The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อิทธิบาท ๔ โดย สมเด็จพระญาณสังวร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ทีมงานกรุธรรม, 2022-02-07 19:39:10

อิทธิบาท ๔ โดย สมเด็จพระญาณสังวร

อิทธิบาท ๔ โดย สมเด็จพระญาณสังวร

Keywords: อิทธิบาท ๔,สมเด็จพระญาณสังวร

อิทธิบาท ๔
สมเด็จพระญาณสงั วร สกลมหาปรณิ ายก
บดั นี้ จกั แสดงธรรมะเป็นเครอ่ื งอบรมในการปฏิบตั ิอบรมจิต
ในเบือ้ งตน้ ก็ขอใหท้ กุ ๆ ทา่ นตงั้ ใจนอบนอ้ มนมสั การ พระผมู้ ี
พระภาคอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ พระองคน์ นั้ ตงั้ ใจถงึ พระองค์
พรอ้ มทงั้ พระธรรมและพระสงฆเ์ ป็นสรณะ ตงั้ ใจสาํ รวมกาย
วาจาใจใหเ้ ป็นศลี ทาํ สมาธิในการฟัง เพ่ือใหไ้ ดป้ ัญญาในธรรม
พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ผพู้ ระบรมศาสดาของเราทงั้ หลาย ได้
ทรงเป็นพระภควาท่ีเราแปลทบั ศพั ทม์ าเป็นไทยวา่ พระผมู้ ีพระ
ภาคเจา้ ซง่ึ มคี วามหมายประการหนง่ึ วา่ ผจู้ าํ แนกแจกธรรมส่งั
สอนประชาชน ดงั ท่ีไดท้ รงจาํ แนกธรรมะออกเป็นหมวดธรรม
ตา่ งๆ และท่ีตรสั รวมเขา้ เป็นหมวดโพธปิ ักขิยธรรม ซง่ึ กาํ ลงั
แสดงอย่นู ี้ ไดแ้ สดงมาแลว้ ในหมวดท่ี ๑ คอื สตปิ ัฏฐาน ๔
หมวดท่ี ๒ คือ สัมมปั ปธาน ๔ วนั นจี้ ะแสดงหมวดท่ี ๓ คือ
อิทธบิ าท ๔

1

คาํ วา่ อิทธิบาท นนั้ อิทธิเราแปลกนั เป็นไทยอย่างหนง่ึ วา่
ฤทธิ์ ดงั ท่ีมีแสดงไวใ้ นพทุ ธศาสนาเชน่ อภญิ ญา ๖ วชิ ชา ๘ ซง่ึ มี
ขอ้ อทิ ธิวธิ ิ การแสดงฤทธิ์ได้ ด่งั ท่พี ระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงยกย่องพระ
โมคคลั ลานะเป็นเอตทคั คะ คอื เป็นพระสาวกผเู้ ลศิ ในทางมีฤทธิ์
มาก

อกี อยา่ งหน่งึ คาํ วา่ อทิ ธิ แปลวา่ ความสาํ เรจ็ ความสาํ เรจ็
แหง่ การปฏิบตั ิ ขนั้ หน่งึ ๆ ก็เป็นอิทธิอย่างหนง่ึ จนถงึ เป็น
ความสาํ เรจ็ อย่างสงู คอื สาํ เรจ็ ความรูธ้ รรมเหน็ ธรรม อนั เป็นภมู ิ
อรยิ ชน จนถงึ ความตรสั รูอ้ นั เป็นความรูส้ งู สดุ ในพทุ ธศาสนา ก็
เป็นอทิ ธิคอื ความสาํ เรจ็ คาํ วา่ บาท นนั้ แปลตามศพั ทว์ า่ เหตทุ ่ี
ใหบ้ รรลถุ ึง เหตทุ ่ีใหถ้ งึ อนั ไดแ้ กป่ ฏิปทาคอื ทางปฏิบตั ิ หรอื
มรรคคอื ทาง บาท แห่งอทิ ธิ ก็คือเหตทุ ่ีใหบ้ รรลถุ ึงความสาํ เรจ็
หรอื บรรลถุ ึงฤทธิ์ ทางปฏิบตั ิมรรคาคือทางแห่งฤทธิ์ หรอื แหง่
ความสาํ เรจ็

พระพทุ ธเจา้ ไดท้ รงแสดงอทิ ธิบาทไว้ ๔ ประการ คอื อิทธิ
บาทอนั ประกอบดว้ ย ความประกอบความเพียรดว้ ยสมาธิ ท่ีมี

2

ฉันทะคอื ความพอใจยงั ใหบ้ งั เกิดขนึ้ ขอ้ ๑ อทิ ธิบาทอนั
ประกอบดว้ ย ความประกอบความเพียรดว้ ยสมาธิ ท่ีมีวริ ิยะคือ
ความเพียรยงั ใหบ้ งั เกิดขนึ้ ขอ้ ๑ อทิ ธิบาท อนั ประกอบดว้ ย
ความเพียรดว้ ยสมาธิท่ีมีจติ ตะความเอาใจใสย่ งั ใหบ้ งั เกิดขนึ้ ขอ้
๑ อิทธิบาทอนั ประกอบดว้ ย ความประกอบความเพียรดว้ ย
สมาธิ ท่ีมวี ิมงั สาความใครค่ รวญไตรต่ รองยงั ใหบ้ งั เกิดขนึ้ ขอ้ ๑
เป็นอิทธิบาท ๔ ประการ

เพราะฉะนนั้ อทิ ธิบาททงั้ ๔ ท่ีมาพดู ย่อๆ วา่ ไดแ้ ก่ ฉนั ทะ
ความพอใจ วริ ยิ ะ ความเพยี ร จติ ตะ ความเอาใจใส่ วมิ งั สา
ความไตรต่ รองพจิ ารณา จงึ เป็นการกลา่ วอยา่ งยอ่ ๆ

แตเ่ ม่ือกลา่ วตามท่พี ระพทุ ธเจา้ ไดต้ รสั ไวเ้ อง ก็เป็นไปด่งั ท่ี
ไดย้ กมาแสดงในเบือ้ งตน้ นนั้ คืออทิ ธิบาทนนั้ มใิ ชม่ ีความสนั้ ๆ
เพียง ฉนั ทะ วริ ยิ ะ จิตตะ วมิ งั สา แตว่ า่ จะเป็นอิทธิบาทไดต้ อ้ ง
ประกอบดว้ ย ความประกอบความเพียร มาจากคาํ บาลวี า่ ปธา
นะสังขาระ หรอื ปธานสงั ขาร

3

คาํ วา่ ปธานะ ก็คือสัมมัปปธาน ๔ อนั เป็นหมวดท่ี ๒ นนั้
สงั ขาระ คือสงั ขาร ก็ไดแ้ กส่ งั ขารคอื ความปรุงแตง่ ในท่ีนีใ้ ช้
แปลวา่ ความประกอบ เพราะความประกอบนนั้ ก็คือปรุงแตง่
นนั้ เอง อยา่ งเช่น ประกอบไมใ้ หเ้ ป็นโตะ๊ เป็นเกา้ อี้ เป็นบา้ นเป็น
เรอื น ก็คอื เอาของหลายๆ อย่างมาประกอบกนั เขา้ ก็มี
ความหมายตรงกบั คาํ วา่ ความปรุงแตง่ ซง่ึ มีความหมายวา่ ตอ้ ง
มีหลายอยา่ งมาประกอบกนั เขา้ อย่างปรุงอาหารก็ตอ้ งมีของ
หลายอย่าง มาตม้ มาแกงปรุงเป็นอาหารขนึ้ เพราะฉะนนั้ คาํ วา่
ความประกอบหรอื ความปรุงแตง่ จงึ มีความหมายเป็นอนั
เดียวกนั และออกมาจากคาํ เดียวกนั วา่ สังขาร หรอื สงั ขาระ
ความปรุงแตง่ หรอื ความประกอบ ปธานสงั ขาร ก็คอื ประกอบ
ความเพียร อนั ไดแ้ ก่สมั มปั ปธาน ๔ ท่ีแสดงแลว้

เพราะฉะนนั้ คาํ วา่ อทิ ธิบาทนนั้ จงึ รวมสมั มปั ปธาน ๔ เขา้
มาดว้ ย แตว่ า่ มีขยายความออกไปวา่ ความประกอบปธานะคือ
ความเพียรนนั้ ประกอบดว้ ยสมาธิท่ีมี ฉนั ทะ วริ ยิ ะ จติ ตะ
วิมงั สา ยงั ใหบ้ งั เกิดขนึ้ ก็คอื ธรรมะทงั้ ๔ ขอ้ นี้ อนั ไดแ้ กฉ่ นั ทะ

4

วิรยิ ะจิตตะวมิ งั สา ยงั ใหเ้ กิดสมาธิขนึ้ คือความตงั้ ใจม่นั ไม่กลบั
กลอกคลอนแคลน

สมาธิคอื ความตงั้ ใจม่นั นีท้ ่ีธรรมะทงั้ ๔ ขอ้ นนั้ ใหบ้ งั เกิดขนึ้
ก็ทาํ ใหเ้ กิดความประกอบความเพียร อนั เป็นสมั มปั ธานทงั้ ๔
ขอ้ นนั้ เพราะฉะนนั้ ฉนั ทะวริ ยิ ะจิตตะวมิ งั สา จงึ เป็นอธิปไตยคอื
เป็นใหญ่ อนั จะนาํ ใหเ้ กิดสมาธิความตงั้ ใจม่นั เพ่ือประกอบ
ความเพียร อนั เป็นสมั มปั ปธานทงั้ ๔ นนั้ เม่ือเป็นด่งั นี้ จงึ จะเป็น
ปฏปิ ทาความปฏบิ ตั หิ รอื ทางปฏบิ ตั ิ เป็นมรรคคอื มรรคา คือทาง
แห่งอิทธิความสาํ เรจ็ หรอื แหง่ ฤทธิ์ทงั้ หลาย

ในหมวดสมั มปั ปธาน ๔ นนั้ ก็ไดม้ ีเรม่ิ ตรสั ทา้ วมาถงึ อทิ ธิ
บาททงั้ ๔ นีด้ ว้ ยแลว้ คือดงั ท่ีตรสั ไวว้ า่ ยงั ฉนั ทะคอื ความพอใจ
ใหเ้ กิดขนึ้ พยายามเรม่ิ ความเพียร ประคองจิตตงั้ ความเพียร
ขนึ้ มา ในการระวงั บาปอกศุ ลท่ียงั ไมเ่ กิดไมใ่ หเ้ กิดขนึ้ ในการละ
บาปอกศุ ลท่ีเกิดขนึ้ แลว้ ในการยงั กศุ ลท่ียงั ไม่เกิดใหเ้ กิดขนึ้ ใน
การรกั ษากศุ ลท่ีเกิดขนึ้ แลว้ และปฏิบตั เิ พ่ิมเติมใหบ้ รบิ รู ณ์

5

เพราะฉะนนั้ ครนั้ ตรสั สมั มปั ปธาน ๔ และมีทา้ วมาถงึ อทิ ธิ
บาท อนั เป็นอปุ การธรรมในการปฏบิ ตั ิสมั มปั ปธานทงั้ ๔ นนั้
ดว้ ยแลว้ จงึ มาตรสั ถึงหมวดอิทธิบาท ๔ นี้ และก็ไดต้ รสั วา่
ประกอบดว้ ย ความประกอบปธานะทงั้ ๔ นนั้ ท่ีตรสั วา่ ปธา
นะสงั ขาระ ความประกอบความเพียร ดว้ ยสมาธิท่ีมีฉนั ทะวิรยิ ะ
จติ ตะวมิ งั สาใหบ้ งั เกิดขนึ้

เพราะฉะนนั้ เม่ือแสดงความใหเ้ น่ืองกนั แลว้ จงึ กลา่ วไดว้ า่
อิทธิบาทดงั ท่ตี รสั ไวน้ ีเ้ องเป็นเหตใุ หป้ ระกอบปธานะ คอื
สมั มปั ปธานทงั้ ๔ นนั้ สาํ เรจ็ ขนึ้ ได้ และความตอ้ งการของอทิ ธิ
บาทในท่นี ีก้ ็คอื วา่ เป็นเหตใุ หป้ ระกอบความเพยี ร อนั เป็น
สมั มปั ปธานทงั้ ๔ นนั้ ไดส้ าํ เรจ็

โดยอาศยั ฉนั ทะสมาธิ วริ ยิ ะสมาธิ จติ ตะสมาธิ วมิ งั สา
สมาธิ คอื สมาธิท่ีมีฉนั ทะวริ ยิ ะจติ ตะวมิ งั สายงั ใหบ้ งั เกิดขนึ้

และเม่ือกลา่ วจาํ เพาะสมาธิก็กลา่ วไดว้ า่ ในการประกอบ
ความเพียรอนั เป็นสมั มปั ปธานทงั้ ๔ นนั้ จะตอ้ งมีสมาธิ คอื
ความตงั้ ใจม่นั เพ่ือท่ีจะประกอบความเพียร เพ่ือประกอบความ

6

เพียรอนั เป็นสมั มปั ธานทงั้ ๔ ขอ้ นนั้ ถา้ ขาดสมาธิเสยี แลว้ ความ
ประกอบความเพียรอนั เป็นสมั มปั ปธาน ๔ นนั้ ก็เกิดขนึ้ ไมไ่ ด้
เพราะวา่ จิตใจนีไ้ ม่ตงั้ เพ่ือท่ีจะทาํ ใหส้ มั มปั ปธานทงั้ ๔ นบี้ งั เกิด
ขนึ้ คือจิตนีไ้ มต่ งั้ ม่นั ในอนั ท่จี ะระมดั ระวงั อนั เรยี กวา่ สงั วร
ปธาน ในอนั ท่ีจะละ อนั เรยี กวา่ ปหานปธาน ในอนั ท่ีจะปฏบิ ตั ิ
ใหม้ ีใหเ้ ป็นขนึ้ อนั เรยี กวา่ ภาวนาปธาน ในอนั ท่ีจะรกั ษากศุ ล
ธรรมท่ีบงั เกิดขนึ้ ไวไ้ ม่ใหเ้ ส่อื ม และใหเ้ พ่มิ เติมใหส้ มบรู ณ์ จงึ
ตอ้ งมีสมาธิคอื ความตงั้ จิตม่นั ในอนั ท่จี ะประกอบความเพียร
สมาธิในท่นี ีจ้ งึ มีความหมายวา่ ความตงั้ จติ ม่นั ท่จี ะประกอบ
ความเพียรทงั้ ๔ ขอ้ นนั้ ไม่เปล่ียนจติ เป็นอย่างอ่นื

เพราะฉะนนั้ จงึ ไม่หมายถงึ การท่ีมาน่งั ปฏบิ ตั ิ ภาวนาอย่าง
ใดอย่างหนง่ึ อย่างท่ีเรยี กวา่ ทาํ สมาธิกนั ท่วั ๆ ไป แตห่ มายเอาถึง
ความท่ีตงั้ จติ ม่นั ในอนั ท่ีจะประกอบความเพียร เม่ือมคี วามตงั้
จติ ม่นั ด่งั นีแ้ ลว้ การประกอบความเพียรอนั เป็นสมั มปั ปธานทงั้
๔ ซง่ึ ตรสั เรยี กในหมวดอิทธิบาทนีว้ า่ ปธานสงั ขาร ปรุงแตง่
ความเพียร หรอื ประกอบความเพียร จงึ จะบงั เกิดขนึ้ ได้ แตว่ า่

7

สมาธินนั้ ก็จาํ ตอ้ งอาศยั ความมีฉนั ทะวิรยิ ะจติ ตะวิมงั สาทงั้ ๔
ขอ้ นี้

มาทาํ ใหบ้ งั เกิดเป็นสมาธิขนึ้ ถา้ ขาดทงั้ ๔ ขอ้ นี้ สมาธิคือ
ความตงั้ จติ ม่นั ในอนั ท่ีจะประกอบความเพียรก็ไม่บงั เกิด

เพราะฉะนนั้ ธรรมะทงั้ ๔ ขอ้ นีจ้ งึ มีความสาํ คญั อนั จะเป็น
อปุ การะแกค่ วามประกอบความเพียรทงั้ ๔ หากวา่ จะกลา่ วให้
เน่ืองกนั มาจากสตปิ ัฏฐาน ก็กลา่ วไดว้ า่ สตปิ ัฏฐานทงั้ ๔ นนั้
เป็นขอ้ ธรรมท่ีเป็นท่ีตงั้ ของความปฏิบตั ติ งั้ สติ เป็นหลกั ในการ
ปฏิบตั ิธรรมทางจติ หรอื วา่ จติ ตภาวนา เป็นขอ้ ปฏิบตั ิทางจติ
ภาวนาท่ีเป็นตวั หลกั หลกั สาํ คญั แตว่ า่ จะตอ้ งอาศยั อปุ การะ
ธรรมคือสมั มปั ปธาน ๔ มาเป็นเครอ่ื งอปุ การะ ใหก้ ารปฏิบตั ิใน
สติปัฏฐานทงั้ ๔ นีบ้ งั เกิดขนึ้ เป็นไป และกา้ วหนา้ จนกระท่งั
สาํ เรจ็ เป็นสตปิ ัฏฐานทงั้ ๔ ขนึ้ ได้

และสมั มปั ปธานทงั้ ๔ นีเ้ ลา่ ก็ตอ้ งมีอทิ ธิบาททงั้ ๔ นีเ้ ป็น
อปุ การะ ถา้ ขาดสมั มปั ปธาน ๔ สตปิ ัฏฐานก็มีไมไ่ ด้ จงึ ตอ้ งมี
สมั มปั ปธาน ๔ ชว่ ย ถา้ ขาดอทิ ธิบาททงั้ ๔ สมั มปั ปธานทงั้ ๔ ก็

8

มีไม่ได้ จะตอ้ งมีอิทธิบาท ๔ ช่วย คอื จะตอ้ งมีฉันทะคือความ
พอใจในความประกอบความเพียร รกั ท่ีจะประกอบความเพียร
ไม่เกลียดความประกอบความเพยี ร ไม่รงั เกียจความประกอบ
ความเพียร ไมเ่ ฉยๆ ตอ่ ความประกอบความเพยี ร ตอ้ งมีความ
พอใจความรกั ท่ีจะประกอบความเพียร ขอ้ ๑

ตอ้ งมีวริ ิยะคอื ความเพียร คอื ความกลา้ ท่ีจะประกอบความ
เพียร วิรยิ ะนนั้ แปลวา่ ความกลา้ และวริ ยิ ะคอื ความกลา้ นีก้ ็
ตรงกนั ขา้ มกบั ความไมก่ ลา้ คือความย่อหยอ่ น อนั หมายถึง
ความเกียจครา้ น จะตอ้ งมีความไม่เกียจครา้ น

ความขยนั ลกุ ขนึ้ ประกอบความเพียร ก็คอื มีจติ ใจท่ีกลา้ ท่ี
แขง็ ในอนั ท่ีจะประกอบกระทาํ ความเพียรนนั้ เอง ขอ้ ๑

ตอ้ งมีจติ ตะคอื มีจติ จติ ท่ีตงั้ คือเอาใจใสด่ แู ล จติ ใจไม่
ทอดทงิ้ แตจ่ ติ ใจตงั้ ดแู ล ถา้ ขาดจิตใจตงั้ ดแู ล จิตใจทอดทงิ้ แลว้
ก็เกิดความประกอบความเพียรขนึ้ ไมไ่ ด้ หรอื เกิดขนึ้ ไดก้ ็ยอ่
หย่อน เพราะเม่ือไม่มีจติ เขา้ ประกอบก็เป็นไปไม่ได้ ตอ้ งมีจติ เขา้
ประกอบ จติ ตอ้ งตงั้ ม่นั แนว่ แน่ และดแู ล ขอ้ ๑

9

ตอ้ งมีวิมังสาคอื จติ ท่ีตงั้ ม่นั นนั้ จะตอ้ งดแู ล ก็คือตอ้ งมี
วมิ งั สาคือความใครค่ รวญพิจารณา ใหร้ ูจ้ กั ทางและมใิ ชท่ าง ให้
รูจ้ กั การปฏิบตั ทิ ่ีตงั้ ขนึ้ ได้ หรอื ไมต่ งั้ ขนึ้ ได้ ท่ีกา้ วหนา้ หรอื ถอย
หลงั ดว้ ยเหตอุ ะไร จะตอ้ งรู้ ในการปฏบิ ตั ปิ ระกอบความเพียร
ของตน โดยเหตโุ ดยผล โดยถกู ทางโดยผดิ ทาง อะไรท่ีเป็นเหตุ
ใหย้ ่อหยอ่ นเป็นเหตใุ หผ้ ิดทาง ก็ตอ้ งรู้ อะไรท่ีเป็นเหตใุ หค้ วาม
ประกอบความเพียรตงั้ อยแู่ ละกา้ วหนา้ เม่ือถกู ทางก็ใหร้ ู้ เพ่ือวา่
ความประกอบความเพียรนนั้ จะไดด้ าํ เนินขนึ้ ได้ และเป็นไปโดย
ถกู ตอ้ งไมผ่ ดิ ทาง

เพราะฉะนนั้ ทงั้ ๔ ขอ้ นีส้ าํ คญั ทงั้ นนั้ เพราะในการประกอบ
ความเพียรนนั้ จะตอ้ งประสบกบั ผลท่ีบงั เกิดขนึ้ หลายอยา่ ง เป็น
ผลของกิเลสอนั ปฏปิ ักษต์ อ่ สมั มปั ปธาน คอื ความประกอบความ
เพียรท่ีชอบกม็ ี เป็นผลของตวั ความเพียรก็มี ซง่ึ ใหผ้ ลปรากฏ
เป็นสขุ ก็มี เป็นทกุ ขก์ ็มี และบงั เกิดความประสบการณใ์ นการ
ปฏิบตั ิ ซง่ึ มีเป็นขนั้ ตอน อาจจะเหน็ น่นั เหน็ น่ีในภายนอกก็มี
จะตอ้ งมีวมิ งั สาคือความใครค่ รวญพิจารณา วา่ สิ่งท่ีรูท้ ่ีเหน็ ใน

10

ระหวา่ งปฏิบตั นิ นั้ บางอย่างก็เป็นอปุ กิเลส คือเป็นเครอ่ื งเศรา้
หมองของปฏิปทาท่ีปฏบิ ตั ิไปสคู่ วามตรสั รู้

ถา้ หากวา่ ขาดปัญญาท่ีรูจ้ กั ก็ไปสาํ คญั ตนวา่ เป็นอยา่ งนนั้
เป็นอยา่ งนี้ บางทีก็ไปเกิดความกลวั เม่ือไปพบนิมติ ท่ีนา่ กลวั
บางทีก็เกิดความเขา้ ใจผดิ ในเม่ือไดป้ ระสบกบั ปีตสิ ขุ ตา่ งๆ ท่ี
บงั เกิดขนึ้

ดงั ท่ีมีเลา่ ถงึ วา่ ทา่ นท่ีปฏบิ ตั ิธรรมในป่าบางทา่ น เม่ือทา่ น
ปฏิบตั ิไปไดร้ บั ความรูแ้ ละความสขุ จติ ใจปลอดโปรง่ สะอาด
ถึงกบั รอ้ งขนึ้ วา่ เราสาํ เรจ็ แลว้ ดงั นีก้ ็มี และตอ่ มาเม่ือถงึ วนั รุง่ ขนึ้
จงึ รูส้ กึ วา่ ยงั ไมส่ าํ เรจ็ เพราะในขณะท่ีจิตบรสิ ทุ ธิ์สะอาดนนั้ รูส้ กึ
เหมือนไมม่ ีกิเลส แตเ่ ม่ือพน้ จากการปฏิบตั นิ นั้ แลว้ จิตกลบั สู่
ภาวะปรกติรบั อารมณท์ งั้ หลาย จงึ รูว้ า่ ยงั มียนิ ดียนิ รา้ ย ยงั ไม่
สาํ เรจ็ อยา่ งนีก้ ็มี จงึ ตอ้ งมีวมิ งั สาความใครค่ รวญพจิ ารณานี้
อนั เป็นขอ้ สาํ คญั และเม่ือมีทงั้ ๔ ขอ้ นีแ้ ลว้ กท็ าํ ใหไ้ ดส้ มาธิคือ
ความตงั้ ใจม่นั ในอนั ท่ีจะประกอบความเพยี ร ความประกอบ
ความเพียรจงึ บงั เกิดขนึ้ ได้

11

ด่งั นีแ้ หละจงึ กลา่ วไดว้ า่ เป็นอิทธิบาท ซง่ึ มฉี นั ทะเป็นใหญ่
เรยี กวา่ ฉันทาธิบดี มีวริ ยิ ะเป็นใหญ่เรยี กวา่ มวี ิริยาธบิ ดี มีจิต
ตะเป็นใหญ่เรยี กวา่ มีจติ ตาธบิ ดี มวี ิมงั สาเป็นใหญ่เรยี ก
วมิ ังสาธบิ ดี ก็จะนาํ ใหไ้ ดส้ มาธิในการประกอบความเพียร แลว้
ก็ทาํ ใหป้ ระกอบความเพียร ซง่ึ เป็นสมั มปั ปธานะ นาํ ใหก้ าร
ปฏบิ ตั ิในสตปิ ัฏฐานนนั้ สาํ เรจ็ อทิ ธิ คอื ความสาํ เรจ็ ในการปฏบิ ตั ิ
ดงั กลา่ ว

ตอ่ ไปนีก้ ็ขอใหต้ งั้ ใจทาํ ความสงบสืบตอ่ ไป
(ถอดเสยี งธรรมโดย คณุ อณิศร โพธิทองคาํ )
ท่ีมา: https://youtu.be/3AaOEfvu5LY

12


Click to View FlipBook Version