The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สติปัฏฐาน ๔ โดย หลวงพ่อสิงห์ทอง ธมฺมวโร

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ทีมงานกรุธรรม, 2022-02-12 21:17:05

สติปัฏฐาน ๔ โดย หลวงพ่อสิงห์ทอง ธมฺมวโร

สติปัฏฐาน ๔ โดย หลวงพ่อสิงห์ทอง ธมฺมวโร

Keywords: สติปัฏฐาน ๔,หลวงพ่อสิงห์ทอง ธมฺมวโร

สตปิ ัฏฐาน ๔
เทศนว์ นั ท่ี ๒๙ ธ.ค. ๒๕๒๒
การพดู ธรรมะ การฟังธรรมะ ทกุ คนเคยไดย้ ินไดฟ้ ังเร่อื งการ
จะรกั ษาจติ ใจของตวั นนั้ ในระยะท่ที า่ นอบรมแนะสอนก็ตอ้ ง
ตงั้ ใจกาํ หนดรกั ษา ถือวา่ การน่งั ฟังนนั้ ไม่มหี นา้ ท่กี ารงานอะไรท่ี
จะยงุ่ เก่ียว ถือวา่ เป็นการภาวนาในตวั ไมเ่ ช่นนนั้ จิตคดิ ปรุงย่งุ
เก่ียวกบั เร่อื งนอก เรอ่ื งของกายท่เี กิดเจ็บปวด เหน็ดเหน่อื ย
เม่ือยหวิ ตา่ งๆ จะไดร้ บั ผลจากการน่งั ของตน การอบรมของตน
ฉะนนั้ ทกุ คนจงระวงั รกั ษาจติ ใจของตวั สว่ นกาย วาจา ไมม่ ี
อะไรท่ีจะไปทาํ ไปพดู น่งิ เฉยอย่แู ลว้ รกั ษาแตใ่ จภายใน ใจใคร่
คดิ ตดิ ขอ้ งกบั เร่อื งขา้ งนอก ธรรมะท่ีแนะสอนโดยสว่ นใหญ่ก็
ไมไ่ ดแ้ นะสอนไปจากกายจากใจของคน ผสู้ อนก็เอากายเอาใจ
มาสอน ผฟู้ ังก็เอากายเอาใจมาฟัง เรอ่ื งกายใจนีเ้ ป็นเร่อื งสาํ คญั
พวกเราทา่ นมนั หลงใหลในเร่อื งของกายของใจ ไม่ทราบ
อะไรเป็นอะไรกนั แน่ ตอ้ งอาศยั การฝึกอบรม การพินิจพิจารณา
ดว้ ยสตดิ ว้ ยปัญญาของตวั จงึ จะทราบเรอ่ื งของกายตามเป็นจรงิ

1

ของมนั เร่อื งของใจตามเป็นจรงิ ของมนั กายใจนนั้ มนั อาศยั กนั
แตเ่ ราก็ยดึ ถือวา่ เป็นเรา ไม่ทราบวา่ อะไรเป็นเรา ความคดิ ความ
นกึ เป็นเรารึ เนือ้ หนงั เอน็ กระดกู เป็นเรา เลยเหมาเอาหมด ไม่
เคยไดก้ าํ หนดพินิจพจิ ารณาแยกจากกนั เม่ือเป็นอยา่ งนนั้ ก็
ความหลงใหล ก็หลงใหลเรอ่ื ยไป อะไรเกิดขนึ้ ทางกายก็ถือวา่
เราเป็นความคิดนกึ ไปตา่ งๆ ก็ถือวา่ เรานกึ เราคิด มนั มีความลมุ่
หลงของคนท่วั ไป ลมุ่ หลงอย่อู ยา่ งนนั้

ผทู้ ่ีฝึกปฏบิ ตั ิใจของทา่ นในทางภาวนา ท่านจงึ กาํ หนดเรอ่ื ง
ของกายใหแ้ ยบคายเขา้ ไป ตามทางท่ีพระพทุ ธเจา้ ทา่ นทรงสอน
เรอ่ื งสตปิ ัฏฐาน ๔ คอื ใหพ้ จิ ารณากายในกายของตวั วา่ ไมใ่ ช่
สตั วบ์ คุ คลตวั ตนเราเขา พิจารณาใหท้ ่วั ใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งนนั้ เพราะ
กายอนั นที้ ่ีเราสมมตุ กิ นั วา่ กาย เคา้ เองก็ไมท่ ราบวา่ เราสมมตุ ใิ ห้
เคา้ ถกู ตอ้ งหรอื ไม่ เคา้ ไม่เคยตอ่ วา่ ตอ่ ขาน จะสมมตุ ิเป็นอะไร
เคา้ ก็ไม่ถือสาคนสมมตุ ิ หนา้ ท่ีของเขาเป็นอยา่ งไร ก็เป็นไปตาม
หนา้ ท่ีของเขา เขาไม่เคยลมุ่ หลงเพลิดเพลนิ ไปตามจติ ตามใจท่ี
ลมุ่ หลงกบั เขา หนา้ ท่ีจะแกจ่ ะเฒา่ จะป่วยจะเป็น มนั ก็เป็นไป

2

ตามหนา้ ท่ีของเขา แลว้ เขาก็ไม่เคยคดิ นกึ วา่ ไม่ควรจะเป็นอย่าง
นนั้ ไมค่ วรจะเป็นอยา่ งนี้ และไมเ่ คยหว่ งเคยหวงวา่ มนั เป็นอย่าง
นนั้ มนั เป็นอยา่ งนี้ มนั ไม่ดีไมง่ าม มนั ไมเ่ คยหงึ เคยหวง มนั
เป็นไปตามเรอ่ื งของมนั

น่ีคอื เร่อื งของกาย เรอ่ื งของธาตขุ องขนั ธ์ พจิ ารณาใหจ้ ติ รู้
เหน็ ตามเป็นจรงิ ของมนั วา่ กายนีห้ นา้ ท่ีของมนั เป็นอยา่ งนี้ ให้
ทราบดใี นจติ ในใจ อยา่ ไปยดึ วา่ กายเป็นเรา เราเป็นกาย ผไู้ ป
เหน็ จะรูเ้ รอ่ื งของกายนนั้ ใหแ้ ยกออกจากเรอ่ื งของกาย จะแยก
ออกนนั้ ถา้ หากจิตของเราไมล่ ะเอียด ไมเ่ หน็ จรงิ มนั ก็แยกไม่
ออกได้ ท่ีมนั แยกออกไดต้ อ้ งจิตละเอยี ด จติ เป็นเองของมนั มนั
เหน็ เรอ่ื งของกายเป็นอยา่ งนนั้ จิตเป็นอยา่ งนี้ เม่ือกายมนั ชาํ รุด
ทรุดโทรมไป มีการป่วยไขม้ ีการแตกสลาย ถา้ หากจติ เหน็ เรอ่ื ง
ของกายตามความเป็นจรงิ ของมนั ก็เหมอื นกบั บา้ นของเราถกู
ไฟไหมห้ รอื ถกู พงั ลงไป แตต่ วั ของเรานนั้ ไมใ่ ช่บา้ น บา้ นไมใ่ ช่เรา
เขา้ ใจชดั เจนอยา่ งนนั้ และไมม่ ีความเสียอกเสียใจอะไรกนั
เพราะเร่อื งอนั นีม้ นั เกิดขนึ้ มนั แปรปรวน มนั แตกสลายตาม

3

หนา้ ท่ีของมนั ท่ีมนั จะอยนู่ านไดก้ ็เพราะอาศยั ปัจจยั คอื กรรม
บาํ รุงเอาไว้ ท่มี นั พงั ไปงา่ ยกเ็ พราะอาศยั ปัจจยั คือกรรมช่วั เสีย
ถกู ตดั รอน ใหม้ นั พงั มนั ทลายง่าย ใหพ้ จิ ารณาทางธรรมะ
พจิ ารณาใหแ้ ยบคายลงไปอยา่ งนนั้ เรยี กวา่ เรามีสติอยใู่ นกาย
พิจารณากายเป็นเร่อื งของกาย ไมใ่ ชห่ ญิงไม่ใชช่ าย ไม่ใช่สตั ว์
ไมใ่ ช่บคุ คล ผมู้ ารูม้ าเหน็ เป็นอีกอนั หน่งึ สงิ่ ท่ีเรยี กวา่ กายเป็นอกี
อนั หนง่ึ น่ีคอื ทางพิจารณาทางสติปัฏฐานท่พี ระพทุ ธเจา้ สอนให้
นกั ภาวนากาํ หนดพิจารณา

เวทนาความสขุ ทกุ ขเ์ ฉยๆน่กี ม็ ีอย่ทู กุ ระยะ เวน้ แตเ่ ราจะมี
สตกิ าํ หนดดแู ลหรอื ไม่ แตค่ วามจรงิ สง่ิ เหลา่ นีม้ ีอยทู่ กุ ระยะทกุ
เวลา ไม่วา่ เราจะอยอู่ ิรยิ าบทใด ความสขุ ความทกุ ข์ เฉยๆนนั้
มนั มีแตม่ นั เปล่ยี นหนา้ ท่กี นั บางทีทกุ ขเ์ กดิ สขุ มนั ก็หายไป สขุ
เกิด ทกุ ขม์ นั ก็หายไป เวลาไม่ทกุ ขไ์ มส่ ขุ เฉยๆมนั ก็เกิด มนั มีอยู่
อยา่ งนีเ้ รยี กวา่ เวทนา เวทนานีก้ ็อาศยั กายอาศยั จติ ถา้ มีแคก่ าย
ถา่ ยเดยี ว เวทนามนั ก็ไม่เกิดขนึ้ มีแตจ่ ิตถ่ายเดียว เวทนาก็ไม่
เกิดขนึ้ เหมือนกนั กบั เสยี งตอ้ งอาศยั มีสองอย่างกระทบกนั เสยี ง

4

จงึ เกิดขนึ้ ถา้ มีอยา่ งเดียวเหมือนเราปรบมือขา้ งเดยี ว เสียงดงั
มนั ก็ไม่เกิดขนึ้ ถา้ เอารบั กนั หละ เสยี งดงั มนั เกิดขนึ้ เสยี งนนั้
เหมือนกนั กบั เวทนา มีจติ มีกายอยู่ เวทนาจะตอ้ งมี ไมส่ ขุ ก็ทกุ ข์
ไม่อยา่ งนนั้ ก็เฉยๆ มนั มีอยอู่ ยา่ งนี้

แตเ่ วทนานีก้ ็เป็นแตส่ กั เวทนา ไมใ่ ช่วา่ เรา ไมใ่ ชว่ า่ สตั ว์ มนั
เป็นมาแตไ่ หนแตไ่ ร สตั วท์ ่ีมนั พดู ไม่รูภ้ าษา ไมเ่ ขา้ ใจภาษาของ
มนั มนั กม็ ีเหมือนกนั กบั มนษุ ยเ์ รา เรยี กวา่ เวทนา แตเ่ วทนานนั้
โดยสว่ นใหญ่ ทกุ ขไ์ มว่ า่ คนวา่ สตั วไ์ ม่ปรารถนา ชอบสขุ ยินดใี น
สขุ อยากจะใหส้ ขุ อยากจะใหส้ บายอยา่ งนนั้ อยา่ งนี้ แตธ่ รรมะ
ของพระพทุ ธเจา้ ท่ีทา่ นสอนก็สอนความจรงิ ไม่วา่ สขุ ไม่วา่ ทกุ ข์
หรอื เฉยๆเกิดขนึ้ มนั ตอ้ งแปรไป เปล่ยี นไป ดบั ไปตามหนา้ ท่ีของ
มนั ไมใ่ ชว่ า่ มนั จะคงทนอยเู่ ร่อื ยไป มนั เป็นหนา้ ท่ีของมนั เป็นอยู่
อย่างนนั้ แตเ่ ราไมเ่ หน็ ตามเป็นจรงิ จงึ เกิดความดใี จเสยี ใจในสิ่ง
เหลา่ นี้ ทงั้ ๆท่ีส่งิ เหลา่ นีไ้ ม่รูอ้ ิโหนอ่ เิ หนอ่ ะไรท่ีเราไปหลงใหลรกั
มนั ชอบมนั หรอื ไปเกลียดมนั มนั ก็ไม่ไดเ้ สยี ใจ น่ีคือเวทนา มนั
มีอย่ทู กุ รูปทกุ นาม คนจะประพฤติปฏิบตั ติ ามอรรถตามธรรมก็

5

ตาม คนท่ีจะไม่ประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ะไรก็ตาม เวทนานนั้ มีอยู่
ดว้ ยกนั ทกุ ถว้ นหนา้ ถา้ เกิดมาแลว้ เวทนาตอ้ งมี มีกายมจี ิต น่ีคอื
การพนิ ิจพิจารณาเร่อื งเวทนา เรยี กวา่ พจิ ารณาสตปิ ัฏฐาน

นอกจากนนั้ พจิ ารณาจิต ความนกึ คดิ นกึ คิดอยา่ งนนั้ นกึ
คิดอยา่ งนี้ บางทีก็ไปในทางช่วั ท่นี กั ปราชญท์ ่วั ไปตาํ หนนิ ินทา
คอื คดิ ไปทางกิเลสตณั หา ทางโลภ ทางโกรธ ทางหลง บางทีก็
คิดไปในทางดี ทางสจุ รติ บางทีก็คดิ ไปในแง่ท่ีจะแกไ้ ขจิตใจของ
ตนใหพ้ น้ ทกุ ข์ มนั คิดไปไดท้ กุ แงท่ กุ มมุ เรอ่ื งของจิต จติ นีก้ ็สกั แต่
วา่ จติ คือนกึ คดิ เทา่ นนั้ คิดดี คดิ ช่วั คดิ ผิด คิดถกู เป็นเร่อื งของ
จิต มนั คดิ ไดป้ รุงได้ แตเ่ ราก็คอยดีใจเสยี ใจในความคิดของตวั
เพราะสตปิ ัญญาของเราไมเ่ ขา้ ใจเรอ่ื งความนกึ คดิ วา่ มนั เป็นตวั
ของตวั ถา้ หากเราเขา้ ใจวา่ ความนกึ คิดนกี้ ็เพียงแตค่ วามนกึ คิด
เพียงแตจ่ ติ ปรุงทางสติปัฏฐานทา่ นเรยี กวา่ จิต ถา้ หากพดู ถงึ
เร่อื งของขนั ธท์ า่ นเรยี กวา่ สงั ขาร ความปรุงคดิ แลว้ แตจ่ ะสมมตุ ิ
มนั จะวา่ อะไรนนั้ มนั ก็ไม่ดีใจเสยี ใจ น่ีมนั มีอย่ดู ว้ ยกนั ทงั้ นกั บวช

6

ทงั้ ฆราวาส ความนกึ คิดเรยี กวา่ จิตตานปุ ัสนา คือพิจารณาจติ
ตามสติปัฏฐาน

นอกจากนนั้ ธรรมคือความดีช่วั จะกศุ ลธรรม อกศุ ลธรรม
หรอื ความเป็นกลางๆเรยี กวา่ อพั ยากฤตธรรม เราก็คิดไปได้
พจิ ารณาไปได้ น่ีสตปิ ัฏฐานทงั้ ๔ ถา้ หากแยกออกไป มนั เป็น
อยา่ งนนั้ รวมแลว้ ก็คือกายคือใจของเรา ไมไ่ ดม้ ีอยทู่ ่ีอ่นื ผทู้ ่ี
กาํ หนดอยนู่ ีพ้ จิ ารณาใหร้ ูใ้ หเ้ ขา้ ใจตามเป็นจรงิ ของมนั ท่านวา่
เจรญิ สติปัฏฐาน คือพจิ ารณาคดิ อา่ นเรอ่ื งของกายของใจใหร้ ูใ้ ห้
เขา้ ใจใหป้ ระจกั ษ์ อยา่ ไปยดึ ทงั้ ช่วั ทงั้ ดี ใหท้ ราบตามเป็นจรงิ
ของมนั แลว้ ปลอ่ ยวางในสง่ิ นนั้ ๆตามเป็นจรงิ ของมนั อยา่ ใหจ้ ิต
ไปยดึ ไปถือ ไปแบกไปหาม ถา้ หากฝึกปฏบิ ตั ิมนั จะเห็นเอง
ความติดขอ้ งละถอนของจติ เคยยดึ เคยถือ เคยสาํ คญั ม่นั หมาย
แตม่ าพิจารณาในธรรมะแยบคายลงไป มนั จะถอดจะถอนเร่อื ง
ความยดึ ถือนนั้ ๆ เพราะเห็นตามเป็นจรงิ ของมนั

ผทู้ ่ีพนิ ิจพจิ ารณาในสติปัฏฐาน ๔ ตงั้ หนา้ ตงั้ ตากาํ หนด
รกั ษาดแู ลเรอ่ื งของจติ ไม่ใหค้ ดิ ไปขา้ งนอกจากสติปัฏฐาน เบ่อื

7

ในการพิจารณากาย ก็มากาํ หนดพจิ ารณาเวทนา พิจารณาจิต
พจิ ารณาธรรม เบ่ืออนั หน่งึ มาพิจารณาอนั หน่งึ วกไปวนมา
พจิ ารณาอย่ใู นสติปัฏฐาน ไม่ใหอ้ อกไปขา้ งนอก คนนนั้
พระพทุ ธเจา้ รบั รองวา่ อยา่ งชา้ ท่ีสดุ ไมเ่ ลย ๗ ปีจะมีคตเิ ป็นสอง
คอื จะเป็น…พระอนาคา กบั พระอรหนั ต์ โสดากบั สกิทาคานนั้
ทา่ นไม่พดู คือมนั ต่าํ เกินไป จะตอ้ งเป็นพระอนาคากบั พระ
อรหนั ต์ อยา่ งชา้ ท่ีสดุ เพียง ๗ ปีเทา่ นนั้ บางทา่ นบางคนไม่ถงึ ๗
ปี หกปีหา้ ปีจนเจด็ เดอื นเจด็ วนั จะเป็นไปได้

น่ีพวกเราทา่ นก็เคยพจิ ารณากนั แตม่ นั ไมต่ ิดตอ่ ให้ โดยสว่ น
ใหญ่พอกาํ หนดนิดๆหนอ่ ยๆแลว้ ก็ออกไปคิดปรุงอนั ใหม่
สตปิ ัญญาไมม่ ีท่ีจะกาํ หนดพิจารณาในกายในเวทนาในจติ ใน
ธรรม ปลอ่ ยใหเ้ ท่ยี วไปตามความอยากของใจ ทงั้ ๆท่ีเป็นนกั บวช
ก็เหมือนกนั เหตนุ นั้ คณุ คา่ สาระของอรรถของธรรมจงึ ไมเ่ กิดขนึ้
ถงึ บวชมาระยะยาวนานก็ตาม ถา้ หากคมุ รกั ษาเอาไว้ ติดตอ่ กนั
ไปมนั ก็เป็นไปได้ กิเลสตณั หาหนา้ ไหน มนั จะมาย่วั ยจุ ติ ใจใหล้ มุ่
หลง ถา้ หากพจิ ารณาตามธรรมะ มนั ไมม่ ีทางท่ีจะเขา้ ได้ เพราะ

8

ธรรมะรกั ษาเอาไว้ จิตมีสติ จิตมีปัญญา อะไรผ่านมาทราบ มนั
แวบ้ ออกไปจากกาย จากเวทนา จากจติ จากธรรม ถา้ รกั ษา
เอาไวไ้ ม่ใหม้ นั แวบ้ ออกไป ใจอยใู่ นวงของอรรถของธรรมจรงิ จงั
แนน่ อนอยา่ งนนั้ ความรูท้ ่ีเป็นอรรถเป็นธรรมจะเกิดขนึ้ วา่ อนั นี้
เป็นอนั นนั้ อนั นนั้ เป็นอนั นีช้ ดั เจนขนึ้

และเม่ือจิตไม่ยดึ ถือกาย เวทนา จิต ธรรมแลว้ มนั จะเป็น
อยา่ งไร เราก็พอทราบไดว้ า่ มนั ไม่มีอะไรในโลกนีท้ ่ีจะทาํ ใหจ้ ติ
หลงใหล ทาํ ใหจ้ ิตขอ้ งติดในสิง่ ท่วั ไป เพราะเรอ่ื งของกายหรอื
เวทนานีเ้ ป็นปัญหาใหญ่ ทกุ คนลมุ่ หลงกนั เร่อื งหยาบๆ พอเรา
ไมเ่ คยเหน็ ของละเอียด เหน็ แตข่ องหยาบๆ มนั ก็ติดแตข่ อง
หยาบๆ กายน่มี นั ของหยาบ ถา้ หากพิจารณากายของตวั หยาบๆ
นี้ ท่วั ถงึ จรงิ จงั แลว้ สงิ่ ภายนอกท่ีเป็นรูปเหมือนกนั มนั ก็
เหมือนกนั หมด กายของเรามนั มีหนา้ ท่ีแปรปรวนเปล่ียนแปลง
อย่างไร รูปอ่ืน สตั วอ์ ่ืน คนอ่นื ในอดตี อนาคตมนั ก็เหมือนเรา
กาํ หนดอย่ใู นปัจจบุ นั มนั ไมอ่ ะไรกนั ท่ีจะทาํ ใหล้ มุ่ หลง เพราะ
ปัจจบุ นั เห็นประจกั ษอ์ ย่อู ยา่ งนนั้ มนั แปรปรวนไปอยา่ งไร เรา

9

ติดขอ้ งในรูปของเราก็ตดิ ขอ้ งส่งิ ของวตั ถตุ า่ งๆเรอ่ื ยไป เม่ือเรา
เขา้ ใจรูปของเรา กายของเราแยบคายเท่าไร จนใจปลอ่ ยเร่อื ง
ของกาย เหน็ เป็นตามสภาพของมนั แลว้ สง่ิ อ่ืนท่วั ไปนนั้ ไมต่ อ้ ง
ไปละไปถอนมนั มนั เขา้ ใจ เพราะมนั เป็นรูปเหมือนกนั มนั จงึ ไม่
มีอะไรท่ีจะสงสยั

น่ีการพิจารณาตามสตปิ ัฏฐานมีคณุ คา่ อยา่ งนนั้ ความสขุ
ทกุ ขเ์ ฉยๆเร่อื งเวทนานนั้ ก็ทาํ นองเดียวกนั ถา้ หากมนั ไมม่ ีการ
สลายตวั มนั ไป เราเคยทกุ ขห์ นกั ๆก็เคยทกุ ขม์ า ถา้ หากมนั เป็น
อย่างนนั้ อยู่ ไม่มีการสลายไป เป็นอย่างไรยงั คงอย่อู ย่างนนั้ เรา
ก็อย่ไู ม่ได้ ตายไปนานแลว้ เพราะเวลามนั ทกุ ขม์ ากๆ เราจะน่งั
จะยืน จะหลบั จะนอนอย่อู ิรยิ าบถใดมนั ทกุ ขอ์ ยตู่ ลอดเวลา
อยากรบั ประทานมนั ก็รบั ประทานไม่ได้ จะหลบั นอน มนั ก็ไม่
หลบั ใหเ้ พราะทกุ ข์ แตม่ นั ดบั ไป มนั เกิดขนึ้ แลว้ มนั ดบั ไป สขุ ก็
เหมือนกนั บางทีมนั สขุ เอาจรงิ ๆจงั ๆ มนั เคยประสบพวกท่ไี ม่เคย
ภาวนาอยใู่ นทางโลกก็เคยลมุ่ หลงเพลิดเพลิน สขุ เพราะเร่อื งของ
โลก มนั ก็เคยประสบมา แตส่ ง่ิ เหลา่ นนั้ มนั ก็หมดไป หายไปของ

10

มนั ผทู้ ่ีประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตามอรรถธรรมภาวนานนั้ ก็เคยประสบ
พบเหน็ อกี เหมอื นกนั ความสขุ ความสงบของใจ สขุ อย่างไรนนั้ ผู้
เห็นจะทราบ จะเขา้ ใจในตวั เอง แตส่ ่งิ เหลา่ นนั้ มนั ตงั้ ม่นั หรอื ไม่
หรอื มนั เกิดแลว้ มนั แปรปรวนแลว้ แตกสลายไป มนั ก็พอทราบได้
วา่ อะไรทกุ อยา่ งท่ีมีการเกิดขนึ้ จะตอ้ งมีการแปรปรวนและแตก
สลาย หนา้ ท่ีของมนั เป็นอย่อู ย่างนนั้

แตจ่ ิตใจของพวกเราท่านมนั ไปยดึ เม่ือสขุ ก็อยากจะใหส้ ขุ
อยตู่ ลอดกาลตลอดเวลา กายก็อยากจะใหม้ นั หนมุ่ มนั สาวอยู่
อยา่ งนนั้ ไมอ่ ยากใหม้ ีโรคภยั ไขเ้ จบ็ อะไรมาเบยี ดเบยี น มนั
ปรารถนาอย่างนนั้ ปรารถนาส่ิงท่ีมนั ไมม่ ี ปรารถนาสงิ่ ท่ีมนั เป็น
ไมไ่ ด้ จะปรารถนาเทา่ ไรก็ปรารถนาไป ผิดหวงั อย่ตู ลอดชีวติ
ความผดิ หวงั น่นั แหละทาํ ใหจ้ ติ ของเราเศรา้ หมอง ทาํ ใหจ้ ิตของ
เราเดือดรอ้ นเป็นทกุ ขเ์ พราะมนั ไม่สมปรารถนาให้ มนั ฝ่าฝืน
ความจรงิ มนั จงึ เป็นอยา่ งนนั้ การพิจารณาอบรมธรรมะ ปฏบิ ตั ิ
ใจของตวั นนั้ เพ่ือใหเ้ หน็ สง่ิ ตา่ งๆตามเป็นจรงิ ของมนั เม่ือเหน็
เม่ือเขา้ ใจสงิ่ ตา่ งๆตามเป็นจรงิ มนั จะไม่มที างสงสยั มนั จะละ

11

จะถอน จะปลอ่ ย จะวางความยดึ ถือท่ีเคยฝังในจิตในใจของตวั
มา น่ีคอื การภาวนา การละถอนเร่อื งกิเลสท่ีเคยขอ้ งติดคิดแวะ

ทกุ คนมีหนา้ ท่ที ่ีจะฝึกอบรม ไม่อยา่ งนนั้ ก็ไม่มีวนั เวลาท่ีจะ
สงบได้ เพราะโลกอนั นีม้ นั มอี ยู่ ไมว่ า่ ตงั้ แตส่ งิ่ ขา้ งนอกมาย่วั ยุ
ในตวั ของเรามนั ก็ย่วั ยอุ ย่เู รอ่ื ย เป็นอย่เู ร่อื ย เพราะกายมนั มีอยนู่ ี้
ใจมนั มีอยนู่ ี้ มนั หลงอนั นี้ จงึ จาํ เป็นตอ้ งพจิ ารณา น่ีคือ
การศกึ ษาธรรมะ การภาวนาละกิเลส ไม่ไดม้ ีอย่ทู ่ีอ่ืน ทกุ คนมี
กายมีใจท่ีจะประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ ท่ีจะรกั ษาละถอนสงิ่ ท่ีช่วั เสยี ตา่ งๆ
ไม่ใช่วา่ จะไปหาท่ีนนู้ ก่อน ท่ีนกี้ อ่ น เพราะธรรมเด๋ียวนีไ้ ม่มี
รูปธรรม นามธรรมมนั มี สงิ่ ท่ีเป็นรูปมนั ก็มีอย่ใู นเรา สิง่ ท่ีเป็น
นามเช่น เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ มนั ก็มีอย่ใู นเรา ตวั
ของเราจงึ ครบทกุ ส่งิ ทกุ อย่าง เรอ่ื งของธรรมไมว่ า่ รูปธรรม
นามธรรม ถา้ พจิ ารณาลงไปในนีใ้ หเ้ หน็ ตามเป็นจรงิ อยา่ เอา
กิเลสตณั หาเป็นศาสดา ใหเ้ อาธรรมะ เอาของจรงิ อรยิ สจั เขา้
ตดั สิน จติ มนั จะเหน็ ไมต่ ่ืนเตน้ เยน็ สบายเพราะมนั ไมห่ ลงรูป

12

กาย ไมห่ ลงนามธรรม สง่ิ เหลา่ นนั้ มนั เป็นอยา่ งไร ผไู้ ปรูไ้ ปเห็น
ไม่ไดเ้ ป็นอย่างนนั้

ถา้ หากจิตของเราฝึกอบรมปฏบิ ตั ิแยกออกจากรูปจากนาม
สว่ นนนั้ ได้ คือเขา้ ใจในตวั ของตวั เอง แตก่ อ่ นเคยเป็นอย่างนนั้ ๆ
แตม่ าประพฤติปฏบิ ตั ิเหน็ รู้ มนั เป็นอยา่ งนีๆ้ มนั กท็ ราบ มนั จงึ ไม่
มีอะไรท่ีจะสงสยั น่ีคอื การปฏิบตั ิ ทกุ คนมงุ่ ความสขุ ความสงบ
แตไ่ มท่ ราบวา่ จะไปหาท่ีไหน ความสงบภายนอกมนั พอหาได้
แตค่ วามสงบภายในไมร่ ูจ้ กั จะปฏบิ ตั ิรกั ษาตวั เอง ถงึ ขา้ งนอกจะ
สงบขนาดไหน แตข่ า้ งในมนั ไมส่ งบให้ มนั ก็ไม่มีคณุ คา่ สาระ
อะไร ตอ้ งใหส้ งบขา้ งใน คอื จติ ใจสงบรูเ้ หน็ ตามเป็นจรงิ ในอรรถ
ในธรรม สว่ นขา้ งนอกนนั้ มนั บงั คบั บญั ชาไมไ่ ด้ เราไมช่ อบ เคา้
ชอบ มนั ก็หาเรอ่ื งมาใหไ้ ม่สงบได้ เพราะรูปเสียงมนั มีอย่ใู นโลก
แตไ่ หนแตไ่ รมา เคา้ ชอบ เคา้ ปรารถนาเคา้ ก็หามาเลน่ มาดกู นั
แตเ่ ราไม่มีปัญญา ไมม่ ีธรรมะ พอกระทบสงิ่ เหลา่ นนั้ เราก็เกิด
เดือดรอ้ น ถา้ หากสงิ่ ท่ีเราชอบเรายนิ ดี เราก็สขุ ก็สบาย ถา้ ส่งิ ท่ี

13

เราไม่ชอบไม่ยินดี เราก็ทกุ ขร์ อ้ นในจิตในใจของเรา น่ีคือจิต คอื
ใจภายในมนั เป็นอย่างนนั้

แตค่ วามจรงิ ความชอบก็ดี ความไมช่ อบก็ดี มนั เป็นสองฝ่ัง
ทาง กลางทางมนั ไม่เดิน อยดู่ ๆี สบายๆมนั ไมเ่ อา ว่งิ ไปหาสิง่ นนั้
ว่ิงไปหาสงิ่ นี้ ความสงบมนั จงึ ไมม่ ี ถา้ หากรูจ้ กั รกั ษาความสงบ
ของตวั อารมณส์ ญั ญาตา่ งๆนานา ท่ีมนั เกิดขนึ้ ผา่ นมาย่วั ยุ ไม่
ตอ้ งไปเก่ียวขอ้ งกบั มนั สง่ิ เหลา่ นีม้ นั มีมาแตไ่ หนแตไ่ ร เราอยเู่ ฉย
ในความสงบ แลว้ ก็ดสู ิง่ ท่มี นั ปรุงคดิ ตา่ งๆ เพียงแตด่ ู อยา่ ไปเป็น
คนเลน่ มนั จะตอ้ งเหน็ ถา้ ไปเลน่ กบั มนั หละมนั ทกุ ข์ น่ีคอื จิตของ
ผปู้ ระพฤติปฏิบตั ิ ทา่ นน่ิงไดท้ งั้ ๆท่ีรูปเสยี งเรอ่ื งนอกมนั มี ทา่ นก็
น่ิงได้ ท่านไมไ่ ปย่งุ เก่ียว ไปลมุ่ หลงกบั เรอ่ื งเหลา่ นนั้ พยายามฝึก
ใหม้ นั เป็นอยา่ งนนั้ ใหม้ นั สงบอย่ตู ลอดเวลา ไมต่ อ้ งมีการออก
การเขา้ ใหม้ นั บรสิ ทุ ธิ์ อยา่ ไปยงุ่ เก่ียวพวั พนั กบั สง่ิ ตา่ งๆ ความ
จรงิ มนั เป็นอยา่ งไร ใหเ้ หน็ จรงิ ในจิตในใจ อย่าไปกนั้ กางหกั หา้ ม
อยากอยา่ งนนั้ อยากอยา่ งนี้ ทงั้ ๆสิง่ เหลา่ นนั้ มนั เป็นจรงิ อยา่ ง

14

นนั้ เราจะใหม้ นั เป็นไปตามความตอ้ งการของเรา มนั จงึ เกิด
ลาํ บากเกิดทกุ ขเ์ กิดโทษ ใหพ้ ิจารณา

เร่อื งของกายของใจนนั้ มนั มดี ว้ ยกนั ทกุ คน ไม่วา่ จะน่งั จะ
ยืน จะเดิน จะนอน มนั มีกาํ หนดดอู ยนู่ นั้ เม่ือจิตไมห่ ลงกาย ไม่
หลงตวั ของตวั แลว้ ไมห่ ลงจติ ของตวั แลว้ มนั สขุ มนั สงบอย่างไร
นนั้ ไม่ตอ้ งไปถามถงึ ตวั ของตวั จะทราบเอง ความสงบความสขุ
ท่ีเราเคยลมุ่ หลงติดขอ้ งมากอ่ น กบั ความถอดความถอนความรู้
ตามเป็นจรงิ ในส่ิงตา่ งๆ แลว้ จติ ปลอ่ ยวางอย่สู งบนนั้ มนั มี
คณุ คา่ สาระตา่ งกนั อยา่ งไร ผปู้ ระพฤติปฏิบตั ิจะทราบจะเขา้ ใจ
ถา้ ไมพ่ จิ ารณาภายในอยา่ งนี้ มนั ไม่มีทางท่ีจะแกไ้ ข ไมม่ ีทางท่ี
จะสงบได้ ไปโนน้ ก็เป็นอย่างนนั้ ไปนนั้ ก็เป็นอย่างนี้ เพราะจิต
ของเราเองไปย่งุ เก่ียว ไปสมมตุ ิ ไปผกู พนั ไปยดึ ถือ ถา้ หาก
ทราบเร่อื งของตวั ตามเป็นจรงิ แลว้ สง่ิ ภายนอกมนั เป็นอย่างไร
นนั้ เราไม่เหน็ ไม่ไดย้ นิ มนั ก็เป็นอยอู่ ยา่ งนนั้ เราไปชอบกบั มนั
ไปตาํ หนิมนั มนั เกิดรกั ความดีความวิเศษอะไรจากการไปชมไป

15

ตาํ หนิ มนั ก็จะทราบอกี เม่ือมนั ทราบทกุ อยา่ งอยา่ งนนั้ มนั ก็ไม่
ไปขอ้ งแวะไปยดึ ถือ พยายามพนิ ิจพจิ ารณากาํ หนดรกั ษา

โอกาสเวลาท่ีจะฝึกอบรมไดก้ ็เม่ือเรายงั ไมต่ าย คอื กายกบั
จิตมนั อย่ดู ว้ ยกนั เม่ือตายไปแลว้ ถงึ กายจะมีอย่ทู กุ ชิน้ ทกุ สว่ น
ไม่วา่ แขง้ ขา ตาหอู ะไรมีอยู่ แตส่ ่ิงเหลา่ นีม้ นั ทาํ อะไรไม่ได้ แลว้
มนั ก็ไม่โกรธใคร ไมช่ อบใคร ไปทงิ้ ไวท้ ่ีไหน จะหนาวขนาดไหน
ไม่หาผา้ ห่มไปให้ มนั ก็ไมเ่ คยบน่ น่ีคือจิตไม่อย่ใู นกาย คนตาย
จะรอ้ นขนาดไหน ทงิ้ ไวใ้ นไฟก็ไมเ่ คยบน่ ฝังดนิ ไวม้ นั ก็ไมอ่ ดึ อดั
หายใจไม่ได้ มนั ก็ไมว่ า่ น่ีคอื คนตาย หมดคณุ คา่ จะทาํ บญุ ทาํ
บาปก็ไม่ได้ จะทาํ ดที าํ ช่วั อะไรไมเ่ ป็น ไม่วา่ คนตายสตั วต์ าย มนั
เป็นอยา่ งนนั้ มนั หมดคณุ คา่ แตค่ นตายนนั้ ไม่มีคณุ คา่ เทา่ สตั ว์
ตาย สตั วต์ ายถา้ เป็นววั เป็นควาย หนงั มนั ก็ขายได้ เขามนั ก็ขาย
ได้ กระดกู เนือ้ มนั ก็ขายได้ แตค่ นตายนี้ ไมม่ ีใครนิยมชมชอบกนั
มีแตเ่ อาไปเผาไปฝังเท่านนั้ คณุ คา่ ไม่มี

แตเ่ ม่ือยงั มีชีวติ อยู่ ไม่มีอะไรท่ีจะมีคณุ คา่ เหนือคน คนมี
คณุ คา่ มาก สามารถท่ีจะสรา้ งอะไรตอ่ อะไรใหเ้ ป็นประโยชนแ์ ก่

16

โลกได้ และสามารถท่ีจะละจะบาํ เพญ็ ความช่วั ความดีในกายใน
ใจของตวั ได้ สามารถเป็นท่ีตงั้ ของมรรคของผลได้ สตั วถ์ งึ หนงั
เขามนั จะมีราคา เนือ้ มนั จะมีราคา แตส่ ตั วเ์ หลา่ นนั้ ไมส่ ามารถท่ี
จะชาํ ระจิตใจของเขาใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ เป็นอภพั พสตั ว์ พระพทุ ธเจา้ จะ
มาตรสั รูแ้ นะสอนขนาดไหน สตั วเ์ หลา่ นนั้ กไ็ มส่ ามารถท่ีจะได้
มรรคผลให้ แตม่ นษุ ยน์ ่ีเป็นภพั พสตั ว์ ถา้ หากตงั้ ใจตงั้ จติ ปฏิบตั ิ
จรงิ จงั ตามธรรมะของพระพทุ ธเจา้ พินิจพจิ ารณาใชส้ ตปิ ัญญา
บงั คบั กายวาจาใจของตวั ใหอ้ ย่ใู นขอบเขตของธรรมะท่ี
พระพทุ ธเจา้ สอน สิ่งท่ีช่วั ท่ีผดิ ตา่ งๆ ทา่ นหกั หา้ มก็ระวงั อยา่ ไป
แตะตอ้ งไปทาํ สิ่งท่ีทา่ นวา่ เกดิ ประโยชนถ์ า้ ทาํ ไปก็พยายาม
บงั คบั กายบงั คบั ใจของตวั ทาํ รกั ษาอารมณส์ ญั ญาตา่ งๆท่ีเป็น
พษิ เป็นภยั ไม่ใหเ้ กิดขนึ้ ท่ีมีอย่แู ลว้ กาํ จดั ขบั ไลไ่ ป น่ีคอื การ
ปฏบิ ตั ติ ามธรรมะของพระพทุ ธเจา้

ผปู้ ฏิบตั อิ ย่างนนั้ ก็สามารถท่ีจะรูเ้ หน็ ในมรรคในผล ทา่ นจงึ
เรยี กวา่ ภพั พสตั ว์ คือสตั วท์ ่ีควรตรสั รู้ ควรมีมรรคมีผลขนึ้ ในจิต
ในใจของตน ผดิ กนั กบั สตั ว์ สตั วอ์ ่นื ไม่มีทาง พระพทุ ธเจา้ จงึ

17

สอนมนษุ ยเ์ ป็นสาํ คญั ตวั ของพระองคก์ ็เป็นมนษุ ย์ แลว้ ก็มา
สอนมนษุ ยท์ ่ีลมุ่ หลงตดิ ขอ้ งย่งุ เก่ียวกบั เรอ่ื งตา่ งๆ สอนก็ไมเ่ อา
อะไรมาสอน เอาสง่ิ ท่ีมนั เป็นจรงิ ในพระทยั ของพระองค์ ตอนท่ี
ยงั ไมไ่ ดบ้ าํ เพญ็ ธรรมะ ไม่มตี ปธรรมเผากิเลสตณั หา พระองค์
เองก็เคยเป็นอย่างนนั้ เม่ือพระองคไ์ ดบ้ าํ เพ็ญตปธรรมแผดเผา
กิเลสดว้ ยสตดิ ว้ ยปัญญาพินจิ พจิ ารณาอยา่ งนนั้ ๆ ความปลอ่ ย
วางถอดถอนของใจเป็นอยา่ งไรๆ พระองคก์ ็เอาอนั นนั้ นะ่ มา
สอนพวกเรา ไมไ่ ดเ้ อามาจากท่ีอ่นื

เชน่ นนั้ คาํ สอนของพระองคจ์ งึ มีอยทู่ กุ กาลทกุ เวลา ถา้ หาก
สตั วย์ งั มีอยู่ คนยงั มีอยู่ โลกยงั มีอยู่ คาํ สอนก็ยงั มีอยู่ แตค่ นนนั้
จะฉลาด นาํ คาํ สอนมาชาํ ระกายวาจาใจของตวั ท่ีช่วั ท่ีเนา่ ท่ี
เหมน็ ออกไปนนั้ แลว้ แตผ่ ฉู้ ลาดจะนาํ มาประดบั ชาํ ระ ถา้ ไม่
ฉลาด คาํ สอนจะมีอย่กู ็ไมเ่ กิดคณุ คา่ สาระให้ เพราะไมฉ่ ลาด
ความจรงิ มนั มีธรรมะ แตอ่ าศยั ความฉลาดของบคุ คลท่ีจะนาํ มา
ฝึกฝนปฏบิ ตั ิตวั ถา้ ไม่ฉลาดถึงสิง่ นนั้ มนั จะมีอยขู่ นาดไหน มนั ก็
ใชป้ ระโยชนไ์ ม่ได้ เหมือนกนั กบั ไมม้ นั มีเตม็ ดงเต็มป่า แตไ่ ม่

18

ฉลาดท่ีจะนาํ มาปลกู บา้ นปลกู เรอื น มนั ก็อย่ใู นป่า ลมพดั ใบ
อย่างนนั้ เวลาฝนตกแดดออกจะพง่ึ พาอาศยั ใหส้ ขุ ใหส้ บาย มนั
ก็พ่งึ พาอาศยั ไมไ่ ด้ เพราะเราไม่ไดม้ าทาํ แปรรูปมาทาํ เป็นบา้ น
เป็นเรอื นให้

น่ีธรรมะมีอย่ใู นโลกก็ทาํ นองเดยี วกนั รูปธรรม นามธรรม
แตเ่ ราไม่นาํ มาสอนใจของเรา พจิ ารณาแกไ้ ขใหใ้ จเหน็ จรงิ มนั
จงึ ไมเ่ กิดประโยชนใ์ ห้ เคา้ พดู อะไรหรอื เหน็ อะไรก็พลอยแตจ่ ะ
หลงจะเช่ือไปในสิง่ นนั้ ๆ ถา้ หากเราฉลาด นาํ สง่ิ นนั้ ๆมากาํ หนด
พิจารณาเพ่ือการละการถอนในความยดึ ความถือของตน จน
จติ ใจเหน็ จรงิ มนั ก็ปลอ่ ยวางไปได้ ถึงรูปเสียง เร่อื งราวของโลก
จะมีอยู่ ท่านกไ็ ม่ขอ้ งตดิ ถา้ หากทา่ นรูท้ า่ นเหน็ ในอรรถในธรรม
จรงิ จงั อยา่ งนนั้ เหมือนกนั กบั ใบบวั ท่ีมนั อย่ใู นนา้ํ มนั ก็ไมไ่ ด้
เปียกชมุ่ ไปดว้ ยนา้ํ ตกหยดหยาดลงมา นา้ํ คา้ งมนั ก็ไหลหนี น่ี
จติ ใจของพระอรยิ เจา้ ผฝู้ ึกปฏิบตั จิ รงิ จงั ทา่ นมีความสงบเยน็
อยา่ งนนั้ ท่านจงึ นาํ มาสอนพวกเราทา่ นท่ลี มุ่ หลง ใหร้ บี
ประพฤตปิ ฏิบตั ิ เพราะชีวิตนีเ้ ป็นของไมแ่ น่นอน ไมท่ ราบวา่ วนั

19

ใดคนื ใดเดอื นใดปีใด มนั จะหลดุ รว่ งไป ถา้ ไม่รบี กระทาํ คณุ งาม
ความดเี อาไว้ ไมต่ งั้ ใจประพฤติปฏิบตั ิ มนั ก็ลมุ่ หลงเรอ่ื ยไป ชาติ
ใหมจ่ ะเกิดเป็นอะไรก็สงสยั เพราะใจไมส่ วา่ งไสว ใจไม่เห็นไมร่ ู้

ถา้ ใจเห็นใจรู้ มนั ก็ไมม่ ีความสงสยั อะไร จากนีไ้ ปจะไปไหน
เรารูจ้ กั ทศิ ทางอยแู่ ลว้ เรากไ็ ปถกู ถา้ เราไม่รูจ้ กั วา่ จะไปทิศใด
ทางใด มนั ก็ตอ้ งสงสยั ตอ้ งถามคนอ่นื แลว้ หนกั ใจไม่ทราบวา่
จะไปอยา่ งไรจงึ จะไปถงึ จดุ หมายปลายทางได้ น่ีคือคนไม่รูจ้ กั
ทาง คนมืดคนบอด ถา้ คนมีตาสวา่ งไสวรูจ้ กั ทาง จะไปทางไหน
กาํ ลงั ของกายท่ีจะพอไปได้ ก็ไปถกู จดุ หมายปลายทางให้ น่ี
การศกึ ษา การปฏิบตั ธิ รรมะก็เพ่ือใหใ้ จของเรารูจ้ กั สงิ่ ท่ีถกู ผดิ ดี
ช่วั ภพชาติท่ีจะไป หมายถงึ ผทู้ ่ีขอ้ งตดิ อย่ใู นวฏั ฏะ ยงั ออกจาก
วฏั ฏะไมไ่ ด้ ถา้ ออกจากวฏั ฏะได้ มนั ก็ไมม่ ีปัญหาอะไรท่ีจะ
สงสยั จะไปท่ีไหน ภพชาติจะมีหรอื ไม่ พอมนั บอกเสรจ็ อย่ใู น
การประพฤตปิ ฏิบตั ิ อย่ใู นใจของตวั จงึ ไมม่ ีขอ้ สงสยั จะไปไต่
ถามคนอ่นื

20

น่ีการปฏบิ ตั ิธรรมะ มนั รูภ้ ายในถงึ จะไมม่ ีความรูภ้ ายนอกก็
ตาม ภายในมนั รู้ มนั รูอ้ ยเู่ ฉพาะในจติ ในใจของผปู้ ระพฤตปิ ฏิบตั ิ
ถึงจะไม่รู้ ไม่มีประกาศนยี บตั รเหมือนทางโลกก็ตาม แต่
ความสขุ ความสบาย ความละความถอนของท่าน ทา่ นทราบ
ทา่ นเขา้ ใจ ความสขุ อะไรท่ีจะวเิ ศษยง่ิ กวา่ การละกิเลสตณั หาไม่
มี ความสงบของใจนนั้ มนั สงบได้ เม่ือมนั ถงึ ความสงบ ปลอ่ ย
วางทกุ สงิ่ ทกุ อย่างตามเป็นจรงิ ของมนั ทา่ นจงึ วา่ นตั ถิ สนั ติ ปะ
รงั สขุ งั สขุ ย่งิ กวา่ ความสงบไม่มี ความสขุ อ่นื จะย่งิ กวา่ ความ
สงบ คือไมต่ ิดขอ้ ง ไมต่ ่นื เตน้ ในสงิ่ ใดๆ สงบอยตู่ ลอดกาลตลอด
สมยั ไมม่ ีอะไรท่ีสงสยั วา่ ควรละควรบาํ เพญ็ เพราะไดก้ ระทาํ มา
ทกุ อยา่ งจนถงึ ท่ีสดุ คอื วิมตุ ติ ความพน้ จากโลกไปแลว้ น่ี
เป็นนตั ถิ สนั ติ ปะรงั สขุ งั คอื สขุ ย่ิงสขุ ประเสรฐิ ไม่มีสขุ อะไรท่ีจะ
เทียมถงึ

แตค่ วามสงบอยา่ งนนั้ ถา้ หากจติ ไมส่ งบ โลกอนั นมี้ นั ก็มีอยู่
อยา่ งนี้ รูป เสยี ง กล่ิน รส หนาวรอ้ นตา่ งๆ มนั จะสงบมาจากท่ี
ไหนถา้ จติ ไม่สงบ จิตสงบสง่ิ เหลา่ นีม้ นั มีอยู่ แตจ่ ิตไม่ตดิ ขอ้ ง ไม่

21

ยดึ ถือ ทราบตามเป็นจรงิ ของมนั น่นั ท่านจงึ วา่ นตั ถิ สนั ติ คอื
สงบจรงิ สงบตงั้ แตเ่ พียงจติ ของตวั ไม่มีดีมชี ่วั ไมม่ ีติดมีขอ้ ง ไมม่ ี
ลมุ่ มีหลงกบั อะไร เพียงเทา่ เนีย้ สงิ่ อ่ืนมนั จะเป็นอยา่ งไรนนั้
ทราบตามเป็นจรงิ ของมนั แลว้ จิตไม่หว่นั ไหว จิตไม่ยดึ เก่ียวใน
สง่ิ ตา่ งๆเรยี กวา่ สนั ติ คือสงบทกุ ระยะ ทกุ เวลา ไมม่ ีการออก
การเขา้ อยกู่ ็สงบ ไปก็สงบ แมแ้ ตต่ ายก็ยงั สงบ ทกุ ขม์ นั จะเกิด
ขนึ้ มาขนาดไหนก็ทราบวา่ เรอ่ื งของทกุ ขเ์ ป็นเวทนา ไมใ่ ชค่ วาม
บรสิ ทุ ธิ์ของใจ ไม่ใช่ความสงบท่ีวา่ นตั ถิ สนั ติ ความสงบ นตั ถิ
สนั ติเป็นอยา่ งไร ใจของท่านท่ีบรสิ ทุ ธิน์ นั้ เวทนาจะเป็นเร่อื งของ
เวทนา ความบรสิ ทุ ธิ์นนั้ จะไม่มีเวทนาหนา้ ไหนมาเก่ียวขอ้ งกบั
ความบรสิ ทุ ธิ์นนั้ ๆ ไมม่ ที างสงสยั วา่ ทาํ ไมจติ ใจของเราจงึ เป็น
อย่างนี้ เม่ือเกดิ เวทนาทกุ ขโ์ ทษขนึ้ มา มนั ไมม่ ีทางสงสยั ความ
สงบ ความบรสิ ทุ ธิ์นนั้ เป็นอย่างไร ท่านประทบั ในจติ ของทา่ น

น่ีคือเรอ่ื งการประพฤตปิ ฏิบตั เิ ม่ือชาํ ระจิตใจถงึ ความบรสิ ทุ ธิ์
อยา่ งนนั้ จงึ ไดช้ ่ือวา่ เป็นผถู้ งึ ความสขุ อนั แน่นอนแทจ้ รงิ ไม่มี
ความสขุ อ่นื จะย่งิ ไปกวา่ จะอย่ไู ปอกี แสนปีก็ไมม่ ีความสขุ หนา้

22

ไหนจะมมี าอกี ตายไปในวนั นีก้ ็ไม่มีความทกุ ขค์ วามเสยี หาย
อะไรท่ีจะเขา้ มาทบั ถมความบรสิ ทุ ธิ์นนั้ น่ีคือการประพฤติปฏิบตั ิ
ตามอรรถธรรมท่ีพระพทุ ธเจา้ สอน กาํ หนดสตปิ ัฏฐานคือ กาย
เวทนา จิต ธรรม จะเขา้ ไปถงึ ความเป็นจรงิ คอื ความบรสิ ทุ ธิ์ สงบ
ตลอดกาลตลอดเวลา ถา้ หากเรารกั ษา เราประพฤติปฏิบตั ไิ ด้
มนั เหน็ อานิสงสอ์ ย่างนนั้ อยา่ ไปยงุ่ ไปเก่ียว ไปตดิ ไปขอ้ ง ไปเพ
ลิด ไปเพลินจนลืมวนั เวลา ลืมชีวติ ของตวั

เม่ือสงิ่ ท่ีเรายดึ ถือเก่ียวขอ้ งเพลิดเพลนิ นนั้ ถงึ กาลถงึ สมยั กนั
จรงิ จงั มนั พ่ีงพาอาศยั ไม่ได้ ไมเ่ หมือนธรรมะท่ีเราฝึกปฏบิ ตั ิ
ศกึ ษา มนั ไมม่ ีวนั มีเวลาท่ีจะกอ่ กวนใหเ้ กิดทกุ ขอ์ นั นนั้ เด๋ยี วมนั
ก็หายไป เด๋ยี วมนั ก็มีใหม่ มนั เป็นอยอู่ ย่างนนั้ เร่อื งของโลก แตก่ ็
หลงกนั เพลินกนั อยู่ ไม่ทราบวา่ อะไรเป็นอะไรกนั แน่ จงพากนั
พนิ ิจพิจารณาศกึ ษา ตงั้ หนา้ ปฏบิ ตั ิ โอกาสเวลาท่ีจะไดก้ ระทาํ
บาํ เพ็ญของเรามนั มีนอ้ ย ไมท่ ราบวา่ จะลม้ หายตายไปเม่ือไร ถา้
หากทกุ คนตงั้ จิตตงั้ ใจกาํ หนดพนิ ิจพิจารณาชาํ ระกิเลสตณั หาให้
ตกใหห้ ลน่ ออกไป ใจก็จะมคี วามสวา่ งไสว สงบเยือกเยน็

23

การอธิบายธรรมะเหน็ วา่ พอสมควร เสยี เวลา ขอยตุ เิ พยี ง
เท่านี้ เอวงั

ท่ีมา: https://youtu.be/bqN9sQolXSI

24


Click to View FlipBook Version