รัฐโบราณในดินแดนไทย
โดย คุ ณครู สุ นิ สา พงษ์ ศรี
กลุ่ มสาระการเรี ยนรู้ สั งคมศึ กษา ฯ
โรงเรียนแก่นนครวิทยาลัย
ย้อนรอยอดีต
ของการเดินทาง
ชาวตะวันตกกับจีนมีการติดต่อค้าขาย พุทธศตวรรษที่ 8 เส้นทางบกมีอุปสรรค
ผ่านเส้นทางบก จึงหันมาใช้เส้นทางทะเลแทน โดยเฉพาะ
ชุนชนจึงพัฒนาเป็นเมืองท่า คาบสมุทรทางใต้
พ่อค้าใช้วิธีเดินบกไปยังเมืองท่าอีกฟากหนึ่
เกิดเมืองต่าง ๆ ตามชายฝั่งมากขึ้น
จึงใช้วิธีการเดินเรือโดยอาศัยแรงลมช่วยพัด
เรือใบให้แล่นลงใต้ ผ่านช่องแคบมะละกา
ปลายสมุทรเกิดเมืองท่าใหม่ ๆ และพัฒนา
จากเมืองมาเป็นอาณาจักรศรีวิชัย ที่มีอำนาจ แล้วอ้อมคาบสมุทรขึ้นมา
เหนือลุ่มน้ำบริเวณนี้ทั้งหมด
Step Five
เมื่อมีการพัฒนาเส้น การขนส่งสินค้ากลับไปใช้เส้นทางบก ไม่ต้อง
ทางการค้า ย่อมทำให้ พึ่งน่านน้ำของอาณาจักรศรีวิชัย ประกอบกับ
เกิดการพัฒนาด้าน
พระเจ้าราเชนทรที่ 1 ยกทัพมาตี ทำให้
ต่าง ๆ ตามมา อาณาจักล่มสลาย
จัดทำโดย คุณครูสุนิสา พงษ์ศรี
1. แคว้นตามพรลิงค์
หรือนครศรีธรรมราช (พุทธศตวรรษ 7-19)
จีนเรียกแคว้นนี้ว่า ตันมาลิง พบในหลักฐานต่าง ๆ เช่น
- บันทึกของจ้าวหยูคั่ว
- จารึกหลักที่ 24 พบที่วัดเวียง อำเภอไชยา พ.ศ. 1773
- ตำนานเมืองนครศรีธรรมราช
- ตำนานพระบรมธาตุนครศรีธรรมราช
มีอาณาเขตครอบคลุมทั้งสองฝากสมุทร ใต้จรดอาณาจักรลังกาสุกะ
ส่วนด้านเหนือ เคยขยายอาณาจักรไปถึงลุ่มแม่น้ำในภาคกลางของไทย
เคยตีเมืองละโว้แตก โดยการนำของพระเจ้าสุชิตราชา
(อ้างอิงจากสงครามสามอาณาจักร - หริภุญชัย ละโว้ ตามพรลิงค์)
ตั้งขึ้นเมื่อประมาณพุทธศตวรรษที่ 7 จาก
นั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็นแคว้นนครศรีธรรมราช
มีอิทธิพลครอบคลุมแหลมมลายู ซึ่งเป็น
แหล่งรวมวัฒนธรรมจากอินเดียและลังกา
ศาสนาที่นับถือมีทั้งศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพระพุทธ
ศาสนานิกายมหายานและนิกายเถรวาท จนถึงปลายพุทธ
ศตวรรษที่ 18 นครศรีธรรมราชมีความสัมพันธ์กับลังกา จึง
รับพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทแบบลังกาวงศ์
วัดพระมหาธาตุนครศรีธรรมราช
แคว้นนครศรีธรรมราชตกอยู่ใต้อิทธิพลของอาณาจักร
สุโขทัยในสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ต่อมาเมื่อตั้ง
อาณาจักรอยุธยาขึ้นใน พ.ศ. 1893 แคว้นจึงถูกรวมอยู่ใน
อาณาจักรอยุธยา
พระพุทธสิหิงค์
นครศรีธรรมราช
จัดทำโดย คุณครูสุนิสา พงษ์ศรี
2. อาณาจักรศรีวิชัย
(พุทธศตวรรษ 13-18)
ตามจดหมายเหตุของอี้จิง พระภิกษุชาวจีนที่เดินทางทางเรือจากจีนไปอินเดียเมื่อ พ.ศ.
1214 ได้แวะพักที่ดินแดนนี้และเรียกดินแดนนี้ว่า ชิลิโฟชิ
ใน พ.ศ. 2416 ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ อ่านจารึก
หลักที่ 23 ศิลาจารึกวัดเสมาเมือง จ.นครศรีธรรมราช
พบคำว่า ศรีวิชเยนทรราชา (แปลว่า พระเจ้ากรุงศรีวิชัย)
จึงเกิดคำว่า ศรีวิชัย ตั้งแต่นั้นมา
ตั้งเป็นอาณาจักรเมื่อประมาณพุทธ บริเวณที่สันนิษฐานว่า เป็นที่ตั้งของอาณาจักรนี้
ศตวรรษที่ 13 มีอาณาเขตครอบคลุมภาค
ใต้ของไทย/คาบสมุทรมลายู ศูนย์กลาง
อำนาจอาจจะอยู่ที่เมืองปาเล็มบัง บน
เกาะสุมาตรา หรือเมืองไชยา
จ. สุราษฎร์ธานี
ชุมชนโบราณตั้งอยู่ริมฝั่งทะเล เหมาะที่จะเป็นเมืองท่า ต่อมากลายเป็น
ศูนย์กลางการค้าสำคัญอยู่ในเส้นทางการค้าระหว่างอินเดียกับจีน
ศิลปกรรมทางศาสนาที่มีชื่อเสียงมาก คือ รูปพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
ปัจจุบันอยู่ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร และพระบรมธาตุไชยา
อาณาจักรศรีวิชัยรับอารยธรรมอินเดีย ในระยะแรกนับถือพระพุทธศาสนานิกาย
เถรวาทและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ต่อมานับถือพระพุทธศาสนานิกายมหายาน
สิ้นสุดอำนาจทางการเมืองลงในตอนปลายพุทธศตวรรษที่
18 เนื่องจากถูกพวกโจฬะจากอินเดียใต้รุกราน และไม่
สามารถควบคุมการค้าทางทะเลตามเดิมได้
จัดทำโดย คุณครูสุนิสา พงษ์ศรี
3. อาณาจักรทวารวดี
(พุทธศตวรรษ 12-16)
ในบันทึกการเดินทางของหลวงจีนเหี้ยนจาง (พระถังซำจั๋ง)
เรียกอาณาจักรนี้ว่า โตโลโปตี้ หรือตวอหลอปอตี่
ศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ เชื่อว่าเป็น คำเดียวกับ
ทวารวดี ซึ่งเป็นอาณาจักรในภาคกลางของดินแดน
ประเทศไทย ศูนย์กลางอำนาจอยู่ที่เมืองนครปฐมโบราณ
(นครชัยศรี) หรือเมืองอู่ทอง หรือเมืองลพบุรี
“ทวารวดี”(สันสกฤต) = “เมืองท่าค้าขายที่มีทางเข้าออกหลายทาง”
บริเวณที่สันนิษฐานว่า เป็นที่ตั้งของอาณาจักรนี้
ชาวทวารวดีอาจเป็นชาวมอญ
สันนิษฐานจากการค้นพบจารึกภาษามอญ
โบราณหลายหลัก ทวารวดีรับอารยธรรม
อินเดีย และนับถือพระพุทธศาสนานิกาย
เถรวาทเป็นศาสนาหลัก เห็นได้จาก
ศิลปกรรมต่าง ๆ
แต่มีข้อโต้แย้งว่า “ทวารวดี” ในคัมภีร์อินเดียไม่เป็นพุทธ แต่เป็นพรามหณ์-ฮินดู มา
จากชื่อเมืองศักดิ์สิทธิ์ของพระกฤษณะว่า “ทวารกา” ที่พระกฤษณะสถาปนาขึ้นเอง และ
พบเทวรูปสลักหินลอยตัว 3 องค์ ในเมืองศรีเทพ (จ. เพชรบูรณ์) (สุจิตต์ วงษ์เทศ, 2562)
เมืองโบราณที่รับวัฒนธรรมทวารวดีมีจำนวนมากและมี
ลักษณะคล้ายกัน คือ เป็นเมืองขนาดใหญ่ มีคันดินคูน้ำล้อมร
อบ มีศาสนสถานขนาดใหญ่กระจายอยู่ในตัวเมือง
อาณาจักรทวารวดีสิ้นสุดลงในพุทธศตวรรษที่ 16
เนื่องจากเขมรแผ่อำนาจเข้ามายังภาคกลางของดินแดนไทย
จัดทำโดย คุณครูสุนิสา พงษ์ศรี
4. แคว้นละโว้ หรือลพบุรี
(พุทธศตวรรษ 12-18)
แคว้นนี้พัฒนามาจากชุมชนสมัยก่อนประวัติศาสตร์
รับวัฒนธรรมทวารวดีจนถึงพุทธศตวรรษที่ 16 จึงรับ
วัฒนธรรมเขมร ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองละโว้หรือลพบุรี
บริเวณที่สันนิษฐานว่า เป็นที่ตั้งของอาณาจักรนี้ เมืองต่าง ๆ ของดินแดนไทยที่
รับอิทธิพลมาจากเขมร มีลักษณะ
สำคัญ คือ การสร้างศาสนสถานไว้
ที่ศูนย์กลางเมือง สิ่งก่อสร้างที่เป็น
ประธานของศาสนสถาน ได้แก่
ปราสาทหรือปรางค์
เดิมชาวละโว้นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท
แต่เมื่อรับวัฒนธรรมเขมรเข้ามาก็นับถือศาสนาตาม
เขมร ได้แก่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพระพุทธ
ศาสนานิกายมหายาน
ประติมากรรมทางศาสนา ศิลปะลพบุรีมีทั้งเทวรูป พระโพธิสัตว์ และ
พระพุทธรูปซึ่งนิยมสร้างปางนาคปรก
ลพบุรีเคยเป็นเมืองสำคัญของอาณาจักรทวารวดีมาก่อน รุ่งเรืองด้าน
พระพุทธศาสนามาแต่โบราณตำนานมูลศาสนา กล่าวว่าพระเจ้ากรุง
ละโว้ได้ส่ง พระนางจามเทวี ราชธิดาไปครองเมืองหริภุญชัย (ลำพูน)
เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนภาคเหนือ
ศูนย์กลางการค้าขายจึงเปลี่ยนจากลพบุรีไปอยู่ที่อยุธยา และเมื่อพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุง
ศรีอยุธยาขึ้นเป็นเมืองหลวง อาณาจักรละโว้จึงถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรอยุธยา
จัดทำโดย คุณครูสุนิสา พงษ์ศรี
5. แคว้นหริภุญชัย
(พุทธศตวรรษ 13-19)
• ตั้งอยู่ในที่ราบลุ่มแม่น้ำปิงตอนบนและที่ราบลุ่มแม่น้ำวัง
• ราชธานี คือ เมืองหริภุญชัยหรือเมืองลำพูน
• เรื่องราวของแคว้นนี้ปรากฏในตำนานทางเหนือ เช่น จาม
เทวีวงศ์ ตำนานมูลศาสนา ชินกาลมาลีปกรณ์
เป็นอาณาจักรมอญ ที่ตั้งอยู่บริเวณภาคเหนือของประเทศไทย
บริเวณที่สันนิษฐานว่า เป็นที่ตั้งของอาณาจักรนี้ พระนางจามเทวีนำวัฒนธรรมทวาร
วดีจากละโว้ไปเผยแพร่ที่หริภุญชัย
ชาวหริภุญชัยจึงนับถือพระพุทธ
ศาสนานิกายเถรวาท
ชินกาลมาลีปกรณ์ กล่าวว่า ฤๅษีวาสุเทพเป็นผู้สร้างเมืองหริภุญชัย
แล้วส่งคนไปเชิญพระนางจามเทวีจากเมืองละโว้มาเป็นกษัตริย์
ด้วยเหตุนี้ หมานซู เอกสารจีนโบราณสมัยราชวงศ์ถัง ซึ่งเขียนใน
พ.ศ. 1406 จึงเรียกหริภุญชัยว่า หนี่หวังก๊ก แปลว่า แคว้นที่มีผู้หญิง
เป็นกษัตริย์
สถาปัตยกรรมทางพระพุทธศาสนาสมัยหริภุญชัย ได้แก่ พระ
เจดีย์กู่กุด และพระธาตุหริภุญชัย
พ.ศ. 1824 พญามังราย มหาราชผู้สถาปนา อาณาจักรล้านนา
ได้ยกกองทัพเข้ายึดเอาเมืองหริภุญชัยจาก พญายีบาได้ ต่อจาก
นั้นอาณาจักรหริภุญชัยจึงสิ้นสุดลงหลังจากรุ่งเรืองมา 618 ปี
มีพระมหากษัตริย์ครองเมือง 49 พระองค์
จัดทำโดย คุณครูสุนิสา พงษ์ศรี