คำนำ
หนังสือด้วงกว่าง ด้วงแรด และด้วงมูลสัตว์ ในพื้นท่ีป่าอนุรักษ์
ฉบับน้ี สานักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช ได้จัดทาขึ้นโดยรวบรวม
ข้อมูล จ าก ง า น วิจั ย แ ล ะฐา น ข้อมูล ควา มห ล า กหล า ย ทาง ชี วภ าพ ใน พ้ื น ที่
ป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศ รายละเอียดในเล่มได้กล่าวถึงข้อมูลรายช่ือ ชนิด
ลักษณะทั่วไป เขตการแพร่กระจาย เกร็ดน่ารู้ และสถานภาพทางกฎหมาย
ของด้วงกว่าง ด้วงแรด และด้วงมูลสัตว์ จานวน 25 ชนิด เหมาะสาหรับ
บุคคลทั่วไป ผสู้ นใจ และผูป้ ฏิบัติงานภาคสนาม ในการศึกษาเรียนรู้ถึงวิธีการ
สารวจ การจาแนกชนิด โดยเปรียบเทียบจากลักษณะภายนอกเป็นเบื้องต้น
ซ่ึ ง ด้ ว ง บ า ง ช นิ ด เ ป็ น แ ม ล ง คุ้ ม ค ร อ ง แ ล ะ แ ม ล ง ห้ า ม ก า ร น า เ ข้ า -ส่ ง อ อ ก
ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ปา่ พ.ศ. 2535
สานักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธ์ุพืช หวังเป็นอย่างย่ิงว่า หนังสือ
ด้วงกว่าง ด้วงแรด และด้วงมูลสัตว์ในพ้ืนท่ีป่าอนุรักษ์น้ี จะเป็นประโยชน์
แก่ผู้สนใจท่ัวไปและเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานภาคสนาม ของกรมอุทยาน
แห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ในการศึกษาเรียนรู้และการสารวจทรัพยากร
ในพ้ืนท่ี เพ่ือถ่ายทอดองค์ความรู้และสร้างความตระหนักในการอนุรักษ์
ทรพั ยากรอันมีค่าให้ยั่งยืนสืบไป
(นายธนติ ย์ หนยู มิ้ )
ผอู้ านวยการสานักวิจัยการอนุรกั ษป์ ่าไม้และพันธพ์ุ ชื
สำรบัญ หน้า
เร่ือง 1
4
บทนา 5
ลกั ษณะทว่ั ไปของด้วง 9
วิธีการสารวจ 11
ด้วงกว่างชน 13
ดว้ งกว่างหา้ เขา 15
ดว้ งกว่างซางสยาม 17
ด้วงกวา่ งหกู ระต่าย 19
ดว้ งกวา่ งสามเขาจันท์ 21
ด้วงกว่างสามเขาเขาใหญ่ 23
ดว้ งกวา่ งดาวแพรี่ 25
ดว้ งกว่างดาวเกสทรอยด์ 27
ดว้ งกว่างญ่ีป่นุ 29
ดว้ งแรดมะพรา้ ว 31
ด้วงแรดกะนู 33
ด้วงแรดมะตะบัน 35
ดว้ งแรดมองโกล 37
ด้วงแรดหนอ่ ไม้ 39
ด้วงแรดจีน 41
ด้วงแรดบางเขน 43
ด้วงแรดอกเว้า
ด้วงคราม
สำรบญั (ตอ่ ) หน้า
เรื่อง 45
47
ด้วงข้ชี ้าง 49
ด้วงกุดจี่แดง 51
ด้วงขีห้ มู 53
ด้วงกดุ จเ่ี รอื ซอ้ น 55
ด้วงขรี้ อบตาล 57
ดว้ งคางคกสันขวาง
ดว้ งคางคกขายาวสองหยกั
เอกสารอ้างอิง
1 ด้วงกว่ำง ด้วงแรด และดว้ งมลู สัตว์ในพนื้ ท่ีปำ่ อนรุ กั ษ์
บทนำ
ดว้ งกว่าง ดว้ งแรด และดว้ งมูลสัตว์ เปน็ แมลงปีกแข็งท่ีจัดอยู่ในอันดับ
Coleoptera วงศ์ Scarabaeidae เป็นแมลงท่ีมีจานวนชนิดมากท่ีสุดในโลก
ประมาณ 40% ของจานวนแมลงทั้งหมดหรือกว่า 400,000 ชนิด พบการ
กระจายอยู่ในแถบเอเชีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แอฟริกา ยุโรป หมู่เกาะ
แปซิฟิก และอเมริกาใต้ ลักษณะทั่วไปของด้วง คือ มีปีก 2 คู่ โดยปีกคู่หน้า
เป็นปีกแข็งที่มีความหนาใช้ในการเป็นเกราะห่อหุ้มลาตัว ส่วนปีกคู่หลัง
มลี ักษณะบาง โปร่งแสง พับซ้อนอยูใ่ ตป้ กี คู่หนา้ ใชใ้ นการทรงตัวและควบคุม
การบิน ด้วงจะกางปีกคู่หลังเฉพาะเวลาบิน บริเวณขา ลาตัวและด้านใต้ท้อง
มีขนสีน้าตาลหรือน้าตาลแดงข้ึนปกคลุม ด้วงกว่างและด้วงแรดที่พบใน
ประเทศไทยมีประมาณ 19 ชนิด มีลักษณะที่สาคัญ คือ เพศผู้มีเขาท่ีงอกออก
จากบรเิ วณส่วนหวั และส่วนอก แตล่ ะชนิดจะมีรูปแบบและจานวนแตกต่างกัน
เขาของเพศผู้มีไว้เพื่อการต่อสู้กับศัตรูและแย่งชิงเพศเมียเพื่อการผสมพันธ์ุ
ด้วงกว่างดาวเพศผู้จะใช้ขาหน้าที่มีความยาวมากกว่าขาคู่อ่ืน ยึดจับเพศเมีย
ในขณะผสมพนั ธ์ุ เพศเมยี ของด้วงกว่างและด้วงแรดส่วนใหญ่ไม่มีเขา แต่จะมี
บางชนิดท่ีมีเขาขนาดเล็กและส้ัน ด้วงจัดเป็นแมลงที่มีวงจรชีวิตแบบสมบูรณ์
ประกอบด้วย 4 ระยะ ไดแ้ ก่ ระยะไข่ ตัวหนอน ดกั แด้ และตวั เตม็ วยั มวี งจรชวี ติ
ประมาณ 1-2 ปี ตลอดวงจรชีวิตของด้วงจะมีความสัมพันธ์กับระบบนิเวศ
โดยตวั เตม็ วัยของดว้ งกวา่ งและดว้ งแรด จะวางไข่ในดินที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง
บางชนิดวางไข่ในเศษซากอินทรียวัตถุท่ีเน่าเป่ือย เมื่อไข่ฟักออกมาตัวหนอน
จะอาศัยอยู่บริเวณกองอินทรียวัตถุ เช่น ลาต้นมะพร้าวท่ีถูกตัดโค่น กอต้นไผ่
เศษขีเ้ ล่ือยและกองป๋ยุ หมกั กัดกินเศษซากอินทรียวัตถุเป็นอาหาร โดยจะเริ่ม
กัดแทะเพื่อย่อยให้มีขนาดเล็กลงก่อนแล้วกินเป็นอาหาร เมื่อถึงระยะดักแด้
จะเข้าดกั แด้ในดินหรือในบรเิ วณกองเศษซากอินทรยี วัตถุ
ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้นื ท่ีป่ำอนรุ ักษ์ 2|
ด้วงกว่างและด้วงแรดนับว่าเป็นผู้ย่อยสลายอันดับต้นๆ รองมาจาก
จุลินทรีย์ท่ีมีความสาคัญในระบบนิเวศ มูลของด้วงยังช่วยเพ่ิมธาตุอาหาร
เป็นปุ๋ยบารุงดินและให้ความอุดมสมบูรณ์แก่ต้นไม้อีกด้วย ด้วงตัวเต็มวัย
จะอาศัยดูดกินน้าเล้ียงและน้ายางจากลาต้น ยอดไม้ ก่ิงไม้และราก แต่ไม่ได้
ทาให้พืชตาย ด้วงกว่างและด้วงแรดเป็นแมลงยอดนิยมท่ีนักสะสมแมลงต้องการ
ครอบครอง เนื่องจากความโดดเด่นของเขาท่ีมีรูปทรงสวยงามหลากหลายรูปแบบ
ทาให้เกิดความช่ืนชอบนิยมเพาะเล้ียงเป็นสัตว์เล้ียงและซ้ือขายแลกเปลี่ยนกัน
จนเกิดธุรกิจการค้าแมลงสวยงาม ในช่วงฤดูฝนเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม
ประเพณีพื้นบ้านทางภาคเหนือ โดยเฉพาะจังหวัดน่าน นิยมจัดให้มีเทศกาลชนกว่าง
โดยจะทาการคัดเลือกกวา่ งชนเพศผจู้ ากธรรมชาติ ซ่งึ ต้องเป็นกว่างที่มลี ักษณะดี
มีขนาดใหญ่ เขายาวและแข็งแรง มาแข่งขันชนกัน ชาวชนบทในภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ นิยมนาตัวหนอน ดักแด้และตัวเต็มวัย ของด้วงหลายชนิดมาบริโภค
เป็นอาหาร ซ่ึงเป็นท่นี ่ากังวลว่าปัจจยั จากการถกู รุกรานจากมนุษย์และการถูก
คุกคามแหล่งที่อยู่อาศัย เป็นเหตุให้ความหลากหลายทางพันธุกรรมและปริมาณ
ของดว้ งในธรรมชาติหลายชนิดเร่ิมลดลง จนกระท่ังด้วงบางชนิดอาจสูญพันธ์ุ
ไปแล้ว ปัจจุบันได้มีกฎหมายในการควบคุมการค้าแมลงโดยกาหนดชนิดพันธ์ุ
แมลงที่ต้องควบคุมการนาเข้า-ส่งออกตามความในมาตรา 23 วรรคหน่ึง แห่ง
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ประกาศชนิดสัตว์ป่าท่ี
ห้ามนาเข้า-ส่งออก เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า
และพันธ์ุพืช จานวน 23 รายการ ซึ่งได้ครอบคลุมถึง ด้วงสวยงามหลายชนิด เช่น
กว่างสามเขาเขาใหญ่ กวา่ งสามเขาจันท์ กว่างซางสยาม กว่างหา้ เขา ด้วงคมี ทกุ ชนิด
และด้วงมูลสัตว์บางชนิด นอกจากนี้กฎกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ
ส่ิงแวดล้อม พ.ศ. 2546 ได้กาหนดให้ด้วง 4 ชนิด ได้แก่ ด้วงคีมยีราฟ ด้วงกว่างดาว
ด้วงดนิ ปีกแผน่ และด้วงดนิ ขอบทองแดง เป็นแมลงคมุ้ ครองของประเทศไทยอกี ดว้ ย
3 ด้วงกว่ำง ดว้ งแรด และดว้ งมลู สตั วใ์ นพ้ืนทป่ี ำ่ อนรุ กั ษ์
ด้วงมูลสัตว์ เป็นแมลงปีกแข็ง จัดอยู่ในอันดับ Coleoptera วงศ์
Aphodiidae และ Scarabaeidae พบการแพร่กระจายอยู่ทั่วไปในเขตร้อน
และเขตอบอุ่น ด้วงมูลสัตว์มีวงจรชีวิตและรูปร่างเช่นเดียวกับด้วงปีกแข็ง
ทั่วไปแต่มีลักษณะสาคัญ คือ ขาคู่หน้าเป็นขาแบบขุดขนาดใหญ่ ส้ันและ
แข็งแรงใช้ในการขุดดินเพื่อฝังมูล ขาคู่หลังมีลักษณะเรียวยาว ใช้ในการกล้ิง
ก้อนมูล ด้วงมูลสัตว์มีบทบาทสาคัญในระบบนิเวศ คือ จะทาหน้าที่เป็น
ผู้ย่อยสลายซากพืช ซากสัตว์ เห็ดรา และจุลินทรีย์ นอกจากเป็นผู้ย่อยสลาย
แล้วด้วงมูลสัตว์ยังทาหน้าที่เป็นตัวกระจายพันธุ์พืชลาดับท่ี 2 ต่อจากสัตว์อื่น
โดยการกล้ิงมูลที่มีเมล็ดพันธุ์พืชไปฝังในดินเพ่ือใช้เป็นอาหารเลี้ยงตัวอ่อน
ชนิดของอาหารถือเป็นปัจจัยสาคัญท่ีมีผลต่อความหลากหลายชนิดและการ
กระจายตัวของด้วงมูลสัตว์ เนื่องจากด้วงมูลสัตว์กินมูลของสัตว์เป็นอาหาร
ซ่ึงบางชนิดมีความจาเพาะเจาะจงกับชนิดของมูลสัตว์ ดังน้ันจึงมีความสัมพันธ์
กับสัตว์ท่อี าศัยอยใู่ นป่าโดยตรง ด้วงมลู สตั ว์จะมีวงจรชวี ิตประมาณ 1-2 ปี
จากพฤติกรรมการสร้างรังวางไข่ของด้วงมูลสัตว์ สามารถจาแนก
ดว้ งมูลสตั ว์ออกเป็น 4 กลุ่ม ไดแ้ ก่
1. กลุ่ม Tunneller เป็นกลุ่มของด้วงที่รวบรวมมูลของสัตว์แล้วป้ัน
เป็นก้อนกลม ๆ นาก้อนมูลท่ีปั้นได้ไปฝังไว้ใต้กองมูลด้วยการขุดโพรงภายใต้
กองมูล ส่วนใหญ่เป็นดว้ งมูลสัตว์ที่หากินเวลากลางคนื
2. กลุ่ม Roller เปน็ กลมุ่ ของด้วงทีป่ ้ันก้อนมูลเป็นก้อนกลม แล้วกล้ิง
กอ้ นมูลทป่ี ้ันไวไ้ ปฝงั ในดินซึ่งอยู่ห่างจากกองมลู ของสัตว์ หรอื ซอ่ นไว้
3. กลุ่ม Dweller เป็นกลุ่มของด้วงที่อาศัย สร้างรัง และวางไข่
บนกอ้ นมูลสตั ว์โดยตรง ไมข่ ุดรู หรือเคลือ่ นย้ายก้อนมลู ไปทอ่ี นื่
4. กลุ่ม Kleptoparasite เปน็ กลุม่ ของดว้ งทค่ี อยขโมย หรอื แยง่ กอ้ นมลู
จากด้วงในกลุ่ม Roller เพื่อนาไปเปน็ รังวางไข่ของตวั เอง
ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และดว้ งมูลสัตวใ์ นพ้นื ที่ปำ่ อนุรกั ษ์ 4|
ลกั ษณะท่วั ไปของด้วง (ด้ำนบน : dorsal view)
5 ด้วงกวำ่ ง ดว้ งแรด และดว้ งมลู สตั ว์ในพื้นท่ีป่ำอนุรกั ษ์
วิธีกำรสำรวจด้วง
การสารวจความหลากหลายและความชุกชุมของด้วง ควรเร่ิมจาก
การศกึ ษาขอ้ มลู รูปภาพและรายละเอียดเรื่องถิ่นท่อี ยู่อาศยั และลักษณะสาคัญ
ของด้วงท่ีจะทาการสารวจก่อน เพื่อให้สารวจพบด้วงกลุ่มเป้าหมายและ
สามารถจาแนกชนิดพันธุ์เบ้ืองต้นได้ การสารวจด้วงมักจะใช้วิธีการสารวจ
3 วิธี ได้แก่ การสารวจในแหล่งท่ีอยู่อาศัย การใช้กับดักแสงไฟและการใช้
กับดักหลุม โดยมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี
1. การสารวจแหล่งที่อยู่อาศัย เป็นการเดินสารวจบริเวณถิ่นท่ีอยู่
อาศัยของด้วง ทั้งในระยะตัวหนอนและตัวเต็มวัย โดยการเดินสารวจบริเวณ
ปา่ ไผใ่ นชว่ งฤดูฝน สังเกตบรเิ วณยอดตน้ ไผแ่ ละหน่อไผ่ท่ีแตกข้ึนมาใหม่จะพบ
ด้วงกว่างห้าเขา และด้วงแรดหน่อไม้ บริเวณรากของต้นมะกอกป่าจะเป็นที่
อยู่อาศัยของด้วงแรดมะตะบัน การขุดคุ้ยดินบริเวณซากไม้ผุ กองเศษซาก
อินทรียวัตถุ กองมูลสัตว์ ดินโป่งสัตว์ บริเวณที่มีความช้ืน และริมลาธาร
จะทาใหพ้ บระยะตวั หนอนของด้วงได้มากที่สดุ
ด้วงกว่ำง ดว้ งแรด และดว้ งมลู สัตวใ์ นพนื้ ทป่ี ำ่ อนรุ กั ษ์ 6|
2. การติดตั้งกับดักแสงไฟ คัดเลือกพื้นที่ติดต้ังกับดักควรเป็น
ลานโล่งกว้าง ท่ีสูงหรือบริเวณหน้าผา เพ่ือให้แสงไฟจากหลอดไฟสามารถ
สอ่ งสวา่ งไปได้ในระยะไกล เพ่ือล่อแมลงกลุ่มผีเส้ือกลางคืนและด้วง ซ่ึงแมลง
จะมีพฤติกรรมบินเข้าหาแสงไฟในช่วงแสงท่ีมีความยาวคล่ืน 300-400 nm.
ใช้ผ้าสีขาว ขนาด 1.5 x 2 เมตร ขึงให้ตึงเป็นฉากหลัง ใช้ไฟ Black light
แขวนด้านบนผ้า หรือตัดผ้าสีขาวลักษณะเป็นทรงกระโจมสูง 2 เมตร ใช้ไฟ
แสงจันทร์ขนาด 250-500 วัตต์ ผูกแขวนด้านในกระโจม เร่ิมเปิดไฟเวลา
ประมาณ 19.00 น. ถึง 5.00 น. สารวจแมลงท่ีมาเกาะผ้าด้านนอก
7 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั ว์ในพืน้ ที่ป่ำอนรุ ักษ์
3. การใช้กับดักหลุมตก ขุดหลุมสาหรับวางกับดักลึกประมาณ
20 เซนตเิ มตร ใช้ถงั น้าหรอื แกว้ พลาสตกิ ปากกว้าง ขนาดความจปุ ระมาณ 300 ml.
วางภาชนะในหลุมเกลี่ยดินให้ปากถังเสมอพื้นดิน ใส่มูลสัตว์ประมาณ 100 กรัม
ลงในถังเพื่อเป็นเหย่ือล่อ ใช้แผ่นพลาสติกทาหลังคา พร้อมปักไม้แหลม 2 ข้าง
เพื่อป้องกันฝนและเศษใบไม้ร่วงหล่นลงไปวางกับดักไว้ 1-3 คืน เก็บตัวอย่าง
ดว้ งมูลสตั ว์ทีต่ กลงไปในกับดัก
Xylotrupes gideon9 ด้วงกว่ำง ด้วงแรด และดว้ งมลู สัตว์ในพ้นื ท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สัตวป์ า่ และพันธุ์พืช
ดว้ งกวำ่ ง ด้วงแรด และดว้ งมลู สตั วใ์ นพน้ื ทป่ี ่ำอนุรักษ์ 10|
กว่ำงชน
Xylotrupes gideon
ลกั ษณะทวั่ ไป เปน็ ดว้ งขนาดกลางถงึ ขนาดใหญ่ มีสีนา้ ตาลอมแดงจนถึงดา
ผิวปีกเรยี บเป็นมนั วาว
เพศผู้ สว่ นหัวมีเขาโคง้ ข้ึน ปลายแยกเป็น 2 แฉก ส่วนอกมีเขาโคง้ งอ
มาด้านหนา้ ปลายแยกเปน็ 2 แฉก
เพศเมีย ลกั ษณะเหมอื นเพศผูแ้ ตไ่ ม่มีเขา บริเวณสว่ นอกมีผวิ ขรขุ ระ
ขนำด 28-55 มิลลเิ มตร
เขตกำรแพร่กระจำย ทวั่ ประเทศ
เกร็ดนำ่ รู้ ในช่วงเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม ประเพณีทางภาคเหนือ
นิยมจัดให้มีเทศกาลชนกว่าง โดยจะนากว่างตัวผู้ท่ีมีลักษณะ
สวยงามจัดหาคู่ต่อสู้ที่เหมาะสม ซึ่งเปรียบเทียบดูจากขนาด
ลาตัวและเขา มาแข่งขันกันบนสังเวียนท่ีจัดไว้ นากว่างตัวผู้มาวาง
บนกระบอกไม้แล้วนาตัวเมียมาใส่รูปิดไว้ให้เห็นเพียงข้างหลัง
เพ่ือให้กลิ่นของตัวเมียดึงดูดตัวผู้ ด้วงกว่างชนตัวผู้จะสู้กันเพ่ือ
แยง่ ชิงตัวเมีย ตัวท่ีชนะ คือ ตัวที่แข็งแรงสามารถใช้เขางัดอีกตัวหนึ่ง
ใหล้ อยควา่ หงายทอ้ งได้ นับเป็นการละเล่นพื้นบ้านของชาวล้านนา
ทน่ี ิยมเลน่ กนั มาเป็นเวลานาน กอ่ นยุคของพระนางจามเทวี
สถำนภำพ -
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตว์ปา่ และพันธุ์พชื
Eupatorus gracilicornis11 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื
ดว้ งกวำ่ ง ดว้ งแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพืน้ ทีป่ ่ำอนรุ ักษ์ 12|
กว่ำงหำ้ เขำ กว่ำงซำงเหนอื
Eupatorus gracilicornis
ลักษณะท่วั ไป เปน็ ดว้ งขนาดใหญ่ ส่วนหวั และอกมสี ีดา ปกี สีน้าตาลออ่ น
ขอบปกี มเี สน้ สดี า
เพศผู้ มี 5 เขา ส่วนหัวมีเขายาวแหลมโค้งไปทางด้านหลัง 1 เขา
บรเิ วณขอบอกดา้ นล่างและดา้ นบนมีเขาแหลมคม 2 คู่
เพศเมยี ลกั ษณะเหมือนเพศผูแ้ ตไ่ มม่ ีเขา
ขนำด 40-65 มลิ ลิเมตร
เขตกำรแพร่กระจำย เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน พิษณุโลก ตาก เพชรบูรณ์
เลย ขอนแก่น กาญจนบรุ ี เพชรบรุ ี ราชบรุ ี
เกร็ดนำ่ รู้ เป็นด้วงที่มีการปรากฏช่วงส้ันๆ จานวนมาก ในช่วงเดือนกันยายน
สถำนภำพ ถึงเดือนตุลาคม มักออกมาบินเล่นแสงไฟ เพื่อจับคู่ผสมพันธ์ุ
หลังจากผสมพันธุ์ตัวเมียจะขุดหลุมและฝังตัวในดินเพื่อวางไข่
แล้วตาย ปัจจุบันด้วงชนิดน้ีเร่ิมพบได้น้อยลง เนื่องจากมีวงจรชีวิต
ที่ยาวนาน และชาวบ้านหลายท้องถิ่นนิยมจับด้วงตัวเต็มวัย
เพศเมียที่มีไข่ในท้องและตัวหนอนด้วงนาไปบริโภค อีกท้ังยังเป็น
แมลงสวยงามเปน็ ทต่ี อ้ งการของนกั สะสมแมลงเพ่ือการคา้ อกี ด้วย
แมลงห้ามนาเข้า-ส่งออกตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครอง
สตั วป์ ่า พ.ศ. 2535
กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์ุพชื
Eupatorus siamensis13 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื
ดว้ งกวำ่ ง ดว้ งแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพื้นที่ปำ่ อนุรกั ษ์ 14|
กว่ำงซำงสยำม กว่ำงซำงอีสำน
Eupatorus siamensis
ลักษณะท่วั ไป เปน็ ดว้ งขนาดใหญ่ สีน้าตาลแดง
เพศผู้ สว่ นหวั มีเขายาวแหลมโคง้ ไปทางดา้ นหลงั บริเวณปลายอกปล้องแรก
มเี ขาสัน้ ๆ แหลมคม 1 คู่ บริเวณสันหลังอกมีเขาอีก 1 คู่ ลักษณะเขา
โค้งเฉียง ฐานตั้งขึ้น ปลายชี้ไปด้านหน้าในแนวระนาบ ในเพศผู้
ขนาดเล็ก เขาจะลดรูปเหลือเพียงตุ่มนูนเลก็ ๆ
เพศเมีย ลักษณะเหมือนเพศผูแ้ ตไ่ มม่ ีเขา
ขนำด 40-60 มลิ ลิเมตร
เขตแพร่กระจำย นครราชสมี า ชยั ภมู ิ เลย
เกร็ดน่ำรู้ ตามชื่อที่มาของสปีชีส์ siamensis แสดงถึงมีการสารวจพบด้วง
ชนิดนี้ครั้งแรกในประเทศไทย และเป็นแมลงเฉพาะถ่ินในเขต
ภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื
สถำนภำพ แมลงหา้ มนาเขา้ -สง่ ออกตามพระราชบัญญตั สิ งวนและคุ้มครอง
สัตวป์ ่า พ.ศ. 2535
กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั วป์ ่า และพันธุ์พชื
Eupatorus birmanicus15 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื
ด้วงกวำ่ ง ด้วงแรด และดว้ งมูลสตั วใ์ นพื้นทป่ี ำ่ อนรุ ักษ์ 16|
กว่ำงหูกระต่ำย กวำ่ งซำงพม่ำ
Eupatorus birmanicus
ลักษณะทวั่ ไป เปน็ ด้วงขนาดใหญ่ สนี า้ ตาลแดง ผิวเรยี บ ไม่มนั วาว
เพศผู้ ส่วนหัวมีเขายาวแหลมโค้งไปทางด้านหลัง ขอบอกด้านล่างมีเขา
สั้นๆ 1 คู่ อกด้านบนยกตัวขึ้นมีเขาชี้ขึ้น 1 คู่ ลักษณะคล้าย
หูกระตา่ ย
เพศเมีย ลักษณะเหมือนเพศผแู้ ต่ไมม่ ีเขา มตี มุ่ นนู เล็กๆทหี่ ัว 1 ตุ่ม
ขนำด 40-60 มลิ ลเิ มตร
เขตแพรก่ ระจำย เชียงใหม่ แมฮ่ อ่ งสอน พิษณโุ ลก ตาก เพชรบูรณ์ เลย
ราชบุรี กาญจนบุรี
เกรด็ นำ่ รู้ ด้วงชนิดนี้มักจะอาศัยอยู่ในป่าไผ่ ส่วนใหญ่จะพบร่องรอยการ
กัดแทะหน่อไมเ้ ปน็ ขุยสีขาว ชอบฝงั ตัวอย่ใู นหนอ่ ไผ่ผากขนาดใหญ่
ท่ีมีรสชาติขม มักมีพฤติกรรมรุมกินเฉพาะไผ่บางกอเท่าน้ัน ปัจจุบัน
พบได้เฉพาะฤดฝู นเท่าน้ัน
สถำนภำพ แมลงห้ามนาเข้า-ส่งออกตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครอง
สัตวป์ ่า พ.ศ. 2535
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ ่า และพนั ธุ์พชื
Chalcosoma caucasus17 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื
ดว้ งกว่ำง ดว้ งแรด และด้วงมูลสตั วใ์ นพน้ื ทีป่ ำ่ อนุรักษ์ 18|
กว่ำงสำมเขำจนั ท์ กว่ำงสำมเขำคอเคซสั
Chalcosoma caucasus
ลกั ษณะทว่ั ไป เปน็ กว่างสามเขาทม่ี ขี นาดใหญ่ท่ีสดุ ในประเทศไทยลักษณะคลา้ ย
ด้วงกว่างสามเขาเขาใหญ่ แตม่ ขี นาดใหญก่ ว่า ส่วนหวั อก และ
ปกี มสี ดี าเหลอื บเขียวเข้ม
เพศผู้ ส่วนหัวมีเขาโค้งยาวปลายแหลม และใกล้โคนเขามีหนามย่ืนออกมา
1 อัน ส่วนกลางอกยกตัวขึ้นมีเขาแหลมยาวชม้ี าด้านหน้า 1 คู่
เพศเมยี ไม่มีเขา ขาส้ันกว่าเพศผู้ มีขนสีน้าตาลแดงอ่อนนุ่มเหมือนกามะหยี่
ข้ึนปกคลมุ อย่บู ริเวณปีกคหู่ นา้
ขนำด 50-90 มิลลเิ มตร
เขตกำรแพร่กระจำย จนั ทบุรี ตราด ตาก นครราชสมี า
เกร็ดน่ำรู้ มีวงจรชีวิตยาวนานกว่า 1 ปี พบเห็นได้ในช่วงเดือนพฤษภาคม
ถึงเดือนสิงหาคม ชอบบินเข้าหาแสงไฟเพ่ือจับคู่ผสมพันธ์ุ
เปน็ ดว้ งทมี่ ีขนาดใหญ่ และสวยงาม มักถกู คกุ คามจากนกั สะสมแมลง
สถำนภำพ แมลงห้ามนาเข้า-ส่งออก ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครอง
สัตวป์ า่ พ.ศ. 2535
กรมอทุ ยานแหง่ ชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์พุ ชื
Chalcosoma atlas19 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื
ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และดว้ งมลู สตั วใ์ นพ้ืนที่ป่ำอนรุ กั ษ์ 20|
กวำ่ งสำมเขำเขำใหญ่ กว่ำงสำมเขำแอตลำส
Chalcosoma atlas
ลกั ษณะท่ัวไป เป็นกว่างสามเขาท่มี ขี นาดใหญ่ ลกั ษณะคล้ายดว้ งกวา่ งสามเขาจันท์
แตม่ ขี นาดเลก็ กวา่ ส่วนหัว อกและปีก มีสีดาเหลอื บเขียวแวววาว
เพศผู้ ส่วนหัวมีเขาโค้งยาวปลายแหลม บริเวณส่วนกลางของเขาด้านใน
มีรอยหยักลักษณะคล้ายฟันเล่ือย ส่วนกลางอกยกตัวขึ้นมีเขาแหลม
ยาว 1 คู่ ขอบอกด้านบนส่วนหัวมีเขาเล็กๆ แหลมคมย่ืนไปข้างหน้า
1 เขา ในเพศผขู้ นาดเล็กบรเิ วณปลายเขาจะแตกออกเป็น 3 แฉก
เพศเมยี ไม่มเี ขา ขาสน้ั กวา่ เพศผู้ บริเวณอกและปีกคู่หน้าขรุขระ มีขนสี
น้าตาลออ่ นข้นึ ปกคลุมบรเิ วณปีกคูห่ น้าเลก็ นอ้ ย
ขนำด 45-80 มิลลิเมตร
เขตกำรแพร่กระจำย แมฮ่ ่องสอน เชียงใหม่ ตาก กาญจนบุรี นครราชสมี า
ราชบุรี จนั ทบุรี
เกรด็ นำ่ รู้ ลักษณะคลา้ ยกวา่ งสามเขาเขาใหญ่ แต่มสี ีทีป่ กี คู่หน้าเปน็ สีเขียว
เหลอื บเมทาลิค เป็นที่นยิ มของนกั สะสมแมลง
สถำนภำพ แมลงห้ามนาเข้า-ส่งออก ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครอง
สัตวป์ ่า พ.ศ. 2535
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพนั ธ์พุ ืช
Cheirotonus parryi21 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื
ดว้ งกวำ่ ง ด้วงแรด และดว้ งมูลสัตวใ์ นพน้ื ท่ีป่ำอนุรักษ์ 22|
กว่ำงดำวแพรี่ กว่ำงดำวหนำมขำตรง
Cheirotonus parryi
ลักษณะทั่วไป เปน็ ดว้ งขนาดใหญ่ ลักษณะคลา้ ยด้วงกวา่ งดาวเกสทรอยด์สว่ นอก
มีสีเขยี วแวววาว ผวิ หยาบและขรุขระ มีรอ่ งลกึ ตรงกลางสนั หลัง
อกพน้ื ปกี คหู่ นา้ มีสีดา มีจดุ และแถบห่างสสี ม้ กระจายท่วั ปกี เปน็ ทีม่ า
ของช่ือ “ดว้ งกวา่ งดาว” ลาตวั ด้านล่างมีขนสีน้าตาลอ่อนขึน้ เล็กน้อย
ขาทุกคูม่ หี นาม
เพศผู้ มขี าคหู่ น้าขนาดยาวยื่นออกไปดา้ นหนา้ เพ่ือใช้ในการยดึ จับเพศเมยี
ในการผสมพนั ธุ์ ด้านในของขาทอ่ นบน มีหนามแหลมเลก็ ๆ 1 อัน
ชไี้ ปดา้ นหนา้ ในลกั ษณะทีต่ ง้ั ฉากกบั ขาทอ่ นบน
เพศเมีย ขาคหู่ น้าสั้น ปลายท้องมขี นสนี า้ ตาลเลก็ น้อย
ขนำด 50-80 มิลลเิ มตร
เขตกำรแพร่กระจำย เชียงใหม่ ลาปาง น่าน พิษณุโลก เพชรบูรณ์ ตาก ชัยภูมิ
หนองคาย สระแก้ว จันทบรุ ี เพชรบรุ ี
เกรด็ น่ำรู้ ด้วงชนดิ น้ีมกั พบในฤดูฝน อาศัยอยบู่ รเิ วณพ้นื ทส่ี ูง มขี าหนา้ ยาว
คล้ายเขากวาง รูปร่างแปลกตา และมีสีสนั ท่ีสวยงาม เปน็ แมลง
อีกชนดิ หน่งึ ท่ีมีความเสยี่ งตอ่ การสญู พันธ์ุ ไม่สามารถเพาะเล้ียงได้
สถำนภำพ แมลงคุ้มครองตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า
พ.ศ. 2535
กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธ์พุ ืช
Cheirotonus grestroi23 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื
ด้วงกวำ่ ง ด้วงแรด และดว้ งมูลสตั วใ์ นพื้นที่ป่ำอนุรักษ์ 24|
กว่ำงดำวเกสทรอยด์ กวำ่ งดำวหนำมขำเฉยี ง
Cheirotonus gestroi
ลักษณะท่ัวไป เปน็ ดว้ งขนาดใหญ่ ลักษณะคล้ายด้วงกว่างดาวแพรี่ แต่ส่วนอกมีสี
เขยี วแวววาว ผิวหยาบและขรขุ ระน้อยกว่าพนื้ ปีกค่หู นา้ มีสดี าทึบกว่า
และมีจุดสีส้มกระจายน้อยกว่า ลาตัวด้านล่างมีขนสีน้าตาลอ่อน
ขนึ้ อยู่หนาแนน่ ขาทุกค่มู หี นาม
เพศผู้ มีขาคู่หน้าขนาดยาวยื่นออกไปด้านหน้า ด้านในของขาท่อนบน
มีหนามเฉยี งๆ สน้ั ๆ ยื่นยาวไปด้านหน้าในลักษณะท่ีทามุมป้านกับ
ขาทอ่ นบน
เพศเมยี ไม่มีเขา ขาคู่หน้าสั้นกว่าเพศผู้ ปลายท้องปล้องสุดท้ายมีขน
สีนา้ ตาลขน้ึ เป็นกระจุก
ขนำด 50-90 มิลลิเมตร
เขตกำรแพรก่ ระจำย แมฮ่ อ่ งสอน นา่ น ขอนแกน่ นครราชสีมา จนั ทบรุ ี
เกรด็ น่ำรู้ คล้ายกว่างดาวแพร่ี แต่มีขนาดใหญ่และพบได้บ่อยกว่า มีสีสัน
สวยงามมักเป็นท่ีต้องการของนักสะสมแมลง ปัจจุบันถูกรุกราน
จากมนุษย์ด้วยการทาลายถิ่นที่อยู่อาศัยและพืชอาหาร จึงทาให้
เริ่มมปี ริมาณลดลงและเสยี่ งต่อการสญู พันธุ์
สถำนภำพ แมลงห้ามนาเข้า-ส่งออก ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครอง
สตั วป์ า่ พ.ศ. 2535
กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั ว์ป่า และพนั ธุพ์ ชื
Trypoxylus dichotomus25 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื
ด้วงกวำ่ ง ด้วงแรด และดว้ งมูลสัตวใ์ นพนื้ ท่ีป่ำอนุรกั ษ์ 26|
กว่ำงญ่ีปุน่
Trypoxylus dichotomus
ลกั ษณะทว่ั ไป เปน็ ดว้ งขนาดใหญ่ สว่ นหัวมีสดี าแดง ปีกสนี า้ ตาลแดง
เพศผู้ ส่วนหัวมีเขา ลักษณะเรียวยาว ยื่นตรงออกไปข้างหน้า ปลายเขา
แยกออกเป็น 2 กิ่ง ส่วนปลายกิ่งแต่ละอันแยกออกเป็น 2 แฉก
ส่วนกลางอกยกตัวขึ้นและมีเขาสั้นๆ ปลายเขาด้านบนมีแขนง
แตกออกเปน็ 2 แฉก
เพศเมยี มีสีดา สว่ นหัวไม่มีเขา ส่วนอกผวิ ขรขุ ระและมีร่องกลางอก
ขนำด 40-75 มลิ ลเิ มตร
เขตกำรแพร่กระจำย เชียงราย
เกรด็ น่ำรู้ เป็นด้วงขนาดใหญ่ท่ีออกหากินในเวลากลางคืน ชอบบินมาเล่นไฟ
เพื่อผสมพันธ์ุ มกั วางไข่ในดินท่ีมีความอุดมสมบูรณ์สูง คือ มีมูลสัตว์
และซากไม้ผุผสมอยู่ พฤติกรรมการต่อสู้ของกว่างชนิดน้ีไม่ได้ใช้
เขาหนบี กัน แต่ตวั ผ้ทู ี่มีขนาดเขายาวและแข็งแรงกว่าจะใช้เขาล่าง
งดั คู่ตอ่ สู้ให้ตกจากตน้ ไม้
สถำนภำพ แมลงห้ามนาเข้า-ส่งออก ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครอง
สตั วป์ า่ พ.ศ. 2535
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั วป์ ่า และพนั ธพุ์ ชื
Oryctes rhinoceros27 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื
ด้วงกวำ่ ง ด้วงแรด และด้วงมูลสัตวใ์ นพ้นื ทีป่ ำ่ อนุรักษ์ 28|
ด้วงแรดมะพรำ้ ว
Oryctes rhinoceros
ลักษณะท่ัวไป เป็นด้วงสีน้าตาลแดงเกือบดา ส่วนอกเว้าผิวปีกคู่หน้าขรุขระ
มีเส้นลากยาวตามแนวยาวของปีก มีขนสีน้าตาลอ่อนที่ด้านข้าง
ของสว่ นหัว อก ขา และดา้ นล่างของลาตวั
เพศผู้ ส่วนหัวมีเขาขนาดเลก็ ฐานสามเหลี่ยมคล้ายนอแรด
เพศเมยี ลกั ษณะเหมือนเพศผู้แต่เขาส้ัน ป้านกว่า และส่วนปลายของท้อง
ดา้ นล่างมกี ระจกุ ขนสีน้าตาล
ขนำด 35-45 มิลลเิ มตร
เขตกำรแพร่กระจำย ทวั่ ประเทศ
เกรด็ นำ่ รู้ ด้วงชนิดนี้ถือเป็นแมลงศัตรูพืชท่ีสาคัญมากของพืชจาพวกปาล์ม
และมะพร้าว ตัวเตม็ วยั จะกดั กินยอดออ่ นของพืชในเวลากลางคืน
ทาให้ยอดอ่อนและใบเสียหาย ตัวเต็มวัยจะวางไข่ในลาต้นมะพร้าว
หรอื ปาล์มท่ีถกู ตัดท้ิงไวบ้ นดินภายในสวน โดยหลังจากวางไข่แล้ว
จะฟักเป็นตวั หนอน กัดกินขุยมะพร้าวและไม้ผุเป็นอาหารเจริญเติบโต
อย่ดู า้ นลา่ งหรืออย่ใู นดนิ
สถำนภำพ ชนิดพันธ์ุตา่ งถ่นิ ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 28 เมษายน
พ.ศ.2552
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ปา่ และพันธพุ์ ชื
Oryctes gnu29 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื
ดว้ งกว่ำง ดว้ งแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้นื ท่ีปำ่ อนุรักษ์ 30|
ด้วงแรดกะนู ด้วงแรดมะพร้ำวใหญ่
Oryctes gnu
ลักษณะท่วั ไป คล้ายด้วงแรดมะพร้าวแตม่ ขี นาดใหญ่กวา่ ลาตัวสีนา้ ตาลแดงเกือบดา
มีขนสีนา้ ตาลอ่อนทด่ี ้านข้างของส่วนหวั อก ขา และด้านลา่ งของลาตวั
เพศผู้ มีเขาคลา้ ยนอแรดทีส่ ่วนหัวโค้งยาว อกด้านหน้ายุบตัวเปน็ หลมุ
ครงึ่ วงกลม
เพศเมีย มีลักษณะคลา้ ยเพศผแู้ ตม่ ีเขาสั้นกว่า
ขนำด 55-65 มลิ ลิเมตร
เขตกำรแพร่กระจำย กาญจนบุรี ตาก จันทบรุ ี ราชบุรี เพชรบุรี กาแพงเพชร
เพชรบรู ณ์ พษิ ณโุ ลก ประจวบคีรีขนั ธ์
เกร็ดน่ำรู้ ด้วงชนิดน้ีถือเป็นแมลงศัตรูของมะพร้าว โดยตัวเต็มวัยจะกัดกิน
ยอดออ่ นทาให้ใบมะพรา้ วเสยี หาย วางไข่ในกองเศษซากอินทรียวัตถุ
ในแปลงมะพร้าว อาศัยปะปนอยู่กับด้วงแรดมะพร้าว
สถำนภำพ -
กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั วป์ า่ และพนั ธพ์ุ ชื
Trichogomphus martabani31 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื
ด้วงกว่ำง ดว้ งแรด และด้วงมูลสตั วใ์ นพนื้ ท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์ 32|
ด้วงแรดมะตะบนั กว่ำงกอ็ ก
Trichogomphus martabani
ลกั ษณะทว่ั ไป ลาตวั สดี าเป็นเงา ปกี คู่หลงั ขรขุ ระ และมรี อยเส้นประเปน็ แถว
เพศผู้ ด้านบนของอกปล้องแรกยื่นยาวออกไปเป็นโหนกสันคล้ายเข่า
ขนาดใหญ่ 1 อัน ส่วนที่เป็นสันกะโหลกมีส่วนท่ีงอกย่ืนเป็นเขายาว
1 เขา
เพศเมยี ลักษณะเหมอื นเพศผแู้ ต่ไมม่ ีเขา
ขนำด 35-65 มลิ ลเิ มตร
เขตกำรแพร่กระจำย เชียงใหม่ พษิ ณุโลก อุตรดิตถ์ น่าน เพชรบรู ณ์ เลย
ขอนแก่น นครราชสมี า ชัยภูมิ เพชรบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี
เกร็ดนำ่ รู้ ด้วงชนิดน้ี ตัวเต็มวัยมักอาศัยอยู่บริเวณรากต้นมะกอกป่า โดยจะ
ขดุ ดนิ ลึกลงไปประมาณ 30-60 เซนติเมตร เพ่ือกัดกินรากพืชและ
วางไข่ในดิน แต่จะไม่ทาให้พืชถึงตาย สามารถเพิ่มความอุดมสมบรูณ์
ของดินได้ดีและทาใหด้ นิ ร่วนซุย พบไดท้ ว่ั ประเทศ
สถำนภำพ -
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ปา่ และพนั ธ์พุ ชื
Trichogomphus mongol33 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื
ดว้ งกวำ่ ง ด้วงแรด และดว้ งมลู สัตวใ์ นพ้นื ทป่ี ำ่ อนรุ กั ษ์ 34|
ด้วงแรดมองโกล
Trichogomphus mongol
ลกั ษณะท่วั ไป คลา้ ยด้วงแรดมะตะบัน แตผ่ วิ ปกี คหู่ น้าเรยี บ เป็นมันวาว
ไมม่ ีจุดประและรอยขรขุ ระ
ขนำด 35-65 มลิ ลเิ มตร
เขตกำรแพรก่ ระจำย เชียงราย เชียงใหม่ ลาปาง นครราชสีมา ราชบรุ ี
เกรด็ นำ่ รู้ เป็นด้วงที่ค่อนข้างหายาก มักพบในป่าท่ีมีความอุดมสมบูรณ์
ตัวเต็มวยั และตวั หนอน ชอบอาศยั อยูบ่ รเิ วณรากของ ต้นพญาเสอื โครง่
ปัจจุบันพบได้น้อยและยังไม่มีผู้ทาการศึกษาลักษณะทางชีววิทยา
และนิเวศวทิ ยาของดว้ งชนิดนี้
สถำนภำพ -
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พชื
Pachyoryctes solidus35 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื
ดว้ งกวำ่ ง ดว้ งแรด และด้วงมูลสัตวใ์ นพนื้ ที่ป่ำอนุรกั ษ์ 36|
ด้วงแรดหน่อไม้
Pachyoryctes solidus
ลกั ษณะทัว่ ไป ตัวเตม็ วัยขนาดใหญ่ มีสีดา เปน็ เงา
เพศผู้ มีเขายาวโค้งงอยื่นออกมาจากส่วนหัว 1 อัน ผิวบริเวณส่วนอกเรียบ
ยกตัวข้ึนเปน็ มมุ เฉยี ง สนั อกดา้ นบนมเี ขาเลก็ และสนั้ 1 คู่
เพศเมีย ลกั ษณะเหมอื นเพศผู้ มเี ขาเลก็ และส้ัน 1 อนั
ขนำด 40-55 มิลลิเมตร
เขตกำรแพร่กระจำย ลาปาง แพร่
เกรด็ นำ่ รู้ ด้วงชนิดน้ีเปน็ แมลงศัตรหู น่อไม้ มักพบบริเวณหนอ่ ไมแ้ ละรากต้นไผ่
สถำนภำพ -
กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั วป์ า่ และพันธพ์ุ ชื
Eophileurus chinensis37 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื
ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และดว้ งมูลสัตวใ์ นพน้ื ที่ป่ำอนุรักษ์ 38|
ด้วงแรดจีน
Eophileurus chinensis
ลักษณะท่วั ไป เปน็ ดว้ งขนาดเล็ก สีดามันวาว สว่ นอกโค้งมนเปน็ วงกลม มรี อยยบุ
ขนาดเลก็ บริเวณอก ผิวปกี คหู่ นา้ ขรุขระ มจี ุดประและร่องตืน้ ๆ
ตามความยาวของปกี มีขนสนี ้าตาลแดงขนึ้ กระจายโดยรอบบรเิ วณ
ส่วนหัว อก และท้อง
เพศผู้ มีเขาขนาดเล็กและส้ัน ขน้ึ จากส่วนหัว 1 เขา
เพศเมยี เหมือนเพศผู้ ขนาดเล็ก ไม่มเี ขา
ขนำด 15-25 มลิ ลเิ มตร
เขตกำรแพร่กระจำย เชียงใหม่
เกรด็ นำ่ รู้ เปน็ ด้วงที่มกี ารพบครง้ั แรกในประเทศจนี
สถำนภำพ -
กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตวป์ ่า และพันธ์พุ ชื
Eophileurus cingalensis39 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื
ด้วงกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมูลสัตวใ์ นพนื้ ท่ปี ่ำอนุรักษ์ 40|
ด้วงแรดบำงเขน
Eophileurus cingalensis
ลกั ษณะทวั่ ไป เปน็ ด้วงขนาดเล็ก สดี า สว่ นอกนูนเปน็ สีดามนั วาว อกส่วนหน้า
เวา้ เล็กน้อยมีรอยขรขุ ระ ปลายอกยกตัวขึ้นเปน็ หนามเล็กๆ 1 คู่
ปีกคู่หน้ามีจุดประกระจายตัวท่ัวปีก ลาตัวมีขนสีนา้ ตาลแดง
เล็กน้อย
เพศผู้ มเี ขาขนาดเลก็ ขึ้นจากสว่ นหวั 1 เขา
เพศเมยี ลักษณะเหมอื นเพศผูแ้ ต่ไมม่ ีเขา
ขนำด 20-25 มิลลิเมตร
เขตกำรแพร่กระจำย กรงุ เทพมหานคร
เกร็ดนำ่ รู้ เปน็ ดว้ งทีพ่ บในเขตบางเขน จึงมีช่ือสามญั ว่าด้วงแรดบางเขน
สถำนภำพ -
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สตั ว์ป่า และพันธ์ุพืช
Blabephorus pinguis41 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื
ดว้ งกว่ำง ดว้ งแรด และด้วงมูลสัตวใ์ นพ้นื ที่ป่ำอนุรกั ษ์ 42|
ด้วงแรดอกเวำ้ หรือ กว่ำงต่อ
Blabephorus pinguis
ลักษณะทั่วไป เปน็ ตวั ขนาดเลก็ ตวั เตม็ วัยมสี ีน้าตาลแดง
เพศผู้ สนั หลงั อกเวา้ ลึก มีเขาส้นั ๆ ที่สว่ นหวั
เพศเมยี ลักษณะเหมอื นเพศผู้แต่ไมม่ เี ขา
ขนำด 20-30 มลิ ลเิ มตร
เขตกำรแพร่กระจำย เชยี งราย เชยี งใหม่ เพชรบุรี
เกร็ดน่ำรู้ กว่างตอ่ มกั พบอยอู่ าศัยใตร้ งั ของตอ่ จงึ เป็นที่มาของช่ือ
“กวา่ งตอ่ ” โดยกวา่ งต่อจะไดร้ ับอาหารจากตวั ออ่ นของตอ่
สถำนภำพ -
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ า่ และพนั ธ์พุ ชื
Enoplotrupes sharpi43 ดว้ งกว่ำง ด้วงแรด และด้วงมลู สตั วใ์ นพ้ืนท่ปี ำ่ อนรุ กั ษ์
กรมอุทยานแหง่ ชาติ สัตวป์ ่า และพนั ธ์พุ ชื