คำยืมภาษาเขมร
คณะผู้จัดทำ
ด.ช.ชลที เตรียมลิขิตกุล เลขที่ 3 ชั้น ม.3/2
ด.ช.ภาสวิชญ์ จีนใจตรง เลขที่ 13 ชั้น ม.3/2
ด.ช.ไรวินท์ พลัดเกตุ เลขที่ 15 ชั้น ม.3/2
ด.ช.ศักดา โคตวิทย์ เลขที่ 17 ชั้น ม.3/2
ด.ช.อชิรวัฒน์ เจิมขุนทด เลขที่ 19 ชั้น ม.3/2
เส
นอ
คุณครูจิตติมา ทองพร
កម្ពុជា។
หลักการสังเกต
1.มักเป็นคำโดด(ที่อาจต้องแปลเพิ่ม)
2.มักสะกดด้วย จ ญ ร ล ส (เจ้าหญิงรักลูกสาว#หลักการจำ)
3.ส่วนใหญ่ไม่มีรูปวรรณยุกต์
4.นิยมใช้อักษรนำและควบกล้ำ
5.มักขึ้นต้นด้วย บัง บัน บรร บำ
6.มักขึ้นต้นด้วยสระอำ
7.เป็นคำแผลง (การแปลงเสียง/พยัญชนะ)
8.มักเป็นคำราชาศัพท์
ที่มาและความสำคัญ
คําเขมรเข้าสู่ภาษาไทยโดยทางการเมือง ทางวัฒนธรรมและทาง ภูมิ
ศาสตร ไทยเรายืมคําเขมรมาใช้โดยการทับศัพท์ ทับศัพท์เสียงเปลี่ยน
ไป และเปลี่ยน เสียงเปลี่ยนความหมาย
มีการยืมภาษามาตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงอยุธยาตอนต้น เนื่องจากพบ
จารึกและหลักฐานต่างๆ ที่เป็นอักษรขอมและเนื้อหามีคำยืมภาษาเขมร
ปะปนจำนวนมาก
วรรณคดีสมัยอยุธยาตอนต้นหลายเรื่องก็มีการใช้คำที่ยืมจากภาษาเขมร
เช่น มหาชาติคำหลวง
ตัวอย่างคำ
1.มักสะกดด้วย จ ญ ร ล ส
เช่น บำเพ็ญ กำธร ถกล ตรัส
2.มักเป็นคำควบกล้ำ
เช่น ไกร ขลัง ปรุง
3.มักใช้ บัง บัน บำ นำหน้าคำที่มีสองพยางค์
เช่น บังคม บันได บำเพ็ญ
4.นิยมใช้อักษรนำ
เช่น สนุก เสด็จ ถนน เฉลียว
5.ส่วนมากเป็นคำราชาศัพท์
เช่น บรรทม ขนง เสวย โปรด
6.มักแผลงคำได้
เช่น ข แผลงเป็น กระ ผ แผลงเป็น ประ
การยืมคำ
1.ยืมมาใช้โดยตรง
เช่น กะทิ บัง โปรด ผกา
2.ยืมเอาคำที่แผลงแล้วมาใช้
เช่น กังวน บำบัด แผนก ผจัญ
3.ยืมทั้งคำเดิมและคำที่แผลงแล้วมาใช้
เช่น เกิด-กำเนิด เดิน-ดำเนิน ตรา-ตำรา บวช-ผนวช
4.ใช้เป็นคำสามัญทั่วไป
เช่น ขนุน เจริญ ฉงน ถนอม สงบ
5.ใช้เป็นคำในวรรณคดี
เช่น ขจี เชวง เมิล สดำ สลา
6.ใช้เป็นคำราชาศัพท์
เช่น เขนาย ตรัส ทูล
7.นำมาใช้ทั้งเป็นภาษาพูดและภาษาเขียน
ขอขอ
บคุณ
សូមអរគុណ
Thank you