The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องการคูณ ป.2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ครูปาณิสรา คำมูล, 2022-09-24 22:29:22

วิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องการคูณ ป.2

วิจัยเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เรื่องการคูณ ป.2

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอปุ ถมั ภ์) 15

โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอปุ ถมั ภ)์ 1ก6

ชือ่ ผลงานวจิ ัย การพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นวชิ าคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง การคณู
ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 2 โรงเรียนวัดบางไกรนอก (แย้มพร้อมอุปถัมภ)์ โดยการใช้
แบบฝึกเสรมิ ทักษะ

ช่ือผู้วิจัย นางสาวปาณสิ ราคำมลู
ปที วี่ ิจัย 2565

บทคัดย่อ

การวิจัยในชั้นเรียนเรื่อง การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณ นักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวดั บางไกรนอก (แย้มพร้อมอุปถัมภ์) โดยการใชแ้ บบฝกึ เสริมทักษะนี้มีวตั ถุประสงค์เพอื่
เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการคูณ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ก่อนและหลังการเรียนโดยใช้
แบบฝกึ ทกั ษะ และเปรยี บเทียบผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น หลงั การใช้แบบฝึกทักษะกบั เกณฑ์รอ้ ยละ 70

กลุ่มเป้าหมายท่ใี ช้ในการวจิ ยั ครัง้ น้ี คือ นกั เรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรียนวดั บางไกรนอก
(แย้มพร้อมอุปถัมภ์) อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 ได้มาด้วยวิธีการเลือก
แบบเจาะจงจำนวน 24 คน

เครื่องมอื ที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การคณู และเคร่ืองมือทีใ่ ช้ในการรวบรวมข้อมูล คือ
แบบฝกึ เสรมิ ทักษะ เรือ่ งการคณู และแบบทดสอบก่อนเรยี นและหลังเรยี น จำนวน 10 ข้อเป็นแบบทดสอบแบบปรนยั
ทผ่ี ้วู ิจยั สรา้ งขึ้นเองโดยสถติ ิท่ีใชใ้ นการวิเคราะหข์ ้อมูล ไดแ้ ก่ ค่าเฉลี่ย และร้อยละ

ผลการวจิ ัยพบว่า จากการทำแบบทดสอบหลงั เรยี นนักเรียนไดค้ ะแนนโดยเฉลย่ี เท่ากับ 7.67 คะแนน จาก
คะแนนเต็ม 10 คะแนน และเม่อื นำคะแนนหลังเรยี นไปเทียบกับเกณฑ์ 70% แล้ว พบว่านักเรยี นผ่านเกณฑท์ งั้ หมด
23 คน คดิ เปน็ ร้อยละ 95.83 และมนี กั เรยี นทไ่ี มผ่ ่านเกณฑ์จำนวน 1 คนคิดเป็นรอ้ ยละ 4.17 แสดงวา่ ผลการพัฒนา
ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี นคณิตศาสตร์ เร่อื ง การคณู สงู กว่ากว่าเกณฑ์ร้อยละ 70

โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอุปถัมภ์) 17ข

กิตติกรรมประกาศ

วิจัยฉบบั นส้ี ำเรจ็ ไดด้ ว้ ยความเมตตากรณุ าและความชว่ ยเหลอื เป็นอย่างดียงิ่ จากท่านผ้อู ำนวยการ
นายสนนั่ ไชยหงษ์ โรงเรียนวัดบางไกรนอก (แยม้ พร้อมอปุ ถมั ภ์)

อนึ่งผู้วิจัยหวังว่างานวิจัยฉบับนี้จะมีประโยชน์อยู่ไม่น้อยจึงขอมอบส่วนดีทั้งหมดนี้ให้แก่เหล่าคณาจารย์ที่ได้
ประสิทธิประสาทวิชาจนทำให้ผลงานวิจัยเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่เกีย่ วข้องและขอมอบความกตัญญูกตเวทิตาคณุ แด่บิดา
มารดา และผู้มีพระคุณทกุ ทา่ น สำหรบั ขอ้ บกพรอ่ งต่าง ๆ ท่อี าจจะเกดิ ขน้ึ นน้ั ผูว้ ิจัยขอนอ้ มรบั ผดิ เพียงผเู้ ดยี ว และยินดี
ที่จะรับฟังคำแนะนำจากทุกท่านท่ีได้เขา้ มาศึกษา เพอ่ื เป็นประโยชน์ในการพฒั นางานวิจัยต่อไป

ปาณิสรา คำมูล

สารบญั โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอุปถมั ภ)์ 1ค8

บทคดั ย่อ หนา้
กิตติกรรมประกาศ ก
สารบัญ ข
บทท่ี 1 บทนำ ค

ความเป็นมาและความสำคญั ของปญั หา 1
วตั ถปุ ระสงค์ของงานวิจัย 3
สมมตฐิ านการวจิ ยั 3
ขอบเขตของการวิจยั 3
นยิ ามศัพทเ์ ฉพาะ 4
ประโยชน์ทคี่ าดว่าจะไดร้ บั 4
บทที่ 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวข้อง
เอกสารทีเ่ ก่ียวข้องกับผลสมั ฤทธิท์ างการเรียน 5
เอกสารทเ่ี ก่ียวข้องกบั แบบฝกึ ทกั ษะ 5
ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง 6
งานวจิ ยั ที่เกย่ี วข้อง 9
บทท่ี 3 วิธีดำเนนิ การวจิ ัย
ประชากรและกลุม่ เปา้ หมาย 11
เครื่องมอื ที่ใช้ในการวิจัย
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล 15
บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
การวเิ คราะห์ข้อมลู 28
บทท่ี 5 สรปุ อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ 29
สรปุ ผลและอภิปรายผลการวิจัย 30
ขอ้ เสนอแนะ 31
บรรณานุกรม
ภาคผนวก

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอปุ ถัมภ์) 1

บทที่ 1
บทนำ

ทมี่ าและความสำคญั ของปัญหา

การศึกษาเป็นเครื่องมืออันสำคัญในการพัฒนาความรู้ความคิด ความประพฤติดี ทัศนคติ ค่านิยมและ
คุณธรรมของบุคคล เพื่อให้เป็นพลเมืองดีมีคุณภาพและประสิทธิภาพ เมื่อบ้านเมืองประกอบไปด้วยพลเมืองที่มี
คุณภาพและประสิทธิภาพ การพฒั นาประเทศชาติก็ย่อมดำเนินไปโดยสะดวกราบรนื่ ได้ผลทแี่ น่นอนและรวดเรว็ (พระ
ราชดำรัสพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว : 22 กรกฎาคม 2520) การศึกษาจึงเป็นกระบวนการสำคัญในการพัฒนาคน
เพื่อใหเ้ ป็นสมาชกิ ท่ดี ขี องครอบครัว ชุมชน สังคม เป็นกระบวนการเรียนรูเ้ พ่ือความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม
โดยการถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทาง
วิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้และปัจจัยเก้ือหนุนให้บุคคลเกิดการ
เรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบู รณ์ ทั้งร่างกาย
จิตใจ สติปัญญา ความรู้ มีคุณธรรม จริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมี
ความสุข (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ 2542 :3) ทิศทางการพัฒนาประเทศในแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
และสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) มุ่งสู่สังคมอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันจึงจำเป็นต้องพัฒนาคุณภาพคน
ไทยทุกมิติอย่างสมดุล ทั้งจิตใจ ร่างการ ความรู้และทักษะความสามารถเพื่อให้เพียบพร้อมทั้งด้าน “คุณธรรม” และ
“ความรู้” ซึ่งจะนำไปสู่การคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล รอบคอบและระมัดระวังด้วยจิตสำนึกในศีลธรรม และ
“คุณธรรม” ทำให้รูเท่าทนั การเปล่ียนแปลงและสามารถตัดสินใจโดยใช้หลัก “ความพอประมาณ” ในการดำเนินชีวิต
อย่างมีจริยธรรม ซื่อสัตย์สุจริตอดทนขยันหมั่นเพียร อันจะเป็น “ภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี” ให้คนพร้อมเผชิญการ
เปลยี่ นแปลงท่ีเกดิ ข้นึ (สำนักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ 2550 : 47)

จุดมุ่งหมายของแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 - 2564) ในด้านการศึกษา
เพื่อพัฒนากระบวนการสอนที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง ค้นหาศักยภาพเด็กเพื่อพัฒนาให้สอดรับกับความสามารถและ
ความถนดั สู่ความเป็นเลศิ เพ่มิ ความรูเ้ รื่องทกั ษะชีวิต ทักษะพื้นฐาน วฒั นธรรม ภูมิปญั ญาไว้ในหลกั สูตรการเรียนการ
สอนทุกรูปแบบ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 2560 : 64) คณิตศาสตร์เป็น
เครื่องมือในการศึกษาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนศาสตร์อื่นๆที่เกี่ยวข้อง จากการแข่งขันคณิตศาสตร์
โอลิมปิก ซึ่งเป็นการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการระหวา่ งประเทศ โดยผู้ที่คิดริเริ่มให้มีการแข่งขันมีความเห็นวา่ ถ้ามีการ
แข่งขันทางด้านวชิ าการเช่นเดยี วกับการแขง่ ขันกีฬาโอลิมปิก จะเป็นการพัฒนาความสามารถทางปัญญาของเยาวชน
ในโลกให้มศี ักยภาพสงู ขึ้น อันจะเป็นผลดีตอ่ การพฒั นาประเทศในระยะยาว (ยดุ า กีรติรกั ษ์ 2551 :1)

โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอปุ ถมั ภ)์ 2

คณิตศาสตร์มีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมี
เหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วนรอบคอบ ช่วยให้คาดการณ์
วางแผน ตดั สินใจ แก้ปัญหา และนำไปใชใ้ นชีวิตประจำวันไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสม นอกจากน้ี คณติ ศาสตร์ยงั เป็น

เคร่อื งมอื ในการศึกษาทางดา้ นวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และศาสตรอ์ นื่ ๆ คณติ ศาสตรจ์ งึ มปี ระโยชนต์ ่อการดำเนินชีวิต
ช่วยพฒั นาคุณภาพชีวิตให้ดีข้ึน และสามารถอยู่รว่ มกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข (สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ัน
พื้นฐาน. 2551 : 1) นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังมีประโยชน์ในการนำไปใช้ประจำวันและในการงานอาชีพ เป็นเครื่อง
ปลูกฝงั หรอื ฝึกจติ ให้ผเู้ รียนเป็นผู้ทม่ี ีนิสัยชา่ งสังเกต แสดงความคดิ ออกมาอย่างเป็นระเบียบ งา่ ย ส้นั และชัดเจน (ปิย
รัตน์ จาตุรันตบุตร. 2547 : 30) อีกทั้งยังเป็นภาษาสากลที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน ในการสื่อสาร สื่อความหมาย และ
ถา่ ยทอดความรู้ระหวา่ งศาสตร์ตา่ งๆ (กรมวิชาการ. 2545 : 2)

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2560) ได้บรรจุคณิตศาสตร์เป็น
วิชาพื้นฐานให้นักเรียนได้เรียนทุกช่วงชั้น และบรรจุคณิตศาสตร์เป็นวิชาเพิ่มเติมสำหรับนักเรียนที่มีความสนใจ
ทางด้านคณิตศาสตร์ ส่วนการจัดการเรียนการสอนจะต้องสนองต่อพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุท ธศักราช
2542 หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรยี นทุกคนมีความสามารถเรียนรู้
และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กล่าวคือ ผู้สอนต้องคำนึงถึงการพัฒนาการทางด้านร่างกาย
และสติปัญญา วิธีการเรยี นรู้ ความสนใจ ความสามารถของผู้เรยี นเป็นระยะๆอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น การจัดการเรียนรู้
ทุกช่วงชั้นควรใช้รูปแบบวิธีการที่หลากหลาย เน้นการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนตามสภาพจริง การเรียนรู้ด้วย
ตนเอง การเรียนรู้ร่วมกัน การเรียนรู้จากธรรมชาติ การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง การเรียนรู้แบบบูร ณาการ (กรม
วิชาการ. 2544 : 21) ซงึ่ มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรยี นรใู้ ห้สถานศึกษาและหน่วยงานท่ีเกย่ี วข้องจัดเนื้อหาสาระ
และกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ทักษะ
กระบวนการคิด การจัดการเผชิญสถานการณ์ และการประยกุ ต์ความรู้มาใช้เพ่ือป้องกนั และแก้ปัญหา จดั กจิ กรรรมให้
ผู้เรียนได้รู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง
(สำนกั งานปฏริ ูปการศกึ ษา. 2542 : 9-10)

สภาพการจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ที่ผ่านมา การจัดกิจกรรมการเรียนรู้มุ่งเน้นการถ่ายทอด
เนื้อหาวิชาโดยมีครูเป็นจุดศูนย์กลางของการจัดการเรียนรู้ไม่เน้นกระบวนการคิด การพิจารณาไตร่ตรองและการ
แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ลักษณะการจัดการเรียนรู้ปิดโอกาสการแสดงออกของผู้เรียนในเรือ่ งของการคิดวิเคราะห์
การสังเคราะห์ และขาดทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ ดังนั้น เมื่อนักเรียนพบปัญหาที่นอกเหนือจากตำราเรยี น
จึงไม่สามารถวเิ คราะหป์ ญั หาและแกป้ ัญหานนั้ ได้ สง่ ผลทำให้ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนกลุ่มสาระการเรยี นรคู้ ณิตศาสตร์
อยู่ในระดับที่ไม่น่าพอใจ จะเห็นได้จากการศึกษาแนวโน้มการจัดการศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ระดับ
นานาชาติ (TIMSS 2007) การประเมนิ ครอบคลุมเน้ือหาดา้ นคณติ ศาสตร์และวิทยาศาสตร์ตามหลักสูตรถึงระดับช้ันที่
ประเมิน ประเทศไทยได้ร่วมประเมินนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 ผลการวิจัยพบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
คณติ ศาสตร์ของไทยได้คะแนนเฉล่ยี 441 ซึ่งตำกวา่ คะแนนเฉลย่ี นานาชาติ (500 คะแนน) นกั เรียนมีแนวโน้มคะแนน
คณิตศาสตร์ลดลง และมีคะแนนพฤติกรรมการเรียนรู้ด้านการประยุกต์ใช้ความรู้ต่ำกว่าด้านความรู้/ความเข้าใจและ

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอปุ ถมั ภ์) 3

การบูรณาการความรู้และการให้เหตุผล(โครงการ TIMSS 2007 2552 : 7-11) ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดและหลักการในการ
จัดการเรียนรเู้ พื่อเปรยี บเทยี บผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน ทกั ษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ และการคิดวิเคราะห์

หลังจากผู้วิจัยได้ทำการทดลองสอนคณิตศาสตร์พื้นฐาน ค12102 เรื่องการหารชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ซ่ึง
ผู้วิจัยได้รับการมอบหมายจากโรงเรียนให้สอนนักเรยี นชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 1 ห้องนักเรียนทั้งหมด 24 คน
เมอ่ื ไดท้ ำการสอนแล้วพบว่ามนี ักเรียนจำนวนหน่งึ ท่มี ีปัญหาเกี่ยวกับการคูณ ซง่ึ ถา้ ไม่สามารถหาผลคณู ได้อย่างถูกต้อง
ก็จะเป็นอุปสรรคในการเรียนการหาร

ดังนน้ั เพือ่ พัฒนาความสามารถของครูผู้สอนซ่ึงเป็นบุคคลสำคัญต่อการจดั การเรยี นรู้ของนักเรียน ให้สามารถ
สรา้ งสือ่ การสอนท่ีมีคุณภาพ สามารถพฒั นาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้บรรลุจดุ ประสงค์ ผู้วจิ ัยจึงได้จัดทำการวิจัย“การ
พฒั นาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวชิ าคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณ ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนวัดบางไกร
นอก(แย้มพร้อมอุปถัมภ์) โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ” เพื่อส่งเสริมและพัฒนาการเรียนการสอนของผู้เรียน เรื่องการ
คณู ซงึ่ การจัดกจิ กรรมการเรียนรู้จะส่งผลใหส้ ามารถพัฒนาผู้เรยี นให้เกดิ การเรียนรู้ และมีทศั นคติท่ีดตี ่อการเรียนวิชา
คณติ ศาสตรต์ ่อไป

วัตถุประสงคก์ ารวจิ ัย

1. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการคูณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดบาง
ไกรนอก (แยม้ พร้อมอุปถมั ภ)์ กอ่ นและหลงั การเรียนโดยใชแ้ บบฝึกเสริมทกั ษะ

2.เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการคูณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดบาง
ไกรนอก (แย้มพรอ้ มอปุ ถมั ภ)์ หลังการใชแ้ บบฝึกทักษะกบั เกณฑ์ ร้อยละ 70

สมมตฐิ านการวจิ ยั

1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่องการคูณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดบางไกร
นอก (แย้มพร้อมอปุ ถมั ภ)์ หลงั ใช้แบบฝกึ เสรมิ ทักษะสงู กวา่ ก่อนใชแ้ บบฝกึ เสริมทักษะ

2.ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์เรื่องการคูณของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดบางไกร
นอก (แย้มพรอ้ มอปุ ถัมภ)์ หลังการเรยี นโดยใช้แบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะ สงู กวา่ เกณฑร์ อ้ ยละ 70

ขอบเขตของการวิจัย

ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยศึกษาเฉพาะด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ ของนักเรียน
ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นวดั บางไกรนอก (แย้มพรอ้ มอปุ ถัมภ)์ จำนวน 24 คน ปีการศึกษา 2565

โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แย้มพร้อมอุปถมั ภ)์ 4

นยิ ามศพั ทเ์ ฉพาะ

1. แบบฝึกทักษะ หมายถึง เอกสารที่จัดทำขึ้น ที่ใช้เป็นสื่อประกอบการเรียนการสอน เพื่อให้นักเรียนได้ฝึก
ปฏบิ ตั ิ เปน็ การชว่ ยให้นกั เรยี นมคี วามเขา้ ใจบทเรียนได้ดีข้ึน

2. ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น หมายถึงคะแนนทไี่ ด้จากการสอบวดั ความรู้เกย่ี วกับวิจัยทางการศึกษาโดย
เปรียบเทยี บคะแนนกบั เกณฑ์รอ้ ยละ 70 ซง่ึ วดั ไดจ้ ากการทำแบบทดสอบ แบบปรนยั จำนวน 10 ข้อ 4 ตวั เลอื ก

ประโยชนท์ ค่ี าดวา่ จะได้รบั

ผลการวจิ ัยนี้จะเป็นประโยชน์ต่อ
1.นกั เรยี น : นกั เรียนมผี ลสัมฤทธท์ิ างการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง การคูณสูงขึ้น และยังสามารถเพ่ิมความ
ภาคภมู ิใจให้กับตวั นักเรยี นได้

2. ครผู ู้สอน : ครูผู้สอนในระดบั ชั้นอ่ืนๆสามารถนำแบบฝกึ เสริมทักษะไปใช้ในการสอนในเร่ืองการคูณและยัง
ช่วยให้นกั เรียนมีทักษะในเรอ่ื งการคณู เพิ่มมากข้ึน

3. โรงเรียน : โรงเรียนได้แนวทางในการสร้างสื่อการเรียนการสอนเพื่อใช้พัฒนาความรู้ความสามารถของ
นักเรยี นในเร่อื งอนื่ ๆ

โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอปุ ถัมภ)์ 5

บทท่ี 2
เอกสารและงานวิจัยที่เก่ียวขอ้ ง

ในการวจิ ยั คร้ังน้ีผวู้ ิจัยได้ดำเนนิ การศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกีย่ วขอ้ งดังหัวขอ้ ต่อไปนี้
1. เอกสารท่เี ก่ยี วข้องกบั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี น
1.1 แนวคดิ เก่ียวกบั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. เอกสารท่ีเก่ียวขอ้ งกับแบบฝึกทักษะ
3. ความร้เู ก่ยี วกับแบบฝึกเสริมทกั ษะ
4. งานวจิ ัยที่เก่ียวขอ้ ง
4.1 งานวิจัยในประเทศ
4.2 งานวจิ ยั ตา่ งประเทศ

1. เอกสารที่เก่ยี วขอ้ งกับผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน

1.1 แนวคดิ เกยี่ วกบั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน
กรมวิชาการ (หน้า :21) ได้ให้ความหมายว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ปริมาณและทักษะ

ความร้ใู นสาขาวิชาท่บี ุคคลได้รบั ลักษณะการจัดองคป์ ระกอบและโครงสร้างของความรู้และการใช้ประโยชน์โครงสร้าง
ของความรู้ ในการแก้ปัญหาในการคิดเชิงสร้างสรรค์ ในการประเมินความน่าเชื่อถือของข้ออ้างและในการศึกษา
คน้ คว้าต่อไป

1.2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิท์ างการเรียน
สมนึก ภัททิยธนี (หน้า : 78-82) ได้ให้ความหมายของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่า

หมายถงึ แบบทดสอบวดั สมรรถภาพทางสมองต่างๆ ท่ีนกั เรยี นได้รับการเรยี นรูผ้ ่านมาแลว้ ซ่งึ แบ่งได้เปน็ 2 ประเภท
คือ แบบทดสอบที่ครูสร้างกับแบบทดสอบมาตรฐาน แต่เนื่องจากครูต้องทำหน้าที่วัดผลนักเรียน คือเขียนข้อส อบ
วัดผลสัมฤทธิท์ ่ีตนไดส้ อน ซ่งึ เก่ยี วขอ้ งโดยตรงกบั แบบทดสอบท่คี รูสร้างและมหี ลายแบบ

2. เอกสารทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับแบบฝกึ ทกั ษะ

เพ็ญนพาพูพวก(2555 : บทคัดย่อ)การวจิ ยั ในช้ันเรยี นเร่ืองผลการใช้แบบฝึกทักษะเรอ่ื งเลขยกกำลงั ของ
นักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาปที ่ี 2 นม้ี วี ัตถปุ ระสงค์เพ่ือพัฒนาความสามารถในการใชค้ ุณสมบตั ิของเลขยกกำลังในการ
แก้ปญั หาการคณู และการหารเลขยกำาลังและการเขียนจานวนในรปู สัญกรณว์ ทิ ยาศาสตร์และเพื่อศึกษาผลการเรยี นรู้
ทคี่ าดหวังของนักเรยี นทเ่ี รียนเรอ่ื งเลขยกกำลงั กลุม่ ตวั อยา่ งเป็นนักเรียนช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 5 คนซ่งึ กาลงั
ศกึ ษาอยใู่ นภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2555 โรงเรียนอสั สัมชญั ศรีราชาจงั หวัดชลบรุ ี
เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวจิ ัยครง้ั นี้คือ (1) แบบฝกึ ทกั ษะเร่ืองเลขยกกาลงั จำนวน 4 ชดุ คอื ชดุ ที่ 1 เร่ืองความหมายของเลข
ยกกำลังชุดท่ี 2 เร่ืองการคูณเลขยกกาลงั ชดุ ที่ 3 เร่อื งการหารเลขยกกำลังชุดที่ 4 เร่ืองการเขยี นจำนวนในรูปสัญกรณ์
วทิ ยาศาสตร์ (2) แบบทดสอบวดั ผลการเรยี นรทู้ ี่คาดหวงั จำนวน 3 ชุด
วิธีการดำเนินการวิจยั โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวังทั้ง 3 ชดุ กอ่ นเรียนจากนั้นจัดกิจกรรม
การเรียนสอนตามแผนการจดั การเรียนรู้ให้นักเรียนทำแบบฝึกทักษะเรื่องเลขยกกำลังแล้วบันทึกผลสังเกตพฤติกรรม

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอุปถมั ภ์) 6

การเรยี นร้ใู ห้นกั เรยี นทำแบบทดสอบวดั ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวังหลังเรียนนำคะแนนมาเปรยี บเทียบระหว่างก่อนเรียน

และหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะเรื่องเลขยกกำลังผลการวิจัยพบว่านักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยก่อนเรียนคิดเป็นร้อยละ

54.5 มีคะแนนจากการทำกิจกรรมคิดเป็นร้อยละ 43.33 และมีคะแนนทดสอบหลงั เรียนคิดเป็นร้อยละ 74.5 ซ่งึ แสดง

วา่ นักเรียนจำนวน 5 คนมีผลการเรียนรทู้ ่ีคาดหวังเร่ืองเลขยกกำลงั มคี ะแนนสงู กว่าเกณฑ์ท่ีตั้งไวข้ ้อสังเกตที่ได้จากการ

วิจยั พบวา่ นกั เรียนทม่ี คี วามบกพรอ่ งในเรอื่ งการบวกลบจำนวนเตม็ จะทำให้ไมส่ ามารถหาผลคูณและผลหารของเลขยก

กำลังได้ถูกต้องและนักเรียนที่มีความบกพร่องเรื่องค่าประจ ำหลักของจำนวนไม่สามารถเขียนจำนวนในรูปสัญกรณ์

วิทยาศาสตรไ์ ด้

3. ความร้เู กยี่ วกับแบบฝึกเสริมทักษะ

ความหมายของแบบฝกึ เสริมทักษะ

ภาษาเป็นเรื่องทักษะ ซึ่งจำแนกได้เป็น 2 ทาง คือ ทักษะการรับเข้า ได้แก่ การอ่านและ

การฟงั และทกั ษะการแสดงออก ไดแ้ ก่ การพดู และเขยี น ทกั ษะทางภาษาจำเปน็ ต้องฝึกฝนอยู่เสมอ แบบฝกึ เสริม

ทักษะนับว่าเป็นสงิ่ ท่ีจำเป็นอย่างหนึ่งสำหรบั การเรียนภาษาไดม้ ผี ู้ร้แู ละผเู้ ชีย่ วชาญทางภาษา ให้ความหมายของแบบ

ฝกึ เสรมิ ทกั ษะไวด้ งั น้ี

ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2535 : 16) ให้ความหมาย แบบฝกึ เสริมทกั ษะวา่ หมายถงึ สงิ่ ทีน่ ักเรียน

ตอ้ งใช้ควบคู่กบั การเรยี น ซึ่งมลี ักษณะเป็นแบบฝึกที่ครอบคลุมกิจกรรมทนี่ ักเรียนพงึ กระทำ อาจกำหนดแยกเป็นแต่

ละหน่วย หรืออาจรวมเล่มกไ็ ด้

ลักษณา อินทะจักร (2538 : 161) ให้ความหมาย แบบฝึกเสริมทักษะว่า หมายถึง แบบฝึกที่

ครูสร้างขึน้ โดยมีจุดมุง่ หมายเพอ่ื ใหน้ ักเรียนเกิดการเรียนรูอ้ ย่างแท้จรงิ

ศศิธร ธัญลักษณานนั ท์ (2542 : 375) ใหค้ วามหมายแบบฝึกเสริมทักษะว่า หมายถงึ แบบฝึก

เสริมทักษะที่ใช้ฝึกความเข้าใจ ฝึกทักษะต่าง ๆ และทดสอบความสามารถของนักเรียนตามบทเรียนที่ครูสอน

วา่ นกั เรียนเขา้ ใจและสามารถนำไปใช้ได้มากนอ้ ยเพียงใด

กู๊ด (Good 1973 : 224, อ้างถึงใน ลักษณา อินทะจักร 2538 : 160) ให้ความหมายแบบฝึก

เสริมทักษะว่า หมายถึง งานหรือการบ้านที่ครูมอบหมายให้นักเรียนทำ เพื่อทบทวนความรู้ที่ได้เรียนมาแล้ว และ

เปน็ การฝกึ ทักษะการใช้กฎใชส้ ูตรตา่ ง ๆ ที่เรยี นไป

พจนานุกรม เวบสเตอร์ (Webster 1981 : 64) ให้ความหมายแบบฝึกเสริมทักษะว่า

หมายถึง โจทย์ปัญหา หรือตัวอย่างที่ยกมาจากหนังสือ เพื่อนำมาใช้สอนหรือให้ผู้เรียนฝึกฝนทักษะต่าง ๆ ให้ดี

ขึน้ หลังจากท่เี รยี นบทเรียนไปแล้ว

ดังน้นั จึงอาจกลา่ วไดว้ ่า แบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะ หมายถึง งานหรอื กิจกรรมทีค่ รู สรา้ ง

ข้นึ โดยมรี ูปแบบกิจกรรมทห่ี ลากหลาย มีจุดมงุ่ หมายเพอ่ื ฝกึ ให้นักเรียนมีความรู้ความเขา้ ใจบทเรียนไดด้ ยี งิ่ ขนึ้ และ

ช่วยฝึกทักษะต่าง ๆ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง อาจจะให้นักเรียนทำแบบฝึกขณะเรียนหรือหลังจากจบ

บทเรียนไปแล้วก็ได้

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แยม้ พรอ้ มอปุ ถัมภ)์ 7

ความสำคญั ของแบบฝึกเสรมิ ทักษะ

ภายหลังจากการจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอนไปแล้ว การเรยี นการสอนนน้ั ย่อม ไมเ่ กิดผลอย่าง

เต็มที่ถ้าไม่ได้รับการฝึกทักษะให้เกิดความชำนาญและเข้าใจอย่างแท้จริงโดยเฉพาะวิชาภาษาไทย เพราะภาษาไทย

เปน็ วิชาทกั ษะซึง่ เปน็ วิชาทีต่ อ้ งอาศยั การฝกึ ฝนเพ่ือเปน็ เคร่ืองมือในการเรยี นรวู้ ชิ าอ่นื ๆ และการดำเนินชวี ติ ประจำวัน

ตามที่หลักสตู รประถมศึกษา พุทธศกั ราช 2521 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2533) ต้องการ ดังน้นั ในการสอนภาษาไทย

จึงต้องมีการฝึกฝนให้เกิดความชำนาญคล่องแคล่ว เพื่อช่วยให้เด็กเกิดพัฒนาการทางภาษาเพิ่มขึ้นตามวัยและ

ความสามารถของตนที่จะทำได้ และเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ใช้ฝึกทักษะทางภาษาให้ได้ผลดีก็คือ แบบฝึกเสริม

ทักษะ ดังทีน่ กั วชิ าการหลายทา่ นไดก้ ล่าวถงึ ความสำคญั ของแบบฝึกเสริมทักษะไว้ดงั นี้

กมล ดิษฐกมล (2526 : 18, อ้างถึงใน ลักษณา อินทะจักร 2538 : 163) กล่าวว่า แบบฝึก

เสริมทักษะเป็นหัวใจของการสอนวิชาทักษะอยู่ที่การฝึก การฝึกอย่างถูกวิธีเท่านั้นจะทำให้เกิดความชำนิ

ชำนาญ คล่องแคลว่ ว่องไวและทำได้โดยอัตโนมัติ

วีระ ไทยพานิช (2528 : 11) ได้อธิบายว่า แบบฝึกเสริมทักษะทำให้เกิดการเรียนรู้จากการ

กระทำจริง เป็นประสบการณ์ตรงที่ผู้เรียนมจี ุดประสงค์แน่นอน ทำให้สามารถรูแ้ ละจดจำสิง่ ทีเ่ รยี นได้ดี จนนำไปใช้

ในสถานการณ์เชน่ เดยี วกันได้

เพตต้ี (Petty 1963 : 269) ได้กล่าวถึงความสำคัญของแบบฝึกเสริมทักษะไว้อย่างชัดเจนว่า

แบบฝึกเสริมทักษะเป็นส่วนเพิ่มเติมหรือเสริมหนังสือเรียนในการเรียนทักษะ เป็นอุปกรณ์การสอนที่

ช่วยลดภาระของครูได้มาก ช่วยส่งเสริมให้ทักษะทางภาษาคงทน ช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล เพราะ

การให้นกั เรยี นทำแบบฝึกเสรมิ ทักษะทเี่ หมาะสมกับความสามารถของตนเอง จะทำใหป้ ระสบผลสำเรจ็ ทางด้านจิตใจ

มาก ท้งั ยังชว่ ยให้นักเรียนสามารถทบทวนสิ่งท่ีเรยี นไดด้ ้วยตนเองและใช้เปน็ เครื่องมือวัดผลการเรยี นได้อีกด้วย

ดังนั้น แบบฝึกเสริมทักษะจึงเป็นเครื่องมือสำคัญ ที่จะช่วยให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของ

นกั เรียนสงู ข้ึน แบบฝึกเสริมทกั ษะจึงนบั ว่ามคี วามสำคัญและจำเปน็ ต่อการเรียนวิชาท่ีต้องการฝึกฝนเพ่ือให้เกิดความ

ชำนาญ มีความเขา้ ใจเนอ้ื หาบทเรียนมากย่ิงขน้ึ

ลักษณะทด่ี ีของแบบฝึกเสริมทักษะ

การสร้างแบบฝึกเสริมทักษะใหม้ ีประสิทธิภาพต้องมีหลักในการสร้างที่สอดคล้องกับลกั ษณะที่ดี

ของแบบฝกึ เสรมิ ทักษะด้วย ซึง่ มีผู้รูไ้ ด้เสนอแนะไวด้ งั นี้

การสร้างแบบฝึกเสริมทักษะให้มีประสิทธิภาพต้องมีหลักในการสร้างที่สอดคล้องกับลักษณะที่ดี

ของแบบฝึกเสรมิ ทกั ษะด้วย ซึง่ มผี รู้ ้ไู ดเ้ สนอแนะไว้ดังนี้

นิตยา ฤทธโ์ิ ยธี (2520 : 1) ไดก้ ลา่ วถงึ ลักษณะที่ดีของแบบฝึกเสรมิ ทักษะไว้วา่ แบบฝึก

เสริมทักษะต้องเก่ยี วขอ้ งกับสงิ่ ท่เี รียนมาแล้ว เหมาะสมกับระดบั วัย หรือความสามารถของเด็ก มีคำช้แี จงสั้น ๆ ที่

ทำให้เด็กเข้าใจวิธีทำได้ง่าย ใช้เวลาเหมาะสมหรือใช้เวลาไม่นาน และเป็นสิ่งที่น่าสนใจและท้าทายให้แสดง

ความสามารถ

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แยม้ พรอ้ มอุปถมั ภ)์ 8

สามารถ มศี รี (2530 : 28) กลา่ วว่า แบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะทด่ี ตี อ้ งเกย่ี วกับบทเรียนท่ีเรยี นมาแล้ว

เหมาะสมกับวัยของผู้เรียน มีคำสั่งและคำอธิบาย มีคำแนะนำการใช้แบบฝึก เสริมทักษะ มีรูปแบบที่

นา่ สนใจและมีกจิ กรรมท่หี ลากหลายรูปแบบ

โรจนา แสงรุ่งระวี (2531 : 22) กล่าวว่า แบบฝึกเสริมทักษะที่ดีนอกจากมีคำอธิบายชัดเจน

แล้วควรเป็นแบบฝกึ สั้น ๆ ใช้เวลาในการฝึกไม่นานเกินไปและมหี ลายรปู แบบ

ฉะนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า แบบฝึกเสริมทักษะที่ดี ครูผู้สร้างจะต้องยึดหลักจิตวิทยา ใช้สำนวน

ภาษาที่ง่าย เหมาะสมกับวัย ความสามารถของผู้เรียน มีกิจกรรมหลากหลาย มีคำสั่ง คำอธิบาย และคำแนะนำ

การใช้แบบฝึกเสริมทักษะทีช่ ัดเจนเข้าใจงา่ ย ใช้เวลาในการฝึกไม่นานและท่ีสำคัญมีความหมายต่อชีวิต เพื่อนำไปใช้

ในชวี ิตประจำวันได้

หลกั การสร้างแบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะ

การสรา้ งแบบฝกึ เสรมิ ทักษะให้มีประสทิ ธิภาพตอ้ งมหี ลกั การสรา้ งทส่ี อดคลอ้ งกับลกั ษณะที่ดีของ

แบบฝกึ เสรมิ ทักษะด้วย ซง่ึ ในเรื่องนี้ได้มผี เู้ สนอแนะไว้ดงั นี้

วรนาถ พ่วงสุวรรณ (2518 : 34 – 37) ไดใ้ ห้หลกั การสร้างแบบฝึกเสรมิ ทกั ษะไว้ดงั น้ี

1. ตงั้ จุดประสงค์

2. ศกึ ษาเกีย่ วกบั เน้ือหา

3. ข้นั ตา่ ง ๆ ในการสร้าง

3.1 ศึกษาปัญหาในการเรียนการสอน

3.2 ศึกษาหลกั จิตวทิ ยาของเด็กและจิตวทิ ยาการเรียนการสอน

3.3 ศกึ ษาเนื้อหาวชิ า

3.4 ศึกษาลกั ษณะของแบบฝึกเสริมทักษะ

3.5 วางโครงเรือ่ งและกำหนดรูปแบบใหส้ ัมพนั ธก์ ับโครงเร่อื ง

3.6 เลือกเนื้อหาต่าง ๆ ที่เหมาะสมมาบรรจุในแบบฝึกเสรมิ ทักษะให้ครบตามที่

กำหนด

เกสร รองเดช (2522 : 36 – 37) ได้เสนอแนะแนวทางในการสร้างแบบฝึกเสริมทกั ษะดงั น้ี

1. สร้างแบบฝกึ เสรมิ ทักษะให้เหมาะสมกบั วัยของนักเรียน คือ ไมง่ า่ ยไมย่ ากจนเกินไป

2. เรียงลำดับแบบฝึกเสริมทักษะจากง่ายไปหายาก โดยเริ่มจากการฝึกออกเสียงเป็น

พยางค์ คำ วลี ประโยค และคำประพันธ์

3. แบบฝึกเสริมทักษะบางแบบควรใช้ภาพประกอบ เพื่อดึงดูดความสนใจของนักเรียน ซึ่งจะ

ชว่ ยให้นกั เรียนประสบความสำเร็จในการฝกึ และจะชว่ ยยั่วยุใหต้ ดิ ตามตอ่ ไปตามหลักของการจงู ใจ

4. แบบฝึกเสริมทักษะที่สร้างขึ้นเป็นแบบฝึกสั้น ๆ ง่าย ๆ ใช้เวลาในการฝึก

ประมาณ 30 ถึง 45 นาที

5. เพื่อป้องกันความเบื่อหน่าย แบบฝึกต้องมีลักษณะต่าง ๆ เช่น ประสมคำจากภาพ เล่นกับ

บตั รภาพ เติมคำลงในชอ่ งว่าง อ่านคำประพันธ์ ฝกึ ร้องเพลง และใชเ้ กมตา่ ง ๆ ประกอบ

โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แยม้ พรอ้ มอปุ ถัมภ)์ 9

บอ็ ค (Bock 1993 : 3) ไดใ้ ห้ขอ้ พจิ ารณาในการสร้างแบบฝกึ เสริมทักษะ ดงั นี้
1. กำหนดจดุ ประสงค์ให้ชัดเจน เพอื่ ช่วยใหผ้ ูเ้ รยี นไดท้ ราบจดุ มุ่งหมายของแบบฝึกเสริมทกั ษะ
2. ให้รายละเอียดต่าง ๆ เชน่ คำแนะนำในการทำแบบฝึกเสริมทักษะหรือขัน้ ตอนในการทำอย่าง

ละเอยี ด
3. สร้างแบบฝึกเสริมทักษะให้มีรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อสร้างความเข้าใจให้กับนักเรียนมาก

ท่สี ดุ เช่น แบบฝึกเสรมิ ทักษะอาจใช้รูปแบบง่าย ๆ โดยเริม่ จากการให้นักเรียน ตอบคำถามในลักษณะถูกผิด
จนถึงการให้นักเรยี นแสดงความคิดเหน็

4. แบบฝึกเสริมทกั ษะควรสร้างความเขา้ ใจให้กับนักเรยี น เช่น การให้นักเรียนเขียนเรยี งลำดบั
เหตกุ ารณท์ ี่เกดิ ขน้ึ ลงในตารางหรือแผนภูมทิ ีก่ ำหนดให้

จากแนวคดิ ขา้ งตน้ สามารถสรุปไดว้ า่ การสรา้ งแบบฝึกเสริมทกั ษะควรมีหลักใน การสร้าง
ดงั นี้

1. ต้องยึดหลักจิตวิทยาการเรียนรู้และพัฒนาการของผู้เรียนในแต่ละวัย ต้องคำนึงถึง
ความสามารถ ความสนใจ แรงจูงใจของนักเรยี น

2. ต้องตั้งจุดประสงค์ในการฝึกว่าต้องการฝึกเสริมทักษะใด เนื้อหาใด ต้องการให้ผู้เรียนเกิด
การเรยี นรู้อะไร

3. แบบฝึกเสริมทักษะต้องไม่ยากไม่ง่ายจนเกินไป คำนึงถึงความสามารถของเด็กและต้อง
เรยี งลำดับจากง่ายไปหายาก

4. ตอ้ งศึกษาขน้ั ตอนตา่ ง ๆ ในการสร้างแบบฝกึ เสริมทกั ษะ ปญั หาและขอ้ บกพร่องของนกั เรยี น
5. แบบฝึกเสริมทักษะต้องมีคำชี้แจง และควรมีตัวอย่างเพื่อให้นักเรียนมีความเข้าใจมาก
ขน้ึ และสามารถทำไดด้ ้วยตนเอง
6. แบบฝึกเสริมทักษะควรมีหลายรูปแบบ หลายลักษณะ เพื่อจูงใจในการทำ ทำให้นักเรียนมี
ความรสู้ กึ ว่ามจี ำนวนไม่มาก
7. ควรมรี ปู ภาพประกอบที่สวยงามเหมาะสมกับวัยของเดก็
8. ควรใชภ้ าษาสน้ั ๆ ง่าย ๆ ไมว่ า่ จะเปน็ เน้ือหาหรอื คำสั่ง
9. ควรมีการทดลองใชเ้ พ่อื หาข้อบกพรอ่ งต่าง ๆ ก่อนนำไปใช้จรงิ
10. ควรจัดทำเปน็ รูปเล่ม ซึ่งสามารถเก็บรักษาไดง้ ่าย นักเรียนสามารถนำมาทบทวนก่อนสอบ
ได้

หลกั จิตวิทยาทีน่ ำมาใชใ้ นการสรา้ งแบบฝกึ เสรมิ ทักษะ
การสร้างแบบฝึกเสริมทักษะให้มีประสิทธิภาพ สำหรับนำไปใช้กับนักเรียนนั้น ต้องอาศัยหลัก
จิตวิทยาในการเรียนรู้ และทฤษฎีที่ถือว่าเป็นแนวความคิดพื้นฐานของการสร้างแบบฝึกเสริมทักษะเข้าช่วย เพื่อให้
สอดคล้องกับความสนใจและความสามารถของนกั เรียน

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แยม้ พรอ้ มอุปถัมภ์) 10

เดโช สวนานนท์ (2521 : 159 – 163) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรู้ของ ธอร์นไดค์ และสกิน
เนอร์ (Thorndike and Skinner) ดังนี้ ธอร์นไดค์ ได้ตั้งกฎการเรียนรู้ขึ้น 3 กฎ ซึ่งนำมาใช้ในการสร้างแบบฝึก
เสรมิ ทักษะ ได้แก่
1. กฎแห่งผล (Law of Effect) มีใจความว่าการเชอ่ื มโยงกนั ระหวา่ งสง่ิ เรา้ กบั การ ตอบสนองจะดยี ง่ิ ข้ึนเมื่อผ้เู รียน
แนใ่ จว่าพฤติกรรมตอบสนองของตนถูกตอ้ ง การใหร้ างวัลจะช่วยส่งเสรมิ การแสดงพฤตกิ รรมนัน้ ๆ อกี
2. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) มใี จความว่า การที่มโี อกาสได้กระทำซ้ำ ๆ ในพฤติกรรมใดพฤติกรรม
หนึง่ น้นั ๆ จะมีความสมบรู ณ์ย่ิงขึ้น การฝึกหดั ที่มกี ารควบคุมท่ดี ีจะสง่ เสรมิ ผลตอ่ การเรียนรู้
(http://www.oknation.net/blog/jib/2017/06/04/entry-1)

4. งานวิจยั ทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง

4.1 งานวจิ ยั ในประเทศ
เพลินพิศ กาสลัก (หน้า :180)ได้สร้างแบบทดลองการฝึกความสามารถในการแก้ปัญหาโจทย์

คณิตศาสตร์เร่ืองการหาปริมาตรและพื้นที่ผวิ สำหรับนักเรยี นช้ันมัธยมศึกษาปที ี่2 ผลการวจิ ัยพบว่า แบบทดสอบที่
ใช้ในการฝึกความสามารถในการแก้ปัญหาโจทย์คณิตศาสตร์เรื่องการหาปริมาตรและพื้นที่ผิวมีประสิทธิภาพทำให้
นักเรยี นมีการพฒั นาการเรยี นรู้ และมีความสามารถในการแก้โจทย์ปญั หาคณิตศาสตรม์ ากขึ้นกว่าเดิม

ชุลีพร แจ่มถนอม (หน้า :166)ได้สร้างแบบทดลองที่ใช้ในการฝึกการคิดโจทย์คำนวณเคมี เรื่อง
สมบัติของก๊าช สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผลการวิจัยพบว่าแบบทดสอบที่ใช้ในการคิดโจทย์คำนวณเคมี
เรื่องสมบัติของก๊าชมีประสิทธิภาพสามารถทำให้นักเรียนมีพัฒนาการเรียนรู้ และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนห ลังฝึกสูง
กว่าก่อนฝกึ อย่างมีนัยสำคญั ทางสถิตทีร่ ะดับ .05

4.2 งานวจิ ัยตา่ งประเทศ
แคลนตนั (Clantion,1977,pp.2690-2691-A อ้างใน ธนวรรณ ลม้ิ สนุ ทรชยั หนา้ : 38-39)ไดศ้ กึ ษา

ถึงผลวิธีการตัดอักษรตามวิธีสะกดคำโดยให้นักเรียนทำแบบฝึกหัดชนิดที่ลบอักษรออกจากคำ แล้วให้นักเรียนเติม
อักษรที่หายไปทำการทดลอง 3 สัปดาห์ละ 4 แบบฝึกหัด โดยทดลองกับนักเรียนระดับ 6 และ 7 จำนวน 194 คน
ผลการวิจัยพบว่า คะแนนการทดสอบของกลุ่มควบคุมไม่แตกต่างกัน แต่คะแนนกลุ่มทดลองหลังฝึกสูงกว่าก่อนการ
ฝกึ

โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอปุ ถัมภ)์ 11

บทที่ 3
วิธดี ำเนินการวจิ ยั

แบบแผนการทดลอง
การวจิ ัยคร้งั น้เี ป็นการวิจัยเชงิ ทดลอง ผวู้ จิ ยั ใชแ้ บบแผนการทดลองแบบกลมุ่ เดยี ววดั ผลก่อนและหลังการ

ทดลอง (One Group Pre-test Post-test Design) ซงึ่ มรี ายละเอียดแบบแผนดังนี้

กลมุ่ ตัวอย่าง/ การทดสอบ การทดลอง การทดสอบ
กล่มุ เป้าหมาย

E T1 X T2

เมื่อ E แทน นักเรียนทีเ่ ป็นกลุม่ ตัวอย่าง
แทน การทดสอบก่อนการทดลองใชแ้ บบฝึกเสริมทักษะ (Pre-test)
T1 แทน การทดลองใช้แบบฝกึ ทักษะ
X แทน การทดสอบหลงั การทดลองใชแ้ บบฝึกเสริมทักษะ (Post-test)

T2

กลมุ่ ตัวอยา่ ง
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดบางไกรนอก (แย้มพร้อม

อุปถัมภ์) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 24 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจงจากนักเรียนที่
คณุ ลักษณะผลการเรียนรายวชิ าตำ่ กวา่ เกณฑ์

เครือ่ งมอื และการหาคณุ ภาพเครอ่ื งมือ
1. เครื่องมือทใ่ี ชใ้ นการวจิ ัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือแบบฝึกทักษะทางคณิตศาสตร์เรื่อง การคูณมีกระบวนการในการสร้างและหา

คุณภาพเครื่องมอื ดงั น้ี
1.1 ศึกษาแนวคิด ที่เกี่ยวข้องกับ แผนการจัดการเรียนรู้ที่ใชแ้ บบฝึกทักษะ จากเอกสาร ตำรา และ

งานวจิ ยั ที่เกย่ี วข้อง
1.2 สร้างแผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่ใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ตามแนวคิดของ ธอร์นไดค์ กฎการเรียนร้ทู ่ี

สำคัญของ ธอร์นไดค์วา่ มีอยู่ 3 กฎ คอื
1) กฎแหง่ ความพึงพอใจ หรอื กฎแห่งผล ธอรน์ ไดค์ได้สรุปวา่ อนิ ทรีย์จะทำใน สงิ่ ท่ีก่อให้เกิดความ

พึงพอใจและจะหลีกเลี่ยงสิ่งที่ทำให้เขาไม่พึงพอใจ ธอร์นไดค์ได้เน้นถึง การใช้เทคนิคที่จะสรา้ งความพึงใจให้กับ
ผูเ้ รยี น เชน่ การชม การให้รางวลั

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอุปถัมภ์) 12

2) กฎแห่งความพร้อม การเรียนรู้จะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อผู้เรียนอยู่ในสภาพที่พร้อมจะเรียน
หรอื พรอ้ มท่ีจะทำกจิ กรรม ความพรอ้ มในทนี่ ้รี วมความถงึ ความพรอ้ มด้านรา่ งกาย สติปญั ญา สังคม และอารมณ์

3) กฎแหง่ การฝกึ หัด ประกอบด้วยกฎที่สำคญั 2 ข้อ คอื
ก. กฎแห่งการใช้พฤติกรรมใดที่อินทรีย์ได้มีการกระทำอยู่เสมอหรือมีการฝึกฝนอยู่เป็นประจำ

ไม่ไดท้ ิ้งชว่ งไวน้ าน อนิ ทรียย์ อ่ มเกิดทกั ษะและกระทำพฤติกรรมน้นั ได้ดี
ข. กฎแห่งการไม่ใช้พฤติกรรมใดก็ตามที่อินทรีย์ทิ้งช่วงไว้นานอินทรีย์ย่อมจะเกิดการลืมหรือ

กระทำพฤตกิ รรมนั้นไม่
จากการศกึ ษาแนวคิดของธอรน์ ไดค์ ผู้วจิ ยั จงึ สร้างแบบฝกึ ทักษะโดยเน้นถึงตวั ผู้เรียนเป็นสำคัญ โดย

แบบฝึกทักษะที่สร้างขึ้นจะเกี่ยวโยงกับชีวิตประจำวันของผู้เรียน รวมทั้งแบบฝึกทักษะที่สร้างขึ้นนั้นมีความคงทน
สามารถนำไปใชไ้ ดอ้ กี

2. เครือ่ งมือท่ีใชใ้ นการเก็บรวบรวมข้อมูล
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนเรื่อง การคูณ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 มีขั้นตอน

การสรา้ งและตรวจสอบคณุ ภาพดงั นี้
2.1 ศึกษาแนวคิด ที่เกี่ยวข้องกับ การสร้างแบบทดสอบแบบปรนัย วิธีการตรวจให้คะแนนและ

เกณฑก์ ารให้คะแนน จากเอกสาร ตำรา และงานวจิ ัยทีเ่ กี่ยวขอ้ ง
2.2 วิเคราะห์จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ และระดบั พฤติกรรมทตี่ อ้ งการวัด กำหนดจำนวนข้อสอบท่ีใช้วัด

ในแตล่ ะจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
2.3 ดำเนินการสร้างข้อสอบความสามารถในเร่อื งเลขยกกำลงั และเกณฑก์ ารตรวจใหค้ ะแนนตามผล

การเรียนรู้ที่คาดหวัง เรื่อง การคูณ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่สร้างตามตารางวิเคราะห์หลักสูตร เป็น
ข้อสอบแบบปรนัย จำนวน 10 ข้อ
การเกบ็ รวบรวมข้อมลู

ผวู้ ิจัยดำเนินการเกบ็ รวบรวมข้อมูลตามแบบแผนการทดลองทีก่ ำหนดไว้โดยมีขนั้ ตอนดังน้ี
1. วางแผนคดั เลือกนักเรียนที่จะเปน็ กลุ่มเป้าหมายในการวจิ ัยคร้ังนี้ โดยเลอื กจากนักเรยี นท่ตี นเองเป็นผู้สอน
ในรายวิชาคณิตศาสตรพ์ ื้นฐาน เพราะสังเกตได้ว่านักเรียนจะสับสนเกี่ยวกับเร่ืองการคูณ ทำให้ติดขัดในการสอนเรื่อง
อน่ื ๆ
2. คัดเลอื กนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย และทดสอบนักเรียนกอ่ นการเรยี นโดยใช้แบบฝึกเสริมทกั ษะ
3. ดำเนนิ การใช้แบบฝึกทักษะ กับนักเรยี นเปน็ ระเวลา 1 เดอื น ซึง่ เปน็ เวลาเรียนทกุ คาบ
4. ทดสอบนกั เรียนกลุ่มเปา้ หมายหลงั การเรียนโดยใช้แบบฝกึ เสรมิ ทักษะเร่ือง การคณู
5. นำข้อมูลทเ่ี กบ็ รวบรวมมาวิเคราะหต์ ามวัตถุประสงคก์ ารวจิ ยั ท่ีได้ตงั้ ไว้
6. สะท้อนผลการปฏิบตั ิ/การวจิ ัยเพอื่ พัฒนาการเรยี นรู้

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอปุ ถมั ภ)์ 13

การวเิ คราะหข์ ้อมูล
ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้การวิเคราะห์ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ( ̅) และส่วน

เบย่ี งเบนมาตรฐาน (S หรอื S.D.) ของผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นท่ีไดจ้ ากการทดสอบก่อนและหลังการ
ทดลอง

การหาค่าเฉลย่ี (arithmetic Mean) ของคะแนนผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนใชส้ ูตรดังน้ี

x = x
N

เมอื่ x แทน คะแนนเฉล่ีย

x แทน ผลรวมของคะแนนสอบท้ังหมด

N

N แทน จำนวนคนทีต่ อบขอ้ สอบทง้ั หมด

หาค่าสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) ใช้สตู รดงั นี้

S.D. = N  X 2 − ( x)2

N (N − 1)

เมอ่ื S.D. แทน ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน
x แทน คะแนนแตล่ ะคน
N แทน จำนวนคะแนนในกลมุ่

 แทน ผลรวม

โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอุปถัมภ์) 14

บทท่ี 4

ผลการวิเคราะหข์ ้อมูล

ผู้วิจัยนำเสนอผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะเรื่องการคูณของ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอุปถัมภ์) ดงั นี้

ตารางที่ 1 แสดงผลการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียนเรื่องการคูณของนักเรียน
ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรียนวดั บางไกรนอก (แย้มพรอ้ มอุปถัมภ์) กอ่ นและหลงั การใชแ้ บบฝึกเสริมทักษะ

นกั เรียนคนที่ คะแนนก่อนเรียน คะแนนหลังเรยี น ผลตา่ ง
(10 คะแนน) (10 คะแนน)
1 1
2 2 3 3
3 4 7 1
4 6 7 3
5 4 7 2
6 7 9 1
7 6 7 2
8 7 9 3
9 5 8 1
10 7 8 2
11 7 9 1
12 6 7 4
13 5 9 1
14 7 8 1
15 9 10 6
16 2 8 3
17 5 8 4
18 4 8 2
5 7

โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอปุ ถมั ภ)์ 15

19 6 71
20 5 83
21 4 84
22 6 82
23 7 70
24 4 73
เฉลี่ย 5.42 7.67

จากตารางที่ 1 แสดงชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดบางไกรนอก (แย้มพร้อมอุถัมภ์) ทั้ง 24 คน มีคะแนน
เฉลี่ยก่อนการเรียน เท่ากับ 5.42 มีคะแนนเฉลี่ยหลังการเรียนเท่ากับ 7.67 แสดงให้เห็นว่า นักเรียนมีคะแนน
ผลสมั ฤทธิท์ างการเรียนเรอ่ื งการคณู หลงั สงู กว่ากอ่ นเรยี น

โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอปุ ถัมภ์) 16

ตารางท่ี 2 แสดงผลการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียนเร่ืองการคณู ของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปีท่ี
2 โรงเรียนวดั บางไกรนอก (แย้มพร้อมอุปถัมภ์) หลังการใชแ้ บบฝึกเสรมิ ทักษะเปรียบเทยี บกับเกณฑ์ รอ้ ยละ 70

นกั เรียนคนท่ี คะแนนหลงั เรยี น ค่ารอ้ ยละ เทยี บกบั
(20 คะแนน) เกณฑ์(60%)
1.
2. 3 ผ่าน ไมผ่ า่ น
3. 7
4. 7 ✓
5. 7 ✓
6. 9 ✓
7. 7 ✓
8. 9 ✓
9. 8 ✓
10. 8 ✓
11. 9 ✓
12. 7 ✓
13. 9 ✓
14. 8 ✓
15. 10 ✓
16. 8 ✓
8 ✓



โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอปุ ถัมภ์) 17

นักเรียนคนท่ี คะแนนหลงั เรยี น คา่ รอ้ ยละ เทยี บกับ
(20 คะแนน) เกณฑ์(60%)
17. 8
18. 7 ผา่ น ไมผ่ า่ น
19. 7
20. 8 ✓
21. 8 ✓
22. 8 ✓
23. 7 ✓
24. 7 ✓




จากตารางท่ี 2 แสดงว่านักเรียนชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรยี นวัดบางไกรนอก (แยม้ พรอ้ มอุถัมภ)์ ทง้ั 24 คน
พบว่า นักเรียนผ่านเกณฑ์จำนวน 23 คน คิดเป็นร้อยละ 95.83 และมีนักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์จำนวน 1 คนคิดเป็น
รอ้ ยละ 4.17

โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอปุ ถมั ภ์) 18

ตารางที่ 3 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียนเรื่องการคูณ ของนักเรียนช้ัน
ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรียนวดั บางไกรนอก (แยม้ พร้อมอุปถัมภ์) หลงั การใช้แบบฝึกเสรมิ ทกั ษะ เล่มที่ 1 การคูณจำนวน
หนง่ึ หลักกบั จำนวนหนึง่ หลกั เปรียบเทียบกับเกณฑ์ รอ้ ยละ 70

นักเรียนคนท่ี คะแนนรวมเล่มท่ี 1 คา่ ร้อยละ เทียบกบั
(240 คะแนน) เกณฑ์(70%)
1 93.8 ผ่าน ไมผ่ า่ น
2 225 92.9
3 223 99.2 ✓
4 238 96.7 ✓
5 232 100.0 ✓
6 240 99.6 ✓
7 239 95.8 ✓
8 230 97.9 ✓
9 235 98.3 ✓
10 236 98.3 ✓
11 236 100.0 ✓
12 240 97.9 ✓
13 235 95.4 ✓
14 229 97.9 ✓
15 235 99.6 ✓
239 ✓


โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอปุ ถัมภ์) 19

นักเรยี นคนที่ คะแนนรวมเลม่ ท่ี 1 คา่ ร้อยละ เทียบกับ
(240 คะแนน) เกณฑ์(70%)
88.8 ผา่ น ไม่ผา่ น
16 213 98.8
17 237 97.5 ✓
18 234 89.6 ✓
19 215 84.6 ✓
20 203 98.3 ✓
21 236 97.9 ✓
22 235 80.0 ✓
23 192 85.0 ✓
24 204 ✓
95.2 ✓
เฉล่ยี ✓

จากตารางท่ี 3 แสดงวา่ นักเรียนช้นั ประถมศกึ ษาปที ี่ 2 โรงเรียนวัดบางไกรนอก (แย้มพร้อมอุถัมภ)์ ทั้ง 24 คน
พบว่า นักเรยี นผ่านเกณฑท์ ำแบบฝึกเสริมทักษะการคณู เล่ม 1 จำนวน 24 คน คิดเปน็ ร้อยละ 100

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอุปถมั ภ์) 20

ตารางที่ 4 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียนเรื่องการคูณ ของนักเรียนช้ัน
ประถมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรยี นวัดบางไกรนอก (แยม้ พร้อมอุปถัมภ์) หลังการใชแ้ บบฝกึ เสรมิ ทักษะ เล่มท่ี 2 การคณู จำนวน
หนึ่งหลักกับ 10 20 30 .....90 เปรียบเทียบกับเกณฑ์ ร้อยละ 70

นกั เรยี นคนท่ี คะแนนรวมเลม่ ท่ี 2 คา่ ร้อยละ เทียบกบั
( 160 คะแนน) เกณฑ์(70%)
1 69.4 ผ่าน ไม่ผา่ น
2 111 92.5
3 148 94.4 ✓
4 151 87.5 ✓
5 140 91.3 ✓
6 146 96.9 ✓
7 155 93.8 ✓
8 150 93.1 ✓
9 149 99.4 ✓
10 159 93.1 ✓
11 149 93.8 ✓
12 150 93.8 ✓
13 150 80.0 ✓
14 128 95.0 ✓
15 152 97.5 ✓
156 ✓


โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แยม้ พรอ้ มอุปถมั ภ)์ 21

นกั เรยี นคนท่ี คะแนนรวมเล่มท่ี 2 คา่ ร้อยละ เทยี บกับ
(160 คะแนน) เกณฑ์(70%)
83.8 ผ่าน ไมผ่ า่ น
16 134 93.1
17 149 88.1 ✓
18 141 83.8 ✓
19 134 79.4 ✓
20 127 97.5 ✓
21 156 92.5 ✓
22 148 84.4 ✓
23 135 95.0 ✓
24 152 ✓
90.4 ✓
เฉล่ีย ✓

จากตารางท่ี 4 แสดงว่านกั เรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรยี นวดั บางไกรนอก (แย้มพรอ้ มอุถัมภ)์ ท้ัง 24 คน
พบว่า นักเรียนผ่านเกณฑ์ทำแบบฝึกเสริมทักษะการคูณเล่ม 2 นักเรียนผ่านเกณฑ์จำนวน 23 คน คิดเป็นร้อยละ
95.83 และมีนักเรียนท่ีไมผ่ า่ นเกณฑ์จำนวน 1 คนคดิ เปน็ ร้อยละ 4.17

โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอปุ ถมั ภ์) 22

ตารางที่ 5 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียนเรื่องการคูณ ของนักเรียนช้ัน
ประถมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรียนวดั บางไกรนอก (แยม้ พรอ้ มอุปถัมภ์) หลงั การใช้แบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะ เล่มที่ 3 การคูณจำนวน
สองหลักกบั จำนวนหนงึ่ หลกั โดยการตงั้ คณู เปรียบเทยี บกับเกณฑ์ รอ้ ยละ 70

นักเรียนคนที่ คะแนนรวมเล่มที่ 3 คา่ ร้อยละ เทียบกบั
(80 คะแนน) เกณฑ์(70%)
1 90.0 ผ่าน ไมผ่ า่ น
2 72 90.0
3 72 88.8 ✓
4 71 91.3 ✓
5 73 88.8 ✓
6 71 92.5 ✓
7 74 88.8 ✓
8 71 92.5 ✓
9 74 100.0 ✓
10 80 96.3 ✓
11 77 93.8 ✓
12 75 83.8 ✓
13 67 90.0 ✓
14 72 90.0 ✓
15 72 87.5 ✓
70 ✓


โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอุปถมั ภ)์ 23

นกั เรียนคนท่ี คะแนนรวมเล่มที่ 3 ค่ารอ้ ยละ เทยี บกับ
(80 คะแนน) เกณฑ์(70%)
92.5 ผา่ น ไมผ่ า่ น
16 74 95.0
17 76 88.8 ✓
18 71 73.8 ✓
19 59 73.8 ✓
20 59 95.0 ✓
21 76 98.8 ✓
22 79 78.8 ✓
23 63 58.8 ✓
24 47 ✓
88.3
เฉล่ีย ✓


จากตารางที่ 5 แสดงวา่ นกั เรยี นชน้ั ประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนวดั บางไกรนอก (แยม้ พรอ้ มอุถัมภ)์ ท้ัง 24 คน
พบว่า นักเรียนผ่านเกณฑ์ทำแบบฝึกเสริมทักษะการคูณเล่ม 3 นักเรียนผ่านเกณฑ์จำนวน 23 คน คิดเป็นร้อยละ
95.83 และมนี ักเรียนท่ีไมผ่ ่านเกณฑ์จำนวน 1 คนคดิ เปน็ รอ้ ยละ 4.17

โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แยม้ พรอ้ มอุปถมั ภ์) 24

ตารางที่ 6 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียนเรื่องการคูณ ของนักเรียนช้ัน
ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดบางไกรนอก (แย้มพร้อมอุปถัมภ์) หลังการใช้แบบฝึกเสริมทักษะ เล่มที่ 4 โจทย์ปัญหา
การคูณ เปรยี บเทยี บกับเกณฑ์ รอ้ ยละ 70

นกั เรยี นคนท่ี คะแนนรวมเล่มที่ 4 คา่ รอ้ ยละ เทยี บกับ
(72 คะแนน) เกณฑ์(70%)
1 70.8 ผ่าน ไมผ่ า่ น
2 51 94.4
3 68 72.2 ✓
4 52 86.1 ✓
5 62 91.7 ✓
6 66 88.9 ✓
7 64 86.1 ✓
8 62 88.9 ✓
9 64 100.0 ✓
10 72 88.9 ✓
11 64 88.9 ✓
12 64 80.6 ✓
13 58 91.7 ✓
14 66 83.3 ✓
15 60 83.3 ✓
60 ✓


โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอปุ ถัมภ์) 25

นกั เรยี นคนท่ี คะแนนรวมเลม่ ที่ 4 ค่าร้อยละ เทียบกบั
(72 คะแนน) เกณฑ์(70%)
80.6 ผา่ น ไมผ่ า่ น
16 58 91.7
17 66 88.9 ✓
18 64 69.4 ✓
19 50 75.0 ✓
20 54 91.7 ✓
21 66 94.4 ✓
22 68 77.8 ✓
23 56 72.2 ✓
24 52 ✓
84.9 ✓
เฉล่ีย ✓

จากตารางท่ี 6 แสดงว่านักเรยี นชน้ั ประถมศกึ ษาปีท่ี 2 โรงเรียนวดั บางไกรนอก (แยม้ พรอ้ มอุถัมภ)์ ทั้ง 24 คน
พบว่า นักเรียนผา่ นเกณฑท์ ำแบบฝึกเสรมิ ทักษะการคูณเล่ม 4 จำนวน 24 คน คดิ เป็นร้อยละ 100

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอุปถมั ภ)์ 26

ตารางที่ 7 แสดงผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียนเรื่องการคูณ ของนักเรียนชั้น
ประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดบางไกรนอก (แย้มพร้อมอุปถัมภ์) หลังการใช้แบบฝึกเสริมทักษะรวมทั้ง 4 เล่ม
เปรยี บเทยี บกับเกณฑ์ รอ้ ยละ 70

นักเรยี นคนท่ี คา่ ร้อยละ เทยี บกับ
เกณฑ์(70%)
1 83.15 ผ่าน ไม่ผา่ น
2 92.57 ✓
3 92.75 ✓
4 91.85 ✓
5 94.75 ✓
6 96.38 ✓
7 92.93 ✓
8 94.57 ✓
9 99.09 ✓
10 95.29 ✓
11 95.83 ✓
12 92.39 ✓
13 89.67 ✓
14 94.02 ✓
15 95.11 ✓


โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอปุ ถมั ภ)์ 27

นกั เรียนคนที่ ค่าร้อยละ เทียบกบั
เกณฑ์(70%)
16 86.78 ผ่าน ไม่ผ่าน
17 95.65 ✓
18 92.39 ✓
19 82.97 ✓
20 80.25 ✓
21 96.74 ✓
22 96.01 ✓
23 80.80 ✓
24 82.43 ✓

91.91 ✓

จากตารางที่ 7 ว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดบางไกรนอก (แย้มพร้อมอุถัมภ์) ทั้ง 24 คน
พบวา่ นักเรยี นผ่านเกณฑท์ ำแบบฝึกเสริมทกั ษะการคณู จำนวน 24 คน คิดเปน็ ร้อยละ 100

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอปุ ถัมภ์) 28

สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ

การศกึ ษาครั้งนีม้ วี ตั ถุประสงคเ์ พอื่ 1) เปรยี บเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนคณิตศาสตรข์ องนักเรยี น
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง การคูณ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ ก่อนเรียนและหลังเรียน 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง การคูณ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะหลังเรียนกับ
เกณฑ์ร้อยละ 70 กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนวัดบางไกรนอก (แย้ม
พร้อมอุปถัมภ์) ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 24 คนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แผนการจัดการ
เรียนรู้โดยใชแ้ บบฝึกเสริมทักษะ 2) แบบฝึกเสริมทกั ษะเรือ่ งการคูณ 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน สถิติ
ที่ใช้ในการวเิ คราะหข์ ้อมลู คือ คา่ เฉลย่ี ร้อยละ ความถ่ี และการทดสอบที (t-test dependent)

สรปุ ผลการวจิ ัย

1. ผลการเปรียบเทยี บผลสัมฤทธิ์ทางการเรยี น เร่อื ง การคณู ของนกั เรยี นชั้นประถมศกึ ษาปีที่ 2 โรงเรียนวัด
บางไกรนอก (แย้มพร้อมอุถัมภ์) ก่อนและหลังการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ทั้ง 24 คน พบว่า นักเรียนผ่านเกณฑ์
จำนวน 23 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 95.83 และมนี กั เรียนท่ไี ม่ผา่ นเกณฑ์จำนวน 1 คนคิดเปน็ รอ้ ยละ 4.17

2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เร่ือง การคูณ ของนกั เรียนชั้นประถมศึกษาปีท่ี 2 โรงเรียนวัด
บางไกรนอก (แย้มพร้อมอถุ ัมภ์) หลังการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ พบวา่ ผา่ นเกณฑท์ ่ีร้อยละ 70 จำนวน 24 คน

อภปิ รายผลการวจิ ัย

ผลการวิจยั พบวา่ การจัดกิจกรรมพัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนักเรยี นช้ันประถมศึกษาปีที่ 2
เรื่องการคูณ ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังการเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แบบฝึกเสริมทักษะท่ี
ผู้วิจยั สรา้ งขนึ้ สามารถนำไปใช้เพือ่ จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ในวชิ าคณิตศาสตร์ได้ ซ่งึ แสดงว่านักเรยี นมผี ลการเรียนรู้เรื่อง
การคูณเป็นไปตามที่คาดหวัง และจากการสังเกตพบว่านักเรียนที่เรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะทางคณิตศาสตร์เรื่อง
การคูณมีความตั้งใจในการเรียนและให้ความร่วมมือในการเรียนการสอนเปน็ อย่างดี นอกจากนี้ข้อดีที่พบอีกประการ
หนึ่งคือผู้เรียนสามารถที่จะกลับมาทบทวนซ้ำในกรณีพบข้อผิดพลาดได้อีกจนเกิดความเข้าใจ ดังนั้นการใช้แบบฝึก
เสริมทักษะทางคณิตศาสตร์ เรื่องการคูณ จึงเป็นวิธีที่ช่วยให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเนื้อหาการเรียนได้ดียิ่งข้ึน
และส่งผลใหผ้ ลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนของนกั เรยี นสงู ข้ึนหลงั จากใช้แบบฝกึ เสริมทักษะทางคณติ ศาสตร์ เรอ่ื ง การคูณ

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอุปถมั ภ)์ 29

ขอ้ เสนอแนะ
ขอ้ เสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้
1. ครูผสู้ อนช้ันประถมศึกษาปีที่ 2 สามารถนำแบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะเรื่องการคณู ไปทดสอบและใช้พฒั นาต่อไป
2. ควรมกี ารศกึ ษาเจตคตติ อ่ การเรียนรู้ของนักเรียนท่ีไดร้ บั การสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ
3. ควรมีการพัฒนาผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนอยา่ งต่อเน่ือง และในระดับช้นั อ่ืนๆ

ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ัยคร้งั ต่อไป
1. ควรมีการพฒั นาและหาประสทิ ธภิ าพแบบฝกึ เสริมทกั ษะคณิตศาสตร์ชน้ั ประถมศึกษาปที ่ี 2 ในเนอื้ หา

อ่ืนๆ
2.ควรมีการทดลองเปรยี บเทียบวิธกี ารเรียนรู้วิชาคณติ ศาสตรข์ องนักเรียนเรอื่ งการคูณโดยการใชแ้ บบฝกึ

เสรมิ ทักษะทางคณิตศาสตรก์ ับวธิ ีการเรยี นรู้ในรูปแบบอ่นื ๆเพื่อเป็นแนวทางในการตดั สินใจเลอื กวธิ กี ารเรยี นรทู้ ี่
เหมาะสมกับเนือ้ หาและความพร้อมของนกั เรยี น

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอุปถมั ภ)์ 30

บรรณานกุ รม

กรมวิชาการ.2540. เอกสารเสรมิ ความรคู้ ณติ ศาสตรร์ ะดับประถมศกึ ษาอนั ดับท่ี 8 เร่ืองทักษะการแกป้ ัญหา.
กรงุ เทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา.

กระทรวงศกึ ษาธิการ.กรมวชิ าการ. (2544). หลักสตู รการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2544.พิมพ์ครง้ั ท่ี 2.
กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์องค์การขนสง่ สินคา้ และพัสดภุ ณั ฑ.์
กรมวชิ าการ.2545. คู่มอื การจัดการเรียนรู้ กล่มุ สาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์

การรับส่งสนิ ค้าและพสั ดภุ ัณฑ์.
กรมวชิ าการ, กระทรวงศึกษาธิการ.2545 . การสอนคณติ ศาสตรใ์ นระดบั มธั ยมศึกษา.

กรงุ เทพ : โรงพมิ พ์องค์การรับสง่ สนิ ค้าและพสั ดุ.
กระทรวงศึกษาธิการ. (2551). หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐานพุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ:

โรงพมิ พ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย.

บุญเรือง ขจรศลิ ป.์ วธิ ีวจิ ัยทางการศกึ ษา. กรงุ เทพฯ : ฟิสิกสเ์ ซน็ เตอร์การพิมพ์,2530.
ไพศาล หวงั พานิช. (2536). วธิ กี ารวจิ ัย. กรงุ เทพมหานคร : งานส่งเสริมวจิ ยั และตำรากองบรหิ าร

การศกึ ษา มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวิโรฒประสานมติ ร.
พวงรัตน์ ทวีรตั น.์ (2543). วิธกี ารวจิ ยั ทางพฤติกรรมศาสตร์และสงั คมศาสตร์. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัย

ศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร.
ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. (2538). เทคนิคการวจิ ัยทางการศกึ ษา. พิมพ์ครง้ั ที่ 5. กรงุ เทพมหานคร

: สุวรี ยิ าสาส์น.
สมนกึ ภทั ทิยธน.ี (2546). การวดั ผลการศกึ ษา. พมิ พค์ รงั้ ที่ 4. กาฬสินธ์ุ : ประสานการพมิ พ์.
สุนันทา สนุ ทรประเสริฐ. (2544). การผลิตนวตั กรรมการเรยี นการสอน (เลม่ 2 ) การสร้างแบบฝึก.

กรุงเทพฯ : ชมรมพัฒนาความรู้ด้านระเบียบกฎหมาย.

โรงเรยี นวดั บางไกรนอก(แยม้ พร้อมอุปถัมภ์) 31

ภาคผนวก

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอปุ ถมั ภ์) 32

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอปุ ถมั ภ์) 33

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอปุ ถมั ภ์) 34

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอปุ ถมั ภ์) 35

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอปุ ถมั ภ์) 36

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอปุ ถมั ภ์) 37

โรงเรียนวดั บางไกรนอก(แย้มพรอ้ มอปุ ถมั ภ์) 38


Click to View FlipBook Version