The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สติปัฏฐาน ๔ ตามนัยที่สอนพระราหุล โดย สมเด็จพระญาณสังวร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ทีมงานกรุธรรม, 2022-02-07 19:38:45

สติปัฏฐาน ๔ ตามนัยที่สอนพระราหุล โดย สมเด็จพระญาณสังวร

สติปัฏฐาน ๔ ตามนัยที่สอนพระราหุล โดย สมเด็จพระญาณสังวร

Keywords: สมเด็จพระญาณสังวร,สติปัฏฐาน ๔ ตามนัยที่สอนพระราหุล

สตปิ ัฏฐาน ๔ ตามนัยทส่ี อนพระราหุล
สมเดจ็ พระญาณสงั วร สกลมหาปรณิ ายก
บดั นี้ จกั แสดงธรรมะเป็นเครอ่ื งอบรมในการปฏิบตั ิอบรมจติ
ในเบือ้ งตน้ ก็พงึ ตงั้ ใจนอบนอ้ มพระผมู้ พี ระภาคอรหนั ตสมั มาสมั
พทุ ธเจา้ พระองคน์ นั้ ตงั้ ใจถงึ พระองคพ์ รอ้ มทงั้ พระธรรมและ
พระสงฆเ์ ป็นสรณะ ตงั้ ใจสาํ รวมกายวาจาใจใหเ้ ป็นศลี ทาํ สมาธิ
ในการฟัง เพ่ือใหไ้ ดป้ ัญญาในธรรม
จิตตภาวนาอบรมจิตนนั้ เป็นขอ้ สาํ คญั ในการปฏบิ ตั ธิ รรม
และเม่ือพดู วา่ จติ ตภาวนา กย็ ่อมนาํ ใหร้ ะลกึ ถงึ พระพทุ ธเจา้ ผู้
ทรงแสดงจิตตภาวนา ระลกึ ถึงพระธรรมท่ีทรงส่งั สอน เชน่ จิตต
ภาวนา และระลกึ ถงึ พระสงฆซ์ ง่ึ ไดป้ ฏบิ ตั ดิ แี ลว้ คอื ไดอ้ บรมจิตดี
แลว้ ตามท่พี ระพทุ ธเจา้ ทรงส่งั สอน ก็เรยี กวา่ เป็น พทุ ธานุสติ
ระลกึ ถงึ คณุ ของพระพทุ ธเจา้ วา่ เป็นพระผทู้ ่ีตรสั รูถ้ กู ชอบเอง
แลว้ สอนใหผ้ อู้ ่ืนตรสั รูต้ ามไดด้ ว้ ย เป็น ธัมมานุสติ ระลกึ ถงึ คณุ
ของพระธรรมวา่ ย่อมรกั ษาผปู้ ฏิบตั ิ ไมใ่ หต้ กไปสทู่ ่ีช่วั ระลกึ ถงึ
คณุ ของพระสงฆว์ า่ เป็นผปู้ ฏิบตั ดิ ีแลว้ ก็จะทาํ ใหเ้ กิดศรทั ธา

1

ความเช่ือ ปสาทะ ความเลอ่ื มใส ตงั้ ม่นั ในคณุ ของพระพทุ ธเจา้
ในคณุ ของพระธรรม ในคณุ ของพระสงฆ์ ย่ิงขนึ้

ฉะนนั้ เพ่ือแสดงนาํ สติปัฏฐานการตงั้ สติ พิจารณากาํ หนด
กาย เวทนา จติ ธรรม ก็จะไดน้ าํ ความในพระสตู รท่ีตรสั สอนพระ
ราหลุ พทุ ธชโิ นรสเม่ือก่อนทรงผนวช

มาแสดงเป็นวธิ ีปฏิบตั ิจติ ตภาวนาอยา่ งหนง่ึ สมยั หนง่ึ
พระพทุ ธเจา้ ไดโ้ ปรดใหพ้ ระราหลุ พทุ ธชโิ นรสผนวชเป็นเณรแลว้
ก็ไดเ้ สดจ็ ไปยงั ท่ีอยขู่ องพระราหลุ ไดป้ ระทบั น่งั บนอาสนะท่ีปู
ลาดถวาย และก็ไดท้ รงลา้ งพระบาทดว้ ยนา้ํ ลา้ งพระบาทซง่ึ ใสไ่ ว้
ในภาชนะใสน่ า้ํ ซง่ึ ตงั้ เตรยี มไวถ้ วาย ครนั้ ประทบั น่งั แลว้ ก็ตรสั
ส่งั ใหพ้ ระราหลุ มองดภู าชนะนา้ํ ท่ีทรงเทลา้ งพระบาทแลว้ วา่ มี
นา้ํ เหลอื อย่ใู นภาชนะนนั้ เทา่ ไร พระราหลุ กก็ ราบทลู วา่ เหลอื ติด
อยนู่ อ้ ย พระพทุ ธเจา้ ก็ตรสั อบรมวา่ การพดู เท็จทงั้ รู้ ยอ่ มทาํ ให้
ไม่มีความเป็นสมณะ ท่ีแปลวา่ ผสู้ งบ หรอื พดู อย่างงา่ ยๆ วา่ ไมม่ ี
ความเป็นพระเป็นเณร หรอื คฤหสั ถก์ ็ไมม่ ีความเป็นสาธชุ น

2

ครนั้ แลว้ ก็ทรงเทนา้ํ และภาชนะใสน่ า้ํ นนั้ จนหมดสนิ้ แลว้ ก็
ตรสั ถามพระราหลุ วา่ ในภาชนะนา้ํ นนั้ มีนา้ํ เหลอื อย่หู รอื ไม่ พระ
ราหลุ ก็กราบทลู วา่ ไม่มี พระพทุ ธเจา้ ก็ตรสั อบรมวา่ ไม่มีความ
เป็นสมณะคือความเป็นพระเป็นเณร หรอื ความเป็นสาธชุ น (ใน
บคุ คลผไู้ ม่มีความละอายในการกลา่ วมสุ าทงั้ รูอ้ ย่)ู เหมือนอยา่ ง
ในภาชนะนา้ํ ไม่มีนา้ํ เหลืออยู่ ครนั้ แลว้ กท็ รงคว่าํ ภาชนะนา้ํ นนั้ ก็
ตรสั ถามพระราหลุ อกี วา่ ในภาชนะนา้ํ นนั้ ท่คี ว่าํ แลว้ มนี า้ํ หรอื ไม่
พระราหลุ ก็กราบทลู วา่ ไมม่ ี และเม่ือคว่าํ ลงแลว้ ก็ไมอ่ าจจะเตมิ
นา้ํ ได้ พระพทุ ธเจา้ ก็ตรสั อบรมวา่ ไมม่ ีความเป็นสมณะ คือ
ความเป็นพระเป็นเณร เป็นสาธชุ น (ในบคุ คลผไู้ ม่มีความ
ละอายในการกลา่ วมสุ าทงั้ รูอ้ ย่)ู เหมือนอยา่ งไมม่ นี า้ํ ในภาชนะ
นา้ํ ท่ีคว่าํ นนั้

ครนั้ แลว้ ก็ทรงหงายภาชนะนา้ํ นนั้ ขนึ้ ก็ตรสั ถามพระราหลุ
วา่ มนี า้ํ อย่ใู นภาชนะท่ีหงายขนึ้ แลว้ นนั้ หรอื ไม่ พระราหลุ ก็กราบ
ทลู วา่ ไมม่ ี พระองคก์ ็ตรสั อบรมวา่ ไม่มีความเป็นสมณะ คือ
ความเป็นพระเป็นเณรหรอื เป็นสาธชุ น แกผ่ ทู้ ่ีพดู เท็จทงั้ รู้ แมว้ า่

3

ภาชนะนา้ํ นนั้ จะหงายก็เป็นภาชนะเปลา่ เพราะฉะนนั้ ผทู้ ่ีพดู
เท็จทงั้ รูจ้ งึ ไมม่ ีความเป็นสมณะ ไม่มีความเป็นพระเป็นเณร ไมม่ ี
ความเป็นสาธชุ น ด่งั นี้

ครนั้ แลว้ ก็ตรสั เป็นขอ้ อปุ มาวา่ ชา้ งศกึ ของพระราชาท่ีฝึกหดั
ใหเ้ ป็นผทู้ ่ีเสียสละรา่ งกาย ในเวลาเป็นราชพาหนะเขา้ สสู่ งคราม
เพ่ือพระราชา ชา้ งท่ีฝึกหดั แลว้ นนั้ ฝึกหดั จนถงึ วา่ สละกายเบอื้ ง
หนา้ เบอื้ งหลงั ได้ สละเทา้ หนา้ ทงั้ สองได้ สละเทา้ หลงั ทงั้ สองได้
สละศีรษะ หทู งั้ สอง งาทงั้ สองได้ สละหางได้ แตย่ งั รกั ษางวงไว้
อยู่ ยงั ไม่ยอมสละงวง ก็ยงั ไมช่ ่ือวา่ ไดส้ ละชีวิตเพ่ือพระราชา
ตอ่ เม่ือฝึกจนถึงชา้ งศกึ นนั้ สละไดท้ กุ อยา่ ง จนถงึ สละงวงได้ จงึ
จะช่ือวา่ ไดส้ ละชีวิตไดเ้ พ่ือพระราชา ไดต้ รสั อปุ มาไวด้ ่งั นี้

ก็พจิ ารณาดวู า่ ควรจะมีความหมายวา่ เม่ือเขา้ มาปฏบิ ตั ิ
ธรรมในพระธรรมวินยั นี้ จะเป็นพระก็ดี เป็นเณรก็ดี เป็นสาธุชน
ผปู้ ฏบิ ตั ิก็ดี ก็พงึ สละเพ่ือปฏบิ ตั ธิ รรมไดท้ กุ อยา่ ง แมแ้ ตว่ า่ พดู
เทจ็ ทงั้ รู้ แมว้ า่ เพ่ือท่ีจะเป็นการขบขนั ยิม้ หววั ก็ไม่ควรทาํ และก็
เทา่ กบั วา่ การท่ียงั พอใจสนกุ สนานเฮฮา พดู ย่วั กนั เลน่ พดู

4

หวั เราะเลน่ ดว้ ยการพดู เท็จ ก็เหมือนอยา่ งวา่ รกั ษาศีลขอ้ อ่ืนได้
แลว้ แตว่ า่ ยงั รกั ษาวาจาใหเ้ ป็นสจั จะวาจาไวไ้ มไ่ ด้ ด่งั นีก้ ็
เป็นอนั วา่ ยงั ไม่ช่ือวา่ ไดส้ ละทงั้ หมดเพ่ือปฏิบตั ธิ รรมของ
พระพทุ ธเจา้

เพราะฉะนนั้ จงึ ตอ้ งรกั ษาวาจา ไม่พดู พลอ่ ยๆ เม่ือพดู อะไร
ออกไป หรอื วา่ จะรบั คาํ อยา่ งไรออกไป ก็ตอ้ งใหเ้ ป็นวาจาจรงิ ให้
เป็นพดู จรงิ ไมพ่ ดู เท็จแมเ้ พ่ือท่ีจะยมิ้ หววั ขบขนั กนั เพราะวา่ เม่ือ
ยงั พดู เทจ็ อยกู่ ย็ งั ไม่ตรสั วา่ จะปฏบิ ตั กิ รณียะคอื กิจท่ีควรทาํ อนั
เรยี กวา่ ปฏบิ ตั ธิ รรมได้ ด่งั นี้

เพราะฉะนนั้ ผปู้ ฏบิ ตั ธิ รรม ไม่วา่ จะเป็นพระเป็นเณรหรอื
เป็นฆราวาส จงึ ตอ้ งรกั ษาสจั จะคือความจรงิ ความจรงิ ใจแก่
ตวั เอง ในการท่ีจะพดู อะไรออกไปก็ใหพ้ ดู จรงิ หรอื เม่ือไมค่ วรพดู
ก็น่ิงเสีย และเม่ือจะรบั อะไร วา่ อยา่ งไร ก็รกั ษาวาจา รกั ษา
สญั ญาท่ีรบั ไวน้ นั้ ปฏบิ ตั ิใหเ้ ป็นจรงิ ขนึ้ มา

พระพทุ ธเจา้ ครนั้ ทรงโอวาทด่งั นีแ้ ลว้ ก็ไดต้ รสั ถามพระราหลุ
วา่ แวน่ สอ่ ง ซง่ึ ในครงั้ น่นั กระจกเงาสาํ หรบั สอ่ งเหมือนอย่าง

5

บดั นีค้ งไม่มี เม่ือตอ้ งการจะใชส้ อ่ งดเู งาหนา้ ของตวั เอง ก็ตอ้ งใช้
แวน่ สอ่ ง คอื ใชโ้ ลหะหลอ่ เป็นแผน่ ขดั ใหเ้ ป็นเงาสาํ หรบั ท่ีจะสอ่ ง
ดู จงึ ไดต้ รสั ถามวา่ แวน่ สอ่ งนนั้ มีไวท้ าํ ไม พระราหลุ ก็กราบทลู วา่
มีไวเ้ พ่ือดู พจิ ารณา พระพทุ ธเจา้ จงึ ตรสั วา่ ฉะนนั้ ก็ใหด้ ใู ห้
พิจารณา กายกรรม การท่ีกระทาํ ทางกายของตน วจีกรรม การ
ท่ีกระทาํ ทางวาจาคอื พดู ของตน มโนกรรม การท่ีกระทาํ ทางใจ
คือคิดของตน

ดใู หเ้ หน็ วา่ เป็นอกศุ ลหรอื ไม่ ถา้ เป็นอกศุ ลคอื ไม่ดี มีโทษ ก็
ใหร้ ูว้ า่ เป็นอกศุ ลไม่ดี มีโทษ แตว่ า่ ไดต้ รสั จาํ แนกไวอ้ ยา่ งพิสดาร
คอื วา่ ใหด้ ู พจิ ารณาตงั้ แตก่ อ่ นจะทาํ ในขณะท่ีทาํ และทาํ แลว้
วา่ การท่ที าํ นนั้ ๆ คอื ท่ีจะทาํ หรอื ท่ีกาํ ลงั ทาํ หรอื ท่ีทาํ แลว้ ทาง
กายทางวาจาทางใจ เป็นอกศุ ลมีโทษ เป็นอกศุ ลไม่ดีมีโทษ เม่ือ
ดพู จิ ารณาก็ยอ่ มจะรู้ และเม่อื รูแ้ มว้ า่ ยงั ไมท่ าํ และอาจจะทาํ ได้
ก็งดเวน้ เสียไมท่ าํ เม่ือกาํ ลงั ทาํ อยกู่ ็เลกิ ไมท่ าํ ตอ่ ไป ถา้ ทาํ ไปแลว้
ก็อยา่ ปกปิด ใหแ้ จง้ แก่ครูบาอาจารยเ์ พ่ือนปฏิบตั ธิ รรมดว้ ยกนั
ทราบ และแสดงความตงั้ ใจท่ีจะสาํ รวมระวงั ตอ่ ไป

6

และตอ่ จากนนั้ ก็ไดต้ รสั สอนใหพ้ ระราหลุ ดู พจิ ารณา วา่
กรรมทางกายทางวาจาทางใจ คือการท่ที าํ ทางกาย ทางวาจา
ทางใจ ก่อนจะทาํ ก็ดี กาํ ลงั ทาํ ก็ดี ทาํ แลว้ ก็ดี ก็ใหด้ พู ิจารณา
เม่ือดพู ิจารณาก็ยอ่ มจะเหน็ วา่ เป็นอยา่ งไร ถา้ หากวา่ เป็นกศุ ล
คอื เป็นความดี และมีประโยชน์ ก็ใหท้ าํ และเม่ือทาํ กท็ าํ ตอ่ ไปให้
สาํ เรจ็ และเม่อื ทาํ แลว้ ก็ตงั้ ใจวา่ จะทาํ กรรม คือการท่ีทาํ ทางกาย
ทางวาจาทางใจท่ีเป็นกศุ ลคือเป็นความดีเป็นสว่ นดี และท่ีมีคณุ
มีประโยชนต์ อ่ ไปอกี ด่งั นี้

ก็ตรสั วา่ สมณะพราหมณผ์ ปู้ ฏิบตั ธิ รรม ในอดตี ก็ดี ใน
ปัจจบุ นั ก็ดี ในอนาคตตอ่ ไปขา้ งหนา้ ก็ดี กย็ อ่ มจะตอ้ งดู
พิจารณาเหมือนอย่างนี้ เหมือนอยา่ งสอ่ งดเู งาหนา้ ในกระจกเงา
เม่ือเหน็ หนา้ ของตนในกระจกเงาในบดั นหี้ รอื ในแวน่ สอ่ งในครงั้
โนน้ ไม่สะอาดตา่ งๆ ก็ชาํ ระใหส้ ะอาด และรกั ษาความสะอาดไว้
ตอ่ ไป เพราะฉะนนั้ ก็ตอ้ งดพู จิ ารณากายกรรม วจีกรรม
มโนกรรม คอื การงานท่ีกระทาํ ทางกายทางวาจาทางใจของตน

7

อยตู่ ลอดเชน่ เดยี วกนั ใหล้ ะสว่ นท่ีช่วั ท่ีเป็นโทษ ใหท้ าํ แตส่ ว่ นท่ี
ดีท่ีเป็นคณุ ประโยชนต์ า่ งๆ

หากจะถามวา่ สาํ หรบั การท่ีจะดเู งาหนา้ ของตวั เองนนั้ ใช้
แวน่ สอ่ ง แตก่ ารท่ีจะดพู ิจารณากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
ของตน จะใชอ้ ะไรสอ่ งดู ก็ตอบวา่ ใชจ้ ิตใจนีเ้ องดู และจติ ใจนีท้ ่ี
จะดพู ิจารณาใหเ้ หน็ ตามเป็นจรงิ ได้ ก็ตอ้ งเป็นจติ ใจท่ี
ประกอบดว้ ยสติ คือความระลกึ ได้ ความกาํ หนด และปัญญา
คือความรูจ้ กั สตแิ ละปัญญาทงั้ คนู่ ีเ้ ป็นธรรมะสาํ คญั ท่ีทกุ คน
จะตอ้ งมี

สติทา่ นแปลวา่ ความระลกึ ได้ มีลกั ษณะเป็นตวั ความ
กาํ หนด กาํ หนดดู กาํ หนดใจดู พิจารณาดู ในส่งิ ท่ีตอ้ งการจะรู้
และเม่ือดพู ิจารณาดว้ ยสติด่งั นี้ ก็ย่อมจะเกิดปัญญาคอื รูไ้ ด้
เหมือนอยา่ งวา่ ในการฟังธรรมะท่ีอบรมนี้ ท่ีผอู้ บรมก็แสดงเป็น
เสยี งเป็นภาษาออกไป และผฟู้ ังทงั้ หลายก็ฟังดว้ ยหู เพราะเสยี ง
ก็ยอ่ มจะกระทบโสตประสาทคอื หู แตว่ า่ จติ ใจตอ้ งฟังดว้ ย คือ
จิตใจตอ้ งตงั้ ใจฟังในคาํ ท่ีพดู นีท้ กุ คาํ ไม่สง่ ใจไปคิดในเร่อื งอ่นื

8

ถา้ สง่ ใจไปคิดในเร่อื งอ่ืนเม่ือใด หกู ็ดบั ไมไ่ ดย้ นิ คาํ ท่ีพดู นี้
ตอ่ เม่ือไม่สง่ ใจไปในเร่อื งอ่ืน ตงั้ ใจฟัง และกาํ หนดใจฟังอย่ทู ่ี
เสียงท่ีพดู เสียงท่ีพดู นีเ้ ม่ือกระทบโสตประสาทแลว้ ก็จะเขา้ ไป
ถึงจิตใจ จิตใจก็จะไดย้ ินไปพรอ้ มกบั หวู า่ พดู วา่ กระไร
เพราะฉะนนั้ เม่ือเป็นด่งั นีจ้ งึ จะไดค้ วามรู้ รูว้ า่ กาํ ลงั พดู เรอ่ื งอะไร
พดู วา่ อย่างไร

ด่งั ท่ีไดพ้ ดู มาโดยลาํ ดบั ตงั้ แตเ่ บือ้ งตน้ เลา่ ถงึ พระพทุ ธเจา้
ทรงสอนพระราหลุ ตงั้ ตน้ แตใ่ หพ้ ระราหลุ ดภู าชนะนา้ํ ลา้ งพระ
บาท วา่ มีนา้ํ เหลอื ไม๊ ตามท่ไี ดแ้ สดงมาแลว้ แลว้ ก็ตรสั อบรมวา่
นา้ํ ไม่มีเหลอื ก็เหมือนอยา่ งไม่มีความเป็นสมณะเหลอื อย่แู ก่ทงั้
พระ ทงั้ เณร และแก่ทงั้ สาธุชนผปู้ ฏิบตั ธิ รรมท่ีพดู เท็จทงั้ รู้ แมว้ า่
จะพดู เลน่ ก็ตาม ก็ย่อมจะไดฟ้ ังและรูเ้ รอ่ื งมาโดยตลอดวา่
พระพทุ ธเจา้ ทา่ นอบรมวา่ อยา่ งงีๆ้ จนถงึ อบรมวา่ พระราหลุ รูจ้ กั
แวน่ สอ่ งไม๊ มีประโยชนอ์ ะไร พระราหลุ กต็ อบไดว้ า่ มีประโยชน์
สาํ หรบั สอ่ งพจิ ารณา พระองคก์ ็ตรสั เขา้ มาวา่ ใหพ้ จิ ารณาดกู าร
ท่ีกระทาํ ทางกายทางวาจาทางใจอยเู่ สมอ ตามท่ีแสดงแลว้ ไมด่ ี

9

ก็งดเวน้ เสียไมท่ าํ ท่ีดีก็ทาํ ตอ่ ไป เม่ือมีความตงั้ ใจฟัง กาํ หนดฟัง
เสียงท่ีแสดงนีอ้ ย่ตู ลอด ก็ย่อมจะไดป้ ัญญาคือตวั ความรู้ คอื รู้
เร่อื งน่นั เองวา่ สอนวา่ อยา่ งไร อบรมวา่ อยา่ งไร

เพราะฉะนนั้ จงึ ใหร้ ูจ้ กั หนา้ ตาของธรรมะด่งั นี้ ตงั้ ใจฟังน่นั
เป็นสมาธิ กาํ หนดใจฟังน่นั เป็นตวั สติ รูเ้ รอ่ื งน่ีเป็นตวั ปัญญา
เพราะฉะนนั้ การปฏบิ ตั ธิ รรมจงึ ตอ้ งมีสติ มีปัญญา และก็
ประกอบดว้ ยสมาธิดงั ท่ีกลา่ วนนั้ แตพ่ ดู สนั้ ๆ ก็มีสตมิ ีปัญญา ซง่ึ
มีสมาธิรวมอยดู่ ว้ ย และเม่อื เป็นด่งั นีแ้ ลว้ จงึ จะไดช้ ่ือวา่ การ
ปฏิบตั ธิ รรม

และในการปฏบิ ตั ธิ รรมนนั้ กช็ ่ือวา่ เป็นการสละเพ่ือ
พระพทุ ธเจา้ คอื สละความช่วั น่นั เอง และกระทาํ ความดี และก็
ตอ้ งมีความสาํ รวมท่ีจะไม่ประพฤตผิ ิดแมเ้ พ่ือเลน่ เพ่ือหวั เราะ
เช่นพดู เลน่ พดู เท็จเพ่ือย่วั กนั หวั เราะกนั เหมือนอย่างท่ีทรง
เปรยี บดว้ ยชา้ งศกึ ของพระราชา ตอ้ งสละเพ่ือพระราชาไดท้ กุ
อย่างแมแ้ ตง่ วง แตอ่ ่ืนๆ สละไดห้ มด แตย่ งั รกั ษางวงเอาไว้
เหมือนอย่างวา่ ยงั พดู เทจ็ เพ่อื หวั เราะย่วั เยา้ กนั อยู่ ขาดความ

10

สาํ รวมด่งั นีก้ ็เป็นอนั วา่ ยงั สละไดไ้ มห่ มด คอื สละความช่วั ไดไ้ ม่
หมด

เพราะฉะนนั้ การปฏิบตั ธิ รรมนนั้ ก็ตอ้ งปฏบิ ตั ิเพ่ือสละความ
ช่วั ไดท้ งั้ หมด จะไมท่ าํ ความช่วั แมว้ า่ เพ่ือเลน่ เพ่ือย่วั เยา้ กนั เป็น
การสนกุ และการกระทาํ ความช่วั เพ่ือความสนกุ สนานของ
คนเราก็มีอยเู่ ป็นอนั มาก เชน่ วา่ ไม่ไดม้ ีความโกรธแคน้ อะไร แต่
วา่ เท่ียวยงิ สตั วเ์ ลน่ เป็นการกีฬา เบียดเบยี นสตั วเ์ ลน่ เป็นการ
กีฬา เหลา่ นีเ้ ป็นตน้ ก็เชน่ เดยี วกบั การท่ีพดู เทจ็ เพ่ือท่ีจะหวั เราะ
เลน่ กนั เป็นสงิ่ ท่ีไมค่ วรทาํ เพราะฉะนนั้ ผทู้ ่ีปฏบิ ตั ิธรรมะนนั้ จงึ
ตอ้ งอาศยั ปฏิบตั ใิ หเ้ ป็นผมู้ ีสตมิ ีปัญญาด่งั นี้

และการมีสตมิ ีปัญญานนั้ ในการปฏิบตั ิธรรมนนั้ ก็คือการมี
สตมิ ีปัญญาเขา้ มาดู เหมือนอยา่ งเป็นแวน่ สอ่ งสาํ หรบั สอ่ งดกู าร
ท่ีทาํ ของตวั เอง ทางกาย ทางวาจา ทางใจ หดั สอ่ งแวน่ ดตู วั เอง
คอื ความประพฤตทิ ่ีเป็นไปทางกายทางวาจาทางใจนี้ อาศยั จติ นี้
เองท่ีประกอบดว้ ยสติปัญญา พรอ้ มทงั้ ความตงั้ ใจซง่ึ เป็นตวั
สมาธินนั้ ดเู ขา้ มา ก็ย่อมจะเหน็ ไดท้ กุ คน วา่ น่ีดคี วรทาํ น่ีช่วั ไม่

11

ควรทาํ และเม่ือดเู ห็นซง่ึ เป็นตวั ปัญญาวา่ ช่วั ก็ละเสยี เม่ือดเู ห็น
วา่ ดีก็กระทาํ

การปฏบิ ตั ดิ ่งั นีแ้ หละ ก็เป็นการปฏบิ ตั เิ ขา้ หลกั สตปิ ัฏฐาน
คอื ตงั้ สติ ซง่ึ จะตอ้ งมีการตงั้ สตดิ กู ายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
ของตวั เองดงั กลา่ วนี้ เป็นหลกั ท่วั ๆ ไป เป็นพืน้ ฐาน แลว้ ก็ตงั้ สติ
ในกาย ในเวทนา ในจติ ในธรรม ท่ีประณีตย่งิ ขนึ้ ไป อนั เป็นไป
เพ่ือสาํ หรบั เพ่ือศีล เพ่ือสมาธิ เพ่ือปัญญา อนั ย่ิงๆ ขนึ้ ไป

ตอ่ ไปนีก้ ็ขอใหต้ งั้ ใจฟังสวด และตงั้ ใจทาํ ความสงบสืบตอ่ ไป
(ถอดเสียงธรรมโดย คณุ อณิศร โพธิทองคาํ )
ท่ีมา: https://youtu.be/YsaH-IFFoTc

12


Click to View FlipBook Version