้เพิ่มวงเงิน ให้เป็นอำนาจอนุมัติของผู้บริหารท้องถิ่น ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยค่าใช้จ่ายเพื่อช่วยเหลือประชาชนตามอำนาจหน้าที่ขององค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. 2566 คำนิยาม : การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนหรือไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ในการ ดำรงชีพ โดยอาจให้เป็นสิ่งของ หรือจ่ายเป็นเงิน (ตามระเบียบกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ ว่าด้วยการ สงเคราะห์ครอบครัวผู้มีรายได้น้อยและไร้ที่พึ่ง พ.ศ.2552) ฟรือการจัดบริการสาธารณะ เพื่อให้การช่วยเหลือ ประชาชนในระดับเขตพื้นที่หรือท้องถิ่น ตามอำนาจหน้าที่ของ อปท. ดำเนินการในขอบเขตอำนาจหน้าที่ของ อปท. ตามกฎหมาย โดยคำนึงถึงสถานะทางการคลังและความจำเป็นเหมาะสม การช่วยเหลือประชาชนแบ่งเป็น 4 กรณี - สาธารณภัย - การส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิต - การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อ - เกษตรกรผู้มีรายได้น้อย - การช่วยเหลือประชาชนด้านอื่นๆ ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยรายจ่ายเกี่ยวกับทุนการศึกษาสำหรับนักศึกษา และการให้ ความช่วยเหลือนักเรียนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๖๑ ตั้งงบประมาณรายจ่าย สำหรับเป็นทุนการศึกษาและการให้ความช่วยเหลือไว้ ในหมวดค่าใช้สอย ประเภทรายจ่ายที่เกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติราชการที่ไม่เข้าลักษณะรายจ่ายอื่นๆ โดยกลุ่มเป้าหมายเป็น นักศึกษาและนักเรียนซึ่งเป็นผู้ยากจนหรือด้อยโอกาส มีภูมิลำเนาอยู่ในพื้นที่ อปท. ไม่น้อยกว่า 1 ปี ให้ได้รับ การพิจารณาให้การช่วยเหลือตามความจำเป็นและเหมาะสมโดยคำนึงถึงสถานะการเงินการคลัง ดังนี้ - อนุบาล - ป.6 : ภาคการศึกษาละไม่เกิน 1,000 บาท/คน แต่ปีการศึกษาละไม่เกิน 2,000 บาท/คน - ม.1-ม.3 : ภาคการศึกษาละไม่เกิน 2,000 บาท/คน แต่ปีการศึกษาละไม่เกิน 4,000 บาท/คน - ม.ปลาย/เทียบเท่า : ภาคการศึกษาละไม่เกิน 3,000 บาท/คน แต่ปีการศึกษาละไม่เกิน 6,000 บาท/คน วันที่ 11...


- 26 - วันที่ 11 เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2567 ผศ.ดร.มาลี ลิ่มสกุล วิชา พลวัตพฤติกรรมมนุษย์ในสังคมที่เปลี่ยนแปลง เวลา 09.00 – 12.00 น. สาระสำคัญ ได้แก่ พลวัตพฤติกรรมมนุษย์ ซึ่งแบ่งออกเป็นพฤติกรรมภายใน (ความคิด ทัศนคติ เจตคติ) และพฤติกรรมภายนอก(อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต) เรียนรู้พัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ได้แก่ ร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญาและสังคม ลักษณะพัฒนาการตามช่วงวัยของมนุษย์ ตามทฤษฎีจิตวิทยา แบ่ง ได้เป็น ๖ ช่วงวัย ดังนี้ ๑) วัยในครรภ์ ตั้งแต่มารดาตั้งครรภ์จนถึง ๔๐ สัปดาห์ ๒) วัยทารก ตั้งแต่คลอด - ๒ ปี มีอารมณ์ตื่นเต้น ใช้วิธีร้องไห้แทนการสื่อสาร ๓) วัยเด็ก อายุ ๒-๑๒ ปี ยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง มีการเจริญเติบโตอย่างช้าๆ ใช้ภาษาได้ดีขึ้น ๔) วัยรุ่น อายุ ๑๒-๒๐ ปี วัยรุ่นตอนต้น เพื่อนมีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิต วัยรุ่นตอนปลาย เป็นวัย แห่งการค้นหาอัตลักษณ์และเป้าหมายในชีวิต ๕) วัยผู้ใหญ่ อายุ ๒๐-๖๐ ปี วัยผู้ใหญ่ตอนต้นเป็นวัยที่ควบคุมอารมณ์ตนเองได้ มีความมั่นคง ทางอารมณ์ พร้อมสร้างครอบครัว วัยผู้ใหญ่ตอนปลาย มีการปรับตัวทางสังคมหลายด้าน และเผชิญกับความ ถดถอยของร่างกาย ๖) วัยผู้สูงอายุ อายุ ๖๐ ปีขึ้นไป เป็นวัยที่มีความสุขในการอยู่กับเพื่อนัยเดียวกัน หากปรับตัวได้ดี ก็จะอยู่กับเพื่อนได้ หากไม่สามารถปรับตัวได้ ก็จะตัดความสัมพันธ์ วิชา ระบบสวัสดิการสังคมกับงานสังคมสงเคราะห์ เวลา 13.00 – 16.00 น. สาระสำคัญ ได้แก่ การจัดสวัสดิการสังคมกับงานสังคมสงเคราะห์ โดยสวัสดิการทางสังคม แบ่งเป็น ๗ ด้าน แลกเปลี่ยนเรียนรู้การจัดสวัสดิการสังคมในแต่ละพื้นที่ เช่น การจัดสวัสดิการชุมชนออมวันละ 1 บาท การจัดสถานที่ออกกำลังกายในชุมชน การจัดตั้งศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในชุมชน เป็นต้น แนวทางในการจัด สวัสดิการสังคมต้องคำนึงถึงบริบทและสภาพสังคมของแต่ละพื้นที่ ความสำคัญของการจัดสวัสดิการทางสังคม เป็นไปตามพรบ.ส่งเสริมการจัดสวัสดิการสังคม พ.ศ.๒๕๔๖ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการป้องกัน แก้ไขปัญหา การ พัฒนา และการส่งเสริมความมั่นคงทางสังคม เพื่อตอบสนองความจำเป็นขั้นพื้นฐานของประชาชนให้มีคุณภาพ ชีวิตที่ดี สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างทั่วถึง เหมาะสม และเป็นธรรม ในส่วนของการสังคมสงเคราะห์ หมายถึง การจัดให้มีมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นรายบุคคล กลุ่ม ชุมชน โดยปฏิบัติตามหลักทฤษฎีของการสังคมสงเคราะห์ หลักวิชาชีพ และกระบวนการทางสังคมสงเคราะห์ ในปัจจุบันได้มีการเสนอให้มีการจัดสวัสดิการแบบพหุลักษณ์เพื่อตอบสนองความต้องการของชุมชนเป็นหลัก ประกอบด้วย ๕ ส่วน ดังนี้ ๑) รัฐ ๒) ท้องถิ่น ๓) ชุมชน ๔) เอกชน ๕) ประชาชน โดยให้มีประชาชนเป็นศูนย์กลาง เป้าหมายสูงสุดคือการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของคนในสังคม วิชา การจัดการ...


- 27 - วันที่ 12 เดือน มิถุนายน พ.ศ. 2567 ผศ.ดร.มาลี ลิ่มสกุล วิชา การจัดการความรู้และการวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อพัฒนาบริการสังคมสงเคราะห์กับ กลุ่มเป้าหมาย เวลา 09.00 – 12.00 น. สาระสำคัญ ได้แก่ แนวทางการจัดการความรู้ (Knowledge Managemant : KM) คือ การ รวบรวมองค์ความรู้ที่มีอยู่ในองค์กรมาพัฒนาให้เป็นระบบ เพื่อให้ทุกคนในองค์กรเข้าถึงความรู้ และพัฒนา ตนเองให้เป็นผู้รู้ รวมทั้งสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย ๔ แนวทาง ได้แก่ ๑) เป็นความรู้ที่สนับสนุนวิสัยทัศน์ พันธกิจ ยุทธศาสตร์ขององค์กร ๒) เป็นความรู้ที่สำคัญต่อการปฏิบัติงานขององค์กร ๓) เป็นปัญหาขององค์กรที่การจัดการความรู้สามารถแก้ไขปัญหาได้ ๔) เป็นการผสมผสาน ๓ แนวทาง การจัดการความรู้ที่ประสบความสำเร็จ ทำให้คนมีทักษะที่หลากหลายในการทำงาน เกิดการ พัฒนางานในรูปแบบใหม่ มีการทดลองและเรียนรู้ จนขยายไปสู่การมีทักษะที่ดี และมีการนำความรู้จาก ภายนอก มาใช้อย่างเหมาะสม โดยหัวใจของการจัดการความรู้อยู่ที่การนำความรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ การวิจัยและพัฒนา (R&D) คือ การพัฒนางานที่ปฏิบัติอยู่เป็นประจำไปสู่งานวิจัย (Routine to Research: R2R) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อนำผลงานวิจัยไปใช้พัฒนางานประจำนั้นๆ โดยขั้นตอนการทำ R2R ได้แก่ การกำหนดโจทย์วิจัย เมื่อได้โจทย์วิจัยแล้ว จึงดำเนินการตามกระบวนการวิจัย ทบทวนวรรณกรรม กรอบ แนวคิด ออกแบบการวิจัย เก็บรวมรวบข้อมูลวิเคราะห์ข้อมูล เขียนรายงานการวิจัย และเผยแพร่งานวิจัย ซึ่งการทำ R2R สามารถใช้ระเบียบวิธีการวิจัยหลากหลายแบบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของโจทย์วิจัย 2. นายสุทธิวัฒน์ มาศพันธ์ วิชา กฎหมาย อปท. เพื่องานสังคมสงเคราะห์ เวลา 13.00 – 16.00 น. สาระสำคัญ ได้แก่ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับนักสังคมสงเคราะห์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกฎหมายปกครอง เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด ๓ สิทธิและเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ม.๔๓ วรรคหนึ่ง (๔) และ วรรคสอง ม๔๘ บุคคลซึ่งมีอายุเกิน ๖๐ ปี และไม่มีรายได้ในการยังชีพ รวมทั้งบุคคลผู้ยากไร้ มีสิทธิจะได้รับ การช่วยเหลือจากรัฐ (หน่วยงานของรัฐทุกประเภทที่เกี่ยวข้อง) หมวด ๔ ม.๗๑ รัฐพึ่งให้การช่วยเหลือเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้ยากไร้ ผู้ด้อยโอกาส อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังมีพรบ.ที่เกี่ยวข้องด้านสังคม สงเคราะห์ ของการสงเคราะห์แต่ละประเภท เช่น ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการจ่ายเงินสงเคราะห์ เพื่อการยังชีพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๔๘ , ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การ จ่ายเงินเบี้ยความพิการให้คนพิการขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.๒๕๕๓ เป็นต้น วันที่ 13...


- 28 - วันที่ 1๓ มิถุนายน 2567 1.รศ.อภิญญา เวชยชัย วิชา คุณธรรมและจริยธรรมของนักสังคมสงเคราะห์ เวลา 09.00 – 12.00 น. สาระสำคัญ ได้แก่ ความรู้ คุณธรรม จริยธรรมสำหรับนักสังคมสงเคราะห์ทั้งในขณะปฏิบัติงาน และนอกเวลาปฏิบัติงาน สังคมสงเคราะห์กับจริยธรรมและคุณภาพความเป็นมนุษย์ ค่านิยมและหลักการของ วิชาชีพสังคมสงเคราะห์ กรอบปฏิบัติของหลักจริยธรรม ๖ ด้าน พัฒนาการของคุณค่าและจริยธรรมทางวิชาชีพ สังคมสงเคราะห์ แบ่งออกเป็น ๔ ยุค ข้อควรระวังเรื่องจริยธรรม และปัจจัยที่ทำให้เกดประเด็นความขัดแย้ง ทางจริยธรรม เช่น ทัศนคติและความคาดหวังของประชาชนที่มีต่อการบริการของหน่วยงาน , ผู้ใช้บริการบาง รายอาจมีอคติต่อหน่วยงาน , นักสังคมสงเคราะห์ขาดประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญ และ ระบบการบริหารงาน ของหน่วยงานไม่มีความชัดเจน เป็นต้น ทั้งนี้ รวมทั้ง เรียนรู้กระบวนการการป้องกันความผิดพลาดตามกรอบ ปฏิบัติของหลักจริยธรรม 2. อาจารย์ปัญญา กางกรณ์ ระบบกฎหมายทางสังคมสงเคราะห์ที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ท้องถิ่น เวลา 13.00 – 16.00 น. สาระสำคัญ ได้แก่ การเพิ่มเติมความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำงานสังคมสงเคราะห์ เช่น หลักใน การปฏิบัติงานด้านสังคมสงเคราะห์ ขอบเขตการปฏิบัติงาน ประเภทของการสงเคราะห์ กฎหมายที่เกี่ยวข้อง กับการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์ท้องถิ่น ซึ่งไม่ได้จำกัดเพียงกฎหมายของกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น ยังมี กฎหมายของกระทรวงต่างๆที่ถูกนำมาใช้ในการปฏิบัติงานโดยอนุโลม ได้แก่ พรบ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.๒๕๔๖ , พรบ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.๒๕๕๐ , พรบ.ส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคน พิการ พ.ศ.๒๕๕๐ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ ๒ พ.ศ.๒๕๕๖ เป็นต้น วันที่ 14 มิถุนายน 2567 1. นางณภัสสร สงวนหงส์ วิชา บทบาทการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์เชิงสหวิชาชีพในกระบวนการยุติธรรมชุมชน เวลา 09.00 – 12.00 น. สาระสำคัญ ได้แก่ กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการปฏิบัติงานในกระบวนการยุติธรรม โดยมุ่งเน้นที่ กระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชน ใช้ พรบ.ศาลเยาวชนและครอบครัว เป็นหลักในการปฏิบัติงาน บทลงโทษสำหรับเด็กและเยาวชนที่กระทำความผิด ประมวลกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ขั้นตอนการสืบเสาะ จำแนก และจัดทำรายงานข้อเท็จจริง กระบวนการทำงานของนักสังคมสงเคราะห์และทีมสหวิชาชีพในการดูแลเด็กและ เยาวชนก่อนและหลังศาลมีคำพิพากษา และวิธีการประเมินความเสี่ยงและความจำเป็น (Risk & Need : R&D) เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการให้ความช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่มีความเสี่ยงต่อการถูกกระทำ หรือเป็นผู้กระทำ วันที่ 15...


- 29 - วันที่ 1๕ มิถุนายน 2567 1. ดร.พัชชา เจิงกลิ่นจันทร์ การบรรยาย หัวข้อ สวัสดิการเด็กและครอบครัว เวลา 09.00 – 12.00 น. สาระสำคัญ ได้แก่ สถานการณ์ทางสังคมที่ส่งผลต่อเด็กและครอบครัว โดยเด็กมีอัตราการเกิด น้อยลง มีสถิติเด็กถูกกระทำความรุนแรงมากขึ้น เป็นต้น โดยการจัดบริการสวัสดิการสำหรับเด็กและครอบครัว มี ๓ ระดับ ได้แก่ ๑) ระดับปฐมภูมิ คือ บริการเชิงป้องกันปัญหา กลุ่มเป้าหมายคือเด็กทุกคนในชุมชน ๒) ระดับทุติยภูมิ คือ สนับสนุนสวสัดิการเพื่อไม่ให้เด็กมีความเสี่ยงและถูกกระทำซ้ำ จนถึงขั้น วิกฤติ เป้าหมายคือ เด็กที่มีปัญหาหรือความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหา ๓) ระดับตติยภูมิ คือ การคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งคือเด็กที่ถูกกระทำความ รุนแรงและมีความเสี่ยงสูง สำหรับการประเมินปัญหาและการคุ้มครองเด็กในชุมชน สามารถแบ่งได้ ๓ ระดับ ประกอบด้วย ๑) ระดับทั่วไป คือ เด็กที่อยู่ในครอบครัวยากจน รายได้น้อย ๒) ระดับเร่งด่วน คือ เด็กที่มีความเสี่ยงสูง หากไม่ช่วยเหลือจะอยู่ในภาวะวิกฤต ๓) ระดับวิกฤต คือ เด็กที่ถูกกระทำความรุนแรง หรือมีแนวโน้มจะเกิดอันตรายต่อชีวิต โดย แนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดในพื้นที่ คือ การให้การสงเคราะห์เด็กและคุ้มครองเด็ก ตามพรบ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.๒๕๔๖ และ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการให้ความช่วยเหลือ 2. ดร.พัชชา เจิงกลิ่นจันทร์ เวลา 13.00 – 16.00 น. การให้คำปรึกษาเบื้องต้นในการปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์กับกลุ่มเป้าหมายในชุมชน สาระสำคัญ ได้แก่ ขั้นตอนการให้คำปรึกษาเบื้องต้นกับกลุ่มเป้าหมายในชุมชน การให้ คำปรึกษาสามารถทำได้ทั้งรายบุคคล รายกลุ่ม รายครอบครัว โดยมีลักษณะที่แตกต่างกัน ได้แก่ ๑) การให้คำปรึกษารายบุคคลมีหัวใจสำคัญคือการมีส่วนร่วมของผู้ขอรับการปรึกษา มี ความเห็นอกเห็นใจ เลือกการใช้คำถามแบบปลายเปิด ใช้วิธีการฟังอย่างตั้งใจ และสามารถส่งต่อให้แก่บุคคล อื่นที่มีความเหมาะสม หากเรามีความเชี่ยวชาญไม่เพียงพอ ๒) การให้คำปรึกษารายกลุ่ม เป็นการให้คำปรึกษาปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกันหรือคล้ายคลึง กัน ผู้รับคำปรึกษาจะมีลักษณะที่ใกล้เคียงกัน ผู้ให้คำปรึกษาต้องอาศัยทักษะการสังเกต การฟังอย่างตั้งใจ รวมถึงการเงียบ เพื่อให้ผู้ขอรับคำปรึกษาเกิดการทบทวนตนเอง ซึ่งการให้คำปรึกษาแบบกลุ่มเป็นกระบวนการ ที่กลุ่มสามารถให้ความช่วยเหลือเพื่อนสมาชิกในการแก้ไขปัญหาร่วมกัน ๓) การให้คำปรึกษารายครอบครัว เป็นการช่วยหลือครอบครัวที่มีปัญหา ให้สามารถแก้ไข ปัญหาและแสดงบทบาทที่เหมาะสมของตนเองได้ วันที่ 16...


- 30 - วันที่ 1๖ มิถุนายน 2567 1. อาจารย์นภัสร ไพรรุณ วิชา กฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองและความรับผิดทางละเมิด เวลา 09.00 – 12.00 น. สาระสำคัญ ได้แก่ หลักการและวิธีปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ หนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้อง แนวทางการแก้ไขปัญหา กรณีเจอความผิดทางละเมิดและทางวินัย กรณีศึกษา การกระทำความผิดของ เจ้าหน้าที่ที่ทำให้บุคคลภายนอก ทรัพย์สินของราชการเกิดความเสียหายในขณะปฏิบัติหน้าที่ คือ ละเมิด และ กระบวนการพิจารณาเพื่อดำเนินการช่วยเหลือ หรือเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ คือ วินัย 2. ผศ.รณรงค์ จันใด วิชา การปฏิบัติงานสังคมสงเคราะห์กับกลุ่มเป้าหมาย เวลา 13.00 – 16.00 น. สาระสำคัญ ได้แก่ การสร้างความตระหนักในการมองกลุ่มเป้าหมาย นักสังคมสงเคราะห์ ต้องมองเห็นกลุ่มเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้ถูกกดขี่ ผู้ด้อยโอกาสในกลุ่มต่างๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการวิเคราะห์ สภาพปัญหา การให้ความช่วยเหลือและการพัฒนากลุ่มเป้าหมาย โดยสามารถแบ่งกลุ่มเป้าหมายได้ ๘ ประเภท ได้แก่ เด็กและเยาวชน, คนไร้ที่พึ่ง คนด้อยโอกาส, ผู้สูงอายุ, คนพิการ, สตรีและครอบครัว, ผู้ติดเชื้อเอดส์, ผู้ป่วยยากไร้ และผู้ประสบปัญหาทางสังคม ผู้ประสบภัย แลกเปลี่ยนเรียนรู้การวิเคราะห์สภาพปัญหาของ กลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่ บทบาทหน้าที่การแก้ไขปัญหาของส่วนกลาง การแก้ไขปัญหาส่วนท้องถิ่น ช่องว่าง ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข ข้อเสนอแนะเพื่อพัฒนาระบบการให้บริการ วันที่ 1๗ มิถุนายน 2567 - เวลา ๑๐.00 – 1๕.00 น. ศึกษาดูงาน มูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ จังหวัดชลบุรี สาระสำคัญ ได้แก่ การจัดสวัสดิการให้คนพิการ โดยรับคนพิการจากทั่วประเทศเข้ารับการส่งเสริม ฟื้นฟู ใน ด้านต่างๆ มีการจัดการศึกษาให้เด็กพิเศษ ตามทักษะ ความถนัดและความต้องการที่จะเรียนรู้เพื่อให้เด็กพิเศษ ใช้ชีวิตในสังคมได้ และทำงานตามความถนัดได้การจัดตั้งสายด่วนคนพิการ 1479 ที่เป็นศูนย์call center รับฟังปัญหา รับเรื่องร้องทุกข์ของคนพิการ การส่งเสริมการทำงานของคนพิการในการทำงานกับเครือข่าย บริษัทที่ให้การช่วยเหลือสนับสนุนจ้างงานคนพิการ ให้คนพิการทำงาน call center บริษัทประกันภัย การ จัดการศึกษาให้กับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปในวิทยาลัยเทคโนโลยีพระมหาไถ่ พัทยา ซึ่งสอนคนพิการให้เรียนรู้ด้าน โปรแกรมเมอร์ และการใช้คอมพิวเตอร์ธุรกิจ และศูนย์นวัตกรรมซ่อมสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกคนพิการ เช่น รถไฟฟ้าลากจูง รถเข็น สามล้อเครื่องสำหรับคนพิการ ฯลฯ วันที่ 1๘ มิถุนายน 2567 - เวลา 09.๓0 – 12.00 น. ศึกษาดูงาน เทศบาลตำบลทับมา จังหวัดระยอง สาระสำคัญได้แก่ การจัด สวัสดิการทางสังคมให้แก่กลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ โดยดำเนินกิจกรรมศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตและส่งเสริมอาชีพ ผู้สูงอายุตำบลทับมา จัดตั้งโรงเรียนผู้สูงอายุ และหลักสูตรโรงเรียนผู้สูงอายุการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุคนพิการมีงาน ทำ ตามโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการจ้างงานผู้สูงอายุ และคนพิการ การดูแลผู้สูงอายุที่บ้านโดยอาสาสมัคร บริบาล CM...


- 31 – บริบาล CM และ CGระบบดูแลผู้สูงอายุที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว และ อัลไซเมอร์ด้วยเครื่องติดตามตัว GPS ช่วยเหลือในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินให้ทันท่วงทีการจ้างงานนักเรียนนักศึกษาช่วงปิดเทอม การจัดทำศูนย์บริการและ ฟื้นฟูผู้สูงอายุในชุมชนเทศบาลตำบลทับมา (Thapma Day Care Center) ให้บริการดูแลผู้สูงอายุช่วงกลางวันแบบ เช้าไปเย็นกลับ โดยแต่ละกิจกรรมภายในศูนย์เกิดจากการประเมินผู้สูงอายุที่มาศูนย์ฯ และให้กิจกรรมที่แตกต่างกัน เฉพาะรายบุคคล โดยศูนย์ฯมีเจ้าหน้าที่บริการสาธารณสุข พร้อมจัดทำกิจกรรมการพัฒนาสุขภาพด้านต่างๆ ตาม ตารางกิจกรรมประจำวัน และมีบริการรับ-ส่ง ผู้สูงอายุที่มาใช้บริการ โดยมีค่าบริการเรียกเก็บรายปีและการ สนับสนุนการจัดตั้งรัฐวิสาหกิจชุมชน ได้แก่ กลุ่มเลี้ยงผึ้งชันโรง ส่งเสริมให้เกิดรายได้ สร้างเครือข่ายความร่วมมือ ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน พร้อมต่อยอดสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ชุมชน - เวลา 13.00 – 16.00 น. ศึกษาดูงาน สภาองค์กรชุมชนตำบลเนินฆ้อ (บ้านจำรุง) จังหวัด ระยอง สาระสำคัญ ได้แก่ สภาองค์กรชุมชนตำบลเนินฆ้อ (บ้านจำรุง) จดแจ้งจัดตั้งเมื่อกรกฎาคม ๒๕5๑ ได้รับการรับรองจากสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคง ของมนุษย์ เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม ๒๕๕1 และได้ยกระดับงานพัฒนาของเครือข่ายองค์กรชุมชนบ้านจำรุง สู่ การขับเคลื่อนงานของสภาองค์กรรุมชนตำบลเนินฆ้อ ตามภารกิจในมาตรา ๒1 แห่งพรบ.สภาองค์กรชุมชน พุทธศักราช พ.ศ.๒๕5๑ โดยมีกระบวนการสร้างนวัตกรรมการเสริมสร้างพลังภาคีเครือข่ายเพื่อการพัฒนา ชุมชน เป็นการทำงานผ่านการคิด ความร่วมมือของคนในชุมชนจนได้เป็นชุมชนต้นแบบที่ได้รับรางวัลหมู่บ้าน เศรษฐกิจพอเพียง แนวคิด วิธีการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากทรัพยากรที่มีในพื้นที่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เน้น การแปรรูป และผลิตสินค้าที่มาจากชุมชน การทำแหล่งท่องเที่ยวแบบโฮม สเตย์ที่มีรถรางพาชมสวน ดูเกษตร พื้นบ้านแบบไร้สารเคมีโดยเป็นการทำกิจกรรมตามความถนัดและความสนใจของคนในชุมชน ใน ๔๐ รูปแบบ กิจกรรม และการสร้างภาคีเครือข่ายความร่วมมือในการทำชุมชนเข้มแข็ง ทั้งการสร้างภาคีเครือข่ายในชุมชน และภาคีเครือข่ายภายนอก วันที่ 1๙ มิถุนายน 2567 - เวลา 09.๐0 – 12.00 น. ศึกษาดูงาน ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุบ้านบางละมุง จังหวัด ชลบุรีสาระสำคัญ ได้แก่ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการผู้สูงอายุบ้านบางละมุงมีกิจกรรมที่เน้นการจัดสวัสดิการ ขั้นพื้นฐาน การพัฒนาความสามารถและคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมสำคัญที่ทางศูนย์ฯได้ ดำเนินการให้กับผู้สูงอายุที่อยู่ภายใต้การดูแล เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับผู้สูงอายุ ก่อนจะถึงวาระ สุดท้าย เช่น การวางแผนดูแลล่วงหน้า (Advance Care Planning) คือ กระบวนการวางแผนดูแลสุขภาพที่ทำไว้ ก่อนที่ผู้ป่วยจะหมดความสามารถในการตัดสินใจ หรือเข้าสู่ระยะท้ายของชีวิต อาจเป็นทางการหรือไม่เป็น ทางการก็ได้ การจัดทำสมุดเบาใจ จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้สูงอายุทบทวน สำรวจคุณค่าของชีวิต ทำให้รู้ว่าเราจะ รักษาดูแลไปเพื่ออะไร การวางแผนชีวิต และสื่อสารเจตนาล่วงหน้าเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพช่วงท้ายชีวิต ใช้ สื่อสารกับครอบครัว บุคลากร สุขภาพ ซึ่งได้รับการคุ้มครองเจตนาตามกฎหมาย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ ผู้สูงอายุ...


- 32 - ผู้สูงอายุได้มีโอกาสเลือก และจะได้รับการรักษาตามความต้องการที่บอกกล่าวไว้ ลดความเสี่ยงที่จะได้รับความ ทุกข์ทรมานจากการยื้อชีวิต สื่อสารกับครอบครัวได้ง่ายขึ้น ทำให้ครอบครัวร่วมมือกันดูแลที่เป็นไปในทิศทาง เดียวกัน ลดความขัดแย้ง และเป็นหลักฐานคุ้มครองเจตนาทางกฎหมาย ตาม พรบ.สุขภาพแห่งชาติ มาตรา 12 เป็นต้น โดยศูนย์ฯ ตระหนักในแนวคิดเรื่องการตาย/ภาวะเสื่อมของสมอง ซึ่งการตายดี คือ การตายที่ ปราศจากความทุกข์ทรมาน ผู้ตายยอมรับได้ ตายอย่างมีสติ รู้และเข้าใจว่าความตายกำลังจะมาถึง ได้รับการ ปฏิบัติอย่างสมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ได้รับข้อมูลและการรักษาจากแพทย์ ได้รับการรักษาบรรเทาอาการ เจ็บป่วย เลือกที่ตายได้ ได้รับการดูแลทางอารมณ์และจิตวิญญาณตามต้องการ เลือกได้ว่าควรมีใครอยู่ด้วยใน วาระสุดท้าย เลือกได้ว่าควรได้รับการปฏิบัติอย่างไรในวาระสุดท้าย มีเวลาล่ำลาบุคคลที่ตนรัก จากไปอย่างสงบ ไม่ถูกเหนี่ยวรั้งหรือยื้อชีวิตโดยไร้ประโยชน์ - เวลา 13.00 – 16.00 น. ศึกษาดูงาน มูลนิธิสงเคราะห์เด็กพัทยา จังหวัดชลบุรีสาระสำคัญ ได้แก่ มูลนิธิเริ่มก่อตั้งในปีพ.ศ.๒๕๑๕ โดยบาทหลวงเรย์มอนด์ พบเด็กถูกทิ้งและได้นำมาอุปการะเลี้ยงดู ภายหลังใน พื้นที่อำเภอพัทยา จังหวัดชลบุรี ประสบปัญหาพบเด็กกำพร้าเป็นจำนวนมาก จึงมีเด็กกำพร้าถูกนำมาส่งเข้ารับ การอุปการะ โดยมูลนิธิสงเคราะห์เด็กพัทยามีการจัดสวัสดิการทางสังคมเพื่อช่วยเหลือเด็กในด้านต่างๆดังนี้ ๑) การดูแลเด็กกำพร้าและเด็กที่มีปัญหา ให้ความรู้และส่งเสริมการเรียนรู้ ๒) การศึกษา เด็กจะได้รับการศึกษาที่เหมาะสมตามระดับชั้น ๓) การสนับสนุนด้านสุขภาพ รวมถึงการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพและการรักษา ๔) การสนับสนุนด้านจิตใจ ให้เด็กมีความสุข มั่นใจ และสามารถพัฒนาตนเองได้ ๕) การสนับสนุนด้านเศรษฐกิจ ส่งเสริมให้เด็กได้รับการศึกษา โดยมีเด็กในอุปการะศึกษาจบ ระดับปริญญาตรี และส่งเสริมความสามารถในการทำงาน ๖) การสนับสนุนทางด้านสังคม ให้เด็กมีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคม และสร้างความสัมพันธ์ ที่ดีกับผู้อื่น วันที่ ๒๐ มิถุนายน 2567 - เวลา 09.๐0 – 12.00 น. การจัดทำแผน การเขียนโครงการและการประเมินผลโครงการ สัมมนา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ โดย ผศ.รณรงค์ จันใด สาระสำคัญ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ปัญหาการทำงานของแต่ ละบริบทพื้นที่ของเพื่อนสมาชิกในกลุ่ม ความสำเร็จในการทำงาน เพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจและแนวทางในการ ปฏิบัติงาน ระดมความคิดเห็นภายในกลุ่ม เพื่อแลกเปลี่ยนกระบวนการทำงานร่วมกับเพื่อนสมาชิกในกลุ่มต่างๆ และทักษะการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้วยการเป็นวิทยากรกระบวนการ สามารถนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนา งานในพื้นที่ของตนเองได้ - เวลา 13.00 – 1๔.๐0 น. เข้ารับการทดสอบทางวิชาการ (Post-Test)


- 33 - วันที่ ๒๑ มิถุนายน 2567 - เวลา ๑๓.๐0 – 1๔.00 น. พิธีปิดการอบรม โดย นายพนมเทียน เส้งวั่น ผู้อำนวยการสถาบัน พัฒนาบุคลากรท้องถิ่น ๘. ประโยชน์ที่ทางราชการ ๘.1 ต่อตนเอง ได้แก่ - มีความรู้ ทักษะและสมรรถะที่เหมาะสมกับการดำรงตำแหน่ง - มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบสามารถนำความรู้ที่ได้รับไป ประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ - มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มีทัศนคติที่ดีต่อการทำงานร่วมกับผู้อื่นสามารถทำงานในลักษณะทีมงาน ได้อย่างเหมาะสม - มีความรู้ที่ทันสมัย สามารถนำเทคโนโลยี สารสนเทศ และนวัตกรรมมาปรับใช้กับการทำงานให้ เกิดประสิทธิภาพ - มีจิตสำนึกด้านคุณธรรม และจริยธรรมในการปฏิบัติตน ปฏิบัติงาน - มีการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์เกี่ยวกับการปฏิบัติงานและสร้างสัมพันธภาพในการ ติดต่อประสานงานระหว่างกัน ๘.2 ต่อทางราชการ ได้แก่ - การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ บทบาทหน้าที่ความรับผิดชอบสามารถนำความรู้ที่ได้รับไป ประยุกต์ใช้กับการปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ - การมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มีทัศนคติที่ดีต่อการทำงานร่วมกับผู้อื่นสามารถทำงานในลักษณะ ทีมงานได้อย่างเหมาะสม - การที่มีความรู้ที่ทันสมัย สามารถนำเทคโนโลยี สารสนเทศ และนวัตกรรมมาปรับใช้กับการ ทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ ทำให้การปฏิบัติงานมีความรวดเร็ว และทันต่อเหตุการณ์ตามสถานการณ์ต่างๆ ๙. ข้อเสนอแนะ แนวคิดที่นำไปปรับใช้ในการปฏิบัติงานหรือพัฒนางานที่สอดคล้องกับข้อ ๘ ๙.๑ ตระหนักถึงจรรยาบรรณ วินัยของข้าราชการ และจริยธรรมของนักสังคมสงเคราะห์ ทั้งในเวลา และนอกเวลาปฏิบัติงาน ๙.๒ ยึดระเบียบ กฎหมาย ข้อสั่งการ เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน ๙.๓ นำองค์ความรู้ที่ได้รับมาใช้ในการปฏิบัติงานตามที่ได้รับมอบหมาย ปรับใช้ในการปฏิบัติงาน เพื่อช่วยเหลือ บำบัด ฟื้นฟู ส่งเสริม พัฒนา และการป้องกันปัญหา ๙.๔ นำแนวคิดการจัดการองค์ความรู้ไปใช้ในการพัฒนาระบบบริการสังคมสงเคราะห์ รวมทั้ง นำไปพัฒนาตนเอง และพัฒนาการทำงาน เพื่อพัฒนาองค์กรของตนเอง ๙.๕ มีการดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้บริการประชาชนแบบองค์รวมตาม อำนาจหน้าที่ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ๙.๖ การประยุกต์ใช้ศาสตร์ และศิลป์แห่งวิชาชีพสังคมสงเคราะห์ในการปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่น และปฏิบัติงานเพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชน


รูปภาพประกอบการเรียนหลักสูตรนักสังคมสงเคราะห์ รุ่นที่ 3 ระหว่างวันที่ 4-21 มิถุนายน 2567 วันที่ 4 มิถุนายน 2567 ลงทะเบียนและปฐมนิเทศ PRI-TEST


วันที่ 5 มิถุนายน 2567


วันที่ 6 มิถุนายน 2567 เช้า


วันที่ 6 มิถุนายน 2567 บ่าย


วันที่ 7 มิถุนายน 2567 เช้า


วันที่ 7 มิถุนายน 2567 บ่าย


วันที่ 8 มิถุนายน 2567 เช้า


วันที่ 8 มิถุนายน 2567 บ่าย


วันที่ 9 มิถุนายน 2567 เช้า


Click to View FlipBook Version